Track 13 : Go,Go,Go ! Ale,Ale,Ale !
ใต้มะขามคู่ใหญ่ ริมถนนหลวง พื้นที่ถูกปูด้วยกระเบื้องตัวหนอนสีน้ำตาล มีโต๊ะม้าหินอ่อนตั้งเรียงราย ล้อมด้วยกำแพงรั้วทำจากไม้ซึ่งใช้ไม้กระถางแขวนประดับไว้ ลูกค้านั่งล้นเต็มทุกโต๊ะ ไม่รวมลูกค้าที่กำลังยืนรอหน้าเตาผัด ร้านผัดไทยโยธา มีพัดลมตัวใหญ่ ส่ายไปมาบนลานโล่ง
ดอย กับ ปุย ที่นั่งตัวเกร็งต่อชายสูงอายุตัวสูงใหญ่ด้านหน้า เด็กเสิร์ฟยกจานผัดไทยมาให้ โดย ดอยแนะนำให้ปุย ลองผัดไทยวุ้นเส้นกุ้งสดชื่อดัง และตัวเขาเองทานผัดไทยไร้เส้น ก่อนจะส่งจานผัดไทยกุ้งสดเส้นเล็กเมนูเด็ดไปยัง ธรรมเสถียร โรจน์อนันต์ทรัพย์ พ่อของปุย
“พ่อลองทานดู ผัดไทยที่นี่ขึ้นชื่อมากครับ ส้มมะขามกับน้ำปรุงเขาถึงขั้นมีคนมาขอซื้อสูตรกันเลยล่ะครับ” ดอยโฆษณาร้านดังที่เขามักพาแม่ของตัวเองมาทานเสมอ เวลาที่แม่ขึ้นมาเยี่ยมในอำเภอเมือง
“อืม ขอบใจ น่าทานเชียว.. แล้วนี่ ตกลงคือ คบกันหรืออะไรยังไง”
ปุยที่กำลังเคี้ยววุ้นเส้นอยู่ในปากแทบสำลัก ก่อนจะหยิบแก้วสังกะสีที่เทน้ำอัดลมไว้มาดื่ม
“พ่อ เพื่อนกัน ลูกเป็นผู้ชาย ถ้ามีแฟนก็เป็นผู้หญิงสิ นี่จะเรียน ไม่ได้มาหาแฟน” ปุยหันไปดอยที่นั่งอยู่ด้านข้าง ราวกับว่าจะให้สนับสนุนสิ่งที่พูด ก่อนหันหน้าไปยังพ่อที่อยู่ตรงข้าม แล้วพูดต่อ “ที่พามานี่ ก็เพราะพ่ออยากเจอหรอก”
“พ่อไม่ได้ถามลูก พ่อถามฝั่งผู้ชาย ว่าเขาจะกล้าทำกล้ารับไหม”
“ลูกก็ผู้ชาย !!”
“เออๆ ผู้ชายก็ผู้ชาย อ้าวว่าไงล่ะ พ่อตัวดี นี่มาจริงๆจังๆ หรือแค่เล่นๆกัน ไหนว่ามาซิ” ธรรมเสถียรวางช้อนส้อมตรงจานที่อยู่เบื้องหน้า รอชายหนุ่มผิวเข้มข้างหน้าที่นั่งเงียบ จะเอ่ยปากพูดบ้าง
“ผม.. เอ่อ.. ผม” ดอยที่มีทีท่าลังเลและหวาดหวั่นอยู่ในที มองหน้าผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า มีเหงื่อซึมที่หน้าผากเล็กน้อย
“ถ้าไม่สามารถให้คำตอบได้ ก็ไม่ควรทำอะไรที่มันเกินเลย เป็นเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว เพื่อนเรียน เพื่อนเล่นกันไป”
“พ่อมีคำแนะนำอย่างไรดีครับ” ดอยนั่งหลังตรง จ้องตาคนที่อยู่ตรงหน้า
“เป็นคำถามที่น่าสนใจแฮะ คือ วัยอย่างพวกเธอ แน่นอนว่า บางทีมันก็มีบ้างที่หัวใจ อาจดูเต้นแรงกว่าที่ควรจะเป็น มันก็ตามวัยแหล่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อะไรที่เราคิดว่ามันใช่ มันอาจไม่ใช่ เมื่อเวลาผ่านไป”
“ที่ผมอยากได้คำแนะนำ ไม่ใช่ในส่วนของความรู้สึกหรอกครับคุณพ่อ สิ่งเดียวที่ผมไม่มั่นใจ คือชีวิตหลังจากนี้ เพราะมันเป็นทางแยกที่ใหญ่เหลือเกินครับ”
“มันอาจไม่มีทางแยกแต่แรกหรอก มันเป็นเรื่องของทางที่ลิขิตมา ว่าเราต้องเดินไปทางนี้ ต่อให้มีทางเลือก มาให้เลี้ยวซ้าย หรือขวา เราก็เลือกในสิ่งที่เราถวิลจะเดินอยู่แล้ว พ่อคิดแบบนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น ผม..”
“ช้าก่อน หนุ่มน้อย.. พ่อแค่บอกว่า ต่อให้เรามั่นใจในทางของเรา แต่ทางนั้น มันอาจมีบ่อหลุม มีสัตว์ร้าย ข้างทางก็ไม่ได้อาจเต็มไปด้วยดอกไม้แบบในนิยายหรอกนะ มันคือพงป่า ดงหญ้า และก็มีโจรซุกซุ่มอยู่ไม่น้อย แค่อยากให้พวกลูกๆรู้ว่า ปลายทางมันไกลลิบตาเชียวล่ะ”
“พ่อจะยอมให้ลูกพ่อเดินไปกับผมด้วยไหมครับ ถ้าทางมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่พ่อว่า” ดอยถามชายตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วหันไปมองปุยที่อยู่ด้านข้าง ที่บัดนี้ ก้มหน้าเขี่ยจานอาหารที่เย็นชืด
“ปุย ลูกไปเอา กระเป๋าเงินบนรถให้พ่อที” ธรรมเสถียรส่งกุญแจรถให้ลูกชาย ก่อนปุยจนเอื้อมไปหยิบกุญแจจากมือผู้เป็นพ่อ แล้วเดินออกนอกร้านอาหารไป ธรรมเสถียรมองหน้ายอดดอย แล้วก็พูดคุยกันอีกสักพัก ก่อนปุยจะเดินกลับมาที่โต๊ะ เมื่อนั่งทานกันสักพัก ธรรมเสถียรก็ไปลูกชายและเพื่อนชายคนสนิทกับหอพัก โดยที่ไม่ได้คุยเรื่องก่อนหน้านี้อีกเลย
“Looks like we made it.. Look how far we’ve come,my baby” เสียงหวานของ Shania Twain ลอยมาจากลำโพงหูฟังเล็กของยอดดอย ที่บัดนี้ถอดเสื้อกางเกงเหลือเพียงชั้นในสีเทา เอนนอนอยู่บนเตียง มีเครื่องเล่นซาวน์อะเบ้าท์ AIWA วางบนหน้าท้องที่แบนเรียบไร้ไขมัน เขาหายใจกระเพื่อมเป็นระยะขึ้นลง
“กริ๊งงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงงงง” โทรศัพท์ที่หัวเตียงนอน ดังขึ้น ดอยพลิกตัวขึ้นมายกหูรับ
“ครับ อ้าวแม่.. อ่อ ไม่ได้กลับครับ กลับปิดเทอมใหญ่เลย ต้องฝึกงาน.. ใช่.. อ่อ.. ไม่ค่อยได้สูบแล้ววว คร้าบบบ ทราบครับ โห่วว เหลือวันละมวนแล้ว เดี๋ยวกำลังเลิกนะครับ อืม.. ใช่ๆๆ พ่อเป็นไงบ้าง... อ่อ.. ฮ่าๆๆๆ น่าจะไปครับ คืนนี้ มีบอล อ๋อไม่ไกล ไม่ได้ขี่รถ ว่าจะเดินไป บาร์ของเพื่อนโอ๊ค อู้ยย ไม่เมาหรอก พรุ่งนี้ต้องพาคนเช่าห้องวีไอพีของแม่ไปวัด อืม.. ใช่ๆๆๆ ก็ดีนะ อืมครับ เขาชอบ ครับๆ ใช่ๆ อ่อ... ดอยได้ที่ฝึกแล้ว บริษัทพ่อโอ๊ค อืม ครับ ได้ๆๆ ตังเหรอ ใช้หมดแล้ว ฮ่าๆๆ พอดีสั่งของมาแต่งรถให้ลูกค้า.. ก็ ภาษีหนักมาก ครับ.. ครับ.. ครับ... แม่ก็อย่าทำงานหนักนะ เดี๋ยวดอยแวะไปหา ยังไม่มี ฮ่าๆๆ เดี๋ยวมีก็พาไปเองแหล่ะ ครับ รักแม่นะ สวัสดีครับ”
แล้วเขาก็ล้มตัวลงนอนต่อ ก่อนคว้าปกเทปเขียนอักษร Come on Over มาอ่านเนื้อเพลง แล้วฮัมเบาๆ ก่อนจะเผลอหลับไปในเตียงที่อุ่นนุ่ม
หน้าลานกว้างของสปอร์ตบาร์ขนาดใหญ่ใจกลางเมืองซึ่งเนืองแน่นด้วยลูกค้าตั้งแต่ช่วงค่ำ ป้ายนีออนขนาดใหญ่ Complex Bar พร้อมโคมลำแสงไฟท่อนส่องฟ้า ปลายท่อนไฟเวลาส่องสัมผัสกับวัตถุจะปรากฏเป็นรูปโลโก้ค้างคาว
ลูกค้าทุกโต๊ะใส่เสื้อกีฬาสีแดง บ้างก็มีสวมผ้าพันคอ หมวกไหมพรม เสียงเอะอะโวยวายแต่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
มีป้ายไวนิลสีดำ อักษรสีแดงตัวใหญ่ “Complex แจกสเปรย์รอยัลฟรี วันแดงเดือด 99”
โต๊ะหน้าสุด ตรงกลางเยื้องลานน้ำพุจำลอง อาร์ม และ โอ๊ค อยู่ในเสื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีมะนาว กับยอดดอย ใส่เสื้อกีฬาทีมลิเวอร์พูล นั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกัน และปุยที่อยู่ในเสื้อสีเหลืองสด นั่งเด่นอยู่คนเดียวท่ามกลางคนทั้งร้านที่แตกต่าง
“มะนาวอ่ะ จะมาในชุดทีม ก็ไม่บอกเรา เราจะได้ไปหาใส่บ้าง” ปุยโอดครวญที่สายตาโต๊ะอื่นมักจับมามองที่เสื้อเขา
“นาวเพิ่งเปลี่ยนเมื่อก่อนเดินเข้าร้านเองล่ะปุย เดินมาเห็นคนใส่สีแดงกับพรึ่บเลย เลยเดินไปยืมเสื้อพี่ดอย ฮ่าๆๆ”
“กลับไปเปลี่ยนมั่งดีกว่า นี่บอลจะเริ่มยังล่ะ” ปุยหันไปถามดอยที่กำลังเคี้ยวหมูแส้ อาหารจาดเด็ดของที่ร้านแก้มตุ่ย
“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก สีนี้เข้ากับปุยดีออก” โอ๊คนี่นั่งมองทีท่าสุดกังวลของปุยอยู่นาน แสดงความเห็น
“ใช่ ใส่แล้วขาวมากเลย” ดอยพูดแทรก
“นาวว่า ที่เขามองน่ะ ไม่ได้มองเสื้อหรอก เขามองปุยกันนั่นแหล่ะ” มะนาวแซวปุยที่กำลังนั่งเขินเมื่อได้ยิน
“ก็โดนมองทั้งคู่นั่นแหล่ะ ไม่ต้องเถียงกัน นี่จะเตะปากไอ้หัวล้านอยู่เนี่ย ทำมามองมะนาวน้ำลายเยิ้ม นี่ถ้าผีแพ้นะ กูเล่นแน่แม่งหื่นแต่หัววัน” อาร์มที่กำลังมีน้ำโห ประกาศกร้าว
“อ๊ะ มองได้ก็เอาไปไม่ได้ ไม่สนหรอก” มะนาวเสริม
“แต่บางทีเราก็ต้องดูว่า อะไรที่มันไม่ปลอดภัย ก็เพลาๆลงบ้าง” โอ๊คยังคงวางมาดขรึม ปรามมะนาว
“ค่ะพี่”
“A little bit of Monica in my life.. A little bit of Erica by my side.. A little bit of Rita is all i need..”
เสียงเพลง Mambo No.5! ของ Lou Bega บรรเลงดังลั่น บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก เหมือนฮอร์โมนชายหนุ่มที่ฉีดพล่าน
ทันทีที่ เจมี่ เรดแนพพ์ เดินนำทีมลงสนาม ดอยดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อทีมโปรดของตัวเองมีแนวโน้มน่าจะเป็นผู้กำชัย เยื้องกันเป็นโอ๊ค ที่อ่านข้อความในเพจเจอร์ และมือถือสลับกันไป อาร์มกับมะนาว ที่อร่อยกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า และปุย ที่ยังคงหลบสายตาคนที่โต๊ะข้างๆ ที่มองมาไม่หยุด
“กูดุโหงวเฮ้ง ฟาวเลอร์ ยังไง หงส์ก็วินว่ะไอ้อาร์ม” ดอยข่ม
“แต่โอเว่นมึง หน้าหมองเป็นคลองแสนแสบ เดี๋ยวมึงได้มีหนาวไอ้ดอย นั่งสำรองอีกต่างหาก ฮ่าๆ”
“ผู้ตัดสินชื่อ บาร์บี้ ตลกดีเนอะ ชื่อเหมือนผู้หญิง” ปุยเมฆล้อเลียนกรรมการที่ถูกขานนาม
“แหม ปุย นี่ชื่อแมนมากเลยเนอะ” โอ๊คหยอกคืน เผยอรอยยิ้มแสนหล่อเข้าใส่
“เราอยากชื่อเมฆ แม่อ่ะดิ เรียกปุยอยู่ได้”
“ก็ยังดีกว่า บาร์บี้นะ นาวว่า นี่ใครถามชื่อจริง นาวยังไม่อยากบอกเลยว่าชื่อสมศรี โบราณมากกกก”
“เฮ้ยยย เชดดดด มึงดูฟอร์มไรอั้น กิ๊ก ซะก่อนไอ้อาร์ม ไอ้โอ๊ค มึงได้เลี้ยงมื้อนี้แน่” ดอยหึกเหิม
“ชิชะ ไอ้ดอย เดี๋ยวมึงจะพูดไม่ออก เฟอร์กี้ จะหักปีกหงส์คาแอนฟิลด์มึงเลยคอยดู” อาร์มสวนกลับ
“เบ็คแฮม หล่อเนอะ” ปุยชมนักกีฬา ที่อยู่ในเสื้อสีแดง เบอร์ 7 ที่กล้องจับภาพไปหาบ่อยครั้ง
“งั้นๆ แหล่ะ ชิส์” ดอยแสยะปากตอบ “อ้าวเฮ้ย ไอ้ คาราเกอร์ สัส เชี่ยยย แม่ง โหม่งเข้าประตูตัวเองทำไม โอ๊ยย” ดอย โอดครวญเอามือกุมหัวทำที่ปวดขมับ ในขณะที่ โอ๊ค กับ อาร์ม กระโดดตัวลอย กอดกัน พร้อมเสียงเชียร์เฮลั่นอีกประมาณครึ่งนึงของคนในร้าน ที่ส่งเสียงดีใจกันถ้วนหน้า ในขณะที่อีกครึ่งร้านทำหน้าเซ็ง ทั้งที่การเล่นเกมเพิ่งผ่านไปเพียงสามนาที
บรรยากาศยังคงตึงเครียดในร้าน กองเชียร์ทั้งสองฝั่งลุ้นกับการแข่งขันที่สุดระทึก
ยิ่งเมื่อนาทีที่ 18 แอนดี้ โคล โหม่งลูกให้แมนยู นำหนีไปเป็น 2-0
ตอนนี้ ดอย และ โอ๊ค อาร์ม ที่ไม่มีแม้แต่บทสนทนา แค่พึมพรำบ้างลอยๆ กับตัวเอง
ส่วนมะนาวที่แม้ไม่ใช่คอบอล แต่ก็อดตื่นเต้นไปด้วย ซึ่งมะนาวให้ใจแก่ทีมลิเวอร์พูลที่กำลังมีพยายามตีเสมอ
ตามประสาคนชอบเชียร์ผู้ที่ตกเป็นรอง
ในขณะที่ปุยเอง ยังไม่ค่อยเข้าใจกับรูปแบบเกมที่เรียกว่าฟุตบอลซึ่งตัวเองเลี่ยงมาตลอดชีวิต เขาจึงรับหน้าที่คอยเติมเบียร์ให้เพื่อนในโต๊ะทุกคน ปุยพยายามยกมือ เพื่อเรียกให้เด็กเสิร์ฟเอาน้ำแข็งมาให้ แต่เหมือนบัดนี้ ทั้งร้านถูกมนต์สะกดของฟุตบอลคู่หยุดโลกที่ไม่มีแม้แต่ใครจะสนใจกันเอง แม้กระทั่งคนบนโต๊ะเดียวกัน
“เฮ !!!” เสียงเฮดังขึ้น โดยเฉพาะที่ออกจากปากดอย ยิ่งดังลั่นกว่าคนอื่นอีกครึ่งร้าน ที่นั่งซึมมาได้ 5 นาที เมื่อ แซมมี่ ฮูเปีย หม่งลูกบอลเข้าตะข่าย ทำให้ลิเวอร์พูล ตีตื้นขึ้นมา เป็น 2-1 บรรยากาศกลับมาคึกคักถึงขีดสุด จนคนที่นั่งลุ้นผลบอล ลุกๆ นั่งๆ อย่างใจจดจ่อทุกครั้งที่ลูกบอลเปลี่ยนข้างไปอยู่ในเท้าของอีกฝ่าย
เมื่อไม่มีใครสนใจ ปุยจึงตัดสินใจ ถือถังน้ำแข็งยกขึ้น เพื่อพยายามเรียกร้องความสนใจจากบริกร
“ผมจัดการให้ครับ” ชายหนุ่มผู้เดินมาใหม่ คว้าถังน้ำแข็งจากมือปุย ก่อนส่งไปให้เด็กเสิร์ฟที่รีบเข้ามาช่วยถือทันที
“อ้าว คุณมือกลอง” ปุยทัก เมื่อชายหนุ่มลูกชายเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่เพิ่งเจอเมื่อวันก่อน เดินเข้ามาหา
“รู้ชื่อผมด้วย”
“อ้อ ก็ถามจาก ดอยเอา” ปุยมีอาการเขินเล็กน้อย พร้อมชี้นิ้วไปทางดอยที่ยังคงเชียร์ฟุตบอลอยู่อย่างใจจ่อ มีเพียงโอ๊คที่เหลือบมาเห็นพวกเขา และพยักหน้าทักมือกลอง โดยอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ
“แอบถามถึงผมด้วย ปลื้มนะเนี่ย”
“เอ้ยยย เปล่าๆๆ ไม่ใช่อย่างนั้น” ปุยมีสีหน้าเขินสุดขีด รีบแก้ตัว
“ผมล้อเล่น เดี๋ยวจัดการให้นะ พอดีเด็กเสิร์ฟคงลุ้นทีมตัวเองกันจนไม่ดูลูกค้าเลย”
“อ้าว คุณมือกลอง เป็นเจ้าของร้านนี้เหรอครับ”
“ใช่ครับ เรียกกลองก็ได้ นี่ชื่อปุยใช่ไหม”
“อ้าว รู้ชื่อผมเหมือนกันเหรอ” ปุยแซวกลับ
“ก็แอบถามไอ้โอ๊คมาเหมือนกัน” มือกลองส่งยิ้มแบบเจ้าเล่ห์มาให้คู่สนทนา จนอีกฝั่งเขินอาย “แลดู ปุยไม่สนุกเลย ไปนั่งเป็นเพื่อนผมที่โต๊ะไหมครับ ผมนั่งอยู่คนเดียว”
“ได้ๆๆ ที่โต๊ะไม่มีใครสนใจผมเลย ฮ่าๆๆ” แล้วปุยก็เดินตามมือกลองไปที่โต๊ะในร้าน ซึ่งมีจำนวนโต๊ะเพียงไม่กี่โต๊ะ เมื่อเทียบกับลานกว้างหน้าร้าน ตามสไตล์สปอร์ตบาร์ ที่เน้นลานด้านหน้าล้อมจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ เพื่ออรรถรสในการรับชมกีฬา คล้ายสนามกีฬาจริง โดยมีโอ๊คที่มองตามทั้งคู่มาเป็นระยะ
“นักเรียนปีหนึ่ง ปวส.สาชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม อายุเท่าผมกับโอ๊ค เพราะดร็อปมาหนึ่งปี คุณพ่อทำงานในสถานทูต คุณแม่เป็นคนที่นี่ แล้วก็หน้าตาดีอย่างนี้มานานแล้ว อันนี้ที่ผมสืบมา ได้แค่นี้ มีอะไรเสริมไหมครับ” มือกลอง เอนตัวลงบนโซฟาสีน้ำตาลตัวหรู มีโต๊ะหวายสังเคราะห์ตรงกลาง ฝั่งตรงข้ามเป็นปุย ในเสื้อสีเหลืองที่ไม่เข้ากับบรรยากาศด้านนอกเลย กำลังสนุกกับการขย่มโซฟาแสนนุ่ม
“ก็เป็นคนง่าย ๆ สบายๆ รีบๆจบ อยากทำงานแล้ว โหว โซฟาตัวนี้ดีชะมัด”
“แล้วสนิทกับโอ๊คได้ยังไงล่ะครับ”
“เค้าบอกว่า เขาสนิทกับผมเหรอ”
“อ้าว อันนี้ไม่รู้สินะครับ”
“เค้าก็สนิท แล้วเขาก็ห่าง แล้วเขาก็มาสนิท แล้วเขาก็ห่าง”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ นั่นแหล่ะ นายต้นสาย ตัวจริง”
“สนิทกันมากไหม” ปุยถามกลับบ้าง
“เขาไม่เคยพูดถึงผมใช่ไหมล่ะ”
“เคยเล่าว่า พ่อแม่สนิทกัน แต่ไม่ได้คุยอะไรมาก เอ๊ะ นี่ ผมไม่ได้ถามอะไรถึงกลองนะ !!” ปุยรีบแก้ตัวพัลวัน
“ครับๆ ผมล้อเล่น แต่ผมลองถามถึงปุย โอ๊คไม่ยอมเล่ามาก โอ๊คมันหวงล่ะมั๊ง”
“เขาจะหวงผมทำไม ก็เพื่อนกันเฉยๆ”
“ดูเขาจะชอบปุยอยู่นะ ผมดูก็รู้ เขาคิดอะไรผมรู้หมดแหล่ะ”
“นี่ก็แสดงว่าสนิทกันมากเลยสินะ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร คนเมืองนี้ ทำไมมันพิสดารกันอย่างนี้ก็ไม่รู้”
“อ้าว ทำไมพาลอย่างนั้นล่ะครับ”
“ก็ตั้งแต่ย้ายมานะ อะไรก็ไม่รู้ วุ่นวายไปหมด บางวันทำเอาเครียดจนนอนไม่หลับ เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ”
“แปลว่า คนเมืองนี้ มีเสน่ห์สินะครับ”
“คนเมืองนี้ ขี้ตู่ตะหาก เชอะ” ปุยไม่ยอมแพ้
“อ้าว ซวยเลย ยอมก็ได้ครับ ฮ่าๆๆ” มือกลอง เอี้ยวตัวจากพนักพิง เอื้อมมือมาส่งแก้วที่เด็กเสิร์ฟเพิ่งมาวางไว้ ส่งให้ปุย เป็นน้ำสีเหลืองมีฟอง มะนาวฝานลอยอยู่ด้านบนผิวน้ำ ปากขอบแก้วมีเกลือป่นเกาะโดยรอบ
“พรุ่งนี้ผมต้องตื่นเช้าน่ะครับ” ปุยมีทีท่าจะปฏิเสธเครื่องดื่มที่อีกฝ่ายส่งให้
“แก้วนี้ไม่มีแอลกอฮอล์ครับ แหม ผมก็แอบทำการบ้านมานะ โอ๊คมันย้ำ ไม่ให้ปุยดื่มเหล้า” มือกลองยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายยกขึ้นดื่ม และดูพอใจกับรสของมัน “เป็นเครื่องดื่มม็อคเทลที่เป็นสูตรของเราโดยเฉพาะครับ เห็นใส่เสื้อสีเหลือง เลยนึกขึ้นได้ว่า น่าจะเหมาะที่สุดเลย ชื่อของมันคือ Sex with the owner ”
“เฮ้ยยยยยยย ไอ้ดอยยยย โอ้คคคคค อาร์มมมมม บายดีป่าววะ” ชายหนุ่มผอมบางตัวเตี้ย ตาขวาเข ฟันหน้าบนเหยินออกมาจนสังเกตได้ เดินเซมาที่โต๊ะ ในช่วงเวลาพักครึ่งแรก
“อ้าว ไอ้มด ไหวไหมมึงเนี่ย เมาอะไรขนาดนี้วะ” โอ๊คถาม เมื่อสังเกตเห็นสารรูปของผู้มาเยือน
“กูหวายยยย กูหวายยยยย โอ๊ะ นี่น้องมะนาวคนสวยยยยย ยิ่งโตยิ่งสวยยยยยยยยยย” มดดำ ยังคงยืนพูดแบบคนสติไม่ครบครัน ยิ่งได้ใจ เมื่อเห็นสาวที่ถูกแซวมีอาการกลัว
“เออ แล้วนี่มึงมากับใคร เขาไม่ตามหามึงกันให้ควั่กแล้วเหรอวะ กลับโต๊ะไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูแวะไปทักทาย” อาร์มตัดบท
“เฮ้ยยย มันหายหัวกันไปไหนหมดตั้งแต่ ไอ้คาราเกอร์โหม่งเข้าประตูตัวเองอีกรอบ แม่งงงงงเอ้ยยย มีหวังทำแฮตทริกประตูตัวเองแหง ได้สาสสสสสสส กูขอนั่งด้วยนะโว้ยยยยยยย เดี๋ยวเพื่อนกูก็มา รบกวนหน่อยยยยยยย”
“เออๆ แต่แม่งเมาเหลือเกินมึง ถ้าปากยังหมาเหมือนเดิมนี่กูมีเตะนะ” ดอยหันไปบอกคนที่ถือวิสาสะมานั่งข้าง เขาเพิ่งสังเกตว่า ปุยหายไปนาน ไม่น่าจะไปเข้าห้องน้ำหรือโทรศัพท์ จนโอ๊คที่เห็นทีท่ากังวลของดอย จึงบอกไปว่า ปุยอยู่กับมือกลองที่โต๊ะในร้าน มะนาวจึงขันอาสาเดินไปเรียกให้ ปุย กับ มือกลอง จึงตามกลับมาสมทบ
“เห้ยยยยยยยยยย กูม่ายยกลับแล้วเว้ยยยยย โต๊ะนี้มีแต่คนสวยยยย สวยยยยยย ขาววววว ขาวววววว ตั้งสองงงงคน”
“กูว่ามึงน่าจะกลับบ้านได้แล้วนะ แม่งอะไรจะเมาหยำเปขนาดนี้วะ เดี๋ยวจะไปโดนส้นตีนใครเข้า” โอ๊คเตือนมดดำ
“นั่นดิ เอาม๊ะ เดี๋ยวกูไปส่ง บ้านมึงแค่นี้เอง” อาร์มขันอาสา
“ไม่เอาวววววว ไม่เอาววววว กูไม่อยากกลับบ้านนนน เขาไม่ชอบขี้หน้ากูววววววว ไม่มีใครชอบกูววววววว ใช่ไหมวะ ไอ้ดอย คนอย่างพวกเรา ไม่มีใครเอาวววววว ไม่มีใครเห็นว่าดี กูหล่ะแม่งน้อยจายยยยยย”
“คนอย่างพวกเรา” ปุยรีบถามมดดำ ที่เขาไม่คุ้นหน้า และยังไม่ได้เอ่ยสวัสดีกันด้วยซ้ำ “คนอย่างพวกเราคืออะไรอ่ะ”
“ก็แหมมมม แม่คนขาวสวยย ก็ไอ้เด็กสถานพินิจ อย่างเราใครจะมาสุงสิงงงงงง” มดดำสะอึกคล้ายจะอาเจียน ในขณะที่ทุกคนบนโต๊ะสัมผัสได้ถึงความอึดอัดตั้งแต่มดดำมาเยือน
“มึงเมาแล้วก็รีบกลับเหอะป๊ะ ไอ้อาร์ม ไปส่งไอ้มดมันทีวะ” โอ๊คระงับความตึงเครียด ด้วยทางออกที่ทุกคนดูจะพอใจ
“เฮ้ยยยยยย อารายยยวะ กูม่ายยยยกลับ ไอ้ดอย มึงช่วยกูด้วยยย เรามันหัวอกเดียวกานนนนนน เรามันเด็กเหลือขอ เรามันพวกไม่มีอนาคตตตตต” มดดำสะอึกอีกยกใหญ่ แล้วอาเจียนออกมากลางวง ทำให้แตกตื่นกันไปหมด มือกลองที่นั่งดูอยู่นาน สั่งให้ลูกน้องมาจัดการ และช่วยกันพามดดำไปนอนที่โซฟาหน้าครัวหลังร้าน
“You are my fire... The one desire... Believe when i say.. that I want it that way..” เสียงเบสนุ่มทุ้มลึกจากตู้ลำโพงJBL ทรงสี่เหลี่ยมฝาปิดผ้าสีเทา ลอยล่องมา ในขณะที่จอโปรเจ็คเตอร์ขนาดยักษ์ ฉายการแข่งขันฟุตบอลครึ่งหลัง ที่กำลังเริ่มขึ้นอีกในไม่ช้า
บรรยากาศที่โต๊ะหน้ากลางยังคงอึมครึมไม่คึกคักเหมือนโต๊ะอื่น ที่ตอนนี้อึกทึกจนถึงขีดสุด ด้วยความหวังในชัยชนะของทั้งสองทีมคู่แข่งขัน ปุยเป็นคนเดียวในโต๊ะ ที่ทำตัวปกติที่สุด อย่างน้อย ก็ในความคิดของปุย มือกลองให้เด็กเสิร์ฟ เปลี่ยนผ้าปูโต๊ะ และจานชุดใหม่ให้ทุกคน เอาเครื่องดื่มชุดใหม่มาลงที่โต๊ะเพิ่มให้ แล้วก็เดินมานั่งข้างโอ๊ค ที่เคยเป็นที่ของอาร์ม แต่ตอนนี้ อาร์มเขยิบไปนั่งโซฟาเดียวกับมะนาว
“ขอโทษด้วยนะโอ๊ค พอดีไอ้มดมันคงจะเมามาก มันเพิ่งโดนปฏิเสธงานจากบริษัทญาติมันเองแหล่ะ เดี๋ยวมื้อนี้กลองไม่คิดเงิน กินกันตามสบายนะ”
“เฮ้ย ไม่เอา ไอ้มดดำมันก็เพื่อนเรา เฮ้ยๆๆ ไม่คิดมากดิ”
“กลัวเข็ด แล้วไม่มาอีกน่ะสิ พรรคนี้ก็หายไปเลย แต่ก็พอจะเข้าใจนะ” มือกลองหันหน้าไปทางปุยที่กำลังนั่งเงียบไม่พูดอะไรมาพักใหญ่ ตั้งแต่มดดำเอ่ยคำว่า คนอย่างพวกเรา ออกไป
“ไม่เกี่ยวสักหน่อย โอ๊คยุ่งๆด้วยล่ะ ตอนนี้ ช่วยพ่อเรื่องแปลนบ้านโครงการที่จะปลูกใหม่ แล้วเริ่มเข้าไปเรียนรู้ระบบงานขาย กับ การก่อสร้าง”
“แล้วไม่ไปช่วยเรื่องโชว์รูมรถเหรอ”
“กะจะให้ไอ้อาร์มมันดู มันน่าจะทำได้ดี เราปรับของเราได้”
“อย่าปรับมาทำโรงแรมแล้วกัน กลองกลัว”
“โหววว ใครจะกล้ามีคุณมือกลองเป็นคู่แข่งล่ะเนี่ย ขอหนีไปทำจัดสรรดีกว่า เราไม่มี เซอร์วิสมายด์บนใบหน้า ต้องอย่างกลองน่ะ ถูกแล้ว แต่อย่ายุพ่อมาทำจัดสรรนะ มีเคือง”
“ก็ทำร่วมกันได้ อาจมีทำร่วมกันในยุคของพวกเราเนอะ”
“อืมมม ต้องรอดู พูดเหมือนจะทำรอดนะ ถ้าโอ๊คเก่งแบบกลองคงจะดี”
“อย่ามาทำไขสือ พ่อกลองนะ ชมโอ๊คตลอด เอะอะ ก็ให้เอาอย่างลูกบ้านโรจน์ทรัพย์อนันต์ นีถ้าชมแต่ลูกบ้านอื่น กลองคงมีน้อยใจล่ะ นี่ดีนะเป็นลูกบ้านนี้”
“แหมมม มือกลอง พ่อนายอาจจะหมายถึงให้เอาอย่างคนน้องแบบเราก็ได้นะครับ” อาร์มขัดจังหวะคู่สนทนา
“ก็ไม่อิจฉาทั้งคู่นั่นแหล่ะ แหม เห็นหน้ากันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าทำอะไรแล้วสำเร็จ ก็ดีใจไปด้วยกันเลย ” มือกลองหัวเราะชอบใจ ก่อนจะหันไปทางคนที่อยู่ข้าง ๆ “แต่ตอนนี้ เราว่าโอ๊คงานหนักนะ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็เหอะ” มือกลองก็เอามือไปวางที่หน้าขาโอ๊ค โน้มตัวไปกระซิบ
“โอ๊คเกิดมาเพื่อผิดหวังว่ะกลอง” โอ๊คส่งยิ้มคล้ายแซวหัวใจตัวเอง
“พระเจ้าจะส่งสิ่งที่ใช่มาให้ในที่สุด คิดอย่างนี้แล้วกัน”
“อืม.. อยากมองโลกได้อย่างกลองบ้างเนอะ”
นาทีที่ 68 เมื่อแพทริค แบเกอร์ ส่งลูกเข้าประตูไปตุงตะข่าย สาวกทีมหงส์ก็เกรียวกราวอยู่ที่โต๊ะซึ่งกระจายอยู่ทั้งร้าน เป็นเกมที่บีบหัวใจ ตื่นเต้นมากกว่าเกมไหนๆ สำหรับชาววันแดงเดือด แล้วกองทัพชาวแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก็นั่งกันไม่ติด เมื่อผู้เล่นหนึ่งคน โดนไล่ออกจากสนามเพราะใบแดง ทำให้เกมมีความตื่นตามากยิ่งขึ้นไป และทีมผู้ตามมีโอกาสหลายครั้งจะทำประตูเพื่อตีเสมอ
“โอเว่น โอเว่น โอเว่นกู โอ้ยยยยยย ไอ้เชี่ยยย เบียดเสาออกไปแล้ววววว” ดอย โอดครวญ เมื่อนักเตะตัวโปรดที่เพิ่งถูกเปลี่ยนตัวเข้ามา เกือบทำประตูตีเสมอได้
“หัวใจกูจะวายแล้วเว้ยไอ้ดอย แม่งมันสัสเลยเกมนี้” อาร์มที่ดูตื่นเต้นไม่แพ้กันหันไปตอบ
“มะนาวดูรู้เรื่องไหมอ่ะ” ปุยที่นั่งเงียบไปนาน ถามกับมะนาวที่แลดูจะเริ่มอินกับเกมบ้าง เพราะอาร์มขยันอธิบายให้ฟัง ว่าอะไรคือล้ำหน้า อะไรคือฟาวล์ หรือ นักเตะตัวไหนเก่งอย่างไร แต่อาร์มพยายามโน้มน้าวให้มะนาวเชียร์ทีมของตนเอง แม้ว่ามะนาวจะใส่เสื้อทีมลิเวอร์พูลอยู่ก็ตาม
“ก็พอรู้นะ พี่อาร์มนี่อธิบายเป็นฉากๆ อย่างกับหลุดเข้าไปอยู่ข้างสนามเลย ปุยไม่สนุกเหรอ”
“ก็สนุกบรรยากาศนะ ทุกคนดูฮึกเหิมยังไงก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ตอนบอลโลก ปุยก็พยายามเชียร์ทีมอิตาลีนะ ดูไม่เป็นเท่าไหร่ แต่เพิ่งเคยเห็นกองเชียร์มารวมตัวอะไรกันแบบนี้เลย”
“ก็เลยนั่งมองหน้านักเตะเหรอ เชียร์อิตาลีเนี่ย” ดอยหันไปถามปุย ซึ่งเป็นประโยคสนทนาแรกตั้งแต่ มดดำทิ้งระเบิดไว้
“ก็เขาเล่นสนุกดี อิตาลีน่ะ”
“อิตาลีเนี่ยนะ อุดกองหลังทั้งแผง สนุกยังไงฮะ มีดีแค่หล่อกันทั้งทีมแหล่ะวะ” ดอยคาดคั้นจะเอาคำตอบจากปุยให้ได้
“หืยยย อย่ามาใส่ร้าย เราก็ดูทีมอื่นด้วย ไม่พูดด้วยดีกว่า จ้องจะหาเรื่องตลอดเลย” ปุยทำหน้างอน
“แล้วนี่ มีอะไรจะถามเราไหมอ่ะ ถามได้นะ เราบอกหมดได้” ดอยที่ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม ไม่ได้มองหน้ามาปุย แต่ก็คาดเดาได้ว่า รอฟังคำตอบจากคู่สนทนาอย่างใจจดจ่อ
“ถ้าอยากบอก คงเล่าแต่แรกแล้วใช่ไหม.. ไว้อยากเล่า ค่อยเล่า ไม่อยากเล่า ก็ไม่ต้องเล่า”
“อืม ขอบคุณนะ” ดอยเอื้อมมือไปหยิกแก้มปุยเป็นเชิงหยอก แล้วหันไปดูจอโปรเจ็คเตอร์ ด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นไปจนจบเกม
กรรมการเปล่านกหวีดหมดเวลา เสียงโห่ร้องจากผู้คนในร้านและหน้าร้านดังลั่น
ทุกคนบนโต๊ะดูสนุกกันมาก ทั้งฝ่ายดอยที่แม้อารมณ์เสียเล็กน้อยที่ ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายแพ้ แต่เขาก็รับรู้ว่ามันเป็นการแข่งขันที่สนุกที่สุด สูสีและทำได้สมศักดิ์ศรีชื่อสโมสรกันทั้งคู่ ส่วนอาร์มไม่ต้องพูดถึง ได้เกทับเยาะเย้ยดอยไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีมะนาวกับปุยหัวเราะที่ทั้งคู่เถียงกันเรื่องความเก่งเก๋าของทีมตัวเอง ทั้งหมดกินกันอีกสักพัก ก็เรียกเช็คบิลแม้ทางมือกลองจะตามมาบอกว่าขอเลี้ยง แต่โอ๊คก็ไม่ยอม แย่งควักเงินจ่ายเด็กเสิร์ฟพร้อมทิปไป
“โอ๋ๆๆ อย่าซึมนะ น้ำใจนักกีฬาน่ะมีหน่อยไอ้ดอย”อาร์มยังไม่เลิกเบ่งทับดอย
“เดี๋ยวกูจะแช่งให้ทีมมึงถึงขาลง ไอ้อาร์ม”
“ไม่มีวันนั้นหรอกโว้ยย หู้วว ชนะโว้ยยย” อาร์มคว้าแขนมะนาว ชวนไปซื้อลูกชิ้นย่างรถเข็นที่จอดหน้าร้าน ทิ้งให้ดอยยืนกับปุยไว้เบื้องหลัง
“โอ๋ๆๆ อย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวพาไปกินบะหมี่หมูแดงของโปรดปลอบใจ” ปุยกระซิบ
“เสียใจอ่ะ เสียใจ” ดอยยกมือสองข้าง มากำเป็นกำปั้นขยี้ตา ล้อเลียนท่าร้องไห้หวังให้ปุยสงสาร
“การตีเสมอ เป็นเรื่องยากเนอะ ไม่ว่าจะเกมไหน” มือกลองที่ตามมาส่งโอ๊คที่รถ หันไปบอกเจ้าของคาวาซากิสีดำ ผู้ซึ่งยืนมองปุย กับ ดอย อยู่จากลานจอดรถ
“แถมงานนี้ ผู้แพ้ไม่มีของปลอบใจด้วยสินะ” โอ๊คเอากำปั้นคู่ขึ้นมาขยี้ตาบ้าง เพื่อล้อเลียนแบบท่าของดอย หัวเราะเบาๆให้มือกลอง ก่อนจะคว้ารถมอเตอร์ไซค์ถอยออกมาจากที่จอด
“แล้วนี่ มากันคนละคันเหรอ”
“ใช่ อาร์มเอารถยนต์มา ต้องไปส่งทุกคนก่อน โอ๊คเอารถมาเอง พอดีพรุ่งนี้มีอะไรอีกหลายอย่างต้องทำน่ะ”
“ไว้โอ๊คแวะมารับกลองไปเที่ยวบ้างสิ อยากนั่งแบทแมนบ้าง”
“คุณหนูผู้สูงศักดิ์ จะมานั่งอะไรกับกับคาวาซากิถูกๆ เนอะแบทแมนลูกพ่อ” โอ๊คเอามือลูบถังน้ำมันรถมอเตอร์โซค์ที่คร่อมอยู่อย่างทะนุถนอม เป็นการส่งสานส์ให้ผู้ฟัง ว่าเขากับรถคันเก่ง เจียมตัวแค่ไหน
“อยากนั่งมานานแล้วคันนี้ ถ้าเจ้าของเขาจะยินยอมนะ”
“Un, dos ,tres! Ole,Ole,Ole! Un,Deux,Trois! Ale,Ale,Ale!
Tonight’s the night we’re gonna celebrate The cup of life ! Ale , Ale , Ale !!” เสียงเพลงดังลอยขึ้นไปบนหมู่ดาว ปิดค่ำคืนที่แสนขมอมหวานของใครบางคน