ตอนที่ 10 เรื่องของเขาและความเศร้าของผมRrrrrrrrrr
Rrrrrrrrrr
พี่ต้นโทรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะรับสาย ถ้าคุยกับพี่ต้นตอนนี้ต้องถูกจับได้แน่ว่าผมร้องไห้มา ดีไม่ดีอาจจะร้องไห้ขึ้นมาอีกถ้าได้ยินเสียงพี่ต้น
ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของพี่ต้นเลย พี่เขามีวิถีชิวิตของเขาแบบนี้อยู่แล้วก่อนที่เราจะรู้จักกัน พี่ต้นเป็นลูกชายคนโตของนักธุรกิจ มีความรับผิดชอบสูง นี่ขนาดปิดเทอมยังต้องไปทำงาน (ตามที่ผมแอบได้ยินมา) แต่ตอนนี้ผมขอจัดระบบความคิดของตัวเองก่อน ก่อนอื่นผมต้องเลิกเป็นกระต่ายตื่นตูมก่อน ถ้าเหตุการณ์มันจะเหมือนกับครั้งที่แล้ว คราวนี้ผมจะต้องเตรียมเผื่อใจไว้ ผมไม่รู้ว่าเมืองนอกมันมีดีอะไร ถึงทำให้คนดีๆเปลี่ยนไป หรือจริงๆแล้วอาจจะไม่เกี่ยวกับสถานที่เลย แต่มันขึ้นอยู่กับนิสัยถาวรของแต่ละบุคคลต่างห่างหละ
‘ไลน์’Tonsung : เต้ยครับ ถึงห้องหรือยังครับ
Tonsung : กินข้าวหรือยังครับ
Tonsung : จะนอนหรือยังครับ รับสายพี่หน่อยครับคนดี
น้ำตาผมมันไหลออกมาอีกแล้ว แค่เพียงได้อ่านข้อความห่วงใยจากพี่ต้น มันก็ไหลออกมาเอง ผมไม่รู้จะกำจัดความเสียใจนี้ยังไงดี ผมรู้ว่าตัวเองคิดมากไปเอง พี่ต้นเคยบอกว่ามีอะไรให้คุยกันตรงๆ แต่ผมก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเองให้พี่ต้นฟัง
Tonsung : พี่รอเราอยู่ที่หน้าคอนโดเรานะ ถ้ายังไม่นอนลงมาหาพี่หน่อยนะครับ
ผมดูเวลา ตอนนี้ 5 ทุ่มกว่าแล้ว พี่ต้นรออยู่นานแค่ไหนแล้วนะ
.
.
.
ผมตัดสินใจหยิบแว่นตา แมสปิดปาก เพื่อหวังว่าจะปิดบังสภาพหน้าตาตัวเองให้ได้มาที่สุด แล้วเดินลงลิฟต์ไปหาพี่ต้น
เพียงแค่เดินออกจากตัวคอนโด พี่ต้นก็ลงจากรถเดินตรงมาหาผม
‘อุก’พี่ต้นดึงผมเข้าไปกอด
“พี่เป็นห่วงเรามากเลยรู้ไหม ทำไมไม่รับสายพี่ครับ โทรหาหนึ่งก็บอกแค่ว่ามาส่งเราที่ห้องแล้ว เราไม่เคยขาดการติดต่อกันมาก่อนเลย พี่คิดฟุ้งซ่านไปหมด เราจะเป็นอะไรหรือเปล่า ปวดหัวไม่สบาย ล้มหน้ามืดอะไรหรือเปล่า พี่แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้วรู้ไหม?”
“ขอโทษครับ” ผมตอบได้เพียงแค่นี้ ถ้าขืนพูดมากกว่านี้คงต้องร้องไห้ออกมาอีกแน่เลย ยิ่งได้รับรู้ถึงความห่วงใยของพี่ต้นมากเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น
“ไหน พี่ขอดูหน้าหน่อยครับ” ผมกอดพี่ต้นแน่นขึ้นและส่ายหน้าดิกๆบนอกพี่ต้น
เรายืนกอดกันที่หน้าคอนโดแบบไม่อายประชาชีอยู่นาน จนผมเริ่มรู้สึกปวดขา จึงผละตัวออกมาจากพี่ต้น
“เมื่อย”
“ 555 ไปนั่งในรถกันไหม”
“หา ไม่ใช่ว่าพี่ต้นต้องกลับแล้วหรอครับ นี่จะเที่ยงคืนแล้วนะครับ พรุ่งนี้พี่มีเรียนแต่เช้าด้วย”
“เราตาแดงขนาดนี้ คิดว่าพี่กลับไปจะนอนหลับไหมฮืม?” เห็นได้ไงเนี่ย อุส่าห์ปิดบังสุดชีวิตแล้วนะเนี่ย ผมมุ่ยหน้าเยาะเย้ยให้กับความล้มเหลวของตัวเอง
“ถ้างั้นขึ้นห้องดีกว่าครับ”
ผมเดินนำพี่ต้นเข้าไปข้างในคอนโด นี่เป็นครั้งแรกที่ผมให้พี่ต้นเข้ามาในห้อง ปกติมากสุดก็แค่ล็อบบี้
“พี่ต้นนั่งที่โซฟาก่อนนะครับ เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้.....อะ”
ผมถูกดึงให้มาให้แหมะบนตักพี่ต้นที่นั่งบนโซฟา (ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้) อีกที
“พี่ต้นปล่อยผมด้วยครับ “ นอกจากพี่ต้นจะไม่ยอมปล่อยแล้ว ยังกอดผมแน่นขึ้นอีก มันไม่ได้นั่งสบายเหมือนในนิยายหรอกนะครับ แต่ยอมรับว่านั่งแบบนี้แล้วอบอุ่นดีครับ
“ไม่ปล่อยครับ ลงโทษเด็กนิสัยไม่ดี”
“ .... “
“ .... “
“ปล่อยเถอะนะครับ ผมเขิน” ต้องยอมสารภาพความจริงอีกข้อออกไป
“ฮึฮึ” เกลียดจริงๆเลยเสียงหัวเราะแบบนี้ แต่ทำไมผมยิ้มอยู่หละ
ผมลุกออกจากตักพี่ต้น มานั่งลงข้างๆแทน
“ยิ้มได้แล้วหละสิเราหนะ”
“ครับ เพราะใครหละ”
“ฮึ พูดแบบนี้ตอนที่พี่ปล่อยเราไปนั่งเองเนี่ยนะ ใจร้ายสุดๆ”
ผมได้แต่ยิ้มตาหยีส่งให้พี่ต้น
พี่ต้นจับมือผมขึ้นมากุมไว้ แล้วเกลี่ยด้วยหัวแม่มือ
“.....”
“ไหน เล่าให้พี่ฟังได้หรือยังว่าเราเป็นอะไรครับ ทำไมถึงร้องไห้ครับ”
ผมนิ่งไปสักพัก เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี
“ผมรู้ว่าตัวเองงี่เง่า แต่พี่ต้นห้ามว่าผมนะครับ”
“ฮึ ได้ครับ...จุ๊บ” พี่ต้นพรากความบริสุทธิ์ไปจากมือผมอีกแล้ว
“.....”
“ ^^.”
“พี่นนท์ เป็นลูกชายเพื่อนแม่ และเป็นแฟนคนแรกของผม เรารู้จักกันบ้างตั้งแต่เด็ก และเพิ่งสนิทกันตอนที่ผมอยู่ ม.5 ผมอ่อนภาษาอังกฤษจึงได้พี่นนท์มาเป็นติวเตอร์ให้ พี่นนท์เป็นผู้ชายอบอุ่น ใจดี มีความเป็นผู้ใหญ่ ตรงข้ามกับผมที่ใคร ๆก็บอกว่าเป็นลูกคุณหนู ไม่รู้จักโตสักที เราเจอกันทุกทุกวันหยุด นอกจากพี่นนท์จะช่วยสอนผมแล้ว เรามักจะออกไปเที่ยว ซื้อของ ดูหนังด้วยกันบ่อยๆ บางวันที่พี่นนท์ว่างก็จะไปรับส่งผมที่โรงเรียนบ้าง ความสนิทสนมใกล้ชิดกันของเราทำให้ความรู้สึกของเราทั้งคู่เปลี่ยนไปจากพี่น้องจึงพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ”
‘Would you like to be my darling ? ‘
‘ Yes, I would like’
ผมตอบรับในทันทีอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด ช่วงเวลาที่เราคบกันมันดีมาก ๆเลย มีคนตามใจเราเพิ่มมาอีกคน อีกทั้งแม่วิภา แม่ของพี่นนท์ก็เอ็นดูผมมาก ๆด้วย พี่นนท์มักจะพาผมไปเล่นที่บ้านเป็นประจำ บางทีพี่นนท์ไม่อยู่ผมก็ไปเยี่ยมแม่วิภาเองคนเดียว ซื้อขนมนมเนยเจ้าอร่อยไปฝาก ไปนั่งเล่น พูดคุย ออดอ้อนออเซาะบ้าง (คุณแม่บอกว่าเราต้องหมั่นเอาใจว่าที่แม่สามีบ้าง ถ้าเขาเอ็นดูเราอนาคตข้างหน้าจะได้สบาย ..... ผมบอกเรื่องที่เราคบกันให้คุณแม่ทราบ ผมสนิทกับคุณแม่มาก เราพูดคุยกับทุกเรื่อง ผมจึงไม่เคยมีความลับกับคุณแม่เลย และผมก็คิดว่าพี่นนท์ก็คงพูดเรื่องของเรากับทางบ้านพี่เขาแล้วเหมือนกัน)
‘ ถ้าเราต้องห่างกัน น้องเต้ยจะอยู่ได้ไหมครับ ‘
‘ พี่นนท์พูดอะไรครับ พี่นนท์จะไปไหนหรอครับ ’
‘ เอ่อ คือ พี่ต้องเดินทางไปเรียนต่อที่ที่อังกฤษ ’
‘ ทำไมถึง... อยู่ๆที่จะไปหละครับ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นพี่นนท์พูดอะไรเลย’
‘ คุณพ่อให้ไป พี่ต้องนั่งเก้าอี้แทนคุณพ่อ น้องเต้ยเข้าใจใช่ไหมครับ’
‘ แต่ที่ไทยก็มีสถาบันเก่งๆ เยอะเลยนะครับ ทำไมต้องไปไกลๆเต้ยด้วย’ ผมเริ่มงอแงอย่างควบคุมไม่อยู่
‘ ผู้บริหารระดับสูง ด้วยหน้าตาทางสังคมและหน้าที่การเงิน เต้ยก็รู้ว่าค่านิยมบ้านเรา คนที่จบนอกเท่านั้นถึงจะได้รับการยอดรับ ไม่งอแงนะครับ แค่ 2 ปีเอง’
‘ ฮือ ตั้ง 2 ปี ต่างหากหละครับ แล้วเต้ยจะอยู่ยังไงหละครับ’ ผมเริ่มเบะปากเตรียมจะร้องไห้
‘ โอ๋โอ๋ ไม่ร้องนะครับ ระหว่างนี้ก็เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ สอบเข้าคณะที่เราฝันไว้ให้ได้ ส่วนพี่ก็จะพยายามเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อย เพื่ออนาคตของเราสองคนนะครับ มาสู้ไปด้วยกันนะครับ ’
‘ พี่นนท์พูดแบบนี้แล้ว แล้วเต้ยจะทำยังไงได้หละครับ อยากร้องไห้อะ พี่นนท์กอดปลอดน้องหน่อย ’
‘ ได้อยู่แล้วครับ พี่รักน้องเต้ยนะครับ’ ผมยิ้มเต็มแก้มอยู่บนอกพี่นนท์ที่กอดผมแน่น ต่อให้ไม่อยากให้พี่นนท์ไปแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ หากต้องการยืนอยู่เคียงข้างพี่นนท์ในอนาคต ผมต้องยอมเสียสละช่วงเวลานี้ สู้ๆนะเต้ย ได้แต่ปลอบใจตัวเองในตอนนั้น
‘ แล้วพี่นนท์ต้องไปเมื่อไหร่ครับ’
‘ อีก 2 เดือนครับ ช่วงนี้พี่ต้องเตรียมเรื่องมหาลัย คงยุ่งมาก ... แต่พี่จะพยายามมาเจอน้องเต้ยให้ได้มากที่สุด’
‘ ฮือ เต้ยยังทำใจไม่ได้เลยอะ .. งั้นวันนี้เราไม่ต้องไปไหนกันนะครับ เต้ยอยากกอดที่นนท์ตุนไว้ ’
‘ ฮึฮึ ได้สิครับ วันนี้เรามาใช้เวลาของสองเราให้คุ้มค่ากันเลย’
‘ อืม พี่นนท์น่ารักที่สุดเลย’
.
.
.
2 เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่พี่นนท์ไม่ได้โกหกผมเลย คือพี่เขาแทบไม่มีเวลามาเจอกันเลย ต่อให้ผมไปหาพี่นนท์ที่บ้าน พี่เขาก็ไม่อยู่ ผมชักหวั่นๆใจแล้วสิ และพรุ่งนี้พี่นนท์ก็ต้องออกเดินไปลอนดอนแล้ว คืนนี้ผมคงนอนไม่หลับแน่ เราจะไม่ได้เจอกันตั้ง 2 ปี ถึงแม้ว่าพี่นนท์สัญญาว่าจะสไกด์หาผมทุกวันก็ตามเถอะ แต่การเห็นหน้าผ่านหน้าจอมันจะไปจะไปเทียบกับการได้เจอกันตัวเป็นๆได้ยังไง ยิ่งใกล้วันผมยิ่งคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย จากที่เชื่อใจพี่นนท์ ตอนนี้ก็เกิดระแวง ทั้งห่วงทั้งหวง กลัวพี่นนท์เผลอใจ สาวๆอังกฤษสวยๆทั้งนั้น ...ผมจึงตัดสินใจทำอะไรโง่ๆลงไป
‘ฮัลโหลพี่นนท์ ’
‘ ว่าไงครับ ยังไม่นอนอีกหรอครับ ’
‘ เพิ่งสองทุ่มเองฮะ และอีกอย่างเต้ยคิดว่าคืนนี้เต้ยคงนอนไม่หลับแน่ๆ ’
‘ เต้ยขอไปค้างกับพี่นนท์ได้ไหมครับ ’ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะไปค้างกับพี่นนท์ ถึงแม้ว่าเราจะเป็นแฟนกันมาปีกว่าก็ตามที
‘ เอ่อ ’
‘ นะ นะ ครับ เต้ยอยากเจอพี่นนท์ ’
‘ ครับ ครับ ’
‘ เย้ พี่นนท์ใจดีที่สุดเลย’
‘ ฮึ พี่เคยขัดใจเต้ยได้สักครั้งไหมหละครับ ... แล้วนี่มายังไงครับ ให้พี่ไปรับไหม ’
‘ โนว โนว เดี๋ยวเต้ยขับรถไปเองดีกว่าครับ ตอนเช้าจะได้ออกไปส่งพี่นนท์ที่สนามบินด้วย ’
‘ OK.ครับ งั้นขับรถดีๆนะครับ ’
‘ ครับ แล้วเจอกันนะครับพี่นนท์ ’
ผมเข้าไปเตรียมในห้องน้ำอยู่นาน โดยใช้ reference จากในเน็ตนี่แหละ เสร็จแล้วออกมาเก็บเสื้อผ้าและอุปกรณ์อีกนิดหน่อย... พร้อมออกเดินทาง ....สู้ๆ
‘ คุณพ่อคุณแม่ สวัสดีครับ ‘
‘ เรามาทำไมเนี่ย ’ คุณพ่อถามผมเสียงตึง ปกติคุณพ่อมักจะเอ็นดูผมเช่นเดียวกับคุณแม่วิภา แต่พักหลังนี้ผมรู้สึกว่าคุณพ่อมักจะมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ บางครั้งก็ไม่ยอมคุยกับผมด้วย หรือไม่ก็มองข้ามผมไปเลย
‘ คุณค่ะ ใจเย็นค่ะ มันใกล้จะจบแล้วค่ะ ... เต้ยมาหาพี่นนท์หรอลูก ขึ้นไปสิพี่เขาอยู่บนห้อง ’
‘ เอ่อ ขอบคุณครับ ถ้างั้นเต้ยขอตัวนะครับ ^^ ’
ก็อก ก๊อกห้องพี่นนท์ถูกจัดเก็บให้เรียบร้อยยิ่งกว่าปกติ อาจเป็นเพราะห้องนี้จะไม่มีคนใช้งานมันอีกนาน
‘ พี่นนท์เก็บกระเป๋าเสร็จแล้วหรอครับ ’ ผมเห็นกระเป๋าใบใหญ่วางอยู่มุมหนึ่งของห้อง เห็นแล้วก็ใจหาย
พี่นนท์คงสังเกตเห็นอาการของผม จึงดึงมือผมให้ไปนั่งบนตักพี่นนท์ที่นั่งบนเตียงนอน
พี่นนท์กอดปลอบผมอยู่นาน โดยที่เราไม่พูดอะไรกันเลย ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
‘ …. ’
‘ ….. ’
ผมดึงมือพี่นนท์มาจับแก้มผมเกลี่ยเล่น ....
‘ พี่นนท์ครับ กอดเต้ยหน่อยสิครับ ’ ผมตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด
‘ พี่ก็กอดอยู่ในไงครับ เอาแน่นกว่านี้อีกหรอครับ ฮืม..’ พร้อมอ้อมกอดที่รัดผมแน่นขึ้น
‘ ไม่ใช่แบบนี้ กอดอีกแบบหนึ่งต่างหากหละ ’
‘ ….. ’
พี่นนท์มองหน้าผมนิ่ง
จุ๊บ... ผมจุ๊บที่ปลายคางพี่นนท์
‘ เต้ย ’
‘ นะครับพี่นนท์ ’ ยิ่งพูดก็ยิ่งสมเพชตัวเอง
‘ เต้ยแน่ใจหรอครับที่จะทำแบบนี้ ’
‘ ครับ เต้ยแน่ใจ ’
‘ เต้ยอาจจะเสียใจทีหลังก็ได้นะ ’
‘ ไม่เป็นไรครับ เต้ยยินดียกมันให้พี่นนท์ … อืมมมม ’
‘ แฮ็ก ๆ ๆ ’
พี่นนท์จูบผมอยู่นานกว่าจะปล่อยให้ผมได้มีโอกาสหายใจ ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งที่เราจูบกัน แต่ด้วยเหตุการต่อจากนี้ไปมันทำให้ผมตื่นเต้น และกลัวจนเกร็งไปหมด
‘ ไม่มีโอกาสเปลี่ยนใจแล้วนะครับ ’
สุดท้ายผมก็ไม่มีโอกาสแม้จะพูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ ได้แค่ทำตัวอ่อนให้พี่นนท์จับพลิกคว่ำที หงายที ตะแคงก็มี เป็นครั้งแรกที่เจ็บจุกและสุขสมไปพร้อมๆกัน ผมเหนื่อยจนไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปแต่ตั้งตอนไหน
‘เต้ยครับ พี่นนท์ไปก่อนนะครับ ดูแลตัวเองดีๆนะครับ แล้วพี่จะรีบกลับมา...จุ๊บ ’
‘ อืม ’ ผมได้ยินเสียงพี่นนท์แว่วๆ ในขณะที่ผมกำลังหลับฝันดีอยู่
ผมรู้สึกตัวตอน 7 โมงเช้า ข้างตัวว่างเปล่า
‘ พี่นนท์ไปแล้ว ’ ผมตื่นไปส่งพี่นนท์ไม่ทันทั้งๆที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปส่งพี่นนท์แท้ๆ แต่เมื่อคืนเขาเหนื่อยมากจริงๆ
ไม่เป็นไรส่งข้อความไปอวยพรให้พี่นนท์เดินทางโดยสวัสดิภาพแทนก็ได้ และไม่ลืมให้พี่นนท์ติดต่อกลับทันทีที่ถึงลอนดอน
.
.
.
พี่นนท์ไปได้เดือนกว่าแล้ว ในระหว่างนี้ผมก็กำลังเตรียมตัวสอบโอเน็ต เราจึงไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ ส่วนมากจะฝากข้อความทิ้งไว้ซะมากกว่า เนื่องจากเวลาไม่ตรงกันด้วย
ถึงแม้ช่วงผมจะมีเวลาน้อยแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยละเลยการไปเยี่ยมเยียนคุณป้าวิภาที่บ้านเลย ท่านมักจะอยู่บ้านคนเดียว เพราะคุณพ่อจักษ์มักจะไปดูงานต่างประเทศบ่อยๆ ผมมักจะไปชวนแม่วิภาคุย หรือไม่ท่านก็ชวนผมจัดดอกไม้บ้าง ทำขนมบ้าง แต่ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมท่านผมจะรู้สึกได้ถึงความอัดอัดใจแกมเวทนาผม ท่านคงสงสารผมที่ต้องมาห่างไกลจากคนรักหละมั้งครับ
‘ คุณพ่อคุณแม่สวัสดีครับ ‘ วันนี้คุณพ่อจักษ์อยู่บ้านด้วยแฮะ
‘ อืม / สวัสดีลูก ’ คุณพ่อทำสีหน้าไม่ชอบใจที่ได้เจอผมที่นี่
‘ วันนี้คุณแม่ทำบัวลอยไข่หวานครับ เลยให้ผมเอามาให้คุณพ่อจักษ์กับแม่วิภา ^^ ’
‘ เรามาก็ดีแล้ว ฉันมืเรื่องจะคุยกับเธอ ’
‘ คุณค่ะ ให้ฉันคุยกับแกเองดีกว่านะคะ ’
‘ ปล่อยให้คุณคุยหรอ เดี๋ยวก็ใจอ่อนเหมือนทุกที ’
ผมมองหน้าคุณพ่อที คุณแม่ที คุณแม่วิภามองหน้าผมแล้วเหมือนจะร้องไห้ออกมา
‘ เอ่อ คุณพ่อจักษ์มีอะไรจะคุยกับผมหรอครับ ’
‘ ฉันได้ยินมาว่าเรามาที่นี่บ่อยๆ ใช่ไหม ’
‘ ครับ ’
‘ ฉันอยากให้เราเลิกมาที่นี่ซะ เลิกติดต่อมาทางเราเลยได้ยิ่งดี ’
ผมอึ้งเลยครับ ไม่เคยคิดว่าจะได้อะไรแบบนี้จากบ้านคนรัก
‘ คุณพ่อจักษ์หมายความว่ายังไงครับ ผมไม่เข้าใจ ’
‘ ฉันพูดตรงๆเลยนะ ฉันเลี้ยงเจ้านนท์มาหวังให้เขาแต่งงานมีครอบครัวที่สมบูรณ์ และสืบทอดกิจการของฉันต่อไป ฉันเพิ่งรู้ว่าพวกเธอคบกันในแบบ แบบนั้น มันผิดเธอไม่รู้หรือไง ’
ความรักของเราสองคนมันผิดหรอ เราก็แค่รักกันเอง เราเป็นกำลังใจดีๆให้ซึ่งกันและกัน ช่วยกันผลักดันชีวิตให้ดีขึ้น แค่นี้ไม่พอหรอ ผมได้แต่ตั้งคำถามอยู่ในใจ
‘ ฉันไม่ยอมให้พวกเธอคบกันในทางนั้นหรอกนะ ’
พี่นนท์รู้เรื่องนี้มาโดยตลอด แล้วก็ยอมหรอ
‘ ฉันให้เจ้านนท์หมั้นกับหนูพรีม ลูกสาวเพื่อนฉันที่เป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรมทั่วประเทศ และตอนนี้พวกเขาก็ไปเรียนต่อด้วยกัน ’
‘โฮ... คุณพอเถอะค่ะ ’ เสียงคุณแม่วิภาร้องไห้โฮด้วยความเจ็บปวดเวทนา แต่มันไม่เสี้ยวความรู้สึกของผมตอนนี้หรอกครับ น้ำตาผมไหลเหมือนเขื่อนแตก ตั้งแต่รู้ว่าพี่นนท์หมั้นกับผู้หญิงสักคนที่ไม่ใช่ผม ผมอยู่กับพี่นนท์ตลอด แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าพี่นนท์แอบไปหมั้นตอนไหน
ความรักของผมพังทลายไม่เหลือชิ้นดี รัก เชื่อใจ และซื่อสัตย์กับคนรักตลอดมา แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับคืนมาคือการโกหกหลอกลวง และการทรยศ
‘ พี่รักเต้ยนะครับ ’
คำนี้มันมีความจริงซ่อนอยู่ในนั้นบ้างไหมนะ
‘ ถือเป็นคำแนะนำจากผู้ใหญ่ ฉันเองก็เคยเอ็นดูเราอยู่มาก เห็นเรามาตั้งตัวน้อยๆ ตัดใจซะเถอะ เรื่องของเธอสองคนไม่มีทางเป็นไปได้ตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่ ’ คุณพ่อจักษ์พูดเสร็จก็เดินขึ้นไปด้านบนบ้าน
‘ โถลูก....’ แม่วิภาพยายามจะเดินเข้ามาปลอบใจผม แต่ผมก็เดินถอยหลังห่างออกไปเรื่อยๆ
ผมวิ่งมาขึ้นรถแล้วขับออกจากบ้านไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย
‘ ฮือออออ ’ เจ็บ เจ็บเหลือเกิน หัวใจของผม เจ็บกว่านี้ก็คงต้องเป็นความตายแล้วหละมั้ง
เอี๊ยดดดดด
โครมมมมมหมาตัวหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถผม
ผมหักหลบแล้วพุ่งเข้าชนข้างทาง โชคดีที่ตรงนั้นเลยแผงขายของมานิดหน่อยจึงไม่เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินและบุคคล
ถุงลมนิรภัยอัดเข้าเต็มหน้าอกผมจนจุก
‘ คุณ คุณ คุณ ’ เสียงเรียก และเสียงเคาะกระจกอยู่ด้านข้าง
ผมได้สติจึงปลอดล็อคประตู มีคนมาพยุงผมลงจากรถ
‘ คุณเป็นอะไรไหม ’ คนนั้นคุยกับผมพร้อมกับตบหน้าผมเบาๆเพื่อเรียกสติ
‘…..’
‘ มีใครเรียกรถฉุกเฉินหรือยัง ’
‘ กูโทรละ ’
‘ อืม ’
‘ คุณหายใจเข้าลึกๆนะครับ อย่ามุงครับ ขออากาศให้คนเจ็บหายใจด้วยครับ ’
ผมค่อยๆได้สติเพิ่มมากขึ้น มองไปรอบๆเห็นคนมุงอยู่จำนวนหนึ่ง
‘ ผมโอเคแล้วครับ มีใครเป็นอะไรไหมครับ ’ ผมถามเพื่อความแน่ใจเผื่อจะหลบไปชนใครเข้า
‘ ไม่มีใครเป็นอะไรหรอกหนู แม่แต่หนูกับเจ้าตาลแดงนี่แหละ ’ ป้าคนหนึ่งพูดขึ้น
‘ ตาลแดง ’ ผมพยามยามประมวลผลว่า ตาลแดงคืออะไร
‘ หมา หมาลูกอ่อนที่มันหากินอยู่แถวนี้แหละหนู ตอนนี้มันตอนตายอยู่หน้ารถหนูนั่นแหละ ถ้าสิเนี่ยรถแพงๆมาสกปรกเพราะหมาข้างถนนแท้ๆ’
ผมพยายามลุกขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มีอยู่ แต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ก็ได้มือหนึ่งมาช่วยพยุงผมขึ้นมา
‘ ขอบคุณครับ ’
ผมเดินไปที่หน้ารถตามคำบอกของคุณป้า พบหมาตัวหนึ่งชักกระตุกอยู่บนกองเลือด
‘ มันยังไม่ตาย มันยังไม่ตาย ปล่อยผม ผมจะพามันไปหาหมอ ปล่อย..... ’
ผมดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อเข้าไป แต่ก็เป็นมือเดิมที่พยุงผมไว้ซักครู่ที่พยามยามฉุดรั้งตัวผมไม่ให้เข้าไปหาหมาตัวนั้น
‘ ปล่อย ฮือ ฮือ ’ ตอนนี้ผมร้องไห้ร่วมด้วย
หมาตัวนั้นชักกระตุกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะแน่นิ่งไป
‘ มันตายแล้ว ’ ผู้ชายข้างตัวผมเอ่ยขึ้นที่ข้างหู
‘ มันตายแล้ว ฮือ ฮือ ผมฆ่ามัน ฮือออออ ’
ผมนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น จนรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลมาถึง
ก่อนที่จะโดนลากขึ้นเปลผมเห็นลูกหมาสามตัวเดินเข้าเลียตามตัวหมาตัวนั้นอยู่
เหตุการณ์ครั้งนี้นอกจากผมจะฆ่าหนึ่งชีวิตแล้ว ผมยังพรากแม่ไปจากลูกน้อยสามตัวอีกด้วย
‘ ฮือ ฮือ ’
ที่ผมเคยคิดว่าการอกหักเจ็บปวดที่สุดแล้ว แต่การเป็นคนพรากชีวิตจากสิ่งที่เขารักและรักเขาแล้ว มันเจ็บยิ่งกว่า
‘ ฮือ ฮือ ’
........
ดีใจกว่าการแต่งนิยานเสร็จสักตอน ก็กดเข้าเล้าเป็ดแล้วเจอเว๊บใช้งานได้ปกตินี่แหละค่ะ
คิดถึง....คิดถึงมากมาย
เพิ่งได้รู้ว่าการไม่มีเล้าเป็ดแล้วชีวิตมันหดหู่แค่ไหน ไถโทรศัพท์ไปมาไม่รู้จะดูอะไร
ฮืออ...ขอบคุณที่กลับมานะคะ
รัก