Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 30 : เริ่มรู้จักความหมาย ของคืนวัน.. ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 30 : เริ่มรู้จักความหมาย ของคืนวัน.. ]  (อ่าน 9244 ครั้ง)

ออฟไลน์ Hyenas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ปุยอย่าเพิ่งถอดใจเซ่
แอบเชียร์ น้องกล้า ให้ดับซ่าโอเล่

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1

Track 24 :  ในยามห่างไกล หัวใจคงห่วงหา.. ห่วงเธอทุกวันและทุกคืน

คืนวันเสาร์หน้าบูธของกาชาด พ่อแม่จูงลูกน้อยมาสอยดาวแน่นลานกว้าง มีทหารยืนรอบถุงทราบที่ก่อขึ้นมาเป็นบ่อน้ำ ในบ่อลอยตลับสอยดาวสีสันหลากหลาย พี่ทหารคอยอำนวยความสะดวกยืนสวิงสอยดาวให้แก่ผู้ที่เข้าร่วมเล่นเกม เมื่อสอยกันเสร็จก็จะไปแลกของรางวัล พิธีกรบนเวทีตะโกนเชื้อเชิญคนที่ผ่านไปมาดังลั่น เสียงลอยจนมาถึงบูธขนมจีนที่คนแน่นขนัดของนกน้อย แม้จะขายได้ร่วมอาทิตย์นึงแล้ว แต่ผู้คนยังไม่ลดลงเลย 

โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าในงานด้วยกัน ที่แวะเวียนมาทานพร้อมชมในรสเลิศไม่ขาดปาก  นกน้อยที่เพิ่มปริมาณให้ถ้าเห็นเป็นพ่อค้าแม่ขายด้วยกัน แม้ว่าค่าเช่าที่จะแพงมาก แต่ด้วยปริมาณคนที่มาทานมากขนาดนี้ ทำให้คนขายยิ้มแก้มปริ แถมยังแบ่งกำไรเป็นค่าแรงแก่ ปุยเมฆ และ มะนาว ที่ขยันขันแข็งช่วยเหลือเป็นอย่างดี มีก็แต่โอเล่ที่ไม่ยอมเอาเงิน แถมยังออกค่าที่ให้ก่อนอีกต่างหาก

“เดี๋ยวน้าแจ้ขึ้นประกวดกี่โมงครับเนี่ย” โอเล่ถามนกน้อยที่มองนาฬิกาไม่หยุดจนสังเกตุเห็นได้ชัด 

“ก็น่าจะสักสามทุ่มน่ะค่ะน้องโอเล่ เพราะว่า ประกาศผลประกวดขุนช้างเสร็จ ก็ต้องมีประกวดขุนแผนต่อเลย”

“พี่นกน้อยก็ไปได้แล้ว ตรงนี้เดี๋ยวผมดูให้เอง พวกลูกน้องเตี่ยผมนี่ไว้ใจได้ เรื่องเงินทองไม่ต้องกลัว”

“หูย เจ๊ไม่คิดเรื่องเงินทองเลยค่ะน้องโอเล่  แค่ที่น้องโอเล่ช่วยเหลือนี่ก็ดีใจมากแล้ว แค่เกรงใจ อุตส่าห์มาเหนื่อย จะเลี้ยงเหล้าก็ไม่ดื่ม แล้วจะให้ทิ้งร้านให้น้องโอเล่อยู่ได้ยังไง นี่เดี๋ยวน้ำยาหมดหม้อนี้ก็ว่าจะปิดร้านกัน แล้วไปเชียร์พี่แจ้ด้วยกันทั้งหมดนี่แหล่ะ”

“พี่นกน้อยกับมะนาวไปก่อนได้เลย เดี๋ยวผมช่วยโอเล่อีกสักพักจะตามไปดู” ปุยคะยั้นคะยอนกน้อยให้รีบไปยังเวทีประกวด เพราะกลัวน้าแจ้จะใจเสียถ้าไม่เห็นคนไปเชียร์  มะนาวจึงถอดผ้ากันเปื้อนแล้วรีบชวนนกน้อยไปเชียร์น้าแจ้กัน




“ทางนี้จ้า” อาร์มกับดอยที่จองโต๊ะหน้าลานเบียร์เกือบติดขอบเวทีประกวดตั้งแต่หัวค่ำ ชูมือไหวเรียกมะนาวกับเจ๊นกน้อย ให้มาสมทบที่โต๊ะ แม้มะนาวจะทำหน้าบูดเมื่อเห็นอาร์ม แต่ก็ตามเจ๊นกน้อยมานั่งร่วมโต๊ะด้วยความยินยอม

“กำลังจะเริ่มแล้วครับ แล้วปุยล่ะ” ดอยถามเจ๊นกน้อยซึ่งดูตื่นเต้นและคอยชะเง้อไปยังเวทีมองหาไก่แจ้

“เดี๋ยวน้องปุยกับโอเล่ตามมาอีกสักพัก พอดีร้านยุ่งมาก แต่ของใกล้หมดแล้ว ขายดีมากเลยวันนี้”

“ดื่มอะไรกันดีครับ วันนี้ งดขายเบียร์นะ พอดีพรุ่งนี้มีงานวันพ่อ” อาร์มถามนกน้อยแต่สายตาโฟกัสไปยังมะนาว

“อะไรก็ได้จ๊ะ ไม่อยากดื่มแอลกอฮอล์เหมือนกัน พรุ่งนี้จะตื่นไปใส่บาตรให้พ่อหลวง” นกน้อยยังคงไม่ละสายตาจากเวที

“ตื่นเต้นกับวันพรุ่งนี้เหมือนกันนะคะ พ่อหลวง 5 รอบ เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ มะนาวอยากไป ราชดำเนินจัง”

“ไปไหม พี่พาไปพรุ่งนี้” อาร์มที่รอจังหวะอยู่แล้วรีบเสนอ

“ไม่ค่ะ มะนาวจะอยู่ช่วยพี่นกน้อย”

“ไปกับอาร์มก็ได้ นี่ลูกน้องของเตี่ยโอเล่มาช่วยเจ๊ สบายจะตาย ตอนจบงานก็ว่า จะพาน้องทหารไปเลี้ยงหน่อย”

“หนูอยากอยู่ที่นี่ค่ะ มีจุดเทียนชัยที่สะพาน น่าจะยิ่งใหญ่  เราอยู่ที่ไหน ก็ร่วมฉลองให้พ่อหลวงได้นะคะ”

“ใช่เลย เจ๊ว่าทั่วประเทศไทย จะสว่างไสวจากแรงเทียนในวันพรุ่งนี้”





“ปุยโอเคหรือเปล่า มีอะไรระบายออกมาได้นะ” โอเล่ลองถามปุยดู ที่แม้เขาจะเริ่มสนิทกับปุยเมฆมากขึ้นแล้ว จากการที่มาใช้เวลาร่วมกันในช่วงที่ผ่านมา เขาพบว่า ปุยเป็นคนน่าคบหา และเป็นเพื่อนที่ดีมาก แต่เขาก็ยังไม่สนิทถึงขึ้นจะถามเรื่องส่วนตัวเลย

“ไม่นะ เราไม่โอเค ถ้าโอเล่หมายถึงเรื่องนายดอย”

“อภัยไม่ได้เลยเหรอ”

“ไม่”

“เราว่า มันก็พลาดกันได้นะ ดูเจ๊แมวสิ สวยขนาดนั้น สวยกว่าผู้หญิงอีก ผู้ชายทุกคนเห็นก็เคลิ้มแหล่ะ”

“ทำไม โอ๊คไม่เป็นล่ะ”

“....”

“นายชอบคนถูกแล้ว โอเล่  โอ๊คมั่นคง และไม่เคยเลยที่จะทำให้เราผิดหวัง”

“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก”

“หมายความว่ายังไง”

“คือ เราเห็นพี่ดอยมาพร้อมกับเห็นพี่โอ๊ค  เขาก็เหมือนกันนะ เห็นเล่นๆ เรื่อยๆ ไปกับคนนั้นคนนี้ แต่ถ้ามีใคร เขาก็หยุดนะ ไม่มีวอกแวกหรอก เรื่องที่เกิด มันอยู่ในช่วงที่เขาไม่มีใคร อันนี้ เราก็คิดว่า พี่ดอยไม่ผิดหรอก แล้วเราก็ไม่รู้ความจริงทั้งหมด เท่าที่พอรู้ เขาสนิทกันมาตั้งแต่อยู่ในสถานพินิจแล้ว”

“เราว่า เราไม่อยากเอาเรื่องพวกนี้มาอยู่ในหัวแล้วล่ะโอเล่ เราจะมุ่งไปที่การเรียน เราอยากรีบจบ อยากทำงานแล้ว”

“อืม สู้สู้นะ”

“นายก็เหมือนกัน.. พักนี้ ดูจะมีคนมาตามติดนะ พ่อหนุ่มนพมาศน้อยอะไรนั่น”

“แหวะ ไม่เอาอ่ะ มันกวนโอ๊ยจะตาย  เราชอบพี่โอ๊ค ก็คือพี่โอ๊ค”

“แล้วโอ๊คมีแนวโน้มชอบโอเล่ไหมอ่ะ ถามจากมุมของคนนอกอย่างเรา”

“ปุยไม่ใช่คนนอกหรอก ปุยได้ใจพี่โอ๊คไป  เราสิคนนอก”

“ไม่เอาสิ อย่าท้อ โอ๊คอาจเคยชอบเรา แต่ตอนนี้ เขาไม่ได้ชอบแล้วแหล่ะ เราสัมผัสได้เลย”

“ใจเขาคงไปอยู่กับ ลูกเจ้าของห้างแล้วแหล่ะ”

“ท้อไหม”

“ไม่นะ ถึงไม่สมหวัง  เราก็จะรักเขาไปอย่างนี้  คนอย่างเรามันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ”






“นี่พี่โอ๊คหายไปไหนคะ มะนาวส่งเพจไปบอกตั้งแต่เมื่อคืนก็ไม่ตอบ”

“เห็นว่ามาช่วยมือกลอง พอดี ห้างเขาเป็นสปอนเซอร์ประกวด เทพีสันติภาพวันพรุ่งนี้ ป่านนี้ก็คงจะจัดคิวกันอยู่” ดอยบอก

“เห็นทีพี่เธอคงจะติดบ่วงน้องมือกลองเข้าให้แล้วนะอาร์ม” เจ๊นกน้อยเสริม

“ใครก็ได้เจ๊ ผมน่ะอยากให้มันยิ้มได้อย่างนี้ไปนานๆ ผมเชียร์หมดแหล่ะ จะโอเล่ จะมือกลอง หรือจะปุย”

“อ้าว ทำไมมึงหน้าหมาอย่างนี้ล่ะ ไอ้อาร์ม” ดอยที่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยินถามอาร์ม

“ก็กูอยากให้พี่กูมีความสุข ส่วนมึงน่ะ สถานการณ์ไม่ดี เดี๋ยวค่อยลุ้นเอาทีหลังว่ะ”

“กูว่า มึงก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากูหรอกนะตอนนี้” ดอยมองอาร์มพร้อมส่งหางตาไปยังมะนาวที่ยังนั่งหน้าบึ้งตึงอยู่ถัดไป







“โอ๊ค หิวไหม กินอะไรก่อนเปล่าครับ”

“ยังไม่อยากกินอ่ะกลอง เดี๋ยวพุงป่อง ดูสิ เอาชุดอะไรมาให้ใส่เนี่ย”

“ก็ concept งานมันเป็นอย่างนี้น่ะ ฮ่าๆๆ”

“ไม่ต้องหัวเราะเลย  ไม่ทำได้ไหม”

“โอ๋ๆๆ  ไม่หัวเราะแล้ว ขอร้องนะ ช่วยเราหน่อย ห้างเราจะเสียแชมป์ไม่ได้ ปีนี้งานยากด้วย คู่แข่งนี่มาจากสุพรรณเลย ศักดิ์ศรีต้องอยู่ที่บ้านเรา จะให้ไปอยู่ในเมืองอื่นไม่ได้ โดยเฉพาะสุพรรณ 





“หมายเลข 9 นาย จักรกฤษณ์ คชมาลา”  พิธีกรประกาศ พร้อมเสียงปรบมือเกรียวกราว ชายร่างท้วมพุงใหญ่ หน้าตาคม ผิวสีเข้ม เดินออกมาพร้อมกับแรงเชียร์จากโต๊ะหน้าเวที  เขายืนในชุดม่อห้อมพร้อมผ้าขาวม้าคาดเอว มีป้ายโฟมเขียนที่หลังเวทีว่า “ขุนช้างแดนทอง ๒๕๔๒” กับพิธีกรคู่ชายหญิงซึ่งยืนหลังโพเดียม

“น้าแจ้แม่ง มีลุ้นว่ะ กูว่าหล่อสุดแล้ว” อาร์มตบมือเชียร์น้ำเสียงตื่นเต้น

“ตระกูลกู หล่อยกครัวเว้ย” ดอยอวดโชว์

“พี่ดอยน่าจะขึ้นประกวดขุนแผนด้วยไปเลยนะคะ เผื่อฟลุคคว้ารางวัลน้าหลาน” มะนาวยุพี่ชายคนโปรด

“ไม่เอาอ่ะ แค่นี้ก็แทบเคลียร์ปัญหาไม่จบ เดี๋ยวรอดูน้าแจ้เหอะ ประกวดเสร็จ หัวบันไดบ้านจะไม่แห้งเอา อุ๊บ”

“เจ๊ไม่แคร์หรอกจ้า คนจะไป จะอยู่ ก็ใจเขา เราทำดีของเรา แต่ถ้าไปแล้ว ไปเลยนะ อย่ากลับมา คุกเข่าคลานมา ก็ไม่เอา” นกน้อยเหมือนจะฝากดอยไปบอกน้าชายตัวเอง

“แหม น้าเขาหลงเจ๊จะตาย คนบ้านผมนี่ รักเดียวใจเดียวนะเจ๊” ดอยรีบแก้เก้อ

“อย่ามา.. ไอ้ตอนเดินเข้าห้องอีแมว ไอ้คนน้ามันก็เข้าบ่อยพอ ๆ กับหลานนั่นแหล่ะ อุ๊บ” นกน้อยเอามือปิดปากล้อเลียน ก่อนที่บรรยากาศทั้งโต๊ะจะเงียบไปหมด แล้วหันไปดูบนเวทีแทน




“หมายเลขสุดท้าย  หมายเลข 10 นายบันเทิง ท่าพะเนียดกุญชร” พิธีกรแนะนำผู้เข้าประกวดคนสุดท้ายพร้อมเสียงปรบมือที่ดังไม่ยิ่งหย่อนจากคนก่อนหน้า

“โอ้โห คนนี่แม่ง สูสีน้าแจ้ว่ะ ว่าไหมไอ้ดอย”

“เออ.. งานหินละว่ะน้ากู  ไอ้อาร์ม เตรียมไปซื้อดอกไม้เพิ่มดิวะ ได้รางวัลขวัญใจมาตุนไว้ก็ยังดี”

“เดี๋ยวคงต้องรอตอนแสดงความสามารถพิเศษ แต่ติดสามคนสุดท้ายแน่นอน มะนาวว่า”

“น่าจะเบอร์ 4 เบอร์ 10 แล้ว ก็พี่แจ้”  นกน้อยทิ้งทวนด้วยมาดนิ่ง ตามประสากูรูเจนเวที

“เบอร์ 10 นี่ก็เคยมากินข้าวร้านเจ๊บ่อยๆ นะผมเห็น” อาร์มเหมือนจะเริ่มจำผู้เข้าประกวดคนสุดท้ายได้ เอ่ยถาม

“พี่บิลลี่ เป็นลูกค้าร้านเจ๊เอง มีเชื้อบ้านแขก ทางท่ามะกา ปกติก็หล่ออยู่แล้ว มาแต่งตัวแบบนี้ โอ้โห หล่อชะมัด”

“อ้าว ทำไมย้ายทีมซะอย่างนี้ล่ะเจ๊  ไม่เชียร์น้าผมแล้วเหรอ”

“ก็เขาลูกค้า ก็คงต้องให้ดอกไม้บ้าง สักดอกสองดอก ไม่งั้นจะน่าเกลียด”

“อย่างนี้น้าแจ้ก็งอนแย่น่ะสิคะ”




พลทหารหกนาย กำลังทยอยเก็บหม้อและของใช้เข้าที่ เอาผ้าใบมาคลุมปิด แขวนป้ายว่า “หมดแล้วค่ะ แม่ค้าจะรีบไปเชียร์สามี เป็นว่าที่ขุนช้าง 1999”  โดยมีปุยเมฆ กับ โอเล่ กำลังเอาเงินใส่ซองพลาสติก แล้วยัดใส่ถังไม้ทรงกลม มีกุญแจล็อค วางบนตู้ข้างนางกวัก  โดยมีทหารลูกน้องเตี่ยขันอาสาเฝ้าให้ ปุยขอตัวล่วงหน้าไปเชียร์น้าแจ้ โดยโอเล่ยังคงส่งข้อความ และตรวจงานเอกสารที่หอบมาทำที่ร้านด้วย โอเล่ให้พลทหารไปหาข้าวปลาอาหารกินก่อน ที่จะกลับมาเฝ้าร้าน

“โหย ยังไม่ไปเชียร์ลุงแจ้อีกเหรอดาร์ลิ่ง” ผู้มาใหม่เดินมาดกวนเข้ามาหาโอเล่ที่นั่งเพียงลำพัง ตรงหลังตู้วางของ

“ใครดาร์ลิ่งนาย”

“ว่าที่ดาร์ลิ่ง”

“อย่ามาทำตีซี้ได้ป๊ะ ไอ้กล้า”

“หูย ขึ้นไอ้ แสดงมีน้ำโห”

“แล้วมาทำไมบ่อยๆ กลับไปกินนมแล้วนอนได้แล้ว”

“อยากกินนมจากเต้าบ้าง อะไรบ้าง”

“ก็ของแม่คนที่นุ่งสั้นจู๋ซ้อนรถเครื่องผ่านไปเมื่อวันก่อนไง”

“...”

“หึ หรือว่ากินจนเบื่อแล้ว”

“คืน นั่นพี่สาวเรา  ลูกพี่ลูกน้องกันน่ะ”

“เฮ้ย ขอโทษ ไม่รู้นี่ว่า  ขอโทษนะ” โอเล่ที่รู้สึกผิดกับคำพูดก่อนหน้านี่ เอามือเขย่าหน้าขาของกล้าที่มานั่งอยู่ตรงหน้า

“ไม่ได้ตั้งใจนี่”

“ตั้งใจสิ ตั้งใจด่านี่ไง แต่ไม่รู้ เห็นนุ่งสั้นซ้อนรถเครื่องแก๊งนาย ใครจะไปรู้ล่ะ”

“เขาเพิ่งกลับจากเมืองนอกมา อยากซ่าบ้าง เลยขอตามไปด้วย นี่ก็จะกลับสวีเดนแล้ว”

“อืม... อย่าถือสานะ ฉันก็อย่างนี้แหล่ะ”

“ไปกันได้แล้ว ไปเชียร์ลุงแจ้กัน”

“นี่ติดต่อพี่โอ๊คไม่ได้ ไม่รู้หายไปไหน”

“ก็น่าจะอยู่กับเฮียกลองมั๊ง”

“กวนตีน”

“อ้าว ต้องยอมรับความจริงดิครับ แพ้คือแพ้”

“ไม่อ่ะ เราจะสู้ ไปได้แล้ว”

“ไม่ไป.. เราก็จะสู้”





“เป็นไงบ้างแล้วอาร์ม น้าแจ้เข้ารอบไหม” ปุยที่เพิ่งมาถึงหน้าเวที ถามอาร์มโดยไม่หันไปมองดอยที่นั่งอยู่ข้างๆ

“เข้ารอบ 3 คนสุดท้ายแล้ว เข้าเป็นคนสุดท้ายเลย หัวใจจะวาย เฮลั่นกันทั้งโต๊ะเลย ไม่เชื่อถามไอ้ดอย” อาร์มที่กันที่นั่งข้างดอยไว้ให้ปุยแต่แรก พยายามช่วยเพื่อน

“ปุย แต่เบอร์ 10 ที่เข้าคนแรกก็หล่อเลยล่ะ มีการรำมวยไทยโชว์ด้วย พี่นกน้อยอดใจไม่ไหว ต้องเดินเอาดอกกุหลาบไปให้ด้วยล่ะ น้าแจ้ยังชะโงกหน้าออกมาดูเลย ไม่รู้งอนหรือเปล่า” มะนาวมีท่าทีวิตกแทนน้าแจ้ เล่าสิ่งที่ปุยพลาดให้ฟัง

“ปีนี้ concept คือ ขุนช้างผู้นำทางสู่ยุคมิลเลเนี่ยม เจ๊ว่า อาจไม่โดนใจกรรมการเท่าไหร่ อย่างเบอร์ 4 นี่ก็โชว์ตีระนาด ถ้าเป็นปีก่อนอาจจะได้ใจกรรมการ แต่นี่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ขุนช้างแบบนี้ไม่ตอบโจทย์”

“โหย พี่นกน้อยนี่เหมือนกูรู เลยนะครับ” ปุยรู้สึกทึ่ง

“อ้าว ปุยไม่รู้เหรอ เจ๊นกน้อย เป็นนางงามเดินสายด้วยนะ เคยได้รางวัลที่นี่ด้วย ธิดาจำแลง ปี ๓๙” ยอดดอยพยายามชวนปุยเมฆคุยด้วยการบอกเล่าเก้าสิบ หวังให้สถานการณ์จะดีขึ้น

“รองค่ะ ไม่ได้เป็นธิดา เป็นแค่รองอันดับหนึ่ง”

“สวยขนาดพี่นกน้อยยังไม่ได้มงกุฏอีกเหรอครับ”

“ค่ะ แพ้อีแมวไงคะ อีแมวห้อง 2D น่ะค่ะ”







“นั่นไง นั่งตรงโต๊ะนั้นกันอยู่” กล้าที่เพิ่งมาถึง เห็นอาร์มโบกมือเรียกตรงหน้าเวที ก็ชวนโอเล่เพื่อจะเดินเข้าไปร่วมโต๊ะ

“นายจะไปด้วยเหรอ”

“อ้าว ไปด้วยไม่ได้เหรอ”

“คนจะคิดว่าเรามาด้วยกัน”

“เรามันน่าอายตรงไหน  นายนพมาศน้อยเชียวนะเว้ย”

“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ไม่อยากให้เพื่อนพี่โอ๊คคิดว่า เราไม่มั่นคง”

“ถ้าเขาจะหึง เขาก็หึงเองแหละ อย่าคิดมาก ไปเหอะ น้าแจ้จะโชว์แล้ว”

“ขี้ตื๊อเนอะ” โอเล่ที่พูดยังไม่ทันจบประโยค ก็ถูกกล้าจูงมือแน่นไปร่วมสมทบกับโต๊ะยอดดอย

“ก็ถูกใจอ่ะ นักเลงเหมือนกัน ถึงจะอยู่ด้วยกันได้”


[ TBC ]

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1

[ ต่อ ]


“แล้วการแสดงความสามารถผู้เข้าประกวดคนสุดท้าย จากผู้เข้าประกวดหมายเลข 9 นายจักรกฤษณ์ คชมาลา ในโชว์ชุดขุนช้างพันธุ์ร็อค” สิ้นเสียงพิธีกร เสียงกรี้ดจากผู้ชมก็ดังกระหึ่ม

“ก็มีบางครั้งที่ยังไม่เข้าใจ.. ถึงเรื่องราวที่เธอได้พูดมา.. พอเธอโมโหตัวฉันเธอก็พูดจา.. รู้ไหมว่าบางคำทำฉันเสียใจ..” แจ้ที่เปลี่ยนเป็นกางเกงยีนส์ขาดหวิ่น แต่คงใส่เสื้อม่อฮ่อม พันผ้าขาวม้าที่พุงเหมือนเดิม ใส่แว่นตาดำ หวีผมรวมไปทางด้านหลังทำให้หน้าผากยิ่งดูกว้างมากกว่าทุกที

“เชี่ยยยยยย น้าแจ้ แม่งสุดยอด” อาร์มลุกขึ้นยืนปรบมือรัว พร้อมกับทุกคนที่โต๊ะดูตื่นตะลึงส่งเสียงเชียร์ดังลั่น  โดยเฉพาะมะนาวกับปุยเมฆที่ดูชอบใจหัวเราะกันใหญ่กับท่าทีของน้าแจ้ที่พวกเขาไม่เคยเห็น มีเพียงนกน้อยที่ดูไม่ได้ประหลาดใจอะไร เพียงแต่ยิ้มที่มุมปาก  แต่ทันใดนั้น นกน้อยก็ต้องเอามือป้องปาก เหลือกตาด้วยความตกใจ เมื่อแจ้ขึ้นไปยืนบนลำโพงหน้าเวที แล้วกระชากผ้าขาวม้าที่คาดเอวออกมาเหวี่ยงไปมา โยกตัวเสมือนว่าเป็นร็อคเกอร์ชื่อดังจนคนดูเฮลั่น

“อยากบอกเอาไว้ให้รู้กัน.. คนหัวล้านใจน้อยทุกคน.. อย่าทำให้เขากังวลจนคิดมากไป..” แจ้ชี้นิ้วมาที่นกน้อย
“อยากบอกเอาไว้..ให้รู้กัน.. คนหัวล้านใจน้อยทุกราย.. จกรักษาน้ำใจกันให้ดีดี..”







“เชี่ยยยย กูอยากจะอัดวีดีโอส่งไปรษณีย์ไปให้แม่กูดูเหลือเกิน น้องชายตัวเองซ่าได้ขนาดนี้” ดอยที่ยังตะลึงไม่หายกับโชว์ที่เพิ่งจบไป หันไปบอกกับทุกคน พร้อมเอามือกุมขมับ

“นี่ซ้อมกันมาก่อนหรือเปล่าคะพี่นกน้อย” มะนาวถามนกน้อยที่มีอาการรุกรน

“เจ๊แค่เลือกแนวทางการโชว์ให้ แต่ไม่ได้ว่าให้เขาออกแอ็คติ้งอะไรขนาดนี้ เขาเลือกเพลงเอง ซ้อมเอง”

“ผมว่า น้าแกต้องเก็บกดแน่ โอ้โห ผมนี่ลุกขึ้นยืนตบมือให้เลย ป๊ะไปให้ดอกกุหลาบน้ากัน” อาร์มยังคงทึ่งไม่หาย
คนที่โต๊ะต่างเหมาดอกกุหลาบดอกละ 5 บาท สีแดง เท่าที่กำลังตัวเองถึงไปส่งให้น้าแจ้ โดยที่ หมายเลข 4 กับ หมายเลข 10 ก็มีเพื่อนสนิทมิตรสหายมามอบดอกไม้ให้เยอะไม่แพ้กัน โดยกุหลาบสีแดง นับ 1 คะแนน และ กุหลาบสีชมพู นับ 5 คะแนนเพราะราคาดอกละ 20 บาท ส่วนที่แพงที่สุด เป็นกุหลาบสีขาว ดอกละ 100 บาท นับเป็น 30 คะแนน ซึ่งนกน้อย ถืออยู่ในมือ 1 ดอก เดินมายื่นให้แจ้ เมื่อคนอื่นเดินกลับมาที่โต๊ะหมดแล้ว

“ดอกเดียวเองเหรอจ๊ะ อุตส่าห์โยกซะหลังเคล็ด” แจ้ที่โน้มตัวมารับดอกกุหลาบจากมือนกน้อยพูดแซว

“คนอื่นเขาเหมากันจนหมดแล้ว หนูคงให้พี่ได้เท่านี้”

“เท่ากับ ที่ให้เบอร์ 10 หรือเปล่าล่ะจ๊ะ น้อยใจนะเนี่ย”

“ดอกสีแดงนั้น เป็นการตอบแทนในฐานะที่เป็นลูกค้าที่ดี”

“คนหัวล้านได้ยินคงน้อยใจแย่”

“ส่วนดอกสีขาว หนูให้พี่ตอบแทนในฐานะที่เป็นผู้ชายที่ดีเลิศของหนู”






“ระหว่างที่เรารอผลการประกวดจากคณะกรรมการ  ขุนช้างแดนทอง ๒๕๔๒ ทางกองประกวดขอเผยโฉมผู้เข้าประกวด ขุนแผนแสนสะท้าน ๒๕๔๒ เพื่อเป็นการคั่นเวลา และเมื่อแนะนำผู้เข้าประกวดขุนแผนทั้ง 20 คนหมด ก็จะกลับมาประกาศผลรางวัล ขุนช้างแดนทองกันเลยค่ะ” พิธีกรสาว แจงขั้นตอนให้ผู้ฟังได้รับทราบ  ซึ่งตอนนี้ มีผู้หญิงทั้งวัยสาวจนถึงวัยทอง ตลอดจนสาวประเภทสอง เข้ามายังที่นั่งหน้าลานเบียร์จนล้น มีการขายกระดาษหนังสือพิมพ์เพื่อปูรองนั่งเพิ่ม มีเสื่อขายผืนละ 60 บาท แล้วก็คนที่ทยอยมามุงดูอีกจำนวนมาก เพราะการประกวดขุนแผน ที่มักเป็นหน้าเป็นตาของจังหวัด จะเป็นรองก็เพียง เทพีสันติภาพ ซึ่งเป็นการประกวดความสวยงามของผู้หญิง ที่จะประกาศผลในคืนถัดไป

“เมื่อกี้น้าแจ้ ตอบคำถามดีเหมือนกันนะคะ ไม่เหมือนสองคนแรก” มะนาวถามความเห็นนกน้อย

“คำถามยากเหมือนกันนะมะนาว ปุยนี่ตกใจเลย”

“ถ้าคุณเป็นขุนช้าง คุณจะเอาหัวใจของนางพิม กลับมาได้อย่างไร” ยอดดอยทวนคำถามที่ผ่านพ้นบนเวทีไปเมื่อสักพัก

“สองคนแรก ตอบคล้ายกันนะครับ ใช้ความจริงใจ ใช้ความรักเดียวใจเดียว” อาร์มเสริม

“มันคือคำตอบของขุนช้างในทุกปีจ๊ะ ขุนช้างรักเดียวใจเดียว เป็นอะไรที่ใครก็รับรู้” นกน้อยตอบ

“แล้วน้าแจ้ ทำไมมันแหกด่านอย่างนั้นล่ะ” อาร์มยังงง แต่ก็ไม่เข้าใจกับคำตอบของน้าแจ้ว่าจะชนะใจกรรมการได้ไหม

“ยอมรับข้อผิดพลาด แล้วขอโอกาสนางพิม” ยอดดอยพรึมพรำกับตัวเองอย่างแผ่วเบา





“นี่ถ้าเราขึ้นประกวดขุนแผน เราจะชนะไหมโอเล่”

“เหมือนเด็กน้อยในดงผู้ใหญ่ป๊ะ เตี้ยยังงี้”

“ก็หล่อกว่าไอ้พวกสิบคนแรกแหล่ะวะ”

“แต่ถ้านับเรื่องความเจ้าชู้แบบขุนแผน นี่น่าจะตรงใจกรรมการนะ”

“ทำมารู้ดี หน้าเราเหมือนขุนแผน แต่หัวใจเราเป็นเช่นขุนช้างนะ” กล้าเอื้อมมือไปหยิกแก้มโอเล่ ที่พยายามดึงหน้าหนี




“ผู้เข้าประกวดหมายเลขสิบหก นายต้นสาย ตรีโอฬารวงศ์”

“เชี่ยยยยยยยยยยยยยยย”  อาร์มกับดอย อุทานพร้อมกันด้วยเสียงอันดัง  มะนาวกับปุยยืนขึ้นตาลุกวาว พร้อมเสียงสาวน้อยใหญ่ที่บัดนี้ส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นจนกลบเสียงพิธีกร เมื่อชายหนุ่มเปลือยอก เดินนุ่งจุงกระเบนสีน้ำเงิน ต่างจากคนอื่นที่ใส่สีแดงและน้ำตาล เดินออกมาเผยผิวขาวผ่อง มัดกล้ามที่ดูสวยงาม รูปร่างสูงโปร่ง มีลายกล้ามเนื้อชัดแม้ผิวที่ขาวจัดโดนแสงกลางเวที คิ้วเข้ม ปากแดง ตาดำกลมโต จมูกที่โดนแสงมีเงาสันแสดงให้เห็น มีกระบี่โบราณคาดหลังไขว้ด้วยสายคล้องพันเป็นกากบาทที่ตัว

“ลูกบ้านตรีโอฬารวงศ์นี่แก”  “แฝดพี่บ้านจัดสรรใช่ไหม”  “คนโตโชว์รูมรถไงเธอ”  “ที่ขี่รถสีดำเท่ๆผ่านตลาดค่ำๆไงแก”  เสียงสาวน้อยใหญ่แซ่ซ้อง พร้อมกับสายตาที่เพ่งมอง  แค่โอ๊คโบกมือตอนอยู่ที่หัวมุมเวทีด้วยอาการเขิน คนดูก็กรีดร้องบ้าคลั่งราวกับดูคอนเสิร์ตพี่เบิร์ด 

“พี่โอ๊คแม่ง หล่อเด่นว่ะ ขุนแผนปีนี้ชัวร์เลยโอเล่” กล้าบอกโอเล่ที่พยายามชะเง้อเพราะผู้หญิงมายืนรุมดูหน้าเวทีจนเต็ม

“ต้องดูรอบคำถามด้วย เคยมีหล่อมากๆ แต่ไม่ได้เป็นขุนแผนก็มี ปกติ ต้องดูกวน ๆ เจ้าชู้ๆ แล้วก็สายตาซนๆหน่อย เจ๊มองว่าต้องดู concept ปีนี้ด้วย”

“ทำไม ไม่ไปประกวดล่ะ น่าจะตรงกับ concept นะ” ปุยเมฆหันไปคุยกับยอดดอย เป็นประโยคแรกตั้งแต่มานั่งด้วยกัน

“หูยยยยยยย ปุยร้ายอ่ะ” มะนาวหัวเราะชอบใจ ก่อนจะเหลือบตาไปมองอาร์ม  “แฝดน้องก็เหมาะกว่านะคะ มะนาวว่า”

“แหม อย่าเพิ่งมาทำร้ายกันเองตอนนี้นะครับ เราไปซื้อดอกไม้ให้พี่โอ๊คกันดีกว่า” กล้าที่เห็นสถานการณ์ไม่ดี รีบเบรค
ริมฟุตบาทที่เงียบเหงา บนถนนแม่น้ำแคว ผิดจากวันธรรมดาที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวเต็มผับบาร์ แต่เพราะว่าวันนี้เป็นคืนวันที่ 4 ก่อนเข้าสู่วัน มหามงคล ในวันรุ่งขึ้น จึงทำให้เจ้าของบาร์ พร้อมใจกันหยุดอย่างเต็มใจ เนื่องจากรุ่งเช้าพรุ่งนี้ จะมีการจัดโต๊ะยาว ซึ่งทางเทศบาลรับนิมนต์พระไว้ถึง 72 รูป มาเดินรับบิณฑบาตร ผู้คนจึงดูตื่นเต้นและเข้านอนเร็ว โดยใช้เวลามาเดินเที่ยวซื้อหาของในงานสะพานข้ามแม่น้ำแควแทน  แต่สาวบาร์ยังคงเดินยืนรอแขกตามถนนอยู่ แม้บาร์จะไม่ได้เปิดขายแอลกอฮอล์ แต่ก็เปิดร้านให้มีโต๊ะนั่งสำหรับชาวต่างชาติ แต่ปิดไฟมืด ซึ่งก็มีชาวต่างชาติหลายคนที่ไม่เข้าใจในเหตุผลที่ต้องงดขายสุรา ซึ่งเจ้าของร้านก็คอยอธิบายให้ฝรั่งเข้าใจ


ผมที่ยาวสลวยบนคนร่างเล็ก พริ้วไสวเมื่อต้องลม แมวยืนอยู่เพียงลำพังตรงข้างบาร์หนึ่ง บุหรี่ที่ถูกสูบจนเกือบหมดถึงก้น ถูกทิ้งไว้บนพื้นฟุตบาต แมวเอาปลายส้นสูงสีแดงขยี้จบมอดดับไป  เธอเดินเล่นริมฟุตบาตแบบไม่สนใจใคร เดินไปเรื่อยไม่สนใจฝรั่งที่เข้ามาแซวหรือพยายามชวนคุย ก่อนจะไปหยุดที่หัวถนน แล้วก็หายตัวเข้าไปในห้องแถวแห่งหนึ่งที่ปิดไฟเงียบ


“และผู้ที่ได้ตำแหน่ง ขุนช้างแดนทอง ๒๕๔๒ ได้แก่....”  พิธีกรประกาศผล ซึ่งตอนนี้เหลือเพียง หมายเลข 9 และ 10 ซึ่งยืนโอบไหล่กันอย่างคุ้นเคย ลุ้นผลบนเวที ผู้คนข้างล่างดูตื่นเต้น โดยเฉพาะโต๊ะหน้าเวที ที่ไม่มีเสียงพูดคุยกันเลย

“หมายเลข....   9 !  นายจักรกฤษณ์ คชมาลา” สิ้นเสียงพิธีกร เสียงกรีดร้องจากโต๊ะหน้าก็ดังขึ้น โดยเฉพาะเสียงของนกน้อยกับมะนาว ดังแหลมพุ่งขึ้นไปบนเวที  ไก่แจ้ กับ ผู้เข้าประกวดเบอร์ 10 โอบกอดตบไหล่กันเป็นเชิงหยอกล้อ แล้วผู้เข้าประกวดเบอร์ 10 ก็เดินไปรับรางวัลรองอันดับ ๑ ก่อนที่จะถึงคิวไก่แจ้ ที่เปลี่ยนกลับมาในชุดม่อฮ่อม กางเกงผ้าขายาว เข้ารับรางวัลชนะเลิศ เกียรติบัตร และมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน พร้อมคิวโชว์ตัวเกือบเต็มเดือนช่วงหลังปีใหม่ยาวจนถึงตรุษจีน ไม่รวมที่ต้องถ่ายรูปขึ้นปกหนังสือพิมพ์ประจำจังหวัดร่วมกับขุนแผน และนางงามสันติภาพ เมื่องานสะพานสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่วัน

“อ่ะ” ปุยยื่นโทรศัพท์มือถือให้กับยอดดอย เพราะเขารู้ว่า ดอยอยากจะออกไปโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะที่ใกล้ที่สุด แต่ไม่อยากจะพลาดการเชียร์โอ๊คที่จะต้องขึ้นแสดงความสามารถในรอบต่อไป

“ขอบใจนะ” ดอยยิ้มรับโทรศัพท์มา แล้วกดโทรออกอย่างตื่นเต้น  “แม่ !! แม่ต้องไม่เชื่อว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายแม่..” 






บริเวณกองอำนวยการประกวด ถัดจากโต๊ะกรรมการด้านข้างเวทีใหญ่ จัดจำหน่ายดอกกุหลาบที่เวียนใช้จากการประกวดขุนช้างในรอบเมื่อสักครู่ มาให้ผู้ชมไว้ใช้ซื้อหาเพิ่มคะแนนในการประกวดประเภทขวัญใจมวลชน  ที่เมื่อกี้แม้ไก่แจ้จะพลาดตำแหน่งขวัญใจมวลชนนี้ให้แก่ เบอร์ 10 ไป แต่ก็ยังได้ตำแหน่งชนะเลิศจากกรรมการแทน 

กระนั้น ครั้งนี้โต๊ะหน้าเวทีจะให้เสียเกียรติไม่ได้ เมื่อคนในตระกูลตรีโอฬารวงศ์ ขึ้นประกวด อาร์มที่เพิ่งโทรบอกที่บ้านอย่าง
เร่งด่วนจนป๊าและม๊าที่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน รีบไปหาเหมากุหลาบที่ตลาดมาเสริมทัพอย่างด่วน เพราะมีกฏว่า เฉพาะกุหลาบแดง สามารถซื้อมาเสริมได้ แต่กุหลาบสีชมพู และ สีขาวต้องใช้ของกองประกวดเท่านั้น ซึ่งมีจำกัดไม่กี่ดอก   

“ป๊าบอกว่า ที่ตลาดไม่มีเหลือเลยว่ะ” อาร์มหันไปบอกดอยที่เพิ่งวางสายจากแม่เสร็จ

“กูว่า คงต้องรอตำแหน่งชนะเลิศอย่างเดียวแล้วว่ะ กูเห็นเบอร์ 7 แม่งเหมาไปหมดเลยสีแดง”

“ไปเหมาสีชมพู กับสีขาวกัน ป๊ากูสั่งลุย เสียหน้าไม่ได้งานนี้ แต่ไม่ได้ติดตังมาน่ะสิ เมื่อกี้ซื้อให้น้าแจ้หมดแล้วด้วย”

“เออ จะไปเบิกเอทีเอ็ม กลับมาคงไม่ทัน เดี๋ยวลองหายืมใครก่อน”

“กูว่า ไม่ต้องแล้วแหละว่ะไอ้ดอย.. ดูนั่น”





หน้าเวที ผู้เข้าประกวดยืนเรียงกันเพื่อรับดอกไม้คะแนน ท่ามกลางผู้คนที่มุงกันมอบดอกไม้ ทหารสามคน หอบดอกกุหลาบแดงช่อใหญ่ตรงไปที่ผู้เข้าประกวดหมายเลข 16 เป็นแถวหน้ากระดาน จนผู้คนหน้าเวทีต้องหลบทางให้ โอ๊คที่มีอาการเขินอย่างเห็นได้ชัดเดินมารับช่อดอกไม้ เมื่อทหารทั้งสามคนมอบให้เสร็จ ก็แหวกตัวออก เผยให้เห็นเด็กหนุ่มตัวผอมบางผิวซีด แต่สายตาแจ่มใสชัดเจนกว่าทุกครั้ง หอบดอกกุหลาบช่อใหญ่สีขาว เดินตรงมา..

“กลัวพี่จะแพ้ขนาดนี้เลยเหรอครับ ขอบคุณนะ” โอ๊คนั่งยอง เอื้อมตัวมารับช่อกุหลาบสีขาว โดยมีคนมายืนด้านหลังรับดอกไม้ไปเพื่อไปนับคะแนะ

“ไม่ได้กลัวพี่แพ้..  แต่ผมกลัวตัวเองจะแพ้..”



ที่โต๊ะหน้าเวที ไก่แจ้ที่เพิ่งรับรางวัลเสร็จ มานั่งสมทบข้างนกน้อย ปล่อยให้เด็กๆไปสนุกกันที่หน้าเวที มะนาวและปุย รีบเอากล้องที่ยืมโอเล่มา ถ่ายรูปโอ๊คทุกมุมเท่าที่ทำได้  อาร์มกับดอยตะโกนแซวเพื่อนบนเวที  กล้าที่ยืนดูห่าง ๆ ส่งยิ้มให้โอเล่ที่เดินกลับมาที่โต๊ะ

“จัดเต็ม สมกับเป็นนายเลย” กล้าแซวโอเล่ที่ทอดตัวลงนั่งบนเก้าอี้

“มันไม่มีผลต่อใจพี่โอ๊คหรอก เขาไม่เหมือนคนอื่น”

“แต่อย่างน้อยก็ได้ทำให้พี่เขาเห็น”

“นายไม่ว่าอะไรฉันเหรอ”

“จะว่าทำไม.. ถ้าเธอมีความสุข เราก็ยินดีที่จะดูรอยยิ้มนั้น”

“ฉันดูเป็นคนอมทุกข์ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“แค่ดูก็รู้ว่าไม่มีสุข เราเห็นเธอยิ้มแค่ตอนพี่โอ๊คเดินผ่านมาในร้านเน็ต”

“พี่โอ๊คมีค่ากับเราจริงๆ”

“ยิ่งได้ยินสิ่งที่เธอเผชิญมา ก็ถึงเวลาที่สมควรจะได้ยิ้มบ้างนะโอเล่ เราห่วงใยเธอเหลือเกิน”

“ขอบคุณนะกล้า นายเจ๋งดีว่ะ”

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1


Track 25 :  เห็นเงาในตาฉันไหม เห็นเธออยู่ในนั้นไหม..
                                     รู้ใจกันบ้างไหม ว่าฉันนั้นคิดอะไร..


[ โอเล่ ]

ผมเป็นลูกมาเฟีย ? ไม่นะ ไม่ขนาดนั้นครับ
ทำไมผมหลงพี่โอ๊คขนาดนี้ ? พวกคุณต้องดูสิ่งที่พี่เขาทำให้ผม
พ่อเลี้ยงข่มขืน ? นั่นละครหลังข่าว ชีวิตผมรันทดแค่พอประมาณ
มีผลประโยชน์อะไรกับร้านน้าแจ้..  อืม อันนี้น่าคิด

ผมโตมากับม๊าและก็สามีของเขา  เพราะเตี่ยกับม๊า แยกทางกันนานแล้ว แต่เขาก็คุยกันนะ ม๊าก็ดีกับผม ส่วนพ่อเลี้ยงก็ไม่ได้ร้ายอะไร เขาแค่ไม่สนใจผมกันเลย ไปทานเข้าก็แค่ซื้อกลับมาให้ผม ไปเที่ยวกันก็มีของฝากมาให้ แค่ไม่มีผมในชีวิตพวกเขาเท่าไหร่  ม๊าพยายามมีลูกกับสามีใหม่เขาหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ตัวผมเลยดูเหมือนจะดูเกะกะในสายตาพวกเขามากขึ้น ยิ่งการตั้งครรภ์ล้มเหลง ยิ่งมาลงที่ผม

พวกเขาย้ายผมขึ้นไปอยู่ที่ห้องใต้หลังคา ผมก็ไม่คิดมากนะ วิวดี เวลาหิมะตก ห้องผมก็เห็นก่อนใคร ตอนหลังผมขอเตี่ยซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ในห้อง เตี่ยก็ส่งมาให้  ผมขลุกกับการหัดใช้งาน จะบอกว่า windows95 นี่ผมชำนาญกว่าใครในเมืองนี้แล้ว เมื่อไม่มีอะไรทำ ก็ เรียน เรียน เรียน..  ผมเรียนเก่งนะ แต่มันไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ผมชอบนัก ผมรักคอมพิวเตอร์ ผมเข้าชมรม digit ของไฮสคูล เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อน.. อืม จะเรียกว่าเพื่อน ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เหมือนต่างคนต่างใช้อีกฝ่ายในการให้ความรู้ในสิ่งที่ตัวเองไม่มี  มีคนไต้หวันกับคนฟิลิปปินส์ที่เก่งมากจนพวกฝรั่งในเมืองอึ้งเลย ผมก็พยายามเรียนรู้และตามให้ทัน

จนวันหนึ่ง พ่อเลี้ยงขังผมไว้ในห้องนอน เพราะเขากลัวว่าผมจะลงมาที่ห้องรับแขก แล้วญาติเขาจะถามว่าผมคือใคร มีความสัมพันธ์อย่างไรกับเขา แต่แล้วเขาก็ลืมไขกุญแจปลดล็อค  ม๊าที่ไม่ได้สนใจผมก็ไม่แม้แต่จะขึ้นมาดู มาถามหา ผมร้องตะโกนไม่ไหวเพราะไม่มีแรง ความหิวและความหนาวทำให้ผมนอนกองอยู่กับพื้นจนสลบไป  แล้วผมก็กลับมาอยู่เมืองไทยหลังจากนั้น
..ไม่รู้ว่าเตี่ยทำอะไรบ้าง แต่ม๊ากับสามีเขาไม่เคยคิดยุ่งกับผมอีกเลย

เมืองไทยมันน่าสนใจนะผมว่า ผู้คนเป็นมิตรพร้อมจะถามไถ่ในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตน เขายิ้มให้คนแปลกหน้ากันง่ายชะมัด แถมยังเงี่ยหูฟังคนรอบข้างสนทนาแล้วจับใจความมาขยายต่อได้แม่นยำ  แปลกมาก  จนผมก็ติดมันเลยนะ ผมเอานิสัยของคนไทยมาใช้ในงาน  คนรู้จักที่ชมรม ส่งอีเมล์งานมามากมายโดยเฉพาะวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค  เขียนซอฟต์แวร์เกมส์โดยอิงพฤติกรรมคนเซีย มีความซุ่มเงียบในประเทศอย่างเกาหลีใต้ ที่พยายามจะเอาชนะคนญี่ปุ่น มันเป็นงานยากแต่ท้าทายมาก ทีมของเรามันเก่งพอประมาณ เราถึงกับสร้างเกมส์ที่เด็กติดกันงอมแงม ก่อนจะโดนก็อปปี้ ซอฟต์แวร์ปลอมจนความนิยมลดลง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทีมเราย่อท้อ เราก็ค้นหาแนวทางใหม่ ด้วยไอเดียใหม่อยู่เสมอ

จนร้านน้าแจ้นี่แหล่ะ เป็นอะไรที่เด็ดโครต ผมมองเห็นอนาคตของนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คจากมุมกระจกนี้ มันเป็นดวงตา ทางการตลาดที่น่าทึ่ง เกื้อต่องานวิจัยของทีมเราไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่มชาวยิว ชาวญี่ปุ่น และชาวอินเดีย แต่ละคนมีฐานวิชาคอมพิวเตอร์ที่แน่นปั๋ง เขามาทำอะไรกันที่เมืองเล็กอย่างกาญจนบุรี ไม่ใช่แค่ท่องเที่ยวแล้ว กล้องวงจรปิดที่ผมติดไว้รอบร้านพอเอามาซูมหน้าจอยามค่ำคืนพบว่า มันมีทั้งองค์กรและขบวนการหลายอย่างพลางตัวอยู่ในฝูงชน ไม่ใช่ว่าจะมาก่อการร้ายอะไร แต่เป็นพวกวิจัยทางการตลาดก็เหมือนกับพวกผมนี่แหล่ะ การลงพื้นที่จริงในยุคสมัยใหม่นี้มันป้องกันความผิดพลาดก่อนจัดจำหน่ายอะไรสักอย่าง อีกทั้งยังสร้างมุมคิดแปลกใหม่ให้ผลิตภัณฑ์ไม่น้อย 

เบื่อไหมครับ.. นี่แหล่ะผม.. ไม่เกินห้านาที ผมสามารถชักนำพวกคุณเข้าสู่โซนน่าเบื่อของผมได้ มันคงเป็นความสามารถของผมอีกอย่างนึงที่ผู้คนหนีหาย จะมีเพียงคนเดียวที่ทนฟังด้วยรอยยิ้มที่พิมพ์ใจ คนที่ทำผมปัดหน้าได้หล่อที่สุดในโลกในความคิดผม  ตาดุแต่ดำเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นสันจนน่าเอามือไปบีบสักทีสองที  คนที่ช่วยแวะมาอยู่เป็นเพื่อนผมโดยตลอดท่ามกลางสังคมที่เวิ้งว้างเดียวดาย  ...เขาคนนั้น

เตี่ยที่ไม่ให้ผมขับรถ แล้วก็พยายามแอบส่งพลทหารเดินตามผมทุกครั้งเมื่อผมเผลอ ท่านก็คงจะเป็นห่วงผม อันนี้ผมก็ซึ้งนะ แต่บางทีมันมากไป ถึงกับคอยแอบหนีบ้าง จนผมมาเจอร้านน้าแจ้นี่แหล่ะ เลยบอกเตี่ยไปว่า ผมจะปักหลักตรงนี้ เตี่ยก็ชอบใจ จนเซ้งร้านให้ผมในที่สุด ผมถูกใจน้าแจ้ แกเป็นคนใจดี แล้วก็อารมณ์ขัน พอกับเจ๊นกน้อยที่ดูแลผมเหมือนหลานคนนึงเลยเชียว แถมยังทำให้ผมคนที่ไร้อารมณ์ขำขันสามารถหัวเราะได้บ้าง

ความรักของผม มันเกิดขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง ระหว่างทางกลับบ้านที่ผมอยากจะเดินดูผู้คนบ้าง กลุ่มเด็กช่างกลวิทยาลัยดังพยายามจะแย่งโทรศัพท์มือถือของผม เข้าใจนะว่ามันราคาตั้งครึ่งแสน แค่ผมโทรปิดเบอร์มันก็ใช้ไม่ได้แล้ว จะมากรรโชกมือถือกันทำไม  ผมก็คิดในใจ แต่ความคิดก็หยุดไปตอนมันเตะที่หน้าท้องจนผมตัวงอนี่แหล่ะ  แล้วเทพบุตรผมปัดที่ควบมอเตอร์ไซค์ผ่านมาพอดี ปรากฏการณ์หนึ่งกระทืบสามหน้าลานห้างดัง ยังเป็นที่กล่าวขานมาถึงทุกวันนี้ 
สามช่างกลหนีหัวซุกหัวซุนไป  พี่โอ๊คมีรอยเลือดที่มุมคิ้วเล็กน้อย คงโดนตอนเผลอ เขาเก็บของที่หล่นกระจาย แล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือของผมมาปัดด้วยชายเสื้อแล้วส่งมาคืน  ใบหน้าที่เหมือนหุ่นยนต์ไม่ได้แสดงความรู้สึกว่ากำลังคิดอะไร เอ่ยถามผมว่าให้ไปส่งบ้านไหม ผมก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเขากลับมา  เขาไม่ตกใจเมื่อเห็นคฤหาสน์ของเตี่ย ไม่มีแม้แต่จะถามเรื่องงานของที่บ้านผม ไม่แม้แต่จะถามว่าผมมีสินทรัพย์เท่าไหร่ ใช้ชีวิตอย่างไรกับกองเงินกองทองเหมือนเพื่อนที่วิทยาลัยเก่าเพียรถามกัน เขาแค่ยื่นยาแก้ปวดกับคำสั่งที่ผมไว้มีวันลืม คือ นอนให้เยอะ ในวันที่เราเจ็บ

ผมใช้เวลาในร้านน้าแจ้ทุกวันหลังจากวันนั้น ผมจองแถวที่สาม มุมเยื้องกับที่นั่งแถวสองของพี่โอ๊ค เพื่อที่จะได้มองหน้าหล่อเหลาของเขาทุกวัน  ผมไม่ได้คิดว่าผมจะชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมยังไม่ถึงวัยมีความรักด้วยซ้ำ ผมแค่ชอบคนนี้ คนตรงหน้า แม้ว่าเขาแทบจะไม่ได้หันมามองผมเลย  เขาขลุกกับพี่ดอย ซึ่งก็ใจดีไม่แพ้กัน แถมพี่ดอยยังพูดจาตลกแบบหน้าตายได้ด้วย ไม่เหมือนพี่โอ๊คคนขรึม แม้เต็มที่ก็แค่ยิ้มเจื่อนในแบบที่เขาเป็น 

เตี่ยผมเคยมาที่ร้าน แวะเอาอาหารกับขนมมาฝากทุกคนในร้าน เอาเงินให้เจ๊นกน้อยไว้คอยทำอะไรให้ผมกินเวลาผมไม่ได้พกเงินมา หรือเผื่อเหลือเผื่อขาด ครั้งหนึ่งหม้อแปลงระเบิดที่ถนนแม่น้ำแควไฟดับหมดทั้งถนน เตี่ยเนรมิตให้หอนาตยา มีไฟใช้เพียงอาคารเดียวบนถนนเส้นนี้  พี่โอ๊คเผยยิ้มแรกให้ผม ตอนที่ไม่พลาดดูฟุตบอลทีมโปรดที่จะแข่งในวันไฟดับนั่น รอยยิ้มของพี่โอ๊คแบบนี้แหล่ะ ที่ผมเสพติดนักหนา ผมอยากให้พี่ชายแสนใจดีมีรอยยิ้มแบบนี้ได้บ่อยๆ ไปนานๆ

ผมพอจะรู้ เรื่องที่ครอบครรัวของพี่เขาต้องเผชิญ ผมเจาะข่าวสืบได้หมด ผมชอบมะนาวกับปุยนะ พวกเราอายุเท่ากันแถมยังคุยกันถูกคอ ยิ่งเวลานินทาพวกพี่ดอย หรือฝาแฝดสุดแสบ พวกเราจะเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ถ้าพี่ดอยลงเอยกับปุย แล้วพี่อาร์มลงเอยกับมะนาว เขาก็จะเป็นแก๊งเดียวกันไปจนวันตาย มันน่าอิจฉาเนอะ เพราะพี่โอ๊คคงไม่ได้มีใจให้ผมแบบนั้นหรอก ปุยกับมะนาวก็ดูออก แต่กำลังใจที่ให้ มันไม่ได้จอมปลอม พวกเขาเข้าอกเข้าใจผมอย่างแท้จริง


ในวันที่ผมสารภาพรักในคอนโดหรูของพี่โอ๊ค เขาหอมหน้าผากผมอย่างเอ็นดู แล้วขอบคุณสำหรับความรักที่ผมมีให้เขา  ดูสิ ขนาดปฏิเสธยังมีสไตล์ คนอะไรช่างเพอร์เฟ็คไปหมด โครตเท่ ผมขอกอดเขาเพื่อจดจำวันนั้นไปตลอดกาล พี่เขาเอาหัวผมไปหนุนที่อ้อมแขน เป็นครั้งแรกที่ผมได้นอนยาวโดยไม่ต้องสะดุ้งลุกขึ้นมากลางดึกเช่นเหมือนที่ผ่านมา  พอตอนเช้าที่แสงอาทิตย์ลอดผ่านผ้าม่านมา ผมยังนอนจ้องหน้าของเขาไปสักพัก จนพี่โอ๊ครู้สึกตัวมาเห็นผมมองตาแป๋ว เขาก็เขินไปเอง

พี่โอ๊คให้ผมตั้งใจศึกษาหาความรู้ เขาบอกว่าผมจะมีอนาคตที่ไกลระดับโลกในวันหน้า แถมยังหาหนังสือที่น่าสนใจมาให้ผม จัดตารางการทานที่เตี่ยเคยเป็นห่วงนักห่วงหนา สั่งเจ๊นกน้อยให้คัดแต่ของที่มีประโยชน์ พะแนงกุ้งที่เคยทานประจำโดนสั่งให้เหลือแค่เดือนละสองครั้ง แต่ผมก็ไม่ขัดขืน พี่โอ๊คบังคับให้ผมวิ่งที่สนามกีฬาอย่างน้อยอาทิตย์ละสองวัน  ไม่รวมถึงตารางนอนภาคบังคับที่จัดใหม่โดยนายต้นสายคนนี้

ตอนที่พี่มือกลองกลับเข้ามาในชีวิตพี่โอ๊คอีกครั้ง ผมแทบจะหมดหวังไปแล้ว ถ้ามะนาวกับปุยไม่คอยเชียร์ให้ผมมีหวังลมๆแล้งๆ ไปเรื่อย แต่ผมก็ไม่โกรธพี่มือกลองนะ เขาดูเป็นคนดี แล้วก็เหมาะกับพี่โอ๊คมาก  ดูรอยยิ้มของพี่โอ๊คสิ เป็นรอยยิ้มที่เปื้อนหน้าหล่อๆได้อย่างสมศักดิ์ศรี  พี่โอ๊คไม่เคยได้หัวเราะ หรือมีรอยยิ้มผ่อนคลายแบบเท่าที่เป็นอยู่นี้เลย แล้วจะให้ผมเดินหน้าเข้าไปขวางความสุขของคนที่ผมเทิดทูนขนาดนั้นได้เชียวเหรอ

ต้นกล้า ก็พูดถูก การตักตวงความสุขเป็นสิทธิของทุกคน แล้วถ้าเราเป็นทุกข์เสียหนึ่ง แต่มีคนเป็นสุขได้ถึงสอง ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไปขัดขวางทางของมัน  พูดถึงไอ้หมอนี่ มันก็เป็นอะไรไม่รู้ ชอบมากวนประสาทผมจัง  ตอนที่เห็นเขาครั้งแรก ผมนึกว่าเป็นน้องชายพี่ดอย เหมือนกันจะตาย แต่เตี้ยเป็นลูกหมา หน้าตาทะเล้นกวนประสาท  คงคิดว่าตั้งแต่ได้ตำแหน่ง นายนพมาศน้อย แล้วจะหัวบันไดบ้านไม่แห้งสินะ เชอะ! วันๆ ก็เห็นมาขลุกแต่กับร้านเน็ต มาแซวผมได้ทุกวัน จนเพื่อนชาวแก๊งมอเตอร์ไซค์ป่วนเมืองแทบจะถอดมันออกจากการเป็นหัวหน้าแก๊งไปแล้ว 

จะว่าไป กล้าเขาก็มีความเป็นผู้ใหญ่นะ ผมเขินเหมือนกันตอนเขาสารภาพว่า เขาชอบมานั่งโต๊ะคอมแถวที่หนึ่ง แอบนั่งมองว่าผมทำอะไร เขาแซวเรื่องผมมองพี่โอ๊คข้างเดียวเรื่อย เขาพูดว่าเข้าใจความรู้สึกของการแอบมองดี ไอ้ขี้โม้ หน้าอย่างนี้ มีเหรอจะไม่มีคนเข้ามาให้เลือก มันหล่อจะตาย ถ้าไม่นับแฝดสุดหล่อสมบัติของเมืองกาญจน์ กับพี่ดอย ก็คงต้องมันนี่แหล่ะ น่าจะหล่อกว่าใครในย่านนี้แล้ว แต่ความเตี้ยกับกับความกวนส้นตีนนี่คงเป็นอุปสรรคของการโชนแสง ภาพลักษณ์ธุรกิจบ้านเขาก็ไม่ดี จนได้ตำแหน่งนายนพมาศน้อยกับเขามา ก็เริ่มซ่าเชียว คิดว่าหล่อนักเหรอ ข้ามศพพี่โอ๊คไปก่อนเหอะ

บ้านผมกับบ้านกล้า ใครรวยกว่ากัน ? ผมก็ไม่รู้สิครับ มันเป็นสมบัติของพ่อ ไม่ใช่ของผม จริงๆแล้ว เตี่ยผมกับป๊ากล้าไม่ถึงกับรวยเหมือนบ้านพี่โอ๊คหรอก ธุรกิจบ้านพวกเรามันสีเทากว่า เตี่ยผมแค่สามารถกุมคะแนนเสียงทหารในกองพันได้ ช่วงเลือกตั้ง เตี่ยผมนี่เนื้อหอมมาก นักการเมืองแทบมากราบ วันเกิดเตี่ยทีไม่ต้องพูดถึง มากันทุกพรรคการเมืองเลย  ส่วนของบ้านกล้าเขาก็ไม่ได้รับเขียนแต่หวยหรอก เขาก็ปล่อยเงินกู้ รับจำนองบ้าน จำนองที่ จำนำรถ เงินเขาก็สะพัดอยู่นะ ผมเห็นเขาใช้ตังแต่ละวันก็ไม่น้อย ซื้อไอศกรีมแพงมาฝากผมประจำ ใครจะบ้ากินไอติมเวนเน็ตต้าอันและร้อยกว่าบาทได้ทุกวี่วัน ซื้อมาทำไม แต่เสียดายก็เลยต้องกิน มันคงรู้ว่าผมชอบ จ้องจะให้ผมอ้วนขึ้นให้ได้เลย แฟนก็ไม่ใช่ ยุ่งจริงว่ะ

แต่ตัวผมรวยกว่ามันแน่ เพราะผมเก็บเงินเก็บทองจากการทำงานได้เยอะ มันน่ะเขียนหวยให้ป๊ามันได้ค่าจ้างมาก็แต่งรถหมด อายุเท่าผมแต่ทำเอกสารเงินกู้ได้หมด ก็ใช่จะเก่งหรอกนะ คงแค่ทำบ่อยมากกว่า งั้นๆ แหล่ะ  เห็นมันเป็นเด็กซ่า เที่ยวเตร่ แต่เออ เกรดโครตดีเลย สงสัยมันจะแอบอ่านหนังสือตอนก่อนนอน มันนอนดึก ผมการันตีจากข้อความที่มันขยันส่งมาช่วงตีหนึ่ง เป็นตัวแทนโรงเรียนไปตอบปัญหานั่นนี่อยู่บ่อย หึ.. แต่ก็งั้นๆ แหล่ะ

ช่วงนี้จะสิ้นปี 1999 แล้ว ใครก็กลัวโลกจะแตกกัน ผมในฐานะคนที่สนใจตัวเลข มากกว่าศาสตร์มืด ก็ต้องยอมรับว่าหวั่นอยู่เหมือนกัน  ไม่ใช่จากเพราะคำทำนาย หรือคิดว่าจะมีอุกกาบาตขนาดใหญ่มาชนโลกแบบในหนังหรอกครับ แต่ความวุ่นวายของชาวคอมพิวเตอร์อย่างพวกเราก็ต้องพูดตรงๆเลยว่า มันป่วนไม่ใช่เล่น  คืนวันที่ เลขฐานเปลี่ยนจาก 99 มาเป็น 00 ผมแทบไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง คงจะรวนไม่ใช่เล่น ความผิดเพี้ยนของปี ตัวเลข การย้อนเวลาตามความเข้าใจของระบบคอมพิวเตอร์ 

ผมเคยนอนฝันว่าคอมในร้านทุกตัวกลายเป็นสีดำแล้วมีตัวหนังสือสีเขียววิ่งขึ้นมาเองทุกเครื่องจนผมสะดุ้งตื่น  ไอ้กล้ามันยังแซวว่าผมกินมากไปตอนที่ผมเล่าให้ฟัง ผมก็เลยงอนมันไปยี่สิบนาทีได้ มันก็ง้อจนใจอ่อนด้วยเวนเน็ตต้ารสวนิลลา

เมื่อคืน ผมเอาดอกไม้ช่อใหญ่ ไปให้นายขุนแผนแสนสะท้านปีล่าสุด พร้อมพ่วงตำแหน่งขวัญใจสื่อมวลชน และขวัญใจมวลชนไปซะสามรางวัล กับยิ้มพิมพ์ใจเป็นรางวัลที่สี่ ซึ่งจะไม่นับรางวัลนี้ก็ได้ เพราะบ้านของพี่มือกลองเป็นสปอนเซอร์ ตอนผมเอาดอกไม้เดินไปให้เขา คนมองกันมาตรึมเลย แต่ผมไม่อายหรอก เพราะพี่เขายังไม่เห็นจะอายเลย เขาโน้มตัวลงมามอบยิ้มนั้นให้ผม ยิ้มที่ผมไม่มีวันได้เป็นเจ้าของไปตลอดกาล  แต่มันก็สุขใจ..  ได้เท่านี้ ก็ดีพอแล้ว

ในวันที่แอบมองโดยเขาไม่รู้ มันก็มีความหวัง  แต่พอเขารู้แล้วความหวังมันพังทลายไป ก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อก่อนไอ้เจ้า ความหวังมันมาพร้อมกับการแค่แอบมอง  แต่ความผิดหวังมันได้สิ่งหนึ่งคืนมา คือการที่ได้สบตากันเสมอ เพราะเขารับรู้มันแล้ว

คงเหมือนกับที่ กล้า ชอบบอกกับผม ถ้าเรามัวรักคนที่หันข้างให้เรา เราจะไม่รู้ว่าเขาคิดกับเรายังไง ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจฉันใด ความจริงใจมันก็ต้องส่งผ่านสายตาฉันนั้น  จากนี้ผมก็จะก้มหน้าก้มตาเรียนต่อและทำงานไปด้วย ผมจะต้องยิ่งใหญ่ในระดับโลกให้เป็นของขวัญพี่โอ๊ค  ผมจะทำร่างกายให้แข็งแรง ให้เตี่ยได้หมดห่วง  แล้วสักวัน ผมก็จะมีคนที่เข้าใจผมมาทดแทนวันเวลาแห่งความฝัน ห้วงยามซึ่งผมหมดไปกับพี่โอ๊คมาแรมปี  ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้คนกวนตีนที่ชื่อกล้า !!

พูดแล้วยังโมโหไม่หาย เมื่อคืนมันอาศัยช่วงที่มาส่งหน้าบ้าน แอบหอมแก้มผมตอนเผลอ ถ้าไม่เกรงใจเห็นแก่ไอศกรีมที่เพียรซื้อมาให้ทุกวัน คงให้เตี่ยเอาปืนมาไล่ยิงไปแล้ว  เตี่ยนี่ก็อีกคน เห็นไอ้กล้ามันปากหวานเข้าหน่อย ชวนเข้ามากินข้าวเรื่อยเลย
อารมณ์เสีย!



ออฟไลน์ DekPed

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :o8: :o8:เสียทีไอ้กล้าแล้วโอเล่เอ๋ย  :-[ :-[

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Bonus Track  : พ่อใช้เหงื่อแทนน้ำรดลงไป.. เพื่อให้ผลิดอกใบออกผล..

ขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค ที่มีขึ้นเมื่อวาน ถูกฉายบนจอโทรทัศน์ซ้ำไปมาในวันนี้ เพื่อให้พสกนิกรได้ชื่นชมความงดงาม ทุกบ้านทุกครัวเรือนเปิดรับชมรายการพิเศษผ่านสถานีฟรีทีวี  แม้แต่ช่องเคเบิ้ลท้องถิ่น ก็นำสารคดีใต้แสงตะวัน เปิดวนไปมา คนชราดูแล้วถึงกับน้ำตาไหล แม้แต่วัยรุ่นยุคใหม่ก็พอจะเริ่มเข้าใจในเนื้อหาที่สื่อเสนอ

“ตื่นได้แล้วพี่อาร์ม” มะนาวปลุกอาร์มที่นอนงีบอยู่ที่เปลในสวนหลังหอ ถัดไปดอยนอนอยู่ที่แคร่ ทุกคนดูอิดโรยเพราะเมื่อคืนหลังเลิกจากงานประกวดขุนช้างขุนแผนเสร็จ ก็ไปกินข้าวต้มกันต่อยันดึก แถมรีบตื่นกันขึ้นมาใส่บาตรอาหารแห้ง ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พ่อหลวง เนื่องในวัน เฉลิมพระชนมพรรษา 
มะนาวทยอยปลุกทุกคน เพราะว่าใกล้เวลา 10.30 น  ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกยังพระที่นั่งอนันตสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคล ซึ่งจะถ่ายทอดสดให้คนต่างจังหวัดได้ชมกัน ทุกคนจึงมารวมตัวกันหลังใส่บาตรเสร็จที่สวน และงีบเอาแรงเพื่อกะตื่นมาดูทีวี

ปุยเมฆมีนัดกับพ่อในวันพ่อ  วันนี้พวกเขาใส่บาตรด้วยกันแล้วมาทานอาหารเช้าด้วยกันที่โรงแรมใหญ่ใจกลางเมือง โดยเพจเจอร์ของปุยก็สั่นเป็นระยะจากข้อความของยอดดอยที่เพียรส่งมาง้อ 

“นี่ทะเลาะกันหรือยังไง ทำไมดอยไม่มาด้วยล่ะ”

“หลับเป็นตายอยู่ที่สวนหลังหอน่ะครับ เมื่อคืนกว่าจะรอโอ๊ครับรางวัล ถ่ายรูปเสร็จ พาไปกินข้าวต้มกันก็ตีสองกว่า”

“โอ๊คไปรับรางวัลอะไรเหรอลูก”

“ไปประกวดขุนแผนแสนสะท้าน ชนะด้วยครับพ่อ  น้าแจ้ประกวดขุนแผน ก็ชนะด้วย นี่คนที่หอมีรางวัลการันตีตั้งสองคน”

“สามคนสิ..  ได้ข่าวว่ามี ธิดาจำแลงอยู่ด้วย เลยทำให้ลูกพ่อมานั่งหน้าบูดมาหลายวันนี่ไง”

“ใครปากมาก”

“ทุกคนที่เป็นห่วงลูก เล่าให้พ่อฟัง”

“ลูกอยากทุ่มไปที่การเรียน”

“อันนั้นมันก็ดีอยู่หรอก”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามนี้”

“ลูกปุย..”

“ครับ”

“ลูกยังทานยากล่อมประสาทอยู่ใช่ไหม”

“....”

“ลูกกลับไปติดมันหรือเปล่า พ่อต้องเป็นห่วงไหม”

“ไม่ครับ ครั้งล่าสุด คุณหมอจัดเป็น แวเลี่ยม ไม่ได้อันตรายอะไร แค่ช่วยให้ลูกได้หลับ”

“ทานบ่อยมันจะติดน่ะสิลูก”

“ก็มันนอนไม่หลับอ่ะ”  ปุยก้มหน้าเอามีดกับส้อมเขี่ยจานอาหารที่ว่างเปล่า  คงเหลือแต่ผัก กับกระดูกหมูท่อนยาว

“ดอยบอกว่า ตอนลูกอยู่กับเขา ลูกไม่จำเป็นต้องทานยาเลย”

“เป็นคำคุยโวของคนหนึ่งคน ที่ฟังดูสำคัญตัวเองมากเลยนะครับ”

“พ่อก็แค่อยากเห็นลูกนอนหลับสนิทโดยไม่ต้องพึ่งยา”





“ว่าไงล่ะพี่ พ่อขุนช้างคนดัง นอนยาวเลย คงเพลียสินะ หนูทำแกงเขียวหวานไก่ไว้ให้ ยังอุ่นอยู่เลย”

“เล่นเอาปวดคอเลย ร้องเพลงโยกหัวเมื่อคืนเนี่ย”

“ก็ใครใช้ให้ลงทุนขนาดนั้นล่ะ อยากได้รางวัลขนาดนั้นเชียว”

“เปล่า แค่ไม่อยากแพ้เบอร์ 10 ล่ะ เดี๋ยวมีคนปันใจ”

“เอ่อ..  นั่งตรงหน้าร้านก่อนก็ได้พี่ เดี๋ยวหนูไปตักข้าวให้  แล้วนี่ถือถ้วยรางวัลมาอวดใครล่ะ” นกน้อยแก้เขินชวนกินข้าว

“เอามาฝากไว้ที่นี่ ไม่มีที่จะเก็บ”

“อ๊ะ ของใครก็ของมันสิ ไม่เก็บไว้จะได้ภูมิใจ เมื่อคืนเห็นน้องดอยบอกว่า พี่สาวพี่กับคนที่บ้านดีใจกันใหญ่”

“ฉันล่ะเฉยๆ เขาขอให้ประกวดก็ร่วมสนุกไปอย่างนั้น”

“ฝากไว้ที่ฉันก็ได้ แล้วพี่จะมาเอาไปเมื่อไหร่ก็มาเอาไป”

“อยากให้วางไว้ตรงนั้นน่ะ  วางคู่กับถ้วยหลังตู้อันนู้นน่ะ” แจ้ชี้ไปที่ตู้โชว์ของหลังร้าน ที่มีถ้วยรางวัล สลักว่า “รองอันดับ ๑ ธิดาจำแลง ๒๕๓๙” วางเอาไว้  ก่อนจะหันกลับมาทางนกน้อยที่หลบสายตาด้วยท่าทีเขินอาย



“ทรงพระเจริญ..  ทรงพระเจริญ..”  เสียงกู่ก้องลั่นไปทั่วหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ผู้คนที่เต็มลานกว้างยาวไปถึงท้องถนนใหญ่ บ้างก็ถือพระบรมฉายาลักษณ์เทิดไว้ที่เหนือเกล้า  ต่างก้มลงกราบเมื่อพ่อหลวงเสร็จกลับเข้าไปหลังมีพระราชดำรัสแล้ว  ใจความหนึ่งที่กึกก้องอยู่ในหัวของคนที่นั่งดูผ่านทีวีอย่างมะนาว  ทีวีจอใหญ่ที่แขวนอยู่ใต้ฝ้าในร้านอินเทอร์เน็ต ถูกเร่งเสียงจนดังสุดขีด เพื่อให้คนที่นั่งอยู่เต็มร้านรวมถึงชาวต่างชาติได้ยินกันทั่วถึง ทุกคนละจากจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าหันมาดูจอโทรทัศน์อย่างสนใจ มีคนแอบเช็ดน้ำตาเป็นระยะ มีเสียงสูดจมูกกับภาพที่ได้เห็น  ฝรั่งหลายคนหันไปฟังคำอธิบายภาษาอังกฤษจากโอเล่ที่คอยแปลให้ลูกค้าในร้านฟัง

“คนมีไมตรีต่อกัน.. จะคิดอะไร ก็จะคิดแต่ในทางสร้างสรรค์”  มะนาวพรำคำพ่อสอน ออกมาอย่างแผ่วเบา มีน้ำตาไหลจากการชื่นชมพระบารมี  โดยมีอาร์มที่นั่งอยู่ข้างกาย

“มะนาวครับ พี่รู้ว่า มะนาวไม่ชอบใจกับสิ่งที่พี่ทำให้อดีต พี่ไม่เคยคิดแก้ตัว แต่อย่างหนึ่งที่พี่อยากให้รู้ไว้ว่าถ้าพี่มีความหวังในเรื่องของเราได้ พี่จะไม่ทำให้มะนาวเสียใจอีก”

“พี่อาร์ม มะนาวก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่หรอกนะ เราไม่ได้มีอะไรผูกมัดกัน มันไม่ใช่ความผิด ทุกอย่างเป็นความคึกคะนองตามประสาคนหนุ่ม มะนาวเข้าใจดี”

“พี่สัญญาว่า จะไม่มีอะไรแบบนั้นอีก  พี่สัญญาด้วยเกียรติของผู้ชายที่รอคอยผู้หญิงคนหนึ่งมานาน เชื่อพี่นะ”

“ค่ะ มะนาวรู้ว่า พี่อาร์มจะไม่ทำให้มะนาวเสียใจ”





“ว่าไงเจ้าตัวดี ทำไมไม่บอกกันบ้าง ไม่อย่างนั้นจะตีรถลงเมืองไปเชียร์ ขนกันไปให้หมดหมู่บ้านเลย”

“แหม พี่ก็ ฉันก็อายเป็นนะ แล้วนี่พี่ได้ขึ้นไปหาพ่อที่สังขละบุรีไหม หรืออยู่ที่ทองผาภูมิล่ะ”

“นี่ฉันก็นั่งอยู่กับพ่อเนี่ย วันพ่อ ก็อยู่กับพ่อสิ ว่าแต่แก เมื่อไหร่จะพาลูกฉันกลับมาบ้านบ้างเนี่ย”

“น่าจะวันหยุดยาวอาทิตย์นี้ ดอยมันก็จะขึ้นกันไปแล้วล่ะ แต่ฉันคงต้องเฝ้าร้าน เพราะลูกค้าเยอะมาก ไหนจะลูกค้าที่มาเช่ารถอีก  นี่กำลังจะทำอาหารตามสั่งส่งในตัวเมืองกัน เห็นใน กทม.กำลังฮิต เผื่อจะฟลุคดีขึ้นมา”

“มันต้องดีอยู่แล้ว ฝีมือนกน้อยน่ะอร่อยจะตาย ฝากความคิดถึงด้วยนะ ฉันไม่ว่างลงไปในเมืองเลย”

“ผมขอคุยกับพ่อหน่อยสิ ทำอะไรอยู่ เข้าฌานอยู่หรือเปล่า”

“ไม่นะ เพิ่งทำนายดวงให้รัฐมนตรีไปคนนึง อุตส่าห์นั่งเฮลิคอปเตอร์มาลงเมื่อคืน เดี๋ยวนะ  พ่อคะ ไอ้แจ้จะคุยด้วย”





บนรถเมอร์ซิเดสคันหรูที่กำลังขับจากลานจอดรถโรงแรมใหญ่ใจกลางเมือง เพื่อไปส่งปุยกลับหอพัก

“นี่จะขึ้นไปสังขละบุรีเมื่อไหร่ล่ะ”

“วันหยุดรัฐธรรมนูญครับพ่อ วิชางานมัคคุเทศก์ มีเก็บกลุ่มตัวอย่าง ฝรั่งเยอะดี น่าจะไปที่เดียวเสร็จครบ”

“คิดถึงเหมือนกันนะ ไม่ได้ไปสังขละบุรีนานแล้ว ตั้งแต่เปิดด่านที่บ้องตี้ ธุระแถวนี้เยอะเหลือเกิน บนนั้นก็จะเป็นหน่วยงานไปแจกของ กับทำเอกสารให้ผู้อพยบ งานพ่อจึงไม่ได้ขึ้นไปเท่าไหร่”

“เมื่อเช้าช่องเคเบิ้ลประจำจังหวัดถ่ายภาพมาเห็นมีคนมอญ กับ กะเหรี่ยงออกมาถวายพระพรเต็มไปหมดเลยครับ”

“โหย เขารักในหลวงของเรามากเลยลูก ในหลวงท่านทรงช่วยเหลือกลุ่มอพยบไว้มาก”

“บ้านเมืองเขามันโหดร้ายมากเลยเหรอครับ”

“ไม่หรอก มันแค่วุ่นวายและไม่ลงตัว แต่ใต้พระบรมโพธิสมภาร ทุกอย่างมีความสงบ เขาจึงอยากลี้ภัยกันมาพึ่งพาใต้ร่มพระบารมี”

“นี่อาทิตย์ที่ผ่านมา ที่คณะก็จัดนิทรรศกาลเฉลิมพระเกียรติครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่า การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่กำลังมาแรง มีแรงบันดาลใจหลายอย่างมาจากพระราชดำริ ไม่รวมถึง วิถีไทยต่างๆ ที่กลายเป็นที่ท่องเที่ยวไปด้วยเลย”

“ถึงได้บอกว่า พระอัจฉริยภาพของพ่อหลวง เป็นที่ประจักษ์ มีสิ่งให้เราได้เรียนรู้มาก”

“พ่อครับ..”

“ว่าไงลูก”

“ผมไม่คิดจะทำโรงแรมแล้วนะ”






“อ้าว ตื่นซะที ข้าวต้มเย็นหมดแล้ว เพลียล่ะสิ พ่อขุนแผนแสนสะท้าน”

“ฟวย”

“ทำไมไม่บอกว่าจะประกวด” อาร์มที่นั่งทานข้าวอยู่ห้องอาหารหรูในคฤหาสน์ใหญ่ ถามแฝดผู้พี่ เมื่อเห็นโอ๊คในสภาพอิดโรยใส่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินลงมาจากบันได

“ก็มือกลองขอร้องมากระทันหัน กูโครตอายเลยว่ะอาร์ม แต่งตัวอะไรก็ไม่รู้”

“นี่ถ้าม๊ารู้ล่วงหน้า คงจ้างคนมาถ่ายวีดีโอนะกูว่า ฮ่าๆๆ”

“ก็เลยไม่บอกไง แค่นี่ก็เอิกเกริกจะแย่” แฝดพี่ชะโงกหาของกินที่วางเรียงราย เผื่อมีอะไรที่จะถูกปากบ้าง

“โอ๊ค”

“ว่า”

“มือกลอง นี่ตกลง ไปกันถึงไหนแล้ว”

“ไม่มีอะไรนี่ ก็เพื่อนกัน ก็สนิทกัน”

“มึงกลัวอะไรหรือเปล่า”

“....”

“ถ้าเป็นเรื่องที่ผ่านมา ทั้งป๊าทั้งม๊า และกู  รวมไปถึงอุ๋มอิ๋มถ้ายังมีชีวิตอยู่  ไม่มีใครถือโทษบ้านไอ้กลองนะเว้ย”







“มาทำไม ๕ ธันวาทั้งที ไม่ไปอยู่กับพ่อง”

“พ่อ ก็ได้ พ่อง นี่เหมือนด่า”

“อย่าคิดว่าจะลืมนะ นายทำอะไรเมื่อคืนน่ะ” โอเล่ที่นั่งพิมพ์งานอยู่ในร้านเน็ต ทำหน้าดุใส่ผู้ที่เพิ่งมาเยือน

“ก็อากาศหนาว กับหมู่ดาวมันพาไป”

“เป็นนายนพมาศน้อย แล้วก็อยากจะเป็นกวีด้วยว่างั้น”

“เป็นคนที่ถูกมองข้ามต่างหาก”

“อย่ามาเบี่ยงเรื่องอื่น ฉันยังไม่ได้ชำระความนะเมื่อคืน”

“นี่ไง ซื้อ ไอติมเวนเน็ตต้ามาง้อ แล้วไม่อยู่กับเตี่ยเหรอวันนี้ วันเตี่ยทั้งที”

“เขาก็ไปทำงานของเขา วันหยุดคนอื่นก็ไม่ใช่ว่าเตี่ยฉันจะมีวันหยุดนี่”

“เหมือนเราเลย ทุกวันที่ 1 กับ 16 นี่ไม่เคยได้หยุด เช้ามานี่ก็เสียงโทรศัพท์เฮียดอยโทรมาเขียนหวยคนแรกทุกงวด”

“น่าจะเป็นพี่น้องกันเนอะ เหมือนไปถึงหน้าตาเลย”

“ชมว่าเราหล่อใช่ม๊ะ” กล้ายักคิ้วใส่คนที่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์แสนยุ่งเหยิง เอกสารวางกองสูง มีสมุดโน้ตที่เก่าเยินวางอยู่

“อย่ามาตู่ได้ป๊ะ ไปไหนก็ไป ฉันจะทำงาน”

“หยุดมั่งเหอะ ไปเที่ยวกัน ไปดูนิทรรศกาลพ่อหลวงกัน คืนนี้ไปจุดเทียนชัยถวายพระพรที่สะพานข้ามแม่น้ำแควกันเรานะ”

“อย่างนายจะรู้ด้วยเหรอ ว่าพ่อหลวงทรงทำอะไรให้ประเทศไว้บ้าง”

“ป่ะป๊าเราลี้ภัยมาซุกหัวนอนที่เมืองไทย อย่าลืมสิ นี่ป่ะป๊าสั่งปล่อยนกปล่อยปลาเป็นร้อยตัวเลย ถวายพ่อหลวง”

“อืม พวกชาวเทคโนโลยี ยิ่งปลื้มในหลวงใหญ่ พระองค์นี่ บิดาแห่งคอมพิวเตอร์ไทยเลย สคส. ที่พระองค์ประทานให้คนไทยฉบับแรก ฉันยังเซฟรูปไว้ที่สกรีนเซฟเวอร์เลย” โอเล่ส่งน้ำเสียงตื้นตันผ่านคำพูด

“ไม่รู้สิ  ที่คอมเธอ เราแอบดู เห็นแต่รูปพี่โอ๊ค”

“กวนตีน!”







ที่สวนหลังหอพัก แม้เป็นเวลาบ่ายแก่ แต่ลมหนาวปลิวมาพร้อมกับใบไม้ที่ร่วงหล่น ชายวัยกลางคนนั่งอยู่กับเด็กหนุ่มที่ม้านั่ง กับห่อของกินในถุงกระดาษโรงแรมฟีนิกซ์ ที่เอามาฝากใครบางคน

“พ่อไม่ได้ไม่อยากให้ลูกเลิกสานฝันของแม่นะ แค่ให้ค่อยศึกษาค่อยทำไป ถ้ามันดีก็ทำ พ่อพร้อมลงทุนเท่าที่เงินเก็บพ่อมี หรือถ้ามันดี พ่อก็กู้มาทำให้ได้ ลูกก็อย่าเพิ่งล้มเลิกความมุ่งมั่นไป”

“เปล่าหรอกครับ ลูกนั่งคุยกับโอ๊ค เขาก็พูดให้ได้คิดหลายอย่าง และแน่นอนว่า ฝันของแม่ไม่ได้มีอย่างเดียว เรื่องโรงแรมเป็นแค่ฝันเล็กของแม่ ลูกอยากไปสานฝันใหญ่ของแม่ก่อน”

“ฝันใหญ่ของแม่.. คืออะไร”

“ถ้าให้ลูกเดา  แม่คงอยากให้ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า”

“.....”

“พ่อครับ  ลูกรู้ ว่าลูกเป็นลูกของบ้านเล็ก แล้วแม่ก็ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องอะไร  แต่วันนี้ลูกมุ่งมั่นขอเรียนให้จบ ออกไปมีงานที่ดีทำ สักวันลูกอยากมีบริษัททัวร์ เพราะลูกชอบการเดินทาง ลูกอยากถ่ายทอดให้คนที่มาเที่ยวที่นี่ ได้รู้จักจังหวัดที่แม่ของลูกนั้นรัก ส่วนที่ดินของแม่ พ่อจะเอาไปทำอะไร ลูกคงไม่ไปยุ่ง พ่อจะขายก็ได้นะ โอเล่บอกว่า เตี่ยเขายินดีซื้อ  นี่ มือกลองก็บอกว่า เขาก็จะซื้อให้ราคาที่เราพอใจ เขาอยากเอาไว้ปลูกบ้าน”

“พ่อไม่ขายหรอก มันเป็นที่ดินของลูก แล้วปุยอยากจะทำอะไร วันหน้าพ่อก็จะสนับสนุนเท่าที่แรงพ่อมีนะ”

“ครับพ่อ”

“อย่าลืมเอาของกินนี่ไปแบ่งเพื่อนๆด้วย  สเต๊กนี่พ่อตั้งใจซื้อมาฝากดอย เอาไปให้เขาด้วยนะเดี๋ยวเย็นจะไม่อร่อย พ่อไปละ เดี๋ยวเย็นนี้ ที่สถานทูตจัดงานจุดเทียนชัยถวายพระพร  เห็นแม่บ้านตื่นเต้นเช็ดถูกันใหญ่  ปีนี้เป็นปีที่วุ่นวายของสถานทูตพม่า  แต่ว่า มันน่าจะดีขึ้นในปีหน้านี้ ยุคปี 2000 ที่ใครก็ฝันถึง”

“ขับรถดีๆนะครับ เมื่อเช้าก็ตื่นเช้า”

“จ๊ะลูก ไปแล้วนะ ไว้ถึงกรุงเทพจะโทรหา” ธรรมเสถียรลุกขึ้นกำลังจะเดินจากไป

“พ่อครับ”  ปุยเรียกอีกฝ่ายให้หยุดหันมาด้วยเสียงนั่น

“สุขสันต์วันพ่อ..  ผมรักพ่อนะ”



[ TBC ]



ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1

[ ต่อ ]

สัปดาห์งานสะพานข้ามแม่น้ำแคว กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายของเทศกาล เหลืออีกเพียงสองวัน บางร้านค้าที่ของขายพร่องจนแทบไม่มีเหลือ ก็ไม่นำของมาขายเพิ่มเพราะกลัวขายไม่ได้เนื่องจากอีกสองวันที่เหลือเป็นวันจันทร์กับวันอังคาร คนที่มาเดินเที่ยวงานอาจจะน้อย 
ผิดกับบูธขนมจีนของเจ๊นกน้อย ที่ทำเพิ่มกี่หม้อก็ไม่เพียงพอจนทหารที่มาช่วยงานต้องปาดเหงื่อกันเลย อีกทั้งวันนี้ ผู้หญิงจะเข้ามาทานเป็นพิเศษ เพราะว่าเจ้าของตำแหน่ง ทั้งขุนช้าง และ ขุนแผน ปีล่าสุด ก็มารวมตัวกันที่บูธขนมจีน เพื่อรอร่วมพิธีการจุดเทียนชัยถวายพระพรพร้อมกันเวลา 19.19 นาที ซึ่งยังมีเวลาเหลืออีกชั่วโมงเศษ ก่อนจะต้องไปเตรียมซ้อมกับคณะกองอำนวยการ
“แหม ทั้งขุนแผน กับขุนช้าง มารวมกันอยู่ที่พี่ พอดี ขนมจีนไม่พอสาวๆ” มะนาวแซวน้าแจ๊กับโอ๊คที่กำลังแต่งหน้าด้วยฝีมือของเจ๊นกน้อย ซึ่งทิ้งหม้อขนมจีนให้ทหารลูกน้องเตี่ยของโอเล่ดูแลมาหลายวันแล้ว

“อย่ามาแซว มะนาวนั่นแหล่ะ ปีหน้าไปลงประกวดเทพีสันติภาพเลย” โอ๊คที่กำลังโดนเจ๊นกน้อยเอาแป้งพัฟตบที่หน้า ในชุดเสื้อเชิ้ตขาวผูกไท  มีสูทสีกรมท่าพาดอยู่บนเก้าอี้อีกตัว

“ไม่เอาเว้ย ไม่ให้ประกวด” อาร์มรีบเบรกพอเห็นมะนาวทำหน้าเหมือนจะเห็นดีเห็นงามไปด้วย

“ทำไมล่ะน้องอาร์ม สวยอย่างน้องมะนาวรับรอง เหมารางวัลตั้งแต่ผมสวยยันส้นตีนสวยเลยค่ะ” เจ๊นกน้อยแสดงความเห็น

“ก็นั่นแหล่ะ ไม่ให้ประกวดเว้ย ถ้าขึ้นไปประกวดนะ จะเอาไฟไปเผาเวทีให้วอดเลย”

“หูยยยย  ไหนว่าสงครามโลกจบแล้ว” แจ้ที่อยู่ในชุดสูทพร้อม ก็ตัดบทสนทนา

“อาร์มมันก็หวงของมันน่ะแหม ขนาดผมรับต้องข้อความทางเพจตั้งแต่เช้า จากใครมั่งก็ไม่รู้ ไม่รู้เอาเบอร์มาจากไหน”

“เขาซื้อขายกันนะเบอร์เพจพี่โอ๊คเนี่ย มะนาวได้ยินตอนเข้าห้องน้ำหญิงเมื่อคืน”

“ห๋า มีอย่างนี้ด้วย” เจ้าตัวยังงง ว่าการประกวดขุนแผนเมื่อคืนมีผลต่อความชื่นชอบขนาดนี้

“แหม นี่เขาลือเรื่องที่มีแมวมองมาให้นามบัตรพี่โอ๊คเมื่อคืนด้วยนะคะ ที่ว่าจะชวนไปถ่ายแบบที่กรุงเทพ”

“โอ้ย ไม่เอาด้วยหรอก ใครจะไปยืนให้กล้องจับจ้อง ต้องไอ้อาร์มนู่น มันชอบ”

“เขาไม่เอากูนี่หว่า แม่งโลกไม่ยุติธรรม หน้าก็เหมือนกันยังกับแกะ”

“แหม น้องอาร์มน่ะแนวใส มันต้องถึงเวลาเป่งประกาย รอนิดนึง สิงโตจะเท่ ต้องรอขนขึ้นรอบคอ เชื่อกูรูอย่างเจ๊”

“ตอนนี้ ขนมันก็ขึ้นพรึ่บแล้วเจ๊ ผมเข้าห้องน้ำต่อจากมันทีไร จะอ๊วก”  โอ๊คพูดจบ ทุกคนก็หัวเราะลั่น เพราะไม่ค่อยมีคำพูดตลกจากโอ๊คเท่าไหร่ แม้แต่อาร์มที่อยู่ด้วยกันทุกวันยังสังเกตได้

“หนูชอบที่พี่โอ๊คเป็นแบบนี้นะพี่อาร์ม”  มะนาวกระซิบที่หูของอาร์มผู้ซึ่งอมยิ้มรออยู่





ที่ร้านเน็ต ลูกค้าคนไทยแทบไม่มีเหลือแล้ว คงมีแต่ชายต่างชาติจับจองคอมพิวเตอร์เต็มทุกเครื่องนั่งใช้บริการกันอยู่ โอเล่เฝ้าร้านแทนน้าแจ้ นั่งอยู่กับปุยเมฆที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวลงมา 

“ไปร้านด้วยกันไหมโอเล่ ที่นี่ให้นิค ช่วยดูก็ได้ นิคไว้ใจได้” ปุยชี้ไปทางลูกค้าประจำที่มาแทบทุกวันเพื่อเล่นเกมอย่างบ้าคลั่ง
 
“ไม่ไปหรอก ปุยไปเหอะ ขากลับถ้าเจอตูดไก่ ซื้อมาฝากด้วยนะ”

“ได้เลย แล้วนี่จะอยู่ดึกไหมล่ะ”

“ไม่ดึกนะ วันนี้เตี่ยน่าจะกลับเร็ว ว่าจะซื้อข้าวเลือดหมูไปฝากแก แกชอบ”

“โอเล่กับเตี่ย คงเหมือน เรากับพ่อเนอะ เหมือนจะไม่สนิทกัน อยู่ห่างกัน”

“แต่กำลังเคลื่อนเขาหากัน มันกำลังจะสู่ยุค 2000 แล้วปุย อะไรที่ทำได้ แล้วชีวิตมันดูดีขึ้น ก็ทำซะ”

“เราชอบที่เห็นโอเล่ดูเริงร่าขึ้นนะ”

“อย่ามายอกันเองเลย นู่น พ่อตัวดีมารออยู่ตั้งนานแล้ว” โอเล่ชี้ไปยัง ยอดดอยที่ยืนพิงรถมอเตอร์ไซค์อยู่หน้าร้าน

“ก็ให้รอไปสิ งั้นไปแล้ว เดี๋ยวซื้อตูดมาสังเวยให้นะ”  ปุยส่ายมือบ๊ายบายโอเล่ที่หันกลับไปทำงานของตน






“หิวไหม กินอะไรมาหรือยัง”  ปุยถามคนที่กำลังยืนรอเพื่อไปส่งยังบูธของเจ๊นกน้อยที่ งานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว

“ระหว่างเรานั้นมื้อนี้จะเป็นมื้อสุดท้าย เหรอ”

“บ้า”

“อ้าว เห็นกำลังฮิต บอกเลิกกันตอนกินข้าว”

“......” 

“ดอยไม่อยากเลิกกับปุยเลยนะครับ”

“แต่เราเหนื่อยที่จะไปต่อแล้วล่ะ”

“อยากคุยกันแบบเปิดอกไหม”

“อกใคร อกเจ๊แมว น่ะเหรอ”

“เดี๋ยวเหอะ”

“เชอะ”

“เขาก็ไม่ใช่เจ๊ อายุเท่าปุยนั่นแหล่ะ  แล้วเขาก็รอเราสองคนอยู่ที่ห้อง 2D”  ดอยเอื้อมมือไปจูงมือปุย เดินย้อนกลับเข้าไปที่หอพัก ปุยเดินตามไปแต่โดยดี





“ขอเชิญท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ท่าน จเด็จ อินสว่าง เป็นผู้เริ่มจุดเทียนชัยถวายพระพร แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...” พิธีกรชายบนเวทีหลักหน้าแท่นพิธี ที่ถูกจัดขึ้นเป็นวาระพิเศษ กลางพื้นที่ของงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว เอ่ยเป็นสัญญาณให้ท่านผู้ว่าเป็นผู้เริ่ม เทียนถูกจุดจากคนสู่คน ต่อกันไปผ่านไปยังบูธหน้ากาชาดจังหวัดซึ่งห่างเป็นร้อยเมตร  เปลวเทียนยังคงส่งต่อทอดยาวตลอดทางเดินเท้าที่เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งรวมใจมายืนต่อกัน เลยจนถึงหน้าเชิงสะพานข้ามแม่น้ำแคว วัยรุ่นอีกจำนวนมาก รอต่อเทียนจากหัวรถจักรที่ใช้ในการแสดง Light & Sound ซึ่งบัดนี้ รอบการแสดงถูกเลื่อนออกไปสองชั่วโมงเพื่อหลีกทางให้งานพิธีสำคัญ วัยรุ่นหนุ่มสาวหวงพื้นที่บนสะพานเหล็กที่พวกเขามาจับจอง เนื่องจากหวังว่า เทียนที่ถูกจุดสว่างสไวอยู่บนรางสะพานที่พวกเขายืนอยู่ คงเป็นภาพที่งดงามเกินบรรยาย เมื่อวาระสำคัญที่เฉลิมฉลองในกาลปัจจุบัน พระชนมพรรษาครบ 72 พรรษา หรือ 6 รอบ อยู่บนสะพานประวัติศาสตร์แห่งอดีตกาล

“มะนาวเทิดทูนพระองค์มาก มะนาวไม่มีพ่อ ในหลวงทรงเสมือนพ่อของมะนาว”

“ยังไงบ้างล่ะ” อาร์มหันไปถามมะนาวที่มีน้ำตาไหลเมื่อร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีเสร็จพร้อมกับคนในงาน

“วัฒนธรรมทางอาหารและการใช้ชีวิตของพระองค์ ถูกนำเป็นต้นแบบแห่งวิถีชาวบ้าน  มะนาวไม่มีพ่อก็จริง แต่แนวทางปฏิบัติของพระองค์สอนให้รู้ว่า อะไรที่จะถ่ายทอดนำมาสู่ผู้คน  นี่มะนาวหุงข้าวแดงกินที่บ้านนะพี่อาร์ม ที่วิทยาลัยก็นำเมนูโปรดของพระองค์ที่แสนเรียบง่ายมาประยุกต์ให้ผู้คนได้ศึกษา  ผักโครงการหลวงนี่น่าทานมาก ใครมีผักในครัวเรือนก็ประหยัดลงมาก”

“บ้านพี่ก็เต็มๆนะ ค่านิยมในการใช้รถแบรนด์ญี่ปุ่นที่ราคาไม่สูงเกิน มีพระราชดำริ รถที่เหมาะสมกับประเทศไทย แถมสามารถปรับรับกับสภาพน้ำท่วมของกรุงเทพได้ พระองค์สนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมาอย่างต่อเนื่อง” 

“ถ้าสักวันมะนาวมีลูก มะนาวจะเลี้ยงแบบไม่ให้ฟุ้งเฟ้อค่ะ มะนาวไม่เอาหรอก ที่โตมาแบบรวยแล้วเหยียดผู้อื่น”

“สมเด็จย่าทรงตั้งพระนามพ่อหลวงไว้อย่างนั้นเลย ภูมิพลังแผ่นดิน”  อาร์มเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาของมะนาว

ผู้คนในถนน เริ่มทยอยเดินทางกลับ แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะเดินเล่นในงานต่อไป เพราะวันนี้ กรรมการจัดงานไม่เก็บค่าผ่านประตูเข้างาน สัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว เพื่อเป็นของขวัญให้ผู้คนที่ออกมาร่วมจุดเทียนชัยกัน  และแน่นอนว่า บูธขนมจีนน้ำยาของนกน้อยถูกรุมจนของไม่มีเหลือสักอย่าง  นกน้อยจึงทยอยเก็บร้านและให้ทหารผู้มาช่วยได้พัก ตัวนกน้อยเองที่เพิ่งจุดเทียนชัยร่วมกับลูกค้าในบูธเสร็จ ก็เตรียมจะไปหาแจ้ ซึ่งยืนหล่อบนเวทีร่วมกับโอ๊ค ในฐานะขุนช้าง ขุนแผน คนใหม่ล่าสุด

“เสร็จแล้วเหรอครับ ขุนแผนคนเก่ง” หนุ่มผิวขาวหน้าตาดีในชุดแจ็คเก็ตขาว พิมพ์โลโก้ห้างสรรพสินค้าที่ด้านหลัง ซึ่งยืนรออยู่ที่ลานจอดรถขาออกของงานประจำปี เอ่ยทักโอ๊ค ที่เดินเหงื่อท่วมแม้ถอดเสื้อสูทคล้องไว้ที่แขนแล้ว

“ไม่ต้องมาพูดเลย หาเรื่องให้เราเหนื่อยเนี่ย มีคิวงานขอบคุณสปอนเซอร์ไปจนเกือบปีใหม่แหน่ะ เดี๋ยวฝึกงานต้นปีหน้าไม่ทำแล้วนะพูดเลย”

“โอ๋ๆๆ  ในฐานะตัวแทนห้าง ต้องขอบคุณมากที่มาช่วย ไม่ให้ตำแหน่งหลุดลอยไปจังหวัดอื่น”

“สมกับสายเลือดชาวฟิลิปปินส์เลย เรื่องประกวดนี้นะ แพ้ไม่เป็น  แล้วนี่กินไรยังอ่ะ”

“ก็รออยู่ครับ แต่ว่าอยากจะพาโอ๊คแวะไปที่แห่งหนึ่งก่อน”  แล้วโอ๊คก็ขึ้นรถฮอนด้าพรีลูดสีน้ำเงินป้ายแดงของมือกลอง รถขับออกไปบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน มีพลุไฟยิงขึ้นฟ้าเป็นระยะ และทุกครั้งจะมีเสียงฮือฮารวมถึงเสียงหัวเราะชอบใจของเด็กน้อยที่พ่อแม่พามาชม   รถพรีลูดที่สะดุดตาทุกคู่ด้วยรูปทรงที่ไม่ค่อยเหมือนใครในท้องตลาด แถมสียังสดใสจัดจ้าน ดึงสายตาทุกคู่ที่รถขับผ่านช้าๆ ตรงทางออกคู่กับทางเท้า ไม่เว้นแม้แต่สายตาของโอเล่

“จุกไหมอ่ะ”  กล้าที่เพิ่งไปแวะรับโอเล่มา ถามคนที่เงียบไป

“ไม่นะ มันก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว”

“มองโลกในแง่ดีเหมือนกันนะเนี่ย”

“อันนี้ก็ต้องขอบคุณนาย”

“ห๋า เราไปเกี่ยวอะไร”

“ถึงนายจะกวนตีน แต่บางคำพูดก็ทำให้ฉันได้คิด  รอยยิ้มของพี่โอ๊คมันทำให้ฉันมีความสุขว่ะ แม้จะแลกกับความทุกข์บ้างก็ตาม”

“โอเล่”

“อืม”

“เราจะทำให้เธอได้ยิ้มบ้างนะ.. ยิ้มของเธอ ก็คือความสุขของเรา”

แม้เป็นช่วงเวลาสั้น ที่กล้าเอื้อมมือไปจับบ่าของโอเล่แล้วบีบอย่างแผ่วเบา ไม่สนว่ารถที่ขยับตัวช้าอยู่แล้วจะต้องมาติดกับฉากห่วงใยจากมิตรภาพของหนุ่มน้อยหน้าหล่อกับเด็กหนุ่มตัวบางผิวขาว ซึ่งยังต่างยืนจ้องกันขวางอยู่กลางถนน  จนคนขับรถตู้ VolkSwagen Caravelle สีบรอนซ์กำลังจะบีบแตรไล่

“อย่าเลย สุชาติ ปล่อยเขาไป.. นั่นลูกพวกฉันเอง” ชายสูงอายุที่ถือไพ่นกกระจอกมาดูแล้วใส่กลับลงไปที่ไพ่แถวบนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะไซส์เล็ก โต๊ะถูกล้อมด้วยโซฟาสั่งทำพิเศษ  มีชายสูงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งดูไพ่สำรับตัวเองอยู่ฝั่งตรงข้าม 

“ครับ ท่านณรงค์”  คนขับนิ่งเงียบไป เมื่อคิดว่าเกือบจะบีบแตรไล่ลูกๆของเจ้านายด้วยความไม่รู้เพราะเขาเพิ่งเข้ามาทำงานกับท่านณรงค์ได้เพียงไม่กี่วัน

“คุณณรงค์ สงสัยผมจะต้องเอาขันหมากไปสู่ขอบ้านท่านใช่ไหมเนี่ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามหัวเราะชอบใจเหมือนอยู่ในฐานะที่เหนือกว่า พร้อมเปิดหน้าไพ่หงายจนหมดทุกตัวเผยให้เห็นแต้มคะแนนที่น่าสนใจ

“คุณไพโรจน์ ของแบบนี้ต้องดูยาวๆ  ผมดูจากผิวพรรณของลูกชายท่าน ผมว่า ลูกชายผมต่างหาก จะต้องยกขันหมากไปขอลูกท่าน เรามาพนันกันไหมล่ะ”

“เรานี่ก็พนันกันได้ทุกเรื่องจริงๆนะ ฮ่าๆๆ  ผมพนันกับใคร ก็ไม่สนุกเท่าคุณณรงค์ เรามันคงใจถึงเหมือนกัน”

“ลูกๆเรา เขาก็คงจะได้เลือดพวกเราไปเต็มๆ ฮ่าๆๆๆ”

“สงสัยผมจะไม่ได้เป็นคุณปู่” ไพโรจน์ส่ายหน้า ซึ่งเดายากว่าไม่ถูกใจแต้มไพ่ตรงหน้าหรือเปล่า

“แต่ผมไม่สนหรอก ผมอยากให้ลูกของผมมีความสุข เห็นมันทะลึ่งตึงตัง แต่มันก็รักใครรักจริงเหมือนพ่อของมัน”

“อืม ผมก็อยากให้ลูกของมีความสุขเหมือนกัน  เขาถูกวางในที่ซึ่งไม่มีคนสนใจเขามานาน”

“ถ้าอย่างนั้น ผมว่า ลูกชายผมนี่แหล่ะ น่าจะทำให้ลูกชายคุณมีความสุข”






ที่ระเบียงชั้นสอง ของหอพักนาตยา ยอดดอยผู้ยืนอยู่ตรงระเบียงพยายามห้ามใจไม่ให้คว้าบุหรี่ที่เพิ่งซื้อไว้มาสูบ เขาไม่ได้สูบมาพักใหญ่แล้ว แต่ที่ตัดสินใจซื้อมาเพราะว่า เขาอาจจะผ่านคืนนี้ไปได้ไม่ง่ายนัก  แต่ยอดดอยก็ยังใจแข็งไม่แกะแม้แต่เปลือกพลาสติกที่หุ้มซอง แต่กระนั้นเขาก็ยังเดินกระวนกระวายไปมาคล้ายคนรอพิพากษา  ลูกขุนที่มีสีหน้ามึนงงตอนเขาจูงเข้าห้องมา  เผชิญหน้าอยู่กับจำเลยหน้าสวยผมยาวสลวย ที่เปิดประตูรอรับผู้มาเยือน  ปุยเข้าไปในห้องอยู่พักใหญ่แล้ว แต่ไม่มีเสียงของปุยเล็ดรอดออกมาแม้แต่น้อย  คงมีแต่แมวที่เป็นฝ่ายพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ปนกันเสียงสะอื้นไห้


ลานปูนในวัดเทวสังฆาราม ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดเหนือ รถสีน้ำเงินจอดอยู่ที่ริมต้นไม้ใหญ่ขนาดประมาณ ห้าคนโอบ ตรงรากมีปูนก่อมาหุ้มปกป้องไว้  มีป้ายปูนสลักด้วยอักษรสีทองเขียน “ต้นโพธิ์ทรงปลูก” ปักอยู่ที่โคน  โอ๊คกับมือกลองนั่งอยู่คู่กันที่ขอบปูนก่อ ซึ่งมีชานพักเป็นที่นั่งกว้างขวาง   

“ในทางดนตรี พระองค์ทรงเลอค่าล้นเหลือ” โอ๊คที่ขยับเน็คไทปล่อยลงมาหลวม ปลดกระดุมคอเสื้อเชิ้ตขาวสองเม็ดจนเห็นเนินแผ่นอกขาวแน่น เงยมองกิ่งใบต้นโพธิ์ที่สั่นไหวด้วยแรงลม  “เราว่า เราจะกลับไปเล่นดนตรี”  โอ๊คเอื้อมมือของตัวเองไปกุมมือของมือกลองที่นั่งอยู่  รถแล่นผ่านไปมาตามถนนข้างกำแพงวัด  พระสงฆ์ที่สวดมนต์ถวายพระพรแด่พ่อหลวง ทยอยกลับกุฏิ  ใต้ต้นไม้ใหญ่ ยังคงมีชายหนุ่มสองคนจับมือและมองหน้ากัน ท่ามกลางเงาจันทร์ที่ส่องแสงเล็ดลอดพุ่มใบ ผ่านลงมายังโคนราก เผยให้เห็นแค่รอยยิ้มคู่หนึ่งซึ่งมอบให้แก่กันและกัน  ที่ใต้ต้นไม้ของพ่อ..

ออฟไลน์ Hyenas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :กอด1:กน่ารักจัง

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1

Track 26 : รู้แล้วว่ารักคนอื่น.. ไม่คืนไม่ขอให้วุ่นวาย.. 
                                  รู้แล้วว่ารักคนใหม่.. ไม่เคยแย่งใจไปจากเขา..


ในครัวของ นกน้อยโภชนา เจ้าของร้านกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารบรรจุในกล่องไม้ญี่ปุ่น เพื่อให้คนที่จะต้องเดินทางนำไปทาน โดยมี ปุยเมฆและมะนาว ช่วยหั่นผักกับจัดเครื่องดื่มไว้ให้ ซึ่งตอนนี้ ทั้งสามคนมีความชิดเชื้อกลมเกลียว หลังจากที่ร่วมกันจัดบูธขายอาหารเมื่องานประจำปีที่ผ่านมา ยิ่งทำให้เรียนรู้นิสัยใจคอกันมากขึ้น แม้จะเป็นระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ทำให้ปุญเมฆและมะนาวต้องโทรหากันแทบทุกคืน และเมื่อว่าง ก็จะชวนกันมาขลุกอยู่ในร้านของเจ๊นกน้อยที่รู้สึกเอ็นดูหนุ่มสาวคู่นี้เสมือนเป็นญาติ 


วันนี้ พวกเขาอาสาทำข้าวกล่องให้กับโอ๊ค ที่จะย้ายไปอยู่คอนโดในกรุงเทพ เพื่อเตรียมฝึกงานช่วงต้นเดือนมีนาคม แม้เป็นเวลาอีกตั้งสองเดือนกว่า แต่โอ๊คก็อยากเตรียมตัวให้พร้อม แถมหลังปีใหม่ต้องกลับมาโชว์ตัวในฐานะขุนแผนแสนสะท้าน ๒๕๔๒ อีกหลายครั้ง  ซึ่งคิวงานยาวแม้ว่า มือกลองจะใช้ความเป็นสปอนเซอร์หลักกองประกวด จึงลดคิวงานได้หลายงาน  ผิดกับแจ้ ที่ดูสนุกกับการเดินสายโชว์ตัวในฐานะ ขุนช้างคนล่าสุด

“พี่โอ๊คจะกินหมดไหมคะเนี่ย น่ากินทุกอย่างเลย ที่คอนโด มีไมโครเวฟ หรือ เตาอุ่นบ้างเปล่าก็ไม่รู้เนอะ”

“หูย หนูมะนาวไม่รู้อะไร น้องโอ๊คแม้จะเป็นคนทานยาก แต่ถ้าเจอของถูกปาก รับรองได้ว่า ทานไม่เหลือ ตัวก็ผอม ไม่รู้เอาไปเก็บไว้ไหนหมด เจ๊ทำไก่ผัดซ้อสน้ำมันงาของโปรดไปให้ด้วย รับรองน้องโอ๊คจะแทบเลียกล่องข้าวเชียว”

“โอ๊คทานยากมากเลยครับพี่นกน้อย ไปไหนกันก็ต้องคอยแอบดูว่าเขาทานอะไรได้บ้าง แต่เขาไม่ค่อยเรื่องมากเท่าไหร่ แต่ผมรู้เลยว่า เขาเป็นคนทานยาก”

“นี่ดีขึ้นมากแล้วนะปุย สมัยตอนยังเด็ก พวกเราต้องให้พี่โอ๊คเลือกเมนูก่อนใคร เพราะว่า จะห้ามเผ็ดบ้าง ไม่ใส่ผักบ้าง ไม่กินหอมหัวใหญ่ ไม่ใส่พริกไทย ถ้าร้านไหนทำผิดมานี่ พี่โอ๊คไม่แตะเลย”

“อ้าว แล้วเวลาร้านทำผิดมาทำไงล่ะคะหนูมะนาว”

“ก็จะใครล่ะ พี่อาร์มจัดการเรียบน่ะสิคะ ขานั้น อะไรก็ทานหมดเกลี้ยง”

“จริงด้วย ฮ่าๆๆๆ”  ปุยหัวเราะเมื่อนึกถึงภาพอาร์มที่ทานได้ทุกอย่างจริงๆ






“เอาแบทแมนไปใช้ไหม” โอ๊คโยนกุญแจรถมอเตอร์ไซค์คันโปรดมาที่อาร์มผู้ซึ่งนั่งที่เตียงของโอ๊คมองห้องนอนที่ดูคล้ายจะว่างเปล่า เนื่องจากข้าวของหายพร่องตาไปเยอะเลย

“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวไอ้โรบินมันน้อยใจว่ะ” อาร์มส่งกุญแจรถคืนให้โอ๊ค รับไป

“ก็ไว้ตรงนี้ เผื่อเอาไปใช้ หรือ ให้ไอ้ดอยมันใช้ก็ได้ กูไม่หวงหรอก อย่าให้น้ำมันพร่องนะเว้ย”

“นี่มึงจะกลับมาช่วงปีใหม่ไหมวะ เสียดาย น่าจะไปสังขละด้วยกัน คุณตาไอ้ดอยคงคิดถึงมึงน่าดู”

“ขอบายล่ะ ไว้มีโอกาสคงได้ไป  งวดนี้ให้ข้าวใหม่ปลามันเขาไปหวานแหววแต๋วจ๋ากันเหอะว่ะ”

“กูก็ขอให้มันผ่าน คุณตา ไปให้ได้ว่ะ จะได้ราบรื่น คุณตานี่พ่อทุกสถาบัน แม้แต่พ่อไอ้ดอยก็คงไม่กล้า”

“มึงยืนขึ้นสิ”  โอ๊คบอกกับแฝดน้องคนคุ้นเคย

“อย่ามาทำซึ้งเชี่ยอะไร เดี๋ยวกูร้องไห้ตุ๊ดแตก”

“ขอกอดหน่อย”    แล้วสองหนุ่มก็สวมกอดกันอย่างคนผูกพัน โอ๊คเอามือลูบหลังอาร์มอย่างแผ่วเบา ไล้ขึ้นมาตบที่ท้ายทอย อาร์มซบหน้าลงบนไหล่มีน้ำตาซึมออกมา

“กูไม่อยู่ มึงก็ชวนพ่อแม่ไปกินข้าวเย็นให้บ่อยนะเว้ย พามะนาวไปด้วยก็ดี แล้วก็อย่าซ่ามาก กูคงซิ่งรถมาเคลียร์ให้ไม่ไหว”

“อืม”

“ออกกำลังกายด้วย แล้วก็กินให้มันน้อยๆนะเหล้าเนี่ย”

“อืม”

“อย่าให้ไอ้ดอยมันติดหวยมาก เดี๋ยวจะเหมือนตอนติดพนันบอลนะ”

“อืม”

โอ๊คเอามือดันตัวอาร์มออกมาตั้งตรง เอามือจับที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง ก่อนที่จะเอ่ยคำลากับอาร์ม ซึ่งเป็นช่วงเวลาของพี่น้องที่ไม่ค่อยได้แสดงออกกันบ่อยนัก เพราะทั้งคู่โตมาแบบเพื่อนกันมากกว่า แฝดพี่ที่ดูแลแฝดน้องเสมอมา  อาร์มตาแดง มีรอยน้ำตาไหลเต็มแก้มไปหมด โอ๊คเอามือไปเช็ดให้แล้วจับหน้าของอาร์มให้เงยขึ้น  เขามองตากัน

“กูเหมือนจะเห็นแก่ตัว ที่ทิ้งไปอย่างนี้ แต่ว่า กูเชื่อว่า มึงกำลังจะเติบโต และเป็นผู้ใหญ่ในวันที่กูไม่อยู่ ทำให้ได้นะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ น้องคนนี้ จะทำให้ได้ครับ.. พี่ชาย”





ที่ริมแม่น้ำรันตี มีชายหนุ่มหอบแกะตัวใหญ่ที่ผ่าเฉือนอาบเกลือและยัดเครื่องเทศไว้ มาขึ้นขึงกับลำไม่ไผ่ ย่างไฟอย่างช้าจนผิวแกะตัวใหญ่เกรียมหอม มีสาวน้อยใหญ่กำลังนำดอกไม้สีสวยในกระถางทางมะพร้าว มาวางเรียงรายตกแต่งสถานที่ในลานกว้าง ซึ่งถูกล้อมขอบอณาเขตด้วยแท่งคบเพลิงซึ่งยังไม่ผ่านการจุดไฟ  พวกเขาเตรียมตัวเพื่องานประจำปีที่กำลังจะมาถึง กับการเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งสายน้ำในช่วงกลางเดือนธันวาคมของทุกปี 

ในปีนี้ตรงกับวันเสาร์ มีเจ้าเรือนชะตาดาวพระเสาร์คุ้มครองในขวบปีหน้าทั้งปีตามความเชื่อของคนพื้นที่  และท่านบุตรแห่งสายน้ำรันตี ทำนายไว้ว่าเรือนพระเสาร์จะส่งผลต่อกุศลกรรมของทุกคน ผู้ที่มากความเพียรจะอยู่รอด ผู้ที่แบกรับหน้าที่ด้วยความสุจริตจะอยู่พ้น ความทุกข์ ความเศร้า ความหดหู่ ความเสียใจ เป็นแกนหลักของปีหน้า อุบัติภัยร้ายแรง จะปรารฏให้เห็น ความวุ่ยวายทางโลกสุดโกลาหล ดังนั้น การเฉลิมฉลองและบูชาเทพเจ้าแห่งแม่น้ำ จะนำมาซึ่งความอยู่รอดปลอดภัย ด้วยการอำนวยอวยพรของเทพแห่งแม่น้ำรันตี 




“พี่น้อยคะ มะนาวมีเรื่องอยากจะถามหน่อยค่ะ แต่ถ้าพี่น้อยไม่สะดวกที่จะตอบ ก็ไม่เป็นไรนะคะ”

“เรื่องของ แมว ใช่ไหม”

“โหว ไปไม่เป็นเลย เล่นเดาใจเก่งขนาดนี้”

“พี่ดูหนูซึมกันขนาดนี้  แม้แต่ ปุยเองก็เหอะ นี่โดนเรียกเข้าห้องเย็นไปเคลียร์กันแล้วใช่ไหม”

“ครับ แต่ว่า ก็ไม่ใช่ทุกประเด็น แต่เข้าใจเจตนาของเขา ผมก็รู้สึกดีขึ้น แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่ค้างคา”

“แล้วมะนาวอยากรู้อะไร” นกน้อยที่บรรจงเรียงผักอย่างสวยงามในกล่องใส่ผัก พร้อมแยกน้ำยำเผ็ดน้อยแบบที่โอ๊คชอบ หันไปถามมะนาวที่ตอนนี้ เม้มปากคล้ายอยากจะถามแต่มีความไม่กล้าอยู่ในที

“ผมว่า มะนาวก็อยากรู้เหมือนผม”

“อยากรู้อะไร เจ๊ให้ 5 นาทีทอง ว่ามาเลย”

“ผู้ชายของเรา จะนอกใจเราไปอีกทั้งชีวิตไหมคะ”

“เจ๊ก็ถามตัวเองแบบนั้นตอนรู้เรื่อง พี่แจ้กับแมวเหมือนกัน แต่ถ้าเราจมปรักกับมัน เราจะไปต่อไม่ได้”

“แต่มะนาวไม่อยากให้มันเกิดเรื่องอะไรแบบนี้อีก แล้วต้องมาคอยหึงหวง ไม่ใช่แค่กับพี่แมวหรอกค่ะ จะคนไหนๆก็ด้วย”

“ผมเอง ก็เลยคิดว่าจะไม่โฟกัสเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน ว่าจะมุ่งไปที่เรียนล่ะครับ ผมอยากทำงานมากเลยตอนนี้”

“เอาเป็นว่า เคสของพวกเรามันไม่ได้เลวร้ายนะ  เจ๊อยากให้พวกหนูคิดแบบนี้  คือ หนึ่ง ณ ขณะนั้น ที่เกิดเรื่องทั้งหมดทั้งปวง พวกเขา ไม่ได้ผูกพันกันใครในแบบมีพันธะ  แน่นอนว่า เป็นสิทธิของพวกผู้ชาย ที่เขาจะซุกซน หรือจะมีเล็กมีน้อยในที่ต่างๆ ตามประสาความคะนอง”

“แล้ว..” ปุยจะเอ่ยพูด แต่โดนนิ้วชี้เรียวสวยของนกน้อยมาแตะที่ปากให้หยุดก่อน

“ไม่เกี่ยวกับว่า เขาจะไปกับผู้หญิง หรือกะเทย อันนั้น มันความพอใจในวงเหล้า  แต่เราต้องดูว่า ถ้าเขามีพวกเราแล้ว เขายังจะมีซุกซนอีกไหม  ถ้ามี เราต้องตัดใจให้เด็ดขาด แต่ถ้าเขาอยู่ในโอวาท ไม่ได้ทำอะไรให้เราช้ำใจ ก็ต้องคิดว่า อดีต มันก็คืออดีตนะ อย่าเก็บมาทำร้ายเขาในวันที่พวกเขาไม่ผิด”

“มะนาวอยากให้ทุกคนไม่มีอดีตจังค่ะ”

“แต่มันก็ทำไม่ได้ไงหนู อดีตมันทำให้เราเจ็บ แต่มันจะทำให้เราแกร่ง”

“งั้นผมว่า พวกเราต้องบอกลาอดีต แล้วให้โอกาสคนของเราใช่ไหมครับ”

“เจ๊ก็ทำอยู่นี่ไง มันมีเรื่องให้ตอแยอีกมากในชีวิตคู่ อะไรข้ามได้ กระโดดก้าวข้ามไปเลย แต่ถ้าอะไรที่มันจะทำร้ายเราวันหน้า เราต้องมีสตินะ พวกเรา ยังสาว ยังสวย ยังดูดีกัน ก็มีแรง แต่ถ้าสักวัน มันหย่อนยาน มันไม่มีคนเหลียว เราก็ต้องอยู่กับตัวเองให้ได้ ไม่ก็เข้าวัดไปเลย”

“มะนาวชอบไปวัดค่ะ ไว้มะนาวจะไปเป็นเพื่อนพี่นกน้อยเองดีไหม”

“ไม่ดีค่ะหนู ยังไงเจ๊ก็ยังอยากมีผัวค่ะ”

“อ้าว.. ไหงเป็นงั้นซะล่ะคะ”





“น้าล่วงหน้าไปก่อนนี่จะไป ไซโคอะไรผมหรือเปล่าเนี่ย”

“โถ่ไอ้ดอย เอ็งคิดว่าข้าคุยกับพ่อข้าเกินห้าคำได้ไหมล่ะ ไม่กินหัวข้าก็ดีตายล่ะ”

“คุณตาใจดีจะตาย อย่ามาว่าท่านนะ” ดอยที่กำลังช่วยแจ้ยกกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดไม่ใหญ่นัก กับของฝากเต็มสองลัง ใส่เข้าที่ใต้ช่องเก็บสัมภาระ รถโดยสารประจำทาง กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ  หลานตัวดีมายืนส่งน้าชายขึ้นรถ โดยมีอาร์มที่ขับรถมาส่ง จอดรถรออยู่ที่หน้าชานชาลา

“แหม หลานรักอย่างเอ็งก็พูดได้นี่หว่า  แล้วพรุ่งนี้ก็ขับรถกันดีๆล่ะ หมอกมันเยอะ”

“แล้วนี่แม่จะไปพร้อมน้าเลยเปล่า”

“ไปสิ เขาให้ข้าไปลงที่ทองผาภูมิก่อน แล้วขึ้นไปสังขละด้วยกัน พ่อเอ็งก็ไปด้วย”

“อืม”

“ไม่อยากเจอพ่อเหรอ”

“ก็ไม่ใช่ไม่อยาก”

“หรือกลัวพ่อไม่ถูกใจลูกสะใภ้”

“จะเอาใช่ไหมน้า อย่าให้ผมได้แฉมั่งนะ”

“เออๆ ยอมๆๆ  ขับกันไปดีๆ นี่ก็ช่วยคุณโอเล่ดูร้านไปก่อนนะ ส่วนรถเช่า ข้าฝากเพื่อนไว้แล้ว เดี๋ยวมันแวะมาช่วยดู”

“น้าว่า.. ผมพาปุยไป มันจะเป็นเรื่องไหมครับ”

“หลานทูนหัวของน้า โลกจะแตกอยู่รอมร่อ อยากจะทำอะไร ก็ทำซะ”  แจ้กระโดดขึ้นรถไปแล้วตรงไปยังที่นั่งด้านหลังรถประจำทาง ที่มีคนนั่งอยู่กระจายทั่วรถ มีคนงานพม่านั่งอยู่แถวหลังสุดจนเต็ม  แจ้จึงเลือกไปนั่งชิดริมหน้าต่างตรงหน้าต่างตรงแถวถัดมา  แล้วโบกมือส่งสัญญาณให้ยอดดอยกลับไปได้แล้ว





“นี่กะจะให้กินไปสามวันเลยเหรอครับเนี่ย”

“พี่โอ๊ค นี่ขนาดมะนาวเบรกพี่นกน้อยไปสามเมนูแล้วนะคะ ถ้าห้ามไม่ทันคงมีปอเปี๊ยะทอด กับกุ้งพันอ้อย และอีกมากมายตามมา”

“โอ๊ย อยากกินกุ้งพันอ้อยฝีมือเจ๊นกน้อย ปอเปี๊ยะก็อร่อย อยากกินอ่ะ”

“เห็นม๊ะ มะนาวนี่ไม่น่าห้ามเจ๊เลย เอาไหมโอ๊คลูก เดี๋ยวเจ๊ไปทำเพิ่มให้”

“ไม่ๆๆ  ไม่ต้องแล้วครับ เดี๋ยวหลังปีใหม่ ก็อาจจะแวะกลับมา พอดีมีงานโชว์ตัวขุนแผน ต้องขอบคุณสปอนเซอร์ด้วย ขาดไม่ได้ เกรงใจห้างของมือกลอง เดี๋ยวกลายเป็นได้ตำแหน่ง แต่ไม่ปฏิบัติหน้าที่  แล้วผมแวะมากินนะเจ๊คนสวย”

“เดี๋ยวเจ๊จะทำเต้าหู้ทอดราดซ้อสชาเขียวที่น้องโอ๊คชอบให้ด้วย แต่บอกล่วงหน้านะ เจ๊จะไปเอาเต้าหู้เจ้าที่อร่อยที่สุดในตลาดมาให้เลย”

“ต้องโรยอะไรด้วยนะครับ จำได้หรือเปล่า”

“อัลมอนด์ สิคะ ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ”

“ขอบคุณครับ ที่ทำอะไรอร่อยให้กินเสมอ ขอกอดทีครับ” แล้วโอ๊คก็เอื้อมตัวไปกอดนกน้อยที่กำลังทำหน้าเขินสุดขีด แต่น้ำตาเริ่มไหลออกรอแล้ว   “ฝากดูแลไอ้ดอย ไอ้อาร์ม ด้วยนะเจ๊ ขอบคุณเจ๊มากนะครับ”

“กินให้เยอะนะน้องโอ๊ค ขาดเหลืออะไรขอให้บอก ทางนี้ไม่มีอะไรต้องห่วง เจ๊กับน้าแจ้จะดูแลทุกคนเอง”

“ขอมะนาวกอดลาด้วย กลับมาให้บ่อยนะพี่โอ๊ค กลุ่มเราไม่เคยจะอยู่ครบกันได้นานเลย”

“ลากันเพื่อกลับมาอยู่ไปตลอดไง อดใจนิดเดียวนะ”

“ค่ะ มะนาวจะรอ”

“ไอ้อาร์มมันทุ่มหัวใจให้มะนาวมาก.. มะนาวคงจะมาเป็นน้องสาวพี่โดยสมบูรณ์เร็วๆนี่นะ”

“ทุกวันนี้ พวกพี่ก็รักมะนาวเหมือนน้อง มะนาวก็รักพี่โอ๊คเหมือนพี่นะคะ”

“มา ขอกอดหน่อย”  โอ๊คเอื้อมตัวรั้งมะนาวที่มีน้ำตาไหลรินมากอดอย่างเอ็นดู  โดยมีนกน้อยที่ยืนดูอยู่ เอากระดาษทิชชู่มายืนซับน้ำตาที่พรั่งพรูไม่แพ้กัน






“นี่เห็นว่าเดินสายร่ำลาอย่างกับมึงจะไปตาย ไอ้โอ๊ค”

“เชี่ยย มึงสิตายก่อนกู ไอ้ดอย”

“แล้วนี่คือ กูจะเจอมึงอีกทีก็หลังปีใหม่เลยใช่ไหม”

“ถ้าโลกไม่แตกซะก่อนนะ” โอ๊คหันไปมองปุยที่เดินมาสมทบเขากับยอดดอย พวกเขากำลังยืนคุยกันอยู่ที่ลานจอดรถในพื้นที่ของ คฤหาสน์หลังงาม โดยโอ๊คเตรียมของขึ้นรถแอคคอร์ดสีดำไว้หมดแล้ว ดอยที่ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่ง มีปุยเมฆซ้อนท้ายมาล่ำลา เพราะเมื่อตอนเย็นตอนที่ โอ๊คบอกลาเจ๊นกน้อยกับมะนาว ปุยเมฆก็หายตัวไป จนโอ๊คก็สงสัย

“เราไปหานี่มาให้โอ๊ค”  ปุยยื่นเทปเพลงที่อัดไว้หลายม้วนใส่ในกล่องสวยสีขาว “เอาไว้ฟังตอนคิดถึงกัน”

“คงต้องฟังแล้วฟังอีกสินะ”โอ๊คหันไปทำหน้าทะเล้นใส่ดอย

“น้อยๆหน่อย กูยืนอยู่นี่”

“แหม.. กูจะไปแล้ว หมดเสี้ยนหนามแล้วนี่ อย่าได้กร่างไป อย่าเผลอนะมึง”

“ดูพูดกันเข้าสิ.. มานี่ ขอกอดหน่อย” ปุยบอกโอ๊คให้เดินมากอดตัวเอง

“ได้ไหม” โอ๊คหันไปถามดอย ดอยยิ้มพยักหน้าตอบ  เขาสวมกอดปุยไว้แน่น โอบปุยไว้ในอ้อมอก

“คิดถึงเราบ้างนะ ปุยเมฆคนเก่ง”

“เราต้องเหงาแน่เลยโอ๊ค โทรหาเราบ้างนะ” ปุยที่มีน้ำตาซึมไหลจนเห็นได้ชัด เสียงสั่นเครือ

“จะโทรจนรำคาญเลยล่ะ” โอ๊คคลายกอดหนุ่มร่างบางตัวขาวที่ตาแดงก่ำ

“เราขอหอมแก้มโอ๊คทีนึงนะดอย”  ปุยหันหน้าไปขอร้องยอดดอย  ยอดดอยยังคงส่งยิ้มให้ พยักหน้าอีกครั้งเป็นเชิงอนุญาต
ปุยเขย่งเท้าหอมแก้มซ้ายของโอ๊ค แล้วกอดโอ๊คคาไว้อย่างนั้น ก่อนจะหันไปพูดกับยอดดอย “ขอบคุณที่ไว้ใจเรานะดอย”

ยอดดอยเดินเข้ามาหาทั้งคู่ เอามือโอบทั้งคู่ไว้ในอ้อมกอด “ไม่มากเท่าที่ไว้ใจไอ้โอ๊ค.. โอ๊ค.. มึงคือเพื่อนที่กูรักที่สุดแล้ว”
ดอยบรรจงกดจุมพิตลงที่หน้าผากของโอ๊ค แล้วหันไปจูบที่แก้มของปุยเมฆ เขาสามคนกอดกัน น้ำตาริน ปุยสะอื้นร่ำไห้ เขากอดกันอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ จนได้เวลาโอ๊คต้องลาจากไป




“ปุยกับมะนาวเข้ามาในจังหวะที่เหมาะสม  เรากับอาร์ม ไม่มีโอ๊คคงเหงาแย่  พวกเรามีกันแค่สามคนมานานเหลือเกิน จนแทบจำไม่ได้ว่าพวกเราปล่อยให้คนอื่นเข้ามาในชีวิตพวกเราบ้างไหม”

“ดอยครับ”

“ครับ”

“โอ๊คฝากนายไว้กับเรา.. เราจะดูแลนายเอง”

“โอ๊คมันก็ฝากปุยไว้กับเราเหมือนกัน  เราจะดูแลกันและกันนะครับ”

“เราคงคิดถึงโอ๊คเนอะ”

“เราก็เหมือนกัน ชีวิตเราก็มีแค่มันกับไอ้อาร์ม”

“แต่ที่เขาไป มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาใช่ไหม”

“เป็นก้าวใหญ่ของมันเลยล่ะ ถึงจะใจหาย แต่คิดถึงความสุขที่รอมันอยู่ เราก็อดตื่นเต้นแทนมันไม่ได้”

“ถ้าอย่างนั้น วันนี้ จะไม่ใช่วันที่มาเพื่อลา”

“อืม มาเพื่อบอกโอ๊ค ว่าพวกเรา รอวันที่มันกลับมา”


ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Track 27 : ชีวิต..ไม่พ้น ขึ้นลงก็แค่นั้น.. อยากจะขึ้นอย่างนั้นให้นานนาน..

รถที่แล่นด้วยความเร็วต่ำ ราวกับต้องการจะเก็บเกี่ยวความงดงามของทิวทัศน์ถนนข้างทางพกพาไปด้วย อาร์มท่องรถคัมรี่สีเขียวคันโปรดไปบนถนนที่ว่างโล่ง มีรถสัญจรสวนไปมาไม่มากนัก ในขณะที่ดอย กับ มะนาว ผู้ที่โดยสารมาด้วยต่างทอดตัวลงบนเบาะหลับใหลไปด้วยความเพลีย เพราะพวกเขาเพิ่งขึ้นมาจากบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งเป็นที่ท่องเที่ยวจุดแวะ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังบ้านของยอดดอย  อากาศที่เย็น กับ น้ำร้อนจัด ทำให้มะนาว กับ ดอย ที่พักผ่อนมาน้อยเมื่อคืน เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ต่างจากอาร์มที่นอกเอาแรงมาเต็มพิกัดเมื่อคืน อาร์มเปิดเพลงคลอแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสองคนที่กำลังพักผ่อน  “ I will be the sun in your sky.. I will light your way for all time..”

“ใกล้ถึงแล้วเหรอคะพี่อาร์ม” มะนาวที่งัวเงียขึ้นมาหันไปถามโชเฟอร์

“อืม อีกพักเดียว นอนต่อนะ เดี๋ยวใกล้ถึงแล้วปลุก จะลุกขึ้นมาแต่งหน้าใช่ไหม รู้ทันนะ”

“พี่อาร์มนี่ก็ ฮ่าๆ อย่าลืมปลุกนะ เดี๋ยวไม่สวย”

“ครับคนดี นอนต่อนะ”  อาร์มเอื้อมมือไปหรี่เสียงเพลงลงอีกนิด เพื่อให้มะนาวได้เอนตัวหลับต่ออย่างสบายใจ

“ I will cross the ocean for you.. I will go and bring you the moon..”  อาร์มฮัมเพลงเบาก่อนจะเอื้อมมือที่เชนเกียร์ จากตัว D2 เมื่อทางขึ้นเขา เปลี่ยนไปเป็น D ยังทางเรียบ แล้วก็เอื้อมไปกุมมือมะนาวไว้

“Promise You.. For you I Will..”



บนพื้นเรียบของที่ราบข้างแม่น้ำรันตี มีผ้าดิบย้อมสีแดงที่ย้อมจากฝาง มีรูปวงกลม และ สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม สีน้ำเงินที่ใช้หมึกสกัดจากใบห้อมปรากฏอยู่บนผ้า ถูกแขวนเรียงรายกั้นเป็นอณาเขต ผู้หญิงหลายคนกำลังช่วยกันตรงแคร่ไม้ที่เป็นครัวเปิด หั่นผักและเนื้อสัตว์ เพื่อเตรียมกับข้าว โดยมีผู้ชาย ยกตัวแกะที่บูชายันต์ไว้เมื่อเช้า มาแร่แบ่งเป็นก้อนให้ผู้หญิงได้ปรุงอาหาร  แจ้ที่กำลังช่วยกันชักธงสามเหลี่ยมสีแดงขึ้นขนยอดไม้ลวกขนาดยาว ปักไว้ที่ศูนย์กลาง เงาของธงพาดทับกองไฟที่ยังไม่ได้จุด ปลายธง ณ เวลาขึ้นจุดสูงสุดของยอดนั้น เงาจะอยู่กับตรงกองไฟพอดี  ผู้เฒ่าประจำหมู่บ้าน เดินมาโรยผงใบไม้แห้งที่ตากแดดไว้จนกรอบ ขยำเป็นใบละเอียด โรยลงไป 

“แจ้.. เองจุดไฟสิ”

“แต่พ่อ... ผมยังไม่พร้อม”

“ก่อนที่เงาจะลาลับกองกำเนิดแห่งอัคคี เอ็งมีเวลาแค่เพียงอึดใจ”

“ไม่ครับ”  ก่อนแจ้จะเดินถอยหลังหนึ่งก้าว  ผู้เฒ่าโยนหินที่ชุบน้ำมันก๊าดไว้จนท่วมผูกกับเชือกหน่วงเป็นลูกตุ้มไว้

“งั้นเอ็งก็ไม่คู่ควร ไม่ว่าจะวันนี้ หรือวันไหน”  แล้วหินก็ลุกเป็นไฟ ก่อนจะถูกโยนลงไปในกองก่อไฟ จนเกิดเป็นเปลวไฟลุก




“ทำไมมากันช้าจัง อ้าวแล้วทำไมเสื้อผ้ายับยู่ยี่ เปียกกันขนาดนี้ อ้อ.. แวะเล่นน้ำร้อนกันมาล่ะสิ” ชายวันกลางคนส่ายหน้า พร้อมหอบของจากหน้าบ้านเรือนไม้ชั้นเดียวขนาดใหญ่ บนพื้นที่กว้างขวางสุดสายตา ไม่มีรั้ว แต่มีต้นไม้ใหญ่ลูกเรียงราย กั้นไว้เป็นอณาบริเวณ     

“พอดี ออกจากเมืองกาญจน์กันช้านะพ่อ เดี๋ยวผมช่วยยก” ดอยเอาห่อข้าวหลาม และหน่อไม้ไผ่ตงนอกฤดูกาล มีของกิน ในถุงพลาสติกอีกจำนวนหนึ่ง อาร์มกับมะนาวที่ยกมือไหว้พ่อของยอดดอย แล้วรีบเข้าไปช่วยหิ้วเข้าไปไว้ที่ท้ายรถ

“แล้วนี่แม่ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วเหรอพ่อ”

“เออ.. ไปกับไอ้แจ้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว รอมึงนี่แหล่ะ ช้าเหลือเกิน ไปกันได้แล้ว ใครจะเข้าห้องน้ำห้องท่าไหม” ชายร่างผอม ตัวสูงหันไปถามมะนาว กับอาร์มที่ทำหน้าเหวอยืนอยู่ตรงประตูรถ  อาร์มส่ายหน้า พร้อมเปิดประตูให้พ่อของดอยนั่งด้านหน้าคู่กับตน  มะนาวย้ายไปนั่งข้างหลังคู่กับดอยโดยไม่ต้องนัดหมาย



“โอะฮาโย โกไซอิมัส”

“กระแดะ” โอเล่เงยหน้าจากคอมพิวเตอร์ทำปากเบะ เมื่อเห็นผู้มาเยือน

“แหม่ เจอหน้าก็ด่าเลยนะเธอ” กล้าทำหน้าเซ็ง

“แล้วนี่ไม่มีเรียนหรือไง”

“เมื่อเช้าต้องไปโชว์ตัว ก็แหม่ ทั้งขุนช้าง ทั้งขุนแผนเบี้ยวงาน ฝั่งผู้ชาย นี่เหลือนายนพมาศน้อยคนเดียว ขืนหยุดไปไม่ร่วมงาน แล้วสาวๆ จะกรี้ดใครละครับ”

“หลงตัวเองว่ะ ตัวก็เตี้ย หมาเลียตูดถึงอย่างนี้”

“พูดกับเราดีๆบ้างได้เปล่าครับ”

“ก็อย่าทำหน้ากวนตีนได้ป๊ะล่ะ”

“แล้วถ้าทำหน้าแบบนี้ล่ะ” กล้ายิ้มตาหยีเก๊กหล่อให้โอเล่ดู จนโอเล่เงียบไป

“ประสาท”





“แล้วนี่เมียเองเหรอ”

“เฮ้ยยย ไม่ใช่นะพ่อ นี่เพื่อน น้องมะนาวอยู่กลุ่มเดียวกัน เคยเจอกับแม่แล้ว”

“สวยขนาดนี้มึงไม่จีบวะ เอ่อ.. ขอโทษทีนะหนู ลูกชายลุงมันโง่”

“พอดี มะนาวคบกับผมน่ะครับ” อาร์มชิงแทรก เพื่อระงับความอึดอัดบรรยากาศบนรถ

“อ่อ แล้วก็ไม่บอก แล้วนี่ พี่ชายฝาแฝดเอ็งไม่มาด้วยเหรอ”

“ไม่มาครับ พอดีเขาไปฝึกงาน และเตรียมช่วยงานป๊า”

“เออดี เอาการเอางานดีไอ้คนพี่เนี่ย”

“พ่อกินอะไรมายัง แวะกินอะไรก่อนไหม ที่หน้าน้ำตกเกริงกะเวียเดี๋ยวนี้ก็ร้านเยอะนะพ่อ”

“ทำมารู้ดี นานปีทีหนมึงจะกลับบ้าน แหม่..  เอ่อ แม่หนู นี่ลูกชายฉันมันติดสาวที่ตัวเมืองหรือไง ถึงไม่กลับบ้านบ้างเลย”

“คุณพ่อถามพี่ดอยดีกว่าค่ะ มะนาวเรียนทั้งวันเลย ไม่ค่อยทราบว่าพี่ดอยคบหาอยู่กับใคร”

“เดี๋ยวมีก็จะบอกเองน่ะพ่อ” ดอยตัดบทด้วยน้ำเสียงเซ็ง

“หึ หน้ามึงก็หล่อ บ้านเราก็มีกินมีใช้ ถ้ามึงไม่เกเรจนคนหนี ก็คงเป็นอย่างที่กูแอบได้ยินไอ้แจ้คุยกับแม่มึงน่ะ”

“น้าเขาเล่าอะไรล่ะ”

“หึ อย่าให้กูพูดเลย บัดสี”





ที่ลานสนามกว้าง มีแท่นปูนหล่อทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ทุกแท่นมีหินอ่อนสีดำสลักชื่อภาษาอังกฤษ มีไม้กางเขนขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ชาวต่างชาติจำนวนมากเดินถ่ายรูป มีชาวไทยที่มากับคณะทัวร์เดินถ่ายรูปกับหลุมศพของทหารเชลยศึกสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

“นี่โรแมนติกมากเลยเนอะ พามาเดทที่หลุมศพเนี่ย”

“ขี้ตู่จังคนสวย ใครพามาเดท”

“ไอ้..” โอเล่หยุดพูดไปด้วยสีหน้าทั้งโมโห ทั้งอาย แต่ก็ไม่รู้จะไปต่อด้วยคำพูดอะไร จึงแก้เกี้ยวด้วยการหันไปเดินดูอักษรที่ปรากฏบนแท่นหลุมศพแทน

“พามาดูอะไรนี่ มาเร็ว” กล้าจูงมือโอเล่ที่เดินตามมาทางแถวในสุดของแท่นป้ายชื่อหลุมศพ ปรากฏชื่อ Ton Van de Leen กล้าหยุดตรงหน้า รอให้โอเล่อ่านคำรำลึกจากลูกหลานผู้เสียชีวิตที่ปรากฏไว้จนจบ

“ที่จะบอกคืออะไร”

“คุณทอน ที่เราเรียกเขาว่า ลุงต้น เนี่ย คือเพื่อนสนิทของป๊ะป๋าเราเอง ถ้าท่านอยู่ ก็อายุเจียนจะหกสิบแล้ว”

“แล้ว”

“ท่านคือผู้ที่ผลักดันป๋าเรา และร่วมลงทุนในธุรกิจของบ้านเรา”

“...”

“บ้านเราไม่ได้รวยจากธุรกิจมืด แบบที่เขาลือกัน.. ป๋าเราแค่ได้เพื่อนที่ดี”

“แล้วทำไมไม่เล่าให้คนอื่นฟังล่ะ คนทั่วจังหวัดก็เข้าใจเป็นอย่างอื่น..”

“ป๋าไม่ได้คิดแก้ข่าวหรอก ก็ไม่สนใจใครจะว่าไง  เราเองก็แค่ห่วงความรู้สึกเฉพาะคนที่แคร์..  เราอยากแค่ให้เธอได้รู้”




อาหารปรุงกันจนเสร็จหอมกรุ่นกลิ่นโชยไปทั่ว นอกจากแพะที่เป็นอาหารหลัก ปรุงด้วยสมุนไพรและน้ำราดสีเกรวี่ข้น มีผักลวกหั่นวางเรียงรอบถาดไม้ขนาดใหญ่ล้อมตัวแกะที่เกรียมสุก  ยังมีปลาแม่น้ำ กุ้งแม่น้ำที่เตรียมเผาขณะงานสังสรรค์ซึ่งกำลังจะเริ่มในพลบค่ำ  มีไก่ที่ชาวพื้นเมืองเรียกว่า “ชอ” ตุ๋นในน้ำสีน้ำตาลคล้ายพะโล้ แต่หอมโชยกว่า 

“นี่พวกเจ้าดอยใกล้ถึงหรือยังล่ะ” ชายชราร่างสูงใหญ่ เปลื้องท่อนบน ห่มด้วยผ้าหนังสัตว์ย้อมสีแดงพันสะโพก หยิบผ้าผืนหนาห่อตัวสีแดงมาคลุมไหล่และตัวไว้จขนคล้ายชุดทหารโบราณ

“ใกล้แล้วครับ พอดีเขาแวะโรงแรมที่ตลาด ก็เพื่อนเขามาถึงตั้งแต่เช้าคนนึง”

“อ้าว แล้วไม่ได้นอนที่บ้านเรากันเหรอ”

“เขามากับวิทยาลัยน่ะพ่อ เขาเรียนการท่องเที่ยว”

“ไม่อย่างนั้น ดอยมันคงไม่มาเยี่ยมข้าสินะ ที่แท้ก็ตามมาเฝ้าเพื่อนมันนี่เอง”

“พ่อก็ มันก็ลาเรียนมาให้ตรงกันนั่นแหล่ะ เดินทางก็ตั้งไกล ก็คงต้องวางแผนกันเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว”

“แล้วเอ็งเนี่ย ไม่หอบเมียมาด้วยหรือไง”

“ฉันยังไม่มีหรอกเมียน่ะ”

“งั้นเอ็งก็ยังไม่ใช่ คนของเผ่าเราอยู่ดี ลูกผู้ชาย เราต้องกล้าทำกล้ารับ”




ด้านหน้าล็อบบี้โรงแรมแนวรีสอร์ต จุบบรรจบแม่น้ำสามสาย จนเป็นเป็นมหาธารา สายหนึ่งสีแกมแดง สายหนึ่งก็อมเขียวมรกต อีกสายเป็นสีฟ้าเข้ม หมุนรวมกันกลายเป็นทะเลสาบสีน้ำเงินเข้มขนาดใหญ่ มีแสงอาทิตย์แดงดวงใหญ่ใกล้จะลับขอบฟ้าสะท้อนระยิบที่ผิวน้ำ

“เดี๋ยวค่ำแวะมารับ ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ นะ ริมแม่น้ำหนาวมาก ห้ามใส่สั้นอย่างนี้นะ”  ยอดดอย ดุปุยเมฆที่นุ่งกางเกงขาสั้น จนมองเห็นโคนขาขาวเนียน

“ก็เดินเก็บแบบสอบถามทั้งวันเลยวันนี้ ใส่ขาสั้นมันสบายอ่ะ นี่ต้องสรุปข้อมูลและทำตารางส่งอาจารย์ค่ำนี้เลย แต่ของเราเสร็จแล้ว ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพวกโหน่ง”

“แล้วคืนนี้นอนค้างข้างนอกได้ไหม”

“คืนนี้น่าจะไม่ได้ แต่กลับดึกได้ พรุ่งนี้ตอนกลับ เราบอกจอยแล้วว่าเราจะอยู่ต่อ เดี๋ยวจอยเช็คชื่อแทนให้”

“อืม ค้างอีกสักสองวันเนอะ”

“ได้ ยังไม่ได้เที่ยวทั่วเลย เดินทางมาไกลมาก โค้งก็เยอะ มาทีต้องเอาให้คุ้ม”

“แล้วเมื่อกี้ตอนไปสวัสดีพ่อ พ่อพูดอะไรมั่งล่ะ”

“ก็ไม่พูดอะไร เห็นหัวเราะเบาๆว่า ฮึ ทำไมเหรอ”

“เปล่าไม่มีอะไรหรอก ไปนะ รีบกิน ไก่ทอดร้านนี้อร่อยมาก ขนมจีนน้ำยาหัวปลีเจ้านี้ก็อร่อยมาก ไม่เผ็ดเท่าไหร่ ปุยน่าจะชอบ น้ำยากะเหรี่ยงนี่ไม่ต้องกลัว ไม่อ้วนหรอก”

“อืม ไปเหอะ พ่อทำหน้าดุใหญ่แล้ว”  ปุยเหลือบไปเห็นพ่อของดอยที่นั่งบนรถทำหน้าบอกบุญไม่รับ อาร์มกับมะนาวโบกมือลาเป็นสัญญาณว่าเดี๋ยวเจอกันตอนค่ำ




หน้าตึกขนาดใหญ่ขนาดสี่คูหา ความสูงสามชั้นครึ่ง ตกแต่งกึ่งจีน แต่มีชายคาที่แต่งเชิงชายด้วยไม้ฉลุสไตล์โคโลเนียลแบบตะวันตก หลังคามีรอยทาสีใหม่เป็นสีน้ำเงินด้วยกระเบื้องแผ่นเรียบดูโอ่อ่า ข่มบ้านทุกหลังที่เป็นชั้นเดียวจนหมดสิ้น ถนนแม้เป็นถนนซอย แต่เชื่อมระหว่างถนนหลักสองสายเข้าไว้ด้วยกัน คนสัญจรผ่านไปมาเยอะเสียจนมีร้านขายของชำเรียงราย มีที่ทำการไปรษณีย์ และร้านอาหารหลายร้าน

“จะอยู่นานหรือเปล่า ฉันห่วงร้านคอม”

“ก็อยู่เท่าที่อยากอยู่สิครับ โอเล่คนสวย”

“ถ้าเรียกแบบนี้อีกจะเตะปากคอยดู”

“ครับๆๆ ขอโทษ ไปเหอะ เข้าบ้านกัน”

“นายไม่จำเป็นต้องพามาซะหน่อย พามาทำไมก็ไม่รู้”

“ก็อยากจะพามารู้จักที่บ้านไว้ บ้านเราทำอาหารอร่อยไม่แพ้เจ๊นกน้อยหรอกนะ” แล้วกล้าก็คล้องแขนโอเล่ลากเข้าชายคาตึกที่ด้านในตกแต่งไว้อย่างโอ่อ่า ดูใหม่เอี่ยมผิดกับภายนอกบ้านที่คงลักษณะของบ้านตึกสไตล์โบราณไว้เป็นอย่างดี เฟอร์นิเจอร์แทบทุกชิ้นทำจากไม้เสียส่วนใหญ่ มีบุนวมด้วยผ้าลายหลุยส์ในบางชิ้น กระจกตู้โชว์เล่นสีคล้ายกระจกโบสถ์ 

“ป๋า ไม่ไปไหนเหรอวันนี้ ซื้อเกาลัดเจ้าเจ๊เกียวมาฝาก ร้อนๆอยู่เลย  อ้าว มีแขก  สวัสดีครับ” กล้ายกมือไหว้เพื่อนของเตี่ยที่กำลังนั่งเล่นไพ่ด้วยกันเพียงสองคน

“สวัสดีพ่อหนู” ชายเพื่อนของพ่อรับไหว้อย่างเอ็นดู “อ้าว โอเล่ มากับเขาด้วยเหรอ”

“เตี่ย !!”





ตะวันเริ่มชิงพลบ ลมเย็นเยือกพัดเอื่อยบริเวณชายแม่น้ำ เสียงร้องรำทำเพลงเริ่มดังขึ้น มีการจุดคบไฟเจิดจ้า เด็กน้อยใหญ่ ออกมาเล่นเต้นรำกันสนุกสนาน หญิงชาวเผ่าตัวอ้วนใหญ่ในชุดกะเหรี่ยงสีเขียวปักลาย ยืนอยู่บนแท่นตอไม้ เปล่งเสียงร้อง หวานแต่ทรงพลังดังไปทั่วรับผู้ที่เพิ่งลงรถมาเยือน   อาร์มกับดอยที่ไปรับปุยเมฆมาร่วมงาน ลงมาสวัสดีทักทายญาติของดอยจนครบ ก่อนที่ยอดดอยจะพาปุยมายังคนสุดท้าย ที่เพิ่งเสร็จจากการยืนทอดขนมทองโย๊ะอยู่ที่หน้ากระทะใบใหญ่จนเหงื่อท่วม โดยมีมะนาวที่เป็นลูกมือมาได้สักพัก ส่งผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นส่งให้เช็ดหน้า

“แม่ครับ นี่ปุย” ดอยเผยมือไปทางชายหนุ่มร่างผอมตัวขาว ที่แม้แต่อาทิตย์จะเริ่มลับขอบฟ้า แต่ผิวของปุยยังดูสุกใส เด่นโดดอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ร้องเล่นเต้นรำ

“สวัสดีครับคุณแม่” ปุยไหว้แม่ของดอยอย่างอ่อนน้อม เขาแปลกใจที่แม่ของยอดดอยยังดูสาวมาก และสวยมาก

“สวัสดีจ๊ะลูกปุย พาเพื่อนไปนั่งก่อนสิ เดี๋ยว พือพือ.. เอ๊ย คุณตา จะเริ่มกล่าวคำสรรเสริญเทพแห่งน้ำแล้ว เดี๋ยวเราค่อยสนุกกัน แม่จะไปแต่งหน้าก่อน เดี๋ยวไม่สวย”  แล้วแม่ของดอยก็รีบคว้ากระเป๋าที่วางอยู่บนแคร่เดินไปทางห้องน้ำซึ่งอยู่ไกลพอสมควร 

“คุณแม่ตลกดีเนอะ”

“แต่อย่าให้ร้ายนะ ใครก็เอาไม่อยู่เลยล่ะ” ดอยยิ้มมีเลศนัยให้ปุย


ตะวันที่ลับฟ้าไปจนหมดแล้ว ความมืดปกคลุมอย่างรวดเร็วใต้แผ่นฟ้า คงมีแต่ลุ่มแม่น้ำรันตี ที่มีตลิ่งสุกสกาว เปลวไฟจากคบเพลิงส่องสว่าง ไม่รวมกองไฟขนาดใหญ่ที่จุดไว้พร้อมฟืนสำรองอีกกองเบ่อเร้อ  เด็กน้อยที่เต้นกันจนเพลียนั่งฟังนิทานจาก “พีพี” หรือย่าทวดประจำหมู่บ้าน ที่บอกเล่าเก้าสิบเชิงสอนผสานบทเรียนนิทาน  มี “พาตี่” หรือชายแก่ประจำเผ่า คอยผูกข้อมือเรียกขวัญที่หนีหายไประหว่างปีคืนแก่ชายหนุ่ม  แล้วก็ยังมี “เม่อก่าห์” หรือสาวสูงอายุ เอาหวีสับผมแตะแป้งทำสัญลักษณ์ดอกจันที่แก้มหญิงสาว และชายหนุ่มที่เป็นคนโสด โดยกลุ่มของดอย ก็โดนแต่งแก้มกันทุกคน  มะนาวยิ่งตกเป็นเป้าสายตาชายหนุ่มในหมู่บ้าน  สาวน้อยใหญ่ก็เหล่มองอาร์มด้วยความชื่นชม  ปุยเมฆเองที่ตัวติดกับดอยไม่ห่าง ก็นั่งชมวัฒนธรรมหมู่บ้านผ่านการแสดงของ “แว่จ๊อ และ แว่หน่อ” ที่คอยสรรหาการร้องรำทำเพลงมาฝากผู้ร่วมงาน ด้วยความสนุก ซึ่งก็ทำให้ปุยเมฆผ่อนคลายอารมณ์ลงมาบ้าง เพราะว่าเขามีความกังวลกับท่าทีของคุณอนันต์ พ่อของยอดดอย ที่เหมือนจะไม่ค่อยปลื้มเขาเท่าไหร่




“เตี่ย งั้นผมกลับก่อนแล้ว จะไปดูร้าน” โอเล่ที่นั่งคุยกับเตี่ยได้สักพักขอตัว หลังจากที่หายตกใจเมื่อเห็นเตี่ยของตัวเองนั่งอยู่กับป๋าของกล้า

“เดี๋ยวให้ไอ้หลง ไปดูให้ พลทหารพ่อเยอะแยะ ไม่ต้องไปหรอก อยู่เป็นเพื่อนลูกชายคุณณรงค์ไปก่อน นานๆก็หยุดที อย่าทำงานมากลูก ใช้ชีวิตบ้าง”

“พูดถูกใจเลยครับคุณอา ผมนี่คอยบอกให้เขาดูแลสุขภาพ และให้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง นี่นั่งกับคอมทั้งวันจนแว่นจะหนาเป็นนิ้วแล้วครับ โอ๊ยยย” กล้าหยุดพล่ามเมื่อโดนโอเล่เอาศอกกระทุ้งใส่พุงน้อยๆ

“เออๆ ดีๆ น้าฝากด้วย ท่าจะให้ดี เรียกเตี่ย ก็ได้นะ ลูกคุณณรงค์ ก็เหมือนลูกเตี่ย”

“ได้ครับเตี่ย ไปข้างบนกันดีกว่า เรามีอะไรให้ดู งั้นไปนะครับ” กล้าลากแขนโอเล่ขึ้นบันไดไปยังชั้นบน โดยมีเสียงหัวเราะของชายสูงอายุสองคนดังลอยตามมา




“ปา โม่ แว่ บื่อ..  พ่อแม่พี่น้อง ชาวเผ่าทุกท่าน..” ชายสูงอายุน่าเกรงขามในห่อผ้าหนาสีแดง ที่บัดนี้ถูกสลัดออก เผยให้เห็นเพียงร่างที่มีแค่ผ้าเตี่ยวหนังคลุมสะโพก  “ตัมราเมียะ”ผู้เฒ่าบุตรแห่งสายน้ำรันตี สวดคาถาเป็นภาษาที่ปุยเมฆฟังไม่ออก เขาเองยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณตาของยอดดอยเท่าไหร่ เพียงแค่เข้าไปสวัสดี คุณตาไม่ได้รับไหว้ แค่พยักหน้า แล้วก็ให้ชาวบ้านเอาน้ำผสมฝางออกสีชมพูเรื่อมาดื่ม แล้วล้างมือล้างเท้าด้วยน้ำในกะละมังไม้  เปลี่ยนชุดเป็นชุดพื้นเมืองที่แม่ของยอดดอยเตรียมไว้ให้พอดีตัว มีเพียงอาร์มที่ขากางเกงลอยเล็กน้อยเพราะกางเกงสั้นไป จนแม่ของดอยหัวเราะดังลั่นเมื่อเห็นข้อเท้าอาร์มโผล่ออกมาเหลือเป็นคืบ 

คบเพลิงที่ลุกโชนไหวเล็กน้อยด้วยแรงลมก่อนหน้านี้ จู่แล้วลมทั้งหมดก็เงียบสงบ แต่สายน้ำกลับเคลื่อนไหวตัวทั้งที่ลมนิ่ง ท่านตัมราเมียะ สาดกำยานผสมกับเม็ดดินบางอย่างใส่ไปในกองไฟ ทำให้เปลวเพลิงที่เป็นสีส้มลุกฟู่กลายเป็นสีแดงสว่าง  เป็นสัญญาณว่ากำลังจะเข้าสู่พิธีสำคัญ พิธีกรรมที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อตอนฟ้าสาง ยามตะวันขึ้น ที่บูชาด้วยแพะตัวเป็น แล้วแจ้ก็เป็นคนปาดที่ลำคอจนแพะดิ้นดับชีวาไป ก่อนจะบูชายันต์ไว้จนคล้อยบ่าย  แต่บัดนี้ พิธีกรรมมีเพียงอาหารที่ปรุงแล้ว
ธูปเทียนหอมที่จุดด้วยไฟจากคบเพลิงอันตรงกลางซึ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาคบเพลิงทั้งหมด ถูกส่งจากชายสูงอายุอันดับที่สอง มาให้ผู้เฒ่าตัวราเมียะถือไว้  ผู้หญิงที่อุ้มลูกเอามือปิดตาเด็ก  ดอยบอกให้อาร์มเอามือปิดตามะนาว มีเพียงแม่ของยอดดอยเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่มองพิธีการ  ลมเริ่มพัดกรรโชกขึ้นมาในทันใด ไฟในคบเพลิงสั่นไหว ผู้เฒ่ากู่ร้องด้วยเสียงอันดัง “เจ๊อปา” แล้วชายชราก็สลัดผ้าเตี่ยวออกเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าก่อนจะเดินลงไปที่ตลิ่ง หยิบไม้เท้าที่วางรอไว้ เอามาจุ่มที่น้ำ ปลาน้อยใหญ่กระโดดขึ้นมาเล่นบนผิวน้ำตอบรับ ชายแก่ที่รูปร่างยังคงเต็มไปด้วยมัดกล้ามแต่คงไว้ซึ่งรอยแผลมากมายเดินลงน้ำจนผิวแม่น้ำมิดศีรษะไป..



“นี่ เราให้” กล้าส่งโมเดลขนาดเล็ก เป็นตัวเด็กชายใส่เสื้อสีเหลืองกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน แว่นตากลมโต ส่งให้คนที่นั่งบนเตียงของเขา ผู้ที่กำลังใช้สายตาสำรวจไปทั่วห้องนอนขนาดใหญ่ที่ไม่มีของแต่งอะไรมาก มีเพียงรูปของ ลิฟ ไทเลอร์ นักแสดงสาววัยรุ่นชื่อดัง กับ โปสการ์ดที่แปะผนังของนักร้องสาวไทย มีตัวหนังสือคาด “เราคือลูกแก้ว” ใต้นักร้อง

“โนบิตะ อ่ะนะ” โอเล่รับมาพลิกดูไปมา

“อืม เราเห็นทีไร นึกถึงเธอ”

“ว่าฉันโง่เหมือนโนบิตะเหรอ”

“เปล่า แค่คิดว่า เป็นคนที่น่ารัก น่าคบหา”

“นายคือ ชิสุกะ สินะ”

“เฮ้ย หล่ออย่างเรา ก็เดคิสุกิ สิ”

“เดคิสุกิ กับ โนบิตะ ไม่ได้สนิทกัน เขาแย่งชิสุกะ”

“นั่นมันในการ์ตูน ในชีวิตจริง เดคิสุกิ คนนี้ จะจีบ โนบิตะ”




เวลาผ่านไปสักพักจนน่าตกใจ ผู้เฒ่าที่ไม่โผล่ขึ้นมาจากน้ำเสียทีจนปุยมีอาการกังวล แต่พอหันไปทางยอดดอยซึ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนเป็นเรื่องปกติก็จึงคลายกังวล  สักพักมีฟองน้ำผุดขึ้นมาบนผิวน้ำ แล้วก็มียอดไม้เท้าโผล่ขึ้นมาจากน้ำอย่างช้า ๆ เป็นสัญญาณว่า ตัมราเมียะ กำลังจะกลับขึ้นมา  ชายชราเดินเปลือยขึ้นมาจนถึงกองผ้าที่กองไว้ เขาหยิบขึ้นมาห่อตัว อาร์มคลายมือที่ปิดตามะนาวตามคนอื่น แล้วหญิงอ้วนในชุดเขียวคนเดิมก็เปล่งเสียงร้องโหยหวนเป็นทำนองเพลงออกมา
ชาวชนเผ่าเดินไปต่อแถวยาว แยกเป็นแถวชายทางซ้าย กับแถวผู้หญิงทางขวา ยอดดอยจึงพาเพื่อนๆ ไปร่วมแถวด้วย

ตัมราเมียะ นั่งบนแท่นไม้ใหญ่ที่มีไม้กระดานเหลาเป็นสามเหลี่ยมเป็นฉากหลัง ผู้เฒ่าที่อายุรองลงมาสองคนนั่งอยู่ด้านข้าง เสียงสวดภาษากะเหรี่ยงลอยออกมาจากผู้เฒ่าที่นั่งขนาบซ้ายขวา  ตัมราเมียะหยิบแป้งที่ผสมกับใบไม้สีเขียวแห้งจนแป้งมีสีเขียวอ่อน ชายชราเอานิ้วนางขวา ช้อนแป้งขึ้นมาแตะที่หน้าผากของชายที่พนมมือรออยู่ตรงหัวแถว แล้วก็คิวถัดไปโดยเริ่มจากแถวผู้ชายใกล้หมด  มีแถวผู้หญิงที่รออยู่ด้วยท่าทีสงบ ทุกคนพนมมือไว้ที่อก

“มีม่อซะโอ๊นา” ผู้เฒ่าพูดกับปุยตอนที่เอามือแตะแป้งสีเขียวที่หน้าผาก 

“เก่อะ” ชายชราตำหนิยอดดอยที่มาเป็นคนสุดท้ายในแถวชาย  แต่ดอยกลับหัวเราะและก้มคุกเข่าแล้วลงไปกอดที่หน้าแข้งของผู้เป็นตา แล้วคว้ามือของตัมราเมียะซึ่งกำลังลูบหัวเขามาจูบ ก่อนจะเอาเทิดไว้ที่หน้าผาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Hyenas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :katai1:หวังว่าทุกอย่างจะโอเค คุณพ่อนี่ก็ สัใภ้น่ารักแบบนี้ หาได้ที่ไหนอีก

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Track 28 : คนที่รัก.. ร้างไกลนั้นไม่นาน  คนไม่รัก.. ใกล้กันช้ำใจยิ่งกว่า



“โอ๊คเป็นไงบ้าง” ปุยที่ยืนอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้ารีสอร์ตจุดพบแม่น้ำสามสาย สอบถามถึงคนที่คิดถึงกัน

“จัดของกว่าจะเสร็จดึกมาก ดีนะ เจ๊นกน้อยทำกับข้าวตุนไว้ให้ อุ่นก็กินได้อีกหลายวัน ฝากขอบคุณแกด้วย”

“นี่เรากว่าจะกลับก็อีกสองสามวันเลย เดี๋ยวบอกให้นะ”

“คิดถึงเราไหม”

“คิดถึงสิ คิดถึงมากๆ  อยากให้มาด้วยจัง”

“ฝากความคิดถึงคุณตาด้วย”

“เอ๊ะ ท่านรู้จักโอ๊คด้วยเหรอ”

“รู้สิ ท่านมาหาเราบ่อยจะตาย”

“ท่านเดินทางลงไปในเมืองเหรอ”

“เปล่า..  ท่านชอบมาในความฝัน..”





ลานตลิ่งข้างแม่น้ำรันตีที่กลับมาสะอาดเหมือนเดิม ราวกับไม่เคยเกิดงานเลี้ยงไปเมื่อคืน มีเพียงร่องรอยของเขม่าจากกองฟืนที่เป็นคราบดำหล่นตามพื้น ไม่มีใครกล้าเก็บ  เศษซากธงสีแดงที่ไหม้จนเกือบหมด หัวของแพะที่บูชายันต์ในกองขี้เถ้า กับชาวเผ่าชายที่ช่วยกันรื้อคบเพลิงเก็บไว้ใช้ในงานอื่น ชาวเผ่าหญิงเช็ดทำความสะอาดแคร่และจานชามกะลาที่แช่น้ำทิ้งไว้ข้ามคืน

ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะคำทำนายของท่าน ตัมราเมียะ เมื่อคืนนี้ ประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่า ชนเผ่ากำลังก้าวเข้าสู่ความรุ่งโรจน์ในขวบปีต่อไป ไม่มีการพูดถึงวันสิ้นโลกที่เกรงกลัว แม้ครึ่งนึงของชนเผ่าในลุ่มแม่น้ำรันตี จะนับถือศาสนาซึ่งมีส่วนคล้ายจะเป็นคริสต์ แต่คำพูดของผู้เฒ่าบุตรแห่งสายน้ำ ก็ทำให้คลายกังวลใจจากคืนวันที่กำลังจากมาถึง วันที่ชนเผ่าเกรงว่าจะเกิดความหายนะ หรือภัยพิบัติหากก้าวเข้าสู่ปี 2000 
ในขณะที่อีกครึ่งของชนเผ่าที่นับถือผีสาง รวมถึงชนชาวพุทธ ก็มีความวิตกไม่น้อยกับภัยธรรมชาติ ซึ่งปรากฎร่องรอยบางอย่างให้เห็นผ่านความเคลื่อนไหวของแมลงและสัตว์ ที่ร้อนรนจนผิดวิสัย  หากแต่ ตัมราเมียะ ผู้ไม่เคยทำนายอะไรผิดบอกไว้อย่างนั้น..  ทุกคนก็อุ่นในหัวใจ


แคร่ไม้ใต้สะพานปูน ตั้งอยู่สามตัวเรียงกันที่ริมตลิ่งแม่น้ำรันตี ซึ่งไหลทอดยาวคล้ายลำตัวงูที่ขดไปมา มะนาวนั่งอยู่กับอาร์มที่กำลังเคี้ยวทองโย๊ะ กับกาแฟร้อนจนแก้มตุ่ย อากาศหนาว มีหมอกตรงยอดเขาที่มองเห็นแต่ไกล ชายท้องถิ่นนั่งเรือหางยาวเพื่อไปรับนักท่องเที่ยว  “เกอะชอ” หรือช้างตัวใหญ่ เดินย่ำอยู่ตรงเชิงตลิ่ง เอางวงดูดน้ำมาพ่นใส่ตัว และพ่นเล่นใส่ปางช้างที่เผลอ  เด็กน้อยกระโดดน้ำจากสะพานลงมาด้วยความสูงร่วมเกือบยี่สิบเมตร  กลางลำน้ำมีชาวประมางทอดแห

“เมาค้างไหมเนี่ย” มะนาวหันไปถามอาร์มที่กินไม่หยุด

“ไม่นะ แต่ร้อนไปทั้งตัวเลย เหล้าหมักที่นี่เจ๋งดี เดี๋ยวพี่จะซื้อกลับไปฝากป๊า”

“เขาไม่ได้ขาย มะนาวถามแล้ว ตอนแรกจะซื้อไปฝากป๊าพี่อาร์มเหมือนกัน แต่เขาทำไว้เฉพาะเทศกาล มันผิดกฎหมาย”

“อ้าวเหรอ กินไปจะตาบอดไหมเนี่ย”

“แล้วมองชัดอยู่ไหมล่ะคะ ตอนนี้” 

“ชัดสิครับ ต่อให้ตาบอด ก็จดจำได้ พี่น่ะใช้หัวใจมอง”

“คือยังไม่สร่างเมาใช่ไหมเนี่ย มองที่นิ้วนี่” มะนาวเอานิ้วมาวนที่ใกล้ตาของอาร์ม เช็คว่ายังมีสติ ก่อนจะโดนอาร์มจับนิ้วนั้น

“โลกจะแตกแล้วนะครับ อีกไม่กี่วัน..  มะนาว..  เป็นแฟนพี่นะ  ให้พี่ได้เรียกมะนาวว่าเป็นแฟนอย่างเต็มปาก”




หน้าบ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง มีไก่หลายตัวเดินจิกข้าวเปลือกอยู่ใต้ถุน  บ้านมีขนาดไม่ใหญ่ แต่ระเบียงกว้างพอที่จะรับแขกได้จำนวนมาก โต๊ะไม้แดงและเก้าอี้ชุดใหญ่วางเรียงคล้ายโต๊ะประชุมในร่มชายหลังคา ต้นไม้เขียวขจี มีเวิ้งหน้าบ้านปลูกต้นจันผา เป็นแนวยาว ข้างก้อนหินก้อนใหญ่คล้ายรูปหัวช้าง  เสียงเด็กเล็กกลุ่มหนึ่งวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวบนพื้นดินแดง ไม่มีหญ้าปกคลุมเลยสักจุด แต่พื้นก็ไม่มีแม้แต่หินเม็ดเล็กเช่นกัน ดินแดงฟุ้งตามรอยเท้าของเด็กที่วิ่งเล่น ละเอียดจนคล้ายแป้งฝุ่นผงที่ใช้ปะหน้า  ที่ระเบียง นาตยากำลังจัดผ้าเรียงเป็นชุดไว้เพื่อให้เพื่อนลูกชายได้เปลี่ยน เป็นชุดกะเหรี่ยงปักสีสวย โดยมีปุยเมฆยืนช่วยอยู่ด้านข้าง

“แม่ว่าสีนี้ ลูกปุยน่าจะใส่สวย เหลืองสด รับกับผิวเลย คนอะไร ข๊าวขาว” นาตยาเอื้อมมือไปลูบที่แขนของปุย จนปุยเขิน

“แหม่ เด็กสมัยนี้วันๆ ก็เรียนอย่างเดียว จะมาดำเกรียมดำแดดอะไรแบบคนบ้านนอกล่ะ” อนันต์ที่นั่งอยู่ใกล้พูดออกมา

“แล้วนี่ วันนี้จะไปไหนกันบ้างล่ะลูก”

“น่าจะไปสะพานมอญครับ แล้วก็อยากเดินตลาดชายแดน อยากข้ามไปฝั่งพม่าด้วย”

“ต้องติดบัตรประชาชนไปด้วยนะลูก เขาจะยึดไว้แลกกับพาสปอร์ตรายวันที่ชายแดนจะออกให้”

“เตรียมกันให้ดีล่ะ อย่าให้เสียเที่ยว” อนันต์ที่ทำหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่แล้วคอยพูดแทรกเป็นระยะ

“ขนมจีนน้ำยากะทิหัวปลีตรงเชิงสะพานอร่อยมากนะ หนูลองทานดู ไม่เผ็ดมาก แล้วก็จะมีร้านหมูตุ๋น คล้ายหมูจุ่ม เจ้านั้นก็อร่อย แต่น้ำจิ้มจะเผ็ดนิดนึง ให้ดอยพาไป รับรองจะติดใจ”

“โอ๊ย เดี๋ยวเด็กมันก็หากินกันเองแหล่ะเธอ จะไปอะไรกันนักหนา” อนันต์คนเดิม เพิ่มเติมคือน้ำเสียงยียวน

“ห้องน้ำชาวมอญเขาลำบากกว่าฝั่งเรา ติดพวกกระดาษทิชชู่ไปด้วยนะ แล้วมีนกแก้วตัวใหญ่ ถ่ายรูปคู่ได้ เผื่อเก็บภาพไปอวดเพื่อนฝูง เชื่องมาก ชื่อเจ้า อองเอ”

“เฮอะ เด็กสมัยนี้หาสาระกันไม่เจอ เอะอะก็ถ่ายรูป วันๆทำอะไรกันที่เป็นประโยชน์บ้างไหม”

“เพล้งงงงง”  เสียงจานกระเบื้องที่ถูกเขวี้ยงลงพื้นแตกกระจายจนอนันต์ตกใจ

“จะไปไหนก็ไป!”  นาตยาตวาดใส่สามี ก่อนสามีจะลุกเดินจากไป หันมามองหน้าปุย แล้วแสยะปากใส่

“อย่าไปใส่ใจนะหนู คนวัยทองก็แบบนี้”

“เดี๋ยวผมเก็บให้ครับ คุณแม่จัดของเถิดครับ” ปุยรีบกุลีกุจอเก็บเศษจานกระเบื้องที่แตกกระจายเต็มพื้น




พือพือ หรือที่ชาวบ้านเรียกแทนชื่อ ตัมราเมียะ ซึ่งกำลังแต่งตัวหลังจากตื่นสายผิดจากทุกวัน มีคนในชนเผ่ามารอให้ทำนายโชคชะตาในปีต่อไป ซึ่งปกติท่านจะให้คนเข้ามาขอดูได้เฉพาะวันหลังพิธีบูชาเทพแห่งแม่น้ำรันตีไปได้ 90 วัน หลังจากนั้น จะไม่ทำนายให้คนในหมู่บ้าน ท่านจะตรวจชะตาให้เฉพาะคนที่ไม่ใช่ “คนใน” เท่านั้น

ชาวชนในเผ่าจะได้ใกล้ชิดกับพือพือ แค่ช่วงที่มาขอผูกข้อมือเรียกขวัญทั้ง 37 ขวัญ ตามความเชื่อ ว่าขวัญจะหนีหายยามเจอเหตุการณ์ที่สะเทือนใจ หรือตกใจ ผู้ที่ขาดสติ หรือหลงป่า ก็จะแวะเวียนมาให้ท่านเรียกขวัญให้ ก่อนจะเข้าประเพณีเสริมสิริมงคลประจำปี ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี

แต่ในวันนี้ พือพือ จะอยู่ทำนายดวงชะตาให้ไม่นาน เพราะว่า ท่านอยากจะไป สะพานมอญ กับยอดดอยหลานรัก เล่นเอาทุกคนตกใจ เพราะท่านไม่ได้ออกนอกพื้นที่แม่น้ำรันตีนานแล้ว จะเข้าเมืองก็ตอนไปหาแพทย์ตรวจโรคปอดที่เป็นอยู่ อีกทั้งสะพานมอญ เป็นเขตพื้นที่คนมอญ จะให้คนกะเหรี่ยงไปรุ่มร่าม ก็ใช่ที่  แต่เมื่อพือพือ ยืนกรานจะไปด้วย ทางพวกดอยเลย จัดข้าวของจำเป็นสำหรับชายสูงอายุขณะเดินทางเผื่อไปด้วย โดยดอยขันอาสาพาคุณตาไปด้วย ทางแม่และน้าแจ้ ก็วางใจ






“เหม่ออารายยยยยยยยย”

“ยุ่ง”

“อยากรู้อ่ะ ว่าโนบิตะ คิดอะไรอยู่”

“นั่งเฉยๆ ก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ”

“มันเหงาน่ะสิ”

“แล้วเพื่อนแก๊งรถเครื่องป่วนเมืองไปไหนกันหมดล่ะ” โอเล่ที่กำลังพิมพ์งานอยู่ในร้านเน็ต เหน็บแหนมหนุ่มน้อยตรงหน้า

“มันจะปลดเราจากการเป็นหัวหน้า”

“อ้าวทำไมล่ะ”

“มันว่าเราติดเมีย”






รถยนต์สีเขียวของอาร์มแล่นผ่านถนนเลียบริมแม่น้ำ มะนาวกับปุยดูตื่นเต้นมองริมกระจกทั้งส่องฝั่งจากด้านหลัง โดยมียอดดอยที่นั่งแถวหลังตรงกลาง คอยเอื้อมตัวมาคุยกับคุณตาเป็นระยะ อาร์มที่กำลังขับรถมีอาการตัวเกร็งแต่ก็หันไปมอง ตัวราเมียะ ที่นั่งคู่กันจนบ่อย

“ขับไปเถิดพ่อหนุ่ม ฉันสบายดี”

“ครับ”

“โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากแล้วสินะ ไม่ก่อเรื่องวุ่นวายแล้วใช่ไหม”

“ไม่แล้วครับ”  อาร์มหันไปตอบ แต่คู่สนทนาไม่ได้หันกลับมามองหน้า แค่มองไปข้างหน้า ยังวิวทะเลสาบขนาดใหญ่

“เจ้าไม่มีอะไรติดค้างหลานฉัน อย่าคิดมากเลย  ขับตรงไป” ตัมราเมียะ ชี้ทางเมื่อเห็นอาร์มลังเลตรงทางแยก


นาตยาที่สั่งงานคนงานเสร็จแล้ว ก็ออกมานั่งคุยกับแจ้ที่ลานระเบียง มีอนันต์เดินตามมา แต่ไม่กล้านั่งร่วมโต๊ะ อนันต์จึงหลบไปนั่งที่ชิงช้าไม้ใกล้โต๊ะแทน ปล่อยให้พี่น้องสองคนคุยกัน แต่ก็ยังคอยเงี่ยหูเพื่อฟังสองพี่น้องสนทนากัน

“นี่นกน้อยเป็นยังไงบ้าง ร้านน่าจะขายดี โอนเงินคืนมาเร็วกว่ากำหนด ฉันก็บอกไม่ต้องรีบ แถมยังจ่ายดอกเบี้ยมาอีก”

“นั่นแหล่ะ เขาเลยแหล่ะ ชอบชดใช้พระคุณด้วยความตั้งใจ นี่ได้งานข้าวกล่องเพิ่มอีกจากกลุ่มครูโรงเรียนใกล้ๆ”

“นกน้อยเป็นคนดี เดี๋ยวก็จะได้ดี”

“คนดีก็เป็นกะเทยอยู่ดีแหล่ะวะ แต่งหน้าทาปาก น่าทุเรศ”  อนันต์ที่ทำทีอ่านหนังสือพิมพ์พูดลอยมาขัดคู่สนทนา

“แล้วเจ้าดอย มันหยุดเล่นพนันบอลได้แน่นะแจ้”

“ได้สิพี่ เจ้าสองแฝดมันช่วยขนาบเลย มันไม่ยอมแถมยังโทรไปสั่งไม่ให้ที่ไหนรับแทงเลย ก็ได้เพื่อนดี”

“อืม ดี ก็ดูแลกันไป”

“แต่หวยนี่ ฉันห้ามไม่ได้ พอจะห้าม มันก็ดันถูกเต็งๆ เดี๋ยวจะหาว่าไปขัดลาภมัน”

“ถ้านิดๆหน่อยๆ ก็ยังดีกว่าเล่นพนันบอล แต่ถ้ามันมาก แจ้ก็ต้องตืนมันนะ อย่าให้เสีย”

“ฉันดูตลอด ไม่มีหรอก พักนี้ยิ่งรับจ๊อบแต่งมอเตอร์ไซค์ ดูขยันขันแข็ง จนบางทีลืมแทงหวยไปเลย ไม่น่าเชื่อ”

“จริงสิ” นาตยาเอามือมาปิดปากหัวเราะด้วยความถูกใจ  “แล้วเขาทำได้ดีไหม หมายถึงดอยเขาทำถูกใจลูกค้าไหม”

“ว่าไม่ได้นะพี่ ลูกค้าติดทุกคน มันเลือกของเก่งไม่ใช่เล่น ตอนที่เห็นมันอีเมล์ไปสั่งของแบบ งูๆปลาๆ ฉันล่ะอึ้งเลย”

“มันก็กลุ่มเดียวแหล่ะวะ พวกบ้าๆ รถเครื่อง อีกหน่อยไม่มีใครใช้แล้วรถเครื่อง คนมีตังไปขับรถยนต์หมด” อนันต์แทรก

“แล้วมันพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษไปเลยเหรอแจ้” นาตยาไม่สนใจคำพูดสามี ถามน้องชายด้วยความตื่นเต้น

“ใช่สิ แถมยังเอาปกเทป ปกซีดีมาอ่าน แปลเนื้อเพลง เหมือนจะเอามาใช้เวลาเขียนจดหมาย ฉันไปเก็บห้องนี่เห็นประจำ เออเข้าท่า”

“ส่งให้เรียน ไปนั่งอ่านเนื้อเพลง ถุย” อนันต์สบถ

“นี่ถ้าลูกค้าเยอะ สังสัยจะไม่ยอมกลับบ้านแน่เลย ลูกคนนี้”

“เฉพาะในเมืองนะพี่ คนมีตังเอามาให้ไอ้เจ้าดอยมันแต่งรถให้ก็เรียกว่า ลูกค้าทุกคนถูกใจในฝีมือ แถมอะไหล่ที่ดอยมันสั่งมา เป็นสินค้ามีคุณภาพ ไม่ซ้ำสไตล์ เด็กมันดูเป็น มันรักทางนี้ นี่ถ้ามีทุนสักหน่อย สต็อคของ น่าจะดี เพราะว่ามีขาจรที่ขับมอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ ตะเวณมาเที่ยวในเมืองกาญจน์ คงได้ยินหรือพูดต่อกันว่า ดอยมันมีของเล่นแต่งรถขาย แต่แวะมาก็ไม่ค่อยมีของเท่าไหร่ ลำพังค่าใช้จ่ายในหอพัก มันก็เหลือเดือนๆไม่เยอะ เงินกองกลาง ดอยมันก็ไม่แตะ เรียกว่าถึงพี่ไม่ให้มันโอนมาให้ มันก็เก็บเข้าบัญชีกลาง”

“เอ้อ รู้จักคิดมั่งก็ดี ปกติก่อแต่เรื่อง” อนันต์ที่ยังคงอ่านหนังสือพิมพ์ พรำลอยออกมา พร้อมเบ้ปาก





ที่เชิงสะพานไม้ ทอดยาวหลายร้อยเมตรจนเกือบสุดสายตา ด้านใต้เป็นแม่น้ำซองกาเรียแกมสีแดง ปุยชี้ให้มะนาวดูรีสอร์ตที่เขานอนกับวิทยาลัยเมื่อคืน ก่อนที่จะลาคุณครูเพื่อมาสมทบกับดอยเมื่อเช้า ดอยพยุงคุณตาออกมาจากที่นั่งด้านหน้ารถ อาร์มล็อครถพร้อมยกใบปัดน้ำฝนตรงกระจกหน้าขึ้นตั้ง เหมือนจะใช้เวลากับที่นี่นาน

ตัมราเมียะ เดินคู่มากับยอดดอย โดยมีเพื่อน ๆ ของดอยตามหลังมา ก่อนจะมาหยุดที่เชิงสะพานกำลังจะก้าวขึ้น ผู้เฒ่าแห่งลุ่มแม่น้ำรันตี ก็เอาไม้เท้าที่ติดมือมา เคาะที่เชิงสะพาน สามครั้ง

“ทักทายชาวซองกาเลีย เสียหน่อย จุดบรรจบสามลำน้ำแห่งนี้ พึงมีปู่โสมเฝ้าหลายตน เราแสดงความเคารพท่าน”
ยอดดอยฟังคุณตา แล้วผงกหัวให้ที่เชิงสะพาน จนคนผ่านไปผ่านมาแปลกใจว่า ยอดดอยทำท่าแปลกๆทำไม

“เพงก่อว์อิร่าห์”  ตัมราเนียะ หลับตายืนหยุดนิ่ง ยืดแขนตั้งไม้เท้าเป็นแนวดิ่งตรง ปลายไม้เท้าปักอยู่ที่สะพานไม้

“สายฟ้าฟาด” ยอดดอยแปลคำพูดคุณตาให้เพื่อนพ้องฟัง

“จะเวงค่อตงด่าห์”

“ดับสูญ”

“ปี่ร์ลูดาม เยคะยอ”

“ขัดแย้ง”

“ต๊อย๊ะหมิ่น ตุเลปาร์”

“พิพากษา”

“เบิ่งจะเดย์ จันเดย์”

“รวมใจ”

“ผเหร่ ปิ๊เถ๊าะ”

“นักรบกล้า”

“ปะหน่า ถ่องชิ๊ย่อ ม๊ะเลาะห์”

“คลื่นมหาชน”


[ TBC ]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-04-2018 00:55:00 โดย TofuChan »

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1

[ ต่อ ]

ที่ท่ารถประจำทาง สังขละบุรี ~ กาญจนบุรี รถกระบะฟอร์ด  สี่ประตู สีแดง ป้ายดำแต่ยังคงความใหม่เอี่ยม สะดุดสายตา เพราะไม่ค่อยมีรถประเภทสี่ประตูในเมืองเท่าไหร่นัก อีกทั้งคนย่านนี้ยังผูกขาดกับรถโตโยต้ารุ่นไทเกอร์ เสียมาก พอมีรถแบรนด์ยุโรปคันโตมาจอดหน้าตลาด ผู้คนก็ชี้นิ้วมองด้วยความชื่นชมและสนใจ โดยเฉพาะชายหนุ่มในตลาด

“ฉันให้เอารถไปใช้ในเมืองก็ไม่เอาไป ขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ได้”

“อ้าว ก็มันอาชีพฉัน ฉันให้รถเครื่องไว้เช่า เราก็ต้องตรวจเช็ค วันๆแทบไม่มีเวลาไปไหน”

“เผื่อลูกฉันจะไปไหน จะได้วานไปรับไปส่ง”

“โอ๊ย ยิ่งขานั้น เพื่อนมันมารอรับไม่ต้องกลัว มันไปไหนมันติดรถเครื่องยิ่งกว่าฉันอีก อย่างว่า อาชีพเสริมของมันด้วย”

“เฮ้อ น้าหลานคู่นี่ล่ะก็”

“ว่าแต่พี่เถิด จะทนอยู่กับผัวได้นานแค่ไหน นอกจากปากมันจะหมา ใจมันยังแคบอีก”

“เมื่อก่อนเขาก็ไม่ได้เป็นขนาดนี้นะ มันเวรกรรมอะไรของฉันก็ไม่รู้”

“น้องปุยนี่หน้าเสียเลย เจอพี่อนันต์แสดงอาการใส่”

“เมื่อคืนฉันบอกดอยไปแล้ว สิทธิขาดทุกอย่างอยู่ที่พือพือ ไปลุ้นเอาตรงนั้น”

“ฉันก็ไม่ค่อยได้คุยกับพ่อเท่าไหร่หรอกงวดนี้”

“จะไม่มาอยู่ที่นี่แล้วจริงใช่ไหม มันหมดทายาทเลยนะนั่น”

“ฉันตัดสินใจแล้วล่ะ”

“เฮ้อ งั้นภาระหนัก ก็เป็นเจ้าดอยแล้วล่ะ”

“ฉันขอโทษที่ผลักภาระไปให้หลาน”

“ไม่เป็นไรหรอก โลกมันจะแตกแล้วน้องชาย จะทำอะไรก็ทำ ชีวิตคนเรามีหนเดียว  มาให้กอดที รถจะออกแล้ว”






ณ ปลายอีกฝั่งของสะพานไม้ เจ้าของความยาว 850 เมตร ปุยเมฆ กับ มะนาว ดูเริ่งร่า กับการถ่ายรูปเนี่องจากบรรยากาศที่งดงาม ลำน้ำสายสวยที่มารวมกับเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ บ้านเรือนที่ปลูกด้วยไม้ เด็กน้อยแต่งตัวแปลกตาวิ่งเล่น มีแพล่องจากฝั่งมาอยู่ใต้สะพาน ในแพเต็มไปด้วยชาวต่างชาติผมสีทองบ้าง แดงบ้าง ดำบ้าง  ที่ใต้สะพานมีเรือหางยาวขับผ่าน มีนักท่องเที่ยวสะพายกล้องถ่ายรูประหว่างหลบหยาดน้ำที่กระเซ็นมาโดน

ดอยพยุงปู่ เดินอย่างเชื่องช้า พลางสัมผัสบรรยากาศโดยรอบไปด้วย  อาร์มที่หิ้วกระเป๋าสะพายของมะนายอยู่ ก็เอากล้องที่คล้องคอออกมาถ่ายรูปเพื่อนตอนเผลอ  แดดสายแม้จะแรง แต่ลมที่เย็นยังทำให้ ตัวราเนียะ รู้สึกผ่อนคลาย เขายืนหันไปทางราวสะพานฝั่งซ้าย หลับตาและสูดเอาสายลมที่พัดมาจากทางแม่น้ำรันตีเข้าเต็มปอด  ก่อนจะแตะที่ไหล่ของหลานชาย ให้พาเดินข้ามสะพานไปยังฝั่งมอญ

“นี่พ่อมึงมาล่วงหน้าเลยเหรอวะ” อาร์มหันไปกระซิบดอย ที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกตั้งแต่เห็นพ่อของตน ตรงปากทางเข้าเรือนไม้ใหญ่ ที่อยู่ไม่ไกลจากเชิงสะพานนัก 

“คุณตาคงให้มาแจ้งกับผู้นำเผ่าอื่นน่ะ ว่าท่านจะมา มันเป็นธรรมเนียม”

“เรื่องของมึง กับ น้าแจ้จะอยู่ในหัวข้อสนทนาใช่ไหมวะ”

“กูคิดว่าก็น่าจะเป็นอย่างนั้น”

“กลัวไหม”

“ถ้ามาคนเดียวก็กลัว”

“มึงมีคุณตาอยู่ด้วย มึงไม่ต้องกลัวนะไอ้ดอย”

“เปล่า ที่กูไม่กลัว เพราะกูมีพวกมึง”





ผู้เฒ่าสามคนยืนทักทายกันอย่างชื่นมื่น โดยชายที่สูงอายุที่สุด ยอดดอยคิดว่า น่าจะเป็นชายร่างท้วมที่ยืนแทบไม่ไหวแล้ว ผิวคล้ำแต่หน้าตาใจดี มีเครายาว ผมยาวสีขาวปนเทา ส่วนคุณตาของดอยอายุคงรองลงมา เขาคิดในใจ  ส่วนอีกท่านเป็นชายชราตัวเตี้ยแคระแต่เสียงดังดุดัน แววตาที่มองปาดมาที่ดอยและเพื่อน ช่างเดาไม่ออกเลยว่า ควรตีความหมายไปในทิศทางใด  ยิ่งมองไปทางพ่อของตัวเอง ซึ่งยืนอยู่ข้างกลุ่มชายชรา แถมยังคอยกระซิบชายชราตัวเตี้ยหน้าดุอยู่เป็นนิจ แล้วทั้งคู่ก็หันมาทางยอดดอย กับ ปุยเมฆ ส่ายหน้าเป็นระยะ ฟ้องว่า มันคงเขียนเป็นอักษรได้ว่า ระอา ตามทิศทางของสายตาที่ส่ายสำรวจไปมา

“กูว่า พามึงมาเชือด ไอ้ดอย” อาร์มกระซิบ

“มะนาวสัมผัสได้ว่า โลกจะแตกก่อนกำหนดค่ะพี่ดอย”

“เราทำอะไรผิดธรรมเนียมเขาหรือเปล่าอ่ะดอย ทำไมเขามองเราจัง” แม้แต่ปุยก็อดที่จะสงสัยไม่ได้

“ควรเป็นคิวน้าแจ้นะ น้าแม่งหนีเอาตัวรอด กูเตรียมซวยแล้ว” ดอยเร่งเสียงกระซิบให้เพื่อนทั้งกลุ่มได้ยิน





“ดอย... มานี่สิ” ตัมราเมียะ เอ่ยเรียกหลานด้วยเสียงแผ่วเบา แต่เย็นเยือกไปถึงความรู้สึก  โดยที่อาร์มตบบ่าให้กำลังใจ มีมะนาวเอากำปั้นมาชูแสดงสัญลักษณ์ให้ดอยสู้ ปุยทำตาปริบคล้ายสำนึกว่าเป็นต้นเหตุ แต่กระนั้น ดอยก็ไม่ได้ทำหน้ากังวลอะไรมาก แค่ดูประหม่าเล็กน้อย แต่คำพูดที่เขาเตรียมมา ก็พังพินาศไปในความทรงจำทันทีที่ได้เห็นสายตาของ บุตรแห่งแม่น้ำบีคลี่ ผู้มีนามว่า วีเอยอง ซึ่งส่งแววตาดุดันมาให้ ไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย

“หลานชาย นั่งลองก่อน” ฮินทออู ชายชราร่างท้วม บุตรแห่งแม่น้ำซองกาเลีย เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังแทบจะไม่ได้ยิน

“อ้าว ผู้ใหญ่บอกให้ทำอะไร ก็รีบทำสิ” อนันต์ เตือนลูกชายด้วยน้ำเสียงแกมตะคอก

“ลูกชาย เจ้ามีเรื่องในใจอันใดหรือไม่ ทำไมทั้งน้าของเจ้า กับเจ้าถึงได้ตัดสินใจ ไม่รับช่วงต่อการเป็นผู้สืบสันดานธารา”

“ท่านฮินทออู กระผมไม่ได้คิดเพิกเฉยต่อชะตาของชนเผ่าผมแต่ประการใด เพียงแต่ผมไม่คิดว่า ผมจะมีคุณสมบัติเพียงพอจะต้องใจคนในเผ่าอีกต่อไป”

“ไหน เจ้าลองเล่ามาสิว่า เจ้ามีเรื่องอันใดในใจ”

“กระผมคิดว่า ในจำนวนนับแห่งดวงดาราพราว กระผมอาจจะไม่มีทายาทให้สืบต่อ และขาดความเลื่อมใสจากคนในเผ่า”

“นั้นเพราะเจ้าไปหลงระเริงในเมืองหลวง !” วีเอยอง ตัดบทด้วยน้ำเสียงกระโชกรุนแรง

“มันเยียวยาได้นะลูกพ่อ แกแค่หนักแน่น แล้วกลับมาอยู่กับเรา ตัดไปซะ พวก.. เอ่อ..  เพื่อน ที่ชักนำกันไปในทางไม่ดี”

“ผมไม่คิดว่า คนที่ผมคบหาจะไม่ดีตรงไหนครับพ่อ”

“พ่อไม่ได้บอกว่า พวกเขาไม่ใช่คนเลว  แต่ความประพฤติของพวกแก มันไม่เป็นที่ยอมรับของคนในหมู่บ้านแน่นอน”

“ผมถึงได้เลือกที่จะหันหลัง และเดินออกมาอย่างไรล่ะครับ”

บรรยากาศเงียบไปสักพัก มีเสียงถอนหายใจจากบุตรแห่งบีคลี่ ที่เหมือนจะไม่สบอารมณ์นัก  ส่วนตัมราเมียะยังคงนิ่งเงียบพลางมองไปยังฮินทออู ที่ฟังสถานการณ์อย่างตั้งใจ

หลังจากมีเสียงถกเถียงเป็นภาษาที่ไม่เข้าใจอยู่สักพัก ทางปุยกับอาร์ม จึงชวนมะนาวขอตัวออกมาข้างนอกเรือนโบราณ เพราะเกรงจะเป็นตัวการเสียมารยาทที่อยู่ฟัง อาร์มกับปุย โค้งคำนับหนึ่งครั้ง แล้วจูงมะนาวเดินผ่านกลุ่มคนที่กำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด เพื่อไปยังประตูทางออก

“หยุดก่อน พวกเจ้าจะไปไหน” บุตรแห่งบีคลี่ แผดเสียงดังลั่น

“เอ่อ..  พวกผมจะปล่อยให้พวกท่านได้พูดคุยกันอย่างออกรส  เอ๊ย.. แบบไม่ต้องเกรงใจพวกผมไงครับ” อาร์มเด๋อด๋าตอบ

“พวกฉันไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครทั้งนั้น”  วีเอยอง สวนกลับ

“หลานชาย พวกเจ้าอยู่เถิด เพราะพวกเจ้าก็เป็นตัวแปรสำคัญในหลายเรื่อง พวกเราอยากสนทนากับพวกเจ้าด้วย ต้องขออภัยถ้าทำให้อึดอัดหรือตกใจ เราชาวมอญ ชาวกะเหรี่ยง ก็เป็นแบบนี้  เสียงดังบ้าง ทะเลาะกันบ้าง แต่พวกเราจริงใจต่อกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความประสงค์ดี และต้องการหาข้อสรุป ขอโปรดจงอยู่ และมีส่วนร่วมกับหลานดอย เพื่อเป็นเพื่อนเขาต่อไป” บุตรแห่งซองกาเลีย หว่านล้อมด้วยน้ำเสียงนุ่มและสายตาที่คล้ายจะยิ้มได้แก่หนุ่มสาวที่ตัวลีบเพราะความหวั่นกลัว แต่ท้ายที่สุด อาร์มก็ เรียกปุย และ มะนาว ไปนั่งข้างดอย เพื่อร่วมวงสนทนาแบบเผชิญหน้าโดยไม่เกรงกลัว ทำเอาอนันต์ออกสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร

“เจ้าเป็นบุตรของใคร” วีเอยอง ที่ผ่อนคลายน้ำเสียงดุดันลง เพิ่มความนุ่มที่หางเสียง หวังให้อาร์มผ่อนคลาย

“กระผมชื่อ กลางชล บุตรแห่งลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ครับ”

“ไม่ตลก” อนันต์สอด

“แต่ข้าตลกเจ้าเด็กคนนี้ ฮ่าๆๆ” ฮินทออู หัวเราะลั่น

“กระผมขอถามอะไรพวกท่านสักอย่างนะครับ” อาร์มส่งสายตาวิงวอน โดยเลือกเล็งไปที่บุตรแห่งซองกาเลียผู้อารีย์

“เอาสิหลานชาย”

“ผมอยากทราบว่า เกณฑ์การเป็นผู้สืบสันดานธารา”

“ต้องมีผู้สืบสกุล”

“โดยไม่ต้องระบุว่า ผู้หญิง หรือ ผู้ชายใช่ไหมครับ”

“เราเอื้อรับทุกเพศ”

“แต่ต้องมีบุตรธิดา เพื่อสืบต่อ”

“และเป็นที่ยอมรับแก่ทุกคนในชนเผ่า ตลอดจนสามารถเป็นปากเป็นเสียงให้พวกเราได้” วีเอยองขัด

“กระนั้น ที่สุดแล้ว สายน้ำแต่ละแห่งจะเป็นผู้ตัดสิน ธาราจะเป็นผู้เปิดรับทุกอย่าง” ตัมราเมียะ กล่าวสรุป

“แต่ตอนนี้ พวกท่านมีปัญหา เพราะไอ้เจ้านี่” อาร์มชี้นิ้วไปที่ปุย ที่ทำหน้าตกใจเมื่อถูกฉุดเข้ามามีส่วนร่วม

“ก็ไม่ถึงกับเป็นปัญหา การยอมรับจากชนเผ่านี่ก็คิดว่า น่าจะเป็นไปตามกาลเวลา ชนเผ่าเราไม่ได้ใจร้าย แถมทุกคน รักนาตยามาก ลูกของนาตยา หรือจะเป็นน้องชายอย่าง ไก่แจ้ แต่ทั้งคู่ก็เลือกที่จะไม่สืบต่อ มันก็น่าเสียดาย เพราะศรัทธาจากพี่น้องชนเผ่า กว่าจะมีมติร่วมกันได้ ไม่ใช่ทุกบ้านจะได้รับการยอมรับหรอกนะ” ผู้เฒ่าแห่งแม่น้ำรันตีถอนหายใจ

“แต่..” ฮินทออู หยุดคำพูดของตัวเอง หลับตา และค่อยๆ อธิบายให้หนุ่มสาวที่ยังไม่ทราบประเพณีได้ฟัง  “การไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไข ก็ใช่ว่าจะถึงทางตัน  หากบุตรแห่งธารานั้น สามารถสืบตั้งจากคนที่รับเข้ามาเป็นบุตรก็ได้”

“คล้ายบุตรบุญธรรมเหรอคะ” มะนาวเอ่ยถาม

“ใช่ แต่ ก็ต้องเป็นคนที่เทพแห่งธารารองรับ อีกทั้งยังต้องมาจากจิตใจที่ศรัทธาและผ่านการอนุมัติทางบุตรแห่งสายธารทั้งสามอย่างพวกเรา กระนั้น ต้องเป็นคนที่ไม่มีผู้ให้กำเนิดทับซ้อนกัน การเป็นบุตร พึงเลือกพ่อแม่ได้เพียงทางเดียว” อนันต์อธิบายเสริมให้มะนาวฟัง  “และมันจะง่าย ถ้าแต่งงานกับผู้หญิงสักคน มีลูก แล้วก็ทำในสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้ซะ”

[ TBC ]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-04-2018 00:59:43 โดย TofuChan »

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1

[ ต่อ ]


มื้อกลางวัน เป็นอาหารเรียบง่าย น้ำพริกปลาย่าง ที่แม่บ้านประจำเรือนคุยโอ่ว่าทุกคนจะต้องติดใจ มีปลานิลทอดตัวใหญ่ที่ตกได้จากบึงน้ำ กับน้ำปลายำมอญ วางคู่กัน ผักเคียงเรียงสวยงาม แกงส้มผักชามใหญ่ แต่หลังจากที่อาร์มชิมดูพบว่า มันไม่หวานเหมือนแกงส้มทั่วไป จึงไม่คุ้นปาก

“ที่นี่เราไม่ค่อยกินหวานกัน หนักเค็ม หนักเปรี้ยว”  ฮินทออู หันไปบอกอาร์ม

“คนงานที่บ้านผม ก็ไม่กินพวกข้าวหมูแดงเลยครับ เวลาป๋าเหมาข้าวหมูแดงร้านตรงข้ามบริษัมมาเลี้ยงพนักงานบางวัน คนงานพม่าจะไม่เทซ้อสราด สงสัยจะไม่ทานหวานกันจริงๆด้วย”

“แต่ของหวานนี่ เรากินกันหวานมากเลยนะ ถ้าไม่หวาน นี่ไม่ใช่ของพื้นเมืองเรา” วีเอยองที่ดูผ่อนคลายลงจนอาร์มตกใจ

“แล้วพวกท่านทานเหล้ายากันบ้างไหมครับ”

“ชนใดไม่มีสุรา ชนนั้นพิกลนัก” วีเอยองตอบ พลางหยิบจอกกระเบื้องที่บรรจุเหล้าหมักมอญ มาดื่ม สร้างเสียงหัวเราะให้ที่โต๊ะทานอาหารไม้ขนาดใหญ่ ที่ทุกคนดูผ่อนคลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากบทสนทนาที่ร้อนแรงกันเมื่อสักพักผ่านพ้นไป

“ข้าบอกแล้วว่า พวกเรา เถียงกันเฉพาะเท่าที่จำเป็น” บุตรแห่ง บิคลี่ หันไปมองอาร์ม ใช้สายตาตอบอย่างรู้ทัน

“ก็แหม ท่านดุเหลือเกินจนผมนี่หดไปหมดทั้งตัว”

“แต่เราก็จะหาข้อสรุปให้ ไก่แจ้ และ หลานดอย นะ  ต่อให้จะเป็นเผ่าไหน ชนชาติไหน เราชาวมอญและกะเหรี่ยง ก็ต้องรวมใจ หมดยุคการเข่นฆ่า เยื้อแย่งพื้นที่กันแล้ว สะพานมอญที่เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์มอญ กะเหรี่ยง ก็เป็นพยานได้”  วีเอยองลงข้อสรุปจากบทสนทนาให้

“แต่คุณตา ทำนายว่า สะพานมอญ จะมีวิกฤต”  ดอยโพร่งขึ้นมา เมื่อนึกได้ว่าได้แปลนิมิตคุณตาให้เพื่อนฟังเมื่อขามา

“ท่านดัมราเมียะ เคยพลาดซะที่ไหนล่ะ แต่มันจะลงเอยด้วยดี ใช่ไหม” ฮินทออู หันไปยกจอกกระเบื้องลอยขึ้นตรงหน้า คล้ายเป็นการชนจากระยะไกล กับ จอกของท่านดัมราเมียะ

“พวกคุณตา คุณปู่ นี่มีพลังการมองเห็น หรือทำนายทุกคนเลยเหรอค่ะ” มะนาวสนใจใคร่รู้

“เปล่าเลย แต่ละคนจะมีความพิเศษไปคนละแบบ ท่านดัมราเมียะ บุตรแห่งรันตี จะมองเห็นอนาคตผ่านลำน้ำ” อนันต์ที่นั่งนิ่งอยู่นานเสริม   “ส่วนท่านฮินทออู บุตรแห่งซองกาเลีย จะมีความสามารถในการพลิกพืชพรรณที่ล้มตายให้ฟื้นคืน”

“ท่านก็ชมเราเกินไป ท่านอนันต์”

“พลังของท่านเป็นที่ประจักษ์ครับ” อนันต์ย้ำเสียงเข้ม  “ส่วนท่านวีเอยอง ท่านพิทักษ์เผ่าพันธุ์ผ่านสายน้ำบิคลี่ได้ด้วยเพียงสั่งการผ่านปลายเท้าที่แตะผิวน้ำ   

“ทึ่งไหมล่ะ” วีเอยอง หันไปแหย่มะนาวที่นั่งตาลุกวาว

“ว่าแต่ แม่หนูนี่ ข้าต้องชะตาเหลือเกิน เจ้าคือคนที่ข้าแต้มหน้าผากให้เมื่อคืนแล้วมีเสียงฟ้าร้องใช่ไหม” ดัมราเมียะเอ่ยถาม

“ค่ะ แต่หนูไม่เข้าใจที่ท่านเทพบอก ว่าหนูไม่มีความกลัวเหลือหลง คงเป็นเพียงอนุสรณ์แห่งจิตรำลึก”

“ข้าบังเอิญไปหยั่งรู้ถึงอดีตของหนู และข้าก็ว่า เจ้าเป็นคนเข้มแข็งมาก ข้าเห็นคุณสมบัตินี้ในผู้นำหญิงหลายคน”

“หนูก็แค่พยายามที่จะไม่จมกับอดีตที่หนูไม่คิดจะจำค่ะ”

“นี่แหล่ะ คือสิ่งที่ นาตยา ลูกสาวฉันผ่านไปไม่ได้ พลังอันแกร่งกล้าจากใจเจ้า จะส่งถึงคนอื่น และเป็นกำลังขับเคลื่อนให้พวกเขาไปสู่ความสว่างของหัวใจ  มันไม่ใช่ใครทุกคนที่คิดได้หรอกนะ  เจ้าจะยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า  ไม่ใช่ด้วยเรื่องของชื่อเสียงเงินทอง  แต่เจ้าจะไปสัมผัสชีวิตของคนด้อย และทำให้พวกเขาเจิดจ้าได้เท่าที่เจ้าผลักดัน”

“ฟังดูน่าสนุกนะคะ มะนาวจะพยายามค่ะ”

“เจ้าช่างเป็นเด็กดี..  เจ้าเป็นเด็กดี..”





ผู้เฒ่าทั้งสาม เอ่ยลากันที่กลางสะพาน  ดัมราเมียะเอ่ยรับคำผู้เฒ่าทั้งสองว่าจะมาเยี่ยมให้บ่อยขึ้น เนื่องจากเทพรันตีเป็นผู้ที่อยู่ไกลกว่าคนอื่น จึงได้มาเยี่ยมเยียนกันน้อยกว่าอีกสองท่าน ที่ไปมาหาสู่กันประจำ

ดอยที่นิ่งเงียบไปนาน มีปุยเดินอยู่ข้างกาย เขาไม่ได้จับมือกัน แต่ใช้แขนเบียนกัน ให้หลังฝ่ามือสัมผัสกันตลอดการเดินข้ามสะพานไม้มา  ทันใดนั้น มีเสียงฟ้าคำรามอย่างแผ่วเบา ลมเบาเอื่อยพัดแรงขึ้น ผิวน้ำวิ่งเป็นลูกกว้างเป็นแผ่นผืนสั่นไปทั่วทะเลสาป ผู้เฒ่าทั้งสามคนมองหน้ากันและหันมาที่กลุ่มหนุ่มสาวที่กำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิด  ปลาน้อยใหญ่ กระโดดขึ้นมาปรากฏบนผิวน้ำแล้วดำดิ่งลงไป ชาวมอญต่างหลบเข้าไปในเพิงบ้าน ตาแง้มดูที่บานหน้าต่าง  อนันต์เดินไปหลบอยู่ด้านหลังท่านดัมราเมียะอย่างตกใจ 

ทันใดนั้น ลมก็พัดผิวน้ำวนเป็นเกลียวกลมอยู่ใต้สะพานไม้ แล้วเป็นรูตรงกลางดิ่งเป็นกรวยลงไป แสงแดดที่สาดลงไปบริเวณนั้นพอดีเผยให้เป็นผิวน้ำใส

“นี่เป็นสิ่งที่หนูตั้งใจแน่วแน่ใช่ไหม”  ดัมราเมียะ เดินมาทางมะนาวที่ยืนเผชิญหน้าอยู่

“ค่ะ รับหนูเป็นลูกนะคะ หนูอยากมีพ่อ” ว่าแล้วมะนาวก็ก้มลงไปกอดหน้าแข้งของดัมราเมียะ เมื่อเห็นผู้เฒ่าปรากฏยิ้มและพยักหน้า  ก่อนจะลุกขึ้นแล้วปีนไปบนราวสะพานมอญ

“มะนาว !!”  อาร์มตะโกนกับสิ่งที่เห็น เมื่อสาวน้อยยืนในชุดเสื้อยืดคอวีสีดำ กับกางเกงยีนส์ขาสั้น กำลังยืนเด่นอยู่บนนั้น

“พี่อาร์มคะ มะนาวจะมีพ่อแล้วค่ะ”  เมื่อพูดจบ มะนาวก็กระโดดจากราวสะพาน ลงสู่วงน้ำที่กำลังม้วนตัวลงไปสู่เบื้องลึก

“ขอต้อนรับสู่ครอบครัวแห่งรันตี  ลูกสาวคนเล็กของพ่อ” 






รถเก๋งสีเขียวเข้ม มาจอดเทียบที่บ้านเรือนไม้ที่ตั้งอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำ นาตยาที่กำลังยืนคุยกับอนันต์ ซึ่งขับรถกลับมาก่อนล่วงหน้ากลุ่มของอาร์ม  ดอยเปิดประตูรถ แล้วพยุงดัมราเมียะกลับเข้าเรือน ปุยถือขนมที่ซื้อจากสะพานมอญมาฝากนาตยา อาร์มเอาผ้าเช็ดตัวจากท้ายรถมาห่อมะนาวที่เปียกปอนไว้ แล้วเอาชุดฟุตบอลสำรองซึ่งมีติดรถไว้ มาให้มะนาวเปลี่ยน

“คุณอาครับ ผมขอใช้ห้องน้ำหน่อยนะครับ” อาร์มที่โอบไหล่มะนาวอยู่ พาสาวน้อยที่ตัวสั่นเพราะความหนาวเข้าเรือน
 
“ได้สิจ๊ะ สวิทช์น้ำอุ่นอยู่ด้านนอก เดี๋ยวเปิดให้นะ” นาตยาเดินกลับเข้าเรือนไปจัดเตรียมผ้าขนหนูสำรองไว้ให้

“ขอบคุณค่ะคุณแม่” มะนาวยกมือไหว้ขอบคุณเมื่อ ผ้าเช็ดตัวแห้งสีขาว พับไว้มีกลิ่นหอมถูกส่งมาให้

“ต้องเรียกฉันว่าพี่สิ”

“คะ?”

“อ้าว หนูเป็นลูกสาวของพ่อฉันแล้ว ฉัน แจ้ และก็หนูล่ะนะ มะนาว ต้องเรียกฉันว่าพี่สิ มาๆ มาอาบน้ำก่อน ส่วนผู้ชาย ไปนู่นเลย มาดูผู้หญิงโป๊ได้ยังไง” นาตยาชี้นิ้วใส่อาร์มทำหน้าขึงขังใส่ จนอาร์มหัวเราะแก้เขินแล้วเดินออกจากเรือนไป



ม้านั่งไม้ตัวใหญ่ใต้ต้นขนุน ปุยและดอยนั่งอยู่ มองดูดัมราเมียะ เอาข้าวสวยใส่กะลาโปะด้วยขนุนฝานเป็นเส้น แล้วลอยไปในแม่น้ำ ก่อนกะลาไม้จะจมหายไปในห้วงลึกของรันตี  ผู้เฒ่าใช้สองมือกวักน้ำขึ้นมาสาดเข้าที่หน้าผากตัวเอง ก่อนจะนั่งลงไปในน้ำแล้วหลับตา ดัมราเมียะนั่งอยู่สักพัก ก่อนที่เปลี่ยนเป็นนอนหงายลอยตัวอยู่กลางน้ำ

“ไม่คิดว่า มันจะเป็นเรื่องอะไรใหญ่โตขนาดนี้เลยเนอะ”  ปุยทำหน้าสำนึกผิด

“มันคงเป็นเรื่องใหญ่ เพราะผู้สืบสันดานธารา เป็นอะไรที่ต้องยอมรับจากคนในหมู่บ้านด้วย มันเลยทำให้เราลังเลในช่วงนั้น ช่วงที่เราจีบปุยน่ะ”

“ไม่รู้สึกตัวเองว่าโดนจีบเลยนะ”

“จริงดิ  เราว่าเราจีบนะ”

“ไม่มีเลย อยู่ดีๆ ก็มาทำเนียนๆ ตีสนิท ไปไหนมาไหนด้วย”

“นั่นแหล่ะจีบ เราจีบคนเป็นซะที่ไหนล่ะ”

“ขอบคุณที่ทิ้งทุกอย่างเพื่อเรานะ เราเสียอีก ยังไม่ได้ทำอะไรให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้เลย ดอยมั่นใจกับเรามากเลยเหรอ”

“ก็มั่นใจ แต่ถึงท้ายที่สุดมันจะไม่ใช่ เราก็คิดว่า เราได้เป็นตัวเองในช่วงขณะหนึ่ง  วันหน้ายังมาไม่ถึง แต่วันนี้เราทำเต็มที่”

“แล้วถ้าสักวันเราไม่ได้คบกันแล้ว จะนึกเสียดายไหม ที่ไม่ได้เป็นผู้สืบสันดานธาราน่ะ”

“ไม่เลย พ่อเราจับเราโยนลงน้ำตั้งแต่เด็ก จนเราสำลักบ่อยครั้ง เราถึงได้กลัวน้ำลึกที่เรายืนไม่ถึงไง ถ้าไม่จำเป็น เราไม่ลงน้ำด้วยซ้ำ”

“แต่มะนาว นี่โครตเท่ เลยเนอะ”

“ใช่ สุดยอดแล้ว”

“ดอยว่า มะนาวอยากมีพ่อ หรือเพราะเขาอยากเป็นผู้สืบสันดานธาราน่ะ”

“เราว่า มะนาวทำเพื่อเรา”



กำยานและขี้ผึ้งดำถูกวางไว้ในถาดไม้ขนาดเล็ก มีดอกบานไม่รู้โรยโปรยอยู่บนหน้าธูปเทียนแพ มะนาวในชุดกีฬาของอาร์มเผยผิวขาวผ่องเนียนใส นั่งคุกเขาอยู่ที่พื้นไม้ในเรือน ยกถาดไม้ส่งให้ดัมราเมียะผู้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สัก รับถาดนั้นไป  ผู้เฒ่าเอาแป้งหอมมาวาดที่หน้าผากของมะนาว เอาน้ำอบมาโรย 6 หยดที่กระหม่อมหญิงสาว นาตยาที่นั่งอยู่ถัดไปเอื้อมส่งมาลัยที่เพิ่งร้อยสด ส่งให้ดัมราเมียะ มอบแด่มะนาว  สาวน้อยก้มลงไปกราบแล้วเอาหลังมือของชายชรามาอังที่หน้าผากตามคำแนะนำที่นาตยาสอนไว้เมื่อตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ

“รู้ไหมว่า คุณพ่อบอกไว้ตั้งแต่มะนาวมาถึงว่า เด็กผู้หญิงคนนี้ มีชะตาร่วมกัน” นาตยาหันไปบอก

“ห๋า จริงดิ ยังไงเหรอครับคุณตา” ดอยที่นั่งอยู่หลังมะนาวถามชายชราเพราะอยากรู้

“อัฐิ ของพ่อแม่หนู ถูกโปรยไว้ที่ไหน” ผู้เฒ่าถามลูกสาวคนใหม่

“รู้แต่ว่า ท่านเกิดอุบัติเหตุที่โค้งลงภูเขาระหว่างมาทำธุระที่สังขละบุรี แล้วคุณป้าก็มาโปรยอัฐิที่นี่ แต่ไม่รู้ว่า เป็นแม่น้ำอะไร หรือตรงไหน มะนาวยังเด็กมากค่ะคุณตา..  เอ้ย  คุณพ่อ”

“พวกเขาอยู่ในรันตีนี่ กรรมเก่าเขาหมดลงตรงนี้ และบัดนี้ เขาฝากหนูให้พ่อดูแล มาเป็นลูกสาวเรา อย่าได้กังวลเรื่องผู้สืบสันดานธารา  ท้ายที่สุด จะไม่มีผู้สืบต่อ ครอบครัวเราก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรไป ผู้คนยังคงจะนับถือเราที่คุณความดีของเรา ไม่ใช่ยศฐา  แต่ในญาณของเรา  หนูจะเป็นผู้นำที่ดี และผลักดันให้เผ่าของเราก้าวไปสู่ยุคใหม่ได้ดีกว่าเราอีก”

“โห มะนาว เท่ไปเลย”  ดอยเอามือจับที่ไหล่หญิงสาวจากด้านหลัง

“ต้องเรียกมะนาวว่า คุณน้า” นาตยาดุใส่

“ห๋า”

“ต้องเรียกคุณน้า  น้ามะนาว”

“โอ๊ย เอาจริงสิ”

“อย่าให้ผิดธรรมเนียมสิ ลูกคนนี้”

“ครับ  เท่ไปเลยครับ น้ามะนาว”  ดอยเสียงหม่น ทำเอาทุกคนหัวเราะ ยกเว้นอนันต์ที่มองดอยอยู่ห่างๆ


ดัมราเมียะเล่าถึงความเป็นมาในการยกถิ่นฐานมาปักหลักกันที่ลุ่มรันตีนี้ให้เด็กหนุ่มสาวฟัง อีกทั้งยังเล่าไปถึงความโลภของกลุ่มนายทุนที่พยายามจะขับไล่คนในเผ่าให้ย้ายถิ่นฐานไป เนื่องจากตลิ่งของรันตีนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องความงาม เพราะยังมีความเป็นธรรมชาติมาก ดินโป่งอุดมสมบูรณ์ ผีเสื้อ แมลงปอ ที่บินว่อน ดอกไม้สีสวยริมธาราที่ทนแสงกลางแจ้งได้เพราะร่มไม้ที่รำไร แต่ก็เป็นภัย เพราะใครก็อยากจะจับจองเป็นเจ้าของ

“พ่อหนุ่มคนนั้น มานั่งตรงนี้ทีสิ” ดัมราเมียะ ผายมือไปที่ปุยเมฆ เพื่อให้ปุยเมฆเขยิบมาใกล้ เจ้าตัวประหม่าเล็กน้อย

“คุณตาครับ ท่านวีเอยอง ดูจะไม่ชอบปุยเอามากๆเลยเนอะครับ” ดอยถามชายชรา ที่กำลังเอื้อมส่งลูกประคำมาให้ปุย

“อย่าได้ถือโทษ ท่านบุตรแห่งบิคลี่ เลยนะพ่อหนุ่ม” ดัมราเมียะ เอื้อมหน้าลงมาที่ปุยเมฆซึ่งสั่งอยู่กับพื้น

“ครับ ไม่ได้คิดอะไรมากเลยครับคุณตา”

“แม่น้ำบิคลี่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธัญญาพันธุ์ ชนเผ่าเขาถือสาเรื่องการมีทายาทสืบสกุลเหลือล้น เพราะเขาบูชาเทพแห่งดินน้ำ และชั้นฟ้า ที่ประทานข้าวปลาอาหารที่อุดมสมบูรณ์กว่าใครอื่น การที่ดอย และ ไก่แจ้ มีความเสี่ยงที่จะไม่มีทายาทให้ แน่นอนว่า สร้างความไม่ถูกใจให้แก่พวกเขา  แต่พอหาทางออกได้ ท่านก็ยิ้มร่า เห็นไหม”

“ผมไม่ได้คิดอะไรมากเลยจริงๆนะครับ”

“นั่นก็คงผิดจริตจากที่เราเห็นสินะ เพราะพ่อหนุ่มน่าจะเป็นคนคิดมากเหลือหลาย.. ยังคิดถึงคนที่จากไปใช่ไหม”

“...” 

“จะบอกให้ว่า..  นางจะดูพ่อหนุ่มอย่างภูมิใจ จากนี้ไป จงเดินหน้าตั้งใจเติบใหญ่เป็นคนดีตามที่ปณิธานไว้”

“ครับ” ปุยที่เริ่มมีน้ำตาริน ตอบชายชรา

“คุณพ่อไม่ทักท้วง เรื่องเจ้าดอย กับเด็กคนนี้สักหน่อยเหรอครับ”  อนันต์ที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่นาน ระบายความในใจ

“ไม่มีอะไรที่เราต้องทัดทาน”

“เขาพิเศษกว่าคนอื่นหรือยังไงครับ”

“ไม่ เด็กคนนี้ ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ”

“แล้วทำไมล่ะครับ ทำไมไม่คัดค้าน ลูกผมทั้งคนจะเป็นยังไงในภายภาคหน้าถ้าจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับเด็กคนนี้”

“ยอดดอย.. ก็จะมีรอยยิ้มกลับมาเหมือนเมื่อกาลครั้งนั้น.. หลานของเราคนนี้ จะกลายเป็นชายผู้มีความสุขที่สุดในโลก”





ของฝากถูกอัดไว้เต็มหลังรถ อาร์มพยายามจัดให้เข้าที่เข้าทางเพื่อลดความเสียหาย เสื้อผ้าใช้แล้วถูกห่อไว้ในกล่องพลาสติก กับกระเป๋าเดินทางของน้าแจ้ที่ล่วงหน้ากลับไปก่อน ก็ถูกฝากไว้ในรถของอาร์มเช่นกัน เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ อาร์มก็ตามไปสมทบ มะนาวที่กำลังล่ำลาคุณตา ซึ่งบัดนี้ได้กลายมาเป็นพ่อบุญธรรมของหญิงสาว  ปุยและดอยอยู่กับแม่ มีอนันต์เดินไปมาไม่กล้าเข้ามาใกล้ แต่เหมือนใคร่รู้ในสิ่งที่คนอื่นคุยกัน 

“หนูจะมาหาให้บ่อยนะคะ หนูจะศึกษาวิถีชีวิตคนที่นี่ผ่านพี่ดอยอีกที หนูให้สัญญาว่าจะมาให้บ่อย”

“ยังเป็นช่วงแห่งการเรียนรู้ ทั้งหนังสือเรียน และชีวิต  อย่าเพิ่งรีบร้อนไปใยลูกสาวเรา ยังมีเวลาให้ได้เรียนรู้กัน”

“ค่ะ แต่หนูรับปาก หนูจะกลับมาหาคุณพ่อให้บ่อยนะคะ”

“ยังมีภาระข้างหน้ารออยู่อีกมาก  แล้วปมในใจของเจ้าจะถูกแก้ไขจนหมดสิ้น ได้น้ำมือของชายผู้นั้น” ดัมราเมียะชี้ไปทางชายหนุ่มที่ยังวุ่นกับการขนของผู้โดยสารขากลับขึ้นรถ “เขาเป็นคนจิตใจดี และจะทำให้หนูมีความสุขไปจนชีวิตจะหาไม่..  หนูเองก็รับรู้ได้”

“ค่ะพ่อ หนูทราบ”  มะนาวกอดดัมราเมียะ เอ่ยคำลา




ดอยกับปุย กราบที่ตักของนาตยา เพื่อร่ำลากลับบ้าน นาตยาเอามือจับที่ไหล่ปุย ฝากฝังให้ช่วยดูแลยอดดอย แล้วขอบคุณปุยที่เป็นแรงบันดาลใจให้ยอดดอยเลิกบุหรี่ได้ ปุยสวมกอดนาตยาก่อนจะปล่อยให้แม่กับลูกชายได้เอ่ยคำลากัน ปุยเลือกที่จะเดินออกมาสมทบกับอาร์มและมะนาว

“โตแล้ว กำลังจะมีเมียแล้ว ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์นะลูก”

“ครับแม่ ผมขอบคุณแม่ที่เข้าใจทุกอย่างโดยไม่ต้องเอ่ยอะไร”

“แม่ไม่ได้เข้าใจอะไรหรอก แม่ก็มีคำถามมากมาย ยังนึกกับพ่อว่า เราเลี้ยงลูกผิดแผกไปตรงไหน... แต่แม่ก็ได้นึกถึงรอยยิ้มของลูก ดอย...  แม่ไม่สนหรอกว่า อนาคตดอยจะได้เป็นที่ยอมรับหรือร่ำรวยมหาศาล ต่อให้ตกอับ จะไปยากดีมีจน แม่ก็แค่เป็นกำลังใจให้ หนุนนำกันได้แค่ไหน ตราบที่แม่มีแรงแม่ก็จะช่วย แต่สิ่งหนึ่งที่แม่ทำให้ไม่ได้..”

“ครับ”

“ก็คือ ความสุขในชีวิตคู่”  นาตยาถอนหายใจเฮือกใหญ่   “ดูความล้มเหลวของแม่สิดอย.. ชนชาติของเราลูกก็รู้ ว่าอยู่กินกันได้แค่คนเดียว แล้วท้ายที่สุด ก็ต้องจมกับความทุกข์ไปจนตาย..  ยิ่งเห็นหน้ากัน ยิ่งจางซึ่งความสุข ยิ่งใกล้ ยิ่งเจ็บ  ลูกต้องไม่เป็นแบบแม่  เลือกแต่สิ่งที่มีความสุข  เงินพยายามเอาก็หาได้ แต่ความสุข เราหาไม่ได้จากความพยายามนะดอย”

“ครับ” ดอย กอดแม่ที่เอว เขาซุกหัวไปที่หน้าท้องผู้เป็นแม่ แล้วแม่ก็กอดโอบเขาไว้อย่างนั้น





ปุยที่เดินมาอยู่ตรงหน้าอนันต์ สบตาชายที่ไม่เคยคิดชอบหน้าเขา อนันต์ไม่ได้หลบหน้าหนี แค่ทำหน้าสงสัย

“ผมขออนุญาตคบหาลูกคุณพ่อนะครับ”

“ถึงฉันไม่ยินยอม พวกเธอก็คงไม่ฟังอยู่แล้ว”

“ดอยเครียดเรื่องความรู้สึกคุณพ่อมาก ผมก็ทุกข์เมื่อเห็นเขาเป็นอย่างนั้น สิ่งเดียวที่พวกผมทำได้ คือจะทำให้คุณพ่อเห็นว่า เราจะชักนำกันไปในทางที่ดี”

“ฉันไม่ได้เปลี่ยนใจง่ายดายอะไรขนาดนั้นหรอกนะ  ฉันไม่รู้ว่าโลกนี้มันหมุนกันไปถึงไหน แต่โลกของฉันหมุนช้ากว่าพวกเธอมากนัก”

“ผมทราบและรู้สึกเป็นพระคุณที่คุณพ่อยังคุยกับพวกผมโดยดี ผมซาบซึ้งนะครับ”

“อืม ก็เดินทางกลับกันดีๆล่ะ ถึงแล้วก็ให้ดอยโทรหาแม่เขาด้วย เขาจะได้อุ่นใจ”

“งั้นผมลานะครับ”  ปุยไหว้อนันต์ แล้วหันเดินไปที่รถ

“ทำให้ได้นะ” 

“....  อะไรนะครับ” หนุ่มน้อยหันกลับมาหาอนันต์ที่ก้มมองยังพื้นดิน ไม่มองหน้าเขา ปุยเห็นอนันต์เริ่มคลายมือที่กำไว้

“ไอ้รอยยิ้มอะไรที่คุณตาท่านว่าน่ะ..   ทำให้ลูกชายฉันที ..ให้ยอดดอย ได้เป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-04-2018 01:02:01 โดย TofuChan »

ออฟไลน์ NC Wanted

  • NC Wanted
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มะนาว เธอคือที่สุด  :call:

ออฟไลน์ DekPed

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มะนาวเธอคือยอดหญิง

ออฟไลน์ NC Wanted

  • NC Wanted
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
นานที จะชอบผู้หญิงในนิยายวาย
มะนาว หนูคือยอดหญิงแห่งลุ่มน้ำสามสี

ออฟไลน์ LovelyPenGirl

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ภาษากะเหรี่ยงที่เขียนคำทำนาย ติ๊ต่างเอา หรืออ่านแบบนั้นเลยคะ  :ruready

ออฟไลน์ SocialMovement

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ภาษากะเหรี่ยงที่เขียนคำทำนาย ติ๊ต่างเอา หรืออ่านแบบนั้นเลยคะ  :ruready

เรา dm ไปถามคนเขียนมาค่ะ พอดีจะยืมบางคำไปใช้ในบทความ พี่โตฟูจังบอกว่า ใช้ถามคนงานที่บ้านเอาค่ะ

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Track 29 :    จะบอกเธอวันนี้.. ให้เธอฟัง  หวังว่าไม่ช้า เกินไป..

รถคัมรี่สีเขียวเข้ม แล่นผ่านโค้งนับสิบ ขึ้นลงเขาอย่างช้า บนรถไม่มีใครหลับแม้จะเป็นเวลาบ่ายแก่คล้อยเย็น อาร์มที่แม่วันนี้ไม่ได้งีบ แต่ก็ไม่รู้สึกง่วง กลับตาสว่างใสแจ๋วด้วยกาแฟเย็นที่มะนาวคอยป้อนส่งเข้าปากเป็นระยะ ส่วนปุยนอนพิงไหล่ดอยหลับไป ปล่อยให้ดอยใช้เวลากับตัวเองเพ่งมองไปนอกหน้าต่าง ดอยหันไปหอมที่หน้าผากของปุยซึ่งงัวเงียลืมตามาส่งยิ้มก่อนจะหลับต่อที่ไหล่ของชายหนุ่มต่อไป

“เดี๋ยวถึงน้ำตกเกริงกระเวีย แวะเข้าห้องน้ำ เล่นน้ำกันหน่อยไหมวะ อาร์ม มึงจะได้พักด้วย” ดอยถามโชเฟอร์

“เอาสิคะ น้ำตกอยู่ติดถนนเลยนี่นา มะนาวอยากถ่ายรูป เล่นน้ำตกกันแป๊บนึงเนอะ”

“โอ้โห นี่วันนี้กะจะเป็นราชินีแห่งน้ำเลยเหรอครับ กระโดดสะพานไปแล้วจะมากระโดดน้ำตกต่ออีกรอบเลยเหรอ”

“ไอ้พี่อาร์มบ้า”

“ฮ่าๆๆๆ  แวะสิครับ เดี๋ยวพี่ถ่ายรูปให้นะ แต่อย่าไปกระโดดอะไรอีก พอได้แล้ว หัวใจจะวาย”




ริมถนนใหญ่ ทางหลวงแผ่นดินสาย 323 มีป้อมตรวจดักรถ เพื่อป้องกันไม่ให้นำชาวพม่าเข้ามาค้าแรงงานในตัวเมือง ตำรวจตระเวนชายแดนสั่งให้ทุกคันเปิดกระจก แล้วก็เอาไฟฉายส่องในรถเพื่อดูหน้าตาผู้โดยสาร ยอดดอยดูจะเป็นผู้ต้องสงสัยเพียงคนเดียวในรถ ตชด.สั่งให้ยอดดอย ร้องเพลงชาติ พร้อมขอดูบัตรประชาชน คนที่เหลือบนรถหัวเราะลั่นจนดอยออกอาการฉุนใส่เจ้าหน้าที่  ปุยต้องเอามือมาจับที่แขนเพื่อเป็นการบอกให้ดอยใจเย็น  มะนาวส่งกาแฟกระป๋องที่ยังมีความเย็นอยู่ ส่งให้เจ้าหน้าที่ 1 กระป๋องเพื่อเป็นแรงใจในการทำงาน  อาร์มขับออกจากด่าน มาตามทาง รถไม่ค่อยเยอะ มีสวนกลับขึ้นไปทางสังขละบุรีบ้างเป็นระยะ  ยอดดอยมองเห็นคนนั่งพับเพียบอยู่ริมถนนใต้ต้นพุทราขนาดใหญ่  มีย่ามสะพายสีแก่นขนุนวางกองอยู่ที่กอหญ้า
“เฮ้ย อาร์มจอดก่อน แม่ชีสีชมพูว่ะ”  ดอยชี้ให้อาร์มจบเทียบข้างทาง อาร์มค่อยแฉลบรถเข้าข้างทางเลยตำแหน่งที่แม่ชีนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้  ดอยรีบเปิดประตูรถลงไป ตรงไปที่ผู้ที่นั่งกับพื้นหญ้า เขาพนมมือถาม “แม่ชีครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“แม่พักหลบแดดน่ะลูก พอดีจะรอรถประจำทาง เพื่อติดไปลงที่น้ำตกเกริงกระเวีย”

“ไปกับพวกผมได้ครับ ผมจะแวะไปส่ง”  ดอยหยิบย่ามของแม่ชี แล้วเดินนำมาที่รถ  มะนาวเปลี่ยนสลับที่มานั่งกับดอยด้านหลัง เพื่อกั้นการถูกเนื้อต้องตัวของผู้ชายกับแม่ชี ปุยจึงเปลี่ยนไปนั่งที่ด้านหน้าแทน ก่อนที่อาร์มจะขับรถออกไปต่อ ด้วยความเร็วที่ลดลงมา




“มะนาว ขอบคุณนะ สำหรับทุกอย่าง ที่ทำให้ขนาดนี้” ดอยเอื้อมมือไปกุมมือของมะนาว

“ไม่ได้ทำให้พี่ดอยคนเดียวหรอก อย่าลืมนะคะ ว่ามันดีกับทุกคน มะนาวเองก็ได้มีพ่อด้วย รู้สึกถูกชะตากับน้านาตยา กับคุณตามาก ไม่รู้เป็นอะไร”

“มันคือด้ายแดงแห่งโชคชะตาน่ะลูก”   คำพูดสุดท้ายของแม่ชีสีชมพู ทำเอาทุกคนบนรถเงียบกันไปหมด ปุยหันไปมองหน้าอาร์มที่ก็มีสีหน้าสงสัยไม่แพ้กัน  บรรยากาศที่ล่องลอยไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

“นี่แม่ชีไปไหนมาหรือเปล่าคะ ทำไมมารอไกลจากด่านมากขนาดนี้ล่ะคะ”

“แม่ไปสอนเด็กที่หมู่บ้าน เด็กนักเรียนขี่จักรยานมาส่งแม่ที่ปากทาง แม่เลยมารอรถตรงนี้”

“เด็กเยอะเลยเหรอครับ สอนอะไรบ้างน่ะครับ” ปุยหันหลังมาถามแม่ชีด้วยความสนใจ

“ไม่เยอะจะลูก แต่เด็กทุกคนมีความตั้งใจ ตัวแม่ ไม่มีความสูงอะไรมาก ก็มาสอนให้เขาอ่านออกเขียนได้ แล้วดูแลเด็กระหว่างที่พ่อแม่เขาไปทำไร่ ดูสวนยาง ช่วงนี้ คนย้ายจากภาคใต้ มาปลูกยางแถวนี้เยอะ เขาว่าอากาศมันเหมือนภาคใต้ ฝนตกชุก แถมผู้คนก็หนีความไม่สงบหลายอย่าง แถวนี้เลยมีทั้ง สุเหล่า และชุมชมมุสลิม แต่กับเราชาวพุทธ ก็เป็นพี่น้องกัน ช่วยเหลือกันและกัน แม่ดีใจ อะไรช่วยกันได้ ก็อยากจะช่วย”

“อย่างผมนี่มาสอนได้ไหมครับ คือ อย่างเช่นเสาร์อาทิตย์ หรือปิดเทอมผมว่าง ผมมาช่วยได้ไหมครับ”

“ได้สิลูก ยังมีเด็กอีกหลายหมู่บ้าน เขาเป็นคนมอญบ้าง กะเหรี่ยงบ้าง พม่าบ้าง แม้จะพูดภาษาไทยได้ แต่อ่านออก และเขียนไม่ได้ ถ้าจะไปเข้าโรงเรียน มักจะมีปัญหา ถ้าได้รู้จึกการอ่านเขียนพื้นฐาน ก็จะดีไม่น้อย เราส่งต่อเขาเข้าโรงเรียนได้”
“ผมว่า แทนที่จะส่งนักศึกษาไปฝึกงานสอนตามโรงเรียน ก็แบ่งจำนวนมาแบบนี้บ้างก็ดีนะครับ  ดีกว่าไปยืนส่งแฟกซ์ ไปซื้อขนมถังแตกให้ ผอ. มาทำแบบนี้มีประโยชน์กว่า”  อาร์มแสดงทัศนะ

“แม่ก็คงไม่กล้าไปวิจารณ์อะไรแบบนั้น แค่หลวงมีที่ให้ชาวบ้านทำกินโดยไม่ผลักไส แค่นี้ ชาวบ้านก็ดีใจแย่แล้ว”




รถจอดเทียบที่ริมข้างทางเรียงราย แม้จะคล้อยเย็น เสียงน้ำตกซ่าดังมาถึงข้างถนน มีป้ายไม้ “น้ำตกเกริงกระเวีย” ตั้งอยู่ที่ริมถนนใหญ่  ซึ่งเป็นที่ตั้งของน้ำตกขนาดเล็กที่อยู่ริมถนน ใครผ่านไปมาก็มักแวะเพราะมีของขาย อาหาร เครื่องดื่ม หรือแวะเข้าห้องน้ำ ส่วนตัวแอ่งน้ำตกก็ใกล้ถนน เดินเข้าไปไม่ไกลเหมือนน้ำตกทั่วไป

“แม่ชีจะไปไหน ให้พวกเราไปเป็นเพื่อนไหมครับ” ปุยส่งย่ามถวายคืนแม่ชี ที่ลงจากประตูหลังรถลงมา

“แม่พักที่นี่แหล่ะหนู พอดี กุฎิเก่าของอดีตพระอาจารย์ยันตระ อมโร ที่ท่านสึกไปอยู่ต่างประเทศ ทางวัดเห็นว่าว่าง จึงให้เป็นที่พำนักของแม่ชีที่แวะเวียนกันมาสอนเด็กตามหมู่บ้าน เพราะที่นี่สัญจรขึ้นรถเมล์ได้สะดวก  ถ้าพวกหนูมีเวลา เดินไปกับแม่สิ แม่มีของจะให้”  แม่ชีสีชมพู เดินนำหน้าเด็กหนุ่มสาว ที่เดินตามกันมา  ข้างน้ำตกขนาดเล็ก เป็นทางเดินดิน มีรั้วไม้ให้จับระหว่างทางชัน  เดินเพียงไม่ถึงครึ่งกิโล ก็ถึงเรือนไม้ ที่เคยเป็นกุฏิของพระอาจารย์ดัง   แม่ชีเดินเข้าไปในกุฏิ หยิบผ้ายันต์สีแดงที่พับใส่ถุงตะข่ายสีขาวไว้ หยิบใส่มือที่แบของทุกคน

“ยันต์แผ่นนี้ เรียก เป็นเมตตาคุณ แม่ให้พวกหนูไว้ ไม่ใช่เพราะมันมีพลังวิเศษอะไร แต่ให้มันรำลึกถึงความมีน้ำใจของพวกหนู  ในห้วงแห่งความคิดดี และทำดี จงนึกไว้เสมอว่า เรามีคุณค่าเพียงพอแก่โลกใบนี้ จงมีชีวิตอยู่ให้นาน เพื่อเป็นดอกไม้ที่สวยงามแด่พระแม่ธรณี” แล้วแม่ชีสีชมพู ก็สวดให้พรด้วยภาษาที่หนุ่มสาวไม่คุ้น ดอยนั่งลงคุกเข่า อาร์มดึงให้มะนาวและปุย นั่งลงทำตาม เสียงของแม่ชีไพเราะ บทสวดที่จับต้องความหมายไม่ได้ กังวานไปทั่วเวิ้งธารน้ำตกที่งดงาม ก่อนตะวันจะเริ่มคล้อยมืดลง




“พี่โอ๊คได้ติดต่อมาหาเธอบ้างไหม”  กล้าที่กำลังเฉือนโรลครีมชาเขียวที่แก้ใส่จาน แบ่งให้โอเล่

“ส่งแบบรวมๆน่ะ เป็น Forward Email ไม่ได้เจาะจงว่าให้ฉันหรอก” โอเล่รับ โรลมาตัดแล้วจิ้มเข้าปาก “ทำไมอะไร ๆ ก็ต้องเป็นชาเขียวไปหมดเลยพักนี้ อีกหน่อยคงมี ผ้าอนามัยรสชาเขียว”

“โอเล่”

“อาฮะ”

“เป็นแฟนกันได้แล้ว”

“แกประสาทป๊ะ”

“....”

“หรือว่าบ้า”

“....”

“ไม่ก็ปัญญาอ่อน”

“โหว  สำนึกผิดแทบไม่ทันเลย  ขอโทษ ก็นึกว่า จะเริ่มมีใจให้เราบ้าง ไม่นึกว่าจะคิดไปเองคนเดียว”

“แล้วที่มายอมให้ล้วงให้ควัก ให้กอดจูบ นี่นึกว่าฉันยอมทุกคนหรือไง”





อาร์มขับรถเข้าสู่เขตอำเภอเมือง ตะวันลับฟ้าไปนานแล้ว โดยโชเฟอร์หนุ่มเลือกที่จะหักรถเข้ามายังถนนเลียบริมแม่น้ำ เพื่อชมวิวสะพานข้ามแม่น้ำแKามค่ำคืน ซึ่งเริ่มเปิดไฟตกแต่งไฟสีเหลืองยาวค่ำคืน เนื่องจากใกล้เทศกาลปีใหม่ เสียงโทรศัพท์มือถือเข้าเครื่องปุยเมฆเป็นระยะ มีทั้งสายของพ่อปุยและแม่ของดอย สลับกันมาถามว่าถึงปลายทางหรือยัง พร้อมเสียงบ่นลอดหูโทรศัพท์จากพ่อของดอยผู้เสนอให้ค้างอีกคืน แต่ไม่ยอมค้างกันเนื่องจากปุยมีเรียนในวันรุ่งขึ้น 

“คุณตาบอกว่า ให้เราห่างจากสะพานข้ามแม่น้ำแคว คราวที่แล้วเราเกือบโดนเอาชีวิต” ปุยบอกกับดอยที่นั่งข้างๆ

“ทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นปุย”

“คุณตาของเราน่าจะไปสร้างความโกรธแค้นให้ทหารเชลย คือ คนญี่ปุ่นก็โหดร้ายอยู่ในช่วงสงครามโลก”

“งั้นคราวที่แล้วที่เกือบตกสะพานตอนมากับเรา แล้วก็ฝาเหล็กหัวรถจักรที่ตกลงมาเกือบโดนก็เพราะทหารเชลยเหรอ”

“คุณตาของดอย ท่านไม่ได้พูดเจาะจง แต่ตามประวัติศาสตร์ แต่ละไม้หมอนของทางรถไฟ มันคือ ชีวิตของเชลยที่จากไปพร้อมความโหดร้ายของสงคราม”

“อย่างนี้ก็ต้องหนีไปตลอดน่ะสิ อันตรายมาก อย่าไปเข้าใกล้นะถ้างั้น  ดอยไม่มีปุย ดอยคงแย่” ดอยส่งเสียงออดอ้อน จนอาร์มทำปากเปะผ่านกระจกส่องหลัง

“เราไม่อยากหนีปัญหานะ คราวหน้ารถไปหาท่านดัมราเมียะ เราจะถามวิธีขอขมาไถ่โทษ เพราะมันไม่ใช่ความผิดของเรา”

“เดี๋ยวรอนี่เลย ตอนมะนาวเป็นหัวหน้าเผ่า เดี๋ยวให้มะนาวเป่าปัดให้ เลม่อนซอมบี้ จอมขมังเวทย์”

“นี่แหน่ะ” มะนาวตีที่ต้นแขนของอาร์มจนคนโดนตีร้องโอดโอย “เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะพี่อาร์มก็”

“แล้วนี่พรุ่งนี้ให้ไปส่งไหม เราไปนั่งเล่นที่คณะปุย แล้วค่อยไปวิทยาลัยเราตอนบ่าย” ดอยเอื้อมมือไปจัดผมปุยที่กระเซิงจากการตื่นนอนให้เข้าที่เข้าทาง

“คืนนี้ ขึ้นไปนอนที่ห้องเราไหม”

“อะแฮ้ม”  อาร์มส่งเสียงกระแอม

“ไม่ใช่นะอาร์ม ไอ้บ้า ฮ่าๆๆ  คือ เราอยากคุยเรื่องที่บ้านของดอยน่ะ”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย อย่าร้อนตัวสิปุย  ดูไอ้ดอยสิ ตาเยิ้มแล้ว พรุ่งนี้ปุยมีเรียนเช้านะเว้ย”

“มีเรียนสาย” ดอยสวนกลับ ทำตาเจ้าเล่ห์ส่งมายังเงาสะท้อนกระจกส่องหลัง ทำเอาอาร์มหมั่นไส้


อีเมล์ของโอ๊ค ส่งถึงป๊ากับม๊า ถูกปริ้นท์มาบนกระดาษเอสี่ สีครีม มือกลองนำมามอบให้ที่หน้าบ้าน

“อีกไม่กี่วันก็ คริสต์มาสอีฟ แล้ว ปกติป่านนี้ คงกำลังพาป๊ากับม๊าไปทานอาหารกันที่โรงแรม เพื่อวางแผนการให้โบนัสและของขวัญพนักงานกันช่วงปีใหม่ แต่วันนี้ ลูกอยู่ช่วยไม่ได้ รู้สึกเสียใจจัง  ทางนี้สนุกมาก ลูกถูกขอให้ไปทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย แถม ถูกถ่ายรูปทีละเยอะมาก มีคนมาแต่งหน้า เตรียมเสื้อผ้าแปลกตาให้ใส่ ลูกจะส่งรูปทางเมล์มาให้อาร์ม ม๊าคอยถามจากมันนะ นี่ก็ขยันพามะนาวไปเที่ยว กลัวมะนาวจะเสียการเรียนจัง คอยเตือนอาร์มมันด้วย”

“ที่ฝึกงานดีมาก วันก่อนลูกเอาเอกสารเข้าไปให้ เขาพาชมแผนก  เครื่องมือที่นี่มันดีมากเลยป๊า ถ้าวันหน้าแผนกเคาะพ่นสีของเราใช้เครนยกรถแบบนี้ มันจะดูดีมีราคาเลย เซฟตี้รถให้ลูกค้าได้ด้วย แถมดูหรูหรา เรียกราคาได้ นี่ก็ว่าจะถ่ายรูปให้อาร์มเก็บไว้ เครื่องมือของการซ่อมบำรุงเครื่องอากาศยานมีมาตรฐานกว่าของบริษัทเรามากก็จริง แต่หลายอย่างคงประยุกต์ไปใช้ได้ โอ๊คจะตั้งใจเก็บข้อมูลมาให้ป๊านะครับ”

“อาทิตย์ก่อน ได้แวะมาเข้าศึกษาแปลนจากคุณลุงธนู ราคาคอนโดแนวราบแบบโลว์ไรซ์ ไม่ค่อยดีเลยครับป๊า มันกำลังจะหมดไปเพราะผังเมืองมันเปลี่ยน ข้อบังคับมันเยอะ แต่แถวบ้านเรา มันก็ต้องโลว์ไรซ์นี่แหล่ะ เพราะว่าด้วยเรื่องของเขตแผ่นดินไหว  โอ๊คว่า ที่ถนนเส้นตรงสี่แยกศาลากลางน่าจะดีครับป๊า คุณลุงธนูบอกว่า ถ้าเราตกแต่งมันไม่ดีพอ หรือพื้นที่ลานจอดรถมารายรอบอาคารมากเกิน มันจะเหมือนอพาร์ทเม้นท์ ดูไม่หรู  อย่างไรป๊าก็ใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งรีบไปลงทุน เพราะมาดูตัวเลขบางแปลงของคุณลุงธนู ไม่มีกำไรมากมายอะไร ยิ่งบ้านนอกเรา จะไปตั้งราคาสูง ในช่วงห้าปี สิบปีนี้ยังไม่เหมาะแน่ครับ แต่ลูกจะเขียนเป็นรายงานและขอถ่ายแปลนของลุงธนูกลับไปให้ครับ”

“แกงป่าไก่ไทยฝีมือของม๊านี่ไม่มีใครเทียบเลยครับ ขอบคุณที่เข้าครัวทำให้ลูกหลังจากไม่ได้ทำมานาน ตอนมือกลองบอกว่า ม๊าฝากกับข้าวมาให้ยังแทบไม่เชื่อเลย ว่าม๊าจะเข้าครัวอีกครั้ง นี่ลูกตื่นเต้นที่จะกลับไปทานหลายๆเมนูของม๊ะนะครับ”
“โอ๊คขอโทษที่อาจไม่ได้ช่วยอะไรเต็มที่นัก ไหนจะโชว์ตัวในฐานะขุนแผน ลูกก็ไปเช้าเย็นกลับไม่ได้แวะบ้านเลย เพราะไม่อยากทิ้งการซ้อมของวงช่วงค่ำ เดี๋ยวจะมีขึ้นโชว์ที่ลานเวทีแถวสยามด้วย ไว้จะให้มือกลองถ่ายวีดีโอเอาไปให้นะครับ โอ๊คเริ่มสนุกกับมันครับม๊า ต้องขอบคุณทุกคนที่ให้โอ๊คได้กลับมาเล่นอีกครั้ง”

“ฝากดูแลไอ้ดอยมันด้วยนะครับ เห็นมันมุนานะจะทำเรื่องร้านแต่งรถมอเตอร์ไซค์เต็มที่เลย โอ๊คก็ว่าจะหุ้นกับมันด้วย ลูกเชื่อฝีมือเพื่อนครับ แถมคนช่วยเยอะแยะ  ส่วนอาร์ม ก็ไม่ห่วงแล้ว น้องเป็นผู้ใหญ่มาก โอ๊คภูมิใจกับน้องมากครับ น้องจะเป็นผู้นำของธุรกิจครอบครัวเราได้ โอ๊คเชื่อมั่นน้องครับ”

“ม๊าห่มผ้าหนาๆ นะ อากาศหนาวแล้ว ป๊าก็อย่าดื่มไวน์มาก นี่คุณลุงธนูวันก่อนก็หกล้มจนทำงานไม่ได้อยู่สองวัน แกบ่นใหญ่ ว่าลูกเต้าก็ไม่มี นี่จะให้ลูกช่วยดูแลกิจการต่อ ลำบากใจจังเลย อากาศเปลี่ยน ดูแลรักษาสุขภาพกันนะครับ เดี๋ยวลูกพอจะมีเวลา จะรีบกลับไปหา แต่ปีใหม่นี้คงไม่ได้กลับ กะว่าจะแบ็คแพ็คไปพักผ่อน ไปหาแรงบันดาลใจในการทำดนตรี ปีนี้ลูกไม่อยู่ด้วย แต่ลูกคิดถึงป๊ากับม๊านะครับ  รัก.. จากลูกโอ๊ค”



ในห้องนอนชั้น 3 ดอยนอนเล่นเกมบอยที่เตียงในท่ากึ่งนั่ง ชายหนุ่มที่เปลือยหน้าอก โชว์ผิวคล้ำเนียนเอนหลังพิงหัวเตียงไว้ เขารอให้ปุยอาบน้ำเสร็จ เพื่อจะนั่งคุยกันเฉกเช่นกิจวัตรที่ทำกันปกติ  เพียงแต่วันนี้มันจะต่างออกไป เพราะปุยเอ่ยปากให้เขานอนค้างที่ห้องได้ ซึ่งปกติพอเที่ยงคืนเขาก็จะเดินลงมายังห้องพักเขาเพื่อให้ปุยได้พักผ่อน ทั้งที่ใจจริงก็อยากจะค้างที่ห้องนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก แถมยังเพิ่งผ่านเรื่องของห้อง 2D มาด้วย กว่าจะพ้นความชุลมุนมาได้ ยอดดอยจึงคิดว่าไม่อยากจะก่อปัญหาอะไรเพิ่ม ไม่อยากให้ปุยเมฆมองเขาไม่ดี เขาจึงพยายามข่มใจและทำตัวเป็นคนสุภาพไม่ทำตัว รุ่มร่ามใส่ปุย แม่ในใจจะอยากดึงหนุ่มร่างบางเข้ามากอดฟัด ยิ่งตอนที่หนุ่มน้อยผิวขาวใสเดินออกจากห้องน้ำ มีเพียงผ้าเช็ดตัวสั้นจู๋พันเอวไว้ เผยให้เห็นโคนขาเนียน หรือผ้าเช็ดตัวอีกผืนที่ห่อไหล่ไว้แต่ไม่เคยมิด เผยให้เห็นเนินอกขาว แม้เจ้าตัวอย่างปุย คงไม่คิดอะไรเพราะเป็นผู้ชาย แต่หัวใจที่เต้นแรงของเขามันทำเอาเขาทรมานอยู่ไม่น้อยทุกครั้งที่ต้องเห็น

“อาบน้ำไหม” ปุยเดินออกมาด้วยท่าเดิม ที่ยอดดอยคิดเสมอว่า นี่ถ้าปุยไม่ใสซื่ออย่างที่เขาสัมผัสแล้ว คงต้องคิดว่า สุนัขจิ้งจองตัวนี้ เจ้าเล่ห์และช่างยั่วยวนเสียเหลือเกิน

“เดินมานี่โหน่ยยยยยว”

“อย่ามามองแบบนี้นะ”

“มองยังงายยยยยยย”

“มันดูหื่นๆน่ะ”

“คิดมากหน่า มาเร็ว มานี่ มา นะๆๆๆ”  ดอยเอามือตบที่เตียงเบาๆ เป็นการเรียกให้ปุยเดินมาหา ปุยก็เดินมาแต่โดยดี

“ที่ให้มาอยู่ด้วยคืนนี้ เพราะจะคุยกันเรื่องอนาคต ไม่ใช่ให้มาคิดทะลึ่งลามกจกเปรต”

“ว่าเค้าทำมายยยยย” ดอยเอามือไปดึงผ้าเช็ดตัวของปุยที่คลุมไหล่ ไปเช็ดผมที่เปียกของปุยให้ ท่อนบนของปุยจึงไม่มีอะไรปกคลุมอยู่ ดอยยังคงเหลือบมองมาเป็นระยะ พอเจอสายตาปุยจ้องกลับ ดอยก็หันไปมองเส้นผมที่เริ่มแห้งของปุยแทน

“เราจะทำให้พ่อของดอย ยอมรับเราให้ได้นะ”

“อย่าคิดมากสิ ถึงรับไม่ได้ ก็ไม่ต้องกังวล แค่แม่ กับ คุณตาไม่ทักท้วง ก็โอเคแล้วหน่า”

“ไม่ได้หรอก ถ้าได้รับพรจากผู้ใหญ่ มันจะทำให้ทุกอย่างราบรื่น ไม่ควรมีใครทักท้วงหรือไม่เห็นด้วย”

“อืม ก็เอาเท่าที่ได้นะ เราแค่อยากให้ปุยรู้ว่า ถ้ามันจะรอดหรือไม่รอด ไม่เกี่ยวกับคนรอบข้างแล้ว อยู่ที่พวกเรา”

“ครับ”

“แล้วนี่ ดูอยู่กันมาหลายเดือนแล้ว ไม่เห็นบอกรักดอยสักคำเลย”

“ดอยก็ไม่เคยพูดนะ”

“พูดออกจะบ่อย” ยอดดอยถอดกางเกงฟุตบอลออก เหลือแต่กางเกงชั้นในสีเทาเข้ม

“เฮ้ย ถอดทำไม  แล้วพูดตอนไหน เราไม่เคยได้ยิน”

“ก็พูดกับตัวเอง พูดซ้ำๆ จนมั่นใจ ก็เลยจะบอกต่อหน้าวันนี้..  ผมรักคุณ”

ดอยเอื้อมไปดึงปุยมาแนบชิดใน ก่อนจะโน้มตัวปุยให้นอนราบบนเตียง เขาคร่อมลำตัวที่เผยเนื้อผิวสีแทนมาอยู่บนตัวปุย ทำให้สีผิวที่ตัดกันจนชัดเจน ดอยก้มลงไปจูบปุยที่ปาก ปุยดูตื่นเต้นจนลมหายใจแผ่วร้อน ดอยซึ่งหายใจถี่ไม่แพ้กัน บรรจงบดปากลงไปอีกครั้ง เขาเอาลิ้นแตะที่ขอบริมฝีปากบนของปุย แล้วขบมันเบาบาง ปุยครางเสียงออกมา ดอยบดรอยจูบลงไปอีกครั้งแล้วเม้มที่ขอบริมฝีปากล่าง เขาดูดมันอย่างเบาช้าก่อนจะแหย่ลิ้นของเขาเข้าไปในปากปุย หนุ่มร่างบางสัมผัสรสลิ้นคนเป็นครั้งแรก มันจืดแต่หวานในความรู้สึก ปุยหายใจแรงและลึก ดอยถอนหน้าออกมา เขามองตากันอยู่ชั่วอึดใจ

“รักนะครับ  ดอยรักปุยนะครับ”

“ผมก็รักคุณ.. ยอดดอย”




ที่หน้าผับอาปาเช่ ซาลูน ผู้คนทยอยออกจากสถานบันเทิง อาร์มจูงมือมะนาวเดินข้ามถนนกลับมาที่รถยนต์ซึ่งจอดอยู่ไกลพอประมาณ เพราะผู้คนแน่น มาชมคอนเสิร์ตวงดนตรีดัง ที่มาแสดงในผับ ซึ่งมะนาวเป็นแฟนเพลงของนักร้องนำ อาร์มผู้รู้ใจก็ขันอาสาหาบัตรและจองที่นั่งหน้าสุดไว้  นักร้องนำยังรับตุ๊กตาหมีตัวเล็กที่มะนาวเตรียมมาเป็นของขวัญให้ไปเก็บไว้ พร้อมส่งดอกกุหลาบจากแจกันที่ตั้งอยู่ตรงโพเดียมหน้าเวทีมามอบให้มะนาวคืนกลับ เล่นเอามะนาวดีใจจนเนื้อเต้น

“ชุดนี้เพลงดังทุกเพลงเลยเนอะพี่อาร์ม คนในผับร้องกันได้หมดเลย พี่ชอบเพลงอะไรคะ”

“ชอบข้อความ กับ ความลับ”

“มะนาวชอบทุกเพลงเลย แต่ชอบ ดาว เป็นพิเศษ”

“ไปบอกรักใคร แล้วเขาไม่รับฟังเหรอครับ”

“จะบ้าเหรอ มะนาวจะไปบอกรักใคร”

“ก็ไม่รู้สินะ” อาร์มเปิดประตูรถให้มะนาวเข้าไปนั่งในรถ แล้วเดินอ้อมกลับมาเปิดประตูฝั่งตัวเอง เข้าไปนั่งแล้วสตาร์ทรถ

“พี่อาร์ม”

“ครับ”

“มะนาว รัก พี่อาร์ม นะคะ”
.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ SocialMovement

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ LovelyPenGirl

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รักพี่โอ๊ค เอ็นดูพี่อาร์ม   :-[

ออฟไลน์ TofuChan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 92
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
Track 30 :    เริ่มรู้จักความหวาน.. กับรักลึกซึ้งหมดใจ.
                                เริ่มรู้จักความหมาย.. ของคืนวัน



ที่ห้องโถงหรูของบ้าน ตรีโอฬารวงศ์ โซฟาสไตล์หลุยส์มีชายหญิงสูงอายุ สนทนากับหนุ่มน้อยหน้าตาดีด้วยความขึงขัง โทรทัศน์จอใหญ่ เปิดทิ้งไว้แต่ถูกหรี่เสียงลง มีสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลสีขาวสองตัว นั่งขนาบข้างชายหญิงคนละตัว

“มันไม่ใช่เรื่องเล่นนะอาร์ม คิดดีแล้วเหรอ”

“คิดดีแล้วป๊า เชื่อผม งานนี้อาร์มขอ รับรองว่า ทุกอย่างมันจะดีเอง”

“แล้วป๊าต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง”

“ไม่ต้องทำอะไร เตรียมใจอย่างเดียวป๊า”

“เฮ้อ มันเป็นการหาเรื่องใส่ใจเราหรือเปล่าเนี่ย  ว่าไงดีล่ะคุณ” ชายสูงอายุหันไปทางหญิงที่นั่งข้าง บัดนี้เธออุ้มพุดเดิ้ลน้อยมาวางที่ตัก พลางลูบขนหยิกนั้นอย่างเอ็นดู

“เอาเข้าจริง มันก็ถึงเวลาแล้วล่ะ”

“มันจะทำให้พวกเขาดีขึ้นเหรอ คุณว่า”

“เปล่าหรอกค่ะ  มันจะทำให้พวกเราดีขึ้นด้วย”






หน้าบ้านหลังใหญ่ โครงการภัทรียานคร ริ่มถนนปิ่นเกล้า-พุทธมณฑล  ชายวัยกลางคน ไขประตูบ้านพร้อมพาเด็กหนุ่มร่างบางที่เดินตามอยู่ด้านหลัง เข้ามายังโถงของบ้าน ซึ่งแต่งไว้อย่างเรียบง่าย แต่มีของสะสมแปลกตาเป็นเครื่องตกแต่ง โดยมีเสียงบทสวดมนต์จากเครื่องเล่นเทปดังลอยมาจากชั้นสองของบ้าน  ชายเจ้าของบ้านพาเด็กชายให้มานั่งที่โซฟาใกล้กับที่เขานั่งอยู่  ที่บันไดชั้นสอง มีหญิงวัยกลางคนเดินลงมาพร้อมชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นที่คอยประคองแขนคู่กันมา

“อ้าว มากันแล้วหรือ นี่คือปุยเมฆใช่ไหม”

“สวัสดีครับคุณอา ผมปุยเมฆครับ”

“เคยเห็นตอนเด็ก ไม่คิดว่าจะโตไวขนาดนี้ นี่อายุก็ใกล้กับเจแปนล่ะมั๊ง”

“อันนี้ พี่เจแปน ลูกคนโตของพ่อนะปุย สวัสดีพี่เขาสิ”

“สวัสดีครับ” ปุยยกมือไหว้ชายหนุ่มหน้าตาดี หุ่นล่ำตัวสูง ที่เขาลังเลว่า จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับการมาเยือนครั้งนี้

“สวัสดี ตามสบายนะ เดี๋ยวผมขอตัวก่อนครับพ่อ เพื่อนชวนไปงานคริสตมาสอีฟของที่ทำงานเขา”

“อืม ขับรถขับราให้ดีนะ น้ำมันมีไหม เอาบัตรเครดิตพ่อไปรูดสิ”

“ไม่เป็นไรครับ   แม่ผมไปก่อนนะ เดี๋ยวตอนดึกผมซื้อข้าวต้มมาฝาก”

“เอาเป็นโจ๊กไว้กินตอนเช้าดีกว่าลูก เดี๋ยวคืนนี้ แม่คงอิ่ม ทำกับข้าวไว้ให้พ่อกับปุยซะเยอะเลย”

“อ่ะ” เจแปนส่งกระดาษสมุดที่ฉีกไว้เหลือเพียงครึ่งเดียว เป็นลายมือหวัด จดอักษรภาษาอังกฤษไว้

“ครับ” ปุยยื่นมือไปรับมา

“ไม่ได้อยู่กินข้าวด้วย ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยด้วยนะ แต่นัดเพื่อนไว้ อันนี้ อีเมล์ ไว้เขียนมาคุยกัน”

“ขอบคุณครับ..  พี่เจแปน”




หน้าร้านอาหารนกน้อยโภชนา ไก่ย่างส้มตำร้านเจ้าประจำตะโกนเรียนนกน้อยที่มักซื้อตูดไก่ไว้ให้แจ้แกล้มเหล้าอยู่เสมอ แต่นกน้อยบอกปัด เพราะวันนี้สาวใหญ่เจ้าของร้านก็เตรียมกับข้าวไว้เต็มที่เหมือนกัน ซึ่งมีทั้งอาหารทะเล และก็ไก่ย่างแบบทั้งตัว สูตรพิเศษ เนื่องจากนกน้อยพยายามจะจัดจานเลียนแบบไก่งวงคริสตมาสให้เหมือนมากที่สุด แล้วก็เอาต้นโกศลมาแต่งด้วยไฟเม็ดสีเหลืองแทนต้นคริสตมาส  อีกทั้งยังฉีดสเปรย์พ่นที่ชั้นวางของสดของร้านเป็นอักษรภาษาอังกฤษ ว่า Merry X-Mas1999

“โอโห๋ เตรียมพร้อมซะขนาดนี้ ฉันก็เมาแย่ล่ะสิ” แจ้ที่เดินมาเอากับข้าวซึ่งลูกค้าในร้านอินเทอร์เน็ตสั่งไว้ แวะแซว

“ก็แหม ใครๆ ก็ทิ้งไปกินกันเองซะหมด เด็กๆ ก็ติดปาร์ตี้อื่น หนูจัดกับข้าวเต็มที่ เผื่อจะถ่ายรูปไว้ยั่วยวน จำไว้นะ ทีหลังมีงาน ต้องฉลองที่นี่ ห้ามไปที่ไหน”

“ร้ายจริงๆเลยแม่หนูคนนี้” แจ้เอื้อมมือไปหยิกแก้มนกน้อยที่กำลังเสียบไม้เข้ากับปลาหมึกหมักไว้ได้ที่

“ไม่ได้หรอก จะได้เข็ดเมื่อเห็นว่า ที่นี่อุดมสมบูรณ์กันแค่ไหน เชอะ”

“ว่าแต่ อาร์มก็ไม่อยู่ มะนาวก็ไม่อยู่ โอ๊คก็ไม่กลับ ไอ้เจ้าดอยกับน้องปุยนี่ไม่ต้องพูดถึง รับรองได้ว่าไม่กลับเมืองกาญจน์แน่นอนล่ะคืนนี้  ก็กินกันสองคนสินะ

“สาม”

“ใครอีกคนล่ะ ฉันรู้จักไหม”

“รู้จักดี รู้ลึก รู้ทุกซอกทุกมุมเลยล่ะ”

“ห๋า ใครกัน หนูเชิญใครมาร่วมวงกับเรา”

“คนสวยของพี่แจ้ไงคะ น้องแมว แสนสวยไง”





ในแมนชั่นหรูกลางเพลินจิต ชายหนุ่มหน้าตาดีสองคนเพิ่งเดินผ่านล็อบบี้เข้ามาจนคนที่นั่งเล่นอยู่บริเวณหน้าสระว่ายน้ำ และหลังกระจกห้องฟิตเนสต้องเหลียวมองในความสะดุดตา หญิงสาวตัวอวบอ้วนที่กำลังวิ่งบนลู่หันมองตามจนชายสองคนเดินเข้าประตูลิฟท์ไป
“แล้วนี่มือกลองมาเยี่ยมบ่อยไหมวะ”

“มาบ้างแต่ว่างานของเขาก็ยุ่งแหล่ะ ห้างสรรพสินค้า พอใกล้ปีใหม่มันยุ่งมาก นี่คริสตมาสไม่ต้องพูดถึงคนซื้อของกระจาย”

“เออ ดูมึงซูบลงนะโอ๊ค แม่งอย่าโหมนักสิว่า ยิ่งป่วยง่ายอยู่ด้วยมึงน่ะ”

“มึงก็อ้วนท้วนเชียวไอ้ดอย ตัวเป็นจะเป็นหมูอยู่แล้ว”

“เขาเรียกหมีเว้ย กำลังจะมาแรงในยุคสหัสวรรษ”

“ชิชะ อย่างนี้ปุยคงต้องตามมึงแจเลยสิ ไอ้ขี้โม้”

“อ้าว อย่าดูถูกกู หน้าบ้านๆ ตัวล่ำๆ จะมาแทนพวกขาวตี๋เว้ย มึงน่ะเตรียมตกกระป๋องได้เลย ไอ้โอ๊ค”

“เออๆ ยอมๆ  เชี่ย หลงตัวเองชิบหาย”  โอ๊คเดินนำดอยผ่านประตูลิฟท์ที่ถูกเปิดออกไปยังห้องด้านขวาซึ่งใหญ่ที่สุดในชั้น

“กูก็ขำๆน่ะแหม ใครจะฮอตเท่าพี่โอ๊ค นี่น่ากลัวหัวลิฟท์แทบไม่แห้งเลยสิท่า”

“ยามก็มีเปล่าวะ เขาไม่ได้ให้เข้าง่ายๆนะเว้ย”

“แล้วนี่มึงน่ะไปถึงไหนแล้ววะ กับมือกลองเนี่ย” ดอยมองดูโอ๊คที่หยิบบัตรสี่เหลี่ยมมาแตะที่หน้าประตูเพื่อปลดล็อคห้อง

“อย่ามาทำเนียน เล่าเรื่องมึงกับปุยมาเลย เห็นโอเล่บอกว่า ปุยไปเรียนสายโด่ง แทบไม่มีแรงเดิน มึงทำชั่วอะไร เล่ามา”






“ให้มะนาวแต่งตัวซะสวยเชียว นี่จะพาไปไหนคะเนี่ย”

“ไปที่หนึ่ง มะนาวจะไม่เข้าไปก็ได้นะ ปาร์ตี้คริสตมาสนี้ จัดให้มะนาว แต่ไม่ได้บังคับ”

“พี่อาร์มนี่ก็พูดแปลก” มะนาวมองไปที่กระจกเงาในม่านบังแดดรถ ที่ถูกดึงลงมาส่องแต่งหน้าระหว่างนั่งอยู่บนรถคันหรู 

“ก็พี่ไม่อยากจะเป็นคนที่เจ้ากี้เจ้าการหรอกนะ แต่พี่อยากให้ทุกสิ่งอย่างมันได้คำตอบ พี่ก็แบบนี้แหล่ะ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่พี่หวังดี  ถ้ามะนาวคิดว่า มันไม่ดี ไม่เหมาะ ไม่พร้อม บอกพี่ได้ตลอด”

“ยิ่งพูดก็ยิ่งงงค่ะ แล้วทำไมถึงคิดว่า มะนาวจะไม่ชอบคะ อะไรจะทำให้มะนาวลังเล”

“ปกติมะนาวน่าจะปฏิเสธครับ แต่หลังจากที่พี่เห็นมะนาวลอยละลิ่วจากราวสะพานมอญลงสู่ทะเลสาปนั่น พี่ก็เริ่มลังเลแล้วว่า จะลองเสี่ยงดู บางทีมันอาจถึงเวลาของมัน”

“มะนาวไม่รู้หรอกค่ะ ว่ามะนาวจะรับกับสิ่งที่พี่อาร์มเตรียมรอไว้ไหวหรือเปล่า มะนาวก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรจากวันนั้นถึงวันนี้  แต่สิ่งหนึ่งที่บอกให้พี่รู้คือ มะนาวจะไม่โกรธหรือเกลียดพี่ เพราะทุกสิ่งที่พี่อาร์มทำ เพื่อมะนาวอย่างแท้จริง” แล้วมะนาวก็เอื้อมตัวไปหอมที่แก้มของอาร์ม จนลิปสติกบางสีแดงทิ้งรอยไว้ อาร์มอมยิ้มแล้วคลายกังวล เขาขับรถไปยังจุดหมาย





ในห้องนอนของโอ๊ค ยอดดอยนั่งที่พื้นพิงขาเตียง มือเปิดดูอัลบั้มรูปของโอ๊ค ดอยหัวเราะเมื่อเห็นรูปของเพื่อนรัก ที่แสดงอิริยาบถซึ่งไม่ค่อยได้เห็น เช่นกระโดดบนหน้าเวที โยนไมโครโฟนขึ้นเหนือหัว ยังมีภาพโอ๊คไปถ่ายแบบให้กับรองเท้าแตะยี่ห้อหนึ่งซึ่งเขามองว่าเท่ดี ดอยหันไปมองกองหนังสือที่เรียงกันบนโต๊ะนั่งทำงาน มีสมุดและกองพิมพ์เขียววางไม่เป็นระเบียบผิดกับวิสัยของโอ๊ค  ตรงหัวเตียง มีรูปที่ถ่ายหมู่ในคืนวันแดงเดือดซึ่งมือกลองถ่ายและอัดมาให้ เขากอดคอกับโอ๊ค มะนาวโอบไหล่ปุย มีอาร์มยืนซ้อนอยู่ด้านหลังมะนาว ทุกคนดูหน้าเปี่ยมสุข โดยเฉพาะตัวดอยเองที่จำได้ว่าเมาอยู่ไม่น้อยในคืนนั้น    โอ๊คที่อาบน้ำเสร็จ เตรียมใส่เสื้อผ้า โยนกระป๋องเบียร์สีทองฉลากขาวมาให้ดอยผู้ซึ่งรับมันอย่างแม่นยำ ดอยเปิดออกดื่ม มือยังคงเปิดอัลบั้มรูปของโอ๊คดูไปเรื่อยๆ

“เดี๋ยวจะไปรับปุยกี่โมงล่ะ”

“น่าจะให้เขากินข้าวกับแม่ใหญ่เขาก่อน คงนั่งตัวเกร็งไม่กล้ากินอะไร เดี๋ยวกูค่อยไปรับอีกสักพัก”

“แล้วมานอนที่นี่ไหมวะ กูมีห้องว่าง แต่แม่งทำกันเบาๆนะเว้ย เดี๋ยวกูโดดไปแจมมึงจะหนาว”

“เชี่ยแล้วถ้างั้น ของเพื่อนนะเว้ย”

“สัส กูพูดเล่นหรอก”

“เออ กูรู้ นี่ว่าจะพาไปเดินที่เวิร์ดเทรด ดูไฟ ถ่ายรูป แล้วก็ไปนอนที่โรงแรมแถวปิ่นเกล้า เช้าก็ขึ้นรถทัวร์กลับไปกาญจน์เลย”

“แล้วต้องไปเช่าโรงแรมให้ยุ่งยากทำไมวะ อยู่ด้วยกันที่นี่แหล่ะ”

“ไม่ยุ่งยากหรอก ออกจะโรแมนติก”

“กูจะอ๊วก สัส เยอะนะมึงเนี่ย” โอ๊คที่เปลี่ยนเป็นเสื้อกีฬากางเกงขาสั้น ลงไปนั่งบนพื้นพรมข้างยอดดอย หลังพิงขอบเตียง โอ๊คหยิบเบียร์อีกกระป๋องมาชนกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้าหลายวัน

“ไอ้โอ๊ค กูขอกอดมึงหน่อยดิวะ”

“เพี้ยนไปแล้วมึงเนี่ย” แต่โอ๊คก็อ้าแขนสวมกอดเพื่อนรักด้วยความคิดถึงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

“คิดถึงมึงจังว่ะ”





ที่จอดรถในห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่สุดของจังหวัด รถถูกจอดเต็มทุกที่ มีเพียงที่ว่างเดียวที่ยามวิ่งมายกกรวยสีส้มซึ่งกั้นไว้ ให้อาร์มเสียบรถเข้าซอง ก่อนอาร์มจะพามะนาวเดินขึ้นลิฟท์จากลานจอดรถ และกดไปที่ “3” 
มะนาวหันไปมองอาร์ม ที่ไม่ได้มองหน้ากลับมา ครุ่นคิดเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร อาร์มเอื้อมมือไปกุมมือมะนาวไว้ บีบอย่างแผ่วเบาเหมือนจะสื่อสารให้ทราบว่า เขาอยู่ตรงนี้ จงอุ่นใจ มะนาวบีบกลับเช่นกันเพื่อตอบรับว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิด เธอเชื่อใจว่า อาร์มเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเธอแล้ว




“กินเยอะๆนะหล่อน ผอมอย่างกับไม้เสียบผี”

“น้องก็กินเยอะนะ แต่น้องก็ไม่ยอมอ้วนซะที อิจฉาพี่นกน้อย ดูอิ่มเอิบ”

“หูย อย่ามาปากหวานย่ะหล่อน ผอมกะหร่องอย่างหล่อนนี่แหล่ะ ขายดิบขายดี ผู้ชายไทยชอบ”

“แต่ท้ายที่สุด ผู้ชายอยากอยู่กับคนที่มีน้ำมีนวลมากกว่า อย่าเถียงแมวเลยค่ะพี่ แมวรู้ดี ไม่เชื่อถามพี่ไก่แจ้”

“เอ่อ.. อย่าได้เอาฉันเข้าไปเกี่ยวข้องเลย สาวๆ  วันนี้ฉันขอเป็นใบ้นะ”

“หึ แหม พี่อย่ามานั่งเกร็งสิคะ หนูไม่ได้คิดอะไร  มาๆๆ ชนแก้วกัน สุขสันต์วันคริสตมาส”





ชั้นบนสุดของบ้านตึกขนาดใหญ่ ห้องนอนที่ตกแต่งไว้ทันสมัยผิดกับสภาพภายนอกซึ่งคงเอกลักษณ์ความเป็นตึกโบราณได้อย่างสวยงาม ในห้องมีโปสเตอร์ ดาราหนุ่ม ริเวอร์ ฟีนิกซ์ ที่หัวเตียง เลยไปมีลูกรักบี้ตั้งเป็นของตกแต่งที่โต๊ะหนังสือ ห้องถูกจัดไว้อย่างสะอาดผิดกับทุกวันที่รกรุงรังจากนิตยสารและหนังสือการ์ตูน แต่วันนี้ ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ มีเพลงที่ใช้ฉลองคริสตมาสในเวอร์ชั่นต่างๆ ถูกอัดใส่เทปเปิดไว้ไม่ดังเกินไปเพื่อที่จะไม่มาขัดบรรยากาศที่เจ้าของห้องบรรจงจัดไว้
โอเล่ นั่งที่เตียง หยิบนิตยสารมาอ่าน ส่วนใหญ่เป็นหนังสือรวมชุดแต่งรถมอเตอร์ไซค์ กับการ์ตูนญี่ปุ่น  และยังมีหนังสือที่รวบรวมโมเดลหุ่นยนต์ตัวละครการ์ตูนดังในโทรทัศน์  โอเล่ไม่ได้มีเจตนาอยากจะรู้ข่าวสารอะไรจากหนังสือเหล่านี้ แต่เขาหยิบมาอ่านแก้เขินเพราะว่ารู้สึกใบหน้าตอนนี้มันร้อนเผ่า เพราะกล้าที่นั่งอยู่ติดกันบนเตียง เอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่ตลอด
“โอเล่จ๋า”

“อย่ามาทำพิเรนทร์อะไรนะ”

“เรามีของขวัญคริสตมาสจะให้”

“ก็เอามาสิ”

“อยากให้เธอหยิบเอง”

“อยู่ไหนล่ะ”

“อยู่ในกระเป๋ากางเกง” กล้าใช้สายตายียวน แล้วมองไปที่กางเกงฟุตบอลอะดิดาสสีขาวของตัวเอง

“ก็หยิบออกมาสิ”

“ไม่ได้ มันเป็นของเธอ  อยากให้เธอเป็นคนหยิบ” กล้ากระซิบที่หูของคนที่นั่งข้างกาย
โอเล่เอามือค่อยๆล้วงไปในกระเป๋ากางเกงของกล้าอย่างช้าๆ แต่ล้วงเข้าไปก็ต้องฉงนเพราะเหมือนกางเกงนั้นไม่มีกระเป๋า หนุ่มตัวบางผิวขาวซีดจึงเขยิบมือเข้าไปอีกนิด เหมือนจะหาปลายทางไม่ได้จนไปสะดุดกับบางสิ่ง ที่เจ้าของตั้งใจจะมอบให้




หน้าบ้านหลังใหญ่ในโครงการยักษ์ รถแท็กซี่สีเขียวสลับเหลืองจอดรอที่หน้าบ้าน มิเตอร์ยังคงวิ่งไป ยอดดอยเอื้อมมือไปรับถุงขนมห่อใหญ่ที่ปุยถือติดมือมา แล้วพาปุยขึ้นรถแท็กซี่กลับมาที่โรงแรมย่านปิ่นเกล้า เยื้องกับสถานีขนส่งสายใต้ ดอยโอบปุยมาอิงที่ไหล่ของตัวเอง  คนขับแท็กซี่เขม็งตามองผ่านมากระจกส่องหลังเพื่อมองหนุ่มผู้โดยสารสองคน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหันไปเพิ่มวอลลุ่มเพลงให้ดังขึ้นแทน เพลง White Chirstmas จากเสียงของ Elton John ผ่านคลื่นวิทยุ 105.50 ตามคำขอของผู้โดยสารดังลอยแผ่วมา  ดอยหอมที่หน้าผากปุย แล้วโน้มศีรษะของปุยมาอิงที่ไหล่ของเขาไว้




ที่โต๊ะอาหารขนาดใหญ่ กลางศูนย์อาหารที่ถูกตกแต่งใหม่ ถูกกั้นไว้ไม่มีผู้คนมาใช้บริการเพราะวันนี้ถูกทำเป็นพื้นที่ส่วนตัว ตกแต่งไฟไว้สวยงาม มีป้ายแขวน Merry Chirstmas 1999 กับต้นคริสตมาสใหญ่ แต่งด้วยลูกบอลสีทอง มีกล่องของขวัญวางที่พื้น  ที่โต๊ะมีอาหารชั้นเลิศวางอยู่ แม้อาหารจะไม่ค่อยพร่อง แต่เครื่องดื่มถูกเสิร์ฟเติมอยู่บ่อยครั้งโดยพนักงานผู้หญิงที่ยืนไม่ห่างโต๊ะอาหารซึ่งมีผู้ร่วมโต๊ะเพียง 6 ท่าน
“คุณพี่ลองทานปูอลาสก้า ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นนิยมมาก แต่จริงๆ ก็เอามาจากทะเลที่ฟิลิปปินส์แถวบ้านคุณโทนี่แหล่ะค่ะ”

“อืม อร่อยมากเลยค่ะน้องเปิ้ล  แล้วนี่เมื่อเช้าได้ไปวัดไหม”

“ไปมาค่ะ คนเยอะมาก แต่สายต้องไปช่วยงานที่โบสถ์ คือวิ่งทั้งพุทธ ทั้งคริสต์ ปรับศาสนาตัวเองไม่ถูกเลยค่ะ”

“ดีแล้ว มีอะไรให้ทำ จะได้เพลิน คนอายุอย่างพวกเรา ก็ต้องวัดวานี่แหล่ะ”

“ไว้น้องไปรับพี่ที่บ้านนะคะ เวลามีงานบุญใหญ่ ไปด้วยกัน”  หญิงตัวท้วมผิวผุดผ่อง เชิญชวนผู้เป็นมารดาของอาร์ม

“แล้วนี่ คุณโทนี่จะไปทำห้างที่สุพรรณเพิ่มหรือเปล่า เห็นมือกลองบอกว่า กำลังจะมีแผนจะไปลุยต่างจังหวัด” ป๊าของอาร์มถามชายที่นั่งอยู่เยื้องกัน

“ค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับพี่ ร่างกายผมก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้ มือกลองมาช่วยงานก็แทบจะปล่อยให้ลูกหมดแล้ว นี่พี่ยังดี มีทั้งโอ๊ค ทั้งอาร์ม แต่ละคนขยันขันแข็ง”

“โอ๊คน่ะขยัน อาร์มนี่ขอดูพฤติกรรมไปก่อน” ป๊าเหลือบหางตามามองหนุ่มน้อย

“อ้าวทำไมป๊าเผากันอย่างนี้ล่ะ” อาร์มกังขา พอจะเรียกอารมณ์ขันของคนบนโต๊ะมาเบรกบรรยากาศที่ตึงเครียดในช่วงเริ่มวงสนทนาได้บ้าง   มีเพียงมะนาวเพียงคนเดียวที่นิ่งเงียบ แต่ก็ทานกับข้าวที่อาร์มตักให้เป็นระยะ

“หนูมะนาว เรียนคหกรรมเป็นอย่างไรบ้าง ชอบไหม” เปิ้ล มารดาของมือกลองเอ่ยถาม เมื่อเห็นมะนาวไม่ได้พูดจานัก

“สนุกดีค่ะ มีอะไรให้เรียนรู้เยอะ”

“ศูนย์อาหารชั้น 3 นี้..  น้ายกให้หนูนะ  จะเอาไว้ทำอะไร ก็ตัดสินใจได้เลย มันเป็นของหนูแล้ว”






แท็กซี่จอดที่ปั๊มน้ำมันฝั่งตรงข้ามห้างเมอร์รี่คิง ปิ่นเกล้า ยอดดอยขอมือถือของปุยออกมากดเบอร์โทรออก ไม่ถึง ห้านาที มีรถกอล์ฟสีขาวขับออกมารับพวกเขาเข้าซอยแคบไปสู่โรงแรม  ซึ่งเป็นที่พักสไตล์รีสอร์ทขนาดเล็กใจกลางชุมชม มีสระว่ายน้ำ และพื้นที่ของสวนมากกว่าขนาดอาคารที่พักซึ่งเป็นตึก 2 ชั้นรูปตัวแอล  เสียงโมบายไม้ไผ่ตีกันทุ้มนุ่มคล้ายบอกต้อนรับผู้มาเยือน ดอยทำการชำระเงินและพาปุยเดินไปยังห้องพักชั้นล่างไกลสุดซึ่งอยู่ติดกับสระน้ำขนาดเล็ก และศาลาไม้ที่ไว้ใช้เป็นที่นวดแผนไทย
“สระว่ายน้ำคงปิดแล้วใช่ไหมครับ” ปุยถามเจ้าหน้าที่ซึ่งเหมาตำแหน่งทั้งขับรถรับส่ง และยกกระเป๋า จนปุยอดไม่ได้ที่จะควักธนบัตรส่งให้เป็นทิป

“ทางเราไม่ได้ห้ามลงหรอกครับ แต่ถ้าไม่เสียงดังรบกวนท่านอื่น ไม่มีโรคประจำตัว และดูแลตัวเองได้ ก็เชิญเล่นน้ำได้ครับ”

“ขอบคุณครับ พวกผมจะระวังตัว”






“ไอ้บ้า ไอ้ผีทะเล ไอ้กล้าไอ้ตัวชั่ว เห็บหมา ไอ้ปลาดุกเน่า”

“งัดออกมาเลยครับที่รัก ความเกรี้ยวกราดที่มีทั้งหมด”

“อย่ามาเล่นอะไรแบบนี้ ไม่ชอบ”

“ไม่ชอบจริงอ่ะ กำซะนานเลย โอยยยย ซี้ด”

“นิสัย”

“ก็เราอดใจแทบไม่ไหวแล้ว เธอมันน่ารัก”  กล้าเอื้อมตัวไปหอมที่แก้มของโอเล่

“อยู่กับคนง่ายๆ แก๊งพวกสาวใจแตก แล้วคิดว่า คนจะเป็นแบบนั้นกันหมดหรือไง”

“ไม่ใช่นะ เราไม่เคยมองเธอแบบนั้น  เราแค่อยากใกล้ชิด หัวใจเราเต้นแรงเวลาอยู่กับเธอสองต่อสอง”

“......”

“ไม่เชื่อใช่ม๊า” กล้าพูดจบก็ถอดเสื้อยืดสีดำออก เผยให้เห็นแผ่นอกที่ดูมีมัดกล้ามเกินวัย ก่อนจะคว้ามือโอเล่มาคลำและวางมือไว้ที่หน้าอกด้านซ้าย” ได้ยินเสียงหัวใจเราเต้นไหม

“อืม”

“แล้วเธอยังจะว่าเราโกหกอีก”

“ก็นี่มันหัวใจ ส่วนนั่นมัน.... โอ๊ย ไอ้ลามก”

“อย่าไปคิดในเรื่องอุจาดสิครับ มันอยากรู้จักโอเล่นะ”

“ดูมึงพูดเข้าสิไอ้กล้า ไอ้ห่าลาก”

“มันไม่โกหกเธอหรอก อยากดูมันใกล้ๆไหม”

“กลับดีกว่า” โอเล่ทำท่าจะลุกจากเตียงไปแต่กล้ารีบคว้าตัวไว้ในอ้อมกอด  กล้าค่อยๆ เอามืออีกข้างที่เหลือ ถอดกางเกงตัวเองออก เหลือเพียงร่างกายที่ล่อนจ้อน กับแก่นกายที่พองก๋า  “ไอ้กล้า  หือออ  ฉันกลัว”

“อย่ากลัวนะครับที่รัก เราจะไม่บังคับฝืนใจอะไรที่เธอไม่ยอม  เราแค่อยากให้เธอรู้จักมันอีกหน่อย มันเป็นของเธอนะ”

“ก็จับไปแล้วไง”

“เมื่อกี้จับ แค่ทักทาย.. ทีนี้ กล้าอยากให้โอเล่ ได้คุ้นเคยกับมัน รู้ไหม มันรักโอเล่มากนะ.. ที่รัก.. ลองจูบมันดูสิ”




โต๊ะอาหารที่เหลือเพียงซากเปลือกอาหารทะเล ขวดเบียร์เปล่าหกขวด แมวช่วยนกน้อยเก็บโต๊ะ โดยมีแจ้นั่งหลับอยู่ที่เก้าอี้โยกหน้าทีวี 
“วางไว้นั่นแหล่ะ ไปนอนเหอะ เดี๋ยวชั้นเก็บเอง”

“ให้น้องช่วยเถิด น้องอยากมาได้บ่อยๆ”

“ก็มาได้ตลอดนี่ ไม่มีใครห้ามสักหน่อย”

“พี่น้อยไม่โกรธแมวเหรอ”

“หายโกรธแล้ว ยกโทษให้”

“น้องขอบคุณพี่มากนะ น้องเปลี่ยนไปแล้ว น้องเป็นคนใหม่มานานแล้ว แม้จะไม่มีใครอยู่ข้างๆ”

“โลกจะแตกแล้วแมว อยากทำอะไรก็ทำ แต่ถ้ามีวันหลังวันที่โลกแตกรออยู่  ก็ลืมอดีตซะ แล้วทำทุกวันให้ดี”

“น้องยอมทิ้งผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ได้มีเพื่อนอย่างพี่นกน้อยนะคะ”

“ปากแกหวานอย่างนี้ ผู้ชายถึงเสร็จแกหมด นังแรด ยกจานไปล้างเลย”





ในสระว่ายน้ำขนาดเล็ก สองหนุ่มที่ใส่เพียงกางเกงขาสั้นเปลือยท่อนบน ลงเล่นน้ำอย่างเงียบๆ ไม่ส่งเสียงดัง คล้ายลอยตัวในน้ำเพียงแค่เบิกรับความสดชื่นจากความเย็น เขาสบตากันในขณะที่โผล่จากน้ำมาแค่ยอดอก ตัวล่ำคล้ำของดอย ตัดกับผิวขาวหยวกของปุยใต้แสงจันทร์  เสียงโมบายไม้ไผ่ยังคงกระทบกันดังทุ้มนุ่มไปทั่ว ดอยเอื้อมมือไปดึงสะโพกของปุยมาชิดแนบตัวไว้ เขาจูบไปที่หน้าผากของปุย ไล้มาที่สันจมูก เขายกปากออก แล้วจูบไปอีกทีที่แก้มขวา  แล้วไต่ริมฝีปากมาที่ริมฝีปากของปุย ตาของสองหนุ่มสบกัน
ดอยโรมรันไปที่ปากของอีกฝ่าย เขาบดมันด้วยปากของเขา ก่อนจะแลกลิ้นกันในสระน้ำนั้น  ดอยเอามือไล้ตามแผ่นหลังที่ขาวเนียนของปุย ในขณะที่ปุยทำได้แค่เพียงเอาฝ่ามือทั้งสองยันแผ่นอกของดอยเอาไว้ เพื่อต้านทานการโจมตีอย่างหนักหน่วงของหนุ่มตัวใหญ่ ที่จู่โจมเขาไม่หยุดหย่อนจนปุยต้องหายใจลึกและถี่
ดอยเอามือของปุยมาจับแก่นกายที่พองโตใต้กางเกงผ้าร่มของเขาเพื่อบอกถึงความสิเน่หา  ปุยกำมันไว้แล้วดูดปากตอบ ทั้งคู่หายใจถี่ขึ้น ผิวน้ำในสระกระเพื่อมไปมา ดอยแหย่ลิ้นไปที่หูซ้ายของปุย เขาเม้มที่ติ่งหูแล้วขบเบาๆจนปุยครางออกมา ดอยดึงกางเกงลงไปอยู่ที่เข่า แล้วคว้ามือปุยกลับมาสัมผัสพยานสิเน่หาของเขาอีกครั้ง ก่อนจะรุกเข้าที่ซอกตอของปุยจนฝ่ายตั้งรับต้องอ่อนระทวย ดอยดันตัวของปุยที่ลอยน้ำไปจนใกล้ขอบสระ เขาไม่ละปากออกจากริมฝีปากของอีกฝ่าย ดอยยังคงบดขยี้ริมฝีปากของปุยด้วยรอยจูบของเขา มันเบาแต่เร่าร้อนในความรู้สึกจนปุยหายใจไม่ทัน
ดอยจับขาของหนุ่มร่างบางที่หายใจหอบมาคร่อมไว้ที่เอวเขา ก่อนจะจับใบหน้าของปุยเชิดขึ้นมามองหน้าเขา  ปุยพยักหน้า ดอยโน้มตัวเข้าจูบอีกครั้งพร้อมดันตัวเขาไปแนบชิดอีกฝ่ายจนหลังของปุยแนบติดขอบสระ




บนผ้าปูเตียงสีน้ำเงินเข้ม ฟูกนุ่มฟูยุบลงเพราะน้ำหนักของหนุ่มน้อยสองคนที่คร่อมทับกันไว้  โอเล่ที่ถูกถอดเสื้อผ้าจนล่อนจ้อนมองหน้าคนที่คว่ำหน้าคร่อมเขาไว้ โอเล่มองตา ตัวสั่นเพราะความหนาวของแอร์ที่เร่งความเย็นไว้จนสุด กล้าที่ไม่มีอาภรณ์ห่อหุ้มร่างกาย เผยให้เห็นมัดกล้ามที่ชัดเจนเกินวัย เขาคว้ามือโอเล่มาลูบไล้แผ่นอกเขา ลากไปที่เอว สะโพก แล้วย้อนกลับมาที่แผ่นหลัง
“เป็นของเรานะโอเล่ เราฝันถึงเธอมานาน มาทำวันนี้ให้มันเป็นจริงนะ”

“มันจะเจ็บไหมกล้า”

“เจ็บ”

“เฮ้ย งั้นไม่เอา”

“เจ็บ แต่เธอจะจดจำมัน ให้เราเป็นคนแรกของเธอนะ แล้วเราจะทำตัวให้ดีขึ้นทุกวัน คู่ควรกับการได้เป็นคนแรกของเธอ”

“นายจะทำให้เรามีความสุขไปตลอดกาลใช่ไหม”

“เราไม่รู้  เราไม่โกหกว่าอนาคตของพวกเรายังไม่ชัดเจนขนาดนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เราบอกได้”

“คืออะไร”

“เราจะทำคืนนี้ให้มันดี เป็นของเรานะ.. ที่รัก” 

“อย่าทำเราเจ็บนะ”

“สั่งมันสิ.. มันเป็นของเธอ..  เพียงเธอ คนเดียว”  กล้าคว้ามือของโอเล่ไปจับที่ลำกายของเขา แล้วก้มลงมาบดปากโอเล่ที่เจ่อแดง กล้าหายใจแรง มีเหงื่อซึม เขาพรมจูบโอเล่ที่ครางออกมาอย่างแผ่วเบาแต่ชัดเจนในความรู้สึกของกล้าที่รอวันนี้มาแสนนาน..



ออฟไลน์ Hyenas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ LovelyPenGirl

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Hyenas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โค้งสุดท้ายแล้วสินะ มะนาวนี่อย่างเท่

ออฟไลน์ SocialMovement

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด