ครึ่งหลัง...
หลังจากจุลรจักเอ่ยปากขอพาโยไปอยู่ที่บ้านสวนที่ต่างจังหวัด โดยมีแม่นิ่ม หรือย่าขอโยรับรู้และได้บอกกับสุรศักดิ์เอาไว้แล้ว และได้จัดการเรื่องเรียนต่อของหลานแล้วเหลือแค่ให้โยมาอยู่ด้วยเท่านั้น การขอครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาอะไรเพียงแต่...
“พี่โยจะไปจริง ๆ เหรอครับ”
เด็กน้อยวัยเก้าขวบยืนอยู่ตรงหน้าร่างสูงโปร่งของคนเป็นพี่ น้ำตารื้นจนมองภาพพี่ชายไม่ชัดเจนอยากจะขยับเข้าไปใกล้ ๆ หรือจับมือก็ไม่กล้า สิตางศุ์กลัวว่าพี่โยจะสะบัดออก และทำท่ารังเกียจตัวเองเหมือนที่เคยผ่านมาได้แค่หวังว่าสุริโยจะยอมพูดดีกับตัวเองในวันสุดท้ายก่อนจะไปอยู่กับอาจูน
“เออ” โยตอบเสียงห้วน
“ฮึก... พี่โยจะมาเที่ยวที่บ้านไหมครับ” ถึงจะยังเด็กนัก แต่ยิมก็พอจะรู้ว่าโยคงไม่โทรมาคุยเล่นด้วยหรอก ถ้าเป็นตัวเองโทรไปน่ะไม่แน่
โยมองเด็กน้อยที่เป็นน้องคนละแม่ของตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่ใช่ว่าเวลาที่ผ่านมาเขามองไม่เห็นความพยายามที่จะเข้าหาในตัวมัน แต่เพราะทิฐิและความเกลียดชังครอบครัวใหม่ต่างหากที่ทำให้เขาเลิกที่จะเมิน แต่ในเวลานี้โยรู้สึกใจหาย....
ทั้งพ่อ และอรณีภรรยาใหม่ต่างมายืนส่ง พร้อมสัมภาระที่จำเป็นอยู่ท้ายรถเต่าตาหวานคันสีเหลืองเรียบร้อย ทั้งสองต่างอวยพรเขาและบอกให้เขากลับมาเที่ยวที่บ้านบ้าง ถึงโยจะไม่ได้ตอบกลับแต่ก็พยักหน้าเพียงเบา ๆ เป็นการตอบรับว่าเขารับรู้แล้ว แต่จะมาไม่มานั่นเป็นอีกเรื่อง
จากที่เห็นก็ดีแล้ว... พอส่วนเกินอย่างเขาไป ครอบครัวนี้จะได้สมบูรณ์เสียที
แต่ก็ติดแค่สิตางศุ์หรือไอ้เด็กยิมที่ไม่ว่าจะเมิน ใจร้ายกับมันขนาดไหน แต่ก็ยังเห็นโยเป็นพี่ชายอยู่ดี ถึงจะยังชังมันมาก แต่หัวใจของเด็กหนุ่มก็ไม่ใช่หินที่จะไม่รู้สึกอะไร
สงสาร... เห็นใจ... และเข้าใจ...
“เลิกร้องไห้เพราะฉันได้แล้ว” เสียงยังคงแข็งและห้วน แต่ประโยคต่อมากลับทำให้ยิมรู้สึกว่าได้เข้าใกล้โยไปอีกหนึ่งก้าว “ถ้าเกิดว่าเหงามาก็ให้โทรมาเองแล้วกัน ไลน์มาก็ได้ มีไลน์ไม่ใช่เหรอ?”
“พี่โยอนุญาตเหรอครับ?”
“...” โยไม่ยอมตอบ มองหน้าเด็กตัวกระเปี๊ยกยืนเช็ดน้ำตาป้อย ๆ สั่งน้ำมูกลงกับเสื้อตัวนอกก็ได้แต่เบะปากกับความซกมกนั่น
“ได้..จะ..จริงนะครับ?” ใบหน้าเลอะน้ำตาถามย้ำอีกครั้ง จนจูนแตะเข้าที่ข้อศอกของโยนั่นแหละ พี่ชายปากแข็งจึงยอมตอบไป
“เออ!”
“จริงนะ”
“บอกว่าเออไง ทำไมชอบให้พูดซ้ำ”
“ก็...เซื้อดดด” ยังพูดไม่จบก็สูดน้ำมูกเข้าไปในโพรงจมูกเล็กสีแดงเรื่อ มือน้อยกำชายเสื้อและทำท่าจะเช็ดซ้ำแต่มือใหญ่ที่ไม่เคยคิดจะแตะตัวก็จับไว้
“อย่าเช็ด” เอ่ยสั่ง “ไม่งั้นจะเป็นแผล”
“พี่โย”
เด็กชายตัวเล็กเรียกชื่อ และตัดสินใจโผเข้ากอดเอวพี่ชายแน่น... ยอมถูกดุแต่ได้ทำสิ่งที่อยากทำถือว่าคุ้ม
ใช้เวลานานอยู่พอสมควรกว่าจะเก็บของ และล่ำลากันเสร็จ หรือเรียกง่าย ๆ ว่ากว่าจะผละจากไอ้เด็กช่างตื้อได้ก็เหนื่อยกันอยู่พอสมควร ทำท่าจะร่ำไห้อยู่เรื่อย ทั้งยังมีหนึ่งทนีที่มาลาถึงบ้านทันทีที่เขาโทรบอก เป้าหมายจากที่มาลาเพื่อนก็เลยตั้งปลอบไอ้เด็กขี้แยไปเป็นของแถม
“ไปอยู่กับปู่กับย่าก็อย่ารั้นท่านมากเข้าใจไหม”
“ครับ”
“พ่อ...รักลูกนะ”
“...”
โยก้มหน้ากระพริบตาถี่ ๆ ไล่น้ำตา คำพูดนี้เขาจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ฟังมันนานเท่าไหร่ แต่ในวันนี้เขาได้ฟังมันซึ่งมันสายเกินกว่าเขาจะทำใจเรื่องที่ผ่านมาได้
“โทรมาหาพ่อบ้างนะโย” เสียงทรงอำนาจเอ่ยเสียงขรม
“...ครับ”
“พี่โยโทรหาผมบ้างนะครับ” เสียงสั่นเครือดังเข้าแทรกโยจึงหันไปสนใจเด็กชายแทนคนเป็นพ่อ
“ผมไปก่อนนะครับ” โยเอ่ยอีกครั้งก่อนจะวางมือลงที่เรือนผมนิ่มของน้องชายต่างมารดา “เลิกทำหน้าแบบนี้ได้แล้ว ไม่ได้ไปตาย ...ถ้าปิดเทอมจะกลับมา”
“สัญญาแล้วนะ”
“อือ ไอ้หนึ่งกูไปแล้วอย่างลืมกูนะโว้ย ขอบใจสำหรับหลาย ๆ เรื่องว่ะ”
“เออ มีเพื่อนใหม่แล้วอย่าลืมที่กูเคยพูด คอยเตือนด้วย” ว่าแล้วก็กอดคอกันตามประสาเพื่อนชายเพื่อลา
“ผมลานะครับพี่ศักดิ์ พี่ณี น้องยิมด้วยแล้วอาจะพาพี่โยมาหาบ่อย ๆ ”
“ผมจะรอนะครับ” ยิมรีบเข้าประจบ “พาพี่โยมาบ่อย ๆ เลยนะครับ บอกให้พี่โยโทรหาผมด้วยนะ”
พอได้คืบก็จะเอาศอก....
“ไปก่อนนะไอ้หนึ่ง ยิม ผมไปแล้วนะครับ...พ่อ ...คุณณี ”
โยบอกลาครั้งสุดท้าย ก่อนจะยกมือไหว้บุพการีและภรรยาและขึ้นรถเต่าตาหวานปี 1967 ตามด้วยเจ้าของรถนั่งฝั่งคนขับ และเริ่มออกเดินทางสู่กาญจนบุรี...