GHOST Update Chapter 40 [08/06/61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: GHOST Update Chapter 40 [08/06/61]  (อ่าน 16721 ครั้ง)

ออฟไลน์ longtangGenYaoi

  • ลองแต่งสายพันธุ์วาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: GHOST Update Chapter 28 [11/05/61]
«ตอบ #30 เมื่อ10-05-2018 23:00:52 »

ตอนที่ 28
Appointment

แต่งโดย : Ppigotexo
ลงวันที่ 11/05/61

หน้าแรก
ตอนก่อนหน้า
ตอนถัดไป

ฝีเท้านับสิบย่างก้าวเข้าไปในอาณาบริเวณของนักล่าปีศาจ หัวหน้าตระกูลและเหล่าลูกน้องมากความสามารถต่างพากันมาประชุมโดยพร้อมเพรียง พวกเขาให้เกียรติซึ่งกันและกันเสมอ ถึงแม้ผู้นำไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมได้ก็มักจะมีตัวแทนมารับเรื่องแทนทุกครั้งไป

ห้องรับรองสวยหรูถูกเปิดออกเพื่อต้อนรับเหล่าแขกผู้มาเยือน ราชาปีศาจนั่งรออย่างสงบเสงี่ยมพลางยิ้มรับกับคำทักทายของผู้นำตระกูล ผู้เป็นที่รู้จักและน่าเกรงขามในหมู่มนุษย์มีความสามารถและปีศาจ แต่อีกมุมหนึ่งเขาก็เป็นที่รักและหมายปองของใครอีกหลายๆคนเช่นกัน

“ยูคยอม...คิดยังไงให้ฉันมานั่งตรงนี้เนี่ย” ยองแจเอนตัวเข้าไปใกล้โกสท์พลางกระซิบกระซาบเสียงเบา

“หรือนายจะมานั่งตรงนี้ล่ะ” ว่าพลางตบตักตนเองเบาๆ เด็กมัธยมเห็นดังนั้นก็ได้แต่นึกก่นด่าในใจ ในสถานที่แบบนี้มันสมควรทำแบบนั้นเสียที่ไหน...
ยูคยอมกวาดสายตามองรอบห้องประชุม แขกที่เชิญไปนั้นมาถึงเกือบหมดแล้ว มีเพียงเก้าอี้ของอาร์เชอร์เท่านั้นที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาเจ้าของตำแหน่ง โกสท์ขมวดคิ้วมุ่นอย่างนึกสงสัย มีความเป็นไปได้น้อยมากที่พลธนูจะมาสายนอกเสียจากมีเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น...

“อาร์เชอร์ล่ะ” ยูคยอมเอ่ยถามฮันเตอร์ข้างกายตน เขามั่นใจว่าสั่งให้ส่งบัตรเชิญให้แก่พลธนูแล้ว

“ไม่มีการติดต่อหรือตอบรับจากทางอาร์เชอร์เลยครับนายท่าน” ตอบกลับโกสท์ไปด้วยความสุภาพนอบน้อมพร้อมโค้งทำความเคารพ

“ขาดการติดต่องั้นหรือ...” ยูคยอมพึมพำกับตนเองเบาๆก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับเหล่าหัวหน้าและผู้นำตระกูลที่ตนได้เชิญมา

“น่าเสียดายที่อาร์เชอร์นั้นชักช้าเราจึงมีความจำเป็นต้องเริ่มการประชุมก่อน”

ยูคยอมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองเพื่อลดความประหม่าให้แก่ผู้ฟัง

ผู้นำตระกูลและเหล่าผู้ติดตามที่หน้าตาเปลี่ยนไปจากหลายปีก่อน บ้างอายุมากขึ้น บ้างเกิดการปรับเปลี่ยนตัว ยูคยอมมองตัวแทนจากตระกูลเมจิสพลางทำหน้าฉงน

“เจ้าคือผู้นำคนใหม่ของเมจิสหรือ”

“มิได้นายท่าน ข้าเป็นเพียงผู้นำชั่วคราวเท่านั้น” เสียงแหบพร่าเอ่ยลอดหมวกใบใหญ่ที่ปิดคลุมใบหน้าของเขาไว้แทบทั้งหมด

“ข้าจะคุยกับเจ้าต่อหลังการประชุม เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ ข้าอยากทราบกำลังพลที่พวกเจ้ามี”

ยูคยอมเริ่มเปิดประเด็นขึ้นก่อนหันหน้าไปสบตากับแขกคนอื่นๆแขนถูกยกขึ้นกลางอากาศก่อนเจ้าของจะลุกขึ้นกล่าว

“รายงานแด่นายข้า ทางเมจิสนั้นมีกำลังรบฝีมือดีสองร้อยคนและพร้อมให้เคลื่อนพลได้ทุกเมื่อนายข้า” น้ำเสียงแหบพร่าแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นเอ่ยขึ้น

หมวกใบโตถูกถอดออกเผยโฉมหน้าที่ถูกปิดบังไว้ เส้นผมสีเทาปลิวสะบัดตามแรงดึงก่อนร่วงลงปรกข้างแก้ม นัยน์ตาของยองแจวูบไหวไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกคุ้นเคยกับใบหน้านั้นทำให้เขาค้างคาใจ เหมือนรู้จักแต่กลับไม่รู้จัก ราวกับเคยพบแต่กลับนึกคิดไม่ออก

“ทางฮันเตอร์มีราวๆสามร้อยคนครับนายท่าน” ตามมาด้วยตัวแทนจากนักล่าปีศาจที่เข้ามารายงายแทนหัวหน้าฮันเตอร์ซึ่งออกไปปฏิบัติภารกิจสำคัญ

“ช่วงนี้แวร์วูฟตัวเมียต้องเลี้ยงดูเด็กเกิดใหม่จึงรวมกำลังได้เฉพาะตัวผู้ คงมีราวๆเจ็ดสิบตัวได้ครับเจ้านาย”

เจบีรายงานเจ้านายด้วยสีหน้าตึงเครียด เขารู้สึกผิดที่ไม่สามารถดึงลูกน้องเข้าร่วมสงครามได้ทั้งหมด แต่ในฐานะหัวหน้าแล้วเขาจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับทายาทด้วยทุกสายตาจับจ้องไปยังผู้รายงานลำดับสุดท้าย

นัยน์ตาสีเลือดจ้องมองราชาปีศาจด้วยความเกรงขามยิ่ง ยืนขึ้นก่อนโค้งทำ-

ความเคารพแก่ยูคยอมก่อนเอ่ยปากกล่าวคำรายงาน

“กองกำลังโกสท์หนึ่งพันตนพร้อมรับใช้ท่านราชาปีศาจค่ะ หากต้องการมากกว่านี้เชอร์รีนสามารถหาให้ท่านได้ โปรดบัญชา” โกสท์สาวแย้มรอยยิ้มก่อนนั่งลงตามเดิม

โกสท์ระดับสูง ‘เชอร์รีน’ มารดาของผีดิบชนชั้นสูง ‘มาร์ค’ ผู้ได้รับความไว้วางใจจากราชาปีศาจให้รวบรวมกองกำลังโกสท์ หลานสาวผู้เป็นที่รักยิ่งเพียงคนเดียวของยูคยอม

“เรามีกองกำลังทั้งหมดห้าร้อยคนกับอีกหนึ่งพันเจ็ดสิบตน คาดว่าคงเป็นรองทางนั้นอยู่ไม่น้อย พวกเจ้าพร้อมฝากชีวิตไว้กับข้าหรือไม่” ยูคยอมเอ่ยถามบุคคลใต้บัญชา น้ำเสียงที่หนักแน่นและแข็งแกร่งส่งผลให้ผู้ฟังเกิดความฮึกเหิมและคล้อยตาม

ไร้ซึ่งเสียงคัดค้าน เหล่าผู้นำต่างก้มโค้งให้กับเจ้าแห่งปีศาจ พวกเขาไม่มีเหตุผลที่ต้องขัดใจยูคยอมเลยแม้แต่น้อย เป็นเวลาร่วมสามร้อยปีมาแล้วที่โกสท์ตนนี้ดำรงตำแหน่งอันสูงศักดิ์ เขาเอาใจใส่และคอยดูแลบุคคลใต้บัญชาเสมอไม่แปลกเลยที่แม้แต่มนุษย์ยังจงรักภักดี

“ข้าไม่ชอบแผนซับซ้อนวุ่นวายและเกลียดการลอบกัด สงครามครานี้ไร้ซึ่งแผนการใดๆ จงบุกทะลวงเข้าไปซึ่งๆหน้าพร้อมกับข้า” ทั้งห้องเงียบสงัดจนแทบหยุดหายใจ ความตื่นเต้นที่พุ่งขึ้นสูงทำให้ยองแจเผลอกำมือแน่น

“ยามอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า จันทราเด่นชัดเต็มดวง เราจะล้างเผ่าพันธุ์พวกมัน” ดวงตาสีเลือดเรืองวาบก่อนกลับเป็นปกติ ทุกคนตีหน้าฮึกเหิมมีเพียงเมจิสที่แย้มยิ้มด้วยความสุขสม

นับถอยหลังคืนพระจันทร์เต็มดวง

อีกสี่วัน

 “จงมารวมตัวในที่แห่งนี้เมื่อถึงเวลา ดูแลรักษาตัวเจ้าให้ดี ข้าหวังพึ่งกองกำลังของข้าเสมอ” โกสท์ยูคยอมยืนขึ้นพร้อมกับโค้งให้บุคคลใต้บัญชาทำเอาพวกเขารีบลุกขึ้นก้มโค้งให้แทบไม่ทัน ราชาของพวกเขานี่ทำอะไรไม่เคยนึกถึงตำแหน่งของตนเองเอาเสียเลย

“เจ้านายไม่ต้องโค้งให้พวกผมหรอกครับ” เจบีเอ่ยขึ้นหลังโค้งให้เจ้านายจนหัวแทบจะติดพื้น

“ฉันโค้งให้เหล่าผู้นำตระกูลไม่ได้โค้งให้แก” ยูคยอมเอ่ยอย่างเย็นชาแล้วทิ้งกายลงบนเก้าอี้หรูดังเดิม เจ้าหมาน้อยที่ถูกเจ้านายหยอกได้แต่ทำหน้าหงิกงอพลางบ่นงึมงำไม่หยุด

“ท่านบอกว่าจะพูดคุยกับข้าต่อหลังการประชุมใช่หรือไม่นายข้า” ผู้นำแห่งเมจิสเอ่ยท้วงขึ้นหลังเห็นราชาปีศาจทำท่าว่าจะลืมเรื่องที่พูดไว้ก่อนหน้านี้

“บอกชื่อของเจ้าแก่ข้าเมจิส” ยูคยอมออกคำสั่งแก่ผู้ใต้บัญชาที่เพิ่งพบพาน

“ข้ามีนามว่าแจซอกครับนายข้า” แย้มรอยยิ้มให้แก่ผู้สูงศักดิ์ก่อนเกลี่ยเส้นผมที่ร่วงลงมาปรกตาให้เบี่ยงหลบไปด้านข้าง

ยองแจจ้องมองเมจิสหนุ่มไม่วางตาจนแจซอกต้องหันไปส่งยิ้มทักทาย เด็กหนุ่มส่งยิ้มกลับอย่างเคอะเขินเมื่อถูกอีกฝ่ายจับได้ ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับคนสำคัญของตนเองทำให้เขาอยากรู้จักกับเมจิสคนนี้

“แจซอกงั้นหรือ ชื่อของเจ้าช่างคล้ายคลึงกับผู้นำคนก่อนเสียเหลือเกิน” ยูคยอมเอ่ยพลางยิ้มออกมา

“คนที่ท่านกล่าวถึงเขาคือพี่ชายของข้า ช่างน่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้มาพบท่านนายข้า” แจซอกเอ่ยอย่างสุภาพ แม้น้ำเสียงจะแหบพร่าฟังดูน่ากลัวแต่แววตากลับแฝงไปด้วยความอบอุ่น

“พี่ชายของเจ้าไปไหนเสียล่ะแจซอก”

“ในห้องขังอับแสงปิดผนึกหนาแน่น ลึกลงไปใต้ตัวปราสาทของลอร์ดเซซิลเลีย พี่ชายข้าถูกกักขังไว้ที่นั่น” ยามกล่าวถึงพี่ชายแววตาของผู้พูดนั้นช่างเศร้าหมองและเจ็บปวด

“พี่ของข้าจูซอก” ยองแจวางมือลงบนตักของยูคยอมก่อนออกแรงบีบ

โกสท์หันมองเหยื่อของตนที่แสดงอาการแปลกๆ ก่อนหน้านี้เด็กน้อยของเขาทำตัวว่าง่ายมาโดยตลอด มีเรื่องอะไรทำให้เขาลำบากใจหรือตื่นตระหนกอย่างนั้นหรือ...

“จูซอก...” ยองแจเอ่ยเสียงแผ่วเบา

ราวกับมีเข็มแหลมนับพันทิ่มแทงหัวใจให้เจ็บแปลบ ชื่อที่แสนโหยหาและคิดถึงมาตลอดสิบปี บุคคลที่ชเว ยองแจอยากพบเจอมาโดยตลอด คุณพ่อของเขา ชเว จูซอก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป บนโลกใบนี้จะมีคนชื่อจูซอกสักกี่คนกัน นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกนั่งอยู่เงียบๆ

“เราจะนำพาจูซอกกลับมาหาเจ้าแน่แจซอก จงเชื่อมั่นและทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด” ยูคยอมเอ่ยก่อนเอื้อมมือไปลูบไล้เรือนผมยาวสลวยของเมจิสเบาๆ แจซอกยิ้มรับความอบอุ่นที่โกสท์มอบให้

เมจิสหนุ่มหันมองยองแจที่นั่งติดกับยูคยอม แววตาอ่อนโยนฉายชัดพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม มือใหญ่เลื่อนไปดึงมือของเด็กหนุ่มมากุมไว้ “เธอทำให้ฉันคิดถึงใครบางคน”

“เอ๊ะ?” ยองแจทำหน้าฉงนแต่ก็ไม่ได้ชักมือกลับแต่อย่างใด

“หลานชายของฉัน ตอนนี้เขาคงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอแน่ เธอจะเรียกฉันว่าคุณอาได้ไหม?” แจซอกเอ่ยถามยองแจด้วยน้ำเสียงเว้าวอน เด็กน้อยที่เขารักนั้นถูกแยกตัวไปจากเขาทันทีหลังพี่ชายถูกจับตัวไป

“ได้สิครับ...คุณอาแจซอก เอ๊ะ...” ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกเศร้าเลยแต่น้ำตากลับไหลรินลงมาเปื้อนแก้มทั้งสองข้างจนต้องรีบเช็ดมันออก

“ร้องไห้ทำไม” ยูคยอมถามพลางเอื้อมมือไปปาดน้ำตาออกจากแก้มให้อีกคน

“ไม่รู้อ่ะ น้ำตามันไหลเอง ฮือ” พูดไปน้ำตาก็ไหลไปจนต้องฟุบหน้าลงกับไหล่กว้างของยูคยอม โกสท์ปล่อยให้ยองแจร้องไห้โดยไม่คิดห้ามอะไร
สายตานับสิบภายในห้องจ้องมองไปยังยองแจที่ก้มหน้าร้องไห้อยู่ ยูคยอมส่งสายตาดุดันให้กับชายผู้เพ่งมองมายังเด็กน้อยของเขาจนพากับหลบแทบไม่ทัน

“ข้ามีธุระต้องการพูดเพียงเท่านี้ ส่วนอาร์เชอร์ข้าจะแจ้งให้พวกเขาทราบด้วยตัวข้าเอง” เอ่ยกับบุคคลในห้องพร้อมลูบหัวเด็กน้อยข้างๆตนเองไปด้วย
ฮันเตอร์และเมจิสที่อยู่ในห้องมองหน้ากันก่อนพร้อมใจเดินออกไป ปล่อยให้ปีศาจได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันตามประสาคนรู้จัก มาร์คที่ยืนรออยู่หน้าประตูเมื่อเห็นคนเดินออกมาก็รีบโผล่หน้าเข้าไปทันที ถึงเขาจะเป็นหลานของราชาปีศาจแต่ก็ไม่อยากเป็นเผ่าพันธุ์เดียวโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางมนุษย์หรอก...

“แตงเป็นไรอ่ะ” เดินเข้าไปใกล้เพื่อนสนิทก่อนก้มลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน

“เอินนนนนน” โผเข้ากอดมาร์คสุดตัวจนอีกฝ่ายเซเล็กน้อย ใบหน้าคมคายซุกไซร้ลงกับหน้าอกของเพื่อน น้องเอินเห็นแบบนั้นก็ได้แต่กอดคนขี้แยเงียบๆ คงมีเรื่องที่ทำให้ยองแจไม่สบายใจสินะ

“ร้องไห้งอแงอีกแล้ว พี่แตงของน้องเอินต้องเข้มแข็งสิ ให้เกียรตินัวร์ที่วางอยู่ข้างๆหน่อย” มาร์คประคองหน้าเพื่อนขึ้นก่อนจับส่ายไปมาให้เลิกร้องไห้  ยองแจที่ถูกแกล้งได้แต่สูดน้ำมูกพร้อมเบะปากใส่น้อยๆ

“รักกันจังเล๊ย!” เจบีที่เห็นภาพน่ารักงุ้งงิ้งของแฟนตัวเองกับแฟนเจ้านายสวีทกันก็อดหึงไม่ได้

“รักมาก รักสุดๆ รักๆๆๆ” เด็กน้อยผีดิบพูดประชดแวร์วูฟไปชุดใหญ่ก่อนดึงตัวยองแจเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิม ยูคยอมที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่หัวเราะออกมา เด็กพวกนี้เล่นอะไรของเขากัน

ฮึๆ” เชอร์รีนหัวเราะชอบใจก่อนยกสมาร์ทโฟนขึ้นมารัวช็อตเด็ดเก็บไว้ เธอมีภาพลูกชายของตนเองกับเพื่อนมากจนสามารถสร้างเป็นแกลเลอรี่ได้เลยทีเดียว

บางทีเธออาจเป็นสาววาย...

ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรงจนมันกระแทกผนัง ร่างโชกเลือดของเดม่อนฮันเตอร์ที่พยุงเพื่อนให้เดินเข้าไปข้างในล้มลงกับพื้น สองร่างนอนแน่นิ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับบุคคลที่อยู่ในห้อง

“แจ็คสัน!” คลอสที่ยืนหลบอยู่มุมห้องตะโกนขึ้นเสียงดังก่อนปราดเข้าไปพยุงตัวเดม่อนฮันเตอร์ขึ้นมากอดไว้

มือตรวจสอบบาดแผลบนร่างกายของฮันเตอร์ด้วยหัวใจอันรวดร้าว แผลมากมายที่เกิดจากการระเบิดรุนแรงรวมถึงนิ้วนางข้างขวาที่ขาดวิ่นจนเห็นผิวกระดูก พิกซีแนบหูตนเองลงกับอกข้างซ้ายของแจ็คสัน

 เสียงหัวใจเต้นแผ่วเบารวมทั้งสติที่เริ่มขาดหายของอีกฝ่ายยิ่งทำให้เขาร้อนรนจนแทบคลั่ง น้ำตาหลั่งไหลพรั่งพรูออกมาจนอาบแก้ม ช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

“เห้ยแจ็ค” เจบีปราดเข้าไปหาก่อนกลับคืนร่างหมาป่า

แวร์วูฟรีบเลียสมานแผลให้กับเพื่อน และคอยเขย่าตัวไม่ให้คนเจ็บเผลอหลับ เลือดสีสดหลั่งไหลออกมาจากบาดแผลมากเสียจนน่ากลัว เจบีเหลือบมองร่างข้างๆที่แจ็คสันแบกกลับมา โชคดีที่บาดแผลของเขานั้นไม่สาหัสเท่าฮันเตอร์จอมวางท่า แต่ก็ช้าไม่ได้เช่นกัน

“คลอสรีบปลุกแจ็คสันเร็วเข้า” เจบีบอกกับพิกซีพร้อมรักษาแผลให้เพื่อนไปด้วย เลือดนั้นหยุดไหลและแผลบางจุดเริ่มสมานตัวแล้ว มีเพียงนิ้วมือที่ขาดเท่านั้นที่แวร์วูฟไม่สามารถรักษาให้ได้...

“แจ็คสันครับ ตื่นสิแจ็คสัน! ตื่นนะไอ้เตี้ย! บอกให้ตื่นไง! ฮึก...ฮือ” เขย่าร่างของฮันเตอร์ที่ยังคงนอนนิ่ง คลอสกุมมือของอีกคนแน่นพร้อมน้ำตาที่ยังคงหลั่งไหลไม่หยุด

“ไหนบอกจะอยู่กับผมนานๆไง ฮึก ผมเกลียดแจ็คสันแล้ว” พูดไปก็ทุบตีร่างของเดม่อนฮันเตอร์ไป

“โอย...ตัวเองทำไมแรงเยอะจัง” น้ำเสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นพร้อมเลื่อนมือไปปาดน้ำตาให้พิกซีตัวน้อยของเขา ความจริงแล้วแจ็คสันนั้นรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เขาต้องการดูปฏิกิริยาของคลอสจึงได้แกล้งล้มก็เท่านั้น

“คุณครับ คุณ!” ยองแจที่เห็นคนเจ็บอีกคนเริ่มขยับตัวก็ร้องเรียกเสียงดังให้เขารู้สึกตัว

สองขาก้าวเดินเข้าไปพยุงตัวอีกฝ่ายขึ้นมาก่อนจะนิ่งค้างไปเมื่อได้เพ่งมองใบหน้านั้นใกล้ๆ

“เจ...ฮยอง”


ติดตามตอนต่อไป

ข้อฝากจากผู้แต่ง
1. ใครเล่นแท็กในทวิตเชิญตามมาที่ #ฟิคยจก
2. ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะคะ
3. นิยายเรื่องนี้อัพเดททุกวันศุกร์
4. แต่งโดย Ppigotexo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2018 00:07:00 โดย longtangGenYaoi »

ออฟไลน์ longtangGenYaoi

  • ลองแต่งสายพันธุ์วาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: GHOST Update Chapter 31 [18/05/61]
«ตอบ #31 เมื่อ17-05-2018 23:45:47 »

ตอนที่ 29
Countdown

แต่งโดย : Ppigotexo
ลงวันที่ 18/05/61

หน้าแรก
ตอนก่อนหน้า
ตอนถัดไป

“เจฮยอง...” เสียงสั่นเครือพร้อมน้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาที่ขอบตา คิ้วขมวดมุ่น มือบีบกำแน่น บุคคลในความทรงจำวัยเด็ก คนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอในสถานที่แบบนี้

คุณลุง...

“ย...ยองแจ” เขาโผเข้ากอดหลานชายไว้แน่น แม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยแผลและเลือดที่เริ่มหลั่งไหลออกมานั้นจะทำให้สติเลือนราง ได้เจอเสียที... ร่างของอาร์เชอร์ทรุดแล้วล้มนอนลงบนพื้นดังเดิมพร้อมกับหัวใจของยองแจที่บีบคั้น

“เจฮยอง เจฮยองจริงๆใช่ไหม ทำไมถึงได้...เจบี เจบีช่วยด้วย ฮึก เจบี ฮือ” ยองแจร้องเรียกหาแวร์วูฟเมื่อเห็นเลือดที่ไหลซึมออกมาจากบาดแผลของเจฮยอง

แวร์วูฟปราดเข้าไปหาคนเจ็บทันทีตามเสียงเรียกของผู้เป็นนายอีกคน ใช้หน้าดันแขนของเจฮยองเบาๆพอให้รู้สึกตัว ลิ้นหยาบแลบเลียปาดเอาเลือดสีสดเข้าปากไปโดยเร็ว น้ำลายของปีศาจหมาป่านั้นมีฤทธิ์ช่วยรักษาบาดแผล เลือดเริ่มหยุดไหลและแผลเริ่มสมานตัวแล้ว มีเพียงคนเจ็บที่ยังต้องคุมสติไว้ไม่ให้ดับวูบไป

“เจฮยองอย่าตายนะ อย่าเป็นอะไรไปนะ...” กุมมือคนเจ็บแน่นแล้วดึงมันมากอดไว้

“เด็กบ้าเอ๊ย แค่เสียเลือดมากไปเท่านั้นแหละ..ฉัน ม...ไม่ตายหรอก” ยกมือข้างที่ยองแจจับไว้ขึ้นไปหยิกแก้มแล้ววางลงบนพื้น

ใบหน้างอง้ำของเด็กหนุ่มฉายชัด กัดริมฝีปากสีสดกลั้นเสียงสะอื้นไว้ น้ำตาเจ้ากรรมไม่ยอมหยุดไหลจนตาเริ่มบวมช้ำ ทั้งที่รู้ว่าเจฮยองปลอดภัยแล้วแต่ดันหยุดร้องไห้ไม่ได้ เจบีที่เห็นยองแจเสียใจก็ใช้หัวไถไหล่อีกฝ่ายเบาๆ เลื่อนหน้าขึ้นไปซับน้ำตาให้แล้วเกยคางไว้บนหน้าขา

“ไอ้หมาบ้า” ยองแจพูดแล้วกอดหมับเข้าที่คอของแวร์วูฟทันที ทั้งโล่งใจและดีใจ อยากขอบคุณเจบีสักพันครั้ง หากไม่มีเจ้าหมาน้อยนี่ ตอนนี้เจฮยองอาจจะตายไปแล้วก็ได้

“ยองแจไม่ร้องนะครับ เจ้านายไม่สบายใจนะ” เจบีมุดหน้าเข้าไปในเสื้อตัวโคร่งของยองแจแล้วสะบัดขนจนอีกคนหัวเราะออกมา

“ไอ้หมาน้อยของฉัน น่ารักที่สุดเลย” กอดรวบรัดตัวเจ้าหมาจอมป่วนไว้ทั้งที่เจ้าตัวยังอยู่ในเสื้อของตนเองแล้วลูบหัวไปด้วยความเอ็นดูปนหมั่นไส้
โกสท์และผีดิบแอบกำมือแน่นอยู่เงียบๆ จ้องมองภาพของหนึ่งมนุษย์และหนึ่งปีศาจหยอกล้อกันด้วยความหมั่นไส้ยิ่งนัก แต่ครั้นจะมาหยอกล้อกันเองเพื่อแกล้งเอาคืนนั้น...มาร์คดันไม่ใช่รสนิยมของยูคยอมเสียด้วยสิ

“เห้ยไอ้หน้าตี๋ เลิกนอนเรียกร้องความสนใจจากหลานได้แล้วมึง!” แจ็ดสันเดินเข้าไปเตะเพื่อนต่างตระกูลเบาๆ เจฮยองอยากจะตอกกลับเหลือเกินว่าตัวนายเองก็แสร้งทำเป็นเจ็บหนักเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้พูดมันออกไป

“โอ๊ยไอ้สัด! โดนแผลกู” เจฮยองยกขาขึ้นถีบหน้าท้องแจ็คสันจนเจ้าตัวถอยหลังไปแทบไม่ทัน

คนเจ็บก่อนหน้านี้ยันตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วสำรวจร่างกายและบาดแผลไปด้วย ความจริงเขาเองก็ไม่ได้เป็นอะไรหนักมากหรอก เคยเจอที่มันสาหัสกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่พอเห็นหน้าหลานแล้วร่างกายมันดันอ่อนยวบจนขยับไม่ได้ หลานชายของเขานั้นโตขึ้นมากทีเดียว โตขึ้นมาเป็นเด็กหนุ่มที่ดีจริงๆ

“ทำความเคารพแด่หลานเขย” เจฮยองก้มโค้งทำความเคารพยูคยอมพร้อมคำแซวที่ทำเอายองแจหันไปมองคอแทบเคล็ด

“เจ-ฮา-ยอง” ดันตัวเจ้าหมาน้อยออกแล้วเดินไปแทงเข่าใส่หลังลุงขี้แซวก่อนจะนึกขึ้นได้ เจฮยองรู้ได้ยังไงว่ายูคยอมทำพันธะสัญญากับเขา...

“ท่านคือคนในครอบครัวของยองแจหรืออาร์เชอร์” ยูคยอมเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เจฮยองยิ้มรับพลางพยักหน้าแล้วลูบหัวหลานชายของตนเองไปด้วย “ข้าเป็นลุงของเขาน่ะท่านราชา”

“เห้ยเดี๋ยว! ผมงงไปหมดแล้วเนี่ยทำไมเจฮยองถึงรู้ว่าผมทำพันธะสัญญาแล้ว อีกอย่างคือเจฮยองเป็นอาร์เชอร์เหรอ...งั้นแม่ผมก็เป็นอาร์เชอร์ด้วยสิรวมถึงผมด้วย”

ยองแจโวยวายเป็นเด็กพลางเขย่าแขนคุณลุงไปด้วย

“อ้าว! อย่าบอกนะว่าเพิ่งรู้ ยองฮีไม่ได้บอกหนูเหรอ” ถึงจะหงุดหงิดที่ถูกคุณลุงเรียกว่าหนูแต่ก็ต้องเก็บประเด็นนั้นไปก่อนเพราะยังมีเรื่องที่สำคัญกว่า

“ฮื่อ แม่ไม่บอกอะไรผมเลย เล่ามาเดี๋ยวนี้นะเจฮยอง!” ดึงแขนเจฮยองให้มานั่งเก้าอี้ก่อนยืนกอดอกมองคุณลุงแท้ๆด้วยสายตาคาดคั้น

“เรียกฉันดีๆก่อนสิ” ต่อปากต่อคำกับหลานพลางยกมือขึ้นกอดอกบ้าง ยองแจเห็นดังนั้นก็ได้แต่กรอกตาไปมา นิสัยแบบนี้เหมือนใครกัน!...

“คุณลุงครับ เล่า!” พูดสุภาพได้เพียงสามคำก็กลับเข้าสู่โหมดปกติเสียแล้ว...

“เฮ้อ...หนูนี่เหมือนยองฮีจริงๆ...อ่ะ เล่าให้ฟังก็ได้ คืองี้ยองฮีบอกว่ากลับบ้านก็เจอราชาปีศาจยืนเฝ้าลูกชายตัวเองแล้ว แถมยังเห็นตราเหยื่อของหนูด้วยแล้วก็...จะเล่าอะไรก่อนดี” ยองแจอยากจะกระโดดกัดหูคุณลุงของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย อีกใจก็แอบตื่นตระหนกที่แม่ของตนเองมองเห็นยูคยอม

“เจฮายองงงงง! งั้นผมถามเอง รู้ไหมว่าทำไมแม่ไม่ค่อยกลับบ้านแล้วยังพวกเจ้าหนี้ที่คอยราวีผมอีก แม่ไปติดหนี้ใครมาจากไหน ติดหนี้เท่าไหร่ แล้วพ่อของผมล่ะ คุณพ่อไปไหน เอ้าตอบ!”

เจฮยองถอนหายใจกับคำถามชุดใหญ่จากหลานชาย เหมือนแม่มันจริงๆ...

“ทั้งหมด...คือการฝึกฝนหนูให้แข็งแกร่ง” เจฮยองเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงไปด้วยความจริงจัง

“ฝึกฝน?...” ยองแจขมวดคิ้วมุ่น เลื่อนเก้าอี้มานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเจฮยองแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ

“หนูรู้จักฮาร์ทใช่ไหม?” ทั้งห้องเงียบลงทันที แม้แต่แจ็คสันยังยืนนิ่งเงียบรอฟังเรื่องที่เพื่อนต่างตระกูลกำลังจะพูดต่อไปนี้

“ตามคำบอกเล่าของตระกูลเมจิส ผู้ที่ถือครองฮาร์ทบนโลกใบนี้มีทั้งหมดสี่คน คนแรกคือคุณทวด คนที่สองคือคุณปู่ของหนู คนที่สามคือคุณพ่อของหนู และคนล่าสุดก็คือตัวหนูเอง”

“คุณพ่อของผม...” เด็กหนุ่มนั่งนิ่ง รู้สึกตกใจเกินกว่าจะแสดงอารมณ์หรือท่าทางออกไปได้ สายเลือดแห่งเมจิสคือผู้ถือครองฮาร์ทอย่างนั้นหรือ...

“เพื่อหลีกเลี่ยงการตามล่าจากปีศาจ ยองฮีจำเป็นต้องแยกตัวหนูออกมาจากตระกูลเพื่อหลบซ่อนพลังที่พร้อมจะตื่นขึ้นมาได้ทุกเมื่อของหนู...และตอนนี้มันคงตื่นขึ้นมาแล้ว” เจฮยองหันมองเหล่าปีศาจที่รายล้อมตัวหลานชายก่อนถอนหายใจออกมา...มีแต่ระดับหัวหน้าทั้งนั้น หลานของเขานี่น่าภูมิใจจริงๆ

“แล้วพวกเจ้าหนี้...”

“อ๋อ คนของอาร์เชอร์เองแหละ คนที่พังป้ายตระกูลหน้าบ้านก็ลุงนี่แหละ” ยองแจกำมือแน่น นึกอยากโกรธคุณลุงของตัวเองแต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น

“ยองฮีรวยกว่าลุงเสียอีกจะไปติดหนี้ใครล่ะ แล้วที่เธอหายไปบ่อยๆก็ต้องการให้หนูฝึกการใช้ชีวิตและการเอาตัวรอดนั่นแหละ เผลอๆ ตามติดหนูตลอดแบบไม่ให้หนูรู้ตัวด้วยซ้ำ ยองฮีรักหนูจะตาย” ยองแจแทบทรุดลงไปกองกับพื้น ตลอดเวลาที่เขารู้สึกว่าตัวเองถูกจับตามองคนนั้นคือแม่ของตัวเองอย่างนั้นหรือ...

“แล้วพ่อ...” ยองแจสบตาเจฮยองก่อนเอ่ยถามเรื่องที่เขาอยากรู้มากที่สุด คนที่เขาโหยหามาตลอด คุณพ่อของเขา ชเว จูซอก

“พ่อของหนู...”

“อยู่ห้องขังชั้นใต้ดินในปราสาทของลอร์ดเซซิลเลีย” ร่างของเมจิสปรากฏขึ้นท่ามกลางความตื่นตะลึงของบุคคลที่อยู่ในห้องยกเว้นยูคยอม โกสท์นั้นรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าแจซอกแฝงตัวอยู่ในห้องนี้

“คุณอาแจซอก” ยองแจเรียกชื่อคนที่จู่ๆก็โผล่มายืนด้านหน้าเขา แจซอกยิ้มให้ยองแจ รอยยิ้มเปี่ยมสุขที่ได้เจอหน้าหลานชายอีกครั้ง

“หลานรักของฉัน ได้เจอเสียที เธอคือหลานของฉันจริงๆ” แจซอกเดินเข้าไปกอดแล้วลูบหัวยองแจเบาๆ
เด็กหนุ่มสับสนความรู้สึกไปหมด ไม่รู้จะดีใจที่ได้พบเจอกับคุณอาและคุณลุงแท้ๆของตนเองอีกครั้งหรือควรตื่นตระหนกที่คุณพ่อของตัวเองถูกจับไป

เพราะอะไรคุณพ่อถึงถูกจับตัวไปล่ะ

“ค...คุณอาครับ ทำไมพ่อถึงถูกจับไปล่ะ” ยองแจกอดตอบแจซอกด้วยใบหน้างุนงง วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นนะ สับสนไปหมดแล้ว...

“เพราะพลังของฮาร์ทยังไงล่ะ” แจซอกละอ้อมกอดออกแล้วแย้มรอยยิ้มเศร้าหมอง สายตาที่ว่างเปล่าก่อนหน้านี้เป็นประกายขึ้นราวกับกลับมามีชีวิตอีกครา

“คือ...ผมขอตัวสักแปบนะครับ” ยองแจลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนเตรียมเดินออกไปนอกห้อง

   มาร์คเดินเข้าไปขวางยองแจไว้ก่อนจะยื่นน้ำขวดใหญ่ให้ ผีดิบรู้ดีกว่าใครในห้องนี้ เมื่อถูกเรื่องราวถาโถมใส่สิ่งที่ทำให้ยองแจสงบลงได้คือการดื่มน้ำในปริมาณมากๆ ยองแจรับขวดจากมือของเพื่อนไปเปิดฝาแล้วกระดกดื่มน้ำเข้าไปจนหมด

“ไหวนะแตง” เอ่ยถามเพื่อนรักเบาๆอย่างเป็นห่วง น้ำตาที่หลั่งไหลออกมาทำให้รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย ไม่ชอบเห็นยองแจร้องไห้เลยจริงๆ...

“อื้อ ไหวอยู่แล้วนี่ใครล่ะ ชเว ยองแจเลยนะครับ” เช็ดน้ำตาให้เรียบร้อยแล้วหันกลับไปมองญาติของตนเองอีกครั้ง ในตอนนี้ทำได้แค่เข้มแข็งเท่านั้นแหละ

“โอเค สรุปคือตอนนี้พ่อของผมถูกลอร์ดเซซิลเลียจับตัวไปใช่ไหมครับ? เจฮยองแล้วแม่ล่ะ” หลังถามแจซอกจบก็หันไปถามเจฮยองต่อทันที

“ยองฮีอยู่คฤหาสน์ คงกำลังฝึกซ้อมอยู่ หนูจะไปหาแม่ไหมล่ะ” เจฮยองถามก่อนเดินเข้าไปลูบหัวหลานเบาๆ

“ไม่กลับไปเยี่ยมคฤหาสน์กับอาหน่อยเหรอ” แจซอกเดินเข้าไปจับข้อมือของหลานชายไว้แล้วมองด้วยสายตาออดอ้อน

เป็นครั้งแรกที่ยองแจรู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ในดงผู้สูงอายุ...

“ไม่ ยองแจต้องไปกับฉัน” เจฮยองจับข้อมืออีกข้างของยองแจแล้วดึงรั้งเข้าหาตัวแต่แจซอกต้านไว้

“ไม่! วันนี้หลานต้องกลับไปนอนบ้านฉัน”

แจซอกดึงกลับจนยองแจเอนไปตามแรง สงครามชักเย่อมนุษย์เกิดขึ้นท่ามกลางสายตาของราชาปีศาจที่ตอนนี้เริ่มจะหงุดหงิดเสียแล้ว...

“วันนี้ยองแจต้องนอนที่นี่ กับฉัน” ยูคยอมเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่กลับทำให้เมจิสและอาเชอร์ขนลุกเกรียวกราว ยองแจถอนหายใจเบาๆให้กับความดื้อรั้นของโกสท์ แต่เขาเองก็ตัดสินใจไม่ได้เหมือนกันว่าจะไปที่ไหน...

“ตามแต่ท่านต้องการนายข้า” เมจิสก้มโค้งให้โกสท์ก่อนหันไปส่งสายตาค้อนให้กับอาร์เชอร์ คนถูกค้อนมองกลับแบบไม่เกรงกลัว ยองแจที่เห็นลุงกับอาทะเลาะกันทางสายตาเหมือนเด็กๆก็ได้แต่กลั้นขำไว้

“แจ็ควันนี้กูนอนบ้างมึงนะ ห๊ะ อ่อ โอเค ใจมากเพื่อน”

แจ็คสันที่กำลังง้อคลอสอยู่ได้แต่ทำหน้าเหรอหรากับอาการพูดเองเออเองของเพื่อนสนิท ห้องรับรองนั้นมีมากพอสำหรับต้อนรับแขกจำนวนมากอยู่แล้ว แค่คนอาศัยเพิ่มคนสองคนเขาไม่คิดจะขัดหรอก

“พูดเองเออเองเสร็จสรรพแล้วไม่ต้องถามกูก็ได้มั้ง...”

“ผมเองก็...” แจซอกเอ่ยอย่างกล้าๆกลัวๆ เขาเองก็อยากอยู่กับหลานชายนานๆแต่เพราะนิสัยขี้อายของตนทำให้ไม่กล้าเอ่ยขอออกไป

“เชิญตามสบายเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ นานๆได้เจอหลานที” แจ็คสันพูดจบก็หันกลับไปง้อคลอสที่ตอนนี้ลดขนาดตัวประท้วงคนขี้แกล้งอยู่

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าค่อนไปทางสวยของแจซอกทันที อยากกล่าวขอบคุณแต่ดูเหมือนจะไม่สมควรหากไปขัดเวลาสวีทหวานของเดม่อนฮันเตอร์กับภูติตัวน้อยเข้า

“พี่แจ็คสัน พี่มีอะไรจะบอกยูคยอมหรือเปล่า ผมรู้สึกแบบนั้น” ยองแจเอ่ยถามเดม่อนฮันเตอร์หลังสัมผัสได้ถึงสิ่งแปลกประหลาดบางอย่าง

“เออว่ะ ลืมสนิทเลย ใจมากไอ้น้อง” แจ็คสันตบหน้าตัวเองเบาๆก่อนลุกขึ้นเดินไปหายูคยอมพร้อมอุ้มคลอสไปด้วย

“นายลืมรายงานผลฉันนะแจ็คสัน”

ยูคยอมท้วง ฮันเตอร์ก้มหัวขอโทษขอโพยยกใหญ่

“กำลังจะรายงานเนี่ยลุง ภารกิจเผาปราสาทควอเทียร์สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี มอดไหม้เป็นจุน ไม่เหลือแวมไพร์สักตน” คำรายงานทำให้โกสท์ยิ้มออก ไม่ผิดหวังเลยที่เรียกใช้งานแจ็คสัน

“ทำดีนี่”

“เดี๋ยวๆยังไม่จบ” แจ็คสันรีบพูดดักทางยูคยอมไว้ก่อนรายงานต่อ

“ผมทำนอกเหนือคำสั่งของลุงนิดหน่อย...ผมไปบุกกีซาสมาด้วย” ยูคยอมจ้องมองด้วยสายตาเรืองโรจน์ เขาเกลียดการฝ่าฝืนคำสั่งเป็นที่สุด แม้คนที่ฝ่าฝืนจะเป็นคนสนิทก็ตาม

“ฟังผม ฟังผมก่อนนะลุง ใจเย็นๆ” แจ็คสันรีบยกมือห้ามเกรงว่าโกสท์จะลุกขึ้นมาบีบคอตนเองเหลือเกิน หันไปขอความช่วยเหลือจากลูกศิษย์จนอีกคนต้องยอมช่วย

ยองแจเดินเข้าไปหายูคยอมที่นั่งกำมือแน่น หยุดยืนอยู่หน้าโกสท์แล้วส่งรอยยิ้มละมุนให้จนอีกฝ่ายขมวดคิ้ว ทั้งห้องเงียบลงอีกครั้งเมื่อเห็นการกระทำที่เด็กหนุ่มทำกับราชาปีศาจ

ยองแจนั่งตักยูคยอม...

“รายงานต่อสิ” และช่างน่าหมั่นไส้เหลือเกินที่ยูคยอมหายโกรธเอาเสียง่ายๆแถมยังอารมณ์ดีจนแทบจะยกคฤหาสน์อีกหลังให้เดม่อนฮันเตอร์ด้วยซ้ำ...

“เอ่อ...เราโดนฝ่ายนั้นปั่นหัว คงหวังตัดกำลังของทางเรา จดหมายเชิญไม่ถูกส่งให้กับอาร์เชอร์และคำสั่งปลอมถูกมอบหมายให้กับเจฮยอง คำสั่งบุกทำลายแวมไพร์สามตระกูลหลัก ตอนนี้ผมทำลายปราสาทกีซาสไปแล้ว แต่ยังมีแดมเพียร์จำนวนมากหนีรอดไปได้ ฮันเตอร์ที่ร่วมปฏิบัติภารกิจมีชีวิตรอดกลับมาทุกคนแต่บางคนได้รับบาดเจ็บสาหัสจากแรงระเบิดสะเก็ดเงิน...” แจ็คสันหยุดรายงานไปพักหนึ่งก่อนสูดหายใจเข้าปอด

“ผู้ที่มอบคำสั่งปลอมให้กับอาร์เชอร์คือพ่อบ้านของราชาปีศาจ คุณวอลเตอร์”


ติดตามตอนต่อไป

ข้อฝากจากผู้แต่ง
1. ใครเล่นแท็กในทวิตเชิญตามมาที่ #ฟิคยจก
2. ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะคะ
3. นิยายเรื่องนี้อัพเดททุกวันศุกร์
4. แต่งโดย Ppigotexo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2018 00:07:24 โดย longtangGenYaoi »

ออฟไลน์ longtangGenYaoi

  • ลองแต่งสายพันธุ์วาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: GHOST Update Chapter 31 [18/05/61]
«ตอบ #32 เมื่อ17-05-2018 23:55:15 »

ตอนที่ 30
Countdown two

แต่งโดย : Ppigotexo
ลงวันที่ 18/05/61

หน้าแรก
ตอนก่อนหน้า
ตอนถัดไป

ลึกลงไปใต้ดิน ห้องขังขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นเพื่อคุมขังมนุษย์เพียงคนเดียว โซ่ตรวนตรึงติดผนังดึงรั้งร่างของเมจิสไว้ไม่ให้หลบหนี ผ้าสีดำสนิทที่ถักทอขึ้นจากเส้นใยพิเศษผูกมัดพันธนาการดวงตาไว้ นานนับสิบปีที่ดวงตาคู่นั้นไม่เคยลืมตื่นขึ้น นับหลายพันวันที่จมอยู่กับความมืดมิดไร้ซึ่งแสงตะวันและจันทรา

ตึก ตึก

เสียงส้นแหลมของรองเท้ากระแทกพื้นพร้อมกับร่างของลอร์ดผู้สูงศักดิ์ คนถูกขังขยับตัวเล็กน้อยราวกับต้องการบอกกลายๆว่าอย่าได้เข้ามาใกล้ แวมไพร์สาวไม่สนใจท่าทีของเมจิส หล่อนเดินเข้าไปลูบไล้ใบหน้าหล่อที่หนวดเครายาวรกรุงรังจากการละเลยมันมานานนับสิบปี ดวงตาสีอำพันจ้องมองราวกับจะกลืนกินอีกฝ่าย หากเซซิลเลียไม่นึกถึงผลประโยชน์ของตนเธอคงดูดเลือดของเขาไปจนหมดแล้ว

“ท่านเมจิสของข้า” เอ่ยเรียกผู้ปิดตาไว้เบาๆพร้อมซบหน้าลงกับอกแกร่งของอีกฝ่าย

“ถอยไปซะ!” เอ่ยด้วยเสียงดุดันพลางดิ้นให้แวมไพร์ออกไปให้พ้นตัว

เซซิลเลียยอมผละออกแต่โดยดี ไร้ซึ่งการต่อต้านหรือตอแย จูซอกคือชายคนที่สองรองจากราชาปีศาจองค์ก่อนที่ทำให้แวมไพร์สาวตนนี้ยอมทำตามคำสั่งได้ ผ้าสีดำสนิทผูกปิดตาไว้คือตัวยืนยันว่าเมจิสคนนี้นั้นมีดวงตาที่ยากแก่การขัดขืน ผู้ครอบครองสองดวงตาแห่งตระกูลนักเวทย์ โรสอายและไดมอนอาย

“อีกไม่นานท่านจะได้เป็นอิสระเมจิสของข้า สงครามกำลังจะเริ่มในอีกสามวันข้างหน้า ข้าจะพาผู้ถือครองโรสอายอีกคนมาแทนที่ท่าน หลังจากนั้นท่านก็จะเป็นของข้า” เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเพ้อฝันสุดพรรณนา

จูซอกได้ยินดังนั้นก็ตื่นตระหนกเกินกว่าจะอยู่นิ่งได้ ผู้ถือครองโรสอายอีกคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากลูกชายของเขา พลังของเด็กคนนั้นตื่นขึ้นมาแล้วอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นสงครามที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้

เด็กน้อยของเขาต้องเข้ามาพัวพันด้วยแน่

“หยุดทำเรื่องบ้าๆซะเซซิลเลีย อย่าดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาพัวพันด้วย!” จูซอกหลีกเลี่ยงที่จะให้แวมไพร์รู้ว่าผู้ถือครองฮาร์ทอีกคนคือลูกชายแท้ๆของตนเอง

“ข้ารอไม่ไหวแล้วท่านเมจิส ท่านต้องเป็นของข้า ในเมื่อพลังนั้นตื่นขึ้นมาแล้วนั่นเท่ากับว่าความปรารถนาของข้าใกล้เป็นจริงแล้ว” เอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดีก่อนเข้าไปประทับจูบลงบนแก้มของจูซอกแล้วเดินกระแทกส้นรองเท้าออกไปจากห้องขัง

ความเงียบเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง เงียบสงัดกัดกินลึกลงไปในจิตใจ ความกระวนกระวายก่อตัวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ลูกชายสุดที่รักเพียงคนเดียวของเขา สิบปีแล้วที่ไม่ได้พบหน้า หลายพันวันแล้วที่อยากกอดรัดเด็กน้อยผู้สุดแสนคิดถึง หากต้องเจอคนที่โหยหาเพราะสงคราม เขาขอยอมตายเสียยังดีกว่า!

“ท่านจูซอก...” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นจากมุมหนึ่งในห้องขัง เมจิสนิ่งสงบลงก่อนเอ่ยถามแขกตนใหม่ “มีธุระอะไรกับข้า”

“โปรดวางใจเถิด ลูกชายของท่านเติบโตขึ้นมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถ เด็ดเดี่ยวและเข้มแข็ง เขาช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ดีจริงๆ” เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มหากแต่อีกฝ่ายนั้นไม่สามารถมองเห็นมันได้ ความกังขาเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ใช้เวทย์ บุคคลที่บอกกล่าวเรื่องของลูกชายให้เขาฟังนั้นคือใคร เพราะเหตุใดจึงล่วงรู้ความเป็นไปและพัฒนาการของเด็กน้อยได้

“ลูกของข้า...ท่านรู้จักหรือ”

“คุณหนูยองแจเป็นเด็กที่น่ารักยิ่งนักท่านเมจิส อย่าห่วงไปเลย เด็กน้อยของท่านตอนนี้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของราชาปีศาจองค์ปัจจุบัน โปรดทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด อย่ากังวลไป” ความสงสัยเพิ่มทวียิ่งขึ้นเมื่อกล่าวถึงราชาปีศาจ

“เพราะเหตุใดลูกของข้าจึงไปอยู่ภายใต้การคุ้มครองของท่านราชาได้” เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ยิ่งหนัก ถึงแม้จะกระวนกระวายแต่ก็ยังกักเก็บอาการไว้ได้ ช่างน่าเกรงขาม

“เหยื่อคนแรกผู้ทำพันธะสัญญากับราชาปีศาจคือลูกชายของท่าน”

ความตกใจเข้าเล่นงานเมจิสจนแทบคุมสติไว้ไม่อยู่ ราชาปีศาจเลือกลูกชายของตนเองอย่างนั้นหรือ...ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อเหลือเกิน

“ท่านคือใคร ได้โปรดบอกข้า”

“พ่อบ้านของราชาปีศาจ วอลเตอร์ ไคลน์”

-คฤหาสน์หลักของเมจิส-

ความเงียบคือนักแสดงนำในวันนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากหรือเคลื่อนย้ายตนเองออกไปจากห้องโถง บรรยากาศน่าอึดอัด

รังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาจากตัวของผู้นำปีศาจ แม้จะสงบลงจากเมื่อวานมากแล้วแต่ก็ยังคงอารมณ์หงุดหงิดไว้อยู่ วินาทีที่เรื่องของผู้ทรยศถูกรายงานแก่ยูคยอม คฤหาสน์ของหัวหน้าเดม่อนฮันเตอร์ก็มอดไหม้เป็นจุลไปเกือบครึ่งหลัง!

หลังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นพวกเขาทั้งหมดได้ย้ายร่างตนเองมาอยู่ที่คฤหาสน์หลักของตระกูลเมจิสซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งกบดานเก่านัก ทำไมจึงเลือกสถานที่นี้ในห้องไม่มีใครรู้นอกจากราชาปีศาจ เมื่อถามถึงเหตุผลก็ได้รับคำตอบกลับเพียง ‘เรื่องของฉัน’

“หนูหาทางปลอบหลานเขยหน่อยสิ” เจฮยองแอบเข้าไปกระซิบยองแจที่ตอนนี้นั่งกอดเข่าอยู่มุมห้อง ดูแล้วคงอยู่ในอารมณ์บ่จอยไม่ต่างจากราชาปีศาจเท่าไหร่

“ปลอบทั้งคืนแล้ว เหนื่อย!” บอกปัดคุณลุงแท้ๆของตนเองแล้วตั้งหน้าตั้งตาซบเข่าของตนเองต่อไป เจฮยองได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจ ไอ้คำว่าปลอบทั้งคืนเนี่ย...มันปลอบกันยังไงนะ

“ยองแจ” ยูคยอมเอ่ยเรียกเหยื่อของตนเองเสียงเบา คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นแล้วส่งสายตาค้อนให้

“อะไร”

“มานี่” ถอนหายใจพรืดใหญ่แต่ก็ยอมลุกเดินไปหาโกสท์จอมบงการ มองหน้าราชาปีศาจที่เรียกตนเองพลางยกมือขึ้นกอดอก หากไม่นับคนในครอบครัวยองแจคือคนแรกที่ไม่เกรงกลัวต่ออารมณ์รุนแรงของราชาปีศาจแถมยังกล้าต่อปากต่อคำด้วยเสียอีก

“ว่าไงล่ะ เดินมาแล้วเนี่ย จะทำอะไรอีก อย่าทำอะไรบ้าๆนะ ลุงกับอาของฉันอยู่ด้วย มาร์คกับเจบีก็อยู่พี่แจ็คสันกับคลอสก็อยู่” ยองแจพูดดักทางยูคยอมไว้ก่อนจะโดนทำอะไรแผลงๆแต่ห้ามไปก็เท่านั้น...

“เฮ้อ...” ผิดคาดที่ยูคยอมไม่ทำอะไร ได้แต่มองหน้ายองแจแล้วทอดถอนหายใจออกมา

เด็กหนุ่มจ้องมองราชาปีศาจด้วยความกังวล ยูคยอมไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ยองแจเดินเข้าไปหาโกสท์แล้วโอบกอดศีรษะของอีกฝ่ายไว้พลางโยกตัวไปมา เดม่อนฮันเตอร์และคนอื่นๆที่เห็นแบบนั้นก็เตรียมยกมือขึ้นปิดหูกันอย่างพร้อมเพรียง โกสท์นั้นไม่ชอบให้ผู้อื่นแตะเนื้อต้องตัว ยิ่งมายุ่มย่ามกับศีรษะนั้นถือเป็นข้อห้ามสูงสุดใครที่ทำแบบนั้นต้องโดนตวาดลั่นแน่...แต่ยองแจเป็นข้อยกเว้นอย่างนั้นหรือ

“นายเชื่อใจคุณวอลเตอร์มากเลยใช่ไหม” เอ่ยถามคนที่ตนเองกอดอยู่เบาๆ

“............”

“ฉันก็เชื่อใจคุณวอลเตอร์นะ นายเป็นราชานะยูคยอม จัดการกับอารมณ์ของตัวเองหน่อย คุณวอลเตอร์ต้องมีเหตุผลของเขาแน่ อีกอย่างพ่อของฉันอาจปลอดภัยถ้าเขาอยู่ใกล้ๆ” หนึ่งลุงกับหนึ่งอานั่งจับมือกันแน่นอย่างลุ้นระทึก การที่หลานของตนเองไปสั่งสอนราชาปีศาจแบบนั้นช่างเสี่ยงต่อการโดนปลิดชีวิตเหลือเกิน

ภาพที่พวกเขาเห็นเมื่อสิบปีก่อนยังคอยเตือนใจเสมอ ภาพของปีศาจเย็นชาผู้คร่าชีวิตได้อย่างไร้ปราณี

หากโกสท์จะทำเช่นนั้นพวกเขาพร้อมตายแทนหลานได้ทุกเมื่อ

“นายเป็นใครกันถึงกล้ามาสอนฉัน” พูดทั้งที่หน้ายังซุกอยู่กับอกของยองแจ เมจิสและอาร์เชอร์เตรียมพร้อมรับมือต่อสถานการณ์ไม่คาดฝันเสมอ กำอาวุธของตนเองแน่นด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ

“เป็นแฟนราชาปีศาจไง...”

พูดไปแล้วก็นึกอาย รีบคลายอ้อมกอดออกเตรียมเดินไปหลบอยู่มุมห้องดังเดิมแต่เดินออกไปได้ไม่ถึงก้าวข้อมือก็ถูกรั้งไว้

ยูคยอมออกแรงเพียงเล็กน้อยตัวของยองแจก็ลอยมานั่งตักตนเองแล้ว ใบหน้าคมคายฝังลงกับซอกคอของเหยื่อแล้วซุกไซร้จนคนถูกกระทำหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ เมจิสและอาร์เชอร์บีบมือกันแน่นกว่าเดิมที่เห็นภาพสุดแสนจะบรรยายของหลานชายตัวเอง หลานตัวน้อยๆของพวกเขา...นึกแล้วน้ำตาก็พาลจะไหลจนต้องมองเพดานกันทั้งคู่

“ยูคยอม...” เรียกเสียงแผ่วเบาราวกับต้องการห้ามแต่ดูเหมือนจะเป็นการยั่วยวนสำหรับอีกฝ่ายเสียมากกว่า

“ไม่ทำอะไรหรอก อยู่นิ่งๆก็พอ” ได้ยินแบบนั้นยองแจก็นั่งนิ่งแข็งเป็นหิน เขารู้ดีว่าในเวลาแบบนี้ขืนขยับตัวมากก็มีแต่จะเดือดร้อนตนเองเปล่าๆ

“บี๋ คุณตานี่ก็ใช่ย่อยนะ” มาร์คแอบหันไปกระซิบกระซาบกับเจบีซึ่งแน่นอนว่าคำพูดเหล่านั้นเข้าหูของโกสท์ทุกคำ

“เจบีเองก็ใช่ย่อยเหมือนกันแหละอี๋เอิน”

ยูคยอมหันไปยิ้มเจ้าเล่ห์ให้หลานชายของตนเองพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น น้องเอินที่เห็นคุณตาทำแบบนั้นก็ได้แต่เกร็งหน้าไว้ให้นิ่งสุดความสามารถแต่หูกลับแดงเรื่อเสียจนเจบีที่ยืนอยู่ข้างๆเผลอขำออกมา

ยองแจเห็นเพื่อนโดนแซวก็แอบขำในใจ ครั้นจะขำออกนอกหน้าก็เกรงว่าจะไม่เหมาะเพราะตนเองนั้นตกอยู่ในถานการณ์ที่ไม่ควรขยับตัวเสียด้วยสิ

“ยองแจ วันนี้ยองฮีบอกจะมาหาหนูนะ” เจฮยองที่เห็นว่าอารมณ์ของราชาปีศาจสงบลงแล้วก็บอกกล่าวเรื่องสำคัญกับหลานชาย

“จริงเหรอ! ทำไมไม่รีบบอกผมล่ะเจฮยอง!”

“เอ้อ...ก็เห็นว่ากำลังปลอบใจแฟนอยู่ ลุงก็ไม่อยากขัด” พูดออกไปแบบเก้กัง ว่าไงดีล่ะ ไอ้คนที่โสดมาตลอด 39 ปีมาเห็นภาพแบบนี้มันก็เขินแปลกๆ

“แล้วเมื่อไหร่จะปล่อยมือฉันสักที”

แจซอกพูดเสียงเบาพลางแงะมือของอีกคนที่เหนียวหนึบไม่ยอมปล่อยเสียที เขาเองก็สงสัยว่าเผลอไปจับมือกันตอนไหนนะ..

“ซอเร่~” พูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นปนหยอกแต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือ แค่อยากแกล้งเมจิสให้หงุดหงิดเล่นเท่านั้น นิสัยเสียของอาร์เชอร์คนนี้ที่แก้ไม่หายแม้อายุใกล้จะเหยียบสี่สิบเข้าไปทุกทีก็ตาม

“แกล้งเขาอีกละมึง ว่างเหรอ เอาเวลาไปหาเมียไหม” เดม่อนฮันเตอร์ที่ง้อคลอสไม่สำเร็จก็ได้แต่พาลเพื่อนเพราะความหมั่นไส้

“ก็หาอยู่” พูดแล้วเสมองออกไปนอกหน้าต่างปล่อยให้เมจิสจ้องมองมือของตนเองที่ถูกกุมอยู่...

นี่จีบป่ะเนี่ย...

ยองแจออกมาเดินเล่นนอกคฤหาสน์ รู้สึกเบื่อกับการที่ต้องเดินวกไปวนมาให้บ้านหลังใหญ่ๆ ถ้าให้เขาเลือก เขาสบายใจที่จะอยู่บ้านหลังเดิมมากกว่า แม้มันจะไม่ใหญ่โตมากแต่มันมีทุกอย่างที่จำเป็น...เด็กหนุ่มเดินเล่นไปเรื่อยๆ ไม่มีคนหรือปีศาจคอยคุ้มกันเพราะเจ้าตัวร้องขอว่าอยากมีเวลาอยู่คนเดียวเงียบๆบ้าง

ท่ามกลางผืนป่าเงียบสงบ แสงแดดสาดส่องกระทบใบไม้เรืองระยิบระยับราวกับอัญมณี ธรรมชาติมักสวยงามเสมอเมื่อห่างไกลจากความวุ่นวาย ยองแจเงยหน้าขึ้นพลางสูดอากาศเข้าไปจนเต็มปอด กลิ่นของเปลือกไม้ผสมกับกลิ่นผืนป่าดูเข้ากันอย่างน่าประหลาด ดื่มด่ำกับธรรมชาติไม่ทันไรก็มีคนมาขัดขวางไม่สิจะเรียกว่าคนก็คงไม่ถูก

“เห็นนายมีความสุขฉันก็ดีใจ” ยองแจหันมองตามเสียงที่จู่ๆก็โพล่งขึ้น มือกำชับนัวร์แน่นก่อนหยิบศรไทเทเนียมขึ้นมาเล็งไปยังเป้าหมาย เมื่อพบกับต้นเสียงก็เป็นอันต้องชะงักไป บุคคลที่ไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะมาอยู่ที่นี่ การมาเหยียบถิ่นศัตรูนั้นช่างถือเป็นความกล้าและบ้าบิ่นเสียจริง

“เกล...”

“อย่ากังวลไปเลยยองแจของฉัน”

เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างไปจากทุกที ยองแจยังคงง้างธนูไว้ ไม่ยอมลดการ์ดป้องกันลงแม้จะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายนั้นมาดี

“มีอะไร” เอ่ยถามแบบไม่อ้อมค้อม การที่เกลมาอยู่ที่นี่ได้นั้นมีเหตุจูงใจเพียงไม่กี่อย่างหรอก

“แค่มาหาเฉยๆ” ตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้ตัวยองแจ

   ยองแจยอมลดธนูลงแต่หยิบระเบิดสะเก็ดเงินออกมาถือไว้แทน ระเบิดที่ไม่เกิดอันตรายต่อตัวผู้ใช้ หากคนดึงสลักเป็นมนุษย์ ระเบิดที่ถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อจัดการกับแวมไพร์โดยเฉพาะ ถึงแม้เกลจะเป็นครึ่งแวมไพร์แต่ฤทธิ์ของมันก็สามารถทำให้เกิดบาดแผลสาหัสได้เช่นกัน

“ถอยไปไกลๆ” ยองแจยังคงระวังตัว ฮาร์ทในกายร่ำร้องผิดปกติ

มีบางอย่างที่แปลกไปจากเดิม ความลับมากมายที่สัมผัสได้จากตัวของแดมเพียร์ทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้

“ใจร้ายกับฉันเสียงจริงน้ายองแจของฉันเนี่ย” เกลยังคงเดินเข้าไปหายองแจเรื่อยๆจนระยะห่างระหว่างเขาสองคนลดลงเหลือเพียงสามเมตร

   อีกความสามารถหนึ่งของแดมเพียร์คือการลบล้างตัวตน พลังที่ได้รับมาจากบิดาผู้เคยดำรงตำแหน่งราชาปีศาจองค์ก่อน พลังที่โกสท์สายเลือดบริสุทธิ์ทุกตนมี คราแรกที่ได้พบกับยูคยอม เกลเลือกที่จะไม่ใช้พลัง แต่ครั้งนี้เขาต้องการความเป็นส่วนตัวจึงไม่แปลกเลยที่โกสท์จะจับสัมผัสของเกลไม่ได้

“เกล...นายกำลังทำอะไร นายคิดอะไรอยู่” ยองแจเอ่ยถามออกไปด้วยความอยากรู้ ปีศาจตนนี้ไม่ได้เลวอย่างที่เขาคิด ถ้าฮาร์ทไม่ได้หลอกเขา...

“ฉันจะทำให้ทุกอย่างมันกลับเป็นเหมือนเดิม” ร่างของเกลปราดเข้าประชิดตัวยองแจก่อนปัดระเบิดสะเก็ดเงินทิ้งอย่างไร้เยื่อใย คนถูกจู่โจมชะงักไปครู่หนึ่ง แดมเพียร์โน้มหน้าเข้าใกล้ก่อนกระซิบเอื้อนเอ่ยประโยคหนึ่งแล้วจากไป

‘ฉันต้องการนาย’

“เกล...”


ติดตามตอนต่อไป

ข้อฝากจากผู้แต่ง
1. ใครเล่นแท็กในทวิตเชิญตามมาที่ #ฟิคยจก
2. ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะคะ
3. นิยายเรื่องนี้อัพเดททุกวันศุกร์
4. แต่งโดย Ppigotexo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2018 00:07:50 โดย longtangGenYaoi »

ออฟไลน์ longtangGenYaoi

  • ลองแต่งสายพันธุ์วาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: GHOST Update Chapter 31 [18/05/61]
«ตอบ #33 เมื่อ18-05-2018 00:01:18 »

ตอนที่ 31
Countdown Three

แต่งโดย : Ppigotexo
ลงวันที่ 18/05/61

หน้าแรก
ตอนก่อนหน้า
ตอนถัดไป

ยองแจเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์พร้อมความสงสัย สิ่งที่เกลพูดนั้นคืออะไร เขาต้องการทำอะไรให้กลับเป็นเหมือนเดิม นึกอยากใช้พลังของโรสอายในการล่วงรู้ความลับนั้นแต่ดันติดที่เขาไม่รู้วิธีใช้มันนี่สิ คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกรอบ หากลองถามแจซอกอาจได้คำตอบ เมื่อตัดสินใจดังนั้นก็เดินตามหาคุณอาทันที

“คุณอาแจซอกครับ!” ตะโกนเรียกหาเพราะไม่ชินทางในคฤหาสน์ใหม่แถมที่นี่ยังลึกลับมากกว่าคฤหาสน์ของเดม่อนฮันเตอร์เสียอีก

“เรียกอาเหรอ” แจซอกที่เดินผ่านมาได้ยินเสียงหลานชายเรียกหาตนพอดีก็รีบวิ่งไปหา ไม่สิ เรียกว่าหายตัวถึงจะถูกกว่า

“อาเป็นคนจริงๆเหรอครับเนี่ย...” ยองแจเอ่ยถามแจซอก คงไม่มีคนปกติที่ไหนจู่ๆก็โผล่หน้ามาทันทีที่เรียกหาหรอก หากบอกว่าเมจิสเป็นลูกหลานของโกสท์เขาก็พร้อมปักใจเชื่อแบบไม่คิดคัดค้านเลย

“ยองแจก็ทำได้นะ ถ้าอยากเรียนอาจะสอนให้เอาไหม?” ลูบหัวหลานชายไปด้วยความเอ็นดู พอมองดูแล้วยองแจนั้นหน้าตาคล้ายแม่ของเขามากทีเดียว

“ผมก็ทำได้เหรอครับ” ดวงตากลมโตใสเป็นประกายด้วยความใคร่รู้และสนใจ

“หลานมีสายเลือดเมจิสย่อมทำได้อยู่แล้ว”

ยองแจเกือบพยักหน้าตอบรับไปแต่ก็ยั้งคิดได้ทันว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนเองนั้นไม่ใช่การล่องหนหรือหายตัวเสียหน่อย

“เดี๋ยวสิ ผมไม่ได้มาเพราะอยากให้อาสอนวิธีหายตัวนี่ ผมจะมาถามวิธีใช้โรสอายต่างหาก” แจซอกขมวดคิ้วมุ่น ถึงแม้เขาจะไม่มีโรสอายแต่แน่นอนว่าตัวเขานั้นรู้วิธีใช้มัน เพราะอะไรหลานชายจึงอยากจะเรียนรู้มันกันนะ

“ทำไมหลานถึงอยากรู้วิธีใช้มันล่ะ”

“...ผมอยากไปช่วยพ่อ” ยองแจบอกเหตุผลออกไปเพียงครึ่งเดียว เขารู้ดีว่าหากพูดหรือเผลอคิดอะไรยูคยอมจะต้องรู้และได้ยินมันแน่...

“โรสอาย...ก็คล้ายกับไดมอนอายของอานี่แหละ” ได้ยินแบบนั้นยองแจก็ขมวดคิ้ว เตรียมเอ่ยถามออกไปแต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวเสียก่อน
ไดมอนอาย ดวงตาแห่งการสะกดจิต

“สอนผมหน่อยนะครับ สอนผมนะคุณอาแจซอก” ทำหน้าออดอ้อนพลางเขย่าแขนแจซอกไปด้วย คุณอาเห็นแบบนั้นมีหรือจะใจร้ายปฏิเสธหลานได้ลงคอ

“ไปห้องฝึกซ้อมกันเลยเนอะ” แจซอกยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วจูงมือหลานเดินไปยังห้องซ้อมที่เขาบอก

คฤหาสน์แห่งนี้มีกลไกซ่อนอยู่มากมายหลายร้อยจุด บางกลไกเป็นกับดักร้ายแรง หากผู้ใดรักชีวิตสถานที่นี้ถือเป็นที่ต้องห้ามโดยเด็ดขาด มากครั้งที่มีปีศาจหลุดรอด ใช่! พวกมันหลุดรอดเข้ามา รอบตัวคฤหาสน์ถูกปกคลุมไปด้วยม่านพลังรุนแรง หากเป็นปีศาจชั้นต่ำจะตายทันทีที่พวกมันย่างก้าวเข้ามา หรือหากมันรอดเข้ามาได้ก็จะพบกับ ’หนามอาคม’ รอเสียดแทงร่างพวกมันอยู่

“คฤหาสน์นี้ค่อนข้างอันตรายหลานอย่าวิ่งเล่นไปทั่วนะ” หันไปบอกหลานขณะที่ผลักอิฐบล็อกเพื่อเปิดห้องฝึกซ้อม

“อย่าเรียกมันว่าคฤหาสน์เลยครับอา...” ยองแจลอบกลืนน้ำลายเมื่อเหลือบไปเห็นหนามอาคมที่โผล่พ้นกำแพงออกมา ที่นี่นั้นดูไม่ต่างอะไรกับลานประหารกลางป่าลึกเลย...

เมจิสเดินนำเข้าไปก่อนหยุดยืนกลางห้องซ้อมพอดี ที่แห่งนี้ไม่มีอะไรเลย ไม่มีเป้าซ้อม ไม่มีอาวุธ มีเพียงพื้นอิฐและกำแพงที่ถูกฝากร่องรอยการฝึกซ้อมไว้เท่านั้น...แจซอกหันไปหาหลานชายของตนเองก่อนแย้มยิ้มออกมา ดวงตาสีฟ้าบริสุทธิ์ประจักษ์แก่สายตาของยองแจ สวยงาม เลอค่าจนลุ่มหลง

การฝึกใช้โรสอายได้เริ่มขึ้นแล้ว

“อย่าหลงใหลไปกับมัน!” เสียงของแจซอกตวาดดังลั่นห้อง ยองแจหลุดจากภวังค์ก่อนสะบัดหัวสองสามครั้ง กำคันธนูที่พวกติดตัวแน่นอย่างต้องการระงับอารมณ์

“คิดสิ จะตอบโต้อย่างไร ห้ามหลบตา แต่ก็ห้ามสบตา” เอ่ยบอกหลานชายพร้อมย่างก้าวเข้าไปหา เด็กหนุ่มถอยหลังทันทีเมื่อถูกต้อน ในหัวสับสนไปหมด สายตาวอกแวกเสียจนคิดอะไรไม่ออก ห้ามหลบตาแต่ก็ห้ามสบตา มันคืออะไรกัน แจซอกต้องการจะบอกอะไร...

“เงยหน้าขึ้นซะ!” แจซอกตะโกนเสียงดังให้อีกฝ่ายตื่นตัวแล้วหยุดนิ่งอยู่กับที่ ยองแจเลิกลั่ก ครุ่นคิดว่าจะเงยหน้าขึ้นหรือก้มหน้าต่อไปดี แต่หากเขายังหลบหนีอยู่แบบนี้มันจะไม่เกิดผลอะไรเลย คิดได้แบบนั้นก็เงยหน้าขึ้นก่อนสบเข้ากับดวงตาแห่งการสะกดจิต

ราวกับเวลาหยุดเดิน เหมือนสิ่งของรายล้อมได้มลายหายไป มีเพียงความว่างเปล่าและขาวโพลน นัวร์สีดำสนิทร่วงหล่นลงกระแทกพื้นพร้อมกับร่างกายที่ค่อยๆก้าวย่างเข้าไปหาเจ้าของดวงตาสีฟ้าใส แจซอกยังคงปล่อยให้ไดมอนอายสำแดงฤทธิ์ เขารู้ว่าการทำแบบนี้นั้นมีความเสี่ยงมาก หากอีกฝ่ายไม่รู้ตัวจะถูกไดมอนอาย ‘กลืนกินจิตใจ’

ยองแจยังคงก้าวเดินเข้าไปหาแจซอกเรื่อยๆ ในสมองว่างเปล่า เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ มีเพียงความเงียบสงัดเข้าครอบงำ ไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร ไม่รู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไร และไม่รู้ว่าตนเองต้องทำเช่นไร

ตะวันไม่หวนหากราตรีไม่จาก ยามจันทราประจักษ์แจ้ง เจ้าจักเป็นหนึ่งเดียวกับข้า

เสียงหนึ่งดังก้องในโสตประสาทราวกับเรียกสติให้หวนคืนร่าง ขาหยุดก้าวเดินพร้อมกับดวงตาแห่งการล่วงรู้ที่ปรากฏขึ้นทันเวลาพอดิบพอดี โรสอายสำแดงฤทธิ์ของมันได้ทันท่วงที ดึงร่างของผู้เป็นนายให้ผุดลุกก่อนจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความว่างเปล่า ยองแจก้าวถอยหลังไปเก็บอาวุธประจำกายของตนเองขึ้นมาถือไว้ดังเดิม

ห้ามหลบตาแต่ก็ห้ามสบตา...จนกว่าจะคู่ควรกับมัน

 “เก่งนี่ ธนูนั่นยิงมาสิ ใช้โรสอายอ่านการเคลื่อนไหวของอาให้ออก ใช้ศรนั่นตัดผ่านเส้นผมของอาให้เหลือความยาวเพียงบ่า”

“หากหลานทำได้การฝึกโรสอายขั้นแรกถือว่าเสร็จสิ้น”

สิ้นเสียงของเมจิสร่างก็มลายหายไปต่อหน้าต่อตา ยองแจสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนยืนสงบนิ่งสักพัก เมื่อลืมตาขึ้นสีชมพูเรืองรองดั่งอัญมณีวาววาบ กวาดมองรอบห้องที่ว่างเปล่า หยิบลูกธนูออกมาแล้วขึงเข้ากับเอ็นช้าๆ

“คุณอาครับ...ผมน่ะ ไม่รู้หรอกว่าจะทำได้หรือเปล่า มันยากที่จะยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนธรรมดาทั้งที่เติบโตมาในฐานะคนธรรมดา...แต่ผมจะพยายาม”ลูกศรไทเทเนียมพุ่งแหวกอากาศไปยังพื้นที่ว่างเปล่าเชือดเฉือนเข้าที่เส้นผมของเมจิสจนขาดร่วงลงพื้น

 ร่างของนักเวทย์ประจักษ์ชัดต่อสายตายองแจแล้ว ความคมของแร่โลหะสร้างรอยประดับบนใบหน้าของแจซอกเล็กน้อย รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ชเว ยองแจ หลานชายที่น่าภาคภูมิใจ เติบโตมาเป็นเด็กที่ดีเหลือเกิน

“หลานเก่งมากยองแจ อาภูมิใจในตัวหลานจริงๆ” แจซอกเอ่ยก่อนเดินเข้าไปโอบกอดหลานชายด้วยความรักใคร่   

ยองแจแทบทรุดและล้มลงบนพื้น แรงกดดันที่ต้องหันปลายศรเข้าหาคนในครอบครัวนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะแบกรับมันไว้ หากโรสอายหยุดสำแดงฤทธิ์เขาอาจพลาดพลั้งทำให้แจซอกบาดเจ็บ มีเพียงการฝึกฝนเท่านั้นที่เขาสมควรทำต่อจากนี้

“คุณอา ขาผมสั่นไปหมดแล้วครับ” ยองแจเกาะบ่าแจซอกไว้ไม่ให้ตนเองล้มพับลงไป เมื่อสบายใจแล้วร่างกายก็พลันอ่อนยวบไปหมด โรสอายได้หายไปแล้วทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

“ฮ่าๆๆ คนเก่งเมื่อกี๊หายไปไหนแล้วล่ะ ไม่เป็นไรหรอกยองแจ ครั้งแรกของหลานถือว่าทำได้ดี เราไปนั่งพักก่อนดีกว่าไว้ค่อยกลับมาซ้อมใหม่” แจซอกลูบหัวหลานชายเบาๆเชิงปลอบขวัญ

ยูคยอม

ฮืม

ขอบคุณนะที่ช่วยฉัน

นายคู่ควรกับมันแล้วยองแจ อย่าลืมล่ะ ยามจันทราประจักษ์แจ้ง เจ้าจักเป็นหนึ่งเดียวกับข้า

“เปลืองตัวอีกแล้วกู...” คนตัวขาวบ่นกับตนเองเบาๆแต่แจซอกดันได้ยินเข้าพอดี “หืม? เปลืองตัว”

“ผมบอกว่าปวดตัวต่างหาก อาหูตึงแล้วครับ แก่แล้วก็งี้แหละ” ยองแจไหวไหล่เบาๆพร้อมถอนหายใจออกมา แจซอกเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้ม...เหมือนแม้กระทั่งลุง

“ขอโทษนะครับคุณเมจิส” บุคคลในห้องซ้อมหันไปมองตามต้นเสียงทันที อาร์เชอร์เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชูแขนข้างขวาที่ถูกหนามอาคมปักลงไปจนทะลุให้เมจิสดู

 แจซอกถอนหายใจกับภาพที่เห็น ทั้งที่บอกไปแล้วแท้ๆว่าห้ามจับของในคฤหาสน์นี้สุ่มสี่สุ่มห้าแต่ดูเหมือนเจฮยองจะไม่ฟังที่เขาบอกเลย แถมยังอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่อีก นับว่าเก่งกาจทีเดียวที่เข้ามาโดยได้แผลแค่จุดเดียว

“เจฮยอง ไปทำอะไรมาเนี่ย!” ยองแจตะโกนลั่นแล้วรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของคุณลุงทันที ถ้ายูคยอมรู้เข้าต้องโกรธแน่ๆ เพราะเจ้าตัวกำชับนักหนาว่าห้ามได้รับบาดเจ็บก่อนสงครามเริ่มเด็ดขาด

“เดินเล่นอยู่ดีๆหนามนี่ก็โผล่มาน่ะสิ” อาร์เชอร์ทำท่าเจ็บเจียนตายทันทีหลังหลานชายเดินเข้าไปหาสร้างความหมั่นไส้ให้เมจิสยิ่งนัก

“คุณอาร์เชอร์ หนามนี่จะเข้าโจมตีเฉพาะคนที่รุกล้ำห้องสำคัญเท่านั้นแหละ อีกอย่างเดินว่อนจนหาห้องนี้เจอนี่มันก็ออกจะอันตรายเกินไปหน่อยนะครับ”

 แจซอกร่ายยาวก่อนเดินไปดึงหนามอาคมออกหน้าตาเฉย เจฮยองหน้าซีดเผือดหลังเห็นหนามใหญ่ถูกดึงออกไปต่อหน้าต่อตาแต่ก็ต้องประหลาดใจ

“ไม่เห็นเจ็บเลยนี่”

“หนามนี่มีฤทธิ์กับปีศาจเท่านั้นแหละ ยกเว้นว่าคุณจะมีเลือดชั่วของผีห่าซาตานผสมอยู่” แจซอกแขวะแล้วโยนหนามอาคมทิ้งไป แผลกลวงเป็นรูโบ๋ค่อยๆสมานตัวสร้างความตื่นตะลึงให้เจฮยองเป็นอย่างมาก

“ว้าว! สุดยอดเลยดูสิยองแจ ลุงหายแล้ว” พูดพลางยื่นแขนให้หลานดูเหมือนเด็กๆ

“ผมควรตื่นเต้นกับเจฮยองไหม...” หากเป็นคนอื่นคงตื่นตกใจจนเป็นลมไปแล้วแต่ตัวเขาที่อยู่กับราชาปีศาจตลอด การพบเจออะไรแบบนี้นั้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว

“เฮ้อ ไม่ตื่นเต้นกับลุงเลย...ยองฮีมาแล้วนะ อยู่ห้องรับรองแหนะ”

“งั้นผมไปนะ” พูดจบก็วิ่งออกจากห้องไปทันทีปล่อยให้แจซอกและเจฮยองอยู่ด้วยกันตามลำพัง ยองแจรู้ว่าคฤหาสน์แห่งนี้อันตรายแต่ในเมื่อเขาได้ฝึกใช้โรสอายแล้วก็ต้องนำมันมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สิ

“อ้าว...ไปซะแล้ว เฮ้อ...แล้วนั่นผมนายทำไมเป็นแบบนั้น” เจฮยองทักเมื่อเห็นเส้นผมที่ขาดแหว่งของแจซอก คนถูกทักทำเพียงแค่มองแล้วเบนสายตาหนี

“ฉันตัดให้เอาไหม ฉันตัดให้ยองฮีบ่อยๆ” เดินเข้าไปจับผมของอีกคนโดยไร้คำขออนุญาตใดๆ แจซอกปัดมือเจฮยองออกแล้วเดินหนี

“อย่ามายุ่งกับผมฉัน”

“กูเกิดมาเพื่อโดนเมินสินะ....”

ภายในห้องโถงกว้างเต็มไปด้วยความเงียบสงบ มีเพียงผีดิบวัยเด็กที่เดินว่อนทั่วห้อง ยูคยอมมองตามทุกย่างก้าวที่หลานชายเดิน พร้อมทำหน้าสงสัยไปด้วย

“อี๋เอินหลานจะเดินไปถึงเมื่อไหร่”

“ตาจ๋า ผมว่างอ่ะ แตงไม่อยู่แล้วไม่มีอะไรทำเลย ตาช่วยสอนอะไรผมหน่อยสิ อ้อใช่! ผมเป็นผีดิบชั้นสูงมีพลังของโกสท์ครึ่งนึงใช่ไหมครับ ตาจ๋าช่วยฝึกพลังนั้นให้ผมหน่อยสิ ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงในสงครามหรอกนะ” หนูเอินร่ายยาวเหยียดแล้วเดินมาหยุดหน้ายูคยอมพอดี

“หลานต้องทำใจยอมรับก่อนว่าพลังของโกสท์อย่างตามันไม่ได้สวยงามเหมือนที่หลานคาดหวัง” มาร์คหน้าหงิกงอทันทีที่คุณตาพูดดักทาง ความจริงเขาก็ไม่ได้ซีเรียสกับพลังของตนเองเท่าไหร่แล้ว

“ไม่เป็นไรหรอกตาจ๋า สวยแค่หน้าผมก็พอแล้ว” ยูคยอมถอนหายใจออกมาเบาๆ แบบนี้ในโลกมนุษย์เขาเรียกว่าอะไรนะ...ถ้าเป็นคำที่ยองแจชอบพูดบ่อยๆคงจะเป็นแรด...หรือมั่นหน้ากันนะ...

“พลังของโกสท์นั้นมีมากมายเกินกว่าที่โกสท์อย่างเราล่วงรู้เสียด้วยซ้ำ หลานอยากได้พลังแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”

 เป็นความจริงที่พลังของโกสท์นั้นลึกลับเกินกว่าที่จะล่วงรู้ แม้แต่ยูคยอมเองยังไม่สามารถประเมินพลังของตนเองได้เลย

“พลังที่อยากได้...สะกดจิตล่ะมั้งครับ” เอ่ยตอบไปอย่างไม่แน่ใจนัก มาร์คเองแค่อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์มากที่สุดและไม่เคยนึกถึงพลังที่ตนเองมีและอยากมีเลย

“ตาจะสอนวิธีควบคุมปีศาจให้”

“วิธีควบคุมปีศาจเหรอครับ? ผมทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ” มาร์คดูตื่นเต้นที่จะได้ฝึกใช้พลังใหม่ แถมยังได้คุณตาสุดหล่อมาฝึกให้เสียด้วย

“เจบี” ราชาปีศาจเรียกสัตว์เลี้ยงประจำตระกูลที่ตอนนี้กำลังหมอบหลับสบายใจเฉิบ...

“แจ๊บๆ....ฮ้าว! ว่าไงครับเจ้านาย” แวร์วูฟลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียก่อนเหยียดตัวบิดขี้เกียจเพื่อไล่ความง่วงออกไป

“คืนร่างมนุษย์ซะ”แวร์วูฟไม่ซักไซ้ไต่ถามอะไร กลับคืนสู่ร่างมนุษย์แล้วเดินเข้าไปหาผู้เป็นนายเงียบๆ ยูคยอมหันมองหลานชายก่อนเอ่ยคำสั่ง “ดูไว้นะอี๋เอิน”

นัยน์ตาสีเลือดฉายชัดโอบล้อมด้วยสีดำทมิฬปรากฏขึ้น ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าร่าง แวร์วูฟกระตุกวูบก่อนถูกโกสท์เข้าครอบงำจิตใจ สายตาว่างเปล่าทอดมองไปยังผู้เป็นนาย หยุดยืนนิ่งรอคำสั่งอย่างจงรักภักดี

“จงเผยกรงเล็บออกมา” แวร์วูฟปล่อยกรงเล็บออกมาตามที่ราชาปีศาจสั่ง

“จ่อมันเข้าที่แขนของตนเอง” เลื่อนกรงเล็บขึ้นมาที่แขนแล้วหยุดค้างไว้

“เสียดแทงมันเข้าไป”

ฉึก!....

กรงเล็บหมาป่าแทงทะลุแขนของตนเองจนเลือดไหลทะออกมา สีหน้าไร้ซึ่งความเจ็บปวดทรมาร ไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึก ถูกบงการและครอบงำโดยสมบูรณ์ พลังเพียงเสี้ยวของราชาปีศาจ ไม่สิไม่ถึงเสี้ยวด้วยซ้ำ  มาร์คมองการกระทำของเจบีด้วยความตื่นตระหนก เดินเข้าไปประทับฝ่ามือลงบนหน้าของปีศาจหมาป่าดังฉาด

“หือ? ห๊ะ โอ๊ยเจ๊บบบบบ!!!” สติกลับเข้าร่างพร้อมความเจ็บปวด แวร์วูฟทรุดลงไปนอนชักดิ้นชักงอเพราะบาดแผลที่เกิดจากกรงเล็บของตนเอง...

“นี่เป็นตัวอย่างนะอี๋เอิน แต่ปกติปีศาจที่ถูกครอบงำไม่ได้หลุดจากบ่วงเร็วขนาดนี้ อาจเป็นเพราะหลานกับเจบีทำพันธะสัญญากันเจบีจึงหลุดพ้นได้ง่าย” ยูคยอมเอ่ยด้วยใบหน้าแย้มยิ้มแต่กลับดูน่ากลัวเหลือเกินในสายตาของมาร์ค

 “สอนผมด้วยนะครับ” ถึงแม้จะกลัวแต่ก็ต้องยอมรับว่าพลังนี้ต้องมีประโยชน์มากแน่

“เตรียมใจไว้ล่ะ ตาไม่ได้ใจดีเหมือนเชอร์รีนหรอกนะ”

“ใครบอกตาจ๋าว่าแม่ใจดี...” ยังไม่ทันได้พูดต่อประตูห้องโถงก็ถูกเปิดออกพร้อมร่างของโกสท์อีกตนที่ย่างก้าวเข้ามา

“ได้เวลาทดสอบพลังแล้วลูกรัก”

“เฮ้อ...ครับแม่”


ติดตามตอนต่อไป

ข้อฝากจากผู้แต่ง
1. ใครเล่นแท็กในทวิตเชิญตามมาที่ #ฟิคยจก
2. ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะคะ
3. นิยายเรื่องนี้อัพเดททุกวันศุกร์
4. แต่งโดย Ppigotexo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2018 23:57:49 โดย longtangGenYaoi »

ออฟไลน์ longtangGenYaoi

  • ลองแต่งสายพันธุ์วาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: GHOST Update Chapter 34 [25/05/61]
«ตอบ #34 เมื่อ24-05-2018 23:38:18 »

ตอนที่ 32
The Final Countdown

แต่งโดย : Ppigotexo
ลงวันที่ 25/05/61

หน้าแรก
ตอนก่อนหน้า
ตอนถัดไป

“ได้เวลาทดสอบพลังแล้วลูกรัก” เชอร์รีนเดินเข้าไปหาลูกชายของตนพร้อมกับดาบอัศวินในมือ เธอคือโกสท์เพียงตนเดียวที่มีอาวุธประจำกายด้วยเหตุผลง่ายๆคือไม่อยากให้มือของตนเองแปดเปื้อนเลือด...

“เฮ้อ...ครับแม่” มาร์คตอบกลับมารดาไปด้วยอารมณ์ละเหี่ยใจ การทดสอบพลังที่เกิดขึ้นทุกปี เคี่ยวเข็ญ ลำบาก เจ็บตัวและรุนแรง

“ทำอะไรหรือเชอร์รีน” ยูคยอมเอ่ยถามหลานสาวด้วยความใคร่รู้พร้อมกับเสียงโอดครวญของปีศาจหมาป่าเป็นเพลงประกอบฉาก...

“ทดสอบสมรรถภาพค่ะคุณอา อี๋เอินต้องฝึกการต่อสู้ทุกวันและเมื่อถึงเวลาหนูจะเป็นคนประเมินผลการฝึกนั้น ลูกหลานของโกสท์สายเลือดบริสุทธิ์จะปล่อยให้ไร้ฝีมือไม่ได้เป็นอันขาด”

ยูคยอมพยักหน้าอย่างสนใจ มาร์คมักจะบอกและคิดเสมอว่าตนเองนั้นด้อยความสามารถกว่าปีศาจตนอื่น ถึงคราที่จะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผีดิบนั้นอยู่ในระดับใดกันแน่

“เจบีเงียบได้แล้ว”

 ยูคยอมดุปีศาจหมาป่าที่ยังนอนดีดดิ้นโอดครวญไม่ยอมหยุดทั้งที่แผลนั้นปิดสนิทแล้ว หลังโดนเจ้านายต่อว่าเจ้าหมาแวร์วูฟก็นอนหงายท้องสงบนิ่งพร้อมครางหงิงเบาๆ มาร์คเดินไปหาเจบีแล้วนั่งลงลูบหัวแวร์วูฟช้าๆ “บี๋รอเบก่อนนะ เดี๋ยวฝึกเสร็จจะกลับมาโอ๋”
หลังปลอบแวร์วูฟเสร็จผีดิบก็เดินเข้าไปหามารดาของตนเอง โค้งทำความเคารพพร้อมกับลมหายใจที่พ่นออกมา ขอให้การทดสอบครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี...

พรึ่บ!

ร่างของผู้เกี่ยวข้องถูกย้ายมาที่ห้องฝึกซ้อมในคฤหาสน์ของราชาปีศาจโดยฝีมือของยูคยอม เมื่อใช้พลังเสร็จสิ้นทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ ลานฝึกกว้างไกลที่แทบไม่เชื่อสายตาว่าสถานที่แบบนี้เรียกว่าห้องฝึกซ้อมของโกสท์ มันใหญ่เกินกว่าจะเรียกว่าห้องด้วยซ้ำ เป็นครั้งแรกที่มาร์คได้มาเยือนบ้านของคุณตา ทั้งประหลาดใจและดีใจในเวลาเดียวกัน

“ทดสอบขั้นที่หนึ่ง!” เชอร์รีนปักดาบลงกับพื้นจนมันจมลงไปถึงครึ่งหนึ่ง

สิ้นเสียงมารดาประกาศลั่น ดวงตาผีดิบพลันปรากฏขึ้นผิวหนังแปรเปลี่ยนพร้อมกับเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นตามร่างกาย มาร์คปิดเปลือกตาลงก่อนเกิดแรงดีดมหาศาลขึ้น พื้นดินถูกกดดันจนแตกระแหงบางส่วนถูกกดลงไปจนเป็นหลุมขนาดใหญ่

ทดสอบขั้นแรก ‘แรงกดดัน’

“ขั้นที่สอง!”

หลังคำสั่งต่อมาสิ้นสุดลงดวงตาสีเลือดก็เปิดขึ้น กวาดสายตามองรอบลานซ้อมก่อนเดินไปแบกหินก้อนยักษ์ขึ้นมา น้ำหนักราวห้าถึงหกร้อยกิโลกดทับร่างจนต้องขมวดคิ้ว มาร์คยืดตัวขึ้นแล้วขว้างหินที่แบกอยู่ใส่มารดาของตนเต็มแรง ฝุ่นลอยฟุ้งจนมองทิวทัศน์ลำบาก ผีดิบรู้ดีว่าเธอหลบพ้น

ทดสอบขั้นที่สอง ‘พละกำลัง’

“การทดสอบขั้นสุดท้าย!” ดาบอัศวินถูกดึงขึ้นมาจากพื้นดิน หมุนสะบัดวาดตามอากาศจนเกิดลมวืดใหญ่

มาร์คตั้งการ์ดขึ้นอย่างระวังตัว การทดสอบขั้นสุดท้ายนั้นอันตรายที่สุด ‘การทดสอบความอดทน’ ดาบเล่มใหญ่พุ่งเข้าฟาดฟันทันที ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว โกสท์เหวี่ยงดาบเข้าใส่กลางลำตัวของผีดิบอย่างแรง โชคดีที่การโจมตีนั้นวืดไป มาร์ครีบถอยมาตั้งหลักก่อนอีกฝ่ายจะโจมตีอีกรอบ

“ขี้ขลาด!”

เชอร์รีนตวาดลั่น กำชับด้ามดาบแล้วพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง มาร์คอยากตะโกนตอบกลับแม่ของตัวเองไปเหลือเกินว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเรียกว่าป้องกันตัวไม่ใช่ขี้ขลาด ผีดิบเอี้ยวตัวหลบดาบที่เฉือนผ่านหน้าไปเพียงไม่กี่เซนติเมตร โกสท์ไม่ปล่อยให้หนี เชอร์รีนฟาดดาบลงบนไหล่ของลูกชายแล้วเฉือนปาดลงบนเนื้อ ความคมของดาบนั้นเชือดลึกลงไปจนเห็นกระดูก

“อ๊ากกกกกกก!!!” มาร์คร้องโหยหวนก่อนดีดตัวออก มือขวายกขึ้นมากดแผลไว้ไม่ให้เลือดไหลมากกว่าเดิม

ดาบนั้นทำจากเหล็กเนื้อดี ถือว่าโชคช่วย วันนี้ไอรีนหยิบดาบเล่มที่ไม่มีส่วนผสมของเงินแท้มาทดสอบลูกชายของตนเอง คงเพราะเห็นว่าสงครามใกล้เริ่มแล้วจึงเลือกที่จะถนอมตัวลูกชายไว้ให้มากที่สุด

แม้ผิวหนังของผีดิบจะทนทานต่ออาวุธแทบทุกชนิดแต่ดาบใหญ่และหนักเช่นนี้ถือเป็นข้อยกเว้น มันสามารถตัดหัวของผีดิบให้ขาดได้ภายในการฟันเพียงฉับเดียวเท่านั้น!

มาร์คหอบหายใจฟืดฟาดพลางกดแผลที่เลือดหยุดไหลและเริ่มสมานตัวแล้ว สายตาแข็งกร้าวจ้องมองดาบอัศวินด้วยความโกรธเกรี้ยว เขี้ยวเริ่มงอกยาวกว่าเดิมจนคล้ายแวมไพร์

เชอร์รีนชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นเขี้ยวที่งอกออกมาของลูกชาย เธอรู้สึกประหลาดใจ เด็กคนนี้มีการพัฒนาที่รวดเร็วจนน่ากลัว เมื่อเทียบกับเดือนก่อนแล้วมาร์คนั้นยังยกก้อนหินหนักมากกว่าสามร้อยกิโลไม่ได้ด้วยซ้ำแต่วันนี้กลับยกได้หนักขึ้นเป็นเท่าตัวแถมแรงกดดันยังมากขึ้นจากเดิมจนน่าตกใจ

“เข้ามา!” โกสท์สาวตะโกนลั่นแล้วตั้งการ์ดรอรับการโจมตี

มาร์คเช็ดคราบเลือดที่ไหล่ออกแล้วค่อยๆย่างก้าวเข้าไปหามารดาของตน สายตายังคงจับจ้องไปที่ดาบอัศวินเล่มยักษ์ในมือผู้เป็นแม่ มันคืออาวุธที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิต ทั้งใหญ่โตและหนัก ความคมของมันนั้นไม่ใช่เล่นๆเลย เขาต้องเจ็บตัวทุกครั้งเพราะมัน ยิ่งมองเห็นก็ยิ่งขยาดจนอยากจับมันมาหักทิ้งเสียเดี๋ยวนี้

“ผมเกลียดดาบที่แม่ถืออยู่จังครับ จะว่าอะไรไหมถ้าผมจะหักมันทิ้ง”

พูดจบก็พุ่งเข้าประชิดตัวมารดาของตนทันที มือตะปบเข้าที่ไหล่ขวาของโกสท์ก่อนออกแรงกระชากจนมันหลุด  กระดูกโกสท์ลั่นเกรียวปล่อยดาบลงกับพื้นแล้วขยับดันให้กระดูกของตนกลับเข้าที่ดังเดิม การกระทำเมื่อครู่รวดเร็วจนมาร์คหงุดหงิด กระแทกเท้าลงกับพื้นพร้อมอัดแรงกดดันให้ดาบกระเด็นออกไป

ดาบหนักลอยคว้างบนอากาศก่อนปักลงจมพื้นดินห่างออกไปจากตัวของโกสท์ราวสามสิบเมตร เชอร์รีนผละถอยออก ดวงตาแห่งโกทส์ประจักษ์แก่สายตาของมาร์ค ผีดิบชะงักไปครู่หนึ่งก่อนออกตัวพุ่งไปหยิบดาบ แต่ช้าไปเสียแล้ว เมื่อโกสท์สำแดงฤทธิ์ไม่มีปีศาจตนใดตามทันนอกเสียจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน

“เด็กไม่ดีต้องโดนทำโทษนะลูก” เชอร์รีนแย้มยิ้มแล้วดึงดาบขึ้นมาจากพื้น เงื้อมันขึ้นสุดแขนแล้วฟาดฟันตัดข้อมือของผีดิบจนขาดสะบั้น!

“อ๊ากกกกกก!!! อ๊า!” เสียงกรีดร้องดังลั่นลานซ้อม ร่างของผีดิบทรุดฮวบลงกับพื้นพร้อมกับเลือดพุ่งทะลักออกมาราวกับสายฝนที่ตกอย่างบ้าคลั่ง
ยูคยอมที่ดูสถานการณ์อยู่มองด้วยความสนใจ ผีดิบนั้นสามารถงอกอวัยวะที่โดนตัดไปได้ใหม่แต่ความรู้สึกเจ็บที่ได้รับนั้นเป็นของจริง แม้ร่างกายจะรักษาตนเองได้แต่ความเจ็บปวดนั้นฝังลึกลงไปในจิตใจ ไม่มีวันลืมและจดจำตลอดไป

“ฮึก อ๊าก!!” มาร์คทุบกำปั้นอีกข้างลงกับพื้นเพื่อระบายความเจ็บปวด โลหิตสีสดหลั่งไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย เขี้ยวคมกัดลมบนริมฝีปากจนทะลุเข้าไปแต่เขาไม่สนใจเพราะความเจ็บปวดนั้นไปรวมอยู่ที่ข้อมือจนหมด

“อีกข้าง!” เชอร์รีนตะโกนลั่น เงื้อดาบขึ้นฟ้าเตรียมตัดข้อมืออีกข้างให้ขาดสะบั้น

ผีดิบเงยหน้าขึ้นก่อนตวาดลั่น “ออกไป!” แรงกดดันดีดตัวเชอร์รีนที่ไม่ได้ตั้งหลักให้กระเด็นออกไป มาร์คหอบหายใจจนตัวโยนก่อนสะบัดแขนเมื่อมือนั้นงอกกลับมาเหมือนเดิมแล้ว เขายันตัวให้ลุกขึ้นยืนก่อนเดินเข้าไปหามารดา ดวงตาสีเลือดเรืองโรจน์ รังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาจากตัวจนยูคยอมยังรู้สึกได้ เขามองหลานชายแล้วยิ้มออกมา

อี๋เอินกำลังทำมันอยู่...เขากำลังเริ่มควบคุมปีศาจ

ด้วยตัวของเขาเอง

“ผมเกลียดดาบนั่น ผมเกลียดมัน” พูดด้วยโทนเสียงแหบแห้งและโหยหวน น้ำเสียงที่เปรียบดั่งกับดัก หากจิตใจไม่แข็งแกร่งพอมันจะนำพามาซึ่งความตาย

“เอาเลยอี๋เอิน หลานทำได้” ยูคยอมพึมพำเสียงเบา การเรียนรู้ที่ดีที่สุดสำหรับปีศาจคือการเรียนรู้มันด้วยตนเอง

ดวงตาผีดิบสบเข้ากับดวงตาของโกสท์ แรงกดดันแผ่ซ่านออกมาจนเชอร์รีนรู้สึกพะอืดพะอม เธอกำชับดาบในมือให้แน่นขึ้น ตามองตา ไม่มีผู้ใดหลบหลีก เผชิญกันซึ่งๆหน้า หากผู้ใดวอกแวกก่อนเท่ากับได้รับความพ่ายแพ้

“แม่ได้ยินไหมว่าผมเกลียดมัน” ผีดิบจ้องมองดวงตาของมารดาพร้อมกับพร่ำเอ่ยคำเกลียดชังออกมา

ความเกลียดชังเป็นแรงผลักดันให้เกิดพลัง ดวงตาของผีดิบนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าจะต้านทานได้ แม้เชอร์รีนจะเป็นโกสท์สายเลือดบริสุทธิ์แต่ในเวลานี้เธอกลับสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของลูกชายตนเองที่ส่งผ่านมาถึงเธอ โกสท์เริ่มก้าวถอยหลังช้าๆ ยังคงจ้องดวงตาอีกฝ่ายไว้ไม่ยอมหลบ หากเธอหลบสายตา เธอแพ้แน่...

“ผมเกลียดมัน! ส่งมันมาให้ผม!” มาร์คตวาดลั่นพร้อมวาดมือออกไป เกิดลมปะทะเข้ากับร่างของเชอร์รีน สายลมโหมกระหน่ำพัดพาร่างของโกสท์ให้ปลิวไปกระแทกกับหินก้อนยักษ์

ดาบในมือหลุดลอยคว้างแล้วปักลงด้านหน้าของผีดิบ มาร์คเดินเข้าไปดึงมันขึ้นมาช้าๆ สายตาจ้องมองแร่เหล็กด้วยความเกลียดชัง เชอร์รีนที่ลุกขึ้นตั้งหลักได้แล้วก็พุ่งเข้าไปหวังแย่งดาบของตนคืน ดวงตาผีดิบจ้องมองมารดา แรงกดดันแล่นเข้าปะทะโกสท์จนร่างขยับไม่ได้ มองลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีเลือดของอีกฝ่ายพร้อมออกคำสั่ง “ถอยไป”

ราวกับสติถูกดึงออกจากร่าง สายตาของโกสท์ล่องลอยไร้จุดหมาย ร่างกายหยุดนิ่งแล้วก้าวถอยหลังตามคำสั่ง ‘การควบคุมปีศาจเสร็จสมบูรณ์’ มาร์คปักดาบลงกับพื้นอีกครั้ง จับด้ามของมันไว้ก่อนออกแรงเตะจนมันหักเป็นสองท่อน หลังทำลายสมใจอยากแล้วร่างกายก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ
แต่โกสท์ยังคงติดอยู่ในบ่วงแห่งการควบคุม

“แม่” มาร์คเขย่าแขนมารดาเบาๆเพื่อเรียกสติให้กลับมา แต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ สายตาล่องลอย ไร้อารมณ์และความรู้สึก

“ตาจ๋า แม่อ่ะ แม่เป็นอะไร” เมื่อจนปัญญาที่จะแก้ปัญหาก็หันไปหาคุณตาที่ยืนดูสถานการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ

“เชอร์รีนติดอยู่ในบ่วงแห่งคำสั่ง หลานต้องคลายบ่วงให้เธอ การควบคุมปีศาจจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อผู้ควบคุมคลายบ่วงเท่านั้น” ยูคยอมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ดูเหมือนหลานชายตัวน้อยนั้นไม่รู้เลยว่าตนเองได้ควบคุมมารดาอยู่

“ห๊ะ! ผมควบคุมปีศาจได้แล้วเหรอ แล้วแก้ยังไงอ่ะ ผมทำไม่เป็น แม่! แม่อย่าทำแบบนี้สิ เอินขอโทษ” มาร์คกอดร่างของมารดาแล้วคร่ำครวญ ผีดิบสามขวบเริ่มงอแงแล้วสิ

ยูคยอมอ้าปากเตรียมเอ่ยบอกวิธีแก้แก่หลานชายแต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวเสียก่อน

ยูคยอมนายอยู่ไหนเนี่ย!

อยู่บ้าน

ห๊ะ! บ้านนายอ่ะนะ ไปทำอะไรที่นั่น กลับมาเดี๋ยวนี้นะ นี่มันเกิน 300 เมตรแล้วพ่อคุณ ถ้าเกิดฉันตายขึ้นมาจะทำยังไง หน้าพ่อยังไม่ทันได้เห็นเลย!
ไม่ตายหรอกน่า เดี๋ยวฉันกลับไปทำตัวเป็นเด็กดีหน่อย   

เมื่อสื่อสารเสร็จก็ตัดโทรจิตแล้วหันไปพูดกับหลานชายต่อ “ลองพูดเรื่องที่ทำให้เธอตื่นเต้นสิ”

“เรื่องที่ทำให้ตื่นเต้นเหรอ...แม่เอินหาเมียได้แล้วนะ” พูดจบนัยน์ตาของโกสท์พลันกลับมาเป็นประกายอีกครั้ง

“ใครคะลูก!”

เชอร์รีนจับเข้าที่ข้อมือของลูกชายแล้วตั้งตารอฟัง เธอนั้นคาดหวังให้ลูกชายพาลูกสะใภ้น่ารักๆเข้าบ้านเป็นที่สุดและไม่เกี่ยงว่าจะเป็นใครหรือเพศไหน

ช่างเป็นคุณแม่ที่ทันสมัยและเปิดกว้างจริงๆ...หรือมันเป็นรสนิยมของเธอกันแน่นะ

“เอ่อ...จ...เจบี” ในใจนั้นอยากตอบว่าเป็นยองแจแต่สามีของเพื่อนยืนอยู่ทนโท่ขนาดนี้เลยต้องตอบไปตามความจริง...

“ตายแล้ว! นั่นไม่ใช่สามีหนูเหรอคะ” มาร์คถึงกับหน้าเหวอ...แม่ครับ

“ก...ก็ใช่ครับ” น้องเอินยิ้มแหยแล้วหันไปมองคุณตาที่ตอนนี้กลั้นขำสุดชีวิต โถ่ตาจ๋า ไม่ช่วยกันเลย

“ไว้ค่อยกลับไปคุยกันต่อที่คฤหาสน์เมจิสแล้วกันตอนนี้กลับกันได้แล้ว” สิ้นเสียงของราชาปีศาจร่างทั้งสามก็พลันหายไปจากลานฝึกซ้อม

เด็กหนุ่มผุดลุกผุดนั่งอย่างร้อนรน รู้สึกกระวนกระวายจนไม่สามารถอยู่เฉยได้ เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้วที่ยองแจอยู่ห่างจากยูคยอมเกินสามร้อยเมตร เขารู้ว่ามันจะไม่เกิดผลอะไรหากยังไม่ครบ 24 ชั่วโมง แต่ด้วยนิสัยมนุษย์ที่มักจะตีตนไปก่อนไข้นั้นทำให้ไม่สบายใจเอาเสียเลย

“ยองแจนั่งบ้างก็ได้นะลูก” ยองฮีที่เริ่มเวียนหัวกับการเดินไปเดินมาของลูกชายพูดขึ้น หลังจากรู้ว่าราชาปีศาจไม่อยู่ก็กระวนกระวายน่าดู

“ไว้ยูคยอมกลับมาค่อยนั่งก็ได้ครับ” ตอบกลับมารดาแล้วเดินวนต่อไป ยองฮีถอนหายใจกับอาการดื้อรั้นของลูกชาย ต้องหาทางหลอกล่อเสียแล้วสิ

“ยองแจ ลูกรู้จักวิธีโจมตีสามดอกไหม?” ยองฮีเอ่ยถามลูกชายอย่างต้องการหลอกล่อและดูเหมือนจะได้ผลเสียด้วยเมื่อยองแจหยุดเดินแล้วยอมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆตน

“มันคืออะไรเหรอครับ”

“วิธียิงธนูแบบอาร์เชอร์น่ะ” ยิ้มพลางลูบหัวลูกชายไปด้วย ดูเหมือนเด็กน้อยจะสนใจมากทีเดียว

“สอนผมหน่อยสิครับ วันมะรืนเราต้องไปชิงตัวพ่อคืนแล้ว ผมอยากมีวิชาติดตัวเยอะๆ”

ยองแจพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแล้วไถหน้าลงกับไหล่ของมารดาเบาๆ คนเป็นแม่เห็นลูกชายอ้อนขนาดนี้มีหรือจะทนไหว

“เอาสิจ๊ะ แม่จะสอนให้เอง หรือจะให้คุณลุงสอนดีนะ” หันไปมองเจฮยองที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ข้างๆ หัวหน้าตระกูลผู้ถูกเมินตลอดจนเก็บมานั่งน้อยเนื้อต่ำใจ...ช่างน่าเห็นใจ

“เจฮยองสอนผมหน่อย” หลานชายหันไปมองคุณลุงแล้วส่งเสียงออดอ้อน คนขี้งอนพอได้ยินน้ำเสียงของหลานร่างกายก็พลันอ่อนยวบ เจฮยองค้นพบแล้วว่าตนเองนั้นแพ้ลูกอ้อนของหลานเหลือเกิน

“แฮ่ม! อ...เอางั้นก็ได้ มาเดี๋ยวลุงจะสอน” คนพูดแสร้งวางท่าเก๊กขรึมก่อนลุกขึ้นพร้อมคันธนูในมือ

สีเงินวาววับเล่นแสงหยอกล้อกับดวงไฟจากแชนเดอเลียร์นั้นเปล่งประกายชวนหลงใหล

“ธนูของเจฮยองสวยจัง” ยองแจพูดแล้วเดินตามคุณลุงเพื่อไปยังห้องซ้อมพร้อมกับแม่ของเขา แน่นอนว่าอาร์เชอร์นั้นจำทางไปห้องซ้อมได้อย่างแม่นยำเลยล่ะ

“ธนูของผู้นำตระกูล เมื่อถึงเวลาหนูจะได้รับสืบทอดมันต่อจากลุง” ยองแจยิ้มออกมาพร้อมยืดอกอย่างภาคภูมิใจ แม้ในตอนแรกจะสับสนแต่ตอนนี้ถึงอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมแค่ไหนก็ไม่สามารถกลับไปได้แล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

ครอบครัวอาร์เชอร์เดินเข้ามาในห้องซ้อม เมจิสที่อยู่ในห้องทำหน้าสงสัยก่อนพยักหน้ารับเมื่อทั้งสองคนชูคันธนูขึ้น แจซอกเดินไปดันอิฐบล็อกก่อนที่เป้าซ้อมจะเลื่อนขึ้นมาจากพื้น ถึงแม้เมจิสจะเป็นตระกูลนักเวทย์แต่ก็มีบางคนที่ใช้อาวุธอย่างอื่นด้วยจึงไม่แปลกที่ห้องฝึกจะมีเป้าซ้อมแบบต่างๆ

“วิธีโจมตีสามดอกคือการยิงธนูสามดอกในครั้งเดียว” เจฮยองหันไปพูดกับหลานชายแล้วเอื้อมมือไปหยิกแก้มน่ารักนั้นอย่างนึกหมั่นเขี้ยว

“สามดอกในครั้งเดียว...”

ยองแจดูอึ้งกับสิ่งที่คุณลุงพูด การยิงทีละดอกนั้นสำหรับเขาถือว่ายากแล้วแต่นี่ให้ยิงพร้อมกันทีเดียวสามดอกเลยนั้นฟังดูเหลือเชื่อทีเดียว

“สามดอกคือการโจมตีขั้นพื้นฐานของอาร์เชอร์ ตอนนี้สถิติสูงสุดอยู่ที่เก้าดอกซึ่งผู้ถือครองสถิติก็คือเจฮยองกับแม่เอง” ยองฮีบอกกล่าวลูกชายก่อนแย้มยิ้มออกมาเมื่อเห็นเด็กน้อยทำหน้าตื่นเต้น

“มาเริ่มกันเลยดีกว่า” เจฮยองรีบพูดขึ้นก่อนหลานชายจะนึกเปลี่ยนใจอยากให้มารดาเป็นคนสอนแทน

เจฮยองหยิบลูกธนูออกมาจากกระบอกที่สะพายหลังไว้สามดอกก่อนขึงเข้ากับเส้นเอ็นของคันธนู “ลองทำตามลุงสิ” เอ่ยบอกหลานชายให้ทำตาม  ยองแจได้ยินดังนั้นก็หยิบลูกธนูออกมาขึงบ้าง ท่าทางดูเก้กังจนยองฮีต้องเข้าไปช่วย หลังเห็นว่าหลายชายทำตามตนเองได้แล้วหัวหน้าอาร์เชอร์ก็ง้างคันธนูออก เล็งเป้าเพียงครู่หนึ่งก่อนปล่อยศรเงินไปปักเรียงกันบนเป้าเป็นแนวเส้นตรงอย่างพร้อมเพรียง

ยองแจลองง้างคันธนูออกบ้าง เขาเล็งเป้าอยู่นานพอสมควรเพราะไม่ถนัดการยิงทีเดียวหลายดอกขนาดนี้ หายใจเข้าลึกๆก่อนปล่อยศรพุ่งไปปักบนเป้าอย่างพร้อมเพรียง น่าเสียดายที่มีธนูหนึ่งดอกพลาดเป้าไป

 เขาส่ายหัวอย่างไม่พอใจก่อนหยิบธนูออกมาใหม่อีกเซ็ต คนอย่างชเวยองแจไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ เจฮยองและยองฮีที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ก็ได้แต่ลุ้นไปกับเด็กน้อยของพวกเขา

ยองแจหลับตาลงก่อนลืมขึ้นพร้อมดวงตาแห่งการหยั่งรู้ “เอียงซ้ายอีกสิบองศาความเร็วในการปล่อยลูกธนูสามจุดเจ็ดวินาทีความเร็วลูกธนูสามร้อยฟุตต่อวินาที” สิ้นเสียงลูกธนูไทเทเนียมทั้งสามดอกก็พุ่งแหวกอากาศเข้าปะทะเป้าอย่างพร้อมเพรียงและเรียงกันเป็นแนวเส้นตรงอย่างสวยงาม

ชเว ยองแจ ลูกหลานของพลธนูและนักเวทย์

ผู้ถือครองฮาร์ทและความสามารถของอาร์เชอร์

เขาพร้อมแล้วสำหรับสงครามครั้งนี้


ติดตามตอนต่อไป

ข้อฝากจากผู้แต่ง
1. ใครเล่นแท็กในทวิตเชิญตามมาที่ #ฟิคยจก
2. ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะคะ
3. นิยายเรื่องนี้อัพเดททุกวันศุกร์
4. แต่งโดย Ppigotexo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2018 23:58:20 โดย longtangGenYaoi »

ออฟไลน์ longtangGenYaoi

  • ลองแต่งสายพันธุ์วาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: GHOST Update Chapter 34 [25/05/61]
«ตอบ #35 เมื่อ24-05-2018 23:47:00 »

ตอนที่ 33
Start

แต่งโดย : Ppigotexo
ลงวันที่ 25/05/61

หน้าแรก
ตอนก่อนหน้า
ตอนถัดไป

สีส้มฉาบทั่วท้องนภา แสงแดดเริ่มบอกลาพร้อมกับดวงตะวันที่คล้อยเคลื่อนจนตกลับขอบฟ้าไป ผู้นำแห่งกีซาสยืนนิ่งมองสัญญาณเตือนนั้นด้วยสีหน้าที่ยากคาดเดา อีกไม่นานมันจะเริ่มขึ้น และอีกไม่นานมันจะจบลงเช่นกัน...

“ตื่นเต้นเหรอ?” เสียงดังมาจากด้านหลังเรียกให้ผู้ที่ยืนอยู่หันไปมอง เมื่อเห็นเจ้าของเสียงก็ยิ้มออกมา

“จำเป็นต้องตื่นเต้นด้วยเหรอ” ตอบกลับไปด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง อีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้าไปมากับท่าทางจองหองนั้น

“เลิกเสียทีเถอะเกลนิสัยวางท่าแบบนั้นน่ะ...” เอ่ยเตือนครึ่งแวมไพร์ไปด้วยใบหน้าเอือมระอา แต่ถึงแม้จะพูดไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะอะไรน่ะเหรอ? เพราะเขาพูดแบบนี้เป็นร้อยๆครั้งแต่เกลก็ไม่เคยปรับปรุงเลยน่ะสิ

“ช่างฉันเถอะน่า...แล้ว...นายพร้อมแล้วเหรอ” เกลถามแล้วเดินเข้าไปโยกหัวคนตัวเตี้ยกว่าจนอีกฝ่ายหน้ามุ่ย บอกไปตั้งกี่รอบแล้วว่าไม่ชอบยังจะทำอีก...

“พร้อมสิ...”

“ห้ามตายนะ...วอลเตอร์”

ยองแจยืนสงบนิ่งอยู่ริมหน้าต่างในคฤหาสน์หลักของตระกูลนักเวทย์ ความกังวลและตื่นเต้นเอ่อล้นพร้อมระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ เขาทอดมองออกไปนอกตัวคฤหาสน์

 เหล่าโกสท์ชนชั้นสูงต่างทยอยกันหลั่งไหลเข้ามารวมทั้งคนของฝั่งเดม่อนฮันเตอร์และอาร์เชอร์ด้วย ธนูสีดำเริ่มสั่นจากอาการตื่นเต้น ยองแจสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนเผยดวงตาแห่งการล่วงรู้ออกมา การสำรวจเหตุการณ์ล่วงหน้านั้นถือเป็นความคิดที่ไม่เลว...แต่มันก็ไม่ดีไปเสียทีเดียว

ภาพของดาบเล่มยักษ์เสียดแทงทะลุร่างของบุคคลที่รู้จักฉายชัดก่อนตัดไปที่กองเลือดสีสดไหลฉาบพื้นให้แดงฉานพร้อมร่างที่นอนสงบนิ่งถึงแก่ความตาย หยาดน้ำใสไหลรินออกมาจากโรสอายก่อนเจ้าของจะเลิกสำแดงฤทธิ์ ทำไม มีเพียงคำนี้ที่วนเวียนอยู่ในหัว ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงต้องเกิดขึ้น ถ้าเขาต้องการเปลี่ยนแปลงมัน...จะทำได้ไหม

“แตง...” เสียงของเพื่อนสนิทเรียกสติของยองแจให้กลับมา รีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเพราะกลัวมาร์คตื่นตูมที่เห็นเขาร้องไห้

“เสร็จแล้วเหรอ...โอ๊ะ...” เมื่อหันไปมองเพื่อนเต็มๆตาก็ต้องร้องอุทานออกมา มาร์คในชุดสูทหรูหรา ตั้งแต่เสื้อ เนคไทป์ กางเกงลงไปจนถึงรองเท้าเป็นสีดำทั้งหมด ยองแจเพิ่งเคยเห็นมาร์คในชุดแบบนี้ เขาบอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันดูเข้ากับคนที่ใส่หรือไม่แต่มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจนในสมองของเขาตอนนี้

“หล่อนะเนี่ย...” เอ่ยคำชมออกไปอย่างเต็มใจ มาร์คที่โดนชมก็ได้แต่เกาท้ายทอยแก้เขิน

“แน่นอน หล่อมาตั้งแต่เกิดอ่ะรู้จักไหม”

“นี่ก็มั่นหน้าจังเลยครับที่รัก”

ยองแจเดินไปยีผมของมาร์คที่จัดทรงไว้เสียดิบดีให้ยุ่งเหยิง เขาชอบให้เพื่อนดูหล่อแบบธรรมชาติมากกว่าปรุงแต่งมันขึ้นมา เป็นน้องเอินที่น่ารักแบบปกติน่ะดีกว่าตั้งเยอะ

“ผมเสียทรงหมดเลยอิแตง! เดี๋ยวกูจับจ...” เกือบหลุดปากพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกไป พอนึกถึงเหตุการณ์นั้นมาร์คก็หูแดงขึ้นมาจนยองแจจับผิดได้

“จับจูบ?”

“ป...เปล่า” ผีดิบก้มลงจนคางแทบจะชิดออกก่อนนึกขึ้นได้ว่าหากทำแบบนี้ยองแจจะยิ่งสงสัยขึ้นไปอีกจึงเงยหน้าขึ้นก่อนพบว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้แล้วดึงตัวเขาเข้าไปกอดแน่นเสียแล้ว

มาร์คกอดตอบด้วยความงุนงง ยองแจใช้คางเกยไหล่เพื่อนไว้แล้วหลับตาลงช้าๆ ถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้เวลาหยุดเดิน อยากหยุดสงครามนี้ไว้ไม่ให้มันเกิดขึ้น ไม่อยากสูญเสียอะไรไป ไม่อยากลาจากกับใคร

ภาพที่เห็นจากโรสอายยังคงตราตรึงในจิตใจ เขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่...

“อย่าเป็นอะไรนะเอิน ดูแลตัวเองด้วย” ยองแจลูบหัวมาร์คแล้วคลายอ้อมกอด ก่อนผละออกก็ประทับจูบลงบนแก้มของเพื่อนไปเสียงดังจ๊วบ

“โอยแตง...”

“เครื่องรางจากกู กลับมาให้กูจูบอีกข้างด้วยนะ”

“ทำไมมึงพูดเหมือนกูจะตายเลยอ่ะ อย่าคิดมากสิ” มาร์คเอื้อมไปบิดแก้มของยองแจเบาๆแล้วเลื่อนลงไปกุมมืออีกคนไว้ ส่งมอบความอบอุ่นและกำลังใจผ่านฝ่ามือของเขา

“ก็กูเป็นห่วง...” มาร์คยิ้มออกมาพร้อมกุมมือให้แน่นขึ้น เขารู้ว่ายองแจเป็นห่วงเขามากแค่ไหนแต่ยองแจควรเป็นห่วงตัวเองด้วยเช่นกัน

“กูไม่เป็นไรหรอก มึงนั่นแหละ มึงมีชีวิตเดียว โดนแทงครั้งเดียวก็อาจจะตายแล้ว ไม่เหมือนกูที่ต่อให้ถูกตัดหัวกูก็ไม่ตาย ดูแลตัวเองให้ดีนะแตง สงครามครั้งนี้กูคุ้มครองมึงไม่ได้ตลอด อย่าชะล่าใจ อย่าไว้วางใจปีศาจตนไหนแม้แต่พวกเดียวกันก็อย่าไว้ใจ” ยองแจถอนหายใจออกมาเบาๆ ถึงบอกไม่ให้ห่วงเขาก็ยังเป็นห่วงอยู่ดีนั่นแหละ

“เด็กๆเสร็จหรือยังลูก” ทั้งสองหันไปมองตามต้นเสียง เชอร์รีนเดินเข้ามา แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศพร้อมดาบอัศวินในมือ มาร์คแอบเบ้หน้าเมื่อเห็นดาบของมารดาแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันนัก

“ว้าว...คุณน้าสวยมากเลยครับ” ยองแจเอ่ยชมเชอร์รีนพลางนึกสงสัยในหน้ากากที่โกสท์นั้นสวมใส่ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไร

“องค์ราชินีเองก็เลอโฉมเช่นกันค่ะ” โกสท์แซวจนยองแจถึงกับเหลือกตาด้วยความตกใจ นิสัยชอบแซวและขี้แกล้งนี่มันสืบทอดต่อกันมาทางสายเลือดหรือยังไงนะ

“คุณน้า...”

“ล้อเล่นจ้ะ ออกไปกันเถอะคุณอารออยู่นะ”

พูดจบก็คว้ามือเด็กๆทั้งสองแล้วพาเดินออกไปยังห้องโถงใหญ่ ยองแจสูดหายใจเข้าปอดเต็มที่แล้วพ่นออกมาช้าๆ จะเริ่มแล้วสินะ...ระหว่างทางไปห้องโถงก็ต้องคอยรับคำทักทายและโค้งตอบกับปีศาจหลายตนจนรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาหน่อยๆ บางทีการมาเป็นเหยื่อหรือคนรู้จักของพวกชนชั้นสูงก็ไม่ใช่เรื่องดีเสียทีเดียว

“โอ้โห! หลานใครเนี่ยหล่อเหมือนลุงเลย” หลังเห็นหน้าหลานปุ๊บก็รีบพุ่งเข้าไปกอดคอปั๊บ อาการเรียกร้องความสนใจมาเต็มแม็กซ์...ยองแจมองหน้าเจฮยองแล้วยิ้มให้แทนคำตอบ

“โอ้มายแองเจิ้ล...” เจฮยองปล่อยมือก่อนยืนคร่ำครวญกับความน่ารักของหลานอยู่เงียบๆคนเดียว โถ่ตาแก่หลงหลาน...

“ชุดเข้ากับนายดีนะ” ทันทีที่ราชาปีศาจเดินเข้าไปหาทุกคนต่างพากันหยุดแล้วก้าวถอยหลังไปช้าๆ มีเพียงยองแจที่หยุดยืนอยู่จุดเดิมจ้องมองใบหน้าของโกสท์เจ้าของพันธะสัญญาที่ดูแปลกตาไปเล็กน้อย

“นายก็...ดูเท่ดีนะ” ผมที่ปกติจะยาวลงมาปรกตาถูกเสยขึ้นเผยให้เห็นโครงหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนยิ่งขึ้น ชุดสูทดำสนิทไร้ลวดลายและสิ่งใดปักประดับ ไม้เท้ารูปร่างแปลกประหลาดสีเดียวกับชุดที่ยูคยอมถือนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับยองแจเล็กน้อยและมีหนึ่งคำถามที่ผุดขึ้นในหัว เขาไปเอามาจากไหนนะ...

“ไม้เท้านี่เหรอ ของท่านพ่อน่ะ” ยูคยอมตอบข้อสงสัยโดยที่อีกฝ่ายยังไม่เอ่ยคำถามออกมา แค่มองตาก็พอจะรู้แล้วว่ายองแจกำลังสงสัยอะไร

“นายดู...น่าเกรงขามดีนะวันนี้ อย่าตายล่ะคุณโกสท์” มือเล็กตบเข้าที่อกของราชาปีศาจไปเต็มแรง

“ไม่ตายหรอก...” รับปากอีกคนก่อนโน้มลงไปกระซิบข้างหู “หลังสงครามจบ...นายต้องตั้งท้องลูกของเรา”

“โอ๊ย...ก็บอกว่าไม่พร้อมไง” ยองแจผลักยูคยอมออกแล้วยกมือขึ้นปิดหูไว้ ใบหน้าถูกฉาบไปด้วยสีแดงอย่างเห็นได้ชัด ได้ยินอะไรแบบนี้ทีไรเป็นต้องเขินทุกทีสิน่า

“หึหึ”

“เอ้าๆ เลิกสะหวีวี่วีกันได้แล้วครับท่านราชา แม๊!แต่งตัวซะหล่อเลิศสะแมนแตนเลยนะครับ ไปครับท่านไปคุมทัพครับ เดม่อนฮันเตอร์เกือบทำปืนลั่นใส่โกสท์หลายรอบละครับท่าน โกสท์กวนตีนเหลือเกินครับ” แจ็คสันที่ทนความวุ่นวายข้างนอกไม่ไหวรีบเดินเข้ามาลากตัวยูคยอมออกไปทันที

ยองแจและพวกที่เหลือเดินตามออกไปทีหลัง ธนูในมือถูกกำแน่นมืออีกข้างกำชับเป้ให้ดูทะมัดทะแมง กระเป๋าซึ่งบรรจุอาวุธไว้ครบครันเผื่อฉุกเฉินในยามลูกธนูหมดซึ่งแน่นอนว่าคนที่จัดและสรรหาอาวุธมาให้นั้นย่อมเป็นคนที่สอนเด็กหนุ่มใช้อาวุธ หัวหน้าฮันเตอร์ แจ็คสัน นั่นเอง
เมื่อออกมาก็พบเข้ากับบรรยากาศที่แตกต่างออกไป ความหิวกระหายในสงครามแผ่ซ่านออกมาจากกองทัพโกสท์นับพันตนซึ่งตอนนี้พากันคุกเข่าศิโรราบต่อหน้าราชาปีศาจ ทางฝั่งมนุษย์เองก็ฮึกเหิมไม่แพ้กัน ต่างฝ่ายต่างอยู่ในชุดแต่งกายที่เหมาะกับตนเอง มีอาวุธมากมายที่ยองแจยังไม่เคยเห็น สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเด็กหนุ่มไม่น้อย

“พี่ยองแจฮะ” เมื่อหันไปตามเสียงก็พบกับแวร์วูฟตัวแสบที่ไม่เจอหน้าเสียตั้งนาน ยองแจรีบวิ่งเข้าไปหาแบมแบมแล้วกอดฟัดเจ้าหมาน้อยให้หายคิดถึง

“แบมแบม ฮื๊ม~ หายไปไหนมาไอ้ตัวแสบ” ถามพร้อมฟัดแก้มนุ่มนิ่มของแวร์วูฟในร่างของหมาป่าไปเสียเต็มที่

“ไปคุมการฝึกแทนพี่จ๋าฮะ คิดถึงพี่ยองแจเหมือนกันฮะ คิดถึงเจ้านายด้วย คิดถึงพี่ด้วยคิดถึงทุกคนเลย”

พูดไปหางพวงโตก็สะบัดส่ายไปมาเพิ่มความน่ารักน่าเอ็นดูเข้าไปอีกสามเท่า ยองแจที่เห็นแบบนั้นแทบจะกระอักความน่ารักตาย เป็นโรคแพ้ความน่ารักนี่มันลำบากแบบนี้เองสินะ...

“เก่งนะเราตัวแค่เนี้ย” ลูบหัวลูบตัวเจ้าหมาน้อยแวร์วูฟไปพูดไป แบมแบมที่ถูกเจ้านายอีกคนเอ็นดูขนาดนี้ก็ได้แต่ส่ายหางไปมาเบาๆ

หลังลูบแวร์วูฟจนหายคิดถึงแล้วยองแจก็เดินกลับไปหามาร์คที่ไม่รู้ไปเอาหน้ากากจากไหนมาใส่ เดินเข้าไปใกล้แล้วชะเง้อดูเชิงเล็กน้อย ปีศาจเยอะขนาดนี้เขาอาจจำผิดก็ได้

“ชะเง้อหาอะไรของมึง” เมื่อได้ยินเสียงก็ต้องพยักหน้าเบาๆ นี่แหละน้องเอิน...

“ปกติมึงไม่หล่อขนาดนี้อ่ะ...”

“รักกูแล้วล่ะสิ” ยองแจกรอกตามองบนแล้วทำเป็นไม่สนใจคำพูดของมาร์ค น้องเอินอ้าปากเตรียมว่าเพื่อนแต่หัวหน้าแวร์วูฟก็เข้ามาขัดเสียก่อน

“เบ ฝั่งนู้นมีผีดิบเป็นพวกด้วยนะ อยู่ที่นี่จะไม่ดีกว่าเหรอ” เอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ผีดิบจะไม่ชอบอยู่กันเป็นกลุ่มและลดจำนวนลงมากแล้ว หากแต่พวกมันแต่ละตนก็ฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว

“เบยังไม่เคยเอาจริงเลย บี๋ไม่ต้องห่วงหรอก เวลาเบจะโดนทำร้ายบี๋ก็วิ่งมาช่วยสิเดี๋ยวผิวปากเรียก” เจบีรู้สึกทะแม่งๆกับประโยคเมื่อครู่ของมาร์ค เห็นเขาเป็นอะไรนะ...

“เบครับ...”

“บี๋...อย่าตายนะ” มาร์คเอ่ยออกไปผ่านหน้ากากที่สวมอยู่ แม้ส่วนของดวงตาลงมาถึงจมูกจะถูกปิดบังไว้ แต่ความเป็นห่วงนั้นได้สื่อถึงเจบีผ่านทางดวงจิตที่ผูกพันกันแล้ว

“อากาศเลยกู...” ยองแจบ่นกับตนเองเสียงเบาแล้วค่อยๆย่องออกมา สอดส่องมองหามารดาตนเองแต่สายตาดันไปสะดุดกับคุณลุงเข้าพอดี

ยองแจเดินเข้าไปสะกิดคุณลุงที่ยืนเท้าสะเอวมองเพื่อนๆอาร์เชอร์ขัดเช็ดลูกธนูอยู่ คนโดนสะกิดหันมองอัตโนมัติ เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ยิ้มแก้มแทบแตก กอดหมับเข้าที่คอของหลานชายแล้วแนะนำให้คนในตระกูลได้รู้จัก “เห้ยทุกคน! นี่ยองแจนะเว้ย จำได้ป่ะ” สิ้นเสียงหัวหน้าอาร์เชอร์เหล่าคนในตระกูลก็หันมองยองแจกันเป็นตาเดียว

เด็กหนุ่มยิ้มแหยก่อนกล่าวทักทาย “สวัสดีครับ ยองแจครับ”

เหล่าอาร์เชอร์ยิ้มต้อนรับด้วยความอบอุ่นทำให้ยองแจลดอาการเกร็งลงได้มาก รู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ให้เขาได้เกิดมาในตระกูลที่ดีแบบนี้แม้จะมีลุงไม่ค่อยเต็มบาทเท่าไหร่ก็ตาม...

“ราตรีกาลได้มาถึงแล้ว จงออกไปสู้รบในนามของข้าและกลับมาในนามของเจ้า กองกำลังแห่งข้าออกเดินทางได้” เสียงราชาปีศาจกึกก้องไปทั่วพื้นที่ หลังจบสิ้นคำสั่งกองกำลังโกสท์ก็พลันมลายหายไปตามด้วยกองกำลังมนุษย์ที่ออกวิ่งไปเป็นกลุ่มแล้วแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง
มาร์คนั้นวิ่งออกไปพร้อมแวร์วูฟก่อนแยกตัวออกมาทีหลัง เขาเลือกที่จะออกไปคนเดียวมากกว่าการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม

ราชาปีศาจยังคงยืนอยู่ ณ จุดเดิม ทอดสายตามองกองกำลังของตนเองเคลื่อนพลออกไป หันไปเห็นเหยื่อของตนยืนนิ่งอยู่ไม่ห่างก็เดินเข้าไปหาก่อนเอ่ยถาม “ไม่ออกไปพร้อมอาร์เชอร์เหรอ” ยองแจไม่ตอบ เขย่งปลายเท้าขึ้นประทับจูบลงบนริมฝีปากของโกสท์เบาๆ

“ลืม...เครื่องรางของนายนะ” พูดจบก็วิ่งออกไปรวมพลกับอาร์เชอร์ทันที เพราะความเร็วที่ถูกฝึกฝนมาตลอดสิบปีทำให้สามารถตามฝีเท้าของพลธนูคนอื่นๆทัน

ยูคยอมยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่สักพักก็ออกวิ่งไปอุ้มตัวยองแจขึ้นมาก่อนปล่อยปีกสีดำทมิฬให้สลายแผ่กว้าง โกสท์นั้นคือสายพันธุ์ที่ผิดเพี้ยนมาจากแวมไพร์จึงไม่แปลกเลยที่โกสท์บางตนจะมีปีก

“บินได้ด้วยเหรอเนี่ย!” ยองแจตกใจจนเผลอตะโกนเสียงดัง พอได้สติก็รีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้

ยูคยอมกระพือปีกแล้วมุ่งหน้าไปยังปราสาทของลอร์ดเซซิลเลียทันที ความเร็วอันน่าเหลือเชื่อทำเอายองแจรู้สึกเสียววูบที่ท้องน้อยแปลกๆ ยังไม่ทันถึงที่หมายโกสท์ก็โฉบลงพาเหยื่อของตนเองมาหยุดยืนอยู่หน้ากองทัพก็อบลินและอ๊อค เสียงขู่คำรามของอ๊อคดังลั่น กระบองหนามในมือกระแทกลงพื้นเกิดเป็นเสียงดังอึกทึก

“พามาเจอเรื่องซวยๆอีกแล้วนายเนี่ย” ยองแจกระโดดลงจากอ้อมกอดของยูคยอมแล้วหยิบลูกศรออกมา ง้างคันธนูออก ก่อนปล่อยศรไทเทเนียมสามดอกแหวกผ่านอากาศไปปักกลางศีรษะของอสูรกายยักษ์สามตนจนล้มคว่ำไป

“พวกนี้น่ารำคาญชะมัด” ราชาปีศาจเก็บปีกให้หายเข้าไปในหลัง ก่อนหมุนควงไม้เท้าในมือแล้ววาดมันออกไป ราวกับอากาศได้จับรวมตัวกันเป็นหอกแหลมทิ่มแทงร่างของก็อบลินจนฉีกกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง

ยองแจเอื้อมมือไปหยิบระเบิดในเป้ออกมาสามลูกก่อนดึงสลักออกแล้วโยนเข้าไปกลางวงล้อมของอ๊อค เมื่อปาอาวุธออกไปก็รีบวิ่งหาที่กำบัง

ตู้ม!!!

แรงระเบิดฉีกกระชากร่างอสูรกายยักษ์ให้แหลกเป็นผุยผงพร้อมกับสะเก็ดเงินปลิวว่อนหยุดการเคลื่อนไหวของเหล่าอ๊อคที่ไม่ได้รับแรงระเบิด ยองแจวิ่งเข้าไปหายูคยอมก่อนกระโดดขึ้นหลังโกสท์แล้วยิงธนูใส่กลางศรีษะก็อบลินที่กระโจนเข้ามา

หลับตาลงก่อนเผยโรสอายออกมา ภาพของกองกำลังแวมไพร์เคลื่อนพลตรงไปยังกองกำลังของเมจิสฉายชัดก่อนตัดไปที่อาร์เชอร์ซึ่งตอนนี้ปะทะอยู่กับกลุ่มเอลฟ์จำนวนหนึ่ง

“นายรีบไปที่ปราสาท ฉันจะไปหาเจฮยอง” พูดจบก็กระโดดลงจากหลังของราชาปีศาจแล้ววิ่งออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือพร้อมไฟฉายที่แจ็คสันยัดมันใส่ในเป้มาให้ด้วย ถือเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกชั้นดีเลยล่ะนะ

“ภายในหนึ่งชั่วโมงพากองกำลังอาร์เชอร์ไปหาฉันที่ปราสาท” โกสท์ออกคำสั่งยองแจก่อนร่างจะหายไป

เริ่มนับถอยหลัง

เหลือเวลาอีก 59 นาที 48 วินาที


ติดตามตอนต่อไป

ข้อฝากจากผู้แต่ง
1. ใครเล่นแท็กในทวิตเชิญตามมาที่ #ฟิคยจก
2. ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะคะ
3. นิยายเรื่องนี้อัพเดททุกวันศุกร์
4. แต่งโดย Ppigotexo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2018 23:58:57 โดย longtangGenYaoi »

ออฟไลน์ longtangGenYaoi

  • ลองแต่งสายพันธุ์วาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: GHOST Update Chapter 34 [25/05/61]
«ตอบ #36 เมื่อ24-05-2018 23:53:50 »

ตอนที่ 34
Attack

แต่งโดย : Ppigotexo
ลงวันที่ 25/05/61

หน้าแรก
ตอนก่อนหน้า
ตอนถัดไป

เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังอยู่ไม่ไกล ยองแจเก็บไฟฉายเข้ากระเป๋าก่อนหยิบแว่นอินฟาเรดขึ้นมาสวม จัดแว่นให้เข้าที่อยู่สักพักก็หยิบลูกธนูมาขึงกับเส้นเอ็นแล้วค่อยๆเดินเข้าไป เสียงฝีเท้านั้นโดนเสียงโห่ร้องและเสียงธนูปักเสียบร่างกลบจนมิด

ยองแจง้างธนูแล้วเล็งเป้า หลังตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าเป้าหมายคือฝ่ายศัตรูลูกศรไทเทเนียมก็พุ่งทะยานไปปักเข้ากลางคอหอยของเอลฟ์ทันที หลังร่างของเหยื่อล้มลง ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดการโจมตี เอลฟ์นั้นถอยไปตั้งหลักเช่นเดียวกับอาร์เชอร์ที่ถอยมารวมกำลังพลซึ่งกระจัดกระจายกันอยู่

เป้าของยองแจคือ หัวหน้าเอลฟ์

เด็กหนุ่มวิ่งเข้าไปรวมกับอาร์เชอร์ก่อนมองหาคุณลุงของตนเอง เมื่อพบเข้ากับบุคคลที่กำลังหาก็รีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ก่อนวางมือลงบนไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “เจฮยอง” เจ้าของชื่อหันตามเสียงเรียกก็พบหน้าหลานชายตัวน้อยของเขา เจฮยองจับยองแจหมุนรอบทิศตรวจสอบบาดแผลบนร่างกายของหลานชายด้วยความเป็นห่วง

“หนูเป็นอะไรหรือเปล่าบาดเจ็บไหม”

“ผมไม่เป็นไร เจฮยองปลอดภัยดีไหม”

“ระดับลุงไม่มีแม้แต่แผลถลอก” ยองแจนึกหมั่นไส้ในความคุยโวโอ้อวดของคุณลุงแต่ก็โล่งอกที่อีกฝ่ายไม่ได้รับอันตราย

ยังไม่ทันได้เปล่งคำถามต่อไป โรสอายก็กลับมาสำแดงฤทธิ์อีกครั้ง ยองแจถีบเจฮยองให้ถอยห่างจากตัวก่อนง้างธนูแล้วปล่อยศรสามดอกไปปักบนดวงตาของแขกผู้มาใหม่ ‘ซีโบลด์’ อสูรกายร่างยักษ์ สัตว์เลี้ยงประจำตระกูลกีซาส มันสะบัดหน้าอย่างหงุดหงิดที่การมองเห็นถูกบิดเบือน เสียงขู่คำรามดังก้องไปทั่วป่าด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ยิง !”

คำสั่งจากหัวหน้าพลธนูดังแข่งเสียงคำราม ห่าฝนธนูนับพันพุ่งเข้าปักแทงทะลุร่างของปีศาจสิงโตจนมันทรุดลงไป

อาร์เชอร์ยังคงง้างธนูเตรียมพร้อมโจมตีส่วนเอลฟ์ที่ถอยไปตั้งหลักในตอนแรกนั้นได้กลับมาอีกครา ธนูดอกแรกถูกยิงมาจากเอลฟ์สร้างควันสีเทาลอยฟุ้งจนมองแทบไม่เห็น การมองเห็นที่ทำได้ยากเย็นในยามกลางคืนบัดนี้ถูกตัดขาดเสียแล้ว ยองแจหันมองรอบตัวช้าๆ ฟังเสียงฝีเท้าที่ย่างเข้ามา

“เสียงฝีเท้าเบากว่าคนทั่วไป ความเร็วเหนือกว่ามนุษย์เป้าหมายทิศเหนือสิบนาฬิกา” บ่นพึมพำกับตนเองเบาๆพร้อมง้างคันธนูแล้วปล่อยลูกศรเข้าไปปักบนไหล่ของอีกฝ่าย

ยองแจวิ่งออกมาจากกลุ่มควันแล้วกวาดสายตามองหาต้นไม้ที่แข็งแรงพอจะเป็นตัวยึดให้เขาปีนขึ้นไปได้ เขาออกตัววิ่งทันทีหลังพบต้นไม้ที่เข้าข่าย ยองแจควานหาบางอย่างในกระเป๋าแล้วหยิบมันออกมา เชือกที่ผูกกับตะขอเหล็กขนาดใหญ่ถูกเหวี่ยงขึ้นไปคล้องกับกิ่งไม้ หลังดึงตรวจสอบความแข็งแรงแล้วยองแจก็ปีนขึ้นไปโดยใช้ลำต้นเป็นหลักค้ำยัน เมื่อขึ้นมาสูงในระดับที่พอใจแล้วเขาก็ไม่ลืมที่จะเก็บเชือกขึ้นมาด้วย การสอนของเดม่อนฮันเตอร์นั้นเป็นประโยชน์ในเวลานี้มากทีเดียว

เด็กหนุ่มมองดูสถานการณ์จากบนต้นไม้ เอลฟ์กลุ่มหนึ่งปะทะเข้ากับอาร์เชอร์ ยองแจเพ่งมองภาพครู่หนึ่งก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าบุคคลที่ตนกำลังมองอยู่คือมารดาของตน ยังไม่ทันได้ง้างคันธนู อสูรกายร้ายที่ถูกยิงในตอนแรกก็ลุกขึ้นมา สะบัดเพียงครั้งเดียวลูกธนูนับร้อยก็หลุดออกจากตัวไปปักบนร่างผู้เคราะห์ร้าย ยองแจขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเรื่องยุ่งยากกำลังถาโถมเข้าใส่

“บ้าเอ๊ย! ธนูที่มันสะบัดออกโดนอาร์เชอร์ด้วย” ยองแจสบถอย่างหัวเสีย ควานหาบางอย่างในกระเป๋าเป้ก่อนหยิบมันออกมา

เขาจับด้ามของมันก่อนดึงให้ส่วนที่เป็นโลหะยืดออก เปิดฝาขวดของเหลวบางอย่างแล้วเทให้เคลือบไปบนผิวโลหะ หลังแน่ใจว่าของเหลวนั้นแห้งแล้วก็จับด้ามของอาวุธมาขึงเข้ากับเอ็นธนู จำเป็นด้วยหรือที่พลธนูนั้นจะต้องยิงแค่ลูกธนูเท่านั้น...จังหวะที่ซีโบลด์แผดเสียงคำราม ‘ดาบเงิน’ ที่เคลือบด้วยยาพิษก็ถูกปล่อยออกจากนัวร์สีดำสนิท

ดาบคมปักลงกลางศีรษะของสัตว์ร้าย พิษที่เคลือบไว้บนผิวดาบค่อยๆแพร่เข้าสู่กระแสเลือดของมัน ดวงตาของซีโบลด์เหลือกลานร่างล้มลงนอนดิ้นกระเสือกกระสน น้ำลายเป็นฟองฟอดไหลทะลักออกมา ขาทั้งสี่ชี้ฟ้าทุรนทุรายก่อนแน่นิ่งไป พิษร้ายที่เดม่อนฮันเตอร์ได้คิดค้นขึ้นสำหรับกำจัดสัตว์ร้ายอย่างซีโบลด์ ยองแจมองภาพนั้นก่อนคำพูดของแจ็คสันจะผุดขึ้นในหัว

‘สิ่งแรกที่อาจเจอคือซีโบลด์’   

เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ดาบไม่พลาดเป้า ถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกแจ็คสันต้องโดนโกรธที่ใช้อาวุธผิดวิธีแน่ ยองแจสะบัดหัวสองสามครั้งก่อนตบแก้มเรียกสติตนเอง หลังรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนเบาๆเด็กหนุ่มก็มองลงไปยังพื้นเบื้องล่าง เอลฟ์สองตนกำลังปีนป่ายต้นไม้ขึ้นมาหาเขา

“สองรุมหนึ่งเหรอ”

ยองแจง้างธนูเตรียมสอยพวกหมาหมู่ให้ร่วงแต่ก็ต้องหลบเมื่อเจอลูกธนูสวนขึ้นมา เขาผูกปลายเชือกเข้ากับเอวก่อนดึงสำรวจปลายอีกข้างที่พันรอบต้นไม้อยู่ มองภาพเบื้องล่างครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิดก่อนหยิบปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมา สูดหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วกระโดดลงจากต้นไม้

“ถ้ากูไม่ตายเพราะธนูก็ตายเพราะตกต้นไม้นี่แหละ”

กระบอกสีเงินถูกยกขึ้นมาเตรียมพร้อม เมื่อร่วงลงมาได้ครึ่งทางก็โหนเชือกไว้แล้วเตะคันธนูของเอลฟ์ตนแรกจนกระเด็นหล่นลงพื้น “อย่ารุมกันสิครับคุณเอลฟ์” พูดจบก็ส่งกระสุนเงินออกไปทักทายอีกฝ่ายจนตกต้นไม้ เอลฟ์อีกตนที่เห็นเพื่อนตกลงไปก็ง้างธนูขึ้นเตรียมยิงใส่ยองแจทันที

“รู้อะไรไหมครับคุณเอลฟ์” ยองแจพูดก่อนปล่อยมือจากเชือก ร่างกายดิ่งลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว จังหวะที่ผ่านตัวเอลฟ์ก็ลั่นไกนัดเดียวยิงเข้าตัดขั้วหัวใจทันที

“ลูกปืนมันเร็วกว่าลูกธนูนะครับ” บอกกล่าวกับร่างไร้วิญญาณที่ตกลงไปด้านล่าง

ยองแจจับเชือกไว้ก่อนค่อยๆโรยตัวลงมายังพื้นดิน เมื่อขาสัมผัสพื้นก็ต้องเหงื่อตกเมื่อพบว่าตนเองนั้นถูกล้อมด้วยกองทัพเอลฟ์เสียแล้ว

สองมือค่อยๆชูขึ้นเหนือหัวก่อนทิ้งปืนลงพื้น เหล่าเอลฟ์ที่เห็นศัตรูยอมแพ้ก็ลดระดับลูกธนูลงอย่างชะล่าใจ ยองแจอาศัยความมืดเป็นเครื่องอำพรางล้วงเข้าไปหยิบเครื่องช็อตไฟฟ้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เขาอาศัยจังหวะที่เอลฟ์ลดความระวังตัวปีนเชือกขึ้นไปแล้วออกแรงแกว่งให้ตัวของตนเองโหนไปตามแรงเหวี่ยง ไฟฟ้าแล่นเข้าช็อตตัวเอลฟ์จนสลบไป เมื่อโหนมาถึงปืนที่ทิ้งไปก็ก้มคว้ามันขึ้นมาอีกครั้งแล้วลั่นไกใส่เอลฟ์ที่เหลือ ยองแจรีบวิ่งออกมาจากต้นไม้นั้นก่อนถูกล้อมอีกครั้ง รู้สึกสูญเสียพลังงานไปมากทั้งที่เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น

“อีกสี่สิบนาที” พึมพำกับตนเองเบาๆแล้ววิ่งเข้าไปยังกลุ่มของอาร์เชอร์ที่ถูกเอลฟ์ล้อมกรอบอยู่

กระสุนเงินพุ่งเข้าเจาะกะโหลกของเอลฟ์นับสิบตน ปืนถูกเก็บเข้าที่เดิมก่อนธนูสีดำจะถูกง้างออกอีกครั้ง เหล่าอาร์เชอร์ที่ถูกรุมในตอนแรกหันหลังชนกันเป็นวงกลมต่างคนต่างหยิบลูกธนูขึ้นมาขึงเส้นเอ็นคนละสามดอกก่อนปล่อยศรเพื่อแหวกวงล้อมของศัตรู ยองแจหลบลูกศรที่พุ่งผิดวิถีจนเกือบปักตาขวาเขาอย่างหวุดหวิด นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วก่อนโกยแน่บไปหลบหลังต้นไม้

“เกือบไปแล้วไหมล่ะ”

“ยองแจเป็นอะไรไหมลูก” ยองฮีที่เห็นลูกชายตัวเองเกือบโดนลูกหลงก็รีบวิ่งเข้าไปหาพลางสำรวจร่างกายยองแจไปด้วย

“ผมไม่เป็นไรครับแม่ แม่โอเคไหม” ยองแจตอบมารดาพร้อมสำรวจร่างกายของเธอไปด้วย เหมือนยองฮีจะสบายดี เห็นแบบนั้นก็โล่งอก สถานการณ์ในตอนนี้ไม่มีเวลาให้ห่วงหากันมากนัก ยองแจดึงแขนแม่ของตนเองให้หลบวิถีของลูกธนูที่พุ่งมา

ความโกรธเคืองที่ศัตรูหวังทำร้ายมารดาของตนทำให้เขาง้างคันธนูพร้อมปล่อยศรไทเทเนียมเจ็ดดอกเข้าปักลงทั้งลำตัวของเป้าหมายเพียงตนเดียว ยองฮีนึกแปลกใจที่ลูกชายของตนนั้นมีพัฒนาการรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ จากสามดอกสู่เจ็ดดอกได้ในเวลาแสนสั้น

“เหลือศัตรูอีกเท่าไหร่ลูก” ยองฮีเอ่ยถามลูกชายพร้อมปล่อยธนูเก้าดอกใส่เป้าหมายเก้าตนที่พุ่งเข้าใส่

“ห้าสิบตนครับแม่!” ตะโกนตอบมารดาก่อนเอี้ยวตัวหลบเอลฟ์ที่ฟาดคันธนูใส่

“ธนูเขามีไว้ยิงไม่ได้มีไว้ฟาดครับคุณเอลฟ์!” พูดจบก็ใช้คันธนูของตนเองเสยคางอีกฝ่าย คันธนูที่ทำจากแร่โลหะนั้นคมพอที่จะเจาะทะลุคางขึ้นไปถึงสมอง ยองแจมองภาพที่เห็นด้วยความรู้สึกพะอืดพะอม รีบดึงนัวร์กลับมาแล้วสะบัดเลือดที่ติดอยู่ทิ้ง

โรสอายสำแดงฤทธิ์ของมันอีกครั้ง ยองแจเล็งเป้าไปยังพื้นที่ว่างเปล่าก่อนนับถอยหลังในใจ เมื่อนับครบก็ปล่อยลูกศรออกไป จากพื้นที่ที่ไม่มีอะไรเลยกลับปรากฏร่างของเอลฟ์ตนหนึ่งที่พุ่งออกมาจากหลังต้นไม้หวังเข้าโจมตีหัวหน้าอาร์เชอร์ที่ขาดการระวังด้านหลัง

“เจฮยอง! เดี๋ยวก็โดนแทงข้างหลังหรอก!” ยองแจตะโกนบอกคุณลุงไปแล้ววิ่งเข้าไปหันหลังชนหลังของหัวหน้าอาร์เชอร์

“ลุงไม่ค่อยถนัดโดนแทงเสียด้วยสิ แย่จัง แต่ถ้าเป็นฝ่ายแทงนี่ถนัดนะ” เจฮยองพูดอย่างอารมณ์ดีแล้วยิงธนูใส่เอลฟ์ที่หลบอยู่หลังพุ่มไม้จนล้มไป

“ไปเล่นมุกนี้ไกลๆเลยนะ” ยองแจพูดอย่างเอือมระอาพร้อมชักปืนขึ้นมายิงเอลฟ์บนต้นไม้จนร่วงกระแทกพื้น

“เจฮยอง ยูคยอมสั่งว่าให้ไปหาที่ปราสาท อีกยี่สิบห้านาที”

“รับบัญชาเลยนายท่าน” พูดจบก็ยิงธนูเข้าใส่เอลฟ์ตนสุดท้ายจนล้มลงไป

กองกำลังเอลฟ์ห้าร้อยตนถูกกำจัดพร้อมกับอาร์เชอร์ที่เหลือรอดอีกสี่สิบคน...ได้เวลามุ่งหน้าไปทวงสิ่งสำคัญคืนเสียที

-อีกด้านหนึ่ง-

ผีดิบยังคงวิ่งไปเรื่อยๆตามสัญชาติญาณ ไม่หลบซ่อนหรือคอยหยั่งเชิง วิ่งตรงไปซึ่งๆหน้า มาร์คหยุดวิ่งเมื่อสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ
มุมปากยกยิ้มก่อนดวงตาแห่งผีดิบจะประจักษ์ เบื้องหน้าของผีดิบชนชั้นสูงคือกองกำลังเซอร์คัสพร้อมสัตว์ออกรบ ‘บาซิลิสก์’ สัตว์ฝึกที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเซอร์คัสรองจากเคลเบรอส

ดวงตาสีแดงฉานของบาซิลิสก์จ้องมองผีดิบเบื้องหน้า เบิ่งตากว้างราวกับต้องการข่มขู่แต่มาร์คนั้นไม่ได้เกรงกลัวเลย ปีศาจที่อาศัยความกลัวทางจิตใจเพื่อเล่นงานอีกฝ่าย...ผีดิบและบาซิลิสก์น่ะมันประเภทเดียวกันยังไงล่ะ

เพี๊ยะ!

เสียงแส้ฟาดลงบนพื้นป่าดังก้องไปทั่ว บาซิลิสก์เลื้อยเข้าประชิดมาร์คอย่างรวดเร็ว แม้ตัวของมันจะใหญ่แต่การเคลื่อนไหวนั้นไม่ได้เชื่องช้าตามขนาดตัว ผีดิบปรายตามองก่อนใช้แรงกดดันดีดปีศาจกิ้งก่าให้กระเด็นออกไป คงง่ายขึ้นหากมีบาซิลิสก์เพียงตัวเดียว...

“อย่าวู่วาม!” เสียงหนึ่งตะโกนแข่งกับเสียงขู่คำรามของสัตว์ฝึก มาร์คเพ่งสายตามองก็พบเข้ากับคนที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้จากแวร์วูฟ...เซอร์คัสจินยอง

“โอ้...เด็กคนนั้นนี่” มาร์คพูดกับตนเองเบาๆก่อนขยับหน้ากากเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปหาฝูงบาซิลิสก์

จำนวนของสัตว์ฝึกนั้นมีราวสิบกว่าตนและเซอร์คัสอีกสามสิบคน มาร์ครู้สึกขัดใจในความยุ่งยากนี้ เซอร์คัสนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาเลยแต่ตัวปัญหาหลักเลยคือเจ้ากิ้งก่านี่ต่างหาก หากเขาหลุดกลัวแม้เพียงเสี้ยวเดียวร่างกายจะขยับไม่ได้ไปชั่วขณะนั่นเท่ากับว่าเปิดโอกาสให้พวกมันโจมตี

“เอางี้นะ เรามาคุยกันก่อนดีไหม”

มาร์คพูดขึ้นด้วยเสียงดังพอให้ได้ยินกันทั้งหมด เหล่าเซอร์คัสนิ่งเงียบ ยังคงหวาดระวังจนผีดิบเห็นแล้วต้องถอนหายใจออกมา

ที่ผ่านมานั้นมาร์คคิดว่าตนเองสื่อสารกับมนุษย์ได้รู้เรื่องมาโดยตลอดแต่เหมือนเขาจะเข้าใจผิดสินะ

“พวกเราไม่มีอะไรต้องคุยกับคุณ” จินยองตอบกลับด้วยน้ำเสียงปนกังวล

“ฉันรู้ว่าพวกนายต้องการเคลเบรอสคืน มันจะไม่ดีกว่าเหรอถ้าเรามาร่วมมือกัน”

มาร์คเริ่มยื่นข้อเสนอให้แก่เซอร์คัส ข้อเสนอของเขานั้นไม่มีเจตนาใดแอบแฝงเลย เป็นข้อเสนอที่สมเหตุสมผลและซื่อตรงสุดๆ แต่ดูเหมือนเซอร์คัสจะไม่ไว้ใจในความซื่อตรงนั้นเท่าไหร่

“คุณรู้ได้ยังไง” จินยองเอ่ยถาม เริ่มลังเลว่าจะเชื่ออีกฝ่ายดีไหม

“ฝั่งราชาปีศาจนั้นมีสายสืบมากมายเลยล่ะจินยอง” มาร์คตอบเซอร์คัสแล้วแย้มยิ้มผ่านหน้ากากที่สวมอยู่ จินยองตกใจที่อีกฝ่ายนั้นรู้จักชื่อของตนเองก่อนเบิกตากว้างเมื่อเพ่งมองผีดิบตนนี้ดีๆ

“คุณ...”

“ก็จำได้นี่” มาร์คกอดอกแล้วเอนกายพิงต้นไม้ คงดีหากพวกเซอร์คัสคุยรู้เรื่อง

“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ พวกผีดิบอยู่ฝั่งลอร์ดเซซิลเลียนะครับ!”

จินยองตะโกนบอกมาร์ค ผีดิบพยักหน้ารับรู้ เผ่าพันธุ์เดียวกันไม่จำเป็นต้องเป็นพวกเดียวกันเสมอไป แม้แต่มนุษย์ที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันยังเกิดการแบ่งแยกฝ่ายเลย

“เผ่าพันธุ์เดียวกันไม่จำเป็นต้องเป็นพวกเดียวกันเสมอไป ดูอย่างนายสิ พวกมนุษย์อยู่ฝั่งราชาปีศาจนะ” มาร์คตอบกลับด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่จินยองนั้นรู้สึกชาไปทั้งหน้า

“ผมมีเหตุผลของผม”

“ฉันก็มีเหตุผลของฉัน เอาล่ะ สรุปจะยอมร่วมมือหรือจะเข้ามาฆ่าฉันกันล่ะ” จินยองนิ่งเงียบไป ใจหนึ่งอยากตอบตกลงแต่อีกใจหนึ่งก็นึกกลัว พวกปีศาจจะไว้ใจได้แค่ไหนกันเชียว...

“กำลังคิดว่าพวกปีศาจจะไว้ใจได้แค่ไหนกันสินะ” จินยองมองผีดิบด้วยสายตาที่ยากคาดเดา จะว่ายังไงดีล่ะ...รู้สึกเหมือนโดนกวนตีนแปลกๆ

“ไม่มีปีศาจตนไหนไว้ใจได้นอกจากสัตว์ฝึกของเซอร์คัสหรอกเด็กน้อย” เสียงหนึ่งดังขัดความเงียบร่างของอสูรกายสามหัวพุ่งทะยานลงมาจากต้นไม้ก่อนตะครุบร่างของมาร์ค ผีดิบจับเขี้ยวของหัวสิงโตไว้พลางต้านแรงกดมหาศาลจากมัน หัวสิงโตสะบัดก่อนคำรามดังลั่น จังหวะที่มาร์คเผลอหางที่เป็นอสรพิษก็เข้าโจมตีทันที!

พิษอย่างแรงถูกฉีดพ่นเข้าสู่ร่างกายของผีดิบ เขาหมดแรงก่อนนอนเกือกไปกับพื้น ความเจ็บปวดค่อยๆแล่นเข้าสู่ร่าง ทรมารจนต้องขดงอตัว มาร์คจ้องมองไปยังผู้คุมสัตว์อย่างนึกคาดโทษ

“พี่เอมี่!”


ติดตามตอนต่อไป

ข้อฝากจากผู้แต่ง
1. ใครเล่นแท็กในทวิตเชิญตามมาที่ #ฟิคยจก
2. ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะคะ
3. นิยายเรื่องนี้อัพเดททุกวันศุกร์
4. แต่งโดย Ppigotexo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2018 22:37:54 โดย longtangGenYaoi »

ออฟไลน์ longtangGenYaoi

  • ลองแต่งสายพันธุ์วาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: GHOST Update Chapter 37 [01/06/61]
«ตอบ #37 เมื่อ31-05-2018 22:09:52 »

ตอนที่ 35
Toxic

แต่งโดย : Ppigotexo
ลงวันที่ 01/06/61

หน้าแรก
ตอนก่อนหน้า
ตอนถัดไป

“พี่เอมี่!” จินยองตะโกนลั่นก่อนวิ่งเข้าไปขวางคิเมร่าที่เตรียมจู่โจมมาร์คอีกรอบ สัตว์ฝึกชะงักไปเมื่อเห็นผู้คุม ส่งเสียงขู่คำรามอย่างขัดใจก่อนยอมถอยหลังไป

“ถอยไปจินยอง!” เอมิลี่ตวาดเสียงดังลั่นพร้อมเหวี่ยงแส้เฉี่ยวหน้าจินยองจนเกิดเป็นแผลถลอก เซอร์คัสหนุ่มไม่ยอมทำตามคำสั่งของพี่สาว ยังคงยืนบังผีดิบไว้

“พี่กำลังทำแผนผมพัง! เขาจะช่วยเรา!” จินยองตวาดกลับด้วยความโกรธเกรี้ยว อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงอาการของมาร์ค พิษของคิเมร่านั้นร้ายแรงทีเดียว หากไม่รีบทำอะไรสักอย่างต่อให้เป็นผีดิบชนชั้นสูง ‘ก็ตายได้’

“อะไรนะ...” เอมิลี่กระโดดลงจากหลังคิเมร่าเข้าไปหามาร์คที่ตอนนี้ยังนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่

เอมิลี่ถกขากางเกงของมาร์คขึ้น บริเวณที่ถูกกัดบวมช้ำอย่างเห็นได้ชัด ผิวหนังในส่วนที่พิษแพร่กระจายไปเริ่มกลายเป็นสีดำ หัวหน้าเซอร์คัสสบถคำ   หยาบอย่างหงุดหงิดก่อนขึ้นไปคร่อมร่างของผีดิบไว้แล้วตบหน้าเขาเบาๆ

“ฟังนะไอ้ผีดิบ แกต้องตัดขาตัวเองทิ้ง เดี๋ยวนี้!”

มาร์คกัดฟันกรอด วาดมือเข้าสับต้นคอของเอมิลี่แต่อีกฝ่ายนั้นหลบทันก่อนถอยหลังแล้วตวัดแส้ไปพันข้อมือของเขาไว้ ความเจ็บปวดจากพิษนั้นมีมากจน   แทบดิ้นขัดขืนไม่ไหว เสียงหอบหายใจดังฟืดฟาดปานจะขาดใจ

เลือดสีสดค่อยๆไหลออกมาจากปากและดวงตาผีดิบ “ฮึก...อ๊ากกกก!!!!!!” มาร์คตะโกนเสียงดังลั่นอย่างเหลืออด ทรมารเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

“อดทนไว้นะครับคุณ!” จินยองนั่งลงพลางกุมมือมาร์คไว้ เซอร์คัสที่เหลือลนลานกันจนสัตว์ฝึกพากันแตกตื่นแต่ก็สงบลงเมื่อเอมิลี่ฟาดแส้ลงกับพื้น

“ตัดขาฉันซะ...จินยอง” มาร์คบีบมือจินยองแน่นพร้อมกับไอกระอักเลือด ออกมา

จินยองที่เห็นแบบนั้นก็ลนลาน กำแส้ในมืออีกข้างแน่น ก่อนตัดสินใจทำในสิ่งที่อีกฝ่ายขอ

แส้เงินฟาดลงพื้นอย่างแรงพร้อมกับร่างของบาซิลิสก์ที่เลื้อยเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขี้ยวคมง้างออกแล้วฝังลงบนขาของผีดิบก่อนฉีกกระชากทีเดียวจนขาขาดสะบั้น มาร์คกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างชักกระตุกอย่างทรมาร ของเหลวสีสดพุ่งกระจายดั่งสายฝนชโลมหน้ากากสีเงินให้แดงฉานด้วยสีของมัน

“แม่งเอ๊ย!” มาร์คสบถออกมาเสียงดัง จิกเล็บลงกับพื้นดินหวังระบายความเจ็บปวดแต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย เลือดยังคงหลั่งไหลออกมาจากบาดแผลและดวงตาของผีดิบไม่ยอมหยุด สีหน้าของมาร์คซีดลงทุกที ลมหายใจเริ่มรวยริน

ภาพความทรงจำแล่นเข้ามาในหัวของเซอร์คัสอีกครั้ง ถึงแม้ครั้งนี้อีกฝ่ายจะไม่ได้บาดเจ็บเพราะเขาแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกผิดและเจ็บปวดไปด้วย จินยองหันไปหาพี่สาวก่อนขอความช่วยเหลือจากเธอ อย่างน้อยหัวหน้าตระกูลคงพอจะรู้อะไรบ้าง

 “พี่เอมี่ครับทำอะไรสักอย่างสิครับ” 

“ส่วนที่ถูกพิษโดนตัดออกไปแล้ว ตอนนี้ทำได้แค่รอให้ผีดิบฟื้นตัว แต่ถ้าอยากให้หายเลยต้องให้เขากินเนื้อ...มนุษย์” จินยองทอดถอนหายใจออกมาก่อนมองร่างที่ดูเหมือนจะขาดใจตายได้ทุกวินาที

“คุณครับ...กินผมไหม”

“ห๊ะ/เห้ย!” มาร์คและเอมิลี่อุทานขึ้นพร้อมกัน หัวหน้าเซอร์คัสกุมขมับทันที นึกอยากตบปากน้องชายตัวเองที่พูดอะไรไม่รู้จักคิด

“พูดอะไรออกมาจินยอง! น้องอาจตายได้นะ” เอมิลี่เดินเข้าไปเขย่าตัวจิน ยองพร้อมตบหน้าเรียกสติน้องชายตนเองเบาๆ

“แล้วพี่จะให้ผมทำยังไงครับ! เค้าเกือบตายเพราะผมอีกแล้ว ถ้าเค้าตายผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่” จินยองคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนของพี่สาวแล้วออกแรงบีบด้วยอารมณ์โมโห เอมิลี่ที่เห็นน้องชายโกรธจัดเป็นครั้งแรกก็ได้แต่นิ่งเงียบ

เพราะสงครามทำให้เธอขาดสติ ตัดสินใจอย่างวู่วามจนเกิดปัญหา เอมิลี่ถอนหายใจก่อนสะบัดมือจินยองออกแล้วเดินเข้าไปหาคิเมร่า โอบกอดหัวสิงโตไว้อย่างต้องการกำลังใจ เธอต้องแบกรับภาระอะไรไว้บ้างนะ มีกี่เรื่องที่เธอรู้ มีกี่เรื่องที่เธอต้องเก็บงำมันไว้เพื่อความสบายใจของคนในตระกูล

“คือ...ว่า เอางี้นะ...ขอสัตว์ฝึก...ให้ฉันตัว...นึงสิ” มาร์คที่เห็นสถานการณ์เริ่มไม่สู้ดีเอ่ยขัดบรรยากาศมาคุด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง รู้สึกเหมือนเป็นภรรยาเก็บที่ทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกแต่ก็ต้องทนอยู่เพราะไม่มีหนทางไป...ไม่เกี่ยวกันเลยกลับมาเถอะ...

“สัตว์ฝึกเหรอ คุณจะเอาไปทำอะไรครับ” จินยองที่พอจับใจความในน้ำเสียงติดขัดนั้นได้ถามขึ้นแล้วนั่งลงข้างๆเพื่อรอฟังคำตอบ

“ฉันจะกินมัน”

“กิน...บาซิลิสก์นี่เหรอครับ” จินยองทวนคำพูดมาร์คอีกรอบ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยได้ยินว่ามีผีดิบตนไหนกินเนื้ออย่างอื่นนอกจากเนื้อมนุษย์มาก่อน

“เออ...” มาร์คตอบกลับไปอย่างยากลำบาก เริ่มคลานไปหาบาซิลิสก์ตรงหน้าช้าๆ

“อ...เอาจริงเหรอครับ คุณจะไม่เป็นอะไรเหรอ” จินยองเริ่มลนลานอีกครั้ง ถ้ามาร์คกินบาซิลิสก์เข้าไปแล้วกลายพันธุ์ขึ้นมาจะทำยังไงกันล่ะ วุ่นวายไปกันใหญ่เลยสิ

“เนื้อหมาก็กินมาแล้ว” มาร์คตอบจินยองแล้วคว้าหมับเข้าที่หางของปีศาจกิ้งก่า
บาซิลิสก์สะบัดหางหลบก่อนเลื้อยถอยห่าง ส่งเสียงขู่พร้อมกระพือปีก ผีดิบทุบกำปั้นลงพื้นอย่างขัดใจ เขายันตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ขาข้างที่ถูกกัดขาดไปก่อนหน้านี้เริ่มงอกกลับสู่สภาพเดิม เนื้อเยื่อเริ่มสมานตัวกันอย่างช้าๆแต่เลือดที่สูญเสียไปนั้นมากเกินกว่าจะนิ่งเฉย

“พ...พี่เอมี่ครับ เอาไงดี”

ถึงแม้จะยังโมโหเอมิลี่อยู่แต่จินยองในตอนนี้สับสนเกินกว่าจะตัดสินใจอะไรเองได้จึงหันไปถามความเห็นจากผู้นำตระกูล

“ปล่อยให้มันกิน” เอมิลี่ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่ในใจนั้นลุ้นไม่น้อยไปกว่าน้องชายเลย

สองพี่น้องเซอร์คัสยืนนิ่งมองผีดิบค่อยๆเดินกะเผลกเข้าไปหาสัตว์ฝึกของตระกูล มาร์คจ้องบาซิลิสก์ไม่วางตา ส่งเสียงขู่ออกมาจากท้องพร้อมกับเขี้ยวที่งอกยาวขึ้น

แรงกดดันถูกส่งออกจากร่างของผีดิบอัดปีศาจกิ้งก่าจนจมดิน เขาออกตัววิ่งก่อนกระโดดขึ้นไปบนตัวของสัตว์ฝึก วาดเท้าขึ้นบนอากาศแล้วอัดกระแทกหลังของมันจนขาจมลงไปในเนื้อ

“หึ” มาร์คดึงขาตัวเองขึ้นมาก่อนแผ่แรงกดดันอัดตัวบาซิลิสก์อีกรอบ

สัตว์ฝึกแน่นิ่งไป มาร์คไม่ได้ฆ่ามันเพียงแต่ทำให้มันสลบไปเท่านั้น ผีดิบไถลตัวลงมาจากหลังของบาซิลิสก์ก่อนเดินวนรอบตัวของมัน
พินิจอยู่นานว่าจะกินส่วนใดดี หลังหมดเวลาคิดไปร่วมนาทีมาร์คก็เลือกส่วนคอที่ดูเหมือนจะฝังเขี้ยวลงไปง่ายที่สุด

“...ไม่กินก็ตาย...เอาวะ” พูดจบผีดิบก็จัดการฝังเขี้ยวลงกับคอของบาซิลิสก์ก่อนกระชากให้เนื้อส่วนนั้นหลุดออกมา เนื้อสดๆถูกกลืนลงท้องโดยไม่ผ่านการเคี้ยว

ผีดิบเชิดหน้าพร้อมยกหลังมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลลงมาเปื้อนคางออก ดวงตาผีดิบแข็งกร้าวกว่าทุกที เส้นเลือดตามร่างกายปูดโปนโป่งพองมากกว่าทุก คราราวกับมันกำลังจะระเบิด เสียงคำรามต่ำดังมาจากมาร์ค เขาทรุดลงกับพื้น สองมือเลื่อนขึ้นไปจิกทึ้งผม ร่างก้มโค้งลงแทบติดพื้น บางอย่างคล้ายกระดูกค่อยๆโผล่ออกมาจากกลางหลัง โครงสีดำแผ่สยายออกก่อนเนื้อเยื่อสีดำจะค่อยๆก่อตัวตามโครงนั้น เซอร์คัสมองตามด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึก สิ่งที่งอกออกมาจากหลังของมาร์คคือ ‘ปีก’

ความสามารถอีกอย่างหนึ่งของผีดิบชนชั้นสูงที่น้อยตนนักจะค้นพบคือ ‘การช่วงชิงพลัง’

-อีกด้านหนึ่ง-

ฝูงแวร์วูฟวิ่งฝ่ากองทัพก็อบลินนับร้อย ฉีกกระชากร่างของปีศาจที่พุ่งเข้าใส่อย่างไร้ความปราณี หัวหน้าแวร์วูฟใช้ก็อบลินเป็นแท่นเหยียบกระโดดขึ้นไปบนยอดไม้ก่อนก้มลงมองพื้นเบื้องล่าง หากวิ่งต่อไปสิ่งที่รอเหล่าหมาป่าปีศาจอยู่คือศัตรูคู่อาฆาตของแวร์วูฟสายเลือดบริสุทธิ์ คู่อริที่ไม่เคยลงรอยกันร่วมพันปี ‘กองกำลังผีดิบ’ เจบีในร่างหมาป่ากระโจนลงมาจากต้นไม้ก่อนประกาศให้ลูกน้องได้รับรู้

“อีกห้าสิบเมตรพวกเรามาจัดปาร์ตี้รำลึกความหลังกัน”

เสียงหอนดังก้องไปทั่วป่า เหล่าแวร์วูฟต่างยินดีที่จะได้พบเจอกับคู่อริเก่าอย่างผีดิบ ปีศาจหมาป่าเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด ปล่อยให้ศัตรูรอนานเดี๋ยวจะหมดอารมณ์สู้กันเสียก่อน...ทันทีที่ฝูงแวร์วูฟก้าวย่างเข้าไปในอาณาบริเวณของผีดิบแรงกดดันก็เข้าปะทะร่างทันที แวร์วูฟที่ไม่ทันระวังตัวก็กระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ เจบีขู่คำรามเสียงสนั่นตัดแรงกดดันให้หายไป

“ขอบคุณสำหรับคำทักทาย” เจบีส่งสายตาเหยียดหยามให้กับเหล่าผีดิบ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่จำนวนของอีกฝ่ายนั้นลดลงอย่างเหลือเชื่อแต่ก็มั่นใจไม่ได้ว่านี่คือจำนวนผีดิบที่ยังเหลือรอดทั้งหมด พวกผีดิบนั้นรักสันโดษจึงไม่ชอบการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม

“การปล่อยให้แขกรอมันเสียมารยาทนะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นในวงล้อมผีดิบก่อนผู้พูดจะเดินออกมาด้านหน้า

เจบีคืนร่างมนุษย์ก่อนแสยะยิ้มเหี้ยม ดั่งเลือดในกายกรีดร้องด้วยความเกลียดชัง ผีดิบสายเลือดบริสุทธิ์ที่เหลือรอดจากการออกล่าของแวร์วูฟ ผีดิบผู้คร่าชีวิตครอบครัวของแวร์วูฟเจบี

“ฮิวโก้...” เจบีเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงที่ถูกกดจนต่ำ สองมือกำหมัดแน่นจนกระดูกลั่นเกรียว

“โตขึ้นเยอะเลยนี่ ‘ไอ้หนู’ “ไม่พูดเปล่า ฮิวโก้เดินเข้าไปหาเจบีแล้วลูบหัวเขาเบาๆ แวร์วูฟปัดมือผีดิบออกก่อนคำรามเสียงดัง

“อย่ามายุ่ง!”

“เหมือนกันเลยนะ...กับพ่อของแก” เจบีมองตาขวาง สติแทบกระเจิงออกจากร่างเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงบิดาของตนเอง

“พี่ครับใจเย็นๆ” แบมแบมที่เห็นท่าไม่ดีก็รีบเข้าไปหาพี่ชาย วางมือบนไหล่แล้วออกแรงบีบเบาๆ เจบีพยักหน้าแล้วหลับตาอย่างต้องการระงับอารมณ์ แม้จะใจเย็นลงหน่อยแต่เลือดในกายยังร่ำร้องให้ล้างแค้น ดวงตาหมาป่าจ้องมองผีดิบชนชั้นสูงก่อนเอ่ยปาก

“มาทำให้เรื่องมันจบกันเถอะฮิวโก้...” สิ้นเสียงร่างกายของเจบีพลันเปลี่ยนเป็นหมาป่าพุ่งกระโจนเข้าใส่ผีดิบทันที

ฮิวโก้ยกยิ้มพลางเอนตัวหลบเจบีที่พุ่งเข้าใส่ เปิดเผยดวงตาผีดิบก่อน หยิบสนับมือในกระเป๋าเสื้อมาใส่ ผีดิบชนกำปั้นเข้าใส่กัน เสียงเหล็กกระทบกันดังสนั่นก่อนร่างนั้นจะหายไป  แวร์วูฟกวาดสายตามองรอบตัว เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าอย่าง ตั้งใจ ฮิวโก้ไม่ได้หายไปไหนเขาเพียงแต่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนตาไม่สามารถมองเห็นได้เจบีกระโดดหลบสนับมือที่เฉี่ยวหน้าไปเพียงไม่กี่มิลลิเมตร ความคมของหนามที่สนับบาดหน้าจนเป็นแผล แวร์วูฟสะบัดหน้าด้วยความหงุดหงิดฟาดหางลงกับพื้นกวาดเอาเศษดินใส่ผีดิบที่ลอบเข้ามาด้านหลัง ฮิวโก้ถอยหลบก่อนกระโดดไปยืนด้านหน้าของจ่าฝูง

“เก่งขึ้นนี่ไอ้หนู”

เจบีแยกเขี้ยวใส่คนยั่วโมโห เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วหอนปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงออกมา ฮิวโก้ชะงักไปก่อนยกมือขึ้นปิดหู ผีดิบชนชั้นสูงนั้นมีประสาทการได้ยินดีกว่าผีดิบธรรมดาคลื่นเสียงนี้ย่อมทำให้เกิดผลกระทบมากกว่าผีดิบตนอื่นๆ เจบีจ้องฮิวโก้เขม็ง ส่งเสียงขู่เค้นออกมาจากท้องแล้วย่างก้าวเข้าไปหาช้าๆ

“จำได้ไหมฮิวโก้...ว่าแกทำอะไรกับครอบครัวของฉันไว้” เจบีถามผีดิบที่ตอนนี้ทรุดลงไปกองกับพื้น แก้วหูที่ถูกทำลายพร้อมกับสมองบางส่วนที่แหลกละเอียดไปทำให้ฮิวโก้ไม่สามารถโต้ตอบได้

“อย่างแกฆ่าให้ตายยังน้อยไปด้วยซ้ำ ลองทรมารเหมือนพ่อของฉันดูหน่อยไหม” พูดจบก็ง้างเขี้ยวคมออกแล้วฝังลงบนแขนของผีดิบ ออกแรงฉีกกระชากจนหลุดแล้วเหวี่ยงมันไปให้ไกลสายตา

ฮิวโก้ดีดดิ้นด้วยความทรมาร เลือดสีสดพุ่งกระจายราวกับห่าฝน ดวงตาผีดิบแข็งกร้าว จ้องมองแวร์วูฟด้วยความเคียดแค้น เขาพยุงร่างตัวเองให้ลุกขึ้นสะบัดแขนข้างที่ถูกกัดอย่างแรงแขนก็งอกกลับมาดังเดิม ดวงตาที่ถลนออกมาในตอนแรกถูกดันกลับเข้าไปในเบ้า ฮิวโก้ยืนหอบหายใจอยู่สักพักแต่เจบีไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ฟื้นพลัง กรงเล็บของหมาป่าปีศาจตะปบลงบนแผลเก่าที่สมานตัวแล้ว

“อ๊าก!!!” ฮิวโก้กรีดร้องลั่นพร้อมดวงตาทั้งสองข้างที่ถูกตัดขาดจากการมองเห็น

“เจ็บใช่ไหมล่ะ พ่อของฉันก็เจ็บแบบแกไง!” พูดไปก็กัดอวัยวะต่างๆในร่างกายให้ขาดสะบั้น แขนข้างเดิมที่งอกออกมาใหม่ ขาทั้งสองข้างแม้กระทั่งหลอดลมที่ถูกกระชากออกมา...

เจบีหันมองแวร์วูฟตัวอื่น ตอนนี้แวร์วูฟอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบมาก เป็นโอกาสดีหากต้องการล้างเผ่าพันธุ์พวกมันเสีย ระหว่างที่หัวหน้าแวร์วูฟกำลังสำรวจเหตุการณ์อยู่ฮิวโก้ที่สลบไปก่อนหน้านี้ก็คว้าหมับเข้าที่คอของเจบี กระดูกที่ไร้เนื้อห่อหุ้มฝังลงในเนื้อเรียกเสียงร้องอย่างเจ็บปวดจากหัวหน้าหมาป่าปีศาจได้ไม่น้อย เจบีสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม

“ประมาทไปนะไอ้หนู” ฮิวโก้กดเสียงต่ำ นึกโมโหแวร์วูฟที่เล่นงานตนเองจนเจ็บเจียนตาย

ผีดิบแยกเขี้ยวก่อนกัดลงบนคอของเจบี แวร์วูฟคำรามลั่นสะบัดตัวอย่างแรงจนหลุดจากพันธนาการของฮิวโก้ เจบีถอยกรูดไปไกลก่อนกลับคืนร่างมนุษย์ เลื่อนมือขึ้นไปกดแผลที่คอไว้เพื่อห้ามเลือด ลมหายใจเริ่มติดขัดบวกกับร่างกายที่เริ่มชาทำให้รู้ว่าตนเองโดนเล่นงานเข้าเสียแล้ว ที่เขี้ยวของฮิวโก้มี พิษ เคลือบอยู่

“พี่!”

แบมแบมที่เห็นพี่ชายถูกโจมตีก็สะบัดผีดิบให้หลุดก่อนกัดหัวมันครั้งเดียวจนขาดกระจุย

แวร์วูฟกลับคืนร่างมนุษย์ก่อนปราดเข้าไปพยุงร่างของพี่ชายไว้ไม่ให้ล้มลง เจบีมองหน้าแบมแบมแล้วพยายามยืนตรงด้วยตนเอง มือผลักดันน้องชายให้ถอยหลังไปด้วยความเป็นห่วง ดวงตาเริ่มพร่ามัว เลือดเริ่มไหลออกมาจากปากและรูจมูก หัวหน้าแวร์วูฟวูบก่อนเซล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง กระอักเลือดรดดินพร้อมขดตัวด้วยความทรมาร หัวใจของคนเป็นน้องถูกบีบคั้นเมื่อเห็นพี่ชายเจ็บปวด จ้องมองผีดิบตัวการด้วยสายตาเคียดแค้น

“แก...” แบมแบมคำรามลั่น ฟาดหางลงพื้นเสียงดังก้องป่า

ฮิวโก้ที่ตอนนี้ร่างกายฟื้นคืนเต็มร้อยแล้วยกยิ้มหยันแวร์วูฟตัวน้อง “จะแก้แค้นให้พี่ชายเหรอไอ้หนู” ราวกับแก้วร้าวที่แตกละเอียด ความอดทนของแบมแบมหมดลง พุ่งเข้าใส่ผีดิบปากดีด้วยความเร็วสูงสุด ฮิวโก้เบิกตากว้างอย่างตกใจ ตั้งแต่เกิดมาเขาเพิ่งเคยเห็นแวร์วูฟที่รวดเร็วขนาดนี้

“อยากตายมากสินะ” แบมแบมพูดแล้วกระโจนเข้าตะครุบร่างของฮิวโก้  ให้อัดกระแทกไปกับพื้น กรงเล็บคมจิกฝังลงกลางหน้าอกเสียบทะลุลงไปถึงพื้นดินเพื่อตรึงไม่ให้ผีดิบขยับตัว เขี้ยวของแวร์วูฟเรืองแสงในที่มืด เขี้ยวที่ถูกดัดแปลงโดยผสมแร่เงินลงไป มีไว้เพื่อฉีกกระชากเนื้อของผีดิบโดยเฉพาะ เขี้ยวนี้ถูกพัฒนาโดยเดม่อนฮันเตอร์และแบมแบมคือสัตว์ทดลองในงานวิจัยนี้

“พี่ชายไม่ได้สอนเหรอไอ้หนูว่าผีดิบน่ะ...ไม่ตายง่ายๆหรอก” พูดจบฮิวโก้ก็ลุกขึ้นปล่อยให้กรงเล็บฝังลึกเข้าไปกลางอกโดยไม่หวั่นเกรง หยิบสนับมือคู่ใหม่ออกมาสวมด้วยเวลาอันสั้นแล้วอัดหน้าแวร์วูฟตัวน้องจนกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้

เจบีที่เห็นน้องชายถูกทำร้ายก็โกรธจัด คำพูดของเจ้านายดังก้องในหัว ‘จงเปิดเผยเมื่อถึงเวลา’ เขานิ่งไปพักหนึ่งก่อนตัดสินใจยันตัวเองให้ลุกขึ้น มันถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาที่จะเปิดเผยต่อเผ่าพันธุ์ของตนเองเสียที...ว่าเขา

คือแวร์วูฟสายเลือดบริสุทธิ์ที่มีพลังของโกสท์


ติดตามตอนต่อไป

ข้อฝากจากผู้แต่ง
1. ใครเล่นแท็กในทวิตเชิญตามมาที่ #ฟิคยจก
2. ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะคะ
3. นิยายเรื่องนี้อัพเดททุกวันศุกร์
4. แต่งโดย Ppigotexo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2018 22:38:22 โดย longtangGenYaoi »

ออฟไลน์ longtangGenYaoi

  • ลองแต่งสายพันธุ์วาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: GHOST Update Chapter 37 [01/06/61]
«ตอบ #38 เมื่อ31-05-2018 22:22:08 »

ตอนที่ 36
Ferocious

แต่งโดย : Ppigotexo
ลงวันที่ 01/06/61

หน้าแรก
ตอนก่อนหน้า
ตอนถัดไป

แวร์วูฟพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นแต่เมื่อยืนได้สำเร็จก็เป็นอันต้องล้มลงอีก เจบีเอาหัวโขกพื้นดินด้วยความหงุดหงิด พิษที่ซึมเข้ากระแสเลือดเริ่มเล่นงาน  เขายกหมัดขึ้นอัดตัวเองเพื่อเรียกสติไม่ให้ดับวูบไป พิษนั้นร้ายแรงเกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้

“พี่...” แบมแบมรีบลุกขึ้น สะบัดตัวไล่ความมึนออกไปแล้ววิ่งเข้าไปช่วยพยุงตัวพี่ชายขึ้น

“แบมแบม...ฆ่าพี่ซะ...” คนเป็นน้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ส่ายหน้ารัวพร้อมน้ำตาที่เริ่มคลอเบ้า

“น่ารักจริงๆน้าพี่น้องเนี่ย” ฮิวโก้เอ่ยขัดขึ้น ค่อยๆเดินเข้าไปหาแวร์วูฟสองพี่น้องช้าๆ เสียงสนับมือกระทบกันดังรบกวนโสตประสาท แบมแบมขู่เสียงดังแต่ผีดิบกลับยิ้มและหัวเราะ

ฮิวโก้กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ ก้มลงมองร่างหัวหน้าแวร์วูฟที่ยังนอนทรมาร อยู่ กระแทกสนับมือเข้าหากันอีกครั้งก่อนพุ่งลงจากต้นไม้ด้วยความเร็วสูง หนามเงินจากสนับมือเข้าเสียดแทงลงกลางอกข้างซ้ายของแวร์วูฟเจบีทันที ไม่ปล่อยให้ดิ้นทุรนทุราย บดขยี้หัวใจของหมาป่าปีศาจด้วยแร่เงินบริสุทธิ์อย่างบ้าคลั่ง แม้ผีดิบจะเกลียดแร่เงินเข้ากระดูกแต่เพื่อการสงครามมันคือสิ่งจำเป็นที่สุด

“พี่เจบี! แก!!! แม่งเอ๊ย!” แบมแบมตะโกนเสียงดังด้วยความโกรธจัด

จุดอ่อนของแวร์วูฟคือหัวใจ หากโจมตีมันได้แวร์วูฟจะตายทันที น้ำตาหลั่งไหลออกมาจากดวงตาของแวร์วูฟตัวน้อง คำรามอย่างบ้าคลั่งก่อนพุ่งเข้ากัด  คอผีดิบทันที เพราะการจู่โจมที่กะทันหันบวกกับความรวดเร็วของแบมแบมทำให้  ฮิวโก้ไม่มีเวลาพอที่จะหลบ เขี้ยวเงินฝังลงกลางหลอดลมแล้วฉีกกระชากจนขาดกระจุย ร่างผีดิบล้มลงไป ดวงตาเหลือกลานด้วยความเจ็บปวด เนื้อเยื่อและแผลไม่ยอมสมานตัว ฮิวโก้เริ่มลนลานตะเกียกตะกายหนี

“สวะ...” แบมแบมเอ่ยเสียงเหี้ยม มองฮิวโก้ด้วยสายตาเหยียดหยามและเคียดแค้นสุดหัวใจ

ฮิวโก้กัดฟันกรอดด้วยความหงุดหงิด แร่เงินที่ฝังอยู่ในเขี้ยวของแบมแบมมีฤทธิ์ต้านการสมานตัวของเนื้อเยื่อ ผีดิบฉีกเสื้อตัวเองมาพันรอบคอไว้ไม่ให้เลือดไหลออกมามากเกินไป แม้จะเจ็บเจียนตายแต่ก็ต้องกระเสือกกระสนหาทางเอาตัวรอด ฮิวโก้เริ่มออกตัววิ่ง หาทางหนีทีไล่ไม่ให้อีกฝ่ายตามทัน

“แกฆ่าครอบครัวของฉัน...จนหมด” แบมแบมไม่ตามไป กลับคืนร่างมนุษย์แล้วเดินเข้าไปหาร่างของพี่ชายที่นอนแน่นิ่ง วางมือลงบนเปลือกตาแล้วเลื่อนปิดให้อีกฝ่าย น้ำตาหลั่งไหลออกมาไม่ยอมหยุด หัวใจถูกบีบคั้นด้วยความเจ็บปวด สะอื้นไห้กอดร่างไร้วิญญาณของพี่ชายปานจะขาดใจ

“พี่ครับ ฮึก...พี่เจบี ฮือ...” ซบลงตรงแผลที่ถูกสนับมือบดขยี้ ไร้ซึ่งเสียงเต้นเป็นจังหวะของหัวใจ ไร้ซึ่งเสียงของชีวิต มีเพียงความเงียบงันที่กัดกินลึกลงไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ

“นี่...พี่จำได้ไหม ฮึก...ตอนเด็กๆแบมงอแงบ่อยมากเลย อึ๊ก...แต่พี่ก็ยังใจดีกับแบม ฮือ”

แบมแบมกอดร่างพี่ชายแน่น ปล่อยให้น้ำตาชะล้างความอึดอัดในใจ ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างเหลืออด พร่ำพรรณนาคำพูดต่างๆนานาที่ไม่ทันได้     เอ่ยบอกตอนที่พี่ชายยังมีชีวิตอยู่

“ผมขอโทษ ฮือ ผมขอโทษครับพี่ ผมรักพี่ พี่ฟื้นขึ้นมาสิครับ พี่อย่าทิ้งผมไป ฮึก อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว ฮือ ม่ายยยยยย!!!!! อ๊ากกกกก!!!”  เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วตะโกนออกมาอย่างเหลืออด เสียงสะอื้นไห้ดังระงมไปทั่วป่า

แวร์วูฟตัวอื่นที่จัดการกับผีดิบเสร็จแล้วก็เข้าไปรวมตัวกันล้อมรอบศพ ของจ่าฝูง หมอบโค้งให้กับร่างในอ้อมกอดของแบมแบมด้วยความเต็มใจ เสียงหอนดังก้องราวกับต้องการไว้อาลัยแด่หัวหน้าที่จากไป แบมแบมกอดเจบีแน่นไม่ยอมปล่อยอยากจะตายตามพี่ชายไปแต่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อ  เขาต้องมีชีวิตอยู่เพื่อพี่ชายของเขา

ตึกตัก...

แบมแบมขมวดคิ้ว รีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนแนบหูลงกับหน้าอกของพี่ชายอีกครั้งหลังได้ยินเสียงแห่งความหวัง

ตึกตัก...ตึกตัก

“พี่ครับ!” แบมแบมตะโกนเรียกพี่ชายเสียงดัง เสียงที่เขาได้ยิน...คือเสียงหัวใจของเจบี

ร่างของหัวหน้าแวร์วูฟแปรเปลี่ยนเป็นหมาป่าช้าๆ ขนและเนื้อเริ่มเปื่อยยุ่ยจนเหลือเพียงโครงกระดูก แบมแบมมองเนื้อและขนที่หลุดติดมือมาด้วยความตื่นตระหนก หันมองแวร์วูฟตัวอื่นอย่างต้องการคำอธิบายแต่ได้รับเพียงการส่ายหน้าแทนคำตอบ กะโหลกศีรษะของเจบีเริ่มมีกระดูกงอกออกมาช้าๆค่อยยาวออกแล้วโค้งจนเป็นรูปทรง’เขา’

แวร์วูฟตัวอื่นส่งเสียงกระซิบกระซาบดังเซ็งแซ่ต่างจากแบมแบมที่ตัวแข็งทื่อ...เขาที่งอกออกมาของเจบีนั้นคือเขาของโกสท์ มีเพียงโกสท์เท่านั้นที่มีเขารูปทรงแบบนี้และมีโกสท์เพียงตนเดียวเท่านั้นที่มีมัน...โกสท์นามยูคยอม เจ้านายเหนือหัวของสองพี่น้องแวร์วูฟ...

“พี่.........” แบมแบมอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้แค่เอ่ยเรียกคนเป็นพี่เบาๆ

ดวงตาสีโลหิตลืมตื่นขึ้น แสงสีแดงเรืองวาบออกมาจากโครงกระดูก หัวใจของแวร์วูฟกลับมาเต้นอีกครั้งสร้างความตื่นตะลึงให้แก่แวร์วูฟตัวอื่นเป็นอย่างมาก เจบีผละออกจากอ้อมกอดของน้องชาย ลุกขึ้นยืนก่อนส่งเสียงคำรามดังลั่นผืนป่า หมาป่าปีศาจทุกตัวนิ่งเงียบ หยุดการเคลื่อนไหวและนินทาทันที

“พี่เจ...บี” แบมแบมเรียกชื่อพี่ชายก่อนวางมือลงบนหลังของเจบี แวร์วูฟตัวน้องส่ายหน้าราวกับต้องการจะปฏิเสธสิ่งที่เห็นแต่โครงกระดูกสีดำทมิฬกับดวงตาสีแดงนั้นตอกย้ำเขาเหลือเกินว่าพี่ชายของเขาคือโกสท์วูฟ

โกสท์วูฟคือแวร์วูฟต้องสาป แวร์วูฟที่เกิดมาเพื่อเป็นทาสของโกสท์ ใน  อดีตกาลโกสท์วูฟมีไว้เพื่อระบายอารมณ์ของโกสท์ผู้เป็นนาย ถูกบังคับให้ร่วมรักหรือใช้แรงงานอย่างหนักหน่วง บางครั้งโกสท์วูฟยังถูกเจ้านายฆ่าทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่มันก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาทุกครั้ง แวร์วูฟต้องสาปที่ไม่มีวันตาย

เจบีคือโกสท์วูฟที่พิเศษกว่าทุกตัว โกสท์วูฟตัวแรกที่ถูกนำมาทดลองทำพันธะสัญญากับโกสท์ ดวงตาสองสีของเขาเกิดจากการต่อต้านพันธะสัญญา วิญญาณถูกกระชากออกจากร่างจนวิญญาณของเขาหลงเหลือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น

ยูคยอมจึงได้มอบเศษเสี้ยววิญญาณของตนเองให้แก่เจบีเพื่อคงชีวิตของสัตว์เลี้ยงประจำตระกูลไว้ แวร์วูฟที่มีพลังของราชาปีศาจไหลวนอยู่ในกาย หัวหน้าแวร์วูฟนามเจบี

“แบมแบม...พี่” เจบีมองหน้าน้องชายที่น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความเจ็บปวด เขาไม่เคยบอกใครเรื่องที่ตนเองคือโกสท์วูฟ เขากลัว...กลัวการมองอย่างเหยียดหยามจากคนในครอบครัวหรือแม้กระทั่งเพื่อนรวมสายพันธุ์

“พี่เป็น...โกสท์วูฟเหรอครับ...” แบมแบมยังมองหน้าพี่ชาย ไม่ยอมหลบหรือละสายตาไปจากร่างตรงหน้าเลย เขาไม่รู้สึกกลัวหรือเกลียดอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้มีเพียงกอดพี่ชายในร่างแวร์วูฟอีกครั้ง...

เจบีมองแบมแบมด้วยสายตาละห้อยก่อนหันไปประกาศให้แวร์วูฟใต้อาณัติได้รับรู้

“ฉัน...เป็นโกสท์วูฟ...ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกความจริงกับพวกนาย...มาหลายร้อยปี”    

ความเงียบคือนักแสดงนำในละครฉากนี้ ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากออกมา มีเพียงสีหน้ายากคาดเดาอารมณ์จากแวร์วูฟที่ส่งให้แก่หัวหน้าของตนเอง ในอดีตนั้นโกสท์วูฟคือตัวน่ารังเกียจของเผ่าพันธุ์ แวร์วูฟที่ไม่รู้จักตาย ผ่านการใช้งานและร่วมรักมามากมายหลายนาย จากอดีตจนถึงปัจจุบันระบุไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แวร์วูฟว่ามีโกสท์วูฟทั้งหมด 32 ตัว และเจบี...คือตัวที่ 33

“ทำไม...พี่ไม่เคยบอกผม” แบมแบมถาม พยายามเดินเข้าไปใกล้แต่เจบีก็ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ

“พี่...ขอโทษ” เจบีได้แต่เอ่ยคำขอโทษออกไป ไม่มีข้อแก้ตัวหรือคำกล่าวสวยหรูอะไรไปอ้าง แม้จะอยากสรรหาเหตุผลมาอธิบายแค่ไหนแต่ความจริงที่ว่าเขาโกหกทุกคนนั้นเป็นเหมือนชนักปักหลังตนเอง

“เห้ยหัวหน้า” หนึ่งในฝูงแวร์วูฟเอ่ยขึ้นขัดบรรยากาศตึงเครียด เจบีนึกแปลกใจที่ลูกน้องยังคงเรียกตนเองว่าหัวหน้าอยู่

“ฮิวโก้มันหนีไปแล้วนะ ตัวสุดท้ายแล้วตามไปฆ่าล้างโคตรมันกันเถอะ” แวร์วูฟตัวเดิมเอ่ยแล้วเดินเข้าไปใช้หางฟาดตัวเจบีเบาๆ “กระดูกแข็งไปนะหัวหน้า” เมื่อแซวหัวหน้าเสร็จก็เดินกลับเข้าไปยืนที่ตำแหน่งเดิม

แวร์วูฟทุกตัวพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของตัวแทน เจบียืนนิ่งด้วยความตกใจปนงุนงง สิ่งที่เขาคิดไว้กับความเป็นจริงต่างกันโดยสิ้นเชิง “พวกนาย...ไม่เกลียดหรือโกรธที่ฉันเป็นโกสท์วูฟเหรอ...” ตัดสินใจเอ่ยถามเพื่อคลายความกังขา

“หัวหน้า นี่มันสมัยไหนแล้ว เค้าไม่มาคิดเล็กคิดน้อยหรอกว่าหัวหน้าตัวเองเป็นอะไร แค่มีหัวหน้าที่เก่งและคุมฝูงได้ดีก็พอแล้ว อีกอย่างมีหัวหน้าเป็นโกสท์วูฟเท่จะตายไป” ทุกตัวพยักหน้าตามประโยคที่เพื่อนพูด เจบีงงหนักกว่าเดิม ไม่รู้จะทำหน้าหรือรู้สึกอะไรก่อนดี

หันหน้าไปหาน้องชายของตนเองที่ตอนนี้ยืนกอดอกมองพร้อมเบ้ปากอย่างขัดใจ เจบีรู้ดีว่าแบมแบมในตอนนี้ตกอยู่ในสภาวะแก้มบวม...สภาวะที่หัวหน้าแวร์วูฟเป็นคนตั้งขึ้นมาเอง อาการของสภาวะนี้น้องชายของเขาจะอยู่ในอาการงอนง้อสุดฤทธิ์บวกกับอาการไร้เหตุผลสุดขีด คิ้วขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน แก้มป่องๆพองลมจนแทบจะระเบิด เจบีเดินเข้าไปหาน้องชายก่อนยกขาหน้าขึ้นสะกิดแขนน้องเบาๆ

“ไอ้เหยิน!” แบมแบมตวาดลั่นก่อนยกเท้าขึ้นเตะเจบีด้วยความโมโห เหยิน ฉายาที่แบมแบมเป็นคนตั้งให้พี่ชายและจะเรียกเมื่อหงุดหงิดเท่านั้น

“น้องจ๋าใจเย็นๆ”

เจบียกขาหน้าขึ้นลูบหัวตัวเองป้อยๆ ถึงแม้ร่างกายจะเป็นโครงกระดูกแต่ประสาทสัมผัสนั้นยังอยู่ โดนจริงเจ็บจริง...

“มีอะไรไม่ยอมบอกน้อง! เดี๋ยวก็เตะปากแตกเลย ปล่อยให้ร้องไห้ทำไมเยอะแยะ เปลืองพลังงาน ดราม่าไปอีก แล้วยังมาบอกให้ฆ่าพี่ซะ ถ้ารู้ว่าพี่เป็นโกสท์วูฟนะจะฆ่ามันเดี๋ยวนั้นแหละ ยังไม่จบ ยังมีหน้าไปบอกลูกน้องก่อนคนในครอบครัวอีก นี่น้องนะไม่ใช่เสาหิน รักน้องไหม! อ้อ แล้วที่หยุดหายใจไปนี่ได้ยินที่ผมพูดหมดเลยสินะ หนอยไอ้เหยิน ร้ายนักนะ แบมล่ะสงสารพี่เอินจริงๆที่มีหลัวแบบนี้ อะไร! อย่าๆ จะเถียงน้องใช่ไหม หุบปากเดี๋ยวนี้ ฯลฯ”

หัวหน้าแวร์วูฟที่เถียงน้องไม่ทันก็ได้แต่นั่งลงกับพื้นยอมรับคำบ่นและคำด่าจากน้องชายแท้ๆของตัวเอง ในใจก็นึกไปว่าแบมแบมนี่ร้ายนัก ด่าเขาทีขุดมาตั้งแต่สมัยอายุสิบต้นๆจนตอนนี้จะห้าร้อยปลายๆอยู่แล้ว...

“ไม่ด่าแล้วเว้ยเมื่อย!” แบมแบมยีผมอย่างหงุดหงิดก่อนเขกมะเหงกเจบีตบท้ายไปหนึ่งทีแรงๆ

แวร์วูฟเจบีแอบถอนหายใจที่น้องชายเลิกบ่น ขนาดเขายังโดนบ่นขนาดนี้ไม่อยากนึกเลยว่าแฟนของแบมแบมนั้นจะโดนบ่นขนาดไหน หรือบางทีเซอร์คัสคนนั้นอาจมีวิธีรับมือกับน้องชายของเขา...ต้องไปถามเทคนิคมาซะแล้วสิ

“เอาล่ะ...เราไปล่าฮิวโก้กันเถอะ” เจบีหันไปพูดกับลูกน้อง เสียงหอนดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงราวกับยาปลุกใจให้ฮึกเหิม

ยังไม่ทันที่ฝูงแวร์วูฟจะออกวิ่งลมแรงก็พัดเข้าปะทะฝูงหมาป่าปีศาจ แบมแบมที่ตั้งตัวไม่ทันรีบคว้าเจบีไว้เป็นหลักยึด ทั้งหมดจ้องมองไปบนฟ้าที่มีร่างของใครสักคนกำลังบินโฉบลงมา เมื่อร่างลงสู่พื้นดินโดยปลอดภัยปีกมังกรก็กระพืออีกรอบก่อนหุบเก็บ เมื่อเห็นร่างของผู้มาเยือนอย่างชัดเจนแวร์วูฟต่างส่งเสียงขู่คำรามใส่

“ใจเย็น นี่ฝั่งเรา!” เจบีตะโกนบอกลูกน้องก่อนเดินเข้าไปหาบุคคลที่มาใหม่

“มาได้ยังไงเนี่ย” เจบีเอ่ยถามร่างตรงหน้า อีกฝ่ายมองด้วยความงุนงงแต่เหมือนจะคุ้นในน้ำเสียงของโกสท์วูฟอยู่

“อิผีนี่ใครเนี่ย...แบมแบม พี่นายไปไหนอ่ะ” บุคคลที่มาใหม่คือผีดิบชนชั้นสูงหรือน้องเอินนั่นเอง

เจบีนิ่งเงียบ มองตามคนรักของตัวเองที่เดินไปหาน้องชายพลางชะเง้อมองหาเขาไปด้วย

“เบ...นี่บี๋เอง” เจบีพูดแล้วเดินเข้าไปหามาร์ค

“ห๊ะ...ตลกไหม ไม่เชื่ออ่ะ หน้าอกเค้าเท่าไหร่ตอบดิ๊”

“34.8 นิ้ว”

“...ถูกเฉย...บี๋จริงๆเหรอ ทำไมกลายเป็นหมาผีแบบนี้ไปได้ล่ะ บี๋ไปทำอะไรมา” มาร์คอึ้ง ชี้หน้าเจบีด้วยมือที่สั่นกึก รู้สึกแปลกที่จู่ๆเจบีก็เหลือแต่โครงกระดูกแถมยังมีเขารูปร่างประหลาดงอกออกมาอีก

“คือ...เรื่องมันยาวไว้บี๋จะเล่าให้เบฟังนะ แล้วปีกนั่น...เบไปทำอะไรมาครับ” เจบีเอ่ยถามเมื่อเห็นปีกมังกรที่อยู่บนหลังของมาร์ค รู้สึกงุนงงไปหมด วันนี้มันวันกลายพันธุ์หรือไงนะ...

“ไม่รู้อ่ะ เบกินบาซิลิสก์เข้าไป พอกินปุ๊บปีกก็งอกออกมาเลย” เจบีทำได้แค่พยักหน้าช้าๆ ไม่รู้จะออกความคิดเห็นอะไรและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเช่นกัน...

“บาซิลิสก์เหรอ! พี่เอินไปเจอเบ้บมาเหรอครับ” แบมแบมวิ่งไปเขย่าแขนมาร์คแล้วถามถึงคนรักของตัวเอง ในใจก็หวาดหวั่นกลัวว่าผีดิบตนนี้จะฆ่าล้างโคตรตระกูลเซอร์คัส

“จินยองเหรอ เดี๋ยวก็ตามมาแล้วล่ะ พี่ไม่สู้กับพวกนั้นหรอก หว่านล้อมให้มาเป็นพันธมิตรแล้วเรียบร้อย”

อธิบายไปก็ลูบหัวแบมแบมไปด้วย แวร์วูฟตัวน้อยยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดีเมื่อได้ยินว่าจินยองกำลังตามมา เจบีที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกเปล่าประโยชน์ที่ตัวเองโดนด่านานเกือบชั่วโมงแถมยังเจ็บตัวฟรีอีก...

“แล้วบี๋ทำไมไม่กลับร่างเดิมล่ะ จะเป็นหมาผีแบบนี้ตลอดไปเลยเหรอ เค้ากลัวนะไม่อยากมีผัวเป็นผี” โถ่น้องเอิน...

“ต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย ประมาณสองชั่วโมงถึงจะกลับร่างเดิมได้ครับ แต่ร่างนี้ใช้ต่อสู้จะดีที่สุด”

“แล้วนี่มัน...ร่างอะไรเนี่ย...”

“ร่างของโกสท์วูฟ จะปรากฏก็ต่อเมื่อแวร์วูฟตัวนั้นถูกปลิดชีพ พูดง่ายๆก็คือพี่ตายไปแล้วนั่นแหละครับ แล้วก็เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเป็นหมาผีได้ไม่ได้นี่แหละพี่เอิน” มาร์คเบิกตากว้างก่อนมองเจบีด้วยความตกใจ

“มิน่าล่ะเบเจ็บหัวใจจนนึกว่าจะตายซะแล้ว เพราะบี๋ถูกฆ่าสินะ ใครมันฆ่าบี๋บอกเบมาเดี๋ยวนี้”

ยังไม่ทันที่หัวหน้าแวร์วูฟจะตอบคำถามของมาร์ค ฮิวโก้ที่หนีไปในตอนแรกได้กลับมาอีกครั้ง...พร้อมกับกองกำลังกากอยล์ มาร์คมองเผ่าพันธุ์เดียวกันแล้วแสยะยิ้มสมเพช ไม่ต้องถามเหตุการณ์ก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นหนีไปเพื่อเรียกกำลังเสริม ดูจากศพของผีดิบที่ถูกกัดจนขาดกระจุยบนพื้น กองกำลังผีดิบคงพ่ายแพ้สิ้นท่าโดยสมบูรณ์

“ผีดิบเหรอ...ฆ่าพวกมันซะ!” ฮิวโก้ที่เห็นมาร์คยืนอยู่ท่ามกลางฝูงแวร์วูฟออกคำสั่งเสียงดัง

มาร์คยกยิ้ม กางปีกออกก่อนบินขึ้นไปแล้วโฉบเข้าหาฮิวโก้ แรงกดดันอัด ฮิวโก้จนกระเด็นตกจากหลังของกากอยล์ มาร์คหุบปีกปล่อยให้ร่างตกลงพื้น เท้าเหยียบกระแทกลงกลางอกของฮิวโก้จนอีกฝ่ายกระอัก มาร์คก้มลงบีบคออีกฝ่ายอย่างแรง แผลที่แบมแบมกัดไว้เปิดกว้างอีกครั้ง เขากระชากหัวฮิวโก้ครั้งเดียวจนหลุดจากบ่า

มือแทงทะลุเข้าไปบีบหัวใจของเผ่าพันธุ์เดียวกันก่อนจะชากมันออกมา มาร์คบดขยี้หัวใจที่เต้นตุบๆด้วยมือเปล่าจนมันแหลกคามือ ร่างของฮิวโก้ดิ้นพล่านก่อนล้มลงกับพื้น มาร์คปาเศษหัวใจที่บีบแหลกคามือและศีรษะของผีดิบไปให้พ้นสายตาก่อนทิ้งท้ายกับศพของผีดิบไว้

“เสร่อ”


ติดตามตอนต่อไป

ข้อฝากจากผู้แต่ง
1. ใครเล่นแท็กในทวิตเชิญตามมาที่ #ฟิคยจก
2. ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะคะ
3. นิยายเรื่องนี้อัพเดททุกวันศุกร์
4. แต่งโดย Ppigotexo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2018 22:39:33 โดย longtangGenYaoi »

ออฟไลน์ longtangGenYaoi

  • ลองแต่งสายพันธุ์วาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: GHOST Update Chapter 37 [01/06/61]
«ตอบ #39 เมื่อ31-05-2018 22:30:29 »

ตอนที่ 37
GHOST

แต่งโดย : Ppigotexo
ลงวันที่ 01/06/61

หน้าแรก
ตอนก่อนหน้า
ตอนถัดไป

ปีกสีรัติกาลแผ่สยาย กระพือต้านลมก่อนโฉบลงพื้นดิน กวาดสายตามองทิวทัศน์รอบข้างพร้อมเก็บปีกเข้าที่เดิม ยูคยอมย่างก้าวเข้าไปใกล้ตัวปราสาทช้าๆ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแปลกประหลาดจากบรรยากาศรอบตัว มันแปลกเกินไป มีหรือที่สงครามใหญ่อย่างนี้จะไม่มีทหารหรือปีศาจเฝ้ารอบปราสาทเลย ครุ่นคิดอยู่สักพักก็เงยหน้ามองยอดปราสาท

“Welcome my master”

ยูคยอมแสยะยิ้มเหี้ยม มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น จ้องมองร่างของผู้ที่กระโดดลงมาจากยอดปราสาทด้วยความคับแค้นใจ ทั้งผิดหวัง และเสียใจ ราชาปีศาจสูดหายใจลึก เก็บลมหายใจไว้ครู่หนึ่งก่อนปล่อยออกมา “Quisling”

“ไม่เจอกันนานนะครับนายท่าน” เปล่งคำทักทายออกมาพร้อมโค้งให้ดั่งที่เคยทำเช่นทุกครั้ง

“ไม่เจอกันนานนะวอลเตอร์” พูดแล้วยกยิ้มให้กับอดีตพ่อบ้านประจำตระกูล บุคคลที่ใกล้ชิดและไว้วางใจมากที่สุด ในเวลานี้ไม่มีความรู้สึกใดมาแทนที่เคียดแค้นได้แล้ว

“หวังว่านายท่านจะสบายดี” วอลเตอร์แย้มยิ้มเช่นทุกที ไม่มีท่าทางเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ยังคงแสดงความจงรักภักดีต่อราชาปีศาจดังที่ผ่านมา

ยูคยอมหลับตาก่อนลืมขึ้นมาพร้อมความเคียดแค้นและตัดพ้อ ดวงตาสีโลหิตจ้องมองอดีตพ่อบ้าน กำไม้เท้าในมือแน่นก่อนย่างก้าวเข้าไปหา

จังหวะที่ก้าวขาเหมือนมีเส้นเอ็นที่มองไม่เห็นเฉือนผ่านเนื้อไป เลือดเริ่มไหลออกมาจากบาดแผลแต่ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นแผลเหวอะหวะก็สมานตัว

“ระวังนะครับนายท่าน แถวนี้มันอันตราย” วอลเตอร์ยังคงแย้มยิ้ม กระตุกนิ้วมือเหมือนบังคับบางสิ่ง

แสงสีเงินสะท้อนวาบหยอกแสงจันทรา เส้นใยเงินเข้าเชือดเฉือนร่างของ-

ราชาปีศาจจนเกิดรอยขีดข่วนไปทั่วร่าง ยูคยอมส่งเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความหงุดหงิด อาวุธของพ่อบ้านที่สร้างความรำคาญให้เขาเสมอมา ‘ใยเงิน’ เส้นใยที่ปั่นจากเงินบริสุทธิ์ บางเฉียบและคมกว่าดาบใดใดบนโลกนี้

“ปล่อยซะวอลเตอร์ ลากคอเกลกับแม่ของมันออกมา” ยูคยอมเดินผ่านเส้นเงินเหล่านั้นออกมาโดยไม่มีรอยขีดข่วน พุ่งเข้าหาวอลเตอร์แล้วใช้ปลายไม้เท้าจ่อ คออีกฝ่ายไว้

วอลเตอร์ยังคงยิ้ม รอยยิ้มที่น่าหงุดหงิดสำหรับยูคยอม “ขออภัยที่ต้องปฏิเสธ นายหญิงไม่ประสงค์จะพบใครในตอนนี้” ราวกับเส้นความอดทนถูกตัดขาดสะบั้น ไม้เท้าแทงทะลุคอของโกสท์ตนสนิทอย่างไร้เยื่อใย หมุนควงให้แทงเข้าไปจนสุดถึงหัวไม้เท้า

“ปากดี” ยูคยอมดึงไม้เท้าออกมาจากคอของวอลเตอร์ สะบัดคราบเลือดที่ติดมาทิ้งอย่างนึกรังเกียจ พ่อบ้านกุมคอตนเองแน่น รอยยิ้มยังคงปรากฏบนหน้าของเขา

ยูคยอมขมวดคิ้วมุ่น เส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้นเพราะความโกรธ ดีดนิ้วเปาะหนึ่งก่อนไม้เท้าจะหายไปราวกับใช้เวทมนตร์ โกสท์ขยับคลายความแน่นของเน็คไทป์ที่ผูกไว้ ปรายตามองอดีตพ่อบ้านปีศาจประจำตระกูลที่ตอนนี้แผลได้สมานตัวแล้ว

โกสท์นามวอลเตอร์ถือเป็นโกสท์ชนชั้นสูงที่เก่งกาจในระดับต้นๆ มีศักยภาพสูงทั้งพลังในการฟื้นตัวและความสามารถในการต่อสู้

“อย่าให้ฉันต้องฆ่านาย...” ยูคยอมจ้องเขม็ง เงาดำทมิฬเริ่มก่อตัวขึ้นรอบกาย ไอสีรัติกาลฟุ้งไปทั่วก่อนโครงกระดูกจะค่อยๆคลานออกมาจากไอดำนั้น

พลังที่โกสท์นามยูคยอมเท่านั้นที่มีในครอบครอง ‘เปิดภพเดรัจฉาน’ วอลเตอร์ชักสีหน้าหวาดกลัวครู่หนึ่งก่อนรีบปรับให้กลับเป็นแบบเดิม ตะขาบยักษ์คืบคลานเข้าไปหาวอลเตอร์ด้วยความเร็วสูง พ่อบ้านรีบกระตุกใยเงินตัดผ่าตัวตะขาบแยกเป็นสองซีก หันหลังออกตัววิ่งแล้วกระโดดขึ้นไปบนยอดไม้ จ้องมองสัตว์เดรัจฉานและโครงกระดูกในนรกแก่งแย่งกันออกมา ยูคยอมเปรยตามองแล้วกระโดดตามขึ้นไป

วาดขาเตะร่างของอดีตพ่อบ้านให้ตกลงไปยังพื้น กางปีกที่เก็บไปแล้วออกก่อนโฉบเข้าไปเสียดแทงไม้เท้าลงกลางท้อง วอลเตอร์พุ่งลงกระแทกกองสัตว์เดรัจฉานอย่างแรงจนพวกมันแหลกและตายคาแรงอัดนั้น ยูคยอมเหยียบลงกลางอกข้างแผลที่ตนเองเป็นคนแทง บังคับตะเข็บนับพันให้เลื้อยเข้าสู่ร่างกายผ่านทางหูและรูจมูก

“เด็กๆของฉันยังภักดีกว่านายอีกวอลเตอร์” เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน จ้องมองอดีตคนสนิทดิ้นทุรนทุรายกับพื้นด้วยความสมเพช ผู้ใดที่หักหลังความไว้วางใจจากเขา มันผู้นั้นไม่สมควรมีชีวิตอยู่...

ฉัวะ!

ยูคยอมผละออกแล้วกระโจนถอยห่าง มองภาพเบื้องหน้าด้วยความนิ่งเฉย วอลเตอร์สะบัดใยเงินตัดหัวของตนเองทิ้ง

ราชาปีศาจปิดภพเดรัจฉานก่อนปัดสูทของตนเองที่เปรอะเลือดเล็กน้อย กวาดสายตามองรอบๆด้วยความระแวดระวัง

แน่นอนว่าวอลเตอร์ไคลน์นั้นยังไม่ตาย ยูคยอมก้าวเท้าเข้าหาตัวปราสาทช้าๆ ดีดนิ้วเก็บของเกะกะเข้าที่ดังเดิม ทอดถอนหายใจออกมาก่อนหันมองซ้ายมือของตนเอง “ความจังรักภักดีนั้นคงจะดีถ้ามันเกิดขึ้นกับฉันเพียงผู้เดียว”

วอลเตอร์สะบัดเส้นใยเงินเข้ามัดตัวยูคยอมไว้ รอยยิ้มปรากฏบนในหน้าของเขาอีกครั้ง ตรึงเส้นใยทั้งหมดให้แน่นจนบาดเนื้อของอดีตเจ้านาย วาดมือผูกใยเงินไว้กับตัวปราสาทขึงร่างของราชาปีศาจให้แนบไปกับกำแพงสูง วอลเตอร์ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ จ้องมองร่างที่ถูกตรึงด้วยสายตายากคาดเดา

“นายท่าน...ข้ายังเป็นคนของท่านเสมอ” ยูคยอมกัดฟันกรอด จิกมือลงกับกำแพงแน่น ดึงแขนออกมาจากเส้นใยที่ตรึงร่างตนเองไว้ ข้อมือข้างหนึ่งหล่นตุบลงบนพื้นแล้วเคลื่อนไปบีบคอของวอลเตอร์ไว้

ยูคยอมหลุดจากการพันธนาการอย่างง่ายดาย ร่างกายของโกสท์นั้นสิ่งของจะสัมผัสได้ก็ต่อเมื่อพวกเขายอมให้สัมผัสเท่านั้น มือข้างที่ขาดบีบแน่นจนเกิดเป็นรอยแดงปื้นบนคอ ยูคยอมยื่นแขนเข้าไปเชื่อมสมานมือข้างนั้นเข้ากับแขนดัง เดิม ราชาปีศาจยื่นหน้าเข้าไปใกล้อดีตพ่อบ้านที่กุมข้อมือของตนเองไว้แน่น

“คน ของฉันไม่ทรยศฉัน”

ยูคยอมออกแรงบีบมากยิ่งขึ้นราวกับต้องการบดขยี้ชีวิตของโกสท์ตนนี้ให้แหลกคามือ ดวงตาสีโลหิตของวอลเตอร์จ้องมองผู้เป็นนายเก่า ส่งผ่านความรู้สึกของตนเองผ่านไปทางสายตา ราชาปล่อยมือจากคอของวอลเตอร์ นึกหงุดหงิดตนเองที่ไม่ยอมลงมือกับคนทรยศ
แม้จะเคียดแค้นแทบตายแต่ผู้ที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอดแปดร้อยปีคือวอลเตอร์ การฆ่าคนที่ผูกพันขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้เขาจะเลือดเย็นแค่ไหนแต่มีเพียงโกสท์ตนนี้ ตนนี้เท่านั้น...ที่ฆ่าไม่ลง

“วอลเตอร์...ทำไม...ทำไมต้องหักหลังฉัน” ยูคยอมถาม เปลี่ยนทุกอย่างให้กลับสู่สภาพเดิม

“ข้ามีเหตุผล...ที่ยังบอกตอนนี้ไม่ได้”

“แก้ตัว” ยูคยอมถีบวอลเตอร์ให้ล้มลงบนพื้นแล้วเหยียบลงกลางอกอีกครั้ง

“ทั้งหมด...เพื่อนายท่านและคุณหนู...” ยูคยอมขมวดคิ้ว คุณหนูของวอลเตอร์จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเหยื่อผู้ทำพันธะสัญญากับเขา ชเว ยองแจ

“เกลมันอยู่ไหน!” ยูคยอมตะโกนลั่น ออกแรงที่เท้าหนักขึ้น วอลเตอร์ทำเพียงยิ้มตอบก่อนร่างจะหายไปต่อหน้าต่อตา

ยูคยอมตะโกนออกมาเพื่อระบายความหงุดหงิด เขาจับจิตของเกลและวอลเตอร์ไม่ได้ ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด โกสท์พยายามบังคับตนเองให้ใจเย็นลงก่อนเอะใจที่จับสัมผัสของวอลเตอร์ไม่ได้ แม้โกสท์ทุกตนจะมีพลังในการลบล้างตัวตนแต่สำหรับโกสท์ใต้การปกครองของเขาที่มอบวิญญาณให้แก่เขานั้นย่อมหลบหนีเขาไม่พ้น เว้นแต่วิญญาณนั้นจะได้รับการเติมเต็ม โดยการทำพันธะสัญญา

ยองแจ

ตกใจหมด! อย่าโผล่งขึ้นมาแบบนี้ได้ไหม!

ยูคยอมลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เหยื่อของเขายังปลอดภัย

อีกสิบนาที

เร่งจังเลยพ่อคุณ อยากให้ไปหาเร็วๆทำไมไม่มารับห๊ะ!

งั้นอยู่ตรงนั้น ฉันจะไปรับ

ไม่ต้อง จะถึงแล้ว

ยูคยอมยิ้มออกมาก่อนตัดโทรจิตไป หลับตาลงก่อนร่างจะค่อยๆกลืนหายไปกับความมืด

-ทางด้านยองแจ-

“เจฮย๊องงงงงง ยิงมัน ยิงมันที๊” เสียงโวยวายของเด็กมัธยมดังลั่นป่าพร้อมวิ่งหนีฝูงค้างคาวที่บินตามหลังมา เจฮยองที่เห็นหลานถูกรังแกก็นึกฉุน ยิงศรเงินเก้าดอกแหวกอากาศเข้าปักอกค้างคาวปีศาจจนร่วงลงพื้น

“อย่ามายุ่งกับหลานข้า!” ประกาศกร้าวแล้วโอ๋หลานยกใหญ่ ยองแจเบ้ปาก ถ้าไม่ติดว่าลูกธนูของเขาหมดจะไม่ง้อตาลุงคนนี้เลย...

“พาวิ่งมาอะไรทางนี้ล่ะตาแก่!” ยองแจทุบไหล่คุณลุงอย่างหงุดหงิด เขาไม่รู้หรอกว่ามีทางอื่นให้ไปอีกไหม ป่ากว้างขนาดนี้มันย่อมมีทางอื่นแน่อยู่แล้วแต่หัวหน้าอาร์เชอร์ดันพาวิ่งมาทางฝั่งกองกำลังแวมไพร์ซะได้

“เรียกลุงตาแก่เลยเหรอ น้อยใจจัง” ปากบอกน้อยใจแต่หน้าดันยิ้มทำเอายองแจหมั่นไส้ขึ้นไปอีก

“................”

เจฮยองละความสนใจจากยองแจแล้วหันไปเล็งศรเงินใส่แวมไพร์ที่ลอบเข้ามาด้านหลัง จังหวะที่ยิงธนูเสร็จก็สบเข้ากับแจซอกพอดี เจฮยองยกมือขึ้นทำท่าหัวใจใส่เมจิส นักเวทย์ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง

หันไปฟาดไม้เท้าใส่แวมไพร์แล้วขว้างดาบใส่อาร์เชอร์จอมกวน ที่เจฮยองเลือกเส้นทางนี้เหตุผลหลักอันแสนน่าตบคือต้องการแว้บมาหาคนสวยของเขาเท่า นั้น ส่วนเหตุผลรองคือเส้นทางนี้ใกล้ตัวปราสาทมากที่สุด

“ระวังตัวด้วยนะครับคุณเมจิส เทคแคร์มากอยากให้รู้!” อาร์เชอร์ตะโกนบอกผู้นำเมจิสแล้วยกมือขึ้นทำท่าหัวใจอีกครั้ง แจซอกกุมขมับกับความเสี่ยวไม่ดูสถานการณ์ของอีกฝ่าย

“นี่จีบเขาหรือกวนตีนเขานะเจฮยอง เลิกเต๊าะคุณอาแล้วก้าวขาวิ่งได้แล้ว ชักช้ายูคยอมหงุดหงิดนะ อีกแค่ห้านาทีเอง!” ยองแจลากตัวเจฮยองออกมาจากการต่อสู้แต่ยังไม่ทันออกตัววิ่งร่างของราชาปีศาจก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเสียแล้ว

“บอกว่าไม่ต้องมารับไง” ยองแจพูดขึ้นเมื่อเห็นยูคยอมแต่อีกใจหนึ่งก็      โล่งอกที่ได้เจอกันเสียที

“คิดถึง” ยองแจเลิกคิ้ว อยากจะจับโกสท์พาไปวินิจฉัยโรคให้รู้แล้วรู้รอดไป นึกเพี้ยนอะไรขึ้นมาถึงได้มาบอกคิดถึงกันแบบนี้...

“เอ่อ...น...นายเป็นอะไรไหม” ยองแจเอ่ยถามแก้เขิน เจฮยองที่เห็นว่าหลานกำลังสวีทกับท่านราชาก็แอบแว้บไปหาคุณเมจิสยอดรักทันที

“ฉัน...เจอวอลเตอร์มา” ยองแจเบิกตากว้าง ดึงมือของยูคยอมมากุมไว้แล้วถามออกมา

“นายทำอะไรเขาหรือเปล่า”

“พอตัว...แต่เขายังไม่ตาย” ยองแจถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก บีบมือยูคยอมแรงขึ้น

“ฟังนะยูคยอม...คุณวอลเตอร์เขา...”

คำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายลงคอไปเมื่อเห็นบุคคลที่จู่ๆก็โผล่มายืนหลังยูคยอม ราชาปีศาจหันไปมอง ดวงตาแห่งโกสท์เผยอย่างรวดเร็ว ดึงตัวยองแจให้หลบหลังร่างตนเอง “เกล”

“ใจร้ายจังนะน้องพี่ มาถึงแล้วไม่ยอมไปทักทายกันเลย” เกลเอ่ยแล้วหันไปยิ้มให้กับคนด้านหลังยูคยอม ยองแจส่งยิ้มแหยตอบกลับ
ความกดดันทั้งหมดในตอนนี้ผู้แบกรับมันไว้คือเด็กหนุ่มนามชเว ยองแจ เด็กหนุ่มที่ล่วงรู้เหตุผลของสงครามนี้ รู้ผลแพ้ชนะในศึกครั้งนี้และรู้ว่า....ใครจะตายบ้างในการต่อสู้นี้ ยองแจกำคันธนูสีดำแน่น จ้องมองเกลที่เก็บงำความรู้สึกทั้งหมดไว้ นึกเห็นใจแดมเพียร์ตนนี้เกินจะบรรยายได้แต่ทุกอย่างควรเปิดเผยเมื่อถึงเวลาของมัน

“ลากตัวแม่แกออกมาซะเกล” ยูคยอมพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว สงครามครั้งนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ขอเพียงลอร์ดผู้น่ารังเกียจนั่นตายไปซะทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม

“ยูคยอม...พี่อยากให้นาย...ใจเย็นๆ” เป็นครั้งแรกที่ยูคยอมสัมผัสถึงความจริงใจในน้ำเสียงของเกลได้

“..........”

“พี่ขอร้อง ส่งยองแจมาให้พี่”    

ยูคยอมแย้มรอยยิ้มเหี้ยม ปล่อยให้ผิวหนังตามร่างหลุดล่อนออก เนื้อเปื่อยยุ่ยร่วงหล่นลงพื้นจนเหลือแต่โครงกระดูก เขาค่อยๆงอกออกมา โค้งงอตามความยาวจนสุดปลายเขา นัยน์ตาสีโลหิตจ้องเขม็งไปยังแดมเพียร์ที่ยังยืนจังก้าอยู่ที่เดิมทั้งที่ก่อนหน้านี้วิ่งหนีเขาหัวซุกหัวซุน ร่างที่แท้จริงของโกสท์นามยูคยอมนั้นปีศาจน้อยตนนักจักเคยพบเห็น ร่างที่จะปรากฏก็ต่อเมื่ออยู่ในอารมณ์โกรธาเกินยับยั้ง


ติดตามตอนต่อไป

ข้อฝากจากผู้แต่ง
1. ใครเล่นแท็กในทวิตเชิญตามมาที่ #ฟิคยจก
2. ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะคะ
3. นิยายเรื่องนี้อัพเดททุกวันศุกร์
4. แต่งโดย Ppigotexo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2018 00:09:21 โดย longtangGenYaoi »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: GHOST Update Chapter 37 [01/06/61]
« ตอบ #39 เมื่อ: 31-05-2018 22:30:29 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ longtangGenYaoi

  • ลองแต่งสายพันธุ์วาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: GHOST Update Chapter 40 [08/06/61]
«ตอบ #40 เมื่อ07-06-2018 23:42:41 »

ตอนที่ 38
STAY AWAY

แต่งโดย : Ppigotexo
ลงวันที่ 08/06/61

หน้าแรก
ตอนก่อนหน้า
ตอนถัดไป

“แกควรเรียนรู้ว่าอย่ามายุ่งกับสิ่งที่มีเจ้าของแล้ว”    

โครงกระดูกสีดำทมิฬเอ่ยเสียงเหี้ยม ร่างที่แท้จริงของโกสท์คือ ‘โครงกระดูก’ ซี่โครงซึ่งเคลื่อนไหวได้ มีชีวิต มีวิญญาณแต่ไม่มีวันตาย หนทางที่จะฆ่าพวกโกสท์ได้นั้นก็พอมีอยู่บ้าง...แต่เรายังไม่บอกคุณหรอก ว่ามันทำได้อย่างไร

“โดยเฉพาะคนของฉัน” ภพเดรัจฉานถูกเปิดอีกครั้งหลังสิ้นเสียงของราชา สัตว์นรกมากมายถูกเรียกให้ออกมา ยองแจถอยห่างจากตัวยูคยอม กวาดสายตาหาทางหนีทีไล่ก่อนตัดสินใจขึ้นไปหลบบนต้นไม้

“ยังใช้แต่อารมณ์ไม่เปลี่ยนไปเลย...” เกลถอนหายใจ สยายปีกค้างคาวให้แผ่กว้างแล้วบินขึ้นสู่ท้องนภายามราตรี

เกลบินหลบไม้เท้าที่พุ่งเข้าใส่ตัว นัยน์ตาสีอำพันของแดมเพียร์แปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำดุจดั่งเคลือบด้วยโลหิต ก้มมองพื้นเบื้องล่างก็พบราชาปีศาจกระโดดขึ้นมา โครงกระดูกคว้าเข้าที่ข้อมือก่อนเหวี่ยงตัวครึ่งแวมไพร์ลงไปกระแทกเหล่าโครงกระดูกจากภพนรก เศษซากแหลมคมทิ่มทะลุเนื้อจนเกลต้องนิ่วหน้า หันไปดึงเศษกระดูกออกแล้วยันตัวให้ยืนขึ้น เห็นท่าไม่ดีตั้งแต่เริ่มเลยสิ...

“ฉันจะเอาศพแกไปเผาต่อหน้าแม่แก!” ยูคยอมประกาศกร้าว ดีดนิ้วปิดภพเดรัจฉานก่อนกระพือปีกร่อนลงพื้น

“เสียใจด้วยที่แกคงทำไม่สำเร็จ!” เกลตอบกลับ กางปีกค้างคาวออกอีกครั้งก่อนปล่อยคลื่นพลังจิตอัดใส่โกสท์จนกระเด็นไปไกลพอสมควร

แดมเพียร์อาศัยจังหวะที่โกสท์ไม่ทันตั้งหลักโฉบเข้าไปหาเด็กหนุ่ม คว้าตัวเข้ามากอดแล้วบินร่อนลงพื้น แขนแกร่งกอดคอยองแจไว้พร้อมกระซิบเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน “นายต้องช่วยฉัน” ยองแจไม่ตอบอะไร ได้แต่ชักสีหน้าลำบากใจ เขารู้ รู้เหตุผลของเกล รู้ทุกอย่าง...แต่เขาพูดมันออกไปไม่ได้...

   “คืนคนของฉันมา” ยูคยอมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่กลับหลอนเข้าไป-

ในโสตประสาทของแดมเพียร์และยองแจ เด็กหนุ่มนิ่วหน้ายกมือขึ้นปิดหูด้วยความทรมาร

คลื่นเสียงของโกสท์ในร่างนี้สามารถทำลายโสตประสาทได้ สร้างความกลัวให้เกิดในจิตใจผู้ได้ยิน จำลองความกลัวนั้นให้เป็นรูปร่าง หากผู้ใดทนได้จะรู้สึกเพียงทรมารแต่หากผู้ใดทนไม่ได้...พวกมันจักฆ่าตัวเองตาย เกลกัดฟันกรอด จ้องมองเหล่าพวกพ้องแวมไพร์ควักหัวใจตนเองออกมาบีบจนแหลกด้วยความคับแค้น

“เกล ปล่อยฉัน...” ยองแจกระซิบบอกเกล โรสอายได้สำแดงฤทธิ์ของมัน เหตุการณ์ในอีกหนึ่งนาทีข้างหน้าไหลเข้ามาให้หัว ต้องรีบหยุด...ต้องหยุดยูคยอม

แดมเพียร์ขมวดคิ้วมุ่น ไม่ยอมทำตามคำบอกของยองแจ ยังคงล็อคคอไว้ไม่ปล่อย เด็กหนุ่มถอนหายใจให้กับความดื้อด้านนั้น ขึ้นชื่อว่าพี่น้องถึงจะคนละแม่ก็ตามย่อมมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกันเสมอ...ดวงตาของโกสท์เรืองโรจน์ด้วยความโกรธ กลืนหายไปกับความมืดยามราตรีแล้วชิงตัวยองแจมากอดไว้ เกลสบถด้วยความขัดใจ ก้าวถอยหลังให้ห่างจากน้องชายต่างมารดา

“เกลียดจริงๆพลังขี้ขลาดนั่น” เกลจงใจพูดให้ยูคยอมได้ยิน ราชาปีศาจหัวเราะ เสียงโหยหวนหลอกหลอนโสตประสาทจนยองแจเผลอร้องไห้ออกมา เป็นครั้งแรกที่พบเจอกับความกลัวที่แท้จริง ความกลัวที่เกิดจากปีศาจ...

“นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนตายหรือแดมเพียร์” โกสท์กล่าว ชี้นิ้วขึ้นมาแล้ววาดเป็นเส้นตรงจากบนลงล่าง

กลุ่มเมฆทะมึนก่อตัวขึ้นเหนือหัวครึ่งแวมไพร์ เศษโครงกระดูกแหลมคมค่อยๆร่วงหล่นลงมาจากเมฆ จากเศษเสี้ยวเพียงไม่กี่ชิ้นกลายเป็นพายุฝนโหมกระหน่ำทิ่มแทงร่างของเกลจนแทบไม่เหลือที่ว่าง ‘ห่าฝนกระดูก’ การโจมตีที่ไม่เคยมีปีศาจตนใดหนีรอดและหลบพ้น...โกสท์จ้องมองร่างของครึ่งแวมไพร์ถูกโครงกระดูกทิ่มแทง กำมือเข้าหากันบังคับเศษกระดูกให้ทิ่มแทงลึกเข้าไปในเนื้อ ยองแจหลับตาลง เบือนหน้าหนีภาพสุดแสนน่ากลัว น้ำตายังคงไหลออกมาจากดวงตาของผู้ถือครองฮาร์ท ดวงตาสีชมพูกุหลาบสั่นไหว เอื้อมมือไปแตะไหล่ยูคยอม

“ยูคยอม...พอแล้ว”

สิ้นเสียงของยองแจฝนโครงกระดูกก็สงบลง ทิ้งไว้เพียงเศษซากแหลมคมตราตึงในจิตใจ แดมเพียร์แน่นิ่ง ไม่ขยับกายไหวติง ยูคยอมคลายมือไล่เอาเศษกระดูกให้หลุดออกจากร่างนิ่งงันของเกล แรงดันอัดเลือดให้พุ่งออกตามรูบนร่างกาย ตัวของแดมเพียร์ค่อยๆซีดลง แม้ผิวจะขาวซีดอยู่แล้วแต่ตอนนี้มันกลับซีดกว่าเดิม เนื้อเริ่มลีบติดกับกระดูกพร้อมกับเลือดที่พุ่งทะลักไม่ยอมหยุด

เด็กหนุ่มกำมือแน่น น้ำตายังคงไหลออกมา นึกหงุดหงิดตัวเองที่บังคับมันไม่ได้ เตรียมเอ่ยปากแต่ก็เป็นอันต้องเก็บงำมันไปเมื่อโรสอายสำแดงฤทธิ์อีกครั้ง ยองแจหันไปมองยูคยอมในร่างโครงกระดูก เลื่อนมือไปกำข้อมือโกสท์ไว้แน่น อีกฝ่ายหันมองด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ปัดหรือขัดขืน   

ฟุ่บ

ร่างของพ่อบ้านวอลเตอร์กระโดดลงมาจากต้นไม้ รีบเข้าไปพยุงครึ่งแวมไพร์ไว้ก่อนใช้เส้นใยเงินกรีดแขนตัวเองให้เลือดไหลหยดลงบนริมฝีปากของเกลที่สลบอยู่ ยูคยอมตาเรืองวาบเมื่อเห็นหนึ่งคนทรยศและหนึ่งคนน่ารังเกียจอยู่ด้วยกัน ยองแจกำชับมือให้แน่นขึ้นพลางส่ายหน้าให้ ราชาปีศาจมองด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดยองแจจึงต้องรั้งเขาไว้

“ปล่อย...” เสียงของโกสท์ทุ้มต่ำจนน่ากลัว มือเล็กที่จับข้อมือเริ่มสั่นด้วยความหวาดผวา

“ยูคยอม ฟังก่อนนะ” ยองแจพยายามเกลี้ยกล่อมโกสท์เจ้าของพันธะสัญญา

“...........”

ยองแจสูดหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุดแล้วพ่นลมออกมา กลั้นน้ำตาให้เหือดแห้งไปก่อนตัดสินใจพูด

“ฉัน...จะไปกับเกล”

“ฉันจะให้โอกาสนายพูดอีกครั้ง” ยูคยอมจ้องเขม็ง น้ำเสียงแข็งกร้าวก้องกังวานไปทั่วอาณาบริเวณ ยองแจจ้องตอบแม้จะกลัวจนขาสั่น

“ฉันจะไปกับเกล” ยองแจพูดน้ำเสียงที่หนักแน่นและฟังชัด เขารู้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้มันเสี่ยงแค่ไหน แต่เขามีความจำเป็นต้องทำ...

ยูคยอมชะงักไป เนื้อเยื่อค่อยๆก่อตัวขึ้นรอบโครงกระดูกก่อนชั้นผิวหนังจะห่อหุ้มเนื้อไว้ ราชาปีศาจกลับคืนร่างเดิม เด็กหนุ่มมองดวงตาสีเลือดที่สั่นไหวแฝง  ไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและน้อยเนื้อต่ำใจ ยูคยอมสะบัดมือยองแจทิ้งก่อนคว้าเข้าที่คอของเหยื่อทันที

“อยากไปกับมันมากเหรอ” พูดพลางออกแรงบีบเบาๆ แค่แรงเพียงน้อยนิดแต่กลับสร้างรอยแดงปื้นเด่นชัดประดับบนลำคอขาว ยองแจนิ่วหน้า กำข้อมือของโกสท์แน่น

“นายควรมีเหตุผลมากกว่านี้และฟังฉัน แค่กๆ!” เมื่อเอ่ยออกไปแรงบีบก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ใบหน้าเริ่มแดงกำ ลมหายใจติดขัดจนแทบหายใจไม่ออก

“ฉันถามว่าอยากไปกับมันมากเหรอ!!” ยูคยอมตวาดลั่น จ้องมองหน้าคนที่ตนเองบีบคออยู่ด้วยความโกรธ ได้แต่คิดในใจว่าครึ่งแวมไพร์นั่นมีดีอะไรคนข้างกายถึงได้ไปหามันกันหมด

“ฉัน ฮึก...หายใจ...ไม่...ออก” แรงที่บีบข้อมือโกสท์อยู่ค่อยๆผ่อนลง น้ำตาที่เหือดแห้งไปในตอนแรกไหลออกมาอีกครั้ง ทรมารเหลือเกิน...
ใครก็ได้...ช่วยที...ช่วยหยุดปีศาจตนนี้ที

ศรเงินพุ่งแหวกอากาศปักเข้ากลางศีรษะพร้อมกับเส้นใยเงินที่เข้าเชือดเฉือนข้อมือโกสท์จนขาดสะบั้น วอลเตอร์พุ่งเข้าไปดึงตัวยองแจมากอดไว้ก่อนรีบถอยห่างจากยูคยอมที่ยังคงขาดสติเพราะความโกรธอยู่ เจฮยองรีบยิงธนูอีกดอกไปปักไหล่เมื่อเห็นว่ายูคยอมทำท่าจะขยับตัว
ยองแจรีบกอบโกยอากาศเข้าปอด ถึงกับหายใจผิดจังหวะไปชั่วขณะ มือชาไปจนถึงปลายนิ้ว สะอื้นไห้สลับกับสูดอากาศไปด้วย “คุณหนูไม่เป็นไรนะครับ” วอลเตอร์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“หายใจไม่ทัน ฮึก นิดหน่อยครับ”

ยองแจผละวอลเตอร์ออกแล้วยืนด้วยขาของตัวเองโดยใช้คันธนูต่างไม้ค้ำ เหลือบจ้องมองโกสท์เจ้าของพันธะสัญญาที่ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ
“ท่านราชาถึงผมจะเคารพท่านแต่ถ้ามาทำแบบนี้กับหลานของผม ถึงจะเป็นนายเหนือหัวผมก็ไม่เว้นนะครับ” เจฮยองเอ่ยเสียงเหี้ยม ขึงศรเงินเก้าดอกเข้ากับคันธนู เล็งเป้าหมายค้างไว้พลางหันมองอาการของหลานชายไปด้วย

เจฮยองนึกโทษตนเองในใจ ช่างแย่เหลือเกินที่เขาละสายตาไปจากหลานชาย หนำซ้ำยังถูกแวมไพร์ระดับหัวหน้าเล่นงานจนเกือบเสียท่าอีก แต่ในความโชคร้ายยังมีโชคดีหลงเหลืออยู่เมื่อแวมไพร์ตนนั้นพลาดท่าให้กับเล่ห์เหลี่ยมของอาร์เชอร์

“.......” ยูคยอมไม่เอ่ยคำใดออกมา ปรายตามองอาร์เชอร์แล้วดึงศรเงินออกจากไหล่และศีรษะด้วยสีหน้าไร้ซึ่งความเจ็บปวดใดๆ

โกสท์ค่อยๆย่างก้าวเข้าไปหายองแจที่ตอนนี้ถูกวอลเตอร์กันให้หลบอยู่ด้านหลัง ยูคยอมมองข้ามหัวอดีตพ่อบ้านไป จ้องตากับเหยื่อของตนเอง ดวงตาสีเลือดเรืองวาบสะกดจิตให้คนมองเดินเข้าไปหา ฮาร์ทรีบสำแดงฤทธิ์เพื่อปกป้องผู้ เป็นนาย เรียกโรสอายให้ปรากฏตัดมายาที่เข้ามาควบคุม

“มาหาฉัน” ยูคยอมออกคำสั่ง หยุดยืนอยู่กับที่แล้วรอให้เหยื่อของตนเองเดินเข้ามา

“ไปสงบสติอารมณ์ก่อน” ยองแจตอบเสียงแข็ง นึกโมโหที่ยูคยอมทำร้ายตนเองโดยที่ไม่ยอมฟังเหตุผลและไม่แม้แต่จะถามด้วยซ้ำ

“ไม่จำเป็น”

“ฉันไม่ไป”ยูคยอมกัดฟันกรอด พยายามควบคุมสติอารมณ์ของตนเองอย่างหนักหน่วง คงไม่ดีแน่หากภพเดรัจฉานจะเปิดออกอีกครั้ง...ยองแจรวบรวมความกล้าอยู่ครู่หนึ่ง มองหน้าโกสท์เจ้าของพันธะสัญญา

ฮาร์ททำให้เขารู้จุดอ่อนของยูคยอม จุดอ่อนที่มีเพียงไม่กี่คนที่ล่วงรู้ ถึงแม้โกสท์จะเป็นอมตะ แต่หนทางในการฆ่านั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม...

จุดอ่อนของโกสท์คือ เหยื่อ

หากเมื่อก่อนยูคยอมคือโกสท์ที่แข็งแกร่งที่สุด ในตอนนี้เขากลับกลายเป็นโกสท์ที่อ่อนแอที่สุด พันธะสัญญาจะถูกทำลายทันทีเมื่อเหยื่อลงมือสังหารโกสท์ผู้ทำพันธะสัญญา แต่โกสท์นั้นไม่สามารถปลิดชีพเหยื่อได้ หากลงมือตนเองก็จะจบชีวิตลงเช่นกัน...

“นาย! เป็นโกสท์ของฉันนะ! เชื่อใจฉันบ้าง!!!” ยองแจตะโกนลั่นป่า ชี้นิ้วใส่โกสท์ที่โกรธเป็นบ้าเป็นหลังโดยไร้ความเกรงกลัวอีกต่อไป

ยูคยอมนิ่งไป ปมที่คิ้วค่อยๆคลายลงอย่างน่าประหลาด

“เห็นนี่ไหม!” ยองแจชี้ไปที่ตาสีชมพูกุหลาบของตนเอง

“นายคิดว่าฉันต้องกลัวอะไรบ้าง! นายรู้ไหมฉันเห็นอะไร!!!” เสียงตะโกนค่อยๆดังขึ้นราวกับความอัดอั้นในใจถึงคราวปะทุ

“ไอ้หมอนี่น่ะ!!” คนพูดชี้นิ้วไปที่ร่างแน่นิ่งของเกล กลั้นหายใจครู่หนึ่งก่อนพูดออกไป

“ไม่ได้เลวอย่างที่นายเข้าใจหรอก” พูดจบน้ำตาที่กลั้นไว้ก็หลั่งไหลออกมาอีกครั้ง

สงครามตอนนี้อยู่ในช่วงสงบศึก แวมไพร์และครึ่งแวมไพร์ต่างพักรบกับเหล่ามนุษย์ ความจริงพวกเขาไม่อยากสู้กันด้วยซ้ำแต่เลือดในกายมันร่ำร้องให้ต้องห้ำหั่นกัน...

“นายจะไปรู้อะไร...” ยูคยอมเอ่ยเสียงแผ่วเบาแต่มันกลับดังก้องในโสตประสาทคนฟัง

ยองแจเบียดไหล่วอลเตอร์ก่อนก้าวย่างไปหาโกสท์เจ้าของพันธะสัญญาของตนเองช้าๆ กำชับอาวุธคู่กายแน่น หยุดยืนยิ่งแล้วออกตัววิ่งเข้าหาโกสท์เต็มกำลัง เงื้อคันธนูขึ้นฟ้าก่อนฟาดมันเข้ากับท้ายทอยของโกสท์จนยูคยอมเซ

ทั้งป่าเงียบสนิท ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปาก เด็กหนุ่มนาม ชเว ยองแจ ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้าทำมาก่อน ยองแจทิ้งนัวร์ลงกับพื้น คว้าเข้าที่คอเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายแล้วเขย่าสุดแรงด้วยความโมโห หงุดหงิดเกินกว่าจะอธิบายมันออกมาได้ทั้งหมด มือเล็กตบเข้าที่หน้าของยูคยอมเต็มแรงทั้งข้างซ้ายและขวา โกสท์ชะงักไปก่อนหันมองคนตัวเล็กที่โกรธจนตัวสั่น...

“ไอ้โกสท์งี่เง่า! ไอ้โกสท์อารมณ์ร้อน ไอ้โกสท์ไม่มีเหตุผล ไอ้โกสท์โมโหร้าย!” หยุดด่าพลางหอบหายใจไปพักหนึ่งก็นึกโกรธอีกครั้ง ฟาดฝ่ามือตบปากยูคยอมที่เผยอขึ้นเตรียมเถียง

“หุบปากไป! นายจะรู้อะไรงั้นเหรอ เออรู้สิ รู้หมดทุกอย่างเลย! นายเคยไหม เคยมีพลังที่ตัวเองไม่ต้องการไหม! ฉันไม่ได้อยากรู้แต่เหตุการณ์ต่างๆมันกลับไหลเข้ามาในหัวเอง!” ยูคยอมนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เป็นครั้งแรกที่เห็นยองแจโกรธขนาดนี้...

“บอกว่าฉันไม่รู้อะไรงั้นเหรอ หึ...คนที่ไม่รู้แล้วยังเสือกไม่ฟังอีกมันคือนายต่างหาก! เลิกใช้แต่อารมณ์สักทีเถอะยูคยอม ฉันต้องช่วยเกล ฉันต้องช่วยพี่นาย! พี่นายน่าสงสารกว่าที่นายคิด นายไม่เอะใจเลยเหรอว่าเกลทำไมต้องเชื่อฟังแม่เลวๆอย่างยัยผีแวมไพร์นั่น เกลเขามีเหตุผลที่บอกใครไม่ได้! บอกไม่ได้แม้กระทั่งนาย ยอมถูกนายเกลียดทั้งที่จริงๆแล้วเขาเจ็บปวดที่เห็นน้องชายเกลียดชังตนเอง! ฮาร์ทไม่เคยหลอกใครยูคยอม มันซื่อตรงและเที่ยงแท้เสมอ...ใช้เหตุผลบ้าง”

ยูคยอมยังคงยืนนิ่ง รู้สึกหน้าชาจนทำอะไรไม่ถูก...คนที่ไม่รู้อะไรเลยคือเขาอย่างนั้นหรือ...โกสท์มองตายองแจอย่างต้องการความมั่นใจ เด็กหนุ่มมองตอบ เลื่อนมือขึ้นไปลูบหัวราชาปีศาจเบาๆแต่ก็นึกแค้นขึ้นมาเลยตบหัวซ้ำเติมไปอีกสองสามครั้ง...

“ฉัน...ไม่รู้อะไรเลยอย่างนั้นเหรอ” จู่ๆร่างของยูคยอมก็สั่นเทิ้มขึ้นมา

ยองแจตกใจ รีบก้มมองหน้าของยูคยอมที่ตอนนี้หยาดเลือดค่อยๆหลั่งไหลออกมาจากดวงตาทมิฬ...โกสท์กำลังร้องไห้ เด็กหนุ่มประคองหน้าอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วปาดเลือดให้ก่อนตบแก้มเบาๆเรียกกำลังใจ

“เลิกงอแงแล้วไปช่วยพี่ชายซะ” ยองแจพเยิดหน้าไปทางร่างของครึ่งแวมไพร์ที่เลือดได้ไหลออกมาจนเหือดแห้งเหลือเพียงผิวหนังที่หุ้มโครงกระดูกอยู่

“สำออย” ยูคยอมเช็ดเลือดที่เปื้อนหน้าแล้วหันไปด่าร่างที่นอนนิ่งของเกล

ผัวะ!

“นายด้วย! ไปด่าเขาทำไม! เกลก็พูดกับนายดีๆ ขอร้องนายดีๆแล้วนายฟังไหม จะหวงอะไรขนาดนั้นล่ะ ฉันก็ดูแลตัวเองได้หรอก!”

“ฉันจะรู้ไหมว่าเกลมันจะพานายไปทำอะไร” ยูคยอมตอกกลับ

เหล่าแวมไพร์และเมจิสมองมนุษย์สั่งสอนราชาปีศาจด้วยความชื่นชมในความใจกล้าของเด็กคนนี้ พวกเขาต่างรู้ดีว่ายูคยอมนั้นเป็นโกสท์ที่อารมณ์ร้ายแค่ไหน แต่ยองแจกลับรับมือได้อยู่หมัดเลยทีเดียว...

“เกลตายรึยังเนี่ย” ยองพูดกับตนเองเบาๆ ดูจากเศษซากแล้วในสายตามนุษย์แดมเพียร์ตนนี้ไม่มีโอกาสรอดเลยแม้แต่น้อย...

“ยังไม่ตาย” ยูคยอมตอบเสียงนิ่งก่อนเดินเข้าไปหาพี่ชายต่างมารดาของตนเอง

โกสท์พยุงร่างแห้งกรังของพี่ชายขึ้นมา เลือดทั้งหมดในกายไหลออกมาจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว โชคยังดีที่วอลเตอร์กรีดข้อมือใช้เลือดตนเองยื้อชีวิตครึ่ง แวมไพร์ตนนี้ไว้ ไม่เช่นนั้นเกลจะตายโดยไร้ข้อแม้ใดๆ...

“ต้องให้เลือด” ยูคยอมพูดขึ้นก่อนหันไปมองยองแจที่ยืนอยู่ข้างๆ

“เลือดฉันเหรอ” ชี้หน้าตนเองก่อนทำหน้าตกใจ

“ฉันไม่อนุญาต”

“เอ้า...”

“ข้าทำเองครับนายท่าน” วอลเตอร์เดินเข้าไปรับร่างของเกลเข้ามากอดไว้

“ร่างเหือดแห้งขนาดนี้ ครึ่งโกสท์ครึ่งแวมไพร์อาจดูดทั้งเลือดและวิญญาณของนายจนนายตายได้ ระวังตัวด้วย”

วอลเตอร์ยิ้มออกมา “ไม่ตายหรอกนายท่าน...ก็ข้าเป็นเหยื่อของเขานี่นา”

!!!!!!!!


ติดตามตอนต่อไป

ข้อฝากจากผู้แต่ง
1. ใครเล่นแท็กในทวิตเชิญตามมาที่ #ฟิคยจก
2. ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะคะ
3. นิยายเรื่องนี้อัพเดททุกวันศุกร์
4. แต่งโดย Ppigotexo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2018 00:14:20 โดย longtangGenYaoi »

ออฟไลน์ longtangGenYaoi

  • ลองแต่งสายพันธุ์วาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: GHOST Update Chapter 40 [08/06/61]
«ตอบ #41 เมื่อ07-06-2018 23:53:02 »

ตอนที่ 39
Cooperate

แต่งโดย : Ppigotexo
ลงวันที่ 08/06/61

หน้าแรก
ตอนก่อนหน้า
ตอนถัดไป

“เหยื่อ?...” ยูคยอมทวนคำสุดท้ายของประโยคที่วอลเตอร์พูดอีกรอบ

“ครับ” วอลเตอร์ตอบพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า นั่งลงข้างร่างไร้สติของ เกลก่อนใช้ใยเงินกรีดคอตัวเองให้ลึกพอที่แผลจะไม่รีบสมานตัว

วอลเตอร์ดึงร่างของเกลเข้ามากอด มือดันกะโหลกศีรษะของครึ่งแวมไพร์ให้แนบไปกับคอที่เนื้อถูกกรีดเมื่อครู่ หยาดเลือดทะลักออกมาจาก

บาดแผลไหลรินซึมเข้าสู่โพรงปากช้าๆ เนื้อติดกระดูกแห้งกรังตะปบเข้าที่ท่อนแขนของวอลเตอร์ ปากอ้าออกกว้างง้างเขี้ยวฝังลงกับคอของเหยื่อก่อนดูดเอาของเหลวข้นรสเลิศเข้าสู่ร่างกาย

“กัดแรงจริงไอ้บ้าเอ๊ย” วอลเตอร์บ่นอุบกับแรงที่ฝังลงกับคอของตนเอง

“อึก...โอ๊ย...อ๊ะ” ความรู้สึกปวดหนึบที่คอทำให้วอลเตอร์ห้ามเสียงร้องของตนเองไว้ไม่ได้

เนื้อติดกระดูกที่เคยแห้งกรังบัดนี้ได้รับการเยียวยาแล้ว ร่างกายของครึ่งแวมไพร์ค่อยๆกลับสู่สภาพเดิม ดวงตาสีเลือดลืมตื่นขึ้น ทอดมองภาพเบื้องหน้าตนเอง ยูคยอมสบตาเข้ากับเกลพอดี ราชาปีศาจพเยิดหน้าบอกกลายๆว่าให้หยุด  ได้แล้ว...แดมเพียร์ถอนเขี้ยวออกจากลำคอของวอลเตอร์ เบนสายตากลับมามองหน้าเหยื่อของตนเอง ยกมือขึ้นลูบข้างแก้มของโกสท์ที่หน้าซีดลงเล็กน้อย

“เลือดนายยังอร่อยเหมือนเดิมเลย” พูดพร้อมแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่เลอะเลือดเบาๆ

“หนวกหู” วอลเตอร์ตอกกลับ ยกมือขึ้นตบหน้าตนเองราวกับต้องการเรียกสติกลับคืน

“ขอกินได้ไหม” เกลกระซิบเอ่ยคำถามข้างใบหูคนตัวเล็กเสียงแผ่วแต่มันกลับดังก้องในหัวคนฟัง

“ก็ฟื้นพลังแล้วไม่ใช่เหรอ” วอลเตอร์ดันหน้าเกลออก ใบหน้าน่ารักงอง้ำด้วยความหงุดหงิด

“คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงนี่ นายเองก็ต้องกิน ผลัดกันกินนะ” วอลเตอร์หันไปถลึงตาใส่ บิดหยิกเนื้อที่แขนอย่างแรงจนเกลนิ่วหน้า

“อย่ามาหน้าด้านแถวนี้ นายท่านกับคุณหนูและคนอื่นๆก็อยู่” เกลหันไปมอง มีบุคคลยืนอยู่ตามที่วอลเตอร์บอกทั้งปีศาจและมนุษย์ ครึ่งแวมไพร์ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก หันกลับมาตะปบมือลงกับใบหน้าของโกสท์ แย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้อีกฝ่ายหมั่นไส้

“เ-ก-ล!” วอลเตอร์กดเสียงเหี้ยม จ้องมองเจ้าของพันธะสัญญาด้วยสายตาขุ่นเคือง

เหยื่อของโกทส์ไม่จำเป็นต้องเป็นมนุษย์เสมอไป พวกเขาสามารถทำพันธะสัญญาระหว่างเผ่าพันธุ์เดียวกันได้ โกสท์ชนชั้นสูงส่วนมากจะมอบครึ่งวิญญาณของตนให้กับนายเหนือหัว หากทำพันธะสัญญาวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งจะได้รับการเติมเต็มและจะเป็นอิสระจากเจ้านาย

“ไว้กลับไปดุที่บ้านหลังจบสงครามนะ” พูดจบเกลก็บดขยี้ริมฝีปากอิ่มของร่างตรงหน้าทันที

วอลเตอร์ตกใจการจู่โจมของเกล เอื้อมมือไปดึงทึ้งผมครึ่งแวมไพร์ ในใจก็นึกคาดโทษพร้อมก่นด่าไปเสียยกใหญ่

เกลลอบยิ้มเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนอะไรมาก ลิ้นหยาบค่อยๆสอด เข้าไปเกี่ยวพันภายในโพรงปากเล็ก ควันสีขาวล่องลอยออกมาก่อนแดมเพียร์จะดูดกลืนมันเข้าไป

“ถ่ายไปลงยูทูปนี่รู้เรื่องเลย” เจฮยองที่ยืนมองฉากสยิวกิ้วอยู่ข้างๆแจซอกพูดขึ้น

“ตลกอะไรไม่รู้เวลาเลย!” แจซอกหันไปดุอาร์เชอร์ที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ยังตลกโปกฮาไปเรื่อยพลางคิดไปว่าไอ้หมอนี่มายืนอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

“ลองทำแบบพวกนั้นบ้างไหมครับคุณเมจิส” พ่อหนุ่มอาร์เชอร์พูดพลางยักคิ้วหลิ่วตาใส่ เข้าข่ายพ่อบ้านใจกล้าจนต้องยอมใจเขาจริงๆ...

“อย่ามาตลกฝืด” แจซอกถอนหายใจก่อนหันไปให้ความสนใจกับการทำความสะอาดไม้เท้าแทน

“ถึงผมจะโสดแต่เรื่องแบบนี้ผมเร้าใจมากนะ” แจซอกหันไปมองคนพูดก่อนยกไม้เท้าขึ้นชี้หน้า

“ผมก็ถนัดครับ ไว้ว่างจริงๆจะลองดูแล้วกัน” พูดจบก็กลับไปสนใจไม้เท้าต่อ ปล่อยให้อาร์เชอร์เขินหูดับตับไหม้อยู่คนเดียว...ร้ายนักนะเมจิส

“ก...เกล...พอ”   

“อีกนิดนึง” มือแกร่งรั้งท้ายทอยของวอลเตอร์ให้ริมฝีปากบดเบียดกันอีกครั้ง

“ฮื้อ!” โกสท์ท้วงเสียงดุ บีบเข้าที่คางของครึ่งแวมไพร์จอมฉวยโอกาส ฟันคมกัดลงบนลิ้นของเกลจนเจ้าตัวต้องผละออก

“ตะกละ”

“ฉันก็แค่หิว” เกลยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดของวอลเตอร์ เหลือบสายตามองน้องชายที่ยืนมองตนอยู่ รอยยิ้มท้าทายถูกส่งไปให้ยูคยอม คนถูกท้าทำเพียงยิ้มตอบ

“โทษทีแต่ฉันกินมาแล้ว” ยูคยอมยิ้มให้พี่ชายต่างมารดาอีกรอบรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกที่เกลไม่ด่วนตายจากไปเสียก่อน

“อร่อยไหมล่ะ ของนายน่ะ” เกลถามพลางจัดแจงเสื้อผ้าตนเองให้เข้าที่เข้าทางเพราะโกสท์ตัวเล็กข้างๆทั้งดึงทั้งขยำจนเสื้อยับและหลุดลุ่ยไปหมด

“เลิศรส”

“แบ่งให้พี่ชิมบ้างล่ะ”

“แกอยากตายอีกรอบไหมล่ะ”

“หวงก้าง”

“กวนตีน” ยองแจมองสองพี่น้องต่อปากต่อคำกันด้วยความเบื่อหน่าย ปีศาจสองตนนี้น่ากลัวเหลือเกิน ไม่ใช่เพราะพลังที่ยิ่งใหญ่แต่ที่น่ากลัวเพราะพวกเขานิสัยเหมือนกันต่างหาก

“อ่ะแฮ่ม! ท่านราชาครับ เชิญออกคำสั่งสิครับ ยืนเถียงกันให้ได้อะไรขึ้นมาล่ะครับ” ยองแจตัดสินใจพูดขึ้นหลังครุ่นคิดอยู่นาน หากเขาไม่พูดการสนทนาไร้สาระนี้ต้องดำเนินต่อไปอีกหลายชั่วโมงแน่...

ยูคยอมถอนหายใจออกมาก่อนเอ่ยปากถามเกล

“จะเอายังไง”

“ตอนนี้...ท่านแม่อยู่ห้องขังชั้นใต้ดินกับเมจิสคนนั้น” ท้ายประโยคเกลได้หันไปมองยองแจ เด็กหนุ่มรู้ทันทีว่าเมจิสในความหมายของเกลคือใคร

“แม่นาย...ทำอะไรพ่อฉันรึเปล่า” ยองแจเอ่ยถาม เหล่าเมจิสต่างนิ่งเงียบรอฟังครึ่งแวมไพรเอื้อนเอ่ย พวกพ้องที่รอคอยอย่างมีความหวัง หวังว่าหัวหน้าของพวกเขาจะกลับมาและปลอดภัยดี

“ท่านแม่รักพ่อของนายยิ่งชีพยองแจ วางใจเถอะ เธอไม่ปล่อยให้ใครแตะต้องตัวเขาได้หรอก”
เกลพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ยองแจแอบสงสัยในประโยคเมื่อครู่ หากลองประมวลผลดูคร่าวๆเขาพอจับใจความได้ว่าลอร์ดเซซิลเลียนั้นกำลังตกหลุมรักพ่อของตนเองอยู่...

“ขอเสียมารยาทที่ต้องด่าแม่ของท่านว่าแพศยา” ยองฮีพูดโพล่งขึ้นด้วยความคับแค้น มือบีบกำคันธนูแน่น เหตุผลที่เธอเข้าใจผิดมาตลอดว่าสามีของเธอถูกจับตัวไปเพราะฮาร์ทที่เขาครอบครองอยู่...

“แม่ครับใจเย็นๆ” ยองแจเดินเข้าไปบีบนวดไหล่ให้มารดาคลายความเครียดลง

“ไปเอาตัวพ่อกลับบ้านกันเถอะยองแจ เมียน้อยนั่นต้องไม่ตายดี” ยองฮีขมวดคิ้วมุ่นด้วยความหงุดหงิด เป็นครั้งแรกที่เธออยากฆ่าแวมไพร์มากมายถึง  เพียงนี้

“จูซอกแม่งสูญพันธุ์แน่ ยองฮีโกรธจนตัวสั่นเลย” เจฮยองบ่นอุบกับตนเอง ลอบกลืนน้ำลายอย่างนึกหวาดเสียว กล้าพูดได้เลยว่าคนที่เคยเห็นยองฮีโกรธจัดนั้นมีเพียงเขาคนเดียว...

“แล้วเราต้องทำอย่างไรนายข้า โปรดบัญชา” แจซอกเอ่ยถามยูคยอม   ด้วยความนอบน้อม ราชาปีศาจหันไปปรึกษากับพี่ชายครู่หนึ่งก็หันกลับมาก่อนประกาศเสียงดังก้อง

“สงครามของเราจบลงเพียงเท่านี้! หยุดการเข่นฆ่าซึ่งกันและกันได้แล้วเหล่าปีศาจเอ๋ย ผู้สมควรตายมีเพียงผู้เดียว ลอร์ดผู้น่าจงเกลียดจงชัง แสนขี้ขลาดและหวาดกลัว หลบซ่อนอยู่ภายใต้ปีกของลูกชาย ลอร์ด เซซิลเลีย”

สิ้นสุดคำประกาศกร้าวผืนป่านั้นกลับมาเงียบสงบในพริบตาก่อนเสียงหอนของแวร์วูฟจะดังขึ้น หมาป่าปีศาจเปรียบดั่งผู้รายงานคนสุดท้าย หากเสียงหอนดังก้องเท่ากับคำสั่งได้รับการตอบรับแล้ว

“พวกท่านกลับได้แล้วเมจิสและอาร์เชอร์” ยูคยอมหันไปบอกกล่าวกับเหล่าผู้มีความสามารถแต่แจซอกและยองฮีกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

“พวกข้าจะไปกับท่านครับ/ค่ะ” ยูคยอมถึงกับถอนหายใจออกมา นิสัยนี้เหมือนกันทั้งครอบครัวเลยสินะ

“รักษาชีวิตของพวกท่านให้ดี” โกสท์บอกก่อนหันไปมองเหยื่อของตนเองที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างมารดา

“มองทำไม ฉันก็จะไปด้วย”

“ฉันรู้ ห้ามนายได้ที่ไหน” ยูคยอมไหวไหล่ เดินเข้าไปจับมือคนตัวเล็กกว่า ยองแจมองหน้าโกสท์สลับกับมือของตนเองด้วยความงุนงง ในใจก็นึกกลัวว่าปีศาจตนนี้จะทำอะไรแปลกๆต่อหน้ามารดาของตนเอง
ดวงตาสีกุหลาบเรืองวาบ ภาพสายโลหิตหลั่งไหลดุจสายธารผุดขึ้นในหัว ความคุ้มคลั่งเข้าครอบงำเงาสีดำทมิฬ มันพุ่งเข้าทำลายล้าง คร่าชีวิต เสียงแห่งโศกนาฏกรรมกำลังกรีดร้อง...ต้องหยุดมัน

“ยูคยอม! ตอนนี้ใครอยู่ที่ปราสาท”

“ตอนนี้เจบีกับอี๋เอินและพวกเซอร์คัสอยู่ที่นั่น ดูเหมือนจะเข้าไปในตัวปราสาทแล้ว”

“รีบไปที่นั่นเร็วเข้า” ยองแจรีบปาดน้ำตาเจ้ากรรมที่ดันไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว ยูคยอมจ้องมองดวงตาแห่งการล่วงรู้แล้วก็ได้แต่นึกกังวล

“ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน เมื่อไปถึงให้พวกท่านรีบตามลงไปที่ชั้นใต้ดินของตัวปราสาท” สิ้นคำสั่งความมืดก็ได้กลืนร่างของโกสท์และเหยื่อให้จมหายเข้าไป

อนาคตที่ยองแจเห็น...คืออนาคตของใคร?

ฝีเท้านับสิบวิ่งย่ำไปบนพื้นปราสาท แต่ละก้าวเบาราวกับเจ้าของร่างไม่มีตัวตน ผู้นำแถวหยุดก่อนส่งสัญญาณมือห้ามคนด้านหลัง “เจ้านายไล่ปีศาจในนี้ออกไปหมดแล้ว แต่ดูเหมือนพวกทาสรับใช้จะยังอยู่”

“พวกก็อบลินเหรอ” หนึ่งในทีมพูดขึ้น

“ร้ายแรงกว่านั้น”

“อะไรล่ะก็พูดให้มันจบๆสิว้อย”

“เมดูซ่า...”

“โอเครู้เรื่อง บี๋ออกไปเลย เป็นหมาผีอยู่แบบนี้ยังไงก็ไม่แข็งตายแน่นอน” พูดจบมาร์คก็ถีบเจบีในร่างโกสท์วูฟให้ออกไปเผชิญหน้ากับเมดูซ่า
ปีศาจสาวรูปงามหันมองตามเสียงที่เกิดขึ้น เส้นผมอสรพิษเริ่มเลื้อยไปมาบนศีรษะของเธอช้าๆ รอยยิ้มเยือกเย็นถูกส่งไปทักทายโกสท์วูฟ เจบีย่างก้าวเข้าหาอย่างไม่หวั่นเกรงแต่หากเขาอยู่ในร่างปกติเพียงแค่สบตากับเธอร่างกายก็ถูกสาปให้กลายเป็นหินแล้ว

“มาหาใครหรือท่าน...หมาป่า” รูปร่างที่ไม่คุ้นตาทำให้เมดูซ่าชะงักไปครู่หนึ่ง

“แค่ผ่านมา อย่าใส่ใจกันเลย” เมดูซ่าแย้มยิ้มกับคำพูดของเจบี เธอเดินเข้าไปหาโกสท์วูฟช้าๆ ลดตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกันก่อนเอื้อมมือไปลูบโครงกระดูกสีรัติกาลของเจบี

“ข้าไม่เคยพบผู้ใดที่ต้านทานคำสาปของข้าได้เลย ท่านคือคนแรกท่านหมาป่า” พูดพร้อมกับลูบไล้ไปตามรอยต่อของกระดูกช้าๆ

“ท่านคงไม่เคยพบเจอกับเจ้านายข้า”

เจบีเอ่ยเสียงสุภาพ ยืนนิ่งปล่อยให้เมดูซ่าลูบกายตนเอง

“เจ้านายของท่านคงเก่งกาจน่าดู”

“เจ้านายของข้าทั้งเก่งและมีจิตใจที่ดี หากท่านยอมปล่อยข้าไป ข้าจะพาท่านไปพบนายของข้าสักครั้ง” เจบีเริ่มใช้แผนล่อลวงเมดูซ่าให้ติดกับ สิ่งที่โกสท์วูฟเจบีมีติดตัวนั่นคือเสน่ห์

เมดูซ่าเริ่มคล้อยตามน้ำเสียงแสนสุภาพของเจบี ดวงตาเริ่มเหม่อลอยด้วยความหลงใหล แม้รูปลักษณ์ที่เธอเห็นนั้นจะเป็นโครงกระดูกรูปร่างน่ากลัวแต่เธอกลับรู้สึกถึงร่างที่แท้จริงของโกสท์วูฟ หล่อเหลาเกินหักห้ามใจจนแทบเพ้อฝัน

“ข้าจะยอมปล่อยให้ท่านผ่านไปหากท่านยอมเป็นของข้า” สิ้นเสียงของเมดูซ่าหอกเหล็กในมือรูปปั้นประดับก็ถูกปาไปเสียบทะลุอก

เจบีตวัดหางเสียบโครงกระดูกเข้าเสียดแทงหัวใจก่อนเมดูซ่าจะทันตั้งตัว สายตาตัดพ้อจ้องมองไปยังโกสท์วูฟ เจบีมองตอบก่อนเอ่ยขึ้น “ขอโทษท่านด้วยที่  ไม่สะดวกพาไปพบเจ้านายของข้า หลับให้สบายเถอะเมดูซ่า” หางโครงกระดูกถูกดึงออกพรวดเดียว ร่างของเมดูซ่าตกลงกระแทกพื้นก่อนศพจะกลายเป็นหิน

“ทำไมเบไม่รอบี๋ให้สัญญาณก่อน” หันไปถามคนปาหอกใส่เมดูซ่าที่ตอน   นี้ใบหน้างอง้ำอยู่

“ประพฤติตัวเชิงเมียน้อยสมควรตายไปซะ นางควรรู้ว่าไอ้หมานี่มีเมียแล้ว” มาร์คยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจหนำซ้ำยังเดินไปกระแทกเท้าลงกับร่างของเมดูซ่าจนแหลกละเอียด

“บี๋ไม่ได้จีบเมดูซ่านะ...”

“หุบปากหมานั่นไปแล้วรีบนำทางซะ” มาร์คหันไปถลึงตาใส่ รู้สึกขัดใจไปเสียทุกอย่าง ถ้าเจบีกลับร่างเดิมจะตบจนเหล็กที่ลิ้นหลุดกันไปเลย...

เจบีไม่ตอบโต้อะไร ผีดิบเวลาโกรธนั้นไม่ได้น่ารักเหมือนตอนอยู่บนเตียงหรอก หมายถึงตอนหลับน่ะน่ารักมากๆ...โกสท์วูฟนำกลุ่มเดินลึกเข้าไปในปราสาทเรื่อยๆ เดินเลาะเลี้ยวไปตามจุดแปลกๆที่มองด้วยตาเปล่าแล้วไม่น่าเดินนัก

 “บี๋พาเล่นอะไรวะเนี่ย สนุกไหมพามุดนั่นมุดนี่อ่ะ” มาร์คเริ่มบ่นเมื่อต้องแทรกตัวผ่านซอกซอยเล็กข้างผนัง

“ทางนี้ปลอดภัยและออมแรงเราที่สุดแล้ว”

“มันแคบว้อย!” มาร์คโวยวายเสียงดังอย่างหงุดหงิด

“ก็เบนมใหญ่เองนี่ ช่วยไม่ได้”

“ที่มันใหญ่ขึ้นก็เพราะแกบีบไหมไอ้นี่หนิ มาต่อล้อต่อเถียงเดี๋ยวเตะกระดูกหักเลย” เจบีเงียบสนิททันที รู้สึกว่ามาร์คในตอนนี้โมโหร้ายยิ่งกว่าตอนคลุ้มคลั่งเสียอีก

“อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ” จินยองที่ตามมาเงียบๆตั้งแต่ต้นรีบพูดห้ามศึก

“ไม่เป็นไร นี่ไม่ได้ทะเลาะกันหรอก” เจบีตอบกลับจินยองก่อนเดินนำต่อไป

โกสท์วูฟนำทางผีดิบและเซอร์คัสมาจนถึงห้องสุดท้าย ประตูบานเล็กมีบันไดทอดยาวลงไปเบื้องล่าง คดเคี้ยววกวนและมีบางจุดผุพังตามกาลเวลา เจบีเดินนำลงไปช้าๆเพราะภายในห้องนั้นมืดสนิท มันไม่เป็นปัญหาสำหรับปีศาจแต่มันคือปัญหาของเหล่ามนุษย์ที่เดินตามพวกเขามา

“ระวังด้วยล่ะจินยอง ตกลงไปก็ตายห่าศพไม่หล่อนะ” มาร์คเตือนจินยอง

“พี่เอินดูพูดเข้า เบ้บไม่ได้ซุ่มซ่ามขนาดนั้นสักหน่อย” แบมแบมที่เดินรั้งท้ายกระซิบกลับมาเสียงเบาเดินลงไปได้เพียงครึ่งทางโกสท์วูฟก็หยุดเดินเสียดื้อๆจนมาร์คที่ตามหลังมาแทบสะดุดตกบันได

“จะหยุดทำไมไม่บอกก่อนล่ะบี๋”

“ชู่ว...”

ทุกคนเงียบลงอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงส้นรองเท้ากระแทกพื้นกำลังเดิน  ใกล้เข้ามา

เป๊าะ!

เสียงดีดนิ้วดังขึ้นท่ามกลางความมืดก่อนคบเพลิงจะถูกจุดเป็นแนวยาวลงไปจนถึงพื้นด้านล่าง บุคคลตรงหน้าเหยียดยิ้มต้อนรับกับกลุ่มของปีศาจและมนุษย์ ริมฝีปากสีแดงสดเผยอก่อนเอื้อนเอ่ยคำทักทาย

“ไม่คิดว่าจะมีคนบุกรุกเข้ามาถึงในนี้ได้ ช่างไร้มารยาทเสียจริง”

“ต้องขออภัยด้วยที่เสียมารยาทกับท่านนะลอร์ดเซซิลเลีย” เจบีกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดไม่แพ้กัน

“ข้าไม่ถือสาเอาความกับหมาบ้านๆหรอก”

“เชิดจริง คอจะหักแล้วป้าเอ๊ย!” มาร์คที่ทนความหมั่นไส้ไม่ไหวก็หลุดถากถางออกไปหนึ่งประโยค

“เสียมารยาทจริงไอ้เด็กกะโปโล!” เสียงแหลมหวีดสูง กระแทกส้นรองเท้าลงพื้นอย่างขัดใจ

“เด็กกะโปโลก็ไม่ไปแย่งผัวใครแล้วกัน!” มาร์คตอกกลับอย่างสูสี เซซิลเลียกรีดร้องอย่างเจ็บใจ ชี้หน้าผีดิบทำท่าอึกอักเหมือนกำลังคิดหาคำด่า

“อะไรป้าข้องเหรอ ข้องมากมาตบได้ พร้อม!” น้องเอินหนูควรมีสติและใจเย็น โกรธผัวไม่จำเป็นต้องพาลขนาดนี้...

“ปากดีจริงๆ!” เซซิลเลียตะโกนลั่น วาดมือส่งพลังจิตเข้าปะทะร่างของมาร์ค ผีดิบใช้แรงกดดันหักล้างพลังจิตนั้นไปอย่างง่ายดาย
มาร์คเริ่มเอะใจ

“ชิ! “ เซซิลเลียหงุดหงิดที่พลังของตนทำอะไรผีดิบไม่ได้ หล่อนหันหลังเตรียมลงไปยังชั้นล่างสุดแต่ก็ถูกมาร์คคว้าตัวไว้ได้ทัน

“จะหนีไปไหนยัยป้า” เซซิลเลียสะบัดแขนของตนเองออกจากการเกาะกุมของมาร์ค

“อย่ามาจับตัวข้า!”

แวมไพร์ตนนี้...

“ไม่ได้อยากจับเท่าไหร่หรอก” มาร์คแกล้งยั่วโมโหเพื่อรอดูพลังที่แท้จริงของท่านลอร์ดท่านนี้

“แก...” เซซิลเลียกำหมัดแน่นจ้องมองไปยังเด็กผีดิบปากดีอย่างคับแค้น

“ป้าน่ะน่ารังเกียจจะตาย”

เอ่ยประโยคถากถางออกไปอีกครั้งเพื่อรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

“หุบปากไปซะไอ้เด็กกะโปโล!” เซซิลเลียเตรียมวาดมืออีกครั้ง มาร์ครีบคว้าข้อมือของแวมไพร์ไว้ ทุกอย่างกระจ่างชัดแล้ว...

ลอร์ด เซซิลเลีย คือแวมไพร์ที่ไร้พลัง

วี้ด!

เสียงผิวปากดังขึ้นเป็นสัญญาณเรียกลิ่วล้อออกมา เงายักษ์ดำทะมึนเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงเข้ามาใกล้จุดที่พวกมาร์คยืนอยู่ อสูรกายยักษ์สามหัวแยกเขี้ยวยาวโค้งของมันก่อนคำรามกึกก้องไปทั่วชั้นใต้ดิน

“เคลเบรอส!”


ติดตามตอนต่อไป

ข้อฝากจากผู้แต่ง
1. ใครเล่นแท็กในทวิตเชิญตามมาที่ #ฟิคยจก
2. ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะคะ
3. นิยายเรื่องนี้อัพเดททุกวันศุกร์
4. แต่งโดย Ppigotexo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2018 00:14:36 โดย longtangGenYaoi »

ออฟไลน์ longtangGenYaoi

  • ลองแต่งสายพันธุ์วาย
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: GHOST Update Chapter 40 [08/06/61]
«ตอบ #42 เมื่อ07-06-2018 23:59:22 »

ตอนที่ 40
Don’t leave

แต่งโดย : Ppigotexo
ลงวันที่ 08/06/61

หน้าแรก
ตอนก่อนหน้า

“เคลเบรอส!” เอมิลี่ตะโกนขึ้นเมื่อเห็นสัตว์ฝึกประจำตระกูล เธออยู่กับพวกเจบีตลอดแต่เธอเลือกที่จะไม่พูดอะไรตลอดทาง

สุนัขปีศาจจ้องมองไปยังผู้นำตระกูลเซอร์คัส เสียงคำรามต่ำน่ากลัวดังออกมาจากท้อง น้ำลายไหลย้อยลงตามเขี้ยวราวกับสัตว์บ้าคลั่ง เอมิลี่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ สัตว์ฝึกของเซอร์คัสจะจงรักภักดีต่อผู้คุมเสมอเว้นเสียแต่มันจะถูกล้างสมองหรือถูกควบคุมอยู่

“เคลเบรอส ทำไมถึงได้...” น้ำเสียงสั่นเครือของพี่สาวทำให้จินยองยกมือขึ้นวางบนไหล่ของเธอแล้วออกแรงบีบเบาๆ

“ใจเย็นไว้ครับพี่เอมี่...เคลเบรอสไม่เหมือนเดิมแล้วนะครับ” จินยองพูดพร้อมกับปล่อยแส้ให้ปลายตกลงพื้น ฟาดสะบัดอย่างแรงจนบันไดหินเก่าแตกผุพังมากกว่าเดิม

เสียงแส้เงินทำให้เคลเบรอสชะงักไปครู่หนึ่ง แม้จะถูกควบคุมอยู่แต่ในจิตใต้สำนึกแล้วมันยังคงเป็นสัตว์ฝึกของตระกูลเซอร์คัส แววตาขุ่นมัววูบไหว อ้าปากคำรามเต็มเสียงรอคำสั่งจากนายใหม่

 “เดี๋ยวก่อนจินยอง” มาร์คใช้แขนขวางจินยองไว้ก่อนเดินเข้าไปหาเซซิลเลีย แวมไพร์ถอยหลังไปเล็กน้อยเมื่อเห็นมาร์คเดินเข้ามาใกล้ เคลเบรอสที่เห็นว่าเจ้า นายใหม่ของตนกำลังหวาดกลัวก็เดินเข้าไปขวางทางผีดิบไว้

ดวงตาผีดิบเรืองวาบสาปสัตว์ปีศาจให้นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ มาร์คเดินไปกระชากตัวเซซิลเลียออกมาก่อนเอ่ยปากถามตรงๆ

“เธอเป็นตัวอะไร” มาร์คถามพร้อมบีบต้นแขนของเซซิลเลียอย่างแรงจนเธอนิ่วหน้า พยายามสะบัดออกแต่ก็ไม่สามารถต้านแรงของผีดิบได้

“ปล่อยข้า!” เซซิลเลียตวาดใส่หน้ามาร์ค คนถูกตวาดใส่รู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

“ปล่อยแน่ถ้าเธอสารภาพมาตามตรงว่าเธอเป็นตัวอะไร”

“ข้าเป็นแวมไพร์ ปล่อยข้า!”

“ตอแหล!”

เพี๊ยะ!

เซซิลเลียฟาดมือลงบนแก้มของมาร์คอย่างแรงจนคนถูกตบหน้าหัน เธออาศัยจังหวะที่มาร์คเผลอสะบัดตัวให้หลุดแล้วกลายร่างเป็นค้างคาวขึ้นไปเกาะบนหลังของเคลเบรอส ผีดิบหอบหายใจอย่างแรงด้วยความโกรธา จ้องมองปีศาจค้างคาวราวกับจะบีบให้แหลกคามือ

“เซซิลเลีย...” มาร์คกดเสียงต่ำ พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตนเองวู่วาม เจบีที่เห็นท่าว่าสถานการณ์กำลังแย่ลงก็กลับคืนร่างมนุษย์แล้วเดินไปดึงตัวมาร์ค  ให้ถอยกลับมา

“เบกลับมานี่” เจบีจับเข้าที่แขนของมาร์คแล้วกระตุกเบาๆ

ในตอนแรกมาร์คยังคงยืนนิ่งแต่ก็ยอมเดินตามเจบีกลับไป เขาไม่อยากทำทุกอย่างพัง แม้เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเขา แต่เขาต้องใจเย็นและระงับอารมณ์ของตนเองไว้

“จัดการมันซะเคลเบรอส!” สิ้นเสียงคำสั่ง ท่านหญิงแวมไพร์ก็บินออกไป สัตว์ปีศาจสามหัวหลุดจากคำสาปของผีดิบ

มันคำรามดังจนเกิดเป็นคลื่นเสียงเข้าจู่โจมเหล่าปีศาจและเซอร์คัส มาร์คปล่อยแรงกดดันตัดคลื่นเสียงนั้นพร้อมกับเจบีที่ขู่คำรามแข่งกับเสียงของเคลเบรอส สุนัขปีศาจพุ่งเข้าจู่โจมผีดิบก่อนเป็นอันดับแรก เขี้ยวยาวดุจดาบง้างกว้าง กรงเล็บแหลมคมตะปบลงกลางลำตัวของมาร์ค เพราะร่างกายที่ใหญ่โตกว่าเคลเบรอสจึงได้เปรียบ แต่ตัวโตก็ไม่ใช่ข้อดีเสมอไป

เจบีกระโดดขึ้นไปบนเพดานก่อนพุ่งตัวลงถีบเคลเบรอสให้กระแทกอัด   พื้นไปพร้อมร่างของมาร์ค...ควันจากเศษหินลอยฟุ้งครู่หนึ่งก็ปรากฏร่างของสุนัขปีศาจที่นอนนิ่งราวกับถูกแช่แข็งไว้ ผีดิบตะกายตัวออกมาจากร่างอันหนักและใหญ่โตของ-

เคลเบรอสก่อนหันไปมองคนถีบเจ้าสัตว์ร่างยักษ์อัดใส่ตนเอง

“ขอโทษครับเบ พอดีลืมยั้งแรง” เจบีรีบบอกมาร์คก่อนตัวเองจะถูกดุ บอกแบบแมนๆเลยว่าเขาไม่กลัวเด็กผีดิบนี่หรอก แต่เรื่องความเคารพนั้นมีล้นพ้น...

“เสื้อเปื้อน...” มาร์คกดเสียงต่ำแล้วชี้นิ้วใส่ชุดสูทสีดำสนิทของตนเองที่ตอนนี้เปื้อนฝุ่นและเศษหินจนด่างดวงเป็นบางจุด เจบีรีบปรี่เข้าไปปัดเนื้อปัดตัวให้มาร์คทันที เช็ดฝุ่นที่เปื้อนทั้งหมดให้ด้วยเสื้อของตนเองจนเรียบร้อย

จังหวะที่แวร์วูฟและผีดิบลดการระวังตัวเคลเบรอสก็หยัดกายขึ้นอีกครั้ง ร่างอสูรกายยักษ์พุ่งเข้าใส่เจ้านายเก่าอย่างเซอร์คัสทันที จินยองกระชับแส้ในมือ ฟาดเส้นเงินลงกลางหน้าของสุนัขปีศาจอย่างแรงจนมันชะงักไป ส่งเสียงครางหงิงราวกับลูกหมา ย่อขาหมอบต่ำเองอัตโนมัติ

“ชู่ว เคลเบรอส ใจเย็นๆ ได้ยินผมไหม” จินยองค่อยๆเดินเข้าไปหาเคลเบรอสที่หมอบต่ำอยู่ ยกมือขึ้นวางประทับบนหน้าผากหัวตรงกลางเบาๆ

“จิน....ยอง”

“ใช่ ผมเอง...ผมจินยอง เด็กดื้อของเคลเบรอสไงครับ” จินยองพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ลูบปัดขนสากสีดำทมิฬอย่างเบามือ

จินยองโถมตัวเข้ากอดหัวของเคลเบรอสไว้ ส่งมอบความเชื่อใจผ่านอ้อมกอดที่แสนซื่อตรง เอมิลี่ทำเพียงยืนมองอยู่ห่างๆ เธอภูมิใจกับน้องชายของตนเองเสมอ แม้เธอจะเก่งแค่ไหนแต่กลับรู้สึกว่าจินยองนั้นวิ่งตามเธอทันตลอด...

“เคลเบรอสเอ๋ย จงตื่นจากฝันของเจ้าเสีย หยุดศิโรราบต่อพวกมนุษย์ต่ำต้อยที่คอยกดขี่ข่มเหงเจ้า จงภักดีต่อข้า ภักดีต่อเซซิลเลียผู้นี้” เสียงของเซซิลเลียดังแทรกในโสตประสาทของเคลเบรอส

อสูรกายร้ายที่เคยสงบกลับคลุ้มคลั่งอีกครั้ง เสียงขู่ดังลอดออกมาจากคมเขี้ยว จินยองคลายอ้อมกอดออกแต่กลับไม่ยอมถอยหนี จ้องมองสัตว์ฝึกประจำตระกูลในระยะประชิดอย่างไม่เกรงกลัว...เคลเบรอสสะบัดศีรษะทั้งสามอย่างแรง มันกำลังต่อสู้กับตนเองเพื่อดึงสติกลับมา

“ฆ่ามัน!” เซซิลเลียประกาศกร้าวเสียงดัง

สติที่พยายามดึงมาถูกกระชากคืนอย่างกู่ไม่กลับ สุนัขปีศาจอ้าปากง้างคมเขี้ยวออกกว้างหวังโจมตีเซอร์คัสตรงหน้าให้ร่างขาดเป็นสองท่อน

“จินยองถอยออกมา!” เอมิลี่ตะโกนลั่น รีบวิ่งไปกระชากตัวน้องชายออกมาก่อนเหวี่ยงตัวให้ถอยห่าง รองเท้าหนังชั้นดียันหน้าของสัตว์ฝึกประจำตระกูลไว้ แส้เงินฟาดลงกลางศีรษะทั้งสามของเคลเบรอสอย่างแรง

ราวกับความทรมารถูกดึงออกไปพร้อมสติและจิตใต้สำนึก เคลเบรอสไม่หวั่นเกรงต่อแผลที่เกิดขึ้นบนศีรษะของมัน หัวริมสุดสะบัดร่างเอมิลี่ให้กระเด็นไปอัดกำแพงอย่างแรง ร่างผู้นำตระกูลเซอร์คัสไหลครูดกับผนังอิฐลงมากระแทกบันไดหิน

“อย่าเข้ามา!” เอมิลี่ตวาดลั่นเมื่อเห็นว่าจินยองและคนอื่นๆทำท่าจะพุ่งเข้ามาช่วยเธอ

“กลับบ้านของเรากันนะเคลเบรอส”

ผู้นำเซอร์คัสเอ่ยขึ้น ขดแส้เงินถูกหยิบออกมาจากเป้ใบใหญ่ เอมิลี่ฟาดแส้ลงกับพื้นเกิดเสียงดังก้องไปทั่วชั้นใต้ดิน การควบคุมสัตว์ฝึกของเซอร์คัสแบ่งออกเป็นสองสายได้แก่ ไคน์ และ คอน สายไคน์คือการคุมสัตว์ฝึกด้วยจิตใจ หลอกล่อ หว่านล้อม เกลี้ยกล่อม ส่วนสายคอนนั้นควบคุมมันโดยการต้อนให้จนมุม

เอมิลี่คือเซอร์คัสเพียงหนึ่งในสองของตระกูลที่ควบคุมสัตว์แบบคอน ราวกับ มีรังสีอำมหิตแผ่ซ่านรอบตัวของเซอร์คัส แม้แต่ปีศาจอย่างแวร์วูฟยังรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวกับความน่าอึดอัดนั้น เอมิลี่สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนพ่นลมออกมา ความกดดันบนบ่าของเธอนั้นมีมากกว่าทุกคนในที่แห่งนี้ สายตาเด็ดเดี่ยวจ้องมองไปยังเคลเบรอส สัตว์ฝึกคู่ตระกูลยาวนานกว่า 400 ปี

เอมิลี่สูดหายใจอีกครั้งก่อนเปล่งเสียงตะโกนออกมาจากท้อง สัตว์ปีศาจนั้นแทบไม่ต่างอะไรกับสัตว์ในโลกมนุษย์ พวกมันจะหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงที่ดังมากพอ เคลเบรอสชะงักไปครู่หนึ่ง เอมิลี่อาศัยจังหวะนั้นตวัดแส้ในมือเข้าไปพันต้นคอหัวซ้ายและขวา กระตุกดึงแส้ให้รัดแน่นก่อนดีดตัวเองให้ขึ้นไปยืนบนหลังของมันแล้ว-

สะบัดบังเหียนเงินหดรัดคอของสุนัขปีศาจจนมันคำรามลั่น

เคลเบรอสสะบัดตัวอย่างแรงเพื่อให้เอมิลี่หลุดกระเด็นออกไปแต่เธอสามารถต้านแรงของมันไว้ได้ “ขอโทษนะเคลเบรอส” เธอพูดก่อนกระแทกส้นรองเท้าให้ปลายตะขอเงินโผล่ออกมาแล้วเสียดแทงเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังหนาของเคลเบรอส

แม้ผิวหนังของมันจะหนาแค่ไหนก็ไม่อาจต้านทานตะขอเงินนี้ได้ ตะขอที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเพื่อต่อกรกับสัตว์ปีศาจโดยเฉพาะ

“กลับมาสิ กลับบ้านเรากันเคลเบรอส” เอมิลี่พึมพำกับตนเอง รู้สึกปวดหนึบไปทั้งอกข้างซ้าย เคลเบรอสสัตว์ฝึกที่เธอรักที่สุด เธอเติบโตมาพร้อมกับมัน  เล่นหยอกล้อกับมัน และผูกพันกับมันมาตลอดช่วงอายุของเธอ

จินยองยืนมองพี่สาวร่วมสายเลือดพยายามควบคุมสัตว์ฝึกอยู่เงียบๆ เขารู้ว่าเอมิลี่นั้นเก่งแค่ไหนแต่ลึกๆแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี...ตามบันทึกของตระกูล ในอดีตใช้เซอร์คัสทั้งหมดหนึ่งร้อยคนในการควบคุมสัตว์ปีศาจอย่างเคลเบรอส...แล้วลำพังเอมิลี่คนเดียวจะทำได้...อย่างนั้นหรือ
“เบ้บไม่เข้าไปช่วยพี่เอมี่เหรอ” แบมแบมเอ่ยถาม จ้องมองเคลเบรอสที่กำลังคลุ้มคลั่งอย่างเป็นห่วง

“ไม่ครับ...ถึงจะอยากช่วยแค่ไหนก็ทำไม่ได้หรอก” จินยองตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย เขารู้นิสัยของเอมิลี่ดีที่สุดและรู้ว่าเธอเกลียดการยื่นมือเข้าไปช่วยโดยไม่ได้ร้องขอแค่ไหน

“เบ้บจำคำเค้าไว้นะ บางครั้งพี่น้องก็ไม่จำเป็นต้องตั้งกฎเกณฑ์อะไรหรอก อย่าให้ศักดิ์ศรีของใครคนใดคนหนึ่งทำให้เราสูญเสียอะไรไป” จินยองหันไปมองหน้าแวร์วูฟตัวแสบของเขา รอยยิ้มน่ารักที่มักส่งมาให้เขาเสมอเวลาไม่สบายใจนั้นทำให้จินยองเผลอยิ้มตามไปด้วย

“เดี๋ยวกลับมานะครับ” จินยองบอกกับแบมแบมแล้วประทับจูบลงบนหน้าผากราวกับมันคือตัวแทนของคำมั่นสัญญา

“จะรอนะ”

แบมแบมจูบหน้าผากจินยองกลับแล้วยิ้มส่งเซอร์คัสหนุ่มที่หยิบแส้แล้วพุ่งตัวออกไป

“ทำอะไรไม่เกรงใจพี่มันเลยเนอะ” เจบีแอบบ่นคนเดียวอย่างนึกน้อยใจ...ส่วนมาร์คได้แต่มองภาพของสัตว์ฝึกที่คลุ้มคลั่งเงียบๆพลางสอดส่องสายตามองหาเซซิลเลียไปด้วย นังตัวประหลาดนั่นหายไปไหนกันนะ...

จินยองตวัดแส้คู่ในมือเข้ารัดคอหัวตรงกลางของเคลเบรอสทันที เขาออกแรงกระชากให้สัตว์ปีศาจหมอบตัวต่ำ มือหนึ่งรวบด้ามแส้มาถือไว้ด้วยมือเดียวก่อนควักเอามีดเงินออกมา จินยองตั้งหลักอยู่ครู่หนึ่งก็พุ่งตัวเข้าไปปักมีดลงกลางดวงตาของสุนัขปีศาจ เซอร์คัสจินยองจับแส้อีกครั้ง ตวัดปลายแส้ขึ้นไปรวบตัวพี่สาวลงมาจากหลังของเคลเบรอส ร่างของเอมิลี่หล่นลงมาใส่ตัวจินยองอย่างแรงแต่โชคดีที่   ทั้งคู่ไม่ปลิวไปอัดกับผนังเพราะจินยองใช้แส้ยั้งแรงไว้ทัน

“ทำอะไรวะ!” เอมิลี่ตวาดเสียงดังก่อนตบหัวน้องชายด้วยความหงุดหงิด

“พี่นั่นแหละทำอะไร! ถ้าบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไงครับ” จินยองต่อปากต่อคำก่อนวางเอมิลี่ลง

“พี่จัดการได้!”

“เออ รู้เว้ย! แต่สองคนย่อมดีกว่าคนเดียวอยู่แล้ว ผมโตแล้วนะพี่ ผมไม่ถ่วงแข้งถ่วงขาพี่หรอก” จินยองตะโกนออกไปด้วยความโมโห

ปกติเขาสองคนไม่ค่อยทะเลาะกันเท่าไหร่สาเหตุที่ทะเลาะกันส่วนใหญ่มักจะเกิดระหว่างการฝึกสัตว์

“กล้าเถียงพี่เหรอ!” เอมิลี่ขึ้นเสียงใส่ก่อนฟาดแส้ในมือใส่หัวซ้ายที่ทำท่าจะพุ่งเข้ามา

“เออ! ก็มีพี่แบบนี้ไงเลยเถียง” จินยองตอกกลับโดยไม่มองหน้าพี่สาวเพราะเคลเบรอสในตอนนี้เริ่มฟื้นพลังแล้ว

“ทำไมน้องไม่เคารพกูเลยวะ ไอ้นี่แม่งก็ดิ้นจังเว้ย” เอมิลี่ที่ไม่รู้จะด่าอะไรจินยองกลับก็ได้แต่หันไปพาลใส่เคลเบรอส...

สองพี่น้องเซอร์คัสช่วยกันโค่นร่างของสุนัขปีศาจลง จินยองหยิบเข็มฉีดยาที่บรรจุสารบางอย่างออกมา “จับไว้แน่นๆนะครับพี่เอมี่” บอกกับพี่สาวก่อนวิ่งเข้าไปแทงเข็มลงที่ตาข้างขวาของเคลเบรอสแล้วฉีดสารที่อยู่ในเข็มฉีดยาให้แก่สัตว์ประจำตระกูล

เคลเบรอสนิ่งไป หยุดขยับและเลิกส่งเสียงขู่คำรามใส่สองพี่น้องเซอร์คัสหลังสารที่ฉีดเข้าไปออกฤทธิ์ สาร Endorphilous คือสิ่งที่จินยองฉีดเข้าไปในตัวของเคลเบรอส มันคือสารกล่อมประสาทสำหรับสัตว์ปีศาจโดยเฉพาะ

สารนี้มีไว้ช่วยคลายความเครียดของสัตว์ฝึกและจะออกฤทธิ์เพียงห้านาทีเท่านั้น...จินยองทิ้งแส้ลงกับพื้นก่อนเดินเข้าไปหาเคลเบรอสช้าๆ ฝ่ามือใหญ่ประทับลงกลางหน้าผากของสุนัขปีศาจเบาๆ จินยองมองลึกเข้าไปในดวงตาของเคลเบรอส ความหวาดกลัวและวิตกกังวลฉายชัดบนดวงตาสีโลหิตนั้น เขาทำเพียงมองอยู่แบบนั้น ส่งผ่านความเชื่อใจให้ทางสายตาและฝ่ามือของเขา จินยองคือเซอร์คัสเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถควบคุมสัตว์ฝึกได้ทั้งคอนและไคน์จนได้รับฉายาว่า ทูเอบิสเซอร์ครัส

“เคลเบรอส...เคลเบรอสไม่ใช่สัตว์ฝึกสำหรับผมนะ...เคลเบรอสคือครอบครัวของผม” น้ำเสียงของจินยองนั้นราวกับแฝงไปด้วยเวทมนตร์ โทนเสียงที่ ทุ้มนุ่มฟังแล้วชวนหลงใหลทำให้สัตว์ที่เขาเคยฝึกมายอมศิโรราบเพียงเพราะคำพูดของเขา

เคลเบรอสส่งเสียงครางต่ำออกมาเบาๆ ดวงตาขุ่นมัวเริ่มกลับมามีประกายอีกครั้งราวกับสติที่ถูกดึงออกไปในตอนแรกกำลังกลับคืนมา สุนัขปีศาจจ้องมองสองพี่น้องเซอร์คัส น้ำตาหลั่งไหลออกมาจากดวงตาสีโลหิตช้าๆเพราะความเสียใจที่ไม่สามารถควบคุมสติและเผลอลงมือกับเด็กๆที่รัก

“จินยอง...เอมิลี่”

คนถูกเรียกส่งมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้แก่สัตว์ปีศาจ “ยินดีต้อนรับกลับมานะเคลเบรอส” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันก่อนเอมิลี่จะปล่อยแส้แล้วเดินเข้าไป วางมือลงบนหน้าผากของสุนัขปีศาจอีกคน ขอแค่กลับมา ขอแค่เคลเบรอสเป็นเหมือนเดิมก็เพียงพอแล้วสำหรับเอมิลี่...

ฤทธิ์ของ Endorphilous กำลังเสื่อมลงจนหมดไปในที่สุดแต่เคลเบรอสยังคงสงบนิ่ง หลับตาลงรับสัมผัสอันแสนคิดถึงจากสองพี่น้องเซอร์คัส....เคลเบรอสได้สติกลับคืนมาแล้ว

ความสงบย่อมคงอยู่ได้ไม่นาน มีแสงสว่างจ้าเกิดขึ้นจนต้องหลับตาลง พอลืมตาขึ้นก็พบเซซิลเลียกระโดดลงมาจากเพดานก่อนเหยียบลงบนหลังของเคลเบรอส ส้นสูงแหลมเสียดแทงผิวหนังของสุนัขปีศาจอย่างแรงจนมันร้องคำราม มาร์คที่เห็นเซซิลเลียโผล่มาก็รีบพุ่งเข้าไปหาแต่ก็ถูกเจบีคว้าตัวไว้ได้ทัน

“อย่าเพิ่งวู่วาม แผนเราจะเสีย” เจบีบอกมาร์คแล้วปล่อยแขนที่ตัวเองจับอยู่ ผีดิบยอมทำตามที่แวร์วูฟบอกแต่ก็แอบขัดใจไม่น้อย

“บทละครน่าสะอิดสะเอียนนี่มันอะไรกันเคลเบรอส น่าสมเพชยิ่งนัก”  เซซิลเลียเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดเสียเต็มประดา

“ลงมาจากหลังของข้านางแวมไพร์!” เคลเบรอสตวาดลั่น สะบัดตัวอย่างแรงให้เซซิลเลียออกไปพ้นจากตัวด้วยความรังเกียจ

“หึ!” เซซิลเลียกระโดดลงจากหลังของเคลเบรอส แล้วหยุดยืนระหว่างกลางสองพี่น้องเซอร์คัส

เสียงแส้เงินสี่เส้นถูกฟาดลงพื้นดังกึกก้องไปทั่ว เซซิลเลียไม่สนใจเสียงขู่จากเซอร์คัส ดวงตาสีอำพันเรืองวาบก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสีอเมทิสต์ จินยองและเอมิลี่นิ่งงันไปราวกับถูกต้องมนตร์สะกด เขาและหางเริ่มงอกออกมาจากศีรษะและบั้นท้ายของท่านลอร์ดผู้สูงศักดิ์ มาร์คเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพเหล่านั้น สิ่งที่สงสัยและค้างคาใจได้รับการเฉลยแล้ว...

เซซิลเลียไม่ใช่แวมไพร์แต่เธอคือแดมเพียร์ ลูกผสมระหว่างแวมไพร์และ ซัคคิวบัส แวมไพร์ที่ไร้พลังของแวมไพร์แต่กลับมีพลังของปีศาจแฝงฝันอยู่ท่วมท้น

“ต้องให้ข้าได้เอาจริงซะได้ พวกมดปลวกน่ารำคาญ” เซซิลเลียบ่นอุบ เดินไปกระชากแส้มาจากมือของเอมิลี่แล้วสะบัดมันใส่เคลเบรอส
ดวงตาสีอเมทิสต์เรืองวาบ สาปสัตว์ปีศาจให้ต้องมนตร์สะกดอีกครา “ฆ่ามัน”

“จินยอง!!!” แบมแบมตะโกนขึ้นเสียงดังเพื่อปลุกเซอร์คัสที่หลงใหลไปกับมนตร์สะกดของแดมเพียร์

เคลเบรอสอ้าปากกว้าง ง้างคมเขี้ยวขึ้นกลางอากาศแล้วกัดลงบนร่างของผู้นำเซอร์คัสอย่างไร้เยื่อใย ราวกับหัวใจถูกดึงออกไป จินยองทรุดลงกับพื้น จ้องมองร่างของพี่สาวถูกเขี้ยวยาวดุจดาบเสียดแทงจนทะลุ เลือดสีสดสาดกระเซ็นชโลมตัวจินยองจนอาบไปด้วยสีแดง จินยองนิ่งอึ้งไปร่วมนาที หันมองเซซิลเลียที่ตอนนี้ถอยห่างจากตนเพื่อหลบห่าฝนโลหิตนี้

“พี่...เอมี่...” จินยองหันกลับมาแล้วเปล่งเสียงเรียกพี่สาวด้วยความยากลำบาก ขอบตาร้อนผ่าวก่อนน้ำตาจะไหลรินลงอาบสองแก้มที่แปดเปื้อนไปด้วยเลือดของพี่สาว

จินยองรีบถลาเข้าไปรับร่างของเอมิลี่ที่หลุดจากคมเขี้ยวของเคลเบรอส   ลงมา พี่สาวร่วมสายเลือดโผเข้าสู่อ้อมอกของน้องชายด้วยสภาพไร้ลมหายใจ จิน ยองตัวสั่นจากแรงสะอื้น คำพูดมากมายที่เขาไม่เคยได้บอกกับเอมิลี่ผุดขึ้นมาในหัวรวมทั้งคำขอโทษนับพันที่ไม่มีโอกาสได้บอกตอนเธอยังมีชีวิตอยู่ เซอร์คัสจินยองรั้งตัวพี่สาวเข้ามากอดแน่น ฝ่ามือใหญ่ประคองศีรษะพี่สาวไม่ให้คอพับไป

“ผมจะพาพี่กลับบ้านเอง...” จินยองพูดแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เขาวางร่างของพี่สาวให้พิงกับผนังอิฐ เลื่อนมือทาบปิดเปลือกตาให้เธอช้าๆ
เขาไม่โทษเคลเบรอสที่ทำเรื่องแบบนั้น ไม่โทษคนอื่นๆที่ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย เขาโทษตัวเองที่แม้แต่คนในครอบครัวคนสุดท้ายก็ยังปกป้องไว้ไม่ได้ จินยองหยัดกายให้ลุกขึ้น กำชับแส้เงินด้วยมือที่สั่นกึกเพราะหัวใจที่กำลังอ่อนแอ เขาเปลี่ยนความรู้สึกสิ้นหวังให้กลายเป็นแรงผลักดันในการแก้แค้น

จินยองหันไปมองเคลเบรอส ตวัดแส้รวบหัวทั้งสามของสุนัขปีศาจให้ชิดกันก่อนล้วงกระเป๋าพร้อมหยิบเข็มฉีดยาออกมาอีกสามเข็ม ที่หยิบออกมาในครานี้ไม่ใช่ Endorphilous แต่มันคือ Phenicyclidineหรือยาสลบชนิดฉีด เซอร์คัสจินยองปล่อยแส้ วิ่งเข้าประชิดตัวเคลเบรอสแล้วแทงเข็มลงตาข้างเดิมอย่างแรง ยาสลบถูกฉีดเข้า-

สู่ร่างกายสุนัขปีศาจ ไม่นานนักมันก็สลบล้มพับไป

 “ผมจะแก้แค้นให้พี่เองครับ พี่เอมี่” สิ้นคำพูดของจินยองแส้เงินถูกตวัดใส่ร่างของแดมเพียร์ทันที

เซซิลเลียสะบัดแส้ในมือต้านไว้แต่ผู้ที่ใช้อาวุธได้ดีกว่าย่อมได้เปรียบ จิน ยองรวบพันแส้เงินของครึ่งแวมไพร์ไว้แล้วใช้แส้อีกเส้นฟาดเข้าที่หน้าของเซซิลเลียอย่างแรงจนเป็นแผล ซัคคิวบัสนั้นเป็นปีศาจที่ไม่หวั่นเกรงต่อแร่เงินบริสุทธิ์แต่ด้วยเลือดในกายครึ่งหนึ่งที่เป็นแวมไพร์ทำให้แผลที่เกิดขึ้นไม่ยอมสมานตัว

มาร์คที่นิ่งดูสถานการณ์อยู่เริ่มเคลื่อนไหว หันมองเจบีก่อนส่งสัญญาณให้เริ่มทำตามแผนที่ได้วางไว้ ทั้งคู่วิ่งหายเข้าไปในความมืดเงียบๆ ปล่อยให้บุคคลที่เหลือรับฉากหน้าต่อไป ผีดิบนั้นเป็นปีศาจที่ฉลาดเป็นอันดับต้นๆในหมู่มวลปีศาจด้วยกัน แน่นอนว่ามาร์คนั้นรู้บางอย่างและกำลังเริ่มสืบมัน

“แกมันน่ารังเกียจจริงๆยัยซัคคิวบัส” จินยองพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจพลางคิดไปว่าปีศาจแบบนี้ไม่ควรมีอยู่บนโลกด้วยซ้ำ

“อย่ามาเรียกข้าแบบนั้นไอ้เด็กเหลือขอ” เซซิลเลียเกลียดนักหนาพวกที่มาเรียกตนเองว่าเป็นปีศาจชั้นต่ำแบบนั้น แต่มันคือความจริงที่ค้ำคอเจ้าหล่อนอยู่ ความจริงที่ว่าเธอคือปีศาจที่จัดอยู่ในชนชั้นต่ำ...

“เลิกพูดมากเสียที” จินยองทิ้งแส้ลงกับพื้นก่อนเดินเข้าประชิดตัวเซซิลเลีย

ครึ่งแวมไพร์ใช้พลังของซัคคิวบัสอีกครั้งแต่ครานี้มันกลับใช้ไม่ได้ผล ความโกรธของจินยองคือตัวที่คอยกระตุ้นสติของเขา จินยองกระชากแส้คืนมาจากมือของเซซิลเลียแล้วใช้มันพันรอบคอปีศาจน่ารังเกียจตนนี้ สองแขนออกแรงดึงให้แส้      หดเข้ารัดคอครึ่งแวมไพร์ เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของแวร์วูฟแบมแบมเสมอ แวร์วูฟเริ่มออกตัววิ่งเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างผิดแปลกไปจากเดิม

แวร์วูฟปราดเข้าไปดึงตัวของเซอร์คัสทั้งสองพี่น้องออกมาก่อนเสียงหนึ่งจะดังขึ้นตัดสถานการณ์

ปัง!


ติดตามตอนต่อไป

ข้อฝากจากผู้แต่ง
1. ใครเล่นแท็กในทวิตเชิญตามมาที่ #ฟิคยจก
2. ฝากคอมเมนท์ให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะคะ
3. นิยายเรื่องนี้อัพเดททุกวันศุกร์
4. แต่งโดย Ppigotexo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2018 00:14:48 โดย longtangGenYaoi »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด