ตอนที่ 4
Purple blood
“แล้วทำไมไม่ทำแค่บานเดียวหล่ะครับ” อลันยังถามด้วยความสงสัยอีกครั้ง ทำไมต้องสร้างอะไรให้มันเยอะวุ่นวายด้วย
“เพื่อการขนย้าย และป้องกันตัวเองไปในตัว บานแรกที่เรากำลังจะเข้าไป คือบานที่เล็กสุด สำหรับคนเข้าเมืองปกติธรรมดา หรือแบบการขนย้ายสัตว์แบบเรา ส่วนบานที่สองใช้ขนพวกก้อนหินขนาดใหญ่ หรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ ส่วนบานสุดท้าย ข้ายังไม่เคยเห็นเปิดออกสักที” ขณะที่เจฟฟ์เล่าสองเท้าอลันก็เดินไปข้างหน้าช้าๆตามแนวแถว ใบหน้าเรียวก็พยักหน้าไปด้วย
“ส่วนการป้องกันเจ้าลองนึกภาพตาม ถ้าเกิดพวกปีศาจบุกมา แล้วเรากำลังเปิดประตูบานแรกอยู่ อย่างน้อยพวกปีศาจก็เข้ามาได้เพียงนิดเดียว พวกทหารก็กำจัดได้ง่าย และสามารถปิดประตูบานนั้นได้เร็วเพราะมันมีน้ำหนักเบาและใช้เวลาค่อนข้างเร็ว แต่ถ้าเราเปิดบานที่สอง โอกาสที่ปีศาจจะเข้าไปในเมืองก็มีมากเช่นกัน และกว่าจะปิดประตูได้ เราอาจโดนฆ่าตายเสียก่อน” อลันครางรับเมื่อเข้าใจที่อีกฝ่ายอธิบาย ประตูแต่ละชั้นคงทับซ้อนกันเพื่อความแข็งแกร่งและป้องกันพวกปีศาจ แบบนี้เองสินะ
“สุดยอดเลย” อลันพูดออกมาด้วยความทึ่งประหลาดใจ ให้กับปราการการก่อสร้างข้างหน้า
“ถ้าเจ้าย้ายมาที่นี่ มาหาข้าได้ ข้ากับจอร์ฟฟี่ จะช่วยหาที่พักให้เจ้า” เจฟฟ์หันมาบอก นึกเอ็นดูกับความใสซื่อ ไร้พิษภัย และความอยากรู้ของคนข้างกายขึ้นมา
“จอร์ฟฟี่?” อลันทวนชื่อ เมื่อไม่รู้ว่าเป็นใคร เจฟฟ์ทำหน้าเหมือนนึกออก ก่อนจะชี้ไปยังคนที่ยืนจับบังเหียนให้ลุงชาร์ลอยู่
“นั่นจอร์ฟฟี่ น้องชายข้าเอง หน้าโหดไปหน่อยแต่อยากบอกมีลูกก่อนข้าไปแล้วถึง 2 คน ฮ่าๆ” เจฟ์ฟบอกพร้อมกับหัวเราะ อลันก็ชะโงกหน้าไปดูผู้ชายอีกคน ใบหน้าและส่วนสูงที่ไม่ต่างกัน ทำให้อลันร้องอ๋อในใจและหัวเราะตาม เพราะจอฟ์ฟี่หน้าโหดจริง แต่ไม่นึกว่าจะมีลูกแล้ว
“แล้วท่านหละ มีลูกมีภรรยาแล้วหรือยัง” อลันถามอีกฝ่าย ราวกับสนิทสนม ปกติอลันจะไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้คนแปลกหน้าหรือคุยด้วยซ้ำ
“ยัง ข้ายังโสด ยังอยากมีอิสระอยู่ แล้วเจ้าหล่ะ” เจฟฟ์ถามเขาคืนบ้าง
“ข้ายังเด็ก และข้ายังไม่คิดจะมีใครด้วย” อลันตอบเสียงเบา เพราะดูแล้วอลันรู้ตัวว่าคงอ่อนแอเกินไปที่จะปกป้องดูแลใครได้ แค่ตอนนี้เขายังให้น้องปกป้องอยู่เลย เรื่องคนรักอลันไม่เคยนึกถึงด้วยซ้ำ
“อืม ดูท่าเจ้าน่าจะยังไม่ถึง 20 ด้วยซ้ำ ตัวก็เล็กกว่าข้าแทบครึ่ง ตัวก็ผอมแห้งเกินไป ต่างจากเด็กในเมืองหลวงลิบลับ“เจฟฟ์วิจารณ์เขาออกมา ยิ่งตอกย้ำให้อลันอดสูใจเข้าไปอีก
“ข้าเพิ่ง17” อลันตอบก้มหน้างุด พร้อมกับถอนหายใจ จนอีกฝ่ายหัวเราะออกมาแล้วตบไหล่เขาปลอบ
“เอาน่า เจ้ายังโตได้อีก หึหึ” เจฟฟ์หัวเราะดูท่าจะชอบที่เห็นสีหน้าเขาหงิกงอ
พอเดินถึงประตูเมือง ทหารก็เดินเข้ามาถาม อลันชะโงกหน้าไปดูลุงชาร์ลที่ลงจากม้าและเดินนำทหารท่านหนึ่งมาดูแกะ ไม่รู้ทั้งสองคุยอะไรกัน จากนั้นไม่นาน ลุงชาร์ลก็ผ่านเข้าไปข้างในทันที
“โห สวยจัง”
เมื่อก้าวผ่านเข้าไปในเลอเวียร์ อลันร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นตา เมืองหลวงของอาณาจักรขนาดใหญ่ที่ใครต่างก็อยากมาอยู่ บ้านแต่ละหลังช่องเรียงรายติดกัน ไกลสุดลูกหูลูกตา ตึกหลังคาสูงใหญ่ผุดขึ้นเป็นหย่อมๆ เสียงผู้คนแถวนั้นตะโกนแข่งกัน ดูครึกครื้นวุ่นวายไปหมด มองไกลออกไปแทบสุดสายตา ก็พบน้ำพุขนาดใหญ่ ใจกลางเมือง
สิ่งที่อลันต้องตะลึงหนักกว่าเดิมคือ ปราสาทขนาดใหญ่ที่ตั่งตระหง่านไกลออกไป ถึงแม้ อลันจะอยู่ปากทางเข้าเมือง แต่ปราสาทนั้นยังคงดูใหญ่โตมโหฬารสวยงามจนอลันไม่สามารถละสายตาไ ปได้
เขาอยากมาอยู่นี่
“เจฟฟ์ ท่านอยู่ที่นี่หรอ” อลันหันไปถามคนข้างกายอีกครั้ง นึกอิจฉาร่างสูงขึ้นมาที่ได้อยู่ในที่สวยงามน่าอยู่และปลอดภัยแบบนี้
“ใช่ หลังจากส่งแกะเข้าวังเสร็จ จะพาไปดูบ้านข้า เจ้าสนใจไหม” เจฟฟ์หันบอกร่างที่เล็กกว่าตน แต่คิ้วเรียวของอีกฝ่ายกับขมวดกันเครียด
“คงไม่ได้หรอก ข้าต้องรีบกลับ” อลันบอกด้วยความเสียดาย ถึงแม้อยากจะไปเห็นบ้านอีกฝ่ายก็ตาม แต่ดูเวลาแล้ว ถ้าพระอาทิตย์ตกดิน ข้างนอกจะยิ่งอันตราย และอลันรู้สึกเป็นห่วงน้องและยายด้วย
“เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าเอง” ร่างสูงบอกอีกฝ่ายไม่ให้กังวล ดูท่าทางยังจะอยากรู้อะไรอีกเยอะ สายตาซื่อนั้นมองรอบข้างตลอดเวลา
“ทำไมท่านใจดีกับข้าจัง” อลันเงยหน้าถามด้วยความสงสัย ปกติคนแปลกหน้าที่รู้จักกันไม่ถึงชั่วโมงเอ่ยปากชวนแบบนี้ อลันก็อดหวั่นกลัวและระแวงอีกฝ่ายไม่ได้
“เห็นแก่เจ้าที่เพิ่งเข้าเมืองครั้งแรก และอีกอย่าง ข้ารู้จักเจ้านานแล้ว” นัยต์ตาคมจ้องบอกอีกฝ่าย อลันคงไม่รู้ว่าคนที่เอาแกะส่งเข้าไปในเมืองกับตาแก่ชาร์ลคือพวกเขาสามคน ส่วนอีกคนคือจัส ที่ตอนนี้ไปดูแลแม่ที่ป่วยอยู่ พอพูดไปแบบนั้นตาเล็กกลมก็เบิกกว้างตกใจ จนอดขำกับใบหน้าตลกนั้นไม่ได้
“จริงหรอ ทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้าท่านเลย” อลันร้องออกมาอย่างตกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้จักตัวเองแบบนี้
“ข้ามาเอาแกะที่นี่ เข้าเมืองอาทิตย์ละสองครั้ง ไม่แปลกที่ข้าจะรู้จักคนเลี้ยงแกะด้วย” เจฟฟ์บอกตามจริง บางทีเขาก็เดินไปดูฝูงแกะที่อลันเลี้ยงที่เนินเขา อีกส่วนเพราะอยากรู้ว่าพวกแกะกินหญ้าแถวไหนด้วย
“ข้าไม่รู้เลย สงสัยข้ามัวแต่เลี้ยงแกะ ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย” เจ้าตัวบอกออกไป ปกติอลันจะอยู่กับดอกี้ตามลำพัง กับพวกแกะนับร้อย เขามีหน้าที่เลี้ยง พามันกินหญ้า แล้วก็พามันกลับเข้าคอกเท่านั้น ส่วนคนที่มาขนแกะกับลุงชาร์ล อลันเห็นแค่แผ่นหลังแวบๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
“ตกลงว่าไง จะไปบ้านข้าหรือเปล่า” ถามย้ำร่างเล็ก
“จะทันก่อนพระอาทิตย์ตกดินไหม” อลันถามด้วยความกังวล ใจจริงเขาอยากจะเดินดูรอบๆเมืองด้วยซ้ำ และอยากซื้ออะไรกลับไปให้น้องกับยายด้วย แต่ความกังวลบางอย่างในใจทำให้อลันคิดหนัก
“ถ้าพระอาทิตย์ตกดินแล้วจะทำไม” เจฟฟ์ถามด้วยความสงสัย ดูร่างเล็กอยากจะกลับให้ทันก่อนฟ้ามืดจริงๆ หรือว่ากลัวพวกปีศาจ
“หรือเจ้ากลัวพวกปีศาจ”
“อะ อื้อ” อลันชะงักไปก่อนจะรีบพยักหน้าตอบ เขากลัวพวกปีศาจจริง แต่มีบางสิ่งที่อลันไม่อยากให้ใครรู้ยามอยู่ในที่มืด ที่เสี่ยงจะทำให้อลันบาดเจ็บจนเลือดออกได้
“ข้าอยู่ด้วยไม่ต้องกลัว ข้าเดินทางกลางคืนบ่อยๆ อีกอย่างถ้าเจ้าไม่เดินวันนี้คงไม่มีโอกาสมาที่นี่อีกแล้ว” ตาคมเปรยบอกอีกฝ่าย ที่ดูจะชะงักไปทันทีที่เขาพูดจบ แววตาเล็กดูลุกลิกสับสนขึ้นมา
“ก็ได้” สุดท้ายก็ทิ้งความอยากรู้ของตัวเองไม่ไหว ตอบรับอีกคนไป จริงอย่างที่เจฟฟ์บอก อลันอาจไม่ได้มาที่นี่อีก ถ้ามาคงอีกนานกว่าที่เขาจะเก็บเงินได้ ส่วนยายกับไอลีนคงไม่ต้องห่วงมากเพราะเขาบอกแล้วว่าไปไหน ที่อลันห่วงคือ ต้องระมัดระวังตัวเอง ไม่ให้หกล้มหรือบาดเจ็บแค่นั้น
จากนั้นลุงชาร์ลก็พาพวกเราสามคนเดินตรงไปยังปราสาทขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะเดินไปถึง เพียงแค่ประตูปราสาทที่อลันได้มาเห็นครั้งแรก ปากบางก็อดที่อ้าปากค้าง ทึ่งไม่ได้ทุกที รถม้าถูกทหารจูงลากไปที่ด้านข้างของปราสาท และพวกเขาก็ต้องตามไปด้วยเพื่อต้อนแกะลง ส่วนลุงชาร์ลไปรับเงินจากเจ้าหน้าที่ที่ยืนคุมอยู่หน้าประตู
“ต้อนแกะลงเร็วๆ” ทหารนายหนึ่งสั่งพวกเขา จอร์ฟฟี่ จึงขึ้นไปเปิดกรงออก ตามมาด้วยเจฟฟ์ที่ไปยกไม้กระดานมารองให้พวกแกะลง ส่วนอลันที่ไม่รู้จะช่วยยังไงเพราะไม่เคยทำ ได้แต่ยืนเก้ๆกังๆทำอะไรไม่ถูกอยู่ข้างๆ พอจะเข้าไปช่วยเจฟฟ์ก็หันมาดุเขา
“เจ้าอยู่เฉยๆ”
อลันจึงจำใจยืนอยู่ข้างๆ มองแกะที่ถูกต้อนลงจากรถม้า ก่อนต้อนเข้าไปในคอกที่มีสัตว์อีกหลายชนิดรวมอยู่ในนั้น เจฟ์ฟเลยเลือกที่จะเข้าไปกับทหารดูในคอกแกะ ตอนนี้จอร์ฟฟี่ก็ยืนรอกับเขาอยู่ข้างนอกสองคน
“ข้าเห็นเจ้าสนิทกับพี่ข้า” จอร์ฟฟี่หันมาถาม ตลอดเวลาที่เดินทางเข้าเมือง เขาก็ได้ยินแต่เสียงเจ้าตัวเล็กที่เจือยแจ้วไม่หยุด
“ก็ไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่” อลันตอบไม่เต็มเสียง ยังรู้สึกกลัวๆคนตรงหน้าอยู่ ด้วยใบหน้าตาดุดันต่างจากอีกคน ที่ดูดุแต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าคนน้อง บวกกับตัวใหญ่จนอลันตัวหดเล็กกว่าเดิม
“ข้าชื่อจอร์ฟฟี่ เป็นน้องของเจ้านั่น” อีกคนแนะนำตัว อลันเลยพยักหน้าให้ แต่ก็ยังไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายอยู่ดี
“ข้าอลัน” แนะนำตัวเองบ้าง แต่ยังไม่ได้พูดอะไรอีก เจฟ์ฟก็เดินมาทางพวกเขาสองคนเสียก่อน
“เรียบร้อยแล้ว กลับเถอะ “ เจฟ์ฟบอก
จากนั้นพวกเราสามคนก็ตรงไปหาลุงชาร์ลที่ยืนรออยู่ ก่อนจะยื่นถุงเงินให้กับพี่น้องสองคนรวมทั้งเขาด้วย จนอลันขมวดคิ้วสงสัย
“ค่าแรงเจ้า” อลันมองถุงสีผ้าสีน้ำตาลในมือตัวเองทันที ก่อนยิ้มกว้างออกมา จนเจฟ์ฟจับลูบศีรษะอลันไปมา
“ขอบคุณครับ” อลันขอบคุณอีกฝ่ายอย่างดีใจ ตอนแรกนึกว่าอลันจะไม่ได้อะไรเลย เพราะไม่ได้เลี้ยงแกะเต็มวัน
“ข้าจะให้คนพาเจ้ากลับที่หมู่บ้าน เจ้าไปรอที่หน้าประเมืองได้เลย” ลุงชาร์ลหันมาบอกพลางนึกขึ้นได้ อย่างน้อยลุงชาร์ลก็ยังใจดีให้คนพาเขากลับ
“ข้าจะพาอลันกลับเอง” เจฟ์ฟอาสา ทำเอาทั้งลุงชาร์ลและน้องชายตนมองมาที่เขาเป็นตาเดียว พร้อมทำหน้าสงสัย เจฟ์ฟเลยอธิบายเพิ่มไป
“ข้าสนิทกับอลัน และเขาก็อยากจะไปเดินเล่นในเมืองก่อนกลับ ข้าเลยอาสาว่าจะพาเที่ยวและพากลับหมู่บ้าน”
“งั้นรึ ตามใจแล้วกัน แต่พรุ่งนี้ข้าต้องเห็นเจ้าไปเลี้ยงแกะเหมือนเดิม” ลุงชาร์ลกำชับ สงสัยกลัวว่าอลันจะเที่ยวในเมืองเพลินจนไม่กลับหมู่บ้านไปเลี้ยงแกะแน่ๆ
“ครับ” อลันตอบรับ ลุงชาร์ลมองพวกเขาสามคนอีกครั้ง ก่อนจะเดินแยกออกไป สองพี่น้องเลยพาเขาเดินออกจากที่นั่น ตรงเข้าไปในเมืองกว้าง
“ข้ากลับบ้านข้าก่อนแล้วกัน เมียข้ารออยู่” จอร์ฟฟี่หันมาบอกพี่ชายตน เพราะปกติทำงานเสร็จก็จะรีบกลับไปหาลูกเมียทันที
“อืม ไปเถอะ” เจฟ์ฟบอกผู้เป็นน้อง จอฟ์ฟี่เลยผละจากไป ทิ้งให้เขาอยู่กับเด็กหน้าซื่อตามลำพังที่ก้มดูถุงเงินค่าจ้างที่ได้วันนี้
“เจ้าอยากไปบ้านข้าหรือไปเที่ยวในตลาดก่อน”คนตัวโตเอ่ยถามและชวนไปในตัว ใจจริงบ้านเขาก็ไม่มีอะไรน่าดูหรอก แต่อยากให้คนตรงหน้าไปเห็น เผื่อวันไหนเข้าเมืองจะได้ไปหาเขาถูก
“ไกลไหม” อลันถามเสียงซื่อ
“เดินถัดจากนี้ไปสามซอย เดินไปอีกนิดก็ถึง” อธิบายให้อีกคนเข้าใจ พลางชี้มือให้ดู ใบหน้าข้างกายดูงุนงง เจฟ์ฟเลยอธิบายเพิ่ม
“เจ้าเห็น ร้านดอกไม้ไหม ถ้าเจ้าเข้าเมืองหลวง แล้วเดินเส้นตรงอย่างเดียว ถ้าเจอร้านนี้ เจ้าเลี้ยวเข้าซอยข้างๆ เดินนับบ้านไปสิบหลัง แล้วเลี้ยวซ้าย ก็จะถึงบ้านข้า” เจฟ์ฟบอกพร้อมกับชี้ให้อีกคนจดจำ
“ข้ากลัวจะจำไม่ได้” อลันบ่นอุบ คนสมองทึบอย่างอลัน พอบอกให้จดจำอะไร เขาก็จะลืมมันเสียทุกครั้ง ถ้าสิ่งนั้นมันเข้าใจยากและซับซ้อนเกินกว่าที่อลันจะจำได้
“งั้นลองเดินไป ให้เจ้าจำสัญลักษณ์เด่นๆไว้ ที่เจ้าพอจะจำได้เอาไว้พอ” เจฟ์ฟบอก เมื่อเห็นอาการที่บ่งบอกว่ายุ่งยากในใบหน้านั้น
ทั้งอลันและเจฟ์ฟจึงเดินไปร้านดอกไม้นั้น อลันที่มองข้างทางตลอดเวลาด้วยความตื่นตาขาเล็กเดินตามหลังร่างสูงไม่ห่าง จนอีกคนถึงกับส่ายหน้าไปมา ทั้งที่บอกให้จดจำ แต่อีกฝ่ายกับมองดูนั่นดูนี่เพลิน
“จำทางได้ไหม” เจฟ์ฟถามเมื่อมาถึงบ้านตัวเอง
“ขะ ข้า จำไม่ได้” อลันก้มหน้าตอบ ตลอดเวลาที่เดินมา อลันลืมที่อีกคนสั่งไว้ ทุกอย่างดูแปลกตาสำหรับอลันไปหมด จนอดที่จะอยากรู้และมองพวกนั้นไม่ได้
“เฮ้อ” คนตัวโตได้แต่ถอนหายใจ ตามจริงเขาไม่ต้องสนใจร่างเล็กตรงหน้านี้ก็ได้ แต่เวลาเห็นสายตาซื่อไร้เดียงสาและความตั่งใจตั้งมั่นที่อยากจะมาอยู่ที่นี่แล้ว ก็อดที่จะอยากช่วยเหลือไม่ได้ ถ้าอลันมาที่นี่โดยไม่รู้จักใคร ต้องโดนหลอกงจากคนในนี้อย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่าเมืองหลวงจะปลอดไปเสียหมด ที่นี่มีโจร ปล้นราว ฆ่าแกงเกือบจะทุกวัน พอมองคนที่อยากจะเข้ามาอยู่ ก็ได้แต่หนักใจแทน กลัวจะโดนหลอกเอาง่ายๆ
“ข้ามันโง่” อลันด่าทอตัวเอง เพราะตัวเองโง่เขลาจริง แค่นี้ยังจำไม่ได้เลย อุตสาห์อีกคนพยายามบอกให้จำไว้ให้ขึ้นใจ
“แล้วเจ้าจะมาบ้านข้าถูกไหม ตอนที่จะย้ายมาอยู่ในเมืองหลวง” เห็นสีหน้าสลดก็อดใจอ่อนเสียไม่ได้ แต่ก็ดุหน่อยเพราะอยากให้อีกฝ่ายรู้
“…” อลันเงียบ
“เจ้าจะเข้าไปบ้านข้าก่อนไหม หรือไปเดินเที่ยวในตลาดเลย” เจฟ์ฟจึงเปลี่ยนเรื่อง ค่อยบอกตอนกลับไปก็ได้
“ข้าอยากไปเที่ยวตลาดเลย” อลันบอก เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มจะเป็นสีส้ม บ่งบอกว่าความมืดกำลังจะคืบคลานเข้ามาในไม่กี่ชั่วยาม
“ตามใจ” คนโตเอ่ยบอกร่างที่เล็กกว่า จนเห็นรอยยิ้มที่หุบไปกลับเผยอกว้างอย่างดีใจ จนอดไม่ได้ที่จะขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
เจฟ์ฟพาอลันเดินเข้าตลาดในเมืองที่คึกคักและวุ่นวายไปตลอดทางเดิน ร่างเล็กก็วิ่งดูนั่นดูนี่ไม่มีที่ท่าว่าจะเหนื่อย ก่อนจะเดินกลับมาหาเขาพร้อมกับบางอย่างในมือ
“ข้าซื้อให้ไอลีนและยาย” อลันชูที่คาดผมลายดอกไม้น่ารัก กับผ้าพันคอสีเทาให้อีกฝ่ายดู เงินที่อลันได้วันนี้ เขาจึงตั้งใจซื้อของพวกนี้ไปฝากยายกับน้องเสียเลย
“เท่าไหร่” เจฟ์ฟถาม มองของในมือเล็กที่ดูจะชอบจนยิ้มไม่หุบ
“20 บัค” อลันตอบ วันนี้อลันได้รับค่าจ้าง 30 บัค ซึ่งมากกว่าที่อะไรได้กว่าปกติ 10บัค แต่ของที่นี่ก็แพงมาก ใจจริงอลันอยากจะซื้อผ้าพันคอให้ไอลีนอีกผืน เพราะใกล้หน้าหนาวแล้ว แต่เงินไม่พอ เพราะผ้าพันคอตั้ง 15บัค
“เจ้าโดนโกงแล้ว” เจฟฟ์บอกคนตรงหน้า อันที่จริงสองอย่างที่เจ้าตัวซื้อเพียงแค่ 10 บัคเท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือพวกพ่อค้าแม่ค้าคงเห็นหน้าตาซื่อๆนั้นเลยหลอกขายเอา
“จริงหรอ!”อลันตกใจ ไม่คิดว่าว่าแม่ค้าคนนั้นจะโกงตนเอง เพราะดูใจดีพูดเพราะออก แนะนำเขาทุกอย่างเลย พอรู้ว่าโดนหลอก ก็อดที่จะทำหน้าสลดไม่ได้ พลางคิดว่าทำไมคนในเมืองถึงเป็นคนแบบนี้ และอดไม่ได้ที่จะโทษตัวเอง
“เจ้าเห็นหรือยัง ที่นี่ไม่ได้สวยงามหรือวิเศษอย่างที่เจ้าคิด มีคนโกง มีโจร มีผู้ร้ายอยู่นี่เต็มไปหมด ถ้าไม่ระวังหรือดูดีๆก็จะถูกหลอกแบบเจ้านี่แหละ” เจฟ์ฟเตือนด้วยความหวังดี อย่างน้อยครั้งนี้คงจะเปลี่ยนความคิดร่างเล็กตรงหน้าได้บ้าง
“อื้อ ข้าจะระวัง” ปากเล็กพึมพำออกมา รู้สึกว่าตัวเองโง่ที่โดนหลอกเอาง่ายๆ ที่เจฟ์ฟบอกมันทำให้อลันเริ่มมองเมืองหลวงใหม่ มันอันตรายสำหรับเขาจริงๆ
พอใกล้ตะวันตกดิน อลันเลยชวนร่างสูงกลับหมู่บ้าน ถึงแม้อีกฝ่ายบอกไม่ต้องกลัวก็ตาม แต่ก็อดกลัวและหวั่นไม่ได้อยู่ดี ยิ่งความมืดเข้ามา อลันยิ่งตัวสั่น รอบข้างมันน่ากลัวไปหมด ไม่รู้ในความมืดนั้นมีอะไรอยู่หรือเปล่า
“ข้าจับได้ไหม” อลันเอ่ยขออีกฝ่ายอย่างกล้าๆกลัวๆ ในการขอจับชายเสื้อ เมื่อพวกเขาทั้งสองกำลังออกจากประตูกำแพงใหญ่
“หึ ได้สิ” คนตัวโตตอบ เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวจากอีกคน มือเล็กก็จับชายเสื้อเขาไว้แน่น ตาก็มองรอบเหมือนกลัวอะไรตลอดเวลา ไม่นับรวมมองพื้นดินเหมือนกลัวจะไปเตะหรือเกี่ยวอะไรเข้า
ยิ่งเดินเข้าไปในป่าเขตหมู่บ้าน อลันแทบจะสิงคนตัวโต ไม้ที่ถูกพันด้วยผ้าชุบน้ำมันถูกจุด เพื่อเป็นแสงนำทาง อลันพยายามเดินอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ตัวเองสะดุดอะไรเข้า จากตอนแรกแค่จับมือข้างเดียวตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนมาจับเสื้อของคนตัวโตทั้งสองข้าง จนได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากลำคออีกคนทุกครั้ง
ซอกแซก!
เฮือก
เสียงเหมือนบางอย่างวิ่งอยู่ไม่ไกลจากที่อลันเดินอยู่ ทำให้อลันที่เดินเคียงข้างอีกคนแทบจะกระโดดกอดให้กับความขี้ขลาดหวาดกลัวของตัวเอง
“พวกสัตว์ป่า” เจฟ์ฟหันไปบอกร่างที่สั่นเทาข้างกาย
“ขะ ข้ากลัว” อลันบอกเสียงสั่น เขาไม่เคยออกมาเดินกลางคืนแบบนี้เลยสักครั้ง เพราะคำห้ามของผู้เป็นยายย้ำเตือนให้อลันอย่าเดินตอนกลางคืนเด็ดขาด เพราะอาจถูกพวกปีศาจจับไปได้
พรึบ!
“อ๊ากก” อลันร้องสุดเสียงด้วยความตกใจ เมื่อมีบางอย่างโผล่ออกมาจากพุ่มไม้มาทางที่เขาสองคนเดินอยู่ ทำให้อลันสะดุดล้มก้อนหิน จนเข่าเล็กกระแทกเศษหินข้างทางอย่างแรง จนคิดว่าเข่าเล็กคงแตกแน่
“ชู่ว เงียบอลัน มันแค่หมูป่า” เจฟ์ฟรีบวิ่งไปหาร่างที่ล้มอยู่กับพื้นแล้วเอามือแตะปากตัวเองเป็นสัญญาณให้เงียบ การส่งเสียงในป่าแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี โดยเฉพาะรายล้อมไปด้วยความมืดแบบนี้
“ฮึกๆ” อลันเอามือปิดปากตัวเองแน่น น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาด้วยความกลัว แต่ก็ไม่อยากส่งเสียงตัวเองออกมา เจฟฟ์เห็นใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาก็ได้แต่ถอนหายใจ ทั้งสงสารทั้งเห็นใจ
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เอ่ยถาม พร้อมกับเอาคบไฟมาใกล้เพื่อสำรวจร่างเล็กนั้น ก็เห็นแผลที่หัวเข่าเล็กนั้นแตก เลือดไหลอาบ แต่ตาคมสองข้างก็เบิกกว้างเมื่อเห็นสีเลือดที่เข่าเล็กนั้นผิดแปลกไป
“ฮึก ขะ ข้าไม่เป็นอะไร” อลันเหมือนรู้สึกตัว รีบเอามือมาปิดเข่าตัวเองปกบิดเอาไว้ไม่ให้อีกคนเห็นบางอย่างที่ผิดปกติ
หมับ!
“จะ เจฟ์ฟ!”อลันร้องอย่างตกใจ เมื่อมือใหญ่จับมือที่ปิดเข่าเล็กนั้นออกอย่างแรง และบีบไว้แน่น พลางลองเอาคบไฟไปส่องใกล้ๆแต่ก็เห็นเป็นเลือดสีแดงธรรมดา เจฟ์ฟเลยเอาคบไฟออกห่างจนเกิดความมืดขึ้นรอบตัว โดยมีร่างใหญ่ตัวเองบังแสงไฟนั้นด้วย จากที่คิดว่าจะมีแค่ความมืดรอบตัว แต่กลับมีแสงเรืองรองบางอย่างเปล่งแสงออกมาจากเข่าเล็กนั้น ที่ควรจะอาบไปด้วยเลือดสีแดง
“ถอยออกไปนะ!” อลันร้องบอก เบี่ยงตัวหลบคนตัวโต เมื่ออีกคนเห็นสิ่งที่อลันซ่อนไว้ มีเพียงแค่ยายกับไอลีนที่รู้เรื่องนี้ และอลันไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ด้วย อลันไม่อยากให้ใครมองเขาว่าเป็นตัวประหลาด
เจฟ์ฟมองเลือดของร่างเล็กตรงหน้าด้วยความตะลึงตกใจ แต่กลับถูกมือเล็กใช้เสื้อตัวเองซับและเช็ดมันออกอย่างแรง จนแสงนั้นเลือนหายไป และเปล่งแสงออกมาอีกครั้งท่ามกลางความมืดเมื่อของเหลวไหลออกมาจากเข่าไม่หยุด เจฟ์ฟมองใบหน้าเล็กที่อาบด้วยน้ำตาอีกครั้ง
“ละ เลือดเจ้า”