ตอนที่ 3
ลมทะเล
“ขอโทษทีนะพอดีพี่เคาะประตูเรียกนานแล้วไม่มีคนมาเปิดเลยถือวิสาสะเข้ามาโดยพลการ เข้ามาก็ได้ยินเสียงอาบน้ำพี่เลยนั่งรอตรงโซฟาด้านนอก ขอโทษนะครับ” คนมาใหม่กล่าวยาวเหยียดด้วยประโยคที่แสดงความรู้สึกผิดจริงๆ
ผมส่ายหน้าแล้วคลี่ยิ้มส่งให้เขาก่อนจะตอบกลับไป “ไม่เป็นไรครับ อ...เอ่อสวัสดีครับพี่สันต์”
พี่สันต์ยิ้มขำก่อนจะรับไหว้ผม “สวัสดีครับน้องพีท” เขาว่าแล้วเดินตรงมาทางผม หยุดยืนด้านหน้าโดยเว้นระยะห่างพอประมาณ “ผมเปียกน่ะครับ เช็ดก่อนดีไหมแล้วเราค่อยมาคุยกัน”
พอโดนพี่สันต์ทักแบบนั้นก็พึ่งจะรู้สึกตัวว่าหยดน้ำบนเส้นผมหยดลงมากระทบใบหน้าและลำคอของตัวทำให้ต้องยกมือขึ้นมาถูไถปลายจมูกตัวเองเบาๆแก้เก้อ ลืมไปได้ยังไงว่าตัวเองใส่ชุดคลุมอาบน้ำออกมาด้วยเนี่ย!
“อ่า...ครับ งั้นพี่สันต์รอสักครู่นะครับ”
“ครับ ไม่ต้องรีบก็ได้พี่ไม่มีธุระอะไรต่อแล้วล่ะ”
ผมพยักหน้า หลบตาวูบตอนพี่สันต์ส่งยิ้มให้ทั้งตาทั้งปากแบบนั้นใช้โอกาสตอนหลบตาพี่สันต์ กวาดสายตามองหาโทรศัพท์ของตนเอง พอเห็นว่าวางอยู่ตรงโต๊ะเล็กก็รีบเดินไปเอาแล้วก้าวเท้าเร็วๆเข้าห้องทันที
เห็นหน้าพี่แค่นี้ก็ใจเต้นจะตายอยู่แล้ว
ผมเข้ามาในห้องนอนเพื่อจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยแล้วโทรบอกที่บ้านและเพื่อนๆว่าตัวเองมาถึงโดยปลอดภัยแล้ว ทุกคนต่างก็ย้ำกับผมเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ผมดูแลตัวเองดีๆ ผมตอบรับพร้อมขอบคุณทุกคนจากนั้นจึงวางสายเพื่อจะออกไปหาคนข้างนอกที่ตอนนี้คงนั่งรอผมนานแล้ว
ยืนชั่งใจอยู่หน้าประตูห้องนอนอยู่หลายนาทีจึงตัดสินใจจับลูกบิดประตูแล้วก้าวออกจากห้องเพื่อมาเจอพี่สันต์กำลังยืนยิ้มให้ผมอยู่ตรงกระจกหน้าต่างที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ พอเขายืนอยู่ตรงนั้นก็ยิ่งทำให้พี่สันต์ดูหล่อขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งแสงที่ตกกระทบลงบนใบหน้าและทั้งรอยยิ้มสวยๆที่อีกฝ่ายส่งมาให้ผมจนผมต้องแก้เขินด้วยการยกมือขึ้นมาถูไถปลายจมูกตัวเองอีกแล้ว
“ขอโทษนะครับที่ให้พี่สันต์รอนานเลย” ผมกล่าวขอโทษพร้อมกับเดินไปหาคนที่พยักพเยิดให้ไปนั่งคุยกันตรงโซฟา
พี่สันต์นั่งลงตรงฝั่งซ้ายของโซฟาส่วนผมนั่งลงตรงฝั่งขวา เราเว้นระยะห่างกันพอประมาณ
“ไม่ต้องขอโทษพี่หรอก” พี่สันต์หันมามอง ริมฝีปากยังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่ผมชอบตลอดเวลา “เป็นยังไงบ้าง ที่พักพอโอเคหรือเปล่า?”
“โอเคครับ ที่พักดีมากเลย ห้องก็สวยมากๆครับแถมยังได้เห็นวิวทะเลอีก” ว่าพลางมองออกไปทางท้องทะเลข้างนอกบานกระจกหน้าต่าง คลื่นสาดซัดเข้าฝั่งตลอดเวลา พอเห็นแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที
“ดีใจที่เราชอบนะ” พี่สันต์ว่าขึ้นหลังปล่อยให้บทสนทนาเงียบมาสักพักเพราะผมกำลังซึมซับกับบรรยากาศของทะเลข้างนอกอยู่ “ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอดเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
ผมละสายตาออกจากวิวทะเลตรงหน้า หันมาสบตากับพี่สันต์ “ขอบคุณมากนะครับ”
พี่สันต์ตอบรับแล้วว่าต่อ “หิวไหมเดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรทานที่ห้องอาหารของโรงแรม?”
“ผมยังไม่หิวเลยครับแต่อยากลงไปเดินตรงชายหาดมากกว่า”
“ไปสิแต่ขอพี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกัน ใส่สูทไปเดินชายหาดคงตลกน่าดู” เขาว่าพลางกลั้วหัวเราะทำให้ผมต้องขยับยิ้มตามเมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา
ยิ้มให้เห็นทั้งวันแบบนี้เกรงว่าใจจะเต้นจนเหนื่อยเข้าน่ะสิ
“เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกครับผมเกรงใจ”
“พี่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ” อีกฝ่ายยกมือขึ้นมาวางที่บ่าผมแล้วตบเบาๆสองที “งั้นพี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน พีทลงไปรอพี่ที่ล็อบบี้ข้างล่างก่อนนะเดี๋ยวพี่ตามลงไป”
“...ครับ”
จากนั้นพี่สันต์จึงเดินออกจากห้องไปเหลือเพียงผมที่ยังคงนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิม มือข้างซ้ายยกขึ้นมาลูบบ่าข้างขวาของตนเองที่โดนอีกคนลูบก่อนหน้า รู้สึกว่าตัวเองยิ้มกว้างมากจนแก้มจะแตกก็ยังหยุดยิ้มไม่ได้ ใจที่อยู่ด้านซ้ายก็ถูกมือขวาของผมลูบเบาๆให้สงบลง
ไม่ดีเลยแบบนี้....
{----------♥----------}
ผมลงมารอพี่สันต์ตรงล็อบบี้ของโรงแรม ไม่นานคนที่ผมรอก็เดินลงมาด้วยชุดสบายๆที่แปลกตา พอเห็นแบบนั้นก็คิดว่าพี่สันต์ใส่อะไรก็หล่อหมดจริงๆนั่นแหละแม้กระทั่งตอนนี้ที่ใส่เพียงเสื้อกล้ามข้างในสีขาว มีเสื้อเชิ้ตสีฟ้าน้ำทะเลทับอีกที บวกกางเกงขาสั้นแถมยังมีรองเท้าแตะพอดูรวมๆแล้วผู้ชายคนนี้เป็นไม้แขวนเสื้อที่ดีจริงๆด้วย
“มองพี่แบบนั้นพี่ก็เขินแย่สิ” พอได้ยินเขาพูดแบบนั้นผมก็ได้แต่อึกอักและคงจะทำหน้าตาตลกพอดีอีกคนถึงได้หัวเราะกันแบบนี้ “พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยแค่แซวเล่นเท่านั้นเอง ไม่ต้องทำหน้ากังวลสิ”
“...ครับ” ผมยืนเม้มปากหลบสายตาเขา ไม่รู้จะพูดหรือทำอะไรต่อดี
“ไปกัน อากาศตอนนี้กำลังดีเลย” พี่สันต์แตะศอกผมเบาๆก่อนจะบอกให้ผมออกเดินโดยมีเขาเดินอยู่ข้างกัน
อย่างที่บอกว่าทะเลตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามของหาดราไวย์ ผมกับพี่สันต์จึงต้องรอข้ามถนนเพื่อจะเดินไปยังหาด
“ดูรถดีๆนะพีท”
“ครับ”
เราสองคนข้ามถนนมาอยู่ฝั่งชายหาดได้อย่างปลอดภัย ลมเย็นๆพัดเอากลิ่นทะเลทำให้ต้องสูดดมเอาอากาศสดชื่นเข้าปอด
“ลงไปเดินหน้าหาดกัน”
พี่สันต์ก้มลงถอดรองเท้าแตะแล้วเอามาถือไว้กับตัว ผมที่เห็นแบบนั้นจึงทำตาม คนข้างตัวเห็นก็ส่งยิ้มมาให้ก่อนจะพาผมออกเดินเพื่อสัมผัสทรายบนชายหาดแห่งนี้
“ทะเลสวยมากเลยครับ” ผมว่าแล้วหันไปยิ้มกับพี่สันต์
“อืม น้ำใสมากเลยล่ะ ไปเดินตรงนั้นกัน” ว่าจบก็ไม่รอให้ผมตอบรับ พี่สันต์เดินนำผมให้เข้าใกล้น้ำทะเลมากยิ่งขึ้นและก็เป็นอย่างที่เขาว่าน้ำทะเลใสมากจริงๆ ใสจนเห็นทรายใต้น้ำเลยล่ะ แต่เสียดายที่มีเรือจอดค่อนข้างเยอะจึงไม่ค่อยมีคนมาเล่นหาดนี้เท่าไหร่นัก
“ตรงโน้นสะพานอะไรเหรอครับ?” ผมชี้ไปตรงสะพานที่เห็นไกลๆ เป็นสะพานที่ทอดออกมาจากชายฝั่งยาวไปถึงน้ำทะเล
“สะพานราไวย์น่ะ พีทอยากไปดูไหมล่ะ?”
ผมพยักหน้ารัวๆตอบรับ “อยากครับ”
“จะนั่งรถหรือจะเดินดี?”
“เดินดีกว่าครับผมอยากเดิน” ผมตอบโดยไม่คิดอะไรแต่พอคิดได้ว่าอีกคนอาจจะไม่อยากเดินจึงหันไปหาแล้วพูดเสียงอ่อย “อ...เอ่อจริงๆผมเดินไปคนเดียวก็ได้นะครับถ้าพี่สันต์ไม่สะดวก”
พี่สันต์ยิ้มแล้วทำในสิ่งที่ผมต้องเบิกตากว้าง เม้มปากกลั้นยิ้มจนแก้มอูมโดยการที่เขายกมือขึ้นมาวางบนหัวผมแล้วลูบเบาๆ “พี่ยังไม่ได้พูดเลยว่าไม่สะดวก อย่าคิดแทนกันสิ”
“ขอโทษครับ”
พี่สันต์เลิกคิ้วทั้งที่ริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้มประดับไว้อยู่“ขอโทษพี่ทำไมหือ?เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”แล้วก็ขยี้ผมของผมอีกสองสามทีจึงผละออก “ไปกัน”
ผมพยักหน้าส่งยิ้มให้พี่สันต์ “ครับ”
“แดดร้อนเหรอ” พี่สันต์มองหน้าผมอย่างพิจารณา “หน้าแดงเชียว” แล้วใช้นิ้วเขาจิ้มมาที่แก้มผมเบาๆ
“เอ่อ...คงงั้นมั้งครับ”
“พี่ไม่ได้เอาหมวกมาด้วยสิ” เขามองซ้ายมองขวา “งั้นไปเดินใต้ร่มไม้ก็แล้วกัน”
พี่สันต์พาผมมาเดินตรงทางเท้าซึ่งมีร่มไม้และโต๊ะเก้าอี้ของร้านอาหารทะเลต่างๆตั้งอยู่แต่ไม่ได้เกะกะจนไม่มีที่เดิน
นักท่องเที่ยวที่นี่จะเป็นชาวต่างชาติซะส่วนใหญ่แต่ก็อย่างว่าหาดราไวย์คนไม่ได้เยอะมากขนาดต้องเดินชนไหล่กันหรือวุ่นวายขนาดนั้น เป็นหาดที่จะเรียกว่าสงบก็เรียกได้ไม่เต็มปากเพราะผู้คนที่พากันมารับประทานอาหารทะเลก็เต็มเกือบทุกโต๊ะ เอาเป็นว่าหาดนี้มีไว้มานั่งชมวิวถ่ายรูปและรับประทานอาหารรับลมทะเลเพลินๆแต่ถ้าหากอยากเล่นน้ำก็คงได้อาจจะเล่นตรงที่ไม่มีเรือจอดก็โอเคอยู่นะผมว่า
“ไหวไหมเนี่ย” คนข้างตัวหันมาเอ่ยถามผมที่ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อข้างขมับ “หน้าเราแดงมากเลย เหงื่อก็ออกเยอะด้วย”
“ไหวครับไหว” ผมตอบแต่มือก็ยังไม่หยุดเช็ดเหงื่อ “ผมแค่ขี้ร้อนไปหน่อย แหะๆ”
“พี่ว่าข้ามถนนไปเซเว่นฝั่งตรงนั้นก่อนดีกว่า” เขาชี้ไปฝั่งตรงข้ามที่มีเซเว่นตั้งอยู่ “ ไปซื้อน้ำกับผ้าเย็นก่อนแล้วค่อยเดินต่อ”
ผมยิ้มแหย “เอางั้นก็ได้ครับ”
พี่สันต์พาผมข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง เราเดินเข้าไปในเซเว่นความรู้สึกแรกที่ได้รับรู้คือความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่กระทบเข้ากับผิวเนื้อของตัวเอง
พี่สันต์เดินนำไปหยิบน้ำและผ้าเย็นเป็นอย่างแรก จากนั้นจึงหันมาหาผมที่เดินตามหลังเขาอยู่ “พีทจะเอาอะไรไหม?”
“ไม่ครับ” ผมปฏิเสธเพราะไม่คิดจะซื้ออะไรจริงๆ
พอพี่สันต์ได้คำตอบก็พยักหน้าแล้วนำน้ำและผ้าเย็นไปคิดเงินหน้าเคาน์เตอร์จากนั้นเราจึงพากันข้ามกลับไปยังฝั่งของชายหาดอีกครั้ง
“ใกล้ถึงแล้วล่ะ” เขาว่าพร้อมยื่นขวดน้ำและผ้าเย็นจากถุงเซเว่นมาให้ผม
“ขอบคุณครับ”
ระหว่างทางพี่สันต์ก็ชวนผมคุยไปเรื่อยๆส่วนมากเขาจะถามผมเรื่องการเรียนในมหา’ลัย ถามถึงเขมบ้างนิดหน่อย
“ตั้งแต่เรียนจบมาพี่ยังไม่ได้กลับไปมหา’ลัยเลย” พี่สันต์ว่าตอนที่ผมเล่าว่ามหา’ลัยมีการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง “เรียนจบก็ต้องไปต่อโทที่ต่างประเทศเลยเสียดายที่ไม่ได้รับปริญญาก่อน”
ผมหันไปมองคนข้างตัว “แล้วพี่สันต์ไปอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้างครับ อ..เอ่อ ผมถามได้ใช่ไหมครับ?”
เขาคลี่ยิ้มพยักหน้าให้ผม “ตอนไปแรกๆก็เหงานะคิดถึงบ้านมากแต่พอผ่านไปสักหกเดือนก็เริ่มปรับตัวได้แล้วล่ะ”
“ถ้าเป็นผมคงร้องไห้กลับบ้านแน่เลย” ผมพึมพำ คิดถึงภาพตัวเองไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองแล้วคงคิดถึงบ้านน่าดู
“ขี้แงหรือเราน่ะ?” คนข้างตัวถามอมยิ้มขำ
“แค่คิดว่าไม่ได้เห็นหน้าครอบครัวกับเพื่อนๆที่นี่ก็ใจหายแล้วล่ะครับ”
“นั่นสินะ” เขาพยักหน้า “แต่พี่ก็เลือกไม่ได้นี่เนอะ”
ผมหันไปมองคนที่พึมพำเสียงแผ่วเหมือนคิดอะไรกับตัวเองสักพัก ผมเห็นสีหน้าพี่สันต์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่จึงชวนคุยเรื่องอื่น “พี่สันต์มาดูแลโรงแรมที่นี่นานแล้วหรอครับ?”
เขาหันมามองผม ก่อนจะนิ่งคิดไป “อืม...ตั้งแต่จบโทก็น่าจะประมาณหนึ่งปีแล้วล่ะ”
“อิจฉาจังเลยครับ ตื่นมาคงได้เห็นทะเลสวยๆแบบนี้ทุกวัน” ผมส่งยิ้มกว้างให้เขาที่ก็ยิ้มตอบกลับมาทำให้ผมต้องหลบตาวูบ ยิ้มทั้งตาทั้งปากแบบนั้นใครจะไปสู้ไหวกันเล่า!
“จริงๆยังมีที่สวยกว่านี้อีกตั้งเยอะนะ”
“จริงด้วย ผมเห็นรูปในห้องพักของโรมแรมสวยมากๆเลยครับ”
“เดี๋ยวไว้พี่พาไปเที่ยวนะแต่ตอนนี้เราถึงสะพานแล้วล่ะ” พี่สันต์หยุดเดินทำให้ผมต้องหยุดตามไปด้วย “ดีนะที่เราไม่ได้มากันตอนวันหยุด ไม่งั้นคนเยอะกว่านี้แน่”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยเพราะขนาดแค่มาวันธรรมดาก็เห็นคนมาไม่ขาดสาย
พี่สันต์พาผมเดินไปขึ้นสะพานที่ทอดยาวไปในทะเล เสียดายที่ไม่ได้หยิบกล้องมาด้วย ผมจึงกะว่าจะใช้โทรศัพท์ถ่ายแทนแต่ก็...
“มีอะไรหรือเปล่าพีท?” คนที่เดินนำหน้าผมหยุดเดินแล้วหันมาถามเมื่อเห็นผมไม่ได้เดินตามเขาไปอย่างที่เป็น
“ผมว่าผมลืมโทรศัพท์ไว้บนห้องแน่เลยครับ” ผมมุ่ยหน้า เซ็งมากที่ไม่ได้ถ่ายรูปที่สวยๆแบบนี้ “อดถ่ายรูปเก็บไว้เลย”
อีกคนพอได้ยินคำตอบก็ขำในคอก่อนเดินเข้ามาหาผม “ยืมของพี่ก่อนก็ได้” พร้อมชูโทรศัพท์เครื่องหรูไว้ตรงหน้าผม
“คือ...ผมเอ่อไม่เป็นไรก็ได้ครับ” ปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างเกรงใจ ใครจะไปกล้าเอาโทรศัพท์พี่สันต์มาถ่ายรูปเล่นกัน “ไม่ถ่ายก็ได้”
“งั้นพี่ถ่ายให้เดี๋ยวส่งให้เราทางไลน์ก็แล้วกัน” ผมทำท่าปฏิเสธพี่สันต์จึงพูดขัดก่อน “ไม่ต้องปฏิเสธเลยพี่แค่จะถ่ายรูปก็ไม่ได้หรอ?”
ก็ถ้าพี่สันต์แค่ถ่ายรูปเฉยๆคงไม่อะไรหรอกแต่ถ่ายแล้วจะส่งมาให้ผมด้วยนี่สิแบบนี้มันต่างอะไรกับที่เขาเสนอมาให้ผมตอนแรกล่ะ
แต่นั่นแหละถึงปฏิเสธไปพี่สันต์คงจะหาข้ออ้างที่ทำให้ผมต้องยอมให้ได้มาอีก ผมเลยเลือกที่จะพยักหน้าเบาๆแล้วตอบตกลงแทน “ก็ได้ครับ”
เราเดินตามไปทางสะพานเรื่อยๆ พี่สันต์หยุดถ่ายรูปวิวกับรูปทะเลตลอดทางและไม่วายยังบังคับให้ผมยิ้มใส่กล้องเขาอีก ผมก็ได้แต่ฉีกยิ้มเขินๆให้เขาก่อนจะเบนหน้าหนีทำทีดูคลื่นทะเลที่กระทบกับเสาสะพาน
มองกล้องนานทีไรสายตาก็ชอบเผลอเบนมองคนหลังกล้องทุกที
น้ำตรงนี้เป็นสีฟ้าเหมือนอย่างในรูปที่ผมเห็นเป๊ะๆ มันสวยมากจนผมไม่สามารถบรรยายออกมาได้แค่ได้มองก็รู้สึกสดชื่นสบายใจขึ้นมาแล้ว
พี่สันต์บอกว่าตรงสุดปลายสะพานจะมีทางลงเป็นบันไดทั้งสองฝั่ง ตรงนั้นจะมีไว้สำหรับเวลาเรือจะจอดหรือเข้าฝั่งก็จะมาจอดตรงบันไดตรงนั้น ตอนนี้ไม่มีเรือจอดอยู่เราก็สามารถเขาไปดูไปถ่ายรูปได้แต่พี่สันต์บอกว่าถึงจะมีเรืออยู่ก็ยังสามารถเข้าไปได้เพราะเรือไม่ได้จอดขวางอะไรมากนัก
อ้อ! แต่ระหว่างทางก็จะมีสะพานอยู่นะทางซ้ายมือที่ผมเห็นมีคนมายืนตกปลากันประมาณสามสี่คนด้วย
ตอนเดินอยู่ก็สัมผัสได้ถึงลมทะเลที่พัดผ่านเข้ามากระทบผิวตลอดเวลา จากตอนแรกที่อาบน้ำสบายตัวแล้วตอนนี้ก็เริ่มจะเหนียวตัวขึ้นมาอีกครั้ง ลมตรงนี้พัดดีมากจนทำเอาคนขี้ร้อนอย่างผมเย็นสบาย พัดทั้งกลิ่นน้ำทะเลและพัดไอแดดอ่อนๆเข้ามาจนตอนนี้ผมที่เคยเป็นทรงก็ยุ่งเหยิงจนถ้าคนอื่นเห็นอาจจะตลกแล้วหัวเราะขำเลยล่ะ
ผมมองไปทางพี่สันต์ที่เดินนำหน้าไปอย่างผ่อนคลาย ลมพัดเอาเสื้อผ้าและเส้นผมเขาปลิวไสวแต่อย่างนั้นก็ยังเป็นพี่สันต์ที่ดูเท่ห์เสมอในสายตาของผม
“ถึงแล้วล่ะ” เขาหันมาบอกตอนที่ผมกำลังเผลอจ้องเขาอยู่ “มองพี่ตาค้างเลย มีอะไรหรือเปล่า?”
“อ่า...ไม่ครับไม่ ผมแค่เห็นพี่สันต์ดูผ่อนคลายแล้วก็คิดว่าดีจัง”
“หืม? ทำไมล่ะ?” อีกคนขมวดคิ้วสงสัย ผมจึงยิ้มกว้างแล้วเดินไปหยุดยืนข้างๆเขา
“ก็ตอนที่อยู่โรงแรมพี่สันต์ดูเหนื่อยๆแต่พอได้มาเดินชายหาดพี่ก็ดูผ่อนคลายขึ้นเยอะเลย” ผมสังเกตตั้งแต่ที่เขาอยู่ในห้องพักแล้วว่าพี่สันต์
ดูเพลียๆ คงจะเพลียจากการทำงานของเขานั่นแหละ
“อืมมม...พี่ไม่เห็นรู้ตัวเลย” เขาว่าก่อนจะหันมายิ้มให้ผม “ช่างสังเกตจริงๆนะเรา”
“คงงั้นมั้งครับ”
“ไปนั่งตรงนั้นสิเดี๋ยวพี่ถ่ายรูปให้” พี่สันต์ชี้ไปตรงราวบันไดฝั่งซ้ายมือ บันได้ทอดลงไปถึงใต้น้ำประมาณสามสี่ขั้นที่น้ำขึ้นถึง ถ้าคนที่กลัวน้ำทะเลมาเห็นคงจะใจแกว่งไม่น้อย
ผมทำตามพี่สันต์บอกให้เขาถ่ายรูปผมสี่ห้ารูป ผมจึงตัดสินใจเอ่ยเรียกเขา “มาถ่ายด้วยกันสิครับ” ผมชักชวนอีกคน
“คิดว่าจะไม่ชวนกันซะแล้ว”
เขาว่ายิ้มๆเดินมาหยุดยืนข้างผมก่อนจะโอบรอบไหล่ผม หน้าเราสองคนแนบกันเพราะมุมกล้องที่แคบ พี่สันต์ฉีกยิ้มให้กล้องพอผมเห็นก็ฉีกยิ้มตามเขาทั้งที่สายตายังคงมองรอยยิ้มเขาอยู่เลย....
แชะ!
เสียงชัตเตอร์ดังปลุกให้ผมต้องหันไปมองกล้องด้วยหน้าเหวอๆซึ่งตอนนั้นพี่สันต์ก็กดถ่ายรูปรัวๆไปแล้ว หน้าผมต้องออกมาตลกแน่ๆเลย
พี่สันต์ผละตัวออกจากผมแล้วเอาโทรศัพท์ไปดูรูปคนเดียว จากนั้นเขาก็ยิ้มขำทำให้ผมต้องเดินเข้าไปหา
“ผมขอดูด้วยครับ”
อีกคนส่ายหน้าล็อคหน้าจอโทรศัพท์ทันทีที่หันมาหาผม เขาเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเรียบร้อย
“ค่อยดูตอนที่พี่ส่งให้”
“..พี่สันต์.....”
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิพี่ไม่แกล้งเราหรอกน่า”
ผมพยักหน้าอย่างจำยอม ถ้าเขาว่าแบบนั้นก็คงต้องรอดูตอนเขาส่งมาให้นั่นแหละ
{----------♥----------}
จะพยายามลงทุกวันเด้อเพื่อไม่ให้ขาดอรรถรส
วันนี้ขอลาไปสั้นๆด้วยคำว่า ขอบคุณค่าาาา