The Shepherd Boy เด็กเลี้ยงแกะ ep.11 King of Demon 25/7/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Shepherd Boy เด็กเลี้ยงแกะ ep.11 King of Demon 25/7/18  (อ่าน 3749 ครั้ง)

ออฟไลน์ 10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


The Shepherd Boy
เด็กเลี้ยงแกะ


เพียงแค่ แกะ ตัวเดียว ทำให้ชีวิตของ อลัน เปลี่ยนไป

ถ้าอลันไม่ตามแกะตัวนั้นไป

ถ้าอลันปล่อยให้มันเข้าไปในเขต ต้องห้าม

เพียงแค่ปล่อยมัน..

ชีวิตอลันก็ไม่ต้องเจอกับ เขา คนนั้น

คนที่มนุษย์อย่างอลันไม่ควรล้ำเส้นเข้าไป..



ฝากเรื่องใหม่ด้วยนะค่า
#อลันเด็กเลี้ยงแกะ

 :L2: :hao7: :mew1:

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-07-2018 17:19:13 โดย 10969 »

ออฟไลน์ 10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
Re: The Shepherd Boy เด็กเลี้ยงแกะ Prologue 23/3/18
«ตอบ #1 เมื่อ23-03-2018 16:34:05 »

Prologue


แฮ่ก แฮ่กๆ

เสียงลมหายใจที่ถี่ชั้น ไม่นับรวมก้อนเนื้อที่อยู่ข้างในที่เต้นระรัว เส้นขนอ่อนตามร่างกายชี้ตั้งเหมือนตัวเม่น เหงื่อกาฬไหลซึมผ่านวงใบหน้าที่ซีดเผือด มือสองข้างก็เย็บเฉียบจนเกือบชาไม่รู้สึก เมื่อเผชิญกับบางสิ่งตรงหน้า ร่างโปร่งที่อยู่บนพื้นดินถึงกับถดกายหนีชิดต้นไม้สูงใหญ่อย่างหวาดกลัว

กลิ่นอายความเยือกเย็นและความน่ากลัวแผ่ออกมาจากผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่ ที่ถูกสวมคลุมทับด้วยร่างกายที่สูงใหญ่เกือบสองเมตร ภายใต้ผ้าคลุมนั้นกลับมีแต่ความมืดที่ไม่สามารถเห็นใบหน้านั้นได้ ความอึดอัดบีบรัดในอกที่แผ่กระจายทำให้อลันเริ่มหายใจได้น้อยลงเหมือนถูกลิดรอนอากาศ

“มนุษย์”

เสียงทุ้มต่ำแหบน่าสะพรึงเอ่ยออกมาจากใต้ผ้าคลุมนั้น พร้อมเคลื่อนกายใหญ่สืบเท้าเข้ามาใกล้ อลันสังเกตฝ่าเท้าที่กำลังก้าวมาหาตน เพียงแค่เหยียบย่ำ พื้นหญ้าตรงนั้นก็เหี่ยวเฉาแห้งตายกลายเป็นสีดำ เพิ่มความกลัวให้อีกคนแทบลืมหายใจ

ตาสีน้ำตาลอ่อนกระตุกสั่นไหว ลุกลิกกรอกตามองรอบๆ อย่างหาหนทางหนี รอบๆ ตัวก็ปกคลุมไปด้วยต้นไม้แปลกประหลาดสูงใหญ่ เหมือนพวกมันมีชีวิต เพียงแค่อลันขยับตัวจะลุกวิ่งหนี ร่างกายเขาก็ถูกพันธนาการด้วยรากไม้ที่พุ่งโอบรัดตัวแน่นจนขยับเขยื้อนไม่ได้ อลันปล่อยน้ำตาไหลพรากด้วยความกลัวจับใจ เมื่อร่างกายถูกยกลอยขึ้นไปหาสิ่งที่ตนกำลังหนีสุดชีวิต

“ฮึก”

มือยาวโผล่พ้นออกมาจากผ้าคลุมสีดำสนิท มือนั้นขาวซีดจนน่ากลัว ตามผิวขาวซี มีลายพาดเหมือนเส้นเลือดสีดำ แต่ก็เหมือนสัญลักษณ์หรืออักขระบางอย่างรอบทั้งมือและแขนนั้นที่กำลังยื่นมาหาทางอลันที่ร้องไห้สั่นเทิ้มกลัวอย่างหนัก เล็บแหลมสีดำที่อยู่ปลายนิ้ว ตวัดชี้ไปจ่อปลายคางของอลันจนเลือดไหลซึมตามเล็บยาว

“อ่า เลือดมนุษย์”






ฝากนุ้งอลันด้วยนะจ้าาาา
:mew1: :กอด1: :pig4:



ออฟไลน์ 10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ตอนที่ 1

Alan Shepherd Boy





วี้ด วี้ด

   เสียงสายลมพัดผ่านต้นโอ๊คต้นใหญ่ที่ตั้งตระหง่านต้นเดียวท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจีที่รายล้อม กินพื้นที่กว้างเกือบครึ่งภูเขาเล็ก มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวของหญ้าที่อุดมสมบูรณ์เต็มไปหมด ไม่นับรวมกับสัตว์ขนฟูอย่างแกะ พันธ์บอนด์  แกะกึ่งเนื้อกึ่งขน ที่มีเนื้อมาก โตเร็ว แข็งแรง และทนต่อสภาพภูมิอากาศต่างๆนับร้อยตัวที่แทะเล็มกินหญ้าอย่างอิสระใต้ต้นโอ๊คใหญ่มีร่างของเด็กหนุ่มวัย17ปีนอนเอนกายพิงพัก  ใบหน้าก็ถูกปกปิดไปด้วยหมวกฟางกันความร้อนและแสงแดดในฤดูร้อนสาดส่องเข้ามาตามช่องว่างของใบไม้  ข้างๆก็มีสุนัขพันธุ์เคลปี(Kelpie) ที่ถูกฝึกไว้ต้อนแกะโดยเฉพาะและเป็นคู่หูเพื่อนยาก

แบ๊ะ~

เสียงร้องของเจ้าแกะอ้วนปลุกให้เด็กหนุ่มที่นอนพักสายตาอยู่ถึงกับสะดุ้งตื่น มือก็เอื้อมไปหยิบหมวกฟางออกจากใบหน้าที่เรียวยาวแต่คมคร้ามเมื่อเริ่มวัยแตกหนุ่ม ต่างจากรูปร่างที่สูงโปร่งเพรียวไม่ได้กำยำล่ำสันเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน

อลัน  คาร์เลน  เด็กหนุ่มชาวทาคาดิน ที่เป็นหมู่บ้านหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเลอเวียร์ที่เป็นเมืองหลวงใหญ่  ห่างออกไปเกือบ10 ไมล์ ทาคาดินเป็นหมู่บ้านชาวพื้นเมืองที่ส่วนมากจะประกอบอาชีพทำไร่ เก็บสมุนไพรและเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านเป็นป่าและทุ่งหญ้ากว้าง

หมู่บ้านทาคาดินมีแหล่งอาหารพืชพันธุ์ที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุด  เป็นหมู่บ้านหลักที่ถูกนำเสบียงอาหารส่งเข้าไปในเมืองหลวงเป็นอันดับต้นๆ นอกจากจะมีความสมบูรณ์ทางอาหารและพืชพันธุ์แล้ว ทาคาดินยังมีสมุนไพรหายากดั่งทองคำอยู่ที่นี่ด้วย

แต่ถึงทาคาดินจะอุดมสมบูรณ์และมีพืชพันธุ์หายากมากแค่ไหน จำนวนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้กับน้อยนิดเพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น  เมื่อเทียบกับเมืองหรือหมู่บ้านอื่นๆที่อยู่ถัดไป

แต่เพียงไม่กี่ไมล์ ไม่ไกลจากหมู่บ้าน มีเส้นแบ่งอาณาเขตบางอย่างที่เป็นเหตุผลให้หลายคนหอบข้าวของทิ้งบ้านตัวเองเพื่อเข้าไปอยู่ในเมืองหลวง เมืองที่มีกำแพงสูงใหญ่ป้องกันอันตรายจากบางสิ่งได้ 

เขต ‘ต้องห้าม’

 พื้นที่ที่ถูกขีดเส้นและแบ่งไว้อย่างชัดเจนโดยต้นไม้แปลกประหลาดรูปร่างสูงใหญ่น่ากลัว ลำต้นกิ่งใบมันสีดำทมิฬเหมือนซากต้นไม้แห้ง กลางคืนมันจะขยับเคลื่อนและส่งเสียงเหมือนมีชีวิต ต้นไม้พวกนั้นปกคลุมไปทั่วดินแดนฝั่งหนึ่งจนไม่สามารถมองเห็นจุดที่สิ้นสุดได้

ทุกคนหวาดกลัวสิ่งที่อยู่ในนั้น

ทาคาดินนับวันเกือบจะเป็นหมู่บ้านร้าง ส่วนคนที่เหลือก็จำใจอยู่เพราะเสียดายความสมบูรณ์ของพืชพันธุ์เหล่านั้นที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ  บางคนทนอยู่เพราะไม่มีทางเลือกด้วยฐานะเงินทอง และคำสั่งจากกษัตริย์องค์ปัจจุบันที่ห้ามคนออกจากหมู่บ้านนี้ เพราะเป็นแหล่งเสบียงสำคัญ

อลัน  ดาร์เลน  ก็เป็นหนึ่งในนั้น อลันมีน้องสาวหนึ่งคนชื่อ ไอลีน ทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงโดย แอนนา สมิธ หญิงวัยชราวัยหกสิบใกล้ฝั่งไม่มีญาติที่ไหน แอนนาบังเอิญไปเจอพวกเขาสองคนถูกทิ้งอยู่ข้างทางตอนอายุ 5 ขวบ ทั้งอลันและไอลีนต่างถูกเลี้ยงแบบตามมีตามเกิด เนื่องจากแอนนามีอาชีพเก็บสมุนไพรไปขายเท่านั้น

 เมื่ออายุได้ 13 ปี อลันจึงออกรับจ้างเพื่อแบ่งเบาภาระ โดยการรับจ้างขนฝืน ส่วนไอลีนที่อายุห่างจากเขาแค่3 ปี ก็ไปช่วยยายเก็บสมุนไพร ต่างจากเด็กรุ่นราวเดียวกันที่เข้าเมืองเพื่อไปศึกษาเล่าเรียน  ส่วนอลันกับไอลีนทำได้แค่พออ่านออกและเขียนได้เล็กน้อยตามที่ยายแอนนาสอนเท่านั้น  อลันเป็นคนไม่สู้คน อ่อนแอ ขี้ขลาด  แต่ก็ซื่อสัตย์และมีน้ำใจต่อคนอื่น ความอ่อนแอและคิดอะไรง่ายๆ ไม่รอบคอบ ทำให้อลันถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอ

จนอายุได้ 15 ปี อลันก็เปลี่ยนมารับจ้างเลี้ยงแกะ  เมื่อ ชาร์ล  ไทเลอร์ ตาลุงวัยห้าสิบปีที่นิสัยโหด เข้มงวด เอารัดเอาเปรียบและชอบพูดจาดูถูกไม่น่าคบ  แต่ก็ร่ำรวยด้วยการค้าขายแกะส่งเข้าในเมือง  เด็กคนเก่าที่เลี้ยงแกะลาออกเพื่อไปทำงานในเมือง อลันจึงได้มารับจ้างเลี้ยงแกะแทน ซึ่งค่าจ้างก็ถูกเอาเปรียบอยู่จากลุงชาร์ลผู้หน้าเลือด  แต่อลันก็ไม่เกี่ยงงอนรับทำเพราะจำเป็น และคิดว่ามีอะไรที่ได้เงินเขาก็ทำหมด จนกระทั่งปัจจุบัน อลันก็ยังรับจ้างเลี้ยงแกะอยู่

“มีอะไร ดอร์กี้” อลันผุดลุกขึ้นเอ่ยถามสุนัขคู่ใจที่หูตั้งชัน มองไปยังแกะที่วิ่งหนีตื่นตระหนกขึ้นมาทางพวกเขาอยู่

โฮ่ง!

ดอร์กี้ตะโกนเห่าพร้อมกับวิ่งไปหาฝูงแกะที่แตกตื่นเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง อลันจึงวิ่งตามลงไปต้อนแกะพวกนั้นให้ไปรวมฝูงกับอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่เนินเขาโล้น พอต้อนเสร็จแกะพวกนั้นก็กลับมาปกติอีกครั้ง อลันจึงหันไปมองสาเหตุของอาการแตกตื่นของเหล่าฝูงแกะ ที่อยู่ห่างออกไปเป็นไมล์จากที่พวกเขาอยู่  เส้นแบ่งสีเขียวของหญ้ากับสีดำของต้นไม้แปลกประหลาดพวกนั้น

เขตต้องห้าม

   ความมืดและหนาทึบของต้นไม้เหล่านั้นไม่สามารถมองลอดผ่านเข้าไปได้ว่าในนั้นมีอะไร และก็ไม่มีใครอยากรู้และอยากย่างกรายเข้าไปที่นั่น  ตรงที่อลันนำฝูงแกะนับหลายร้อยตัวมากินหญ้า ห่างจากเขตแดนนั้นไม่ไกลมากนัก มีหญ้าอ่อนที่แกะชอบกินอยู่ เพราะหญ้าบริเวณนี้จะสมบูรณ์และขึ้นเยอะ เนื่องจากไม่มีสัตว์ตัวไหนมากิน  เหตุผลอีกอย่างที่มาคือคำสั่งจากลุง     ชาร์ล อลันเคยถามลุงชาร์ลว่าทำไมพาไม่ไปเลี้ยงที่อื่น ลุงชาร์ลก็ตอบแบบปัดๆว่า หญ้าตรงนี้มันดี เขาเลยไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไร นอกจากทำตามเท่านั้น

   อลันเคยได้ยินเรื่องที่ชาวบ้านเล่าปากต่อปากกันมา ก่อนที่จะย้ายเข้าไปในตัวเมือง ว่ากันว่า เขตต้องห้ามที่หลายคนพูดถึงหรือได้ยินก็จะพลันหน้าซีดและหวาดกลัวทุกครั้ง  มีพวกปีศาจถูกสาปอยู่ในนั้น ไม่เคยมีใครเคยเห็นใบหน้าพวกมัน  บ้างก็ว่าลำตัวมันสูงใหญ่แข็งแกร่งมีพละกำลังมากมาย  พวกมันมีเวทมนท์คาถาสาปแช่งทรมานผู้คน ไหนจะสติปัญญาล้ำและฉลาดจนน่ากลัว  นิสัยดุร้ายราวกับสัตว์ป่า โหดร้ายป่าเถื่อน และอำมหิต พวกมันทั้งเกลียดและปรารถนามนุษย์ไปพร้อมกัน มันเกลียดที่มนุษย์อ่อนแอไร้ทางสู้ แถมโง่เขลา

แต่พวกมันก็ปรารถนาเลือดมนุษย์ที่แสนหอมหวานไว้ดื่มกิน พวกมันเสาะสรรหามนุษย์ที่เลือดหวานพิเศษที่สามารถเพิ่มพละกำลังให้พวกมัน ถ้าไม่กินพวกมันก็จะทารุณใช้งานเยี่ยงสัตว์  ถ้าใครคนนั้นหลงเข้าไปในนั้น มันเหมือนเขาวงกตวกวนไร้ทางออกเหมือนกับดักที่รอคร่าชีวิต

 ดังนั้นกษัตริย์เอลอน กษัตริย์ที่อ่อนแอไร้ซึ่งความเป็นราชา และผู้นำมนุษย์ในช่วงยุคนั้น ได้ถูกพวกปีศาจร้าย คืบคลานกวาดล้างเข่นฆ่าและจับมนุษย์ไปเป็นอาหาร  กษัตริย์เอลอนหวาดกลัวและขลาดเขลา จึงส่งสารข้อความเจรจา ให้ทำสนธิสัญญาข้อตกลงกับปีศาจพวกนั้น โดยการแบ่งเขตแดนฝั่งมนุษย์ให้ครึ่งหนึ่งกับปีศาจ โดยห้ามข้ามเขตแดนและก้าวก่ายซึ่งกันและกัน  แต่ดูเหมือนพวกปีศาจจะไม่ยอมข้อตกลงที่ทางกษัตริย์เอลอนเสนอ พวกมันคิดจะกวาดล้างมนุษย์ให้อยู่ใต้อาณัติตัวเองและยึดครองโลกมนุษย์ไว้ทั้งหมด กษัตริย์เอลอนจึงให้พวกมันเสนอด้วยความจำยอม เพราะมนุษย์อย่างพวกเขาไม่มีทางสู้ปีศาจแบบพวกมันได้

ผู้นำปีศาจจึงเสนอให้มนุษย์ส่งเครื่องบรรณาการมนุษย์เป็นๆ และสัตว์เลี้ยงครึ่งหนึ่งที่มนุษย์มีมาให้ทุกปี ไม่เช่นนั้นพวกนั้นจะเข้าไปล่ามนุษย์ และฆ่าทายาททุกคนที่จะขึ้นเป็นราชาคนต่อไป กษัตริย์เอลอนจึงตอบตกลงอย่างกล้ำกลืนไม่มีทางเลือก  ปีศาจพวกนั้นจึงล่าถอยไปเพราะมันให้คิดว่า ควรให้มนุษย์มีชีวิตเพื่อเป็นอาหารของพวกมันต่อไป มันจึงยอมตกลง

จนมาถึงปัจจุบันก็ไม่มีกษัตริย์องค์ไหนกล้าทำสงครามกับปีศาจพวกนั้น  จึงได้แต่หลบตัวอยู่ภายใต้กำแพงสูงที่สร้างขึ้นมา แต่ทุกวันก็ยังมีคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ถึงแม้จะทำตามสัญญาโดยการส่งคนและเสบียงสัตว์เลี้ยงต่างๆให้พวกมันต่อๆกันเป็นร้อยปีแล้วก็ตาม

ยายแอนนาเล่าว่าเคยมีชายคนหนึ่งหลุดออกมาได้เมื่อยี่สิบปีก่อน แต่ก็เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานด้วยพิษบาดแผลและสภาพร่างกายที่ถูกทรมานและทารุณอย่างหนัก ลำตัวแห้งลีบและซีดขาวเหมือนถูกสูบเลือด ทำให้ชายคนนั้นสติฟันเฟืองและเป็นบ้าในที่สุด เขาเสียชีวิตเพราะพลัดตกหน้าผาห่างจากที่นี่ไม่ไกล ก่อนตายชาวบ้านได้ถามถึงปีศาจพวกนั้น ว่าน่ากลัวมากแค่ไหน ชายคนนั้นก็เอาแต่กรีดร้องตะโกนเหมือนเจ็บปวดและพร่ำอ้อนวอนขอชีวิต มีเพียงคำเพ้อที่พอจะจับใจความได้แค่สองคำเท่านั้น

เซ รอน

อลันได้ฟังเรื่องเล่าก็พลอยขนลุกชัน  หายใจไม่ทั่วท้องยามได้ยินสองคำนั้น เหมือนชื่อเรียกขานสิ่งที่น่ากลัว  เดิมทีอลันชอบนั่งมองเขตต้องห้ามนั้นใต้ต้นโอ๊คใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเป็นประจำ  อลันสามารถมองเห็นกลุ่มต้นไม้น่ากลัวที่แผ่ปกคลุมจนกินพื้นที่แถบนั้นเป็นสีดำกว้างสุดไกลตา  ในใจก็พลอยอยากรู้อยากเห็น อีกใจก็หวาดกลัวกับคำบอกเล่าที่หลายคนพูดกัน

สวบ สาบ

เสียงบางอย่างเคลื่อนไหวในป่าทึบใหญ่นั้น ถึงแม้จะห่างไกลแต่ก็สามารถได้ยินและรับรู้ได้จากต้นไม้ที่เคลื่อนไหว ดอร์กี้ที่ยืนอยู่ข้างๆขู่คำรามให้กับความมืดในป่านั้น อลันที่ต้อนแกะออกห่างจากเขตต้องห้าม รีบถอยออกห่างตามสัญชาตญาณ แกะที่รับรู้ถึงอันตรายพวกมันก็เว้นระยะห่างจากเขตต้องห้ามนั้นเช่นกัน แต่บางอย่างข้างในก็ทำให้พวกมันตื่นตระหนกและแตกตื่นวิ่งหนีกระเจิง

   “ไปเถอะ ดอร์กี้” อลันหันไปเรียกสุนัขคู่ใจตัวเองให้ถอยห่างจากป่าตรงนั้น กลิ่นไอความน่ากลัวแผ่ออกมา ยิ่งทำให้อลันไม่อยากย่างกรายเข้าไปใกล้ และไม่มีวันสืบเท้าเข้าไปในนั้นเด็ดขาด

   ไม่มีวัน

   



:L2: :z2:












ออฟไลน์ 10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ตอนที่ 2

Alan and Zeyana





            อลันต้อนฝูงแกะกลับเข้าคอกเมื่อตะวันเริ่มตกดิน แกะนับหลายร้อยที่ขาวโพลนตัดกับทุ่งหญ้าสีเขียว พร้อมเสียงแกะที่ส่งเสียงร้องแข่งกันไปตลอดทาง เมื่อต้อนพวกมันเข้าคอกเรียบร้อยก็ไปรับเงินจากลุงชาร์ลที่ได้รับเป็นรายวัน  อลันทำงานกับลุงชาร์ลมาตลอดสองปี แต่ไม่เคยได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นเลย แต่อย่างนั้นอลันก็สามารถเก็บเงินและซื้อชุดสวยๆให้ไอลีนและยายใส่ได้

   รับเงินเสร็จอลันก็เดินกลับบ้านตัวเอง ที่อยู่อีกฝั่งของหมู่บ้านพร้อมกับดอร์กี้ ทางเดินก็ลัดเลาะป่าเข้าไปเล็กน้อยกว่าจะถึง ระหว่างทางก็มีบ้านเรียงรายห่างกันเป็นระยะแต่บ้านเหล่านั้นก็ร้างไร้คน  อลันจึงต้องรีบกลับก่อนตะวันตกดิน เพราะทางกลับบ้านจะมืดและน่ากลัว

   “ข้ากลับมาแล้ว” อลันเปิดประตูไม้ที่ค่อนข้างเก่าหลายสิบปี ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในบ้านแสนเล็กและแคบที่เป็นอิฐทั้งหลัง ส่วนหลังคาก็ทำจากกระเบื้องและปูนทับชั้นด้านบน  ส่วนมือก็เปิดประตูให้เจ้าดอร์กี้เข้ามาข้างในด้วย

   “มาแล้วหรอคะ ข้ารอพี่อยู่เลย ส่วนดอร์กี้เจ้าไปนั่งรอที่หน้าประตู” ไอลีนเดินมาพร้อมกับซุปร้อนๆในมือ แล้วหันไปบอกเจ้าดอร์กี้  ส่วนยายก็นั่งถักไหมพรหมอยู่ที่เก้าอี้โยก

   “วันนี้แกะต้อนยาก กว่าจะต้อนเข้าคอกเสร็จก็นาน” อลันบ่นให้น้องสาววัย14ปี ที่กำลังโตเป็นสาวและสวยเป็นที่จับตามองของคนหนุ่มในหมู่บ้านฟัง

   “เกิดอะไรขึ้นหรอคะ” ไอลีนถามอย่างสงสัย มือก็โอบพยุงยายให้มานั่งกินข้าวเย็น อลันจึงรีบไปพยุงช่วยให้มานั่งที่เก้าอี้ เมื่อยายไม่สามารถเดินเหินได้ปกติเหมือนเดิมตามอายุวัย

   “เหมือนแกะมันกลัวอะไรบางอย่างในป่าประหลาดนั่น” เมื่อช่วยให้ยายนั่งเก้าอี้เรียบร้อย อลันก็นั่งที่เก้าอี้ตัวเองแล้วเล่าให้ฟัง มือก็ตักซุปในถ้วยกิน

   “พี่อลัน เลิกรับจ้างเลี้ยงแกะไม่ได้หรอคะ ข้ากลัวสิ่งที่อยู่ในป่านั้น” ไอลีนทำหน้าเครียด อลันถึงกับส่ายหน้าไปมาแล้วยิ้มให้น้องสาวตน

   “ไม่ได้หรอก ถ้าพี่เลิกทำ เราจะไม่มีเงิน” อลันบอกในสิ่งที่ตัวเองคิด ทุกวันนี้เขาแค่ต้องการหาเงินเยอะๆเพื่อที่จะได้พาน้องและยายไปอยู่ในเมืองหลวง

   “แต่ข้ากลัว ตาแก่นั่นชอบให้พี่อลันไปเลี้ยงแกะแถวนั้น ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตราย” ใบหน้าสวยงอง้ำไม่พอใจเมื่อพูดถึงอีตาลุงโหดที่ชอบให้เขาไปเลี้ยงใกล้เขตต้องห้าม

   “นั่นสิ ยายไม่อยากให้เจ้าไปใกล้ตรงนั้น” ยายบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง จนอลันต้องยิ้มให้ทั้งสอง

   “ไม่มีอะไรหรอกครับ ถ้าเราไม่เข้าไปใกล้” ปากก็พูดไปแบบนั้นเพื่อให้ผู้เป็นน้องและยายสบายใจ แต่อลันกลับรู้สึกหวั่นๆในใจทุกครั้งเมื่อต้องเลี้ยงแกะที่นั่น

   “เฮ้อ ข้าอยากจะมีเงินเยอะๆ เราจะได้ไปจากที่นี่สักที สมุนไพรตอนนี้ก็หายาก เลยเก็บไปขายไม่ค่อยได้” เสียงหวานของไอลีนพร้อมกับขวานช้อนในซุปไปมาเหมือนคนคิดไม่ตก เพราะสมุนไพรต้องเดินลึกเข้าไปในป่าและใช้เวลานาน ไอลีนจึงไปไกลไม่ได้เพราะต้องรีบมาหายายที่อยู่คนเดียว

 อลันมองหน้าน้องสาวตนเองด้วยความภูมิใจและละอาย ที่น้องสามารถดูแลยายได้ดีกว่าตน แถมมีความเป็นผู้นำมากกว่าเขาที่เป็นพี่ชาย ไอลีนฉลาดกว่าอลัน  ใจเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งเก่งทุกอย่างมากกว่าอลันที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ

   “ยายขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าลำบาก” เสียงเครือแหบแห้งเอ่ยออกมาทำให้สองพี่น้องรีบโบกมือไปมา ไอลีนจึงรีบสวมกอดยายแน่นกลัวท่านคิดมาก

   “ไม่ลำบากเลย ไอลีนไม่ลำบาก ขอแค่มียายและพี่อลันเท่านั้น” ว่าแล้วไอลีนก็หอมแก้มที่มีรอยย่นตามวัยร่วงโรย แต่ก็ไม่ทำให้ยายคลายความกังวลใจไปได้ อลันจึงรีบเดินเข้าไปหา

   “ใช่ครับ ข้าไม่ลำบากเลยสักนิด รอหน่อยนะครับยาย ข้าจะรีบเก็บเงินพาพวกเราไปจากที่นี่” อลันกุมมือเหี่ยวแห้งไว้แน่นดั่งคำมั่นสัญญา เขารู้ว่าคนในหมู่บ้านเริ่มหายไปทีละคนอย่างไร้ร่องรอย แต่การที่จะไปเมืองหลวงได้ ต้องมีเงินมากพอสมควร

   “ข้าจะไปหางานเพิ่ม ส่วนเจ้าไม่ต้องห่วงและไม่ต้องไปเก็บสมุนไพรคนเดียวอีก” อลันหันไปบอกน้อง อลันไม่อยากให้ไอลีนไปเก็บสมุนไพรคนเดียว เขาจะหาเงินเลี้ยงน้องและยายเอง

   “ไม่เอา ข้าไม่อยากให้พี่อลันเหนื่อยคนเดียวนะ ข้าจะไปเก็บสมุนไพรเอง” ไอลีนดื้อดึงเมื่อเห็นเขาพูดแบบนั้น

   “ถ้าเจ้าไป ใครจะดูแลยายหล่ะ” อลันถามออกไป มองยายที่นั่งอยู่ด้วยความเป็นห่วงกับการที่ปล่อยให้คนแก่อยู่คนเดียวในบ้าน อลันกลัวพวกปีศาจพวกนั้นด้วย กลัวพวกมันจะมาลักพายายของเขาไป

   “ยายอยู่คนเดียวได้” ยายบอก

   “ไม่ ข้าจะให้ไอลีนอยู่กับยาย ส่วนข้าจะรับจ้างเลี้ยงแกะ และเก็บสมุนไพรเอง ข้าเป็นผู้ชายไม่มีอะไรต้องกลัวหรือเป็นห่วง ไม่เหมือนเจ้า ที่เป็นผู้หญิง ยิ่งอันตราย” อลันบอกและกำชับเหมือนคำสั่งไปพร้อม

   “แต่คนในหมู่บ้านเราเริ่มหายไปทีละคนแล้วนะ” ไอลีนบอกผู้เป็นพี่ชายด้วยความกังวล ยิ่งคนในหมู่บ้านหาย ทุกคนต่างหวาดกลัวและพากันย้ายหนี จนตอนนี้ทาคาดินแทบจะเป็นหมู่บ้านร้างอยู่แล้ว

   “ข้ารู้ แต่ข้าจะระวัง” อลันบอกน้อง เขาจะไม่ยอมให้ไอลีนไปเก็บสมุนไพรคนเดียวและปล่อยให้ยายอยู่บ้านตามลำพังเด็ดขาด อย่างน้อยการที่อยู่หลายคนอลันก็อุ่นใจมากกว่าที่จะปล่อยให้คนใดคนหนึ่งต้องอยู่ลำพัง

   “แต่พี่อลัน” ไอลีนจะค้าน

   “อลัน” ยายเรียกเขาเหมือนไม่อยากให้ต้องลำบากขนาดนั้น

   “อย่าทำให้ข้ารู้สึกอ่อนแอ ดูแลน้องและยายไม่ได้สิครับ ถึงข้าจะสู้คนไม่ได้ ไม่เก่งแถมยังขี้ขลาด แต่ข้าก็อยากดูแลปกป้องน้องและยายให้ดีที่สุด เชื่อใจข้าได้ไหม” อลันพูดเสียงจริงจัง

   “ข้ากลัว”

   “ไม่ต้องกลัวไอลีน” อลันบอกน้องเหมือนให้เชื่อใจเขาสักครั้ง

   “แล้วพี่อลันเข้าป่าได้แล้วหรอคะ”

   “เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล พี่หายแล้ว ได้สมุนไพรที่ยายให้กินเมื่อตอนนั้น ตอนนี้ร่างกายพี่แข็งแรงมาก” อลันตอบกลับให้ไอลีนหายข้องใจ  มีครั้งหนึ่งตอนเขาอายุ 7 ขวับ อลันไปช่วยยายเก็บสมุนไพร แล้วโดนบางอย่างที่มีพิษรุนแรงโดนตัวจนเกือบตาย ตอนนั้นเอลันคงคิดว่าตัวเองไม่รอดแล้ว เพราะไม่มียารักษาและไปหาหมอในเมืองไม่ทัน แต่ยายก็เอาสมุนไพรสีม่วงๆบางอย่าง  มาต้มให้เขากิน จากที่ตอนแรกกะจะไม่รอด อลันกับรอดตายราวกับปาฏิหาริย์  เหมือนกับสมุนไพรนั้นเป็นยาวิเศษ

   “ยาย ข้าอยากได้สมุนไพรที่ยายให้ข้ากิน มันชื่ออะไร และขึ้นอยู่แถวไหน ข้าจะไปเก็บมัน  ถ้าเราเอามันไปขาย มันจะทำเงินให้เราได้เยอะอย่างแน่นอน “ อลันถามผู้เป็นยายอย่างกระตือรือร้น ถ้ามันทำให้เขารอดจากความตายได้ แสดงว่าสมุนไพรนั้นต้องเป็นยาที่รักษาได้ทุกโรคอย่างแน่นอน

   “ซียาน่า” ยายเอ่ยออกมาหลังจากเงียบเมื่อเขาถาม  ทั้งอลันและไอลีนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยกับชื่อที่ได้ยิน ก่อนนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ จนยายยิ้มเบาอย่างเอ็นดูให้กับทั้งสอง

   “ซียาน่า ความหมายของมันคือ ความงามแห่งอัญมณี มันเป็นสมุนไพรที่มีเป็นดอกไม้สีม่วงเหมือนดั่งอัญมณีสุกใสบริสุทธิ์  เป็นดอกไม้ที่หายากและร้อยปีจะเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง” ยายเล่าผ่านดวงตาฝางที่เหม่อลอยขณะพูด

   “แล้วยายได้มายังไงครับ” อลันถามต่อ

   “ลูเบน คนรักของยายให้มาก่อนเขาจะเสียชีวิตไป” ยายเล่าด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก   จนไอลีนรีบไปกอดปลอบเพราะเพิ่งรู้ที่มาของดอกไม้ดอกนั้น

   “จำที่ยายเล่าให้ฟังได้ไหม คนที่รอดออกมาจากเขตต้องห้ามนั้น” พอโดนยายถาม ทั้งอลันและไอลีนต่างพากันตาเบิกกว้างจำได้ แล้วพยักหน้ารัวๆ

   “คนนั้นคือ คนรักยายหรอครับ” อลันถามด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเรื่องเล่านั้นจะเป็นคนรักของยายที่หนีรอดออกมาจากเขตต้องห้ามได้เมื่อยี่สิบปีก่อน

   “ใช่ ลูเบน เป็นคนรักยายเอง” คำบอกเล่าทำให้อลันยิ่งอึ้งและตกใจเข้าไปอีก

   “แล้วเรื่องเป็นมายังไงครับ ทำไมลูเบนถึงเข้าไปในนั้น และหนีออกมาได้ยังไง” ด้วยความอยากรู้ความเป็นมาทำให้อลันถึงกับเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ ยายก็ไม่ถือโกรธที่เห็นอาการเขา

   “ลูเบน กับยาย มีอาชีพเก็บสมุนไพรไปขาย จนวันหนึ่งลูเบนเดินเข้าไปในเขตต้องห้ามนั้น โดยที่ยายไม่รู้ และเขาก็หายไป นานหลายเดือน ยายจึงคิดว่าเขาถูกพวกปีศาจจับตัวไปแล้ว แต่แล้วลูเบนก็กลับมาที่บ้าน พร้อมกับร่างกายที่เหมือนซากศพ มือก็กำดอกไม้สีม่วงบางอย่างในมือเอาไว้แน่น ..”

   ยายเล่าเสร็จก็เงียบไป ตาที่เริ่มไร้แสงสั่นไหวขณะพูด

“ตอนนั้นยายทั้งกลัวและตกใจทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คาดคิดว่าจะเจอเขาอีกครั้ง แต่กว่าจะตั้งสติได้ก็นานหลายนาที จึงรีบพาเขามารักษา ลูเบนใช้เวลาพักฟื้นและตื่นขึ้นมาก็สามวัน เมื่อตื่นขึ้นมาลูเบนก็เหมือนคนเสียสติ กรีดร้องร่ำไห้ตลอดเวลา จนยายสงสารจับใจร้องไห้ตามเมื่อไม่รู้จะช่วยยังไงให้กลับมาเหมือนเดิม

 มีครั้งหนึ่งที่เหมือนลูเบนได้สติรู้สึกตัว เขาเล่าตอนที่ถูกจับไปในเขตต้องห้ามและถูกทรมานอย่างทารุณแสนสาหัส ลูเบนหนีออกมาได้ เพราะสมุนไพรที่เขาเก็บจากป่าติดตัวไป มันมีฤทธิ์รุนแรงทำให้ร่างกายคนที่ได้สัมผัสเป็นอัมพาตและชาขยับไม่ได้หลายชั่วโมง

ลูเบนจึงเอาสมุนไพรพวกนั้นใช้หินขยี้ให้เป็นผงและเอาน้ำของมัน  จากนั้นลูเบนใช้ผ้าซับผงและน้ำไปป้ายปีศาจพวกนั้นโดยที่พวกมันไม่ทันระวังตัว ต่อให้แค่สัมผัสเนื้อผิวอะไรก็ตามที่ได้รับพิษ จะทำปฏิกิริยารุนแรงกับผิวหนังและร่างกายคนนั้นฉับพลันทันที ลูเบนจึงหนีออกมาได้

 แต่ในขณะที่หนี ลูเบนก็เห็นดอกไม้ดอกหนึ่งสีม่วงเหมือนอัญมณีเปล่งประกายท่ามกลางความมืดที่รายล้อมของป่าใหญ่ ลูเบนจึงเก็บมันมา”

   “ชาร์ล่า หรือเปล่าครับ” อลันถามเรื่องสมุนไพรที่ลูเบนใช้หนี  ชาร์ล่าคือสมุนไพรที่เป็นดอกไม้สีดำเป็นพุ่มเล็กๆชอบขึ้นบริเวณหน้าผา เป็นสมุนไพรที่หายากเช่นกัน มันเป็นทั้งยารักษาโรคและมีพิษถ้าใช้ไม่ถูกวิธี เขาเคยเก็บมันอยู่ และเคยเอามันไปแก้แค้นพวกที่แกล้งเขาตอนเด็กด้วย

   “ใช่ ลูเบนใช้ชาร์ล่า กับพวกปีศาจ ไม่ให้สามารถขยับหรือไล่ตามมา ถึงหนีรอดออกมาได้ แต่สุดท้ายเขาก็เสียชีวิตเพราะจะไปเก็บมันอีกครั้งที่หน้าผาจนพลัดตก” ยายเล่าถึงตอนนี้ก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ อลันกับไอลีนจึงกุมมือปลอบ

   “ซิยาน่าจึงเป็นของต่างหน้าที่ลูเบนทิ้งไว้ให้ ยายจึงบดมันเป็นผงและเก็บใส่ไว้ติดตัวตลอดเวลา จนตอนนั้นเจ้ารับพิษของไซคา พิษที่คร่าชีวิตทั้งสัตว์และคนที่ไปสัมผัสมันเข้า ตอนนั้นยายไม่รู้จะช่วยเจ้ายังไง และคิดว่าเจ้าคงไม่รอด จนนึกถึงดอกไม้ที่ลูเบนให้มา ยายจึงต้มให้เจ้ากิน แต่เจ้าก็ไม่ดีขึ้น ข้าเลยให้เจ้ากินมันทั้งหมด น่าแปลกเพียงเจ้ากินยาหมดเจ้าก็หายเป็นปลิดทิ้งเหมือนคนไม่เคยโดนพิษใกล้ตายเลยสักนิด“ ยายเล่าพร้อมกับมองหน้าเขา

   “งั้นแสดงว่า ดอกซียาน่าคงเป็นยาวิเศษและขึ้นอยู่ฝั่งเขตต้องห้ามสินะครับ” อลันสรุปออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะตอนแรกคิดว่าจะเก็บดอกไม้นั้นไปขาย แต่ตอนนี้เขาคงหมดหวัง

   “ใช่ เจ้ารู้ไหม ดอกไม้พวกนั้นเป็นสิ่งมีค่าต่อพวกปีศาจมาก ดอกซียาน่าเหมือนดั่งยาเพิ่มพละกำลังและพลังให้กับพวกมัน แต่เพราะมันหายากและโอกาสเกิดขึ้นมีน้อย ปีศาจพวกนั้นจึงหวงแหน แต่เมื่อถูกขโมย พวกมันจึงโกรธและคลุ้มคลั่งจนเกือบจะฆ่าบางมนุษย์ทุกคน  กษัตริย์องค์ก่อนเลยยอมเสียสละ คนนับหมื่นเพื่อสังเวยแทนดอกไม้ดอกนั้น”

   “หมื่นคน!” อลันร้องอย่างตกใจ

   “แต่คนที่ถูกส่งไปจะเป็นทาสและพวกชาวบ้านตาดำๆ ตอนนั้นยายก็เกือบถูกจับไปเช่นกัน แต่ยายหนีหลบซ่อนตัวได้ก่อน”

   “ต่ำช้า พวกมันเห็นมนุษย์เราไม่มีชีวิตหรือไง” สบถด่าทอพวกปีศาจนั่น

   “ดังนั้นซิยาน่าจึงเป็นสิ่งมีค่าสำหรับพวกมัน”

        ยายเอื้อมมือมาจับใบหน้าเขา และมองเขาด้วยสายตาแปลกไป ปากก็ยิ้มบางแต่ทำไมสายตาที่มองเขาถึงเศร้าและหดหู่ยิ่งนัก อลันจึงยิ้มคิดว่ายายคงคิดถึงลูเบนคนรักของตน จึงกอบกุมมือยายเอาไว้

       “ยายยังมีข้าและไอลีนนะครับ” พอพูดแบบนั้นไป ยายก็น้ำตารื้น จนพวกเขาพลอยกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เช่นกัน จากนั้นพวกเราทั้งสามคนก็พากันร้องไห้กอดกันแน่น



:katai4: :katai4: :katai2-1:







ออฟไลน์ 10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ตอนที่ 3

Lervia







วันรุ่งขึ้น อลันตื่นแต่เช้าเพื่อไปไร่ของลุงชาร์ลเพื่อรับจ้างเลี้ยงแกะเหมือนดังเช่นทุกวัน มีอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่มมาคือ อลันต้องไปเก็บสมุนไพรหลังกลับจากเลี้ยงแกะ และสิ่งที่อลันอยากไปเก็บคือ ดอกชาร์ล่า สมุนไพรที่ยายเล่าให้ฟังเมื่อคืน อลันคิดว่าเขาจะนำดอกชาร์ล่ามาสกัดเป็นน้ำพกติดตัวไว้ และให้ไอลีนกับยายไว้ป้องกันตัวด้วย เมื่อตั้งใจแบบนั้นแล้ว อลันก็ออกจากบ้านพร้อมกับดอร์กี้หมาเพื่อนรัก ที่ยืนรอหน้าประตู

“ไปกันเถอะ”

อลันเอ่ยชวน  ทั้งสองเดินลัดเลาะตามแนวป่าตรงไปยังท้ายหมู่บ้านที่เป็นไร่ของลุงชาร์ลทั้งหมด ระหว่างเดินไปก็คิดเรื่องที่ยายเล่าให้ฟังเกี่ยวกับดอกไม่วิเศษและพวกปีศาจในเขตต้องห้าม

“ถ้าเรามีชาร์ล่าติดตัว เราก็ไม่ต้องกลัวพวกปีศาจนั้นแล้ว” อลันหันไปบอกดอร์กี้อย่างมั่นใจ ถ้าพวกปีศาจจับตัวเขาไป อลันจะใช้ชาร์ล่าสาดใส่หน้าพวกมันให้หมดเลย  เมื่อคิดมุมปากก็ยกยิ้มเหมือนภูมิใจกับความคิดของตนเองครั้งแรก และรู้สึกว่าตัวเองฉลาดขึ้นทันที

   ทั้งสองเดินมาไม่นานก็เข้าเขตรั้วของเจ้าของฟาร์มแกะขนาดใหญ่ ที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งที่อยู่รอบข้างเลยสักนิด อลันเปิดรั้วเข้าไปในคอกฟาร์มแกะ  ปลดล็อคเหล็กที่ปิดหน้าประตูไม้บานใหญ่เปิดให้พวกแกะตัวอ้วนทั้งหลายออกมา และต้อนมันไปกินที่ทุ่งหญ้าที่เดิม โดยมีดอร์กี้ช่วยต้อนแกะอีกแรง

   แบะ แบะ~

เสียงเจ้าแกะดังไปตลอดทาง ที่ไป พวกมันเดินกันเป็นกลุ่มก้อนขาวโพลน ตรงไปยังลานหญ้า โดยมีเขาไล่ตี ไล่ต้อน ตามหลัง ตอนนี้ใครๆก็เรียกอลันว่า เด็กเลี้ยงแกะ ทั้งที่ความหมายของฉายานั้นจะสวนทางกันก็ตาม อลันไม่เคยโกหก ไม่เคยหลอกลวงใคร ถึงแม้จะอ่อนแอขี้กลัวแต่อลันก็ไม่เอาเปรียบหรือคดโกงใคร

   “เดินเร็วๆ เจ้าแกะอ้วน” ไม้ยาวประจำกายไล่ตีเจ้าแกะขนฟูให้เดินเร็วขึ้น  ฝูงแกะนับร้อยเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยตรงไปหลังเขาที่เต็มไปด้วยหญ้าอ่อน ของโปรดของพวกเจ้าแกะ

อลันรีบต้อนฝูงแกะจนมาถึงลานทุ่งหญ้ากว้างแล้ว อลันก็ปล่อยให้แกะแทะเล็มหญ้าตามอัธยาศัย ส่วนตัวเองก็ไปนั่งที่ใต้ต้นโอ๊คต้นเดิม พร้อมกับนั่งกอดเข่ามองแกะรอบๆ เพื่อระวังไม่ให้แกะหลุดหายไปไหน

   “ดอร์กี้ แกรู้หรือเปล่า คนรักของยาย เคยเข้าไปในนั้น” อลันเอาไม้เรียวชี้ไปกลุ่มพื้นป่าสีดำสุดแสนกว้างใหญ่ให้สุนัขที่เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวดู

   “แล้วก็รอดกลับมาด้วย” น้ำเสียงที่เล่าทั้งตื่นเต้นและชื่นชม ตอนแรกอลันไม่คิดว่าจะมีใครหลุดรอดออกจากป่านั่นได้เลยด้วยซ้ำ แต่ลุงเบนกลับเป็นคนแรกที่หนีมาได้ แต่น่าเสียดายที่ต่อมาลุงเบนก็เสียชีวิต อลันแอบเสียใจที่ลุงเบนไม่น่าจากไปเร็ว เขาอยากจะถามถึงสิ่งที่อยู่ในนั้น และคนที่ลุงเบนเรียกพร่ำเรียกชื่อไม่หยุดนั้น ว่าเป็นใครกันแน่

   “เซรอน”

 แค่ชื่อก็ทำให้ร่างกายของอลันสั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ขนแขนพร้อมใจลุกชี้ตั้งขึ้น จนอลันต้องเอามือลูบแขนตัวเองไปมา ตาสีอัลมอนด์ก็มองไปยังผืนป่าสีดำด้วยความหวาดหวั่น พลางปล่อยความคิดให้ลอยไป

ชีวิตของอลันตั้งแต่จำความได้ก็ทำแต่งาน เขาไม่มีเพื่อน และเขาก็ไม่คิดจะคบใครเป็นเพื่อนเช่นกัน อลันมีน้องและยายเท่านั้นก็พอ ถ้าหากมีเรื่องร้ายกับคนที่อลันรัก เขาก็พร้อมที่จะปกป้อง ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่หลายคนกลัวและสู้ไม่ได้ก็ตาม

แต่ถ้าเป็นไปได้ อลันก็ขอไม่พบเจอเสียดีกว่า

อลันนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อย ข้างกายก็มีดอร์กี้นอนอยู่ข้างๆ ส่วนพวกแกะขนฟูตัวอ้วน ก็กินหญ้าอย่างเป็นระเบียบ และที่สำคัญไม่เฉียดไปใกล้เขตต้องห้ามนั้นเลยสักตัว ซึ่งมันก็ทำให้อลันอุ่นใจ ไม่ต้องไปตามพะวงห่วง กลัวว่าแกะจะหลงเข้าไปในนั้น

ถ้าเกิดแกะในฝูงหายไปเพียงแค่ตัวเดียว ชีวิตอลันต้องลำบาก และซวยสุดๆ นอกจากจะโดนไล่ออกแล้ว อลันยังต้องชดใช้ค่าแกะตัวนั้นอีก ที่มีค่าราคาเท่ากับเงินเดือนเขาทั้งปี ซึ่งอลันไม่มีปัญญาหาเงินมากมายขนาดนั้นมาได้แน่ ที่สำคัญลุงชาร์ลไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียแกะไปฟรีๆ คงต้องกดดันให้อลันเอาแกะตัวนั้นกลับมาให้ได้

ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ตาม

   พอนึกถึงเรื่องนี้ อลันรีบจับจ้องฝูงแกะ บนผืนหญ้าข้างล่าง ถึงมันจะมีมากจนมองปราดเดียวไม่มีทางรู้ว่าครบหรือเปล่า นอกเสียจากจะเดินเข้าไปนับใกล้ๆ

แต่ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้อลันรู้สึกไม่ดีและไม่สบายใจเกี่ยวกับเจ้าแกะพวกนั้น  เหมือนมันกำลังจะทำให้เขาต้องเจอเรื่องไม่ดีบางอย่าง ซึ่งมันทำให้อลันกังวลอยู่ไม่สุข พยายามปลอบตัวเองว่าอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ แต่พอมองไปยังกลุ่มผืนป่าในเขตต้องห้ามแล้ว มันก็อดที่จะเผลอคิดไม่ได้ทุกที

ในระหว่างที่กังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิด ร่างวัยชราของเจ้าของแกะนับร้อยก็เดินมาแต่ไกล อลันที่ไม่รู้ว่าลุงชาร์ลมาที่นี่ทำไม ได้แต่ทำหน้าสงสัย  ปกติลุงชาร์ลจะเข้าไปในเมืองหลวงเมื่อไปคุยเรื่องการส่งแกะซะเป็นส่วนใหญ่

“อลัน” ลุงชาร์ลเรียกเสียงนิ่ง อลันรีบผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาร่างท้วมทันที

“มีอะไรครับลุงชาร์ล” เมื่อวิ่งมาหยุดตรงหน้า อลันก็รีบถาม เพราะการมาของลุงชาร์ลทำให้อลันกังวล ทึกทักไปว่าตัวเองเผลอทำอะไรผิดหรือเปล่า

“ต้อนแกะเข้าฟาร์มเดี๋ยวนี้ ข้าจะพาเจ้าไปเมืองหลวงด้วย” คำสั่งบ่งบอกความเร่งรีบของลุงชาร์ล อลันยิ่งไม่เข้าใจเผลอทำหน้างงใส่ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา

“ทะ ทำไมต้องพาข้าไปด้วยครับ” อลันถามอย่างไม่เข้าใจและสงสัย ปกติอลันจะมีหน้าที่แค่เลี้ยงแกะเท่านั้น

“ข้าสั่ง เจ้ามีหน้าที่ทำตาม ไปเดี๋ยวนี้!” ลุงชาร์ลตะคอกใส่ จนอลันสะดุ้งตกใจ

“คะ ครับๆ” อลันรีบรับคำเมื่อเจอเสียงตะคอกและหน้าดุใส่  รีบวิ่งลงไปยังฝูงแกะด้านล่าง และต้อนมันกลับเข้าไปในคอกฟาร์มเหมือนเดิม

“ลุงชาร์ลจะให้ข้าไปในเมืองด้วยทำไมครับ”

 เมื่อต้อนแกะเข้าคอกเรียบร้อยแล้ว อลันก็เดินไปหาลุงชาร์ลที่ยืนดูแกะสี่ห้าตัว เหมือนจะคัดเข้าไปในเมือง ข้างๆก็มีผู้ชายตัวใหญ่สองคนยืนอยู่ข้างๆ

“พอดีคนขนแกะข้าขาด ข้าเลยให้เจ้าไปแทน” ลุงชาร์ลบอก แล้วหันไปคุยกับสองคนนั้นต่อ

“ต้องค้างคืนด้วยไหมครับ” ด้วยความที่อลันไม่เคยไปไหนไกลจากหมู่บ้านตัวเอง อลันจึงเกิดอาการประหม่าและกลัวขึ้นมา

“ไม่ เจ้าจะกลับมาพร้อมกับอีกคนเมื่อไปถึงที่นั่น”

“ใครหรอครับ”

“ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง” น้ำเสียงลุงชาร์ลเริ่มไม่สบอารมณ์ที่เขายังซักถามไม่หยุด หันมามองจนอลันต้องก้มหน้าหลบ ตาสองข้างก็ลุกลิกกังวล มือก็บีบเข้าหากันแน่น เมื่อไม่อยากไป แต่ก็ไม่สามารถขัดผู้เป็นนายจ้างได้

“งั้นข้าขอไปบอกยายกับน้องได้ไหมครับ” อลันนขอ

“เร็วๆ ข้ารีบ ไม่มีเวลา”

“ครับ”

เมื่อได้รับอนุญาต อลันก็รีบวิ่งกลับไปยังบ้านตัวเองอย่างรวดเร็ว ตาเรียวก็เงยมองพระอาทิตย์บนศีรษะ ที่มันยังเพิ่งเที่ยงวัน ข้าวกล่องที่ไอลีนทำให้ไว้กินตอนกลางวันกับต้องเอากลับไปด้วย ความตั้งใจว่าจะไปเก็บสมุนไพรเป็นอันต้องพับเก็บไว้เช่นกัน

อลันวิ่งมาถึงบ้านด้วยเหงื่อที่ท่วมใบหน้าเรียว โดยมีดอร์กี้วิ่งตาม ขายาวเรียวก้าวเข้าไปในบ้านที่เงียบเชียบ อลันเปิดประตูเข้าไปหวังจะเจอน้องสาวและผู้เป็นยาย แต่ข้างในกลับว่างเปล่า

“ไอลีน ยายครับ” อลันร้องเรียกทั้งสอง เดินเข้าไปดูในห้องก็ไม่พบเจอใคร จึงตัดสินใจเดินไปดูหลังบ้านที่เป็นสวนผักครัว แต่กลับไร้เงาทั้งสอง

“หายไปไหน” อลันพยายามคิดในทางที่ดี ว่าทั้งสองอาจจะไปเก็บสมุนไพร  ตอนนี้อลันก็มีเวลาไม่มากพอที่จะไปตามบอกทั้งสองได้ เพราะลุงชาร์ลรออยู่ ถ้าเกิดไปช้า อลันอาจถูกต่อว่าได้ อลันเลยตัดสินใจ ดึงมวนกระดาษและหยดหมึกใส่พู่กัน เขียนบอกผู้เป็นน้องและยายเอาไว้ ทั้งสองจะได้ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะหายไปไหน

‘ข้าเข้าเมืองกับลุงชาร์ล ข้าจะรีบกลับ’

อลันมองตัวหนังสือที่บิดเบี้ยวของตัวเองบนกระดาษ ถึงแม้อลันจะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่อลันก็จำที่ยายสอน จนพออ่านออกเขียนได้ อลันวางกระดาษข้อความที่ตัวเองเขียนไว้บนโต๊ะอาหาร แล้วเอาแจกันดอกไม้ทับไว้ ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป

สองเท้าเร่งความเร็วขึ้น เมื่อกลัวว่าอีกฝ่ายจะรอนาน  อลันรีบวิ่งมาพร้ออมกับเพื่อนคู่ใจไปหยุดยืนและหอบหายใจระรัว ต่อหน้าลุงชาร์ลกับผู้ชายสองคนก็เหมือนจะยืนรออยู่ ข้างๆก็รถม้าที่ด้านหลังลากกรงเหล็กที่มีแกะอยู่ในนั้น

“ไปกันได้แล้ว” ลุงชาร์ลหันไปบอก เมื่อเห็นเขามาถึง ลุงชาร์ลกระโดดควบม้าที่ใช้ลากขนแกะ ที่ใช้ม้าถึงสองตัว ส่วนผู้ชายสองคนก็ไปจับบังเหียนแต่ละข้างของม้าแล้วจูงออกเดินทาง ตอนแรกอลันสงสัยว่าทำไมไม่นั่งบนม้าแล้วขี่ออกไปเลย มันน่าจะเร็วกว่า แต่พอเห็นร่างท้วมของลุงชาร์ลและผู้ชายตัวใหญ่สองคนแล้ว อลันก็อดสงสารม้าสองตัวนั้น และคิดว่าดีแล้วที่ไม่ขึ้นไปนั่ง

ดังนั้นอลันเลยเดินรั้งท้ายพร้อมกับดอร์กี้ เส้นทางไปเมืองหลวงก็เดินตัดผ่านป่า เกือบครึ่งไมล์กว่าจะพ้นหมู่บ้านออกไป พอพ้นจากป่าก็จะเป็นลานหญ้ากว้าง  มองเห็นกำแพงขนาดใหญ่สูงเกือบเท่าภูเขาตั้งตระหง่านเด่นชัด บ่งบอกได้ว่าถึงเมืองหลวงแล้ว

เลอเวียร์

อลันเคยได้ยินแต่คนเล่าต่อๆกันมา ว่าเลอเวียร์มีกำแพงรายล้อมตัวเมืองที่ยิ่งใหญ่ตระกาลตา และแข็งแกร่งดั่งหินผา จนอลันอยากจะไปเห็นกับตาสักครั้ง และโชคก็เข้าข้าง เมื่อวันนี้อลันจะได้เข้าเมืองเป็นครั้งแรก อลันถึงกับเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ ลืมความกังวลก่อนหน้านี้ทิ้งไปจนหมด

ความเร็วในการเดินทาง ก็ถือว่าค่อนข้างเร่งรีบ เพราะอลันใช้เวลาออกจากป่าพ้นเขตหมู่บ้านไปก็เพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น แต่มันก็ทำให้อลันปวดขา เหนื่อยจนอยากจะนั่งลงพัก เพราะไม่เคยเดินทางไกลแบบนี้เลยสักครั้ง แต่เมื่อคิดว่าถ้าตัวเองนั่งพัก ลุงชาร์ลก็คงไม่รอ คงทิ้งให้เขานั่งอยู่ในป่านั้นต่อไป

“ถึงแล้ว เลอเวียร์”

ลุงชาร์ลหันมาบอก เรียกความสนใจของอลันได้อีกครั้ง ก่อนจะกระตุกบังเหียนให้เดินต่อไป อลันยืนอยู่กับที่ มองสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ

ว้าว

ตาสองข้างของอลันเบิกกว้าง เมื่อเห็นความยิ่งใหญ่ตรงหน้า เลอเวียร์เมืองหลวง ที่อลันใฝ่ฝันจะมาอยู่ มันยิ่งใหญ่และสวยงามจนอลันมองแทบไม่ละสายตา จากจุดที่อลันยืนอยู่คือบนเนินเขาที่มองจากที่สูง อลันยังต้องอ้าปากค้างให้กับกำแพงขนาดใหญ่ตรงหน้า ที่สูงจนมองไม่เห็นเมืองข้างใน จนเผลอคิดไปว่าถ้าไปยืนอยู่ตรงหน้ากำแพง อลันคงตัวเท่ามดอย่างแน่นอน

“ทำไมเขาถึงสร้างกำแพงสูงใหญ่ขนาดนี้ขึ้นหรอครับ” อลันอดไม่ได้ที่จะวิ่งไปถามชายทั้งสามที่เดินนำหน้า ความอยากรู้และสงสัยทำให้อลันเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่  ตาก็มองกำแพงสีขาวด้วยความทึ่งมหัศจรรย์

“เห็นว่า ใช้ป้องกันพวกปีศาจจากเขตต้องห้าม” ผู้ชายคนที่ผมไปยืนข้างๆเอ่ยตอบ ผิวสีแทน ร่างกำยำ หน้าติดดุๆหน่อย ทำให้อลันเกร็งเวลาเดินใกล้ๆ แต่ความอยากรู้ก็ทำให้อลันมองข้ามความรู้สึกนั้นไป

“แล้วป้องกันได้หรอครับ” พอได้ยินคำตอบ อลันยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่  จนเผลอจับแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของอีกฝ่ายเขย่าถามด้วยความเผลอตัว อลันตั้งใจแน่วแน่ไว้อยู่แล้วว่า ถ้าตัวเองมีเงินมากพอก็จะพาน้องกับยายมาอยู่ที่นี่

“ได้สิ เพราะคนในเมืองไม่มีใครหายไปเลยสักคน พวกปีศาจไม่สามารถทุบกำแพงที่หนาเป็นสิบๆชั้นได้ ไหนจะทหารที่เฝ้าตามแนวสันกำแพงอีก ต่อให้พวกมันแห่มาก็ไม่สามารถปีนขึ้นมาได้อยู่ดี”  คำพูดที่มั่นอกมั่นใจนั้น ทำให้อลันที่รอคำตอบอยู่ ตอกย้ำว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุด ให้ความหวังและแรงฮึดสู้เข้าไปอีก จนอลันมองกำแพงสูงใหญ่นั้นอีกครั้งด้วยความมุ่งมั่น

เลอเวียร์

อลันต้องพาน้องกับยายมาที่นี่ให้ได้

“ทำไม เจ้าจะย้ายเข้าเมืองหลวงหรือไง” อีกฝ่ายถาม ซึ่งอลันก็ไม่ปฏิเสธรีบพยักหน้ารัวๆ

“ครับ ข้ากำลังเก็บเงิน แล้วจะพายายมาอยู่นี่” อลันพูดเสียงไม่ดังมาก ดีที่อีกฝ่ายจับม้าอีกตัวที่ไม่ใช้ม้าที่ลุงชาร์ลนั่งอยู่

“งั้นรึ ดีแล้ว หมู่บ้านเจ้าคนหายไปหลายคน ข้าว่าเจ้าน่าจะรีบเก็บเงินแล้วย้ายออกไปซะ” น้ำเสียงเหมือนเป็นห่วง แม้จะเป็นคนแปลกหน้า ก็ทำให้อลันยิ้มตาหยีให้กับน้ำใจความเป็นห่วงของอีกฝ่าย จนอดไม่ได้ถามถึงชื่ออีกฝ่ายทันที

“ท่านชื่ออะไรหรือครับ” อลันถาม เป็นครั้งแรกที่อลันชวนคนอื่นคุยและเอ่ยถามชื่อ เหมือนอยากทำความรู้จัก

“ข้าเจฟฟ์ เจ้าหล่ะ”

“ข้าอลัน นี่ดอร์กี้เพื่อนข้าเอง” อลันแนะนำตัวเองไม่วายแนะนำหมาเพื่อนรักให้อีกฝ่ายได้รู้ เจฟฟ์มองหน้าเขาเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา

ยังไม่ทันได้ถามอะไรเจฟฟ์อีก อลันก็รู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองได้มาหยุดตรงหน้าประตูบานใหญ่ที่สูงเกือบ 3 เมตร อลันอดที่จะอ้าปากค้างอีกครั้งไม่ได้ ตื่นเต้นไปซะหมด เหมือนเด็กบ้านนอกเข้าเมืองครั้งแรก และสิ่งที่อลันคิดก็ถูกเมื่อมาหยุดตรงหน้ากำแพงใหญ่

ตัวอลันเล็กเท่ามดจริงๆ

อลันสังเกตว่ามันมีประตูอัดอยู่ในนั้น 3 อัน อันแรกเป็นประตูที่อลันกำลังจะเข้าไป ส่วนอีกประตูที่อยู่สูงขึ้นไปอีกเมตร ก็น่าจะเป็นประตูที่ขนของที่มีความสูงเกือบสองเมตร และประตูบานสุดท้าย บานใหญ่สุด อลันไม่รู้เหมือนกันว่าประตูนั่นใช้เปิดตอนไหน แต่ประตูแต่ละอันมีเหล็กอัดแน่น เสริมความแข็งแกร่งเข้าไปอีก ขนาดตอนยกเปิดยังใช้แรงคนเกือบสิบ

อลันไม่รู้เลยว่า ประตูบานสุดท้ายนั้น จะต้องใช้แรงคนเท่าไหร่ถึงจะยกเปิดมันออกได้

“ท่านเจฟฟ์ ท่านรู้ไหม ทำไมเขาถึงสร้างประตูตั้ง 3 อัน” ตอนนี้สำหรับอลันก็ดูเหมือนจะเป็นคำถามและอยากรู้ทุกอย่างไปเสียหมด จนอดถามอีกฝ่ายไม่ได้ ในขณะที่กำลังต่อแถวเพื่อเข้าไปข้างใน

“เรียกข้าว่าเจฟฟ์เฉยๆก็ได้ ข้าก็เป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ต่างจากเจ้า” เจฟฟ์บอก อลันจึงพยักหน้ารัวๆเป็นอันว่าเข้าใจ

“ข้าก็ไม่ค่อยรู้อะไรมาก นอกจากคำพูดที่เล่าต่อกันมา เจ้าเห็นกำแพงที่สร้างป้องกันรอบตัวเมืองไหม” เจฟฟ์เผยิดหน้าให้อลันมองตาม กำแพงสีขาวขนาดใหญ่มองเห็นแค่ปลายยอดนิดเดียว บ่งบอกว่ามันสูงแค่ไหน ไม่นับรวมความกว้างใหญ่ไพลศาลที่ตีกรอบล้อมตัวเมืองเอาไว้

“ครับ” อลันครางรับ

“การมีกำแพงที่สูงใหญ่และแข็งแกร่งขนาดนี้ มีเพียงอย่างเดียวที่พังทำลายเข้ามาได้ถ้ามันมี ‘ประตู’”  อลันที่กำลังคิดตามอยู่ ถึงกับเบิกตากว้าง เริ่มเข้าใจสิ่งที่เจฟฟ์กำลังสื่อ

“และแน่นอนการที่ต้องสร้างหลายชั้นหลายบานนั้นก็เพราะว่า ประตูนั่นคือ จุดอ่อน ของกำแพงไง”

จุดอ่อนงั้นหรอ

“กษัติย์คาลเดอร์ จึงสั่งทำประตูเหล็กหนา 3 บานขึ้นมา  และบานสุดท้าย ข้าคิดว่ามันคงจะหนักและหนาแข็งแกร่งมาก เพื่อกันพวกปีศาจเข้ามา” เจฟฟ์ยังคงเล่าต่อ อลันเลยเงยหน้ามองประตูใหญ่นั้น พลางคิดสงสัย

มันจะป้องกันได้จริงๆงั้นหรอ










ตอนนี้ก็เรื่อยๆอยู่ เพราะกำลังปูเนื้อออ

ยังไงก็ฝากด้วยนะค่า สนุกไม่สนุกยังไง ติชมได้

แล้วเจอกันตอนหน้าค่า

:katai4: :katai5:

ออฟไลน์ 10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ตอนที่ 4

Purple blood




 “แล้วทำไมไม่ทำแค่บานเดียวหล่ะครับ” อลันยังถามด้วยความสงสัยอีกครั้ง ทำไมต้องสร้างอะไรให้มันเยอะวุ่นวายด้วย

“เพื่อการขนย้าย และป้องกันตัวเองไปในตัว บานแรกที่เรากำลังจะเข้าไป คือบานที่เล็กสุด สำหรับคนเข้าเมืองปกติธรรมดา หรือแบบการขนย้ายสัตว์แบบเรา ส่วนบานที่สองใช้ขนพวกก้อนหินขนาดใหญ่ หรือสิ่งก่อสร้างต่างๆ ส่วนบานสุดท้าย ข้ายังไม่เคยเห็นเปิดออกสักที” ขณะที่เจฟฟ์เล่าสองเท้าอลันก็เดินไปข้างหน้าช้าๆตามแนวแถว ใบหน้าเรียวก็พยักหน้าไปด้วย

 “ส่วนการป้องกันเจ้าลองนึกภาพตาม ถ้าเกิดพวกปีศาจบุกมา แล้วเรากำลังเปิดประตูบานแรกอยู่ อย่างน้อยพวกปีศาจก็เข้ามาได้เพียงนิดเดียว พวกทหารก็กำจัดได้ง่าย และสามารถปิดประตูบานนั้นได้เร็วเพราะมันมีน้ำหนักเบาและใช้เวลาค่อนข้างเร็ว แต่ถ้าเราเปิดบานที่สอง โอกาสที่ปีศาจจะเข้าไปในเมืองก็มีมากเช่นกัน และกว่าจะปิดประตูได้ เราอาจโดนฆ่าตายเสียก่อน” อลันครางรับเมื่อเข้าใจที่อีกฝ่ายอธิบาย ประตูแต่ละชั้นคงทับซ้อนกันเพื่อความแข็งแกร่งและป้องกันพวกปีศาจ แบบนี้เองสินะ

“สุดยอดเลย” อลันพูดออกมาด้วยความทึ่งประหลาดใจ ให้กับปราการการก่อสร้างข้างหน้า

“ถ้าเจ้าย้ายมาที่นี่ มาหาข้าได้ ข้ากับจอร์ฟฟี่ จะช่วยหาที่พักให้เจ้า” เจฟฟ์หันมาบอก นึกเอ็นดูกับความใสซื่อ ไร้พิษภัย และความอยากรู้ของคนข้างกายขึ้นมา

“จอร์ฟฟี่?” อลันทวนชื่อ เมื่อไม่รู้ว่าเป็นใคร เจฟฟ์ทำหน้าเหมือนนึกออก ก่อนจะชี้ไปยังคนที่ยืนจับบังเหียนให้ลุงชาร์ลอยู่

“นั่นจอร์ฟฟี่ น้องชายข้าเอง หน้าโหดไปหน่อยแต่อยากบอกมีลูกก่อนข้าไปแล้วถึง 2 คน ฮ่าๆ” เจฟ์ฟบอกพร้อมกับหัวเราะ  อลันก็ชะโงกหน้าไปดูผู้ชายอีกคน ใบหน้าและส่วนสูงที่ไม่ต่างกัน ทำให้อลันร้องอ๋อในใจและหัวเราะตาม เพราะจอฟ์ฟี่หน้าโหดจริง แต่ไม่นึกว่าจะมีลูกแล้ว

“แล้วท่านหละ มีลูกมีภรรยาแล้วหรือยัง” อลันถามอีกฝ่าย ราวกับสนิทสนม ปกติอลันจะไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้คนแปลกหน้าหรือคุยด้วยซ้ำ

“ยัง ข้ายังโสด ยังอยากมีอิสระอยู่ แล้วเจ้าหล่ะ” เจฟฟ์ถามเขาคืนบ้าง

“ข้ายังเด็ก และข้ายังไม่คิดจะมีใครด้วย” อลันตอบเสียงเบา เพราะดูแล้วอลันรู้ตัวว่าคงอ่อนแอเกินไปที่จะปกป้องดูแลใครได้ แค่ตอนนี้เขายังให้น้องปกป้องอยู่เลย เรื่องคนรักอลันไม่เคยนึกถึงด้วยซ้ำ

“อืม ดูท่าเจ้าน่าจะยังไม่ถึง 20 ด้วยซ้ำ ตัวก็เล็กกว่าข้าแทบครึ่ง ตัวก็ผอมแห้งเกินไป ต่างจากเด็กในเมืองหลวงลิบลับ“เจฟฟ์วิจารณ์เขาออกมา ยิ่งตอกย้ำให้อลันอดสูใจเข้าไปอีก

“ข้าเพิ่ง17” อลันตอบก้มหน้างุด พร้อมกับถอนหายใจ จนอีกฝ่ายหัวเราะออกมาแล้วตบไหล่เขาปลอบ

“เอาน่า เจ้ายังโตได้อีก หึหึ” เจฟฟ์หัวเราะดูท่าจะชอบที่เห็นสีหน้าเขาหงิกงอ

พอเดินถึงประตูเมือง ทหารก็เดินเข้ามาถาม  อลันชะโงกหน้าไปดูลุงชาร์ลที่ลงจากม้าและเดินนำทหารท่านหนึ่งมาดูแกะ ไม่รู้ทั้งสองคุยอะไรกัน จากนั้นไม่นาน ลุงชาร์ลก็ผ่านเข้าไปข้างในทันที

“โห สวยจัง”

เมื่อก้าวผ่านเข้าไปในเลอเวียร์ อลันร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นตา เมืองหลวงของอาณาจักรขนาดใหญ่ที่ใครต่างก็อยากมาอยู่  บ้านแต่ละหลังช่องเรียงรายติดกัน ไกลสุดลูกหูลูกตา ตึกหลังคาสูงใหญ่ผุดขึ้นเป็นหย่อมๆ เสียงผู้คนแถวนั้นตะโกนแข่งกัน ดูครึกครื้นวุ่นวายไปหมด มองไกลออกไปแทบสุดสายตา ก็พบน้ำพุขนาดใหญ่ ใจกลางเมือง 

สิ่งที่อลันต้องตะลึงหนักกว่าเดิมคือ ปราสาทขนาดใหญ่ที่ตั่งตระหง่านไกลออกไป ถึงแม้ อลันจะอยู่ปากทางเข้าเมือง แต่ปราสาทนั้นยังคงดูใหญ่โตมโหฬารสวยงามจนอลันไม่สามารถละสายตาไ ปได้

เขาอยากมาอยู่นี่

“เจฟฟ์ ท่านอยู่ที่นี่หรอ” อลันหันไปถามคนข้างกายอีกครั้ง นึกอิจฉาร่างสูงขึ้นมาที่ได้อยู่ในที่สวยงามน่าอยู่และปลอดภัยแบบนี้

“ใช่ หลังจากส่งแกะเข้าวังเสร็จ จะพาไปดูบ้านข้า เจ้าสนใจไหม” เจฟฟ์หันบอกร่างที่เล็กกว่าตน  แต่คิ้วเรียวของอีกฝ่ายกับขมวดกันเครียด

“คงไม่ได้หรอก ข้าต้องรีบกลับ” อลันบอกด้วยความเสียดาย ถึงแม้อยากจะไปเห็นบ้านอีกฝ่ายก็ตาม แต่ดูเวลาแล้ว ถ้าพระอาทิตย์ตกดิน ข้างนอกจะยิ่งอันตราย และอลันรู้สึกเป็นห่วงน้องและยายด้วย

“เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าเอง” ร่างสูงบอกอีกฝ่ายไม่ให้กังวล ดูท่าทางยังจะอยากรู้อะไรอีกเยอะ  สายตาซื่อนั้นมองรอบข้างตลอดเวลา

“ทำไมท่านใจดีกับข้าจัง” อลันเงยหน้าถามด้วยความสงสัย ปกติคนแปลกหน้าที่รู้จักกันไม่ถึงชั่วโมงเอ่ยปากชวนแบบนี้ อลันก็อดหวั่นกลัวและระแวงอีกฝ่ายไม่ได้

“เห็นแก่เจ้าที่เพิ่งเข้าเมืองครั้งแรก และอีกอย่าง ข้ารู้จักเจ้านานแล้ว” นัยต์ตาคมจ้องบอกอีกฝ่าย อลันคงไม่รู้ว่าคนที่เอาแกะส่งเข้าไปในเมืองกับตาแก่ชาร์ลคือพวกเขาสามคน ส่วนอีกคนคือจัส ที่ตอนนี้ไปดูแลแม่ที่ป่วยอยู่ พอพูดไปแบบนั้นตาเล็กกลมก็เบิกกว้างตกใจ จนอดขำกับใบหน้าตลกนั้นไม่ได้

“จริงหรอ ทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้าท่านเลย” อลันร้องออกมาอย่างตกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้จักตัวเองแบบนี้

“ข้ามาเอาแกะที่นี่ เข้าเมืองอาทิตย์ละสองครั้ง ไม่แปลกที่ข้าจะรู้จักคนเลี้ยงแกะด้วย” เจฟฟ์บอกตามจริง บางทีเขาก็เดินไปดูฝูงแกะที่อลันเลี้ยงที่เนินเขา อีกส่วนเพราะอยากรู้ว่าพวกแกะกินหญ้าแถวไหนด้วย

“ข้าไม่รู้เลย สงสัยข้ามัวแต่เลี้ยงแกะ ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย” เจ้าตัวบอกออกไป ปกติอลันจะอยู่กับดอกี้ตามลำพัง กับพวกแกะนับร้อย เขามีหน้าที่เลี้ยง พามันกินหญ้า แล้วก็พามันกลับเข้าคอกเท่านั้น ส่วนคนที่มาขนแกะกับลุงชาร์ล อลันเห็นแค่แผ่นหลังแวบๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร

“ตกลงว่าไง จะไปบ้านข้าหรือเปล่า” ถามย้ำร่างเล็ก

“จะทันก่อนพระอาทิตย์ตกดินไหม” อลันถามด้วยความกังวล ใจจริงเขาอยากจะเดินดูรอบๆเมืองด้วยซ้ำ และอยากซื้ออะไรกลับไปให้น้องกับยายด้วย แต่ความกังวลบางอย่างในใจทำให้อลันคิดหนัก

“ถ้าพระอาทิตย์ตกดินแล้วจะทำไม” เจฟฟ์ถามด้วยความสงสัย ดูร่างเล็กอยากจะกลับให้ทันก่อนฟ้ามืดจริงๆ หรือว่ากลัวพวกปีศาจ

“หรือเจ้ากลัวพวกปีศาจ”

“อะ อื้อ” อลันชะงักไปก่อนจะรีบพยักหน้าตอบ เขากลัวพวกปีศาจจริง แต่มีบางสิ่งที่อลันไม่อยากให้ใครรู้ยามอยู่ในที่มืด ที่เสี่ยงจะทำให้อลันบาดเจ็บจนเลือดออกได้

“ข้าอยู่ด้วยไม่ต้องกลัว ข้าเดินทางกลางคืนบ่อยๆ อีกอย่างถ้าเจ้าไม่เดินวันนี้คงไม่มีโอกาสมาที่นี่อีกแล้ว” ตาคมเปรยบอกอีกฝ่าย ที่ดูจะชะงักไปทันทีที่เขาพูดจบ แววตาเล็กดูลุกลิกสับสนขึ้นมา

“ก็ได้” สุดท้ายก็ทิ้งความอยากรู้ของตัวเองไม่ไหว ตอบรับอีกคนไป จริงอย่างที่เจฟฟ์บอก อลันอาจไม่ได้มาที่นี่อีก ถ้ามาคงอีกนานกว่าที่เขาจะเก็บเงินได้  ส่วนยายกับไอลีนคงไม่ต้องห่วงมากเพราะเขาบอกแล้วว่าไปไหน ที่อลันห่วงคือ ต้องระมัดระวังตัวเอง ไม่ให้หกล้มหรือบาดเจ็บแค่นั้น

จากนั้นลุงชาร์ลก็พาพวกเราสามคนเดินตรงไปยังปราสาทขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะเดินไปถึง เพียงแค่ประตูปราสาทที่อลันได้มาเห็นครั้งแรก ปากบางก็อดที่อ้าปากค้าง ทึ่งไม่ได้ทุกที รถม้าถูกทหารจูงลากไปที่ด้านข้างของปราสาท และพวกเขาก็ต้องตามไปด้วยเพื่อต้อนแกะลง ส่วนลุงชาร์ลไปรับเงินจากเจ้าหน้าที่ที่ยืนคุมอยู่หน้าประตู

“ต้อนแกะลงเร็วๆ” ทหารนายหนึ่งสั่งพวกเขา จอร์ฟฟี่ จึงขึ้นไปเปิดกรงออก ตามมาด้วยเจฟฟ์ที่ไปยกไม้กระดานมารองให้พวกแกะลง ส่วนอลันที่ไม่รู้จะช่วยยังไงเพราะไม่เคยทำ ได้แต่ยืนเก้ๆกังๆทำอะไรไม่ถูกอยู่ข้างๆ พอจะเข้าไปช่วยเจฟฟ์ก็หันมาดุเขา

“เจ้าอยู่เฉยๆ”

อลันจึงจำใจยืนอยู่ข้างๆ มองแกะที่ถูกต้อนลงจากรถม้า ก่อนต้อนเข้าไปในคอกที่มีสัตว์อีกหลายชนิดรวมอยู่ในนั้น เจฟ์ฟเลยเลือกที่จะเข้าไปกับทหารดูในคอกแกะ ตอนนี้จอร์ฟฟี่ก็ยืนรอกับเขาอยู่ข้างนอกสองคน

“ข้าเห็นเจ้าสนิทกับพี่ข้า” จอร์ฟฟี่หันมาถาม ตลอดเวลาที่เดินทางเข้าเมือง เขาก็ได้ยินแต่เสียงเจ้าตัวเล็กที่เจือยแจ้วไม่หยุด

“ก็ไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่” อลันตอบไม่เต็มเสียง ยังรู้สึกกลัวๆคนตรงหน้าอยู่ ด้วยใบหน้าตาดุดันต่างจากอีกคน ที่ดูดุแต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าคนน้อง บวกกับตัวใหญ่จนอลันตัวหดเล็กกว่าเดิม

“ข้าชื่อจอร์ฟฟี่ เป็นน้องของเจ้านั่น” อีกคนแนะนำตัว อลันเลยพยักหน้าให้ แต่ก็ยังไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายอยู่ดี

“ข้าอลัน” แนะนำตัวเองบ้าง แต่ยังไม่ได้พูดอะไรอีก เจฟ์ฟก็เดินมาทางพวกเขาสองคนเสียก่อน

“เรียบร้อยแล้ว กลับเถอะ “ เจฟ์ฟบอก

จากนั้นพวกเราสามคนก็ตรงไปหาลุงชาร์ลที่ยืนรออยู่ ก่อนจะยื่นถุงเงินให้กับพี่น้องสองคนรวมทั้งเขาด้วย จนอลันขมวดคิ้วสงสัย

“ค่าแรงเจ้า” อลันมองถุงสีผ้าสีน้ำตาลในมือตัวเองทันที ก่อนยิ้มกว้างออกมา จนเจฟ์ฟจับลูบศีรษะอลันไปมา

“ขอบคุณครับ” อลันขอบคุณอีกฝ่ายอย่างดีใจ ตอนแรกนึกว่าอลันจะไม่ได้อะไรเลย เพราะไม่ได้เลี้ยงแกะเต็มวัน

“ข้าจะให้คนพาเจ้ากลับที่หมู่บ้าน เจ้าไปรอที่หน้าประเมืองได้เลย” ลุงชาร์ลหันมาบอกพลางนึกขึ้นได้ อย่างน้อยลุงชาร์ลก็ยังใจดีให้คนพาเขากลับ

“ข้าจะพาอลันกลับเอง” เจฟ์ฟอาสา ทำเอาทั้งลุงชาร์ลและน้องชายตนมองมาที่เขาเป็นตาเดียว พร้อมทำหน้าสงสัย เจฟ์ฟเลยอธิบายเพิ่มไป

“ข้าสนิทกับอลัน และเขาก็อยากจะไปเดินเล่นในเมืองก่อนกลับ ข้าเลยอาสาว่าจะพาเที่ยวและพากลับหมู่บ้าน”

“งั้นรึ ตามใจแล้วกัน แต่พรุ่งนี้ข้าต้องเห็นเจ้าไปเลี้ยงแกะเหมือนเดิม” ลุงชาร์ลกำชับ สงสัยกลัวว่าอลันจะเที่ยวในเมืองเพลินจนไม่กลับหมู่บ้านไปเลี้ยงแกะแน่ๆ

“ครับ” อลันตอบรับ ลุงชาร์ลมองพวกเขาสามคนอีกครั้ง ก่อนจะเดินแยกออกไป สองพี่น้องเลยพาเขาเดินออกจากที่นั่น ตรงเข้าไปในเมืองกว้าง

“ข้ากลับบ้านข้าก่อนแล้วกัน เมียข้ารออยู่” จอร์ฟฟี่หันมาบอกพี่ชายตน เพราะปกติทำงานเสร็จก็จะรีบกลับไปหาลูกเมียทันที

“อืม ไปเถอะ” เจฟ์ฟบอกผู้เป็นน้อง จอฟ์ฟี่เลยผละจากไป ทิ้งให้เขาอยู่กับเด็กหน้าซื่อตามลำพังที่ก้มดูถุงเงินค่าจ้างที่ได้วันนี้

“เจ้าอยากไปบ้านข้าหรือไปเที่ยวในตลาดก่อน”คนตัวโตเอ่ยถามและชวนไปในตัว ใจจริงบ้านเขาก็ไม่มีอะไรน่าดูหรอก แต่อยากให้คนตรงหน้าไปเห็น เผื่อวันไหนเข้าเมืองจะได้ไปหาเขาถูก

“ไกลไหม” อลันถามเสียงซื่อ

“เดินถัดจากนี้ไปสามซอย เดินไปอีกนิดก็ถึง” อธิบายให้อีกคนเข้าใจ พลางชี้มือให้ดู ใบหน้าข้างกายดูงุนงง เจฟ์ฟเลยอธิบายเพิ่ม

“เจ้าเห็น ร้านดอกไม้ไหม ถ้าเจ้าเข้าเมืองหลวง แล้วเดินเส้นตรงอย่างเดียว ถ้าเจอร้านนี้ เจ้าเลี้ยวเข้าซอยข้างๆ เดินนับบ้านไปสิบหลัง แล้วเลี้ยวซ้าย ก็จะถึงบ้านข้า”  เจฟ์ฟบอกพร้อมกับชี้ให้อีกคนจดจำ

“ข้ากลัวจะจำไม่ได้” อลันบ่นอุบ คนสมองทึบอย่างอลัน พอบอกให้จดจำอะไร เขาก็จะลืมมันเสียทุกครั้ง ถ้าสิ่งนั้นมันเข้าใจยากและซับซ้อนเกินกว่าที่อลันจะจำได้

“งั้นลองเดินไป ให้เจ้าจำสัญลักษณ์เด่นๆไว้ ที่เจ้าพอจะจำได้เอาไว้พอ” เจฟ์ฟบอก เมื่อเห็นอาการที่บ่งบอกว่ายุ่งยากในใบหน้านั้น

ทั้งอลันและเจฟ์ฟจึงเดินไปร้านดอกไม้นั้น อลันที่มองข้างทางตลอดเวลาด้วยความตื่นตาขาเล็กเดินตามหลังร่างสูงไม่ห่าง จนอีกคนถึงกับส่ายหน้าไปมา ทั้งที่บอกให้จดจำ แต่อีกฝ่ายกับมองดูนั่นดูนี่เพลิน

“จำทางได้ไหม” เจฟ์ฟถามเมื่อมาถึงบ้านตัวเอง

“ขะ ข้า จำไม่ได้” อลันก้มหน้าตอบ ตลอดเวลาที่เดินมา อลันลืมที่อีกคนสั่งไว้ ทุกอย่างดูแปลกตาสำหรับอลันไปหมด จนอดที่จะอยากรู้และมองพวกนั้นไม่ได้

“เฮ้อ” คนตัวโตได้แต่ถอนหายใจ ตามจริงเขาไม่ต้องสนใจร่างเล็กตรงหน้านี้ก็ได้ แต่เวลาเห็นสายตาซื่อไร้เดียงสาและความตั่งใจตั้งมั่นที่อยากจะมาอยู่ที่นี่แล้ว ก็อดที่จะอยากช่วยเหลือไม่ได้ ถ้าอลันมาที่นี่โดยไม่รู้จักใคร ต้องโดนหลอกงจากคนในนี้อย่างแน่นอน ไม่ใช่ว่าเมืองหลวงจะปลอดไปเสียหมด ที่นี่มีโจร ปล้นราว ฆ่าแกงเกือบจะทุกวัน พอมองคนที่อยากจะเข้ามาอยู่ ก็ได้แต่หนักใจแทน กลัวจะโดนหลอกเอาง่ายๆ

“ข้ามันโง่” อลันด่าทอตัวเอง เพราะตัวเองโง่เขลาจริง แค่นี้ยังจำไม่ได้เลย อุตสาห์อีกคนพยายามบอกให้จำไว้ให้ขึ้นใจ

“แล้วเจ้าจะมาบ้านข้าถูกไหม ตอนที่จะย้ายมาอยู่ในเมืองหลวง” เห็นสีหน้าสลดก็อดใจอ่อนเสียไม่ได้ แต่ก็ดุหน่อยเพราะอยากให้อีกฝ่ายรู้

“…” อลันเงียบ

“เจ้าจะเข้าไปบ้านข้าก่อนไหม หรือไปเดินเที่ยวในตลาดเลย” เจฟ์ฟจึงเปลี่ยนเรื่อง ค่อยบอกตอนกลับไปก็ได้

“ข้าอยากไปเที่ยวตลาดเลย” อลันบอก เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มจะเป็นสีส้ม บ่งบอกว่าความมืดกำลังจะคืบคลานเข้ามาในไม่กี่ชั่วยาม

“ตามใจ” คนโตเอ่ยบอกร่างที่เล็กกว่า จนเห็นรอยยิ้มที่หุบไปกลับเผยอกว้างอย่างดีใจ จนอดไม่ได้ที่จะขยี้ผมอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

เจฟ์ฟพาอลันเดินเข้าตลาดในเมืองที่คึกคักและวุ่นวายไปตลอดทางเดิน ร่างเล็กก็วิ่งดูนั่นดูนี่ไม่มีที่ท่าว่าจะเหนื่อย ก่อนจะเดินกลับมาหาเขาพร้อมกับบางอย่างในมือ

“ข้าซื้อให้ไอลีนและยาย” อลันชูที่คาดผมลายดอกไม้น่ารัก กับผ้าพันคอสีเทาให้อีกฝ่ายดู เงินที่อลันได้วันนี้ เขาจึงตั้งใจซื้อของพวกนี้ไปฝากยายกับน้องเสียเลย

“เท่าไหร่” เจฟ์ฟถาม มองของในมือเล็กที่ดูจะชอบจนยิ้มไม่หุบ

“20 บัค” อลันตอบ วันนี้อลันได้รับค่าจ้าง 30 บัค ซึ่งมากกว่าที่อะไรได้กว่าปกติ 10บัค แต่ของที่นี่ก็แพงมาก ใจจริงอลันอยากจะซื้อผ้าพันคอให้ไอลีนอีกผืน เพราะใกล้หน้าหนาวแล้ว แต่เงินไม่พอ เพราะผ้าพันคอตั้ง 15บัค

“เจ้าโดนโกงแล้ว” เจฟฟ์บอกคนตรงหน้า อันที่จริงสองอย่างที่เจ้าตัวซื้อเพียงแค่ 10 บัคเท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือพวกพ่อค้าแม่ค้าคงเห็นหน้าตาซื่อๆนั้นเลยหลอกขายเอา

“จริงหรอ!”อลันตกใจ ไม่คิดว่าว่าแม่ค้าคนนั้นจะโกงตนเอง เพราะดูใจดีพูดเพราะออก แนะนำเขาทุกอย่างเลย พอรู้ว่าโดนหลอก ก็อดที่จะทำหน้าสลดไม่ได้ พลางคิดว่าทำไมคนในเมืองถึงเป็นคนแบบนี้ และอดไม่ได้ที่จะโทษตัวเอง

“เจ้าเห็นหรือยัง ที่นี่ไม่ได้สวยงามหรือวิเศษอย่างที่เจ้าคิด มีคนโกง มีโจร มีผู้ร้ายอยู่นี่เต็มไปหมด ถ้าไม่ระวังหรือดูดีๆก็จะถูกหลอกแบบเจ้านี่แหละ” เจฟ์ฟเตือนด้วยความหวังดี อย่างน้อยครั้งนี้คงจะเปลี่ยนความคิดร่างเล็กตรงหน้าได้บ้าง

“อื้อ ข้าจะระวัง” ปากเล็กพึมพำออกมา รู้สึกว่าตัวเองโง่ที่โดนหลอกเอาง่ายๆ ที่เจฟ์ฟบอกมันทำให้อลันเริ่มมองเมืองหลวงใหม่ มันอันตรายสำหรับเขาจริงๆ



พอใกล้ตะวันตกดิน อลันเลยชวนร่างสูงกลับหมู่บ้าน ถึงแม้อีกฝ่ายบอกไม่ต้องกลัวก็ตาม แต่ก็อดกลัวและหวั่นไม่ได้อยู่ดี ยิ่งความมืดเข้ามา อลันยิ่งตัวสั่น รอบข้างมันน่ากลัวไปหมด ไม่รู้ในความมืดนั้นมีอะไรอยู่หรือเปล่า

“ข้าจับได้ไหม” อลันเอ่ยขออีกฝ่ายอย่างกล้าๆกลัวๆ ในการขอจับชายเสื้อ เมื่อพวกเขาทั้งสองกำลังออกจากประตูกำแพงใหญ่

“หึ ได้สิ” คนตัวโตตอบ เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวจากอีกคน มือเล็กก็จับชายเสื้อเขาไว้แน่น ตาก็มองรอบเหมือนกลัวอะไรตลอดเวลา ไม่นับรวมมองพื้นดินเหมือนกลัวจะไปเตะหรือเกี่ยวอะไรเข้า

ยิ่งเดินเข้าไปในป่าเขตหมู่บ้าน อลันแทบจะสิงคนตัวโต ไม้ที่ถูกพันด้วยผ้าชุบน้ำมันถูกจุด เพื่อเป็นแสงนำทาง อลันพยายามเดินอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ตัวเองสะดุดอะไรเข้า จากตอนแรกแค่จับมือข้างเดียวตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนมาจับเสื้อของคนตัวโตทั้งสองข้าง จนได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากลำคออีกคนทุกครั้ง

ซอกแซก!

เฮือก

เสียงเหมือนบางอย่างวิ่งอยู่ไม่ไกลจากที่อลันเดินอยู่ ทำให้อลันที่เดินเคียงข้างอีกคนแทบจะกระโดดกอดให้กับความขี้ขลาดหวาดกลัวของตัวเอง

“พวกสัตว์ป่า” เจฟ์ฟหันไปบอกร่างที่สั่นเทาข้างกาย

“ขะ ข้ากลัว” อลันบอกเสียงสั่น เขาไม่เคยออกมาเดินกลางคืนแบบนี้เลยสักครั้ง เพราะคำห้ามของผู้เป็นยายย้ำเตือนให้อลันอย่าเดินตอนกลางคืนเด็ดขาด เพราะอาจถูกพวกปีศาจจับไปได้

   พรึบ!

   “อ๊ากก” อลันร้องสุดเสียงด้วยความตกใจ เมื่อมีบางอย่างโผล่ออกมาจากพุ่มไม้มาทางที่เขาสองคนเดินอยู่ ทำให้อลันสะดุดล้มก้อนหิน จนเข่าเล็กกระแทกเศษหินข้างทางอย่างแรง จนคิดว่าเข่าเล็กคงแตกแน่

“ชู่ว เงียบอลัน มันแค่หมูป่า” เจฟ์ฟรีบวิ่งไปหาร่างที่ล้มอยู่กับพื้นแล้วเอามือแตะปากตัวเองเป็นสัญญาณให้เงียบ การส่งเสียงในป่าแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี โดยเฉพาะรายล้อมไปด้วยความมืดแบบนี้

“ฮึกๆ” อลันเอามือปิดปากตัวเองแน่น น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาด้วยความกลัว แต่ก็ไม่อยากส่งเสียงตัวเองออกมา เจฟฟ์เห็นใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาก็ได้แต่ถอนหายใจ ทั้งสงสารทั้งเห็นใจ

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เอ่ยถาม พร้อมกับเอาคบไฟมาใกล้เพื่อสำรวจร่างเล็กนั้น ก็เห็นแผลที่หัวเข่าเล็กนั้นแตก เลือดไหลอาบ แต่ตาคมสองข้างก็เบิกกว้างเมื่อเห็นสีเลือดที่เข่าเล็กนั้นผิดแปลกไป

“ฮึก ขะ ข้าไม่เป็นอะไร” อลันเหมือนรู้สึกตัว รีบเอามือมาปิดเข่าตัวเองปกบิดเอาไว้ไม่ให้อีกคนเห็นบางอย่างที่ผิดปกติ

หมับ!

“จะ เจฟ์ฟ!”อลันร้องอย่างตกใจ เมื่อมือใหญ่จับมือที่ปิดเข่าเล็กนั้นออกอย่างแรง และบีบไว้แน่น พลางลองเอาคบไฟไปส่องใกล้ๆแต่ก็เห็นเป็นเลือดสีแดงธรรมดา เจฟ์ฟเลยเอาคบไฟออกห่างจนเกิดความมืดขึ้นรอบตัว โดยมีร่างใหญ่ตัวเองบังแสงไฟนั้นด้วย จากที่คิดว่าจะมีแค่ความมืดรอบตัว แต่กลับมีแสงเรืองรองบางอย่างเปล่งแสงออกมาจากเข่าเล็กนั้น ที่ควรจะอาบไปด้วยเลือดสีแดง

“ถอยออกไปนะ!” อลันร้องบอก เบี่ยงตัวหลบคนตัวโต เมื่ออีกคนเห็นสิ่งที่อลันซ่อนไว้ มีเพียงแค่ยายกับไอลีนที่รู้เรื่องนี้ และอลันไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ด้วย อลันไม่อยากให้ใครมองเขาว่าเป็นตัวประหลาด 

เจฟ์ฟมองเลือดของร่างเล็กตรงหน้าด้วยความตะลึงตกใจ แต่กลับถูกมือเล็กใช้เสื้อตัวเองซับและเช็ดมันออกอย่างแรง จนแสงนั้นเลือนหายไป และเปล่งแสงออกมาอีกครั้งท่ามกลางความมืดเมื่อของเหลวไหลออกมาจากเข่าไม่หยุด เจฟ์ฟมองใบหน้าเล็กที่อาบด้วยน้ำตาอีกครั้ง

“ละ เลือดเจ้า”



:hao3: :katai1:










ออฟไลน์ 10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ตอนที่ 5

The beginnings







ตาสองข้างของอลันเบิกกว้างเมื่อได้ยินคนตัวโตเอ่ยออกมา  ตาเล็กลุกลิกไปมาพยายามหาทางปกปิดมันเอาไว้ถึงแม้ว่าจะสายแล้วก็ตาม อลันจึงตัดสินใจฉีกเสื้อตัวเองที่สวมใส่อย่างรวดเร็ว

แควก !

เสื้อเก่าถูกฟันเล็กฉีกดึงออกมา ก่อนจะรีบนำมาพันเข่าตัวเองอย่างร้อนรน โดยมีสายตาคมที่อยู่ด้านหลังจดจ้องไม่ห่าง ในใจก็หวาดกลัวและหวั่นเมื่ออีกคนรู้ความลับนี้

ทำไงดี

เขาจะทำไงดี

“ทำไมเลือดเจ้า..”

“ไม่มีอะไร ท่านตาฝาดแล้ว!” อลันรีบพูดบอกอีกฝ่ายร้อนรน ท่าทางแสดงออกของอลันยิ่งทำให้อีกฝ่ายสงสัย แต่อลันพยายามบังคับตัวเองไม่ให้กลัวไม่ได้

“เอาเถอะ เรารีบไปจากที่นี่กันก่อน” เจฟ์ฟบอกร่างที่สั่นเทา ถึงแม้จะอยากรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นไม่ใช่ตาฝาดตามที่อีกคนบอก แต่รอบข้างก็อันตรายเกินกว่าที่จะนั่งคาดคั้น

“อื้อ” อลันพยักหน้ารัวๆ เพราะอยากกลับบ้านเต็มทนแล้ว

ทั้งสองเลยออกเดินกันอีกครั้ง อลันที่เจ็บเข่าอยู่จึงค่อยข้างเดินลำบาก คนตัวโตคิดจะเข้าไปช่วยกลับถูกปฏิเสธ ท่าทางที่เปลี่ยนไปเหมือนระมัดระวังตัวมากกว่าปกติ ยิ่งทำให้เจฟ์ฟอยากรู้

แสงไฟริบรี่ข้างหน้า เป็นสัญญาณว่าพวกเขาทั้งสองเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว คนตัวโตหันมามองร่างกายก็เห็นสีหน้าดีใจออกมาแทบจะทันที

“ถึงแล้ว” อลันร้องอุทานออกมา แล้วเดินนำอีกฝ่ายตรงไปยังบ้านตัวเอง ที่อยู่ถัดจากหลังอื่นไปไม่ไกล  ส่วนเจฟ์ฟเดินตามช้าๆไม่ได้เร่งรีบ ตาคมก็กวาดมองบ้านแต่ละหลังที่เดินผ่าน มันเต็มไปด้วยความมืดและรกร้างตลอดทางเดิน

“อลัน!” เสียงแหบแห้งของหญิงแก่วัยใกล้ฝั่งเอ่ยร้องเรียกคนตรงหน้าที่กำลังวิ่งมา ตั้งแต่เห็นจดหมายบอกว่าจะเข้าเมืองหลวง จนพระอาทิตย์ตกดินก็ยังไม่มีวี่แววจะกลับ ทำเอายายแก่คนนี้นั่งไม่ติดอดเป็นห่วงหลานชายไม่ได้

“ยาย!” อลันรีบไปประคองยายที่เดินออกมายืนรอพร้อมกับน้องสาวตน ถัดไปไม่ไกลก็เป็นดอร์กี้ ที่กลับมาตั้งแต่ตอนไหนเขาก็ยังไม่รู้  ตอนนี้ข้างนอกอากาศหนาวเย็น ยายไม่ควรที่จะออกมาตากลมแบบนี้

“ทำไมเพิ่งกลับ ยายเป็นห่วงไม่รู้หรือไง แล้วนี่!” ยังไม่ทันดุหลานตรงหน้า ตาเกือบฟ้าฝางก็พลันไปสะดุดกับหัวเข่าของเจ้าตัวที่พันเอาไว้ มีเลือดซึมออกมา

“เจ้าบาดเจ็บ เกิดอะไรขึ้น!” ยายรีบถามด้วยอาการร้อนใจ ย่อตัวหมายจะดูแผลให้หลานชายตัวเอง แต่กลับถูกมือเล็กนั้นยื้อไว้ซะก่อน

“อลันหกล้มครับ” เจฟ์ฟพูดแทรกขึ้นมา ยิ่งทำให้สองยายหลานตกใจพากันกอดกันแน่น เมื่อเห็นคนแปลกหน้าแบบเขาเผยตัว

“ท่านเป็นใคร” ไอลีนถามด้วยความกลัว ใบหน้านิ่งดูโหด ไหนจะตัวใหญ่เหมือนพวกทหาร ยิ่งทำให้ไอลีนและยายกอดกันแน่น  พลางมองพี่ชายตัวเองว่าทำไมถึงมากับผู้ชายคนนี้ได้

“ข้ารับจ้างขนแกะให้ตาแก่ชาร์ล ชื่อเจฟ์ฟ” คนตัวโตแนะนำตัว ท่าทางบ้านนี้จะหวาดกลัวเขาเสียเหลือเกิน ตาก็มองระแวงไม่ไว้ใจ

“เขาอาสามาส่งข้าเองยาย ไม่มีอะไร” อลันรีบบอกทั้งสองเพื่อให้สบายใจอีกครั้ง ว่าร่างสูงไม่ได้มาทำมิดีมิร้ายอะไร

“ข้าว่าเข้าไปข้างในดีกว่าไหม ข้างนอกอากาศเย็น” คนตัวโตทักขึ้น ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็นและหนาวเหน็บ อลันเพิ่งรู้ตัว และทำตามคนที่ตัวโตบอก รีบดันยายเข้าไปข้างในบ้านทันที

“ท่านพักที่นี่ก่อนค่อยกลับ” อลันหันไปบอก ข้างนอกอันตรายเกินไปที่จะเดินทางกลับในตอนนี้ อลันไม่อยากให้เจฟ์ฟเดินทางยามค่ำมืดแบบนี้ด้วย ถึงแม้อีกใจจะอยากให้กลับก็ตาม

“ข้าขอบใจท่านมากที่มาส่งหลานข้า ท่านพักค้างคืนที่นี่สักคืน ให้ข้าตอบแทนได้ไหม” ยายพูดกับอีกคนด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ อย่างน้อยที่อลันกลับมาอย่างปลอดภัยได้ก็เพราะเขาคนนี้

“งั้นข้ารบกวนด้วย” ตอนแรกคนตัวโตจะปฏิเสธ แต่สิ่งที่อยากรู้ก่อนหน้านั้นก็ทำให้เขาตอบตกลงไป

“บ้านข้าค่อนข้างเล็กและแคบ ท่านอาจจะอึดอัดเล็กน้อย” อลันเอ่ยบอกคนตัวโตที่สอดกายเข้ามาภายในบ้าน รูปร่างกำยำสูงใหญ่ของเจฟฟ์จึงเป็นปัญหาในการยืน จนต้องโค้งงอย่อตัวเพื่อไม่ให้ศีรษะชนเพดาน

“ข้าอยู่ได้” คนตัวโตหันมาตอบ พยายามย่อตัวไม่ให้พลั้งเอาศีรษะไปโขกกับเพดาน

“ทั้งสองคนกินอะไรกันหรือยัง เดี๋ยวข้าทำให้” ไอลีนอาสา เมื่อเห็นชายหนุ่มแปลกหน้านั่งบนโต๊ะอาหาร ตามมาด้วยพี่ชายตัวเอง

“ยังเลย รบกวนเจ้าหน่อยนะ” อลันเป็นฝ่ายตอบแทน เพราะพวกเขาทั้งสองมัวแต่เร่งรีบจะกลับจนไม่ได้ทานอะไร สาเหตุก็เป็นเพราะเขาที่เร่งคนตัวโตเพราะอยากกลับด้วย

พ้นจากน้องสาวหายเข้าไปในครัว ภายในบ้านก็เกิดความเงียบอีกครั้ง ยายที่นั่งเก้าอี้โยกตัวประจำก็ทำลายความเงียบนั้นเมื่อพอจะรู้สายตาของชายหนุ่มแปลกหน้าที่จ้องเข่าของหลานตัวเองไม่วางตา

“ข้าขอให้สิ่งที่ท่านเห็น ช่วยลืมมันเสียจะได้ไหม” น้ำเสียงแหบแห้งไม่มีแรงเอ่ยขอ ชายคนนี้คงล่วงรู้ความลับบางอย่างของหลานตัวเองเข้าแล้ว และมันจะยิ่งแย่ถ้าคนตรงหน้าเล่าให้คนอื่นฟัง สิ่งที่เห็นนั้นมันจะนำภัยมาสู่หลานของเธอ

“….” คนตัวโตเลือกที่จะเงียบ เมื่อได้ยินคำขอของอีกคน อดไม่ได้ที่จะมองร่างเล็กข้างกายที่ก้มหน้าขยุ้มเสื้อตัวเองแน่น ใบหน้ามีแต่ความวิตกกังวลและหวาดระแวงไม่ไว้ใจ หลายสิ่งในโลกนี้เขารู้ว่ามันแปลกประหลาด น่ามหัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์  พวกปีศาจ หรือแม้แต่เผ่าพันธุ์อื่นๆที่หายาก แต่ร่างเล็กตรงหน้าก็ทำให้เขาคนนี้อดที่จะตกใจและอยากรู้เสียไม่ได้ ว่าเหตุใดมนุษย์เช่นกันกับเขาถึงได้มีเลือดผิดแปลกไปจากมนุษย์ด้วยกัน

เลือดที่เป็น สีม่วง

“ยิ่งรู้มาก มันจะนำภัยมาสู่หลานข้า” พอเห็นอีกคนเงียบ เธอเลยพูดในสิ่งที่กลัวและกังวลออกไป สายตาที่ใกล้มืดบอดก็พลันอับแสงแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดเช่นกัน

เจฟ์ฟสัมผัสได้ถึงความกลัวและกังวล จึงทำได้เพียงถอนหายใจ เขาอยากรู้ก็จริง ว่าทำไมเลือดในตัวของอลันถึงแปลกประหลาดแบบนี้  แต่ในเมื่อมันเป็นความลับของครอบครัวอีกคน เขาก็เลือกที่จะไม่สอดรู้หรือหาคำตอบอีก และเขาก็ควรที่จะเก็บมันไว้เป็นความลับเพื่อให้เจ้าตัวรู้สึกสบายใจ จะได้ไม่ระแวงหรือไม่ไว้ใจเขา

“ข้าจะไม่บอกใคร” เจฟ์ฟเอ่ยบอกในที่สุด เรียกใบหน้าที่ก้มงุดอยู่ ให้เงยหน้าขึ้นพลัน พร้อมกับแววตาที่ซาบซึ้งขอบคุณ จนเขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้กลุ่มผมนุ่มนั้นไปมาด้วยความเอ็นดู

“ขอบใจท่านมาก” เธอเอ่ยขอบคุณพร้อมกับเอื้อมมือมาแตะแขน ชายหนุ่มเบาๆ

“ข้าขอบคุณท่านมาก ที่ท่านจะไม่เอาเรื่องข้าไปบอกใคร” อลันกล่าวขอบคุณด้วยแววตาสั่นระริก อลันไม่รู้เลยว่าตัวเองจะกลัวมากขนาดนี้ เมื่อรู้ว่าคนอื่นรู้ความลับของตน  มันไม่ใช่เรื่องภูมิใจหรือน่ายินดีที่ควรป่าวประกาศให้คนนอกรับรู้

อลันกลัว

กลัวจะถูกมองแปลกไป

เหมือนไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน

“ข้าสัญญา”

คำพูดหนักแน่นของคนตัวโต เรียกรอยยิ้มของอลันให้กว้างขึ้น สายตาของเจฟฟ์ยังมองเขาเหมือนเดิม ความไว้ใจคนตรงหน้ามีเพิ่มมากขึ้น ความเชื่อใจก็เริ่มตามมา ความซื่อและความจริงใจของอลันมีมากจนเหมือนเชื่อคนง่าย แต่อลันก็เลือกที่จะเชื่อคำสัญญาคนตรงหน้า ถึงแม้ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าต่อไป คนตรงหน้าคนนี้จะยังรักษาคำพูดที่ให้ไว้หรือเปล่า



หลังจากทานอาหารเสร็จ ที่นอนของเจฟ์ฟถูกปูตรงกลางบ้าน จำเป็นต้องเลื่อนโต๊ะอาหารไว้ชนิดผนังเพื่อให้มีพื้นที่ กว้างมากพอสำหรับคนตัวโตอย่างเขา บ้านเล็กหลังนี้มีแค่สองห้องนอน ส่วนห้องอลันก็เล็กเกินไปที่คนตัวใหญ่จะเข้าไปนอนได้ ด้วยความที่เจฟ์ฟเป็นคนไม่เรื่องมากเรื่องที่นอน เขาสามารถนอนที่ไหนก็ได้ จึงไม่เป็นอุปสรรคหรือปัญหาอะไร มีแต่คนตัวเล็กที่ก้มศีระขอโทษเขาหลายรอบ กลัวว่าเขาจะนอนไม่ได้และขอโทษที่ให้มานอนแบบนี้ เขาจึงตัดปัญหาความขี้เกรงใจเจ้าของบ้านโดนการข่มขู่เล็กน้อย ร่างเล็กนั้นถึงยอมเข้าไปนอน ส่วนเขาจะได้หลับซะที



รุ่งเช้าต่อมา

อลันตื่นตามปกติทุกวัน แต่ครั้งนี้หัวเข่าที่แตกช้ำเริ่มระบม จึงทำให้เดินลำบาก ใบหน้าก็เหยเกบิดเบี้ยวทุกครั้งเมื่อเจ็บเวลาลงน้ำหนักเดิน สุดท้ายก็พาตัวเองออกมาจากห้องได้ และพบกับคนตัวโตที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร

“ท่านตื่นนานแล้วหรอ” อลันเอ่ยถาม พร้อมกับเดินเขผกไปนั่งข้างๆ

“อืม ข้าตื่นแต่เช้ามืดทุกวัน เข่าของเจ้าเริ่มระบมแล้วสิ ข้าว่าวันนี้เจ้าไม่ต้องไปเลี้ยงแกะ” คนตัวโตบอก พร้อมกับจับเข่าเล็กมาดูที่มันบวมช้ำ

“ข้าไปไหว แล้วท่านจะกลับตอนไหน ให้ข้าไปส่งไหม” ใบหน้าเล็กปฏิเสธ ขืนลางานไปลุงชาร์ลมีหวังได้ถลกหนังหัวเขาอย่างแน่นอน อลันเลยเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นคนตัวโตเก็บของส่วนตัวใส่ถุงย่ามตัวเอง

“ข้ารอเจ้าตื่นอยู่ และจะไปเลย” เจฟ์ฟได้แต่สายหน้าให้กับความดื้อรั้นของอีกฝ่ายที่จะไปเลี้ยงแกะ

“ไม่รอทานข้าวเช้าก่อนหรอ” อลันยังคงรั้ง

“ข้าต้องรีบกลับ ข้ามีงานที่เมืองหลวง” ร่างตัวโตลุกขึ้น เมื่อมีงานที่เมืองหลวงจริงๆและเขาก็ไม่ยากไปสาย  ไม่วายตาคมเหลือบเห็นสีหน้าหม่นลงของเจ้าตัวเมื่อเขาบอกว่าจะไปแล้ว จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชวน

“เจ้าก็รีบเก็บเงิน จะได้ตามข้าเข้าไป” เจฟ์ฟยิ้มให้กำลังใจ เอื้อมมือหนาขยี้กลุ่มผมน้ำตาลเข้มอีกครั้งแล้วเดินออกไป

“ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย” อลันเดินมาส่งที่หน้าประตู จนร่างสูงใหญ่เดินหายเข้าเขตป่าไป คำเอ่ยชวนของอีกคนยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้อลันอยากไปทำงานและเก็บเงินให้ได้เยอะๆ

อลันรีบเดินเข้าบ้านพร้อมกับไอลีนที่ตื่นแล้วเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหาร ส่วนยายก็นั่งเก้าอี้โยกนั่งเล่นรอ อลันจึงเข้าไปจัดการอาบน้ำและล้างแผลที่หัวเข่าตัวเองจนเสร็จสรรพ พร้อมกับเอาผ้าพันแผลเอาไว้

“ยาย ไอลีน ข้าไปทำงานก่อนนะ” อลันลุกขึ้นเมื่อทางอาหารเช้าเสร็จ วันนี้เขาดูคึกคักเป็นพิเศษหลังจากได้ยินคำเอ่ยชวนและกำลังใจจากคนตัวโตมา ถึงแม้จะเจ็บ ระบมที่เข่าก็ไม่ทำให้อลันท้อจนไม่อยากไปทำงาน

“เดินไหวหรอ” ยายถามด้วยความเป็นห่วง อลันจึงส่ายหน้าไปมาให้ผู้เป็นยาย

“ข้าไหว ข้าไปก่อนนะ ป่ะ ดอร์กี้!” พูดจบก็หยิบไม้ประจำตัวและข้าวกลางวันที่ไอลีนทำไว้ให้ เดินออกจากบ้านไป ตรงไปยังฟาร์มแกะของลุงชาร์ล

หลังจากอลันต้อนแกะเสร็จไปที่ทุ่งหญ้าแล้ว ร่างเล็กก็ทรุดตัวนั่งลงที่ต้นโอ๊คต้นไม้ประจำอย่างเหน็ดเหนื่อยกว่าปกติ  ใบหน้าเรียวเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม ไหนจะเข่าระบมเมื่อต้องวิ่งไล่ตามแกะที่หลงฝูงให้รวมกลุ่ม ทำเอาอลันแทบจะทิ้งตัวนอนแผ่หลา

พอพักจนหายเหนื่อยแล้ว อลันก็ลุกขึ้นนั่งพิงต้นไม้เพื่อสอดส่องดูแกะไม่ให้คลาดสายตา ดีหน่อยที่เจ้าดอร์กี้ช่วยอีกแรง ไม่งั้นเขาคงเหนื่อยมากกว่านี้ ว่าแล้วก็หยิบไส้กรอกให้เป็นรางวัล ส่วนดอร์กี้ก็เห่าดีใจ กินเสร็จก็คึกวิ่งไปต้อนแกะอย่างขะมักเขม้น

วันนี้ก็เหมือนวันทั่วๆไป อลันต้อนแกะไปกินหญ้า พลบค่ำ ก็ต้อนแกะเข้าคอกในฟาร์ม และก็ไปรับเงินจากลุงชาร์ล จนผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เข่าอลันก็หายเป็นปกติ ทิ้งรอยแผลเป็นไว้เล็กน้อยเมื่อแผลหกล้มมันลึก แต่ไม่นานก็คงจะจางหายไป ส่วนเจฟ์ฟอลันก็เจอบ่อยเวลามาที่ฟาร์ม เขากับเจฟ์ฟเริ่มสนิทกันมากขึ้น และคนตัวโตมักจะเอาขนมจากเมืองหลวงมาฝากอลันเป็นประจำ อลันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนมีพี่ชายอีกคน ยิ่งทำให้อลันมีความสุข ที่มีคนคอยดูแล เอาใจใส่  ทุกครั้งที่เจฟ์ฟมาอลันจะวิ่งหน้าตั้งยิ้มกว้างไปหาเสมอ

“ดอร์กี้ วันนี้เราจะไปหน้าผาป่าตรงข้ามกัน”  เสียงใสของอลันเอ่ยบอกสุนัขคู่ใจหลังจากต้อนแกะเข้าคอกเสร็จ และได้เงินจากลุงชาร์ล หน้าผาที่ว่านั้น มันอยู่บนเขาสูงตรงข้ามกับฟาร์มลุงชาร์ล และอยู่ไกลจากหมู่บ้านประมาน 3 กิโล และมันเป็นที่คนรักของยายตกหน้าผาเพื่อที่จะเก็บดอกชาร์ล่า

หน้าผาตรงนั้นอันตรายมากเพราะมีก้อนหินยื่นออกมา อาจพลัดตกได้ง่าย เนื่องจากลมแรง และสูงชัน  แต่ถ้าให้มายืนชมวิว ตรงนี้จะสามารถมองเห็นกำแพงเมืองหลวงได้อย่างชัดเจน  และสามารถเห็นเขต ต้องห้ามนั่น ได้เช่นกัน อลันไม่เคยไป แต่มีชาวบ้านหลายคนเคยไปที่นั่น จึงมีเส้นทางเล็กๆเป็นตัวนำทางได้ดี อลันจึงไม่กลัวหลง ไหนจะมากับเจ้าดอร์กี้แล้ว อลันยิ่งมั่นใจว่าตัวเองจะกลับบ้านถูก

อลันตั้งใจแน่วแน่ไว้อยู่แล้วว่าจะไปเก็บดอกชาร์ล่า แต่ก็เกิดเหตุทำให้อลันเจ็บตัวเมื่ออาทิตย์ก่อน หลังจากไปเมืองหลวงมา จึงจำเป็นต้องรอไปก่อน แต่พอหายดี อลันก็ไม่รอช้าที่จะรีบไปเก็บ ก่อนที่ตัวเองจะเข้าไปในเมืองหลวง ตอนนี้อลันก็มีเงินมากพอที่จะพายายกับน้องไปจากที่นี่ได้แล้ว เหลือแค่ไม่เท่าไหร่ อลันก็จะไปจากที่นี่ทันที

การมาครั้งนี้อลันไม่ได้บอกผู้เป็นน้องหรือยาย เกรงส่าถ้าบอกไปทั้งสองจะห้ามและไม่ให้ไป โดยเฉพาะมันเป็นที่ที่ทำให้ลุงเบนตายตรงนั้น ยายคงค้านชนฝาจนทะเลาะกันแน่ๆ อลันเข้าใจว่ายายห่วงกลัวเขาจะพลั้งพลาดตกไป แต่อลันก็กลัวสิ่งหนึ่งมากกว่า  อย่างน้อยการมีดอกชาร์ล่าอยู่ อลันก็หายกลัวไปเกือบครึ่ง

สองเท้าเล็กพร้อมกับสุนัขคู่กายเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ตาเล็กก็สอดส่องตลอดทางด้วยความกลัวและระแวง เมื่อรอบข้างเงียบสนิทจนได้ยินแต่เสียงเท้าเดินของเขาและดอร์กี้เท่านั้น

“โฮ่งๆๆ”

เสียงเห่าของดอร์กี้เร่งให้อลันรีบก้าวเดินตามไป ใช้เวลาไม่นานอลันก็เดินพ้นเขตป่ามาเจอลานกว้างที่มีแต่หินใหญ่และหญ้าขึ้นรก  มีหินราบขนาดใหญ่ยื่นออกไปข้างหน้า ปลายหน้าผา มันทั้งสูงทั้งชัน จนอลันเสียวมวนท้อง

ภาพข้างหน้าทำให้อลันตื่นตาตื่นใจไม่น้อยกับทิวทัศน์รอบข้าง เรียกรอยยิ้มกว้างขึ้นมาทันที มันทั้งสวยงามและน่ากลัวไปพร้อมกัน กำแพงสูงใหญ่สีขาวที่อลันเคยเดินเข้าไป ปรากฏสู่สายตาเพียงแค่เอื้อมมือ  ถัดไปอีกฝาก ตัวอลันก็สั่นเทิ้มกับความมืดมิดปกคลุมของเขต ต้องห้าม ที่มันมืดมัวน่ากลัวทั้งท้องฟ้าและแผ่นดิน จนข้างในอลันเต้นระส่ำ

 ทั้งสองภาพที่อลันเห็นดั่งสวรรค์กับนรก

ยายเล่าว่า ดอกชาร์ล่า ชอบขึ้นในที่สูง โดนเฉพาะหน้าผาสูงชันแบบนี้ ถึงแม้มันจะอันตรายแต่หลายคนก็ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะเก็บมัน เพราะมันเป็นสมุนไพรหายาก ขายได้ราคาสูงเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ที่อลันมาไม่ใช่จะเอาไปขาย อลันจะเอาไปบดเป็นน้ำพกติดตัวไว้เพื่อป้องกันตัวเอง  อลันจึงพาขาที่สั่นเทาของตัวเองเดินไปที่หน้าผา ลมแรงจนทำให้ร่างเล็กเซโยกไหวเล็กน้อย แต่ก็ต้องฝืนย่อตัวต้านท้าลมเดินต่อไป แม้ใจจะเต้นระรัวก็ตาม

อลันกลัวความสูง

จึงเป็นเรื่องยากและลำบากในการตัดสินใจเดินหน้าต่อ อลันเป็นพวกขลาดกลัวอยู่แล้ว แต่ด้วยความปลอดภัยของครอบครัว มันจึงเป็นแรงผลักให้อลันกล้าที่ก้าวเดินต่อไป พอเดินมาถึงปากหน้าผามือเล็กหยิบเชือกในถุงย่ามตัวเอง ที่เตรียมการมาตั้งแต่เข้า ก่อนจะผูกมัดไว้ที่เอวตัวเองแน่น แล้วมองหาต้นไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนจะเจอแล้วเดินไปผูกมันเอาไว้อย่างแน่นหนา ป้องกันตัวเองพัดปลิมจากลมที่แรงขึ้นเรื่อยๆด้วย

“ไม่ต้องกลัว ๆ” อลันเดินกลับมาที่หน้าผา ขาที่สั่นก็ยังไม่หยุดสั่น ปากเล็กก็พร่ำให้กำลังใจตัวเอง ก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับกำเชือกแน่นมองทางเดินที่ต้องปีนลงไปหน้าผา เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ แสงเรืองรองสีส้มบ่งบอกว่าอีกไม่นานจะค่ำ อลันต้องรีบเรียกความกล้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว โดยมีดอร์กี้ยืนอยู่ไม่ห่าง

อลันจึงเลือกที่จะหมุนตัวแล้วหันหลังหมอบคลานเดินอย่างช้าๆ ดีที่เขาเคยเก็บสมุนไพรมาก่อนจึงรู้ว่าต้องทำยังไง เวลาเจอสมุนไพรเกิดในที่ต่างๆ เช่นหน้าผาแบบนี้

 มือเล็กต้องจับยึดหินตรงหน้าผาเอาไว้มั่นเวลาไต่ลงไป ถึงแม้จะมีเชือกคอยรั้งดึงก็ไม่ทำให้อุ่นใจ เมื่อลมที่หน้าผาพัดแรงมากจนอลันเกือบจะล้มเลิกความตั้งใจ เพราะกลัว

“เจอแล้ว” เสียงเล็กร้องออกมาอย่างดีใจ เมื่อเจอดอกชาร์ลาในซอกหินหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเอง ดอกไม้ที่เป็นพุ่มสีดำเกาะกุมหยั่งรากตรงหน้าผาไว้แน่น เท่าที่สังเกตอลันเห็นว่าดอกชาร์ล่าขึ้นเพียงเล็กน้อย มีประมาณสามสี่พุ่มเท่านั้น แต่ละพุ่มก็ห่างไกลกันจนน่าหวาดเสียว

อลันจับเกาะขอบหินไต่ลงเรื่อยๆไม่เร่งรีบ พยายามไม่ก้มมองเบื้องล่างที่เป็นหุบเหวลึก ถ้ามองเขาจะมือสั่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูกอาจพลั้งตกไปเลยก็ได้ ร่างที่ถูกมัดด้วยเชือกแน่นหนาไต่ระดับไปตามแนวผา ไปยังพุ่มดอกไม้สีดำที่อยู่ในซอกหิน ก่อนตัดสินเอื้อมมือไปคว้าจับ

‘ได้แล้ว’

กู่ร้องในใจอย่างตื่นเต้น พร้อมกับจับสาวไปถึงรากของพุ่มดอกไม้นั้นไว้แน่น ซอกหินที่ดอกชาร์ลาขึ้นอยู่ มันมีหินแหลมเหมือนดั่งปกป้องไม่ให้ใครมาเอาไป

ฟึบ

“โอ้ย!” อลันตัดสินใจดึงพุ่มดอกชาร์ล่าออกมาอย่างแรง จนนิ้วมือตัวเองบาดเข้าซอกหิน จนเลือดหยดไหลอาบ อลันกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บ รีบเก็บดอกชาร์ล่าใส่ย่ามถุงที่สะพายอย่างร้อนรน

หวืด หวืด

“เหวออ” แรงลมทำให้อลันทรงตัวไม่อยู่ เผลอเท้าผลัดตก ดีที่มือเกี่ยวหินไว้ทัน แต่นั้นก็ทำให้อลันแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความตื่นตระหนกกลัว มือที่ได้รับบาดแผลเกี่ยวเกาะหินไว้ หยดเลือดก็หยดไหลและล่วงเผาะปลิวไปตามลม

“โฮ่งๆๆ”

เสียงของดอร์กี้เรียกสติที่หนีหายไปจากความตกใจเมื่อครู่ อลันรีบมองรอบๆตัวเองที่กำลังมืดลงอย่างช้าๆ ก่อนจะกัดฟันไม่สนมือที่เจ็บรีบปีนขึ้นไปข้างบนอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็ขึ้นมาได้ อลันรีบแก้เชือกที่มัดเอวตัวเองและต้นไม้ออก ก่อนจะรีบลงจากเขาก่อนที่ความมืดจะคืบคลานมา

พรึบ!

กา กา

ฝูงอีกกานับร้อยตัวแตกหือจากฝั่งเขตต้องห้าม พร้อมกับส่งเสียงร้องดังก้องท้องฟ้าราวกับก้นเมฆสีดำและบินวนรอบอย่างน่ากลัวเหมือนฝั่งนั้นมีบางอย่างที่ผิดปกติไป อลันเห็นดังนั้นยิ่งสาวเท้าลงจากเขา และวิ่งกลับบ้านตนเองอย่างไม่คิดชีวิต



เขตต้องห้าม



   กลิ่นไอความหอมหวานแสนประหลาด ถูกพัดพามาพร้อมกับสายลม ร่างสูงใหญ่ที่นั่งแท่นเหล็กสีดำรูปทรงแสนประหลาดที่ตั้งอยู่เหนือทุกอย่างภายใต้ปราสาท  ข้างกายมีร่างอสูรร้ายสี่เท้ามีฟันเขี้ยวแหลมสะพรึงเต็มไปด้วยน้ำลายไหลนั่งหมอบอยู่ มือขาวซีดขนาดใหญ่ที่ผิวหนังเต็มไปด้วยรอยอักขระสีดำกำลังยกแก้วที่บรรจุของเหลวสีแดงยกจิบ พลันถึงกับชะงักงัน ก่อนจะสูดกลิ่นหอมประหลาดนั้นเข้าไป

   อ่า กลิ่นเลือดนี้

   เป็นเลือดที่หอมหวานคุ้นเคย ทำเอาเลือดในกายที่เย็นเฉียบพลันร้อนระอุเพียงแค่ได้กลิ่น  กายใหญ่เหมือนถูกเติมพลังอย่างน่าประหลาด ราวกับเคยลิ้มรสนั้นมาแล้ว แต่มันก็เนิ่นนานเหลือเกิน นานจนไม่รู้ว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร

   ลำคอเริ่มแห้งผาก ต้องการบางอย่างมาชโลมให้ชุ่มบรรเทา จึงยกแก้มบรรจุของเหลวสีแดงเข้าไปดื่มจนหยดสุดท้าย แต่มันก็ยังไม่หาย ยิ่งกลิ่นเลือดนั้นฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งปราสาท กายใหญ่ยิ่งสะท้านกระหายอยากทวีคูณ ตาสีแดงดั่งโลหิตตัดกับผิวกายขาวซีด ตวัดจ้องออกไปพร้อมกับเอ่ยสั่งบริวารตัวเองเสียงดังก้องทั่วผืนเขตต้องห้าม

   “ไปตามล่ามา!”

   










:z3: :z2:




ออฟไลน์ 10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ตอนที่ 6

Cross the line





แฮ่ก แฮ่กๆ

อลันยืนหอบตัวโยนตรงหน้าบ้าน หลังจากวิ่งลงจากเขาโดยไม่เหลียวหลังแม้แต่นิด เสียงอีกาส่งเสียงร้องไปทั่วผืนฟ้าเหมือนส่งสัญญาณเตือนบางอย่าง จิตใจอลันเริ่มหวาดกลัว รีบพาขาเล็กตัวเองย้ำวิ่งตรงกลับบ้านให้ทันก่อนมืด ถุงย่ามที่สะพายข้างตัวเขาก็กอดมันเอาไว้แน่น บาดแผลที่มือถูกคมหินบาดจนเป็นแผล อลันได้แต่เอาเสื้อซับเลือดไว้เท่านั้น

“ข้ากลับมาแล้ว”

เมื่อหายเหนื่อยจากการวิ่งอลันเข้าไปบ้านพร้อมกับดอร์กี้พร้อมกับสีหน้าปกติ เห็นยายกับไอลีนนั่งถักไหมพรหมอยู่เก้าอี้เหมือนกำลังรอตนอยู่ อลันจึงเอาย่ามมาบังมือที่เป็นแผลตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ทั้งสองรับรู้ความผิดปกติ

“วันนี้พี่อลันกลับช้า” ไอลีนบ่นหน้างอ สงสัยเพราะรอเขาจึงยังไม่ทันได้กินอาหารเย็นกัน ส่วนยายก็มองเขาอย่างตำหนิ เพราะเขาโดนลงโทษไม่ให้ไปไหนตอนกลางคืน

“มัวแต่เล่นกับดอร์กี้หน่ะ เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ” จำเป็นต้องโกหก แล้วรีบหมุนตัวเข้าห้องตัวเองอย่างรวดเร็ว ขืนยืนอยู่ตรงนั้น เลือดได้ซึมไหลหยดลงพื้นแน่ๆ

พอเข้าในห้อง อลันรีบจุดตะเกียงแล้วจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ก่อนลงมือทำแผล เลือดบางส่วนยังคงไหลไม่หยุด เพราะแผลลึกแต่ก็ดีที่แผลมันไม่กว้างมาก อลันไม่รอช้ารีบหาสมุนไพรที่ยายทำไว้มาใส่แล้วพันด้วยผ้าสะอาดเอาไว้ จากนั้นก็ออกไปทานอาหารเย็นและพูดคุยหลังจากทำงานกับน้องสาวและยายตามปกติทุกวัน โดยที่ไม่มีใครเอะใจเรื่องแผลที่มือเขาเลยสักนิด







ตกดึก



   ร่างบนเตียงกระสับกระส่าย เหงื่อผุดซึมตามกรอบหน้า สีหน้าดูทรมาน เปลือกตาที่ผับปิดถูกดวงตาภายในกลิ้งกรอกไปมา คิ้วสองข้างชนกันอย่างเคร่งเครียด แผ่นอกกระเพื่อมไหวขึ้นลงอย่างหนัก มือเล็กปัดป่ายไปมาราวกับหวาดกลัวบางอย่าง

   “อย่า!!”

   เฮือก

อลันสะดุ้งตื่นพร้อมกับส่งเสียงร้องลั่น ดวงตาที่ลืมตื่นสั่นไหวหันมองรอบข้างๆอย่างหวาดหวั่น พร้อมกับลูบข้อมือตัวเองไปมา ก่อนจะพ้นลมหายใจอย่างหนัก หยดเหงื่อที่ไหลซึมตามรูปหน้าก็ถูกเช็ดลูบออกลวกๆ จากนั้นก็ก้มซบกับฝ่ามือราวกับปลอบตัวเอง ข้างในอกตอนนี้เต้นระรัวไม่ต่างจากแผ่นอกที่กระเพื่อมตาม

อลันฝันร้าย

มันเหมือนจริงมาก ราวกับเกิดขึ้นจริง

ในห้วงความฝัน อลันกำลังวิ่งหนีบางอย่างในความมืดที่น่าสะพรึงกลัว แต่วิ่งเท่าไหร่เหมือนวิ่งอยู่กับที่ หนียังไงก็หนีไม่พ้นสิ่งนั้น ที่กำลังคืบคลานมา อลันไม่รู้ว่ามันคืออะไร ยิ่งสิ่งนั้นมาใกล้ อลันยิ่งหายใจไม่ออก ราวกับถูกรัดตรึงลมหายใจไว้แน่น พลันให้ร่างทรุดล้มลงนอนแนบพื้นเย็นเฉียบ พอมองก็เหมือนแท่นหินขนาดใหญ่ ร่างกายทุกส่วนขยับไม่ได้ราวกับถูกตรึงไว้  อลันมองแขนตัวเองที่จู่ๆลอยขึ้นเหนือพื้นโดยที่เขาไม่ได้สั่ง มันลอยขึ้นเองราวกับมีคนบังคับมัน จากนั้นบางอย่างก็ปรากฏขึ้น ทำให้ตาเรียวของอลันเบิกกว้างพร้อมกับส่ายหัวร่นไปมา

‘กริช’

แสงสะท้อนเหล็กคมวาววับของมันทำให้อลันหวาดกลัวจับใจ กริชที่ปรากฏขึ้นมาลอยหมุนอยู่เหนือข้อมือของอลัน รูปทรงมันแปลกตาทั้งสวยงามและดูมนขลังลึกลับ แต่ตอนนี้มันน่ากลัวสำหรับเขา ชั่วอึดใจ ปลายแหลมที่เป็นคมมีดเคลื่อนไปที่ข้อมือ ก่อนจะค่อยๆกดกรีดผ่านเนื้อนุ่มอย่างช้าๆ อลันดิ้นพล่าน กรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมาน มองเลือดตัวเองที่ควรจะเป็นสีแดงฉานกับกลายเป็นสีม่วงอำพันเรืองรอง หยดไหลลงพื้นเจิ่งนองไปทั่วความมืด แต่เหมือนบางอย่างในความมืดยังไม่พึงพอใจ มีดกริชนั้นกับกดกรีดเข้าที่ข้อมือเขาอีกครั้ง ก่อนจะได้จรดกรีดพลันให้อลันต้องสะดุ้งตื่นเสียก่อนเพราะตกใจ

สวบสาบ!

อลันที่กำลังขวัญเสียกับฝันร้ายอันน่ากลัว กลับต้องหยุดนิ่งทั้งตัวและลมหายใจ ดึงสติให้กลับออกมาจากฝันร้ายอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงบางอย่างข้างนอกที่เคลื่อนไหวไปมา อลันใช้มือจับผ้าม่านสีซีดของตัวเองแง้มเปิดออกไปดูด้วยความสงสัย แสงของดวงจันทร์อาบส่องทำให้ข้างนอกดูไม่มืดมากเท่าไหร่ อลันจึงสามารถมองเห็นบางอย่างข้างนอกได้เพียงแค่เงาตะคุ่ม แต่รับรู้ได้ว่าข้างนอกคืออะไร

พวกปีศาจ!

ถึงแม้จะไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาพวกมันเป็นอย่างไร นอกจากข่าวลือที่เล่าต่อๆกันมา ก็พลอยกล่าวหาบางอย่างที่อยู่ด้านนอกได้ เพราะแถวหมู่บ้านของอลันไม่มีใครกล้ามาเดินเพ่นพ่านยามวิกาลแบบนี้ 

นานหลายนาทีที่จู่ๆพวกปีศาจหยุดที่หน้าบ้านเขา ทำให้อลันแทบกลั้นลมหายใจปิดปากตัวเองแน่น ไม่รู้มันหยุดทำไม  เสียงฟึดฟัดหอบหายใจแรงเหมือนสัตว์ป่าที่คาดว่าพวกปีศาจมาพาด้วย เหมือนให้มันก้มสำรวจหาอะไรบางอย่าง เสียงสบถพูดคุยของพวกมันทำให้อลันได้ยินไม่ชัดว่าพวกมันคุยเรื่องอะไร พวกมันคุยกันสักพักราวกับหาของไม่เจอพวกมันจึงผละเดินหาต่อไป

ความเงียบภายนอกเริ่มสงบดังเดิม แต่เป็นอลันเองที่กระวนกระวายหวาดกลัวไปหมด เมื่อเริ่มรู้ว่าที่หมู่บ้านตนเริ่มไม่ปลอดภัยอีกต่อไป แต่เดิมทีพวกปีศาจจะไม่เหิมเกริมเข้ามาในเขตมนุษย์เด็ดขาด ด้วยพันธะสัญญาที่มี ถึงแม้จะมีแอบลักลอบเข้ามาบ้าง  แต่อลันกลับไม่คิดว่าพวกมันจะมาเพ่นพ่านเยอะแบบไม่เกรงกลัวแบบนี้

เหมือนพวกมันกำลังตามหาอะไรสักอย่าง

ไม่รู้ว่าเป็นอะไรที่พวกมันตามหา แต่อลันคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นพวกมันคงไม่กล้าเดินเข้าเขตมนุษย์โดยเปิดเผยไม่สนใจพันธะสัญญาที่มีระว่างมนุษย์กับปีศาจเลยสักนิด อลันคาดว่าวันรุ่งขึ้นเขาต้องเห็นคนในหมู่บ้านหอบข้าวของเข้าในเมืองวุ่นวายแน่ เพราะทุกคนต่างรู้ต่างได้ยิน การมาของพวกมันที่ผิดปกติเช่นนี้

เขาต้องรีบแล้ว

อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว

อลันรีบข่มตาหลับทั้งที่ทำได้ยาก ก่อนจะลืมตาขึ้นมาเมื่อรู้สึกเหนอะหนะบริเวณมือตัวเอง อลันเลยรีบยกมาดูในความมืด ก็พบว่าแผลตัวเองเลือดปริซึมผ่านเนื้อผ้าออกมา อลันรีบคว้าผ้ามาพันไว้ลวกๆ คิดว่าพรุ่งนี้ค่อยทำแผลใหม่ทีเดียว แล้วข่มตานอนอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดอลันก็ไม่สามารถข่มตานอนได้จนกระทั่งเช้า

“ข้าไปทำงานก่อนนะ” อลันเอ่ยลาดั่งเช่นทุกเช้า วันนี้ใบหน้าเขาดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากไม่ได้หลับตลอดคืน ทั้งฝันร้าย ทั้งพวกปีศาจ ทำเอาอลันแทบข่มความหวาดกลัวเอาไว้ไม่อยู่จนผล็อยทำให้ตาค้างทั้งคืน

“อลันวันนี้เจ้ารีบกลับ  ยายมีเรื่องจะคุยด้วย” ยายบอกด้วยน้ำเสียงกังวล อลันก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องเมื่อคืน

“ครับ” อลันรับคำแล้วหมุนตัวออกจากบ้าน

ขณะกำลังเดินไป ระหว่างทางก็เห็นคนในหมู่บ้านที่แบกสัมภาระข้าวของที่จำเป็นเข็นใส่รถเดินสวนผ่านไป อลันได้แต่มองตามหลังและรีบเดินไปที่ฟาร์มแกะ

“อลัน!” เสียงร้องทักคุ้นเคยดังขึ้นเมื่ออลันเดินเข้าไปในฟาร์ม เจฟ์ฟวิ่งมาหาเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและเป็นห่วง เขาจึงทำได้เพียงยิ้มส่งให้เท่านั้น

“ข้าได้ยินว่าเมื่อคืนพวกปีศาจเดินเพ่นพ่านแถวหมู่บ้านเจ้าเต็มไปหมด ข้าว่าเจ้าพายายกับน้องไปอยู่เมืองหลวงได้แล้วนะ!” หนุ่มร่างโตคว้าไหล่เล็กมาจับไว้แน่นพร้อมกับบอกสิ่งที่กังวล เพราะระหว่างทางที่มา คนในหมู่บ้านต่างพากันเล่าอย่างเสียขวัญกับเรื่องเมื่อคืน จนทำให้เขาอดห่วงร่างเล็กตรงหน้าไม่ได้

“ข้าคิดอยู่เหมือนกัน ว่าจะไปอีกสองวันข้างหน้า” อลันแตะมือบอกคนตัวโตให้ใจเย็นลง เพราะสีหน้าดูเป็นห่วงเขามากเกินไป

“งั้นดีเลย ข้าจะได้หาที่อยู่ไว้ให้เจ้า หรือถ้าไม่มีก็มาพักกับข้าไปพลางๆก่อน” ตอนแรกคนตัวโตจะแย้งว่าทำไมต้องรออีกตั้งสองวัน แต่เห็นสีหน้าคนตัวเล็กกว่าก็ไม่อยากบังคับ เพราะมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าตัว

“ขอบใจท่านมากนะเจฟ์ฟ” อลันบอกด้วยความซาบซึ้งใจ ที่คนตัวโตยอมช่วยเหลือตลอดแม้แต่ที่พักก็ยังไม่รังเกียจ ยอมให้เขาพาน้องและยายไปอาศัยพักชั่วคราวได้ อีกใจก็อยากจะปฏิเสธ แต่ดูสถานการณ์ตอนนี้แล้ว คงต้องพึ่งคนตัวโตไปก่อน

“เจ้าก็เหมือนน้องชายข้า อย่าได้คิดว่ารบกวน” คนตัวโตเหมือนรู้ว่าอลันคิดอะไรอยู่เลยพูดแบบนั้นออกไป อลันจึงพยักหน้ารับกล่าวขอบคุณทิ้งท้ายและขอตัวไปปล่อยแกะเพื่อพาพวกมันไปลานทุ่งหญ้า

วันนี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ อลันยังคงต้อนแกะไปยังเนินเขาพร้อมกับดอร์กี้ อลันเลือกที่จะไม่ให้ฝูงแกะเดินไปเฉียดใกล้เขตต้องห้ามแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้แกะจะกินหญ้าเพลินกำลังเดินเข้าไป อลันก็รีบวิ่งไปไล่ขึ้นไปรวมกลุ่มและต้อนให้ไกลออกไป

 จนกระทั่งตกเย็นได้เวลาที่ต้องต้อนแกะกลับ อลันก็รีบต้อนก่อนเวลาราวชั่วโมงหนึ่ง โดยให้เหตุผลว่าต้องรีบกลับบ้าน แต่คำพูดของลุงชาร์ลก็ทำให้อลันคิดไม่ตก

“ข้าจะย้ายแกะเข้าเมืองในอีก 3วัน ดังนั้นเจ้าต้องเลี้ยงแกะให้ข้าอีกสองวันข้างหน้า” เรื่องเมื่อคืนคงสุดจะทนจริงๆ จนทำให้ลุงชาร์ลตัดสินใจที่จะย้ายเข้าไปในเมืองหลวง ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ไม่คิดจะย้ายไปไหน

“แต่ข้า..” อลันกำลังปฏิเสธ เพราะรับปากเจฟ์ฟไว้แล้วว่าจะเข้าเมืองในอีกสองวัน และจะคุยเรื่องนี้กับผู้เป็นยายและน้องเช่นกัน

“งานสุดท้ายของเจ้า ช่วยข้าหน่อย” น้ำเสียงลุงชาร์ลลำบากใจไม่น้อยเช่นกัน ถึงแม้การเลี้ยงแกะจะไม่หนักหนาอะไรมาก แต่สำหรับคนแก่อย่างลุงชาร์ลแล้ว คงลำบากพอสมควร ที่จะเดินขึ้นเขาหรือวิ่งไล่ต้อนแกะเอง และอีกเหตุผลหนึ่งที่แกว่ามา ก็คือแกต้องรีบเก็บหญ้าสำรองไว้ให้พวกแกะ ระหว่างไปอยู่ในเมืองหลวง ที่มีพื้นที่จำกัดแบบนั้น อลันจึงยากที่จะปฏิเสธ จึงรับปากไปเพราะอย่างน้อยลุงชาร์ลก็ให้งานจนมีเงินเก็บ

แค่ 3 วันเอง ทนเอาอลัน

ว่าแล้วก็รับเงินส่วนของวันนี้แล้วเดินกลับบ้าน พลันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองต้องรีบนำสมุนไพรที่เก็บมาเมื่อวานมาบดเป็นน้ำก่อนที่ดอกของมันจะแห้งเหี่ยวอาจพลอยทำให้ฤทธิ์ยาของมันอ่อนลงได้ ดังนั้นอลันจึงรีบวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็ว

ภายในบ้านเงียบเชียบเมื่อเดินเข้าไป ก่อนจะเห็นเสื้อผ้าถุงใหญ่ตรงมุมห้องที่พับเก็บเรียบร้อยเหมือนเตรียมพร้อมจะไปไหนสักที อลันรีบเดินเข้าไปในห้องผู้เป็นยายและน้อง ก็เห็นกำลังวุ่นกับการเก็บของบางส่วนที่เหลือ

“อลันเจ้ามาก็ดี รีบเก็บของได้แล้ว พรุ่งนี้เราจะย้ายไปอยู่เมืองหลวงกัน” ผู้เป็นยายหันมาบอกเสียงเครียด แล้วรีบเก็บอุปกรณ์สมุนไพรใส่ย่ามถุงใหญ่โดยมีไอลีนช่วยอีกแรง

“ยาย รออีก 3 วันได้ไหม เราค่อยไป” อลันจับแขนยายเอ่ยบอก พลอยให้ยายทำสีหน้าสงสัยและคิดว่าเขาหมายถึงเรื่องเงินอย่างแน่นอน

“ถ้าเจ้ากังวลเรื่องเงินทอง เจ้าไม่ต้องห่วง ไปอยู่ที่นั่น ยายกับน้องสาวเจ้าจะช่วยกันหาเงินเอง” ยายจับมือเขาแล้วลูบเบาๆ ยิ่งทำให้อลันรู้สึกผิด เขาไม่คิดจะให้ยายและน้องลำบากหาเงินช่วยเลย

“ไม่ใช่นะยาย คะ คือข้า รับปากลุงชาร์ลแล้วว่าจะช่วยแกเลี้ยงแกะ เพราะแกจะไปจากที่นี่เหมือนกัน” อลันก้มหน้าพูดเสียงเบา และให้เหตุผล แต่ดูเหมือนเหตุผลนั้นจะฟังไม่ขึ้นเพราะยายทำสีหน้าไม่เห็นด้วย

“ทำไมต้องรอ” ยายหันถาม

“นั่นสิ พี่อลัน พี่ก็รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วนะ ข้ากลัว” ไอลีนพูดเสียงสั่นด้วยความกลัว เสียงของพวกมันเมื่อคืนทำให้ไอลีนอยากไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายตัวเองถึงต้องอยู่ที่นี่ต่อ

“เพราะลุงชาร์ลต้องรีบตุนหญ้าไว้ให้พวกแกะ ถ้าข้าไปก็ไม่มีใครช่วยแกเลี้ยง” อลันรีบบอก เมื่อเห็นน้องสาวตัวเองพูดก็อึกอักคิดหนัก แต่เพราะรับปากไว้แล้วอลันจึงไม่อยากผิดคำพูด

“ช่างตาแก่นั้นสิ เจ้าไม่กลัว หรือห่วงตัวเองเลยหรือไง” คราวนี้ยายคงไม่ยอมจริงๆ ถึงพูดแบบนั้น หันไปก้มหน้าเก็บของต่อโดยไม่สนใจเขา

“ยาย” อลันเอ่ยเสียงอ่อยรีบไปจับแขนร้องขอ

“ไม่ต้องไป เจ้าต้องเข้าเมืองหลวงกับยายวันพรุ่งนี้!” ยายสะบัดแขนเขาออก พร้อมกับหันมาพูดเสียงเด็ดขาด

“แต่ข้ารับปากเขาไว้แล้ว” อลันยังคงดื้อดึง พลางคิดโทษตัวเอง น่าจะคุยกับยายก่อนที่จะออกไปทำงาน

“อลัน!”

“นะยายนะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี อีกแค่สามวันเอง เราจะไปจากที่นี่กัน อีกอย่างยายไม่ต้องห่วงนะ” อลันพูดได้ครู่หนึ่งก็หยุดแล้วรีบไปหยิบบางอย่างออกมาจากถุงย่ามตัวเอง

“ข้ามีนี่ ยายไม่ต้องกลัว” อลันยื่นดอกชาร์ล่าที่ตัวเองเสี่ยงตายไปเก็บบนเนินเขามาเมื่อวาน เอามาให้ยายที่ทำหน้าตกใจที่เห็นมัน

“นี่ใช่ไหม ทำให้เจ้าบาดเจ็บที่มือ!” คราวนี้ยายโกรธเขาเสียแล้ว ถึงจับมือเขาแล้วชูขึ้น อันที่จริงอลันไม่คิดด้วยซ้ำว่ายายจะรู้ว่ามือเขาบาดเจ็บ เพราะเขาพันมือบางๆเอาไว้เท่านั้น

“ยายรู้” อลันคอตกเมื่อถูกจับได้

“ทำไมยายจะไม่รู้ หลานทั้งคน”

“ข้าขอโทษ”

“เจ้าก็รู้ เจ้ามีสิ่งที่ไม่เหมือนใคร ทำไมเจ้าไม่หัดกลัว หัดระวังบ้าง” ยายตัดพ้อเสียงสั่นมองมือเขาที่มีผ้าพันไว้ ยิ่งทำให้อลันรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ที่โกหกยายและทำอะไรไม่คิด

“ยายค่ะ” ไอลีนเห็นท่าไม่ดีเลยรีบกุมมือยายเอาไว้ เพราะเห็นสีหน้าพี่ชายรู้สึกผิดจนจะร้องไห้อยู่แล้วที่โดนยายโกรธใส่

 “เอาเถอะ เอาดอกชาร์ล่ามา ยายจะคั้นน้ำให้เจ้าพกติดตัวไว้”  ไม่รู้ที่ยายพูดแบบนี้ มันหมายถึงยายจะยอมอยู่ที่นี่ต่อหรือเปล่า ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ยายคว้าดอกชาร์ล่าแล้วเดินไปยังโต๊ะอาหาร โดยมีไอลีนเตรียมอุปกรณ์บดยามาให้ ส่วนอลันได้แต่นั่งเงียบมองยายและน้องทำให้ยาให้เท่านั้น

 การที่จะบดเอาน้ำของดอกชาร์ล่าที่เป็นสมุนไพรมีพิษเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ถ้าไม่เชี่ยวชาญพอ หรือเกิดสัมผัสมันเข้าแม้แต่นิดเดียว ก็ทำให้ตรงส่วนนั้นชาและเป็นอัมพาตได้ ดังนั้นจึงต้องระวังให้มากๆ การทำครั้งนี้เลยใช้เวลานานพอสมควร

“พกติดตัวไว้”

ผ่านไปสักพัก ยายก็ยื่นขวดใสเล็กรูปทรงกระบอกมาให้ ภายในบรรจุน้ำสีดำเข้มของดอกชาร์ล่าเอาไว้ ยังไม่ทันได้เอื้อมไปหยิบ ไอลีนก็ฉวยดึงเอาจากยายไปเสียก่อน

“แบบนี้คงทำหล่นหายแน่ ข้าเลยถักที่ใส่ไว้ให้ และใส่เป็นสร้อยคอไว้” ไอลีนจับหลอดที่ยายให้มาหยิบใส่เชือกถักเหมือนปลอกสวม แล้วคล้องใส่ที่คอเขาไว้ เหมือนสร้อยคอ

“ขอบใจเจ้ามากไอลีน  ขอบคุณมากนะครับยาย” อลันขอบคุณผู้เป็นน้อง ที่นั่งถักสร้อยคอให้ และหันไปสวมกอดยาย

“ข้าขอโทษที่ดื้อไม่ฟังยาย” อลันซุกหน้าซบเข้าที่อกผู้เป็นยายอย่างรู้สึกผิด รู้ว่ายายกับน้องเป็นห่วงแค่ไหน

“เอาเถอะ รออีกหน่อยก็ไม่เป็นไร” ยายตบหลังปลอบอย่างจำนน ทำให้อลันคลี่ยิ้มออกมาราวกับโล่งอก อลันไม่อยากเห็นแก่ตัวที่ทิ้งลุงชาร์ลให้ลำบาก แต่ต้องยอมแลกกับความปลอดภัยของน้องและยาย ซึ่งทำให้อลันเครียดหนัก  ไม่รู้จะเลือกทางไหน อลันอยากให้พวกเราทั้งหมดได้ไปจากที่พร้อมกัน โดยไม่มีเรื่องบาดหมางกัน

“แล้วของยายกับไอลีนหล่ะ” ถามด้วยความสงสัย เพราะเห็นมีแค่เขาคนเดียวที่ได้ น้ำของดอกชาร์ล่าก็ยังเหลืออยู่

“ข้ากับยายทำให้พี่อลันก่อน ส่วนที่เหลือพี่อลันไม่ต้องห่วง ข้ากำลังถักที่ใส่อยู่” ไอลีนบอกให้หายข้องใจ อลันจึงหายกังวล ก่อนจะเข้าไปในห้องตัวเองแล้วเก็บเสื้อผ้าเตรียมเดินทางเอาไว้เช่นกัน บางทีการเตรียมไว้ล่วงหน้าก็ดีเผื่อมีเหตุไม่คาดคิด จะได้ไปจากที่นี่ได้ทันที



สองวันก่อนจะย้ายไปในเมือง 



ฟาร์มแกะของลุงชาร์ลเต็มไปด้วยคนงานหนุ่มสี่ห้าคน ที่แบกหญ้าก้อนใหญ่ขึ้นรถม้าเพื่อเข้าในเมือง หนึ่งในนั้นก็มีเจฟ์ฟและจอร์ฟฟี่ ที่พอรู้ว่าเขาจะอยู่ต่ออีกวันก็โมโหลุงชาร์ลไม่น้อยที่บังคับให้อยู่ต่อ ซึ่งอลันก็ได้แต่บอกว่าไม่เป็นไร เมื่อคืนก็มีพวกปีศาจมาเดินเพ่นพ่านเช่นเคย ทำเอายายและไอลีนอกสั่นขวัญผวาไม่หยุด ได้แต่บอกให้เขารีบไปจากที่นี่สักที และกำชับถามถึงสร้อยคอตลอดเวลากลัวว่าเขาจะลืมใส่

“ต่อไปเราคงไม่ได้มาทำแบบนี้แล้วสินะ”

อลันเหม่อมองฝูงแกะสีขาวตรงเนินทุ่งหญ้า เจ้าแกะอ้วนนับร้อยตัวรีบเล็มกินหญ้าอย่างขะมักเขม้นเหมือนรู้ว่าพวกมันจะไม่ได้กินแบบนี้อีก อลันนั่งเคียงข้างสุนัขคู่ใจตัวเองไม่ห่างจากฝูงแกะ คอยมอง คอยสอดส่องดูพวกมันตลอดเวลา อลันรับจ้างเป็นเด็กเลี้ยงแกะก็หลายปี ไม่แปลกที่จะรู้สึกวูบโหวงใจหายในอก เมื่อคิดว่าต่อไปคงไม่ได้เลี้ยงเจ้าพวกนี้อีกต่อไป

เขาต้องไปเริ่มต้นใหม่

เริ่มในที่แปลกถิ่น ไม่รู้ว่ามันจะลำบากมากแค่ไหน มันจะสบายเหมือนเลี้ยงแกะแบบนี้ไหม เขาจะสามารถเลี้ยงยายกับน้องให้ดีได้หรือเปล่า จะเจอคนเอาเปรียบ คนไม่ดีเหมือนตอนนั้นไหมคำถามมากมายจนทำให้คิ้วเรียวขมวดเป็นปม และจมอยู่ในความคิดราวกับมันหนักหนาสาหัสเอาการ ทั้งที่ยังไม่ไปถึงที่นั่นด้วยซ้ำ อาการจมอยู่ในความคิดของอลัน ทำให้อลันไม่ทันสังเกตเห็นเจ้าแกะตัวหนึ่งที่ได้เดินผลัดฝูง ตรงไปยังเขตต้องห้ามเสียแล้ว

ตาเจ้าแกะตัวนั้นลอยค้างเหมือนต้องมนต์ สี่เท้าของมันเดินอย่างเชื่องช้าตรงไปยังเขตอันน่ากลัวที่แม้แต่เพื่อนฝูงของมันก็ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้ ในป่าทึบสีมะมึนน่ากลัว มีกลุ่มต้นไม้เคลื่อนไหวไปมาภายใน แต่ก็ไม่ทำให้เจ้าแกะน้อยหลงฝูงหวาดกลัว กลับเดินตรงไปเรื่อยๆ ราวกับมีบางอย่างหลอกล่อมันเข้าไป

“โฮ่งๆๆ!!”

เสียงดอร์กี้เห่าเสียงดังลั่น เรียกสติอลันให้กลับออกมา พร้อมกับหันไปมองสุนัขตัวเองที่หันไปมองบางอย่าง นั้นทำให้อลันตาเบิกกว้างใจหล่นวูบไปที่เท้า เมื่อเห็นแกะหนึ่งตัวกำลังเดินเข้าไปในเขตต้องห้าม อลันพาสองเท้าของตัวเองรีบวิ่งไปหาเจ้าแกะตัวนั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ไม่ๆๆ!” ขณะวิ่งไปอลันก็ร้องไปตลอดทาง อลันยังไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้  อีกไม่กี่วันเขาก็จะไปจากที่นี่แล้ว

“อย่าเข้าไป!”

แต่เจ้าแกะตัวนั้นเหมือนไม่ได้ยินเสียงเรียกของคนเลี้ยงอย่างอลัน มันเดินเข้าไปเขตพื้นดินที่กลายเป็นสีดำ อลันเร่งวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อไปให้ทัน แต่สุดท้ายอลันก็มาไม่ทันเมื่อแกะตัวนั้นเดินหายเข้าไปในป่าทึบอันน่ากลัว ของเขตต้องห้ามเสียแล้ว

อลันได้แต่ร้องตะโกนลั่นพร้อมกับทรุดลงพื้น

“ม่ายยยยยยย”




:hao6: :hao7:











ออฟไลน์ 10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ตอนที่ 7

My Precious


“ไม่ๆๆ”

อลันนั่งพร่ำราวกับคนสติหลุดมองแกะตัวนั้นเดินหายเข้าไปในเขตต้องห้ามต่อหน้าต่อตา ดวงตาของอลันแดงก่ำด้วยความกลัวสุดขีด อลันไม่คาดคิดว่าแกะมันจะเดินเข้าไปในนั้นได้ ปกติมันไม่แม้แต่จะเดินเข้าไปใกล้ด้วยซ้ำ

ทำไม

มันเกิดขึ้นได้ไง

ยกมือกุมศีรษะตัวเองราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย พลางลุกขึ้นยืนแล้วบีบมือที่สั่นเดินวนไปมาอย่างหนูติดจั่น การที่แกะหายไปหนึ่งตัว มันอาจทำให้ลุงชาร์ลโกรธจัดและให้เขาชดใช้แทนแกะตัวนั้นอย่างแน่นอน ซึ่งอลันไม่มีทางยอมเอาเงินที่ตัวเองเก็บมาตลอดชีวิตมาเสียให้เพราะแกะตัวเดียว อลันจึงคิดสั้นตัดสินใจจะเดินเข้าไป

“โฮ่ง!”

แต่ดอร์กี้ก็เห่าเหมือนห้าม ทำให้อลันชะงักแล้วเดินถอยกลับมาอย่างลังเล ทั้งที่ตัวของมันก็ถอยห่างออกไปไม่กล้าเข้าใกล้เขตต้องห้ามเลยสักนิด มันกลัว อลันรู้ เขาก็กลัวไม่ต่างจากมัน แต่ทำไงได้ ลุงชาร์ลไม่ปล่อยเขาไว้แน่

หนทางเดียวคือ ต้องตามเอาแกะคืน

เป็นความคิดที่สิ้นคิดและโง่เง่ามากที่ตัดสินใจแบบนั้น แต่อลันไม่มีทางเลือก เขาผิดเองที่ใจลอยมัวแต่นั่งคิดเรื่องอนาคต ไม่สนใจแกะจนทำให้มันเดินเข้าไปในนั้น ถ้าไม่ได้ดอร์กี้เห่าบอก อลันคงไม่มีทางรู้แน่ ว่าแกะกำลังจะหายไป

หมับ!

อลันกุมสร้อยคอตัวเองด้วยมือที่สั่นเมื่อกำลังตัดสินใจ พลางมองฝูงแกะเบื้องหลังที่ไม่รู้เพื่อนของมันได้เข้าไปในเขตน่ากลัวนั้นแล้ว และไม่รู้ตอนนี้มันจะเป็นตายร้ายดียังไง แต่ที่รู้ๆอลันได้ตายก่อนแกะตัวนั้นแน่ถ้าลุงชาร์ลรู้ว่าแกะตัวเองหายไป ตอนนี้ก็บ่ายคล้อย อลันมีเวลาเหลืออีกสามชั่วโมงที่จะพาแกะกลับมา อย่างน้อยได้เก็บซากมาให้ลุงชาร์ลเห็นก็ยังดี จะได้อ้างเหตุผลที่ฟังขึ้น

“ไม่ต้องกลัวๆ” อลันพูดปลอบตัวเอง พร้อมกับมองผืนป่าตรงหน้าที่มืดครึ้มน่ากลัว แค่เห็นแค่นั้นขาของเขาก็พลันสั่น

หรือจะปล่อยแล้วหนีไป

ความคิดของคนขี้ขลาดผุดฉุดรั้งให้อลันเกิดความลังเลขึ้นมา พลางมองสลับกับเจ้าฝูงแกะและเขตต้องห้ามที่อยู่ตรงหน้า ถ้าเกิดอลันหนีไปตอนนี้ ลุงชาร์ลคงไม่หยุดตามหาเขาแน่ๆ ต่อให้ อลันไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ดีกว่าที่จะต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงเข้าไปในเขตต้องห้าม ที่รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นเขตของพวกปีศาจ

บางที่เข้าไปแล้วอาจไม่ได้ออกมาเลยก็ได้

“นั่นสิๆ” อลันครางงึมงำในลำคอเห็นด้วยกับความคิดนี้ของตัวเอง เขาต้องห่วงตัวเองเอาไว้ก่อน แกะตัวนั้นมันเป็นแค่สัตว์เลี้ยงเท่านั้น ตอนนี้มันอาจจะโดนปีศาจในนั้นฆ่าตายไปแล้วก็ได้ และมันคงไม่ผิดอะไรที่ตอนนี้เขาจะเริ่มเห็นแก่ตัวขึ้นมา

แบ๋ะ~

ขวับ!

แต่เสียงของแกะที่อลันเลือกที่จะทิ้งมันกลับร้องดังขึ้นมาในเขตต้องห้าม และมันยังร้องอยู่อย่างนั้นเหมือนกำลังหลงทาง ทำให้เขาหันขวับไปมองตามเสียงด้วยความดีใจ

มันยังไม่ตาย

แบ๋ะ~

เสียงร้องดังขึ้นอีกครั้ง และดูเหมือนจะไม่ไกลจากที่เขายืนอยู่ด้วย อลันเริ่มอยู่ไม่สุขว่าจะทำอย่างไรดี ตอนแรกจะคิดหนีเอาตัวรอด แล้วหนีไป แต่ตอนนี้พอรู้ว่าเจ้าแกะที่หลงเข้าไปมันยังไม่ตาย มันเหมือนสร้างความหวังให้เขาอีกครั้ง อลันจึงก้มมองสร้อยที่คอตัวเองพลางคิดหนัก อย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้น สิ่งนี้คงช่วยให้เขาหนีรอดจากปีศาจได้ เขาจะได้เอาแกะไปคืนและไปจากที่นี่เสียที ก่อนตัดสินใจครั้งสุดท้าย

เขาจะไปช่วยแกะตัวนั้น

“รอหน่อยเจ้าแกะ” อลันเอ่ยบอก แล้วหลับตาเรียกความกล้าบ้าบิ่นของตัวที่คิดจะเข้าไปในที่อันตราย จากนั้นก็เดินเข้าไปตามรอยที่แกะเดินไป แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเสียงเห่าของของดอร์กี้ก็ร้องห้ามอีกครั้ง จนเขาต้องหันกลับไปหามันที่ยืนรออยู่ราวกับเป็นห่วง

“โฮ่ง!”

“ถ้าข้าออกมาไม่ได้ เจ้าต้องพาข้าออกมารู้ไหม” พูดเหมือนให้กำลังใจตัวเองไปด้วย ไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจหรือเปล่า คำที่ยายเล่าให้ฟังยังติดตรึงในหัว ยายบอกว่าในป่านี้มันเหมือนเขาวงกต ที่ใครเข้าไปแล้วก็หลงวนอยู่ในนั้นหาทางออกไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว ต้องรีบพาเจ้าแกะกลับออกมา

เขาต้องทำได้

อลันจึงหันกลับไปทางเดิมพร้อมกับเดินเข้าไปในนั้น ทุกย่างก้าวเหมือนมีหินหนักถ่วงขาสองข้างเอาไว้ จากผืนหญ้าสีเขียวชุ่มค่อยๆกลายเป็นสีดำหม่นเทา มือสั่นของอลันกุมสร้อยคอตัวเองแน่น ส่วนอีกข้างก็จับไม้ต้อนแกะราวกับมันเป็นอาวุธป้องกันตัว ลมหายใจของอลันถี่ชั้นขึ้นเรื่อยๆทั้งตื่นเต้นและประหม่ากลัว

เข้ามาแล้ว

เขาเข้ามาในเขตต้องห้ามแล้ว!

แกร๊บ

เฮือก!

เพียงแค่เหยียบผืนหญ้าฝั่งเขตนั้น พลันให้อลันสะดุ้งสุดตัวแทบจะหันหลังวิ่งหนีกลับออกไปทั้งที่เดินข้ามเข้ามาไม่กี่ก้าวก็ตาม อลันกลั้นใจก้มมองเท้าตัวเองที่เหยียบไป ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อมันเป็นแค่กิ่งไม้เท่านั้น ไม่วายสบถด่าตัวเองในใจที่ขี้ขลาดขี้กลัวขนาดนี้

“ไม่มีอะไรๆ”

ได้แต่ปลอบตัวเอง แล้วรีบเดินเข้าไปข้างในอีกครั้ง

ความมืดเริ่มปกคลุมเมื่อเดินเข้ามา ราวกับเป็นเวลากลางคืน ตาสองเริ่มปรับแสงตาม มองรอบๆอย่างระแวดระวัง รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้เก่าแก่โบราณที่อลันไม่เคยพบเห็น ลำต้นมันใหญ่แผ่กิ่งก้านแทบจะปกคลุมผืนป่าจนทำให้แสงไม่สามารถแทรกผ่านเข้ามาได้ รากของมันแผ่ขยายทับซ้อนกันขยายอาณาเขตเป็นวงกว้างใหญ่ ทั้งซับซ้อน บิดเบี้ยวรูปร่างแปลกตา

 ในป่านี้มันน่ากลัวกว่าที่อลันจินตนาการเอาไว้เสียอีก แค่เดินเข้ามา ก็เหมือนมีบางอย่างจับจ้องการเคลื่อนไหวของเขาตลอดเวลา อลันหันหลังกลับไปก็เห็นแสงสว่างทางที่ตัวเองเดินเข้ามาเริ่มรีบรี่ลงเรื่อยๆ และเกิดความลังเลว่าจะก้าวต่อไปดีไหม

ช่างใจอยู่นานแต่สุดท้ายอลันก็ทำใจสู้หันกลับไปเดินหน้าต่อ พอหันหลังกลับ เส้นทางเหล่านั้นก็หายไป แสงสว่างสุดท้ายที่อลันเห็นก็พลันหายจากสายตาไป แทนที่ด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่ไม่รู้มาอยู่ตั้งแต่ตอนไหน ยิ่งทำให้อลันตื่นตระหนกกลังลนลานขึ้นทันที

“ฮึก” ตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองอยากร้องไห้มากแค่ไหน ที่เห็นทางออกสุดท้ายของตัวเองหายไป พอวิ่งกลับไปทางเก่า ก็หาไม่เจอแล้ว เส้นทางที่มามันเปลี่ยนไป จนอลันสับสน

เขาหลงทาง

หลงในวงกตของป่าต้องห้ามนี้แล้ว

“ทำไงดี” เสียงของอลันสั่นเทาด้วยความกลัว น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ เมื่อรู้ว่าตัวเองคิดผิด และใจไม่กล้าพอที่จะเดินหน้าต่อแล้ว ได้แต่เงยมองต้นไม้ที่แปลกตารอบตัวที่มีสีดำคล้ำ บางต้นก็เป็นสีน้ำตาลเหมือนสีต้นไม้ปกติ แต่บางส่วนลำต้นมันก็มีรอบเปื้อนสีดำเป็นหย่อมๆเหมือนกำลังกัดกินให้มันเป็นสีดำคล้ำเหมือนต้นอื่น

ไม่น่าเข้ามาเลย

อลันย่อตัวนั่งลงที่พื้นกำสร้อยคอแน่น มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้น่ากลัว เสียงกิ่งก้านลำต้นมันบดเบียดเกิดเสียงแปลกๆดังไม่หยุด เหมือนพวกมันกำลังคุยกัน  พลอยทำให้อลันเริ่มสติแตกกอดตัวเองแน่น

แบ๋ะ~

“เจ้าแกะ!”

เสียงแกะทำให้อลันผงกศีรษะขึ้นฉับพลัน หันมองรอบๆเพื่อหาต้นเสียงที่มา มันอยู่ถัดไปไม่ไกลจากที่เขานั่งอยู่ แต่อลันมองไม่ชัดเมื่อมีพุ่มไม้ต้นไม้บดบัง มองเห็นแค่ขนขาวๆของมันตัดกับความมืดรอบตัวเท่านั้น อลันไม่รอช้ารีบวิ่งไปหาเจ้าแกะนั่นอย่างรวดเร็ว อีกนิดเดียวก็จะถึง อลันก้มตัวลอดผ่านลำต้นไม้ที่ล้มขวางทางอยู่ พอลอดผ่านแล้งเงยหน้าขึ้นมอง เจ้าแกะก็หายตัวไปอีกแล้ว

มันหายไปไหน

อลันเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี รู้สึกแปลกๆกับป่านี้ อลันมั่นใจว่าตัวเองเห็นแกะตัวนั้นจริงๆ ถ้ามันรู้ว่าเป็นเขา มันไม่มีทางวิ่งหนีแน่  พลอยให้เผลอคิดว่ามันอาจจะเป็นภาพลวงที่พวกปีศาจมันล่อลวงเขามาที่นี่  คิดได้ดังนั้นอลันก็เตรียมวิ่งหันหลังกลับ

จ๋อม

สองเท้าที่เตรียมวิ่งก้าวเหยียบบ่อโคลนตมตรงหน้า จนอลันต้องชักเท้าขึ้นอย่างรวดเร็ว พอมองรอบๆตัวเองอีกครั้ง ที่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปจากเดิม พื้นดินเต็มไปด้วยบ่อโคลนตมเป็นหย่อมๆ อลันเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจกับป่าตรงนี้ มันมีน้ำในโคลน แต่ทำไมต้นไม้พวกนี้ถึงยืนต้นตายและแห้งเหี่ยวไร้ชีวิตแบบนี้

พรึบ!

กา กา กา

เฮือก!

อลันสะดุ้งพลันเมื่อต้นไม้รอบตัวเคลื่อนไหว พร้อมกับอีกานับร้อยตัวแตกหือบินว่อนทั่วผืนป่า และที่สำคัญมันบินวนรอบศีรษะเขาด้วย ตัวอลันสั่นเทิ้ม หวาดกลัวเสียงกรีดร้องของอีกาที่ดังบาดหู สัญญาณอันตรายทำให้อลันกำสร้อยคอแน่นแล้วก้าวถอยหลัง จากนั้นก็หันหลังออกตัววิ่งอย่างไม่คิดชีวิต

สวบ สาบ

แฮ่กๆ

สองขาวิ่งพร้อมกับลมหายใจหนัก วิ่งฝ่าพุ่มไม้ที่ขึ้นรกชันและโคลนตมที่ดูเหมือนจะขยายพื้นที่จนน่าตกใจ ตอนเดินเข้ามามันยังไม่เยอะขนาดนี้ด้วยซ้ำ ไหนจะกิ่งก้านตามพุ่มไม้เหมือนยื่นมาขัดขวางจนบาดผิวจนเลือดซิบ อลันเจ็บแสบตามเนื้อผิว สองขาเต็มไปด้วยโคลนยิ่งวิ่งลำบาก  แต่ก็กลั้นใจวิ่งไปเรื่อยๆไร้ทิศทาง ดูแล้วเหมือนวิ่งอยู่กลับที แต่อลันไม่สนใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นด้านบนก็เห็นฝูงอีกกามันบินตามมา ยิ่งทำให้อลันหวาดกลัวหนักขึ้น

ปึก!

“โอ้ย” อลันร้องเสียงหลงพร้อมกับร่างตัวเองล้มลงที่บ่อโคลน หลังสะดุดอะไรบางอย่างตอนวิ่งมา ดีที่เขาไม่ได้เอาหน้าลงทั้งหมด แค่ครึ่งตัวตั้งแต่ใบหน้าถึงสะโพกเท่านั้นที่เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน อลันรีบลุกขึ้นหลับตาแล้วเอามือปาดโคลนที่ใบหน้าซีกหนึ่งของตัวเองออก ก่อนจะกระพริบตาไปมา เพื่อให้รู้ว่าโคลนไม่เข้าไปในนั้น อลันรู้สึกแสบบริเวณคอเลยจึงเอื้อมมือไปจับดูก็พบว่าสร้อยคอที่ตัวเองสวมใส่หายไป

“มะ ไม่นะ” อลันตาเบิกกว้างร้อนใจ รีบลุกขึ้นมองรอบๆตัวเอง ว่าทำตกแถวไหน มันอาจะเป็นตอนที่อลันวิ่งมาแล้วกิ่งไม้พวกนั้นเกี่ยวเอาสร้อยแล้วกระชากไป หรือไม่ก็ตอนที่เขาล้มลงเมื่อครู่นี้

กา กา กา!

 “ฮึก” อีกาพวกมันนั้นก็ยังบินตามอยู่เหนือศีรษะอย่างไม่ลดละ ราวกับบอกสัญญาณบางอย่างให้ใครอีกคน อลันแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว รีบล้มลงคลานมองหาสร้อยคอตัวเองที่พื้นไปมา จนกระทั่งเห็นสร้อยตัวเองห้อยอยู่ที่กิ่งไม้

“เจอแล้ว” รอยยิ้มผุดขึ้นใบหน้าที่เปื้อนโคลน พร้อมกับวิ่งไปเอาอย่างดีใจ การที่มีสร้อยเส้นนี้อยู่อลันก็อุ่นใจมากทีเดียว ถ้าเกิดมันหายไป เขาคงไม่อาจหนีจากพวกปีศาจได้แน่ๆ ว่าแล้วก็จะหยิบสวมใส่ แต่ดูที่สร้อยก็พบว่ามันขาด

“ขาดซะแล้ว” มองสร้อยด้วยความเสียดายที่ขาดไป แต่อลันก็คิดในทางที่ดี อย่างน้อยมันก็ไม่ได้หายไป เมื่อได้สร้อยตัวเองแล้ว อลันก็เตรียมจะวิ่งหาทางหนี แต่จู่ๆบรรยากาศรอบตัวก็พลันเย็นละเยือก กลิ่นไอบางอย่างที่อึดอัดน่ากลัวเริ่มแผ่ขยายออกมาทั่วบริเวณ อลันกลั้นหายใจไปครู่หนึ่ง รู้สึกเสียวสันหลังเหมือนมีบางอย่างกำลังเข้ามาทางด้านหลัง

สวบ สาบ

เสียงการเคลื่อนไหวอย่างเนิบช้ากำลังเดินตรงเข้ามา ร่างของอลันแข็งเกร็งขึ้นอย่างอัตโนมัติ เสียงอีกายิ่งร้องดังสนั่นไปทั่วผืนฟ้าทำให้อลันหวาดหวั่นกับสิ่งที่กำลังเผชิญ จะขยับเท้าหนีก็ทำไม่ได้เหมือนถูกตรึงไว้กับที่

เหมือนในความฝันนั้น

อลันค่อยๆหันไปมองข้างหลังอย่างช้าๆ เสียงแหวกของพุ่มไม้กิ่งไม้แถวนั้นช่างเสียดหูน่าสะพรึง ก่อนจะปรากฏร่างหนึ่งในชุดคลุมสีดำสนิทที่มาพร้อมกับกลิ่นไอความน่ากลัวสีดำที่แผ่ขยายรอบตัวให้ร่างอลันสั่นผวาทรุดตัวล้มลง

พะ พวกปีศาจ

ลมหายใจขาดห้วงฉับพลัน ไม่นับรวมก้อนเนื้อที่อยู่ข้างในที่เต้นระรัว เส้นขนอ่อนตามร่างกายชี้ตั้งเหมือนตัวเม่น เหงื่อกาฬไหลซึมผ่านวงใบหน้าที่ซีดเผือด มือสองข้างก็เย็บเฉียบจนเกือบชาไม่รู้สึก เมื่อเผชิญกับบางสิ่งตรงหน้า ร่างอลันที่อยู่บนพื้นดินถึงกับถดกายหนีชิดต้นไม้สูงใหญ่อย่างหวาดกลัว

กลิ่นอายความเยือกเย็นและความน่ากลัวแผ่ออกมาจากผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่ ที่ถูกสวมคลุมทับด้วยร่างกายที่สูงใหญ่เกือบสองเมตร ภายใต้ผ้าคลุมนั้นกลับมีแต่ความมืดที่ไม่สามารถเห็นใบหน้านั้นได้ ความอึดอัดบีบรัดในอกที่แผ่กระจายทำให้อลันเริ่มหายใจได้น้อยลงเหมือนถูกลิดรอนอากาศ

“มนุษย์”

เสียงทุ้มต่ำแหบน่าสะพรึงเอ่ยออกมาจากใต้ผ้าคลุมนั้น พร้อมเคลื่อนกายใหญ่สืบเท้าเข้ามาใกล้ อลันสังเกตฝ่าเท้าที่กำลังก้าวมาหาตน เพียงแค่เหยียบย่ำ พื้นหญ้าตรงนั้นก็เหี่ยวเฉาแห้งตายกลายเป็นสีดำ เพิ่มความกลัวให้อีกคนแทบลืมหายใจ

ตาสีน้ำตาลอ่อนกระตุกสั่นไหว ลุกลิกกรอกตามองรอบๆ อย่างหาหนทางหนี รอบๆ ตัวก็ปกคลุมไปด้วยต้นไม้แปลกประหลาดสูงใหญ่ เหมือนพวกมันมีชีวิต เพียงแค่อลันขยับตัวจะลุกวิ่งหนี ร่างกายเขาก็ถูกพันธนาการด้วยรากไม้ที่พุ่งโอบรัดตัวแน่นจนขยับเขยื้อนไม่ได้

“ฮึก” อลันปล่อยน้ำตาไหลพรากด้วยความกลัวจับใจ เมื่อร่างกายถูกยกลอยขึ้นไปหาสิ่งที่ตนกำลังหนีสุดชีวิต

มือยาวโผล่พ้นออกมาจากผ้าคลุมสีดำสนิท มือนั้นขาวซีดจนน่ากลัว ตามผิวขาวซี มีลายพาดเหมือนเส้นเลือดสีดำ แต่ก็เหมือนสัญลักษณ์หรืออักขระบางอย่างรอบทั้งมือและแขนนั้นที่กำลังยื่นมาหาทางอลันที่ร้องไห้สั่นเทิ้มกลัวอย่างหนัก เล็บแหลมสีดำที่อยู่ปลายนิ้ว ตวัดชี้ไปจ่อปลายคางของอลันจนเลือดไหลซึมตามเล็บยาว

“อ่า เลือดมนุษย์”

“ปล่อยข้านะ!”ความเจ็บจากปลายเล็บที่กรีดลึกปลายครางทำให้อลันดิ้นขัดขืน ก่อนจะตาเบิกกว้างตกใจเมื่อเลือดที่หยดไหลออกมาซึมเอาเนื้ออีกฝ่ายราวกับดูดกลืน ไม่ใช่แค่อลันที่ตกใจเจ้าของนิ้วมืออันน่าสะพรึงพลันชะงักเช่นกัน

พรึบ

จากนั้นกายใหญ่ที่อลันคิดว่าเป็นปีศาจก็ทำบางอย่างกับรอบๆตัวจนมันมืดครึ้มไปทั่วทั้งผืนป่า สิ่งที่อยู่ภายในผ้าคลุมกลับยื่นหน้ามาใกล้ แต่อลันก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของมันได้ เขาทำได้แค่กำสร้อยของตัวเองแน่นด้วยความกลัวขนับจิต พยายามดิ้นให้หลุดจากรากไม้พวกนี้ แต่เหมือนฟ้าจะเป็นใจ เมื่อมือที่กำสร้อยอยู่ รากไม้พวกนั้นไม่ได้รัดไว้แน่น

ฟืดฟาด

เสียงลมหายใจเย็นสะท้านที่โน้มมาสูดดมทำให้อลันเอียงคอหนีหลบอย่างหวาดกลัว จะดิ้นหนีก็ทำไม่ได้ เลยปล่อยน้ำตาไหลอาบเปรอเปื้อนใบหน้าที่มีโคลนครึ่งซีก แล้วร้องอ้อนวอนปีศาจตรงหน้าให้เห็นใจ

“ฮึก ยะ อย่าทำอะไรข้าเลย ได้โปรด”

“หึหึ”

กึด

“อ้ากก” อลันกรีดร้องลั่นตาเบิกกว้าง พร้อมดิ้นพล่านทุรนทุราย เมื่อปีศาจกัดเข้าที่ลำคอเรียวอย่างแรงจนเลือดไหลอาบ ความเจ็บปวดมากมายทำให้อลันร้องไห้อย่างหนัก

 “เป็นเจ้าเองสินะ” ปีศาจมันผละออกแล้วเอ่ยอย่างแปลกใจแกมยินดี  มันมองคอของเขาที่เลือดไหลอาบเป็นสีม่วงอำพันเรืองรองท่ามกลางความมืดรอบตัว

“ฮือ ข้าเจ็บ อย่าทำข้าเลย” อลันไม่เคยพบเจอความเจ็บปวดแบบนี้มาก่อน ได้แต่อ้อนวอนต่อปีศาจตรงหน้าอย่างน่าสงสาร ไม่ได้รับรู้อันตรายที่กำลังจะเกิดจากตัวเองเลยสักนิด หรือแม้แต่ความลับที่พยายามปกปิด ตอนนี้กับเปิดเผยต่อสิ่งที่อลันควรหนีไปให้ไกลที่สุด

"เลือดเจ้า เป็นสิ่งที่ข้าถวิลหามาช้านาน” เสียงแหบพร่าเอ่ยบอกอยากกระหายจนอลันสั่นผวารุนแรง

“และข้ากำลังจะได้มันกลับคืน”




พวกเขาเจอกันแล้ววว

บางทีก็เบาๆกับนุ้งอลันหน่อยน้า น้องกลัววววว

ภาษาอาจไม่ดีรื่นหู อย่าว่ากันน้า 555

ตอนหน้าน้องจะเป็นไง รออ่านได้


 :hao5: :hao7: :katai4:













ออฟไลน์ 10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ตอนที่ 8

Run!!






“และข้ากำลังจะได้มันกลับคืน”

เสียงเริ่มดูเย็นยะเยือกน่าสะพรึงขึ้นทวีคูน พร้อมกับหลังมือของปีศาจลูบไล้ที่ใบหน้าไร้โคลนของเขา ตาสองข้างอลันเบิกว้างเมื่อได้ยินที่ปีศาจเอ่ยบอก อลันได้แต่ส่ายหน้าไปมาเมื่อไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพร่ำ

“มะ ไม่ ปล่อยข้านะ” อลันเริ่มดิ้นรนหนีอีกครั้ง ความเจ็บที่ซอกคอยังย้ำเตือนให้อลันรู้ว่าความตายใกล้เข้ามาหาตนทุกที

“ใยข้าต้องปล่อยเจ้าไป” มือนั้นยังลูบไล้ไปมาจนอลันสะท้านกลัวไปทุกสรรพส่วน

 “ขะ ข้าไม่ใช่สิ่งที่ท่านตามหา” อลันละล่ำละลักบอกทั้งน้ำตา ยังร้องขอชีวิตจากปีศาจตรงหน้า พร้อมเบี่ยงใบหน้าหนีจากสัมผัสอันน่าสะพรึงนั้น

“เจ้าช่างไม่รู้อะไร” เอ่ยหยอกล้อยามเห็นสีหน้าหวาดหวั่นจากคนตรงหน้า ปีศาจมันใช้ลิ้นยาวตวัดเลียหยดเลือดที่ไหลซึมออกมาอย่างช้าๆ

“อึก” ส่วนคนที่โดนกระทำได้แต่หลับตากลั้นความกลัวจนตัวสั่น

“ยามได้ดื่มด่ำเลือดเจ้า ข้ารู้สึกแข็งแกร่งขึ้น”  อลันรับรู้มวลพลังงานบางอย่างรอบตัวที่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ต่างจากตัวเองที่เริ่มหมดเรี่ยวแรงขึ้นมา

“เลือดเจ้าช่างแสนวิเศษ” มือหยาบกร้านเย็นเฉียบตะปบเข้าที่ใบหน้าของอลันอย่างถนอมพึงพอใจ แต่แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น มือที่ตะปบอยู่กลับเพิ่มแรงกดที่ใบหน้า จนอลันรวดร้าวเจ็บปวด

“แต่เลือดนั่นก็เกิดจากสิ่งล้ำค่าของข้าที่หายไป!” ความโกรธเกรี้ยวจากปีศาจตรงหน้าทำให้รอบข้างปกคลุมด้วยหมอกควันสีดำที่มันสัมผัสบนกายผิวของเขาแล้วรู้สึกเย็นละเยือกราวกับน้ำแข็ง

“ฮือออ” อลันร่ำไห้ส่ายหน้าไปมาแทบขาดใจ  คิดว่าตัวเองคงไม่รอดจากเงื้อมมือปีศาจตรงหน้านี้แล้ว พลันในใจก็หวนนึกถึงยายกับน้องสาวที่ตอนนี้ไม่รู้ชะตากรรมเป็นอย่างไร จะโดนลุงชาร์ลทำร้ายหรือไม่ หรือกำลังตามหาเขาที่หายไป

พอคิดแบบนั้นแล้วอลันก็รู้ว่าตัวเองแสนโง่งมนัก ที่เลือกรักษาคำพูดตัวเองมากกว่าครอบครัว จนต้องมาเจอปีศาจร้ายตรงหน้า และอาจจบชีวิตลงภายในเขตต้องห้ามนี้

ไม่มีโอกาสเห็นหน้า

ไม่มีโอกาสได้ล่ำลา

ไม่มีโอกาสได้เริ่มต้นใหม่

เมื่อรู้ชะตาที่ตัวเองใกล้ตาย นึกอยากจะย้อนไปขอแก้ตัวใหม่ จะนึกถึงครอบครัวตัวเองเป็นที่หนึ่ง จะเชื่อฟังคำยายทุกอย่าง จะไม่ทำตามใจตัวเองแบบนี้

ยาย อลันขอโทษ

กล่าวขอโทษในใจพร้อมกับน้ำตาไหลพราก พร้อมกับสบมองภายใต้หน้าคลุมที่แสนมืดมิดของปีศาจตรงหน้าอย่างจำยอม พร้อมที่จะให้อีกฝ่ายปลิดชีวิต  ราวกับรู้ในแววตาของอีกคนสื่อความอย่างไร ปีศาจจึงเอ่ยขึ้นมา

“ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”

!!

“ทะ ทำไม หรือท่านจะทรมานข้าจนกว่าจะตาย”  ตาสองข้างที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาแห่งความสิ้นหวัง พลันเบิกตากว้างตกใจหลังได้ยิน และหวาดกลัวกับสิ่งที่ตัวเองคิดว่าปีศาจไม่เลือกที่จะฆ่า แต่จะทรมานตนแทน ปีศาจมันบอกว่าเลือดเขาทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นมันคงจะดื่มเลือดเขาและให้ค่อยๆทรมานตายอย่างช้าๆอย่างแน่นอน

“หึหึ” ไม่ตอบให้หายข้องใจ ปีศาจกลับเลือกที่จะหัวเราะชวนขนหัวลุกในลำคอแทน  เป็นอลันที่หวาดหวั่นและเริ่มดิ้นรน การทรมานเป็นสิ่งที่เจ็บเจียนตายกว่าจะหมดลมหายใจ อลันไม่อยากโดนทรมานแบบนั้น

มือที่กำขวดแก้วที่บรรจุด้วยยาพิษเอาไว้แน่น พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของพวกไม้เลื้อยที่พันรอบตัว จากที่สิ้นหวังคิดว่าปีศาจคงกระชากวิญญาณไป แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไม่เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อปีศาจไม่ลงมือ อลันที่ขลาดกลัวต่อความเจ็บปวดที่จะโดนพวกปีศาจทรมานจนตาย จึงฮึดดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดอีกครั้ง

“ข้าจะพาเจ้ากลับปราสาทข้า” ปีศาจตรงหน้าเอ่ยบอก แต่เหมือนคำสั่งเสียมากกว่า อลันชะงักไปชั่วครู่ด้วยความตกใจฉงนสงสัย ทำไมต้องพาเขากลับปราสาทของพวกมันด้วย

ระ หรือเอาไปทรมาน

!!

ไม่เสียเวลาให้ทวนความคิดซ้ำ เมื่อทุกอย่างพลันให้คิดแบบนั้น และโชคก็เข้าข้างเขา เมื่อปีศาจมันบอกว่าจะพาเขากลับปราสาท ไม้เรื้อยที่พันธนาการโอบรัดตัว ก็คลายตัวออกช้าๆเป็นสัญญาณให้ อลันรับรู้ว่าตัวเองควรใช้จังหวะนี้เพื่อหาทางหนี

   อลันเปิดปลอกฝาขวดที่ปิดสนิทนั้นออกอย่างเงียบเชียบ เขารอให้ไม้เรื้อยพวกนั้นออกจากตัวจนหมด พอดีกับปีศาจตรงหน้าผละถอยห่างเล็กน้อยปล่อยให้เขาเป็นอิสระ อลันเก็บงำความกลัวภายใต้ตาที่สั่นระริกมองหาเป้าหมายที่จะสาดยาพิษใส่

   ปีศาจคงไม่ฉุกคิดอย่างแน่นอนว่าในมือเขาตอนนี้ถือสิ่งที่อันตรายอยู่  ปีศาจเพียงยืนมองเขาอยู่เฉยๆเท่านั้น หลังจากไม้เรื้อยที่พันธนาการเขาหลุดออก อลันไม่รู้ว่าแววตาภายใต้ผ้าคลุมนั้นเป็นอย่างไร จะสังเกตเห็นหรือสงสัยในตัวเขาหรือเปล่าที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง แทนที่จะวิ่งหนี

   “ขะ ข้าไม่ไป” อลันเงยหน้าพูดต่อปีศาจตรงหน้า พลางถอยหลังเล็กน้อย ซึ่งการกระทำของอลันทำให้ปีศาจหัวเราะในลำคอและเป็นฝ่ายเดินตรงมา และแน่นอนอลันรอจังหวะนี้อยู่แล้ว จึงสาดยาพิษใส่ภายใต้ผ้าคลุมนั้นทันที

   ซ่า

   “อ๊ากกกกก”

   เสียงกรีดร้องของปีศาจดังก้องไปทั่วผืนป่า  อลันถอยหลังกรูดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหมุนตัววิ่งหนี แต่ก่อนที่จะวิ่งไปอลันเห็นแววตาของปีศาจตนนั้นภายใต้ผ้าคลุมสีดำ

   ดวงตาดั่งโลหิต

   ชั่วพริบตาที่มันฉายแววตกใจไม่คาดคิด จากนั้นมันก็แดงฉานวาวโรจน์ทันที อลันไม่รอช้าวิ่งหนีออกจากตรงนั้น ทั้งหกล้มคลุกคลานหนีตาย ไม่หันหลังมองเบื้องหลังเลยแม้แต่เสี้ยวนาที ตรงที่ปีศาจยืนนิ่งงันหลังจากโดนพิษ แต่แววตาแดงฉานนั้นกลับมองเขาอยู่อย่างไม่ละสายตา

   แฮ่ก แฮ่กๆ

   อลันวิ่งหนีตายอย่างคนเสียสติ สองขาวิ่งฝ่าบึงโคลนจนตอนนี้ตามตัวเต็มไปด้วยโคลนตม  แผลบริเวณคอแสบร้าวเมื่อเจอกับโคลนที่เปรอะกระเด็นใส่ อลันได้แต่กัดฟันวิ่งหนีไปข้างหน้า ต้นไม้รอบข้างก็ส่งเสียงของมันตลอดทาง ทำให้เขาขวัญเสียทั้งวิ่งทั้งร้องไห้ไปตลอดทาง

   ทางไหนดี

   ไปทางไหนดี

   เหมือนวิ่งวนอยู่กับที่ อลันหมุนตัวยืนมองหนทางหนีจากป่าต้องห้ามนี้อย่างสิ้นหวัง เขาวิ่งมาได้สักพัก คิดว่าไปไกลจากบ่อโคลนพวกนี้แล้ว สุดท้ายก็วนอยู่บริเวณที่เต็มไปด้วยบ่อโคลนดังเดิม  หรือแท้จริงแล้วเขาวิ่งวนอยู่กับที่กันแน่

   “ฮึก ช่วยข้าด้วย”  ปากพร่ำร้องให้คนช่วย พร้อมกับก้าวขาวิ่งต่อ คราวนี้อลันหันมองข้างหลังอย่างหวาดกลัว รู้ตัวว่าตัวเองเหลือเวลาอีกไม่นาน ที่ยาพิษนั้นจะเสื่อมคลายฤทธิ์ และปีศาจตนนั้นจะตามล่าตัวเอง

   โฮ่ง!

   เสียงนี้มัน

   โฮ่ง!

   เขาจำเสียงมันได้

   “ดอร์กี้!”  รอยยิ้มเผยอกว้าง เมื่อได้ยินเสียงสุนัขคู่ใจ อลันไม่รอช้ารีบวิ่งไปตามเสียงอย่างรวดเร็ว ดอร์กี้มันจำได้ มันจำคำที่เขาบอกก่อนเข้าป่าต้องห้ามไว้ได้

   วิ่งไม่นานอลันก็เห็นดอร์กี้ยืนอยู่ไม่ไกล อลันดีใจจนร้องไห้ ดอร์กี้มันก็ไม่ต่างกับเขาที่ดีใจจนกระโดดไปมา เขาเลยวิ่งไปหามันแล้วสวมกอดแน่น

   “ฮือ ดอร์กี้”

   “โฮ่ง!” ดอร์กี้มันดิ้นออกจากอ้อมกอดของเขาหลังจากกอดมันได้ไม่นาน เหมือนมันรับรู้สัญญาณอันตรายในป่านี้ได้  เขาเลยปล่อยมันแล้วมองไปด้านหลัง ก่อนจะหันมามองสุนัขที่เป็นเพื่อนตัวเอง

   “ดอร์กี้ พาข้ากลับบ้านที”

   “โฮ่ง!”

   ดอร์กี้รับคำ ก่อนจะนำวิ่งเข้าพงป่ารกชัน  ส่วนอลันไม่รอช้าวิ่งตามอย่างรวดเร็ว เขาว่ากันว่า สุนัขจะมีสัญชาติญาณการเอาตัวรอดของตัวมันเอง อลันจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับสุนัขคู่ใจตัวเองอย่างไม่ลังเลใจ

   แฮ่กๆ

   ไม่มีการพักหรือหยุดวิ่ง ตอนนี้อลันวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อตามให้ทัน แม้จะสะดุดขาตัวเองและลื่นล้ม หรือลื่นไถลกับพื้นแฉะก็ตาม ความกลัวทำให้อลันไม่สนอะไรทั้งนั้น รีบลุกขึ้นทันที สายตาตอนนี้มีเพียงสุนัขตรงหน้าเท่านั้น ไม่มีการหันหลัง เหมือนกับว่าถ้าหันกลับไป ตัวเองจะไม่ได้ออกจากที่นี่

   ฟึบ

   “โอ้ยยยย” อลันร้องลั่น ล้มลงพื้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกุมแขนตัวเอง เห็นเลือดสีแดงฉานไหลอาบตามผิว พลิกแขนดูก็เป็นแผลลึกที่เกี่ยวเป็นทางยาว อลันหันมองต้นไม้ที่วิ่งผ่าน ก่อนตาสองข้างเบิกกว้าง เมื่อเห็นต้นไม้นั้นงอกกิ่งก้านแหลมคมออกมาต่อหน้าต่อตา

   “โฮ่ง!”

   อลันได้สติเมื่อได้ยินเสียงของดอร์กี้  รีบหันหน้ากลับไปมองข้างหน้าต่อทันที ความเจ็บที่แขนรวดร้าวจนอลันเกือบท้อแท้ที่จะวิ่งต่อ หยดเลือดก็ไหลตามทาง ไม่นับที่บริเวณคอ ที่ซึมไหลไม่หยุดเช่นกัน เขาเริ่มอ่อนแรงล้า ขาไร้กำลังจะก้าวต่อทุกที ตาพร่ามัวมองทางเลือนรางทุกที จนต้องบีบแขนที่ชุ่มด้วยเลือดตัวเองเพื่อดึงสติให้วิ่งต่อ

   กา กา กา

   เสียงกาบินร่อนบนท้องฟ้า ไม่ไกลจากที่กำลังวิ่งหนี อลันไม่รู้ว่าตอนนี้กี่ชั่วยาม หรือผ่านมานานแค่ไหนที่วิ่งหาทางออก แต่ในความรู้สึกของเขา มันก็แค่ผ่านมาไม่กี่นาทีเท่านั้น

   โฮ่ง!

   เสียงดอร์กี้เห่าเตือนอีกครั้ง และหยุดรอเขาที่วิ่งตามหลังมา หางของมันส่ายกระดิกไปมา และส่งเสียงเห่าไม่หยุด อลันมองตามก่อนจะเห็นแสงริบหรี่ที่ปลายทางของป่า พลันทำให้ตาเบิกกว้างและยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

   รอดแล้ว

   อลันทั้งวิ่งทั้งร้องไห้ไปตามแสงนั้น  เรี่ยวแรงที่เคยหดหายกับผุดขึ้นมีแรง  เขากัดฟันวิ่งต่อไปให้ถึงแสงนั้น  วิ่งเหมือนทั้งชีวิตนี้ไม่เคยวิ่งมาก่อน แค่อีกนิดเดียวเท่านั้น  มือที่กุมแขนที่บาดเจ็บเปลี่ยนมาไขว่คว้าหาแสงตรงหน้าแทน

   นิดเดียว

   อีกแค่นิดเดียว

พรึบ

ออกมาได้แล้ว!

   แสงของทิตย์ยามอัสดงที่ใกล้ลับขอบฟ้า อาบทั่วแขนเมื่อโผล่พ้นจากเขตป่าที่มืดมน อลันยิ้มออกมาอยากดีใจมากที่สุดในชีวิต ราวกับได้เกิดใหม่  แต่ถึงจะดีใจมากแค่ไหนที่หนีจากป่าต้องห้ามได้ ก็ไม่ทำให้อลันหยุดวิ่ง กลับวิ่ง วิ่ง ตรงไปยังบ้านตัวเองอย่างลนลานและดีใจ

   ปัง!

   “อลัน/พี่อลัน!” 

   “ยะ ยาย ฮึก” อลันผลักประตูแล้วโผเข้ากอดผู้เป็นยายของตัวเองทันทีพร้อมกับร้องไห้โฮอย่างขวัญเสีย

   “กะ เกิดอะไรขึ้น แล้วนี้หายไปไหนมา เจ้ารู้ไหม ทำไมตาแก่ชาร์ลเขามาโวยวาย กล่าวหาว่าเจ้าไปขโมยแกะของเขา!” ยายเค้นถามเสียงสั่น ก่อนชะงักพลันเห็นเลือดที่อาบโชกตัวปะปนไปกับโคลนของหลานเข้า

   “เจ้าบาดเจ็บรึ!”

   “ยะ ยาย ไอลีน เราต้องรีบหนี!” อลันบอกอย่างตื่นตระหนก  รีบจูงมือและน้องตัวเองออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว แต่เป็นยายที่ดึงรั้งไว้และถามอย่างร้อนลน

   “เกิดอะไรขึ้น”

   “ฮึก ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องหนี เราต้องรีบไป!”  อลันพูดไปร้องไห้ไปไม่มีเวลาอธิบาย ดึงยายและน้องออกจากบ้านโดยไร้ข้าวของติดกาย ตอนนี้อลันต้องการหนีจากที่นี่ให้ได้ก่อนที่บางสิ่งข้างหลังจะตามมา

   ระยะทางเป็นตัวชี้วัดความเป็นความตาย แต่ด้วยสภาพร่างกายและมีคนแก่ อลันจึงเดินทางเข้าไปในเมืองล่าช้ากว่าเดิม ผู้เป็นยายรับรู้ถึงอันตรายและความหวาดกลัวจากหลานก็พยายามจะเร่งเท้าเดิน แต่ด้วยสังขารใกล้ฝั่ง จึงเป็นตัวถ่วงให้แกหลานทั้งสอง

   “ยายขึ้นหลังข้า”

   “เจ้าบาดเจ็บอยู่นะอลัน” ยายยื้อไม่ยอมขึ้น ถึงแม้เลือดที่แขนจะไหลมากแค่ไหน ตอนนี้เขาต้องการให้ยายกับน้องหนีเท่านั้น

   “ข้าทนได้ ข้าไหว ยายรีบขึ้นมาเถอะครับ” อลันบอก

   “แต่..”

   ตึง ตึง

   พรึบ!

   กา กา กา

   !!!

   “เราต้องรีบแล้ว!” สีหน้าอลันซีดเผือดตื่นตระหนกหวาดกลัวทันที เมื่อเสียงกลองดังเป็นจังหวะสนั่นไปทั่วผืนฟ้า สั่นสะเทือนไปทุกผืนแผ่นดิน  พร้อมกับอีกกาฝูงใหญ่ราวกับก้อนเมฆบินวนปกคลุมทั่วเขตต้องห้าม

   ตึง  ตึง

   ร่างกายอลันสั่นสะท้าน รู้สึกเลือดในกายที่อุ่นกลับเย็นเฉียบขึ้นมาฉับพลัน  ยิ่งเสียงกลองปริศนาดังไม่หยุดเหมือนสัญญาณบางอย่างบ่งบอกให้ฝังมนุษย์อย่างพวกเขารับรู้ถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา

   



“เราไม่มีเวลาแล้ว!” อลันย้ำผู้เป็นยายอีกครั้ง

ส่วนยายสัมผัสกลิ่นอายความน่ากลัวและสัญญาณเตือนนั้นได้ รีบขึ้นไปบนหลังอลันอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะสงสารที่หลานตัวเองเลือดไหลที่แขนไม่หยุด แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำปริบ่นอะไรจากผู้เป็นหลาน นอกจากกัดฟันวิ่งต่อไปเพื่อไปยังเมืองหลวงข้างหน้า ที่อีกไม่ไกลก็จะถึง

   โดยทั้งสามหารู้ไม่ว่า ตลอดทางที่กลับมุ่งหน้าไป คนที่เพิ่งหนีรอดหลุดพ้นจากเขตต้องห้ามนั้น หยดเลือดของตนที่หยดลงพื้น มันจะส่องแสงเรืองรอง เป็นตัวนำทางชั้นดี ท่ามกลางความมืดที่กำลังคืบคลานเข้ามาในไม่ช้านี้



   
 :hao7: :mew1:




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ 10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ตอนที่ 9

Hunt





สวบ สาบ!

“หลีกไป!”

ทั้งสามยังคงรีบเดินเข้าตัวเมืองอย่างรีบร้อน ไม่นับรวมคนอื่นที่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ รีบเดินนำหน้าพวกเขาทั้งสามคนไป  อลันกัดฟันจับยายที่หลังไว้แน่น ฝืนความเจ็บที่เป็นตัวถ่วงความล่าช้าในครั้งนี้ ถ้าเขาไม่บาดเจ็บ เขาคงเดินได้เร็วกว่านี้  แต่อลันก็ไม่ยอมแพ้ รีบเดินไปให้เร็วที่สุด โดยมีน้องสาวประคองข้างกายไม่ห่าง

พรึบ! พรึบ! พรึบ!

คบเพลิงถูกจุดแต่ละจุดเรียงรายรอบสันกำแพงใหญ่ ทำให้สามารถมองเห็นได้ไกลท่ามกลางความมืด ผู้คนต่างหมู่บ้านรอบนอกต่างหลั่งไหลเข้าตัวเมือง เสียงกลองของพวกปีศาจเงียบไปแล้ว ยกเว้นเสียงอีกาที่ยังคงบิ่นว่อนทั่วท้องฟ้า ทำให้ชาวบ้านรวมทั้งเขาอกสั่นขวัญผวาไม่ได้

“อึก”

“อลัน หลานไหวไหม” ยายถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นใบหน้าหลานเต็มไปด้วยเหงื่อโชก และหน้าซีดเมื่อเสียเลือดที่แขน ซึ่งตอนนี้ถูกไอลีนพันผ้าไว้ให้ แต่มันก็ยังคงไหลไม่หยุด

“พี่อลันพักก่อนไหม” ไอลีนก็เป็นห่วงพี่ชายไม่ต่างเช่นกัน ถึงแม้ไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น มันถึงอนลมาน วุ่นวายไปหมดแบบนี้ ไหนจะคนพวกนั้นที่วิ่งผ่านไป เหมือนกำลังจะหนีบางอย่าง

“ไม่ ข้าไหว” อลันบอกผู้เป็นยายและน้อง จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป ถ้าช้ากว่านี้พวกเขาทั้งหมดจะเป็นอันตราย อย่างน้อยการเข้าไปหลบอยู่ในนั้นก็ยังปลอดภัยกว่าข้างนอก

แก๊ง แก๊ง แก๊ง

 สัญญาณเตือนภัยจากระฆังขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงที่นานๆทีได้ยิน กลับดังขึ้น ยิ่งทำให้อลันหวาดหวั่น ในเมืองคงรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติ หรือกำลังเผชิญกับสิ่งน่ากลัวถึงกลับต้องเตือนภัยประชาชนแบบนี้  และที่สำคัญเสียงระฆังมันยังเตือนอีกอย่างว่า ประตูทางเข้าเมืองจะปิดในอีกไม่กี่ชั่วยาม เพราะต้องปกป้องเมืองใหญ่เป็นหลัก เรื่องนี้ทุกคนทราบดี

ดังนั้นเขาต้องรีบแล้ว

แสงไฟจากคบเพลิงไม่ช่วยทำให้อลันหยุดตะลึงมองความยิ่งใหญ่สวยงามของมันที่เรียงยาวไปตามแนวสันกำแพง วินาทีนี้ประตูทางเข้าคือสิ่งเดียวที่อลันต้องไปให้ถึงเร็วที่สุด และตอนนี้มันกำลังอยู่ตรงหน้าพวกเขา และมันกำลังเคลื่อนปิดลงครึ่งประตูแล้ว ผู้คนต่างวิ่งเข้าไป ชนกัน ผลักกัน ตะเกียกตะกายเอาตัวรอดเพื่อที่จะเข้าไปในนั้น

 “รอด้วย รอพวกข้าด้วย!” อลันตะโกนออกไป หลายร้อยเมตร พยายามวิ่งสุดกำลัง ที่จะไปให้ทัน

“เร็วเข้า!!” ทหารตะโกนบอกชาวบ้านที่วิ่งกรูเข้าประตูอย่างชุลมุน ซึ่งมันยากมากที่ตอนนี้จำนวนคนที่เข้าเมืองเยอะเกินไป จึงทำให้การเข้าไปในประตูช้าลง บางคนก็ผลัก เหยียบกันเข้าไป ไม่สนว่าใครจะได้รับบาดเจ็บ

“ไอลีนเข้าไปก่อนเลย!”อลัน รีบบอกน้องสาวตัวเอง ให้วิ่งเข้าไปประตูก่อน เพราะถ้ารอ อาจจะไม่ได้เข้าทั้งหมด ไอลีนส่ายหน้าไปมา เพราะไม่อยากทิ้งพี่และยายตัวเองไป

“ข้าบอกให้ไป!” ตะโกนย้ำเสียงดังลั่นใส่น้องสาวตัวเองอย่างไม่เคยเป็น พร้อมกับผลักน้องสาวให้วิ่งไปก่อน  ตอนนี้เขาห่วงยายและน้องเท่านั้น ถึงแม้เขาจะไม่ได้เข้าก็ตาม ขอให้น้องกับยายได้เข้าและปลอดภัยก็พอ

“ข้าจะไปรอข้างใน” ไอลีนพูดจบก็วิ่งร้องไห้ทั้งน้ำตา ล่วงหน้าไปก่อน ส่วนเขากับยายก็รีบวิ่งเข้าไปรวมกลุ่มกับชาวบ้านที่ยืนออกัน

“มีคนแก่!”อลันหันไปบอกทหารที่ยืนหน้าประตู ซึ่งแน่นอนพวกทหารไม่สนใจในตอนนี้ เพราะช่วงน่าเสียวน่าขวัญ อายุไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา

“ข้าขอร้อง ให้ยายข้าเข้าไปเถอะ” อลันรีบไปเอ่ยขอร้อง ปล่อยให้ยายลงยืนข้างตัว พร้อมเขย่าแขนอีกฝ่ายแน่น

“ไม่เป็นไรอลัน ยายจะเข้าพร้อมหลาน” ยายรั้งแขนหลานตัวเองออกมา เมื่อไม่อยากให้ตัวเองเป็นภาระใครอื่นมากว่านี้

“ไม่ได้ ข้าจะให้ยายเข้าไปก่อน  ท่านช่วยข้าด้วย ข้าขอร้อง”  อลันหันไปบอกผู้เป็นยายเสียงสั่น แล้วหันไปอ้อนวอนนายทหารที่มีสีหน้าทหารลำบากใจ

นายทหารมองคนที่พยายามจะเข้าในเมืองแต่ละคนด้วยความรู้สึกไม่ต่าง  ซึ่งตนรู้ว่าอีกไม่นานประตูก็ต้องสั่งปิด จึงตัดสินใจพยักหน้าในที่สุด นั่นทำให้อลันยิ้มกว้าง ทหารเลยพายายเบียดผู้คนที่แออัดหน้าประตูเข้าไปในนั้นได้สำเร็จ ส่วนตัวเขาเองต้องมารวมกลุ่มกับชาวบ้านที่เริ่มจะทำร้ายกันเองเพื่อที่จะเข้าไปในนั้น

แก๊ง แก๊ง แก๊ง

สัญญาณระฆังเตือนอีกครั้ง นั่นยิ่งทำให้ชาวบ้านวิ่งหนีตายเข้าไปในนั้นเร็วขึ้น อลันก็เช่นกัน กุมแขนตัวเองแล้วสอดแทรกเข้าไป ด้วยรูปร่างผอมแห้ง จึงแทรกเข้าไปได้อย่างง่ายดาย แต่กว่าจะหลุดกับคนที่ทยอยเข้าไปก็ทำให้อลันแทบหมดสติ

พรึบ

“เฮือก!”อลันผ่านเข้าประตูมาได้สำเร็จพร้อมกับสูดหายใจเข้าปอด ก่อนมองหาคนที่เข้ามาก่อน พอเห็นก็วิ่งไปหาน้องและยายที่ยืนรอ พร้อมสวมกอดกันแน่น

แก๊ง แก๊ง แก๊ง

อลันหันหันมองด้านหลังตัวเองที่คนก็วิ่งเข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงระฆังครั้งสุดท้ายเตือนให้ประตูเมืองยกลง แต่อลันยังเห็นชาวบ้านสี่ห้าคนกำลังวิ่งตรงเข้ามาอยู่

“รอพวกเขาก่อน!” มีคนตะโกนบอกทหารให้รอ เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่เข้ามากันเกือบหมดพอดี ที่เสียงระฆังดังขึ้น แต่คนที่เพิ่งมานั้นยังอยู่อีกไกล แต่ก็เหมือนจะพยายามวิ่งจดสุดฝีเท้าเพื่อจะให้ทันประตูที่กำลังเคลื่อนลงเรื่อยๆ

“รอไม่ได้แล้ว พวกปีศาจกำลังมา!” ทหารตะโกนตอบ ทุกคนที่เข้ามาได้ต่างก็ลุ้นและภาวนาให้คนพวกนั้นวิ่งมาให้ทัน รวมทั้งเขาด้วย ที่มองออกนอกประตูเห็นคนกำลังวิ่งมาไม่ไกล

“รออีกนิดได้ไหมขอรับ!” ผู้ชายคนหนึ่งขอร้อง ทุกคนต่างส่งสายตาอ้อนวอนให้ทหารผู้นั้นอย่าเพิ่งยกประตูลง ถึงแม้จะไม่รู้จักกัน แต่ความเป็นมนุษย์เหมือนกันนั้นยากที่จะทิ้งกันได้

“เร็วเข้า!!” ทหารกวักมือเรียกรัวเร็ว พลางมองด้านหลังของชาวบ้านที่กำลังวิ่งมาเริ่มมีหมอกควันสีขาวไล่ตามหลังมาเรื่อยๆ

อีกนิด

อีกนิดเดียว

เร็วเข้า!

อลันกู่ร้องตะโกนในใจ ลุ้นจนต้องบีบมือตัวเองแน่นเอาใจช่วย ทุกคนในกำแพงต่างเห็นพ้องต้องกันยืนลุ้นอยู่ข้างใน เมื่อกลุ่มควันสีขาวน่ากลัวที่กำลังคืบคลานมาใกล้กำแพงเรื่อยๆ ใจอลันระส่ำระส่ายหวาดกลัวกับสิ่งที่เห็น ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

ตุบ

มีคนล้ม!

หนึ่งในห้าคนวิ่งเสียหลักหกล้มและไถลไปกับพื้น ส่วนคนที่เหลือต่างเอาตัวรอดและวิ่งเข้ามาในประตูได้ทัน แต่อีกคนกลับหยุดชะงักลังเล พลางมองสลับไปมาระหว่างประตูตรงหน้าและคนที่ล้มอยู่อย่างสับสน  ตาก็ไปสบมองกลุ่มควันแปลกประหลาดน่ากลัวที่ใกล้เข้ามาทุกที จนได้ยินคนที่ล้มอยู่ตะโกนออกมา

“มาคัส วิ่งไป!”

อ๊ากก

สิ้นเสียงตะโกนบอกอีกฝ่ายเสร็จ หมอกควันก็กลืนกลินร่างของชายคนนั้นที่ล้มลงพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดทรมาน ชายคนที่หยุดรอกลับหมุนตัวแล้ววิ่งเข้ามาในประตูเป็นคนสุดท้าย จากนั้นทหารจึงยกประตูปิดลงทันที

ตึง!

เสียงปิดประตูขนาดใหญ่ดังขึ้น ผู้ชายคนที่เข้ามาคนสุดท้ายถึงกลับทรุดลงพื้นและร้องร่ำไห้ จนชาวบ้านต่างเข้าไปปลอบขวัญแสดงความเสียใจ  จากนั้นทุกคนถอยห่างจากประตูใหญ่ทันที เมื่อกลุ่มทหารของวังหลวง วิ่งเข้ามาประจำที่ป้องกันกำแพงอย่างขวักไขว่เคร่งเครียด  อลันหันมามองยายกับน้องที่ยืนขวัญเสียอยู่ไม่ต่างกับตัวเอง ก่อนจะหันมองรอบๆเพื่อมองหาใครบางคน  จนมีบางคนเรียกเขาเสียงดัง

“อลัน!”ร่างสูงของเจฟ์ฟวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเขาทั้งสามที่ยืนอยู่ อย่างเป็นห่วง เจฟ์ฟต้องตกใจเมื่อเห็นร่างเล็กตรงหน้าบาดเจ็บและเต็มไปด้วนโคลน

“เจฟ์ฟ!” อลันเรียกชื่อคนที่วิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ

“อลัน เจ้าบาดเจ็บรึ!” น้ำเสียงห่วงใยเอ่ยออกมาชัดเจนจากคนโต พร้อมกับเอื้อมมือไปจับแขนที่พันผ้าห้ามเลือดไว้เปิดดู จนผู้เป็นยายและน้องต่างมองหน้ากันอย่างสงสัย

“ขะ ข้าไม่เป็นไร เจฟ์ฟ พาพวกข้าไปหาที่พักได้ไหม” อลันลืมความเจ็บของตัวเอง พูดเสียงผะแผ่วเมื่อเสียเลือดไม่น้อย พร้อมรีบชักแขนตัวเองกลับ ตอนนี้เขาอยากหาที่หลบซ่อน และห้ามเลือดตัวเองที่ซึมไหลไม่หยุด

“ตามข้ามา” เจฟ์ฟเข้าใจ และรีบพาทั้งสามไปที่พักทันที

สถานการณ์ ตอนนี้ย่ำแย่ถึงขั้นวิกฤติ ตั้งแต่ลืมตาดูโลกมา 25 ปี เจฟ์ฟเพิ่งเคยได้ยินเสียงเตือนจากระฆังดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกตอนอายุ 10 ขวบ เสียงระฆังถูกตีขึ้นในยามดึกสงัด ผู้คนต่างตกใจตื่นขึ้นมาแล้วรีบออกมานอกบ้านเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น และสิ่งที่ทำให้คนในที่นี้อกสั่นขวัญผวาคือ ร่างของปีศาจถูกฆ่าตาย และคนที่อยู่แถวในบริเวณที่ปีศาจปรากฏตัว เสียชีวิตไป 3 ราย  ผู้คนต่างหวาดกลัวว่าทำไมปีศาจถึงเข้ามาในนี้ได้ กษัตริย์เอลอน จึงเพิ่มทหารรักษาความปลอดภัยมากขึ้นเป็นเท่าตัว และสั่งห้ามทุกคนไม่ให้ออกบ้านตอนกลางคืนเด็ดขาด

จนกระทั่งล่วงเลยมานานหลายปี  ภายในเมืองหลวงไม่เคยมีปีศาจย่างกรายเข้ามาอีก ทุกคนต่างเริ่มใช้ชีวิตตามปกติ และออกไปไหนตอนกลางคืนได้อย่างไม่ต้องกลัวเหมือนในครั้งนั้น  แต่นอกเหนือจากใต้การปกป้องจากกำแพงสูงแล้ว ปีศาจก็เข้ามาลักพาผู้คนไปสังหารอยู่ทุกครั้ง จึงไม่แปลกที่ชาวบ้านจะมาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงที่เริ่มจะล้นเมืองขึ้นทุกที

และวันนี้เสียงระฆังก็ดังเตือนขึ้นอีกครั้ง..

“พักที่บ้านข้าก่อนแล้วกัน” คนตัวโตเปิดประตูต้อนรับคนทั้งสามอย่างยินดี ถึงแม้จะเป็นบ้านเพียงชั้นเดียว แต่ก็เป็นสัดส่วนเรียบร้อย

“ขอบคุณท่านมาก ข้าต้องขอรบกวนท่านคืนนี้ไปก่อน” ยายเอ่ยขอบคุณผู้ชายตรงหน้าด้วยความซึ้งใจกับความมีน้ำใจ

“ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ดีมากนัก ข้าว่าพวกท่านพักที่นี่ไปก่อน การอยู่รวมกันน่าจะปลอดภัยที่สุด อย่าคิดว่าเป็นการรบกวน” เจฟ์ฟบอกด้วยความจริงใจ ผิดจากใบหน้าที่เคร่งเครียดเมื่อเสียงวุ่นวายข้างนอกดังไม่หยุด

“มันเกิดอะไรขึ้น ท่านพอทราบไหมคะ” ไอลีนถามคนตรงหน้าด้วยความกังวลและเครียดไม่ต่างกัน

“ข้าก็ไม่รู้ รอทางการจากวังแจ้งประกาศอีกที ส่วนตอนนี้ข้าว่ารีบทำแผลให้อลันดีกว่า” คนตัวโตสังเกตอีกคนที่เริ่มหน้าซีดยืนทรงตัวโอนเอน จึงทำให้ยายและไอลีนรีบประคองพาอลันไปนั่งที่เตียงอย่างรวดเร็ว

“ข้าทำแผลให้พี่อลันเอง ท่านพอจะมีสมุนไพรห้ามเลือดไหมคะ” ไอลีนหันไปถามคนตัวโตที่ส่งสายตาเป็นห่วงอยู่ไม่ห่าง คนที่โดนถามถึงกับหน้าขรึมลง ก่อนส่ายหน้า

“ข้าจะไปขอบ้านน้องชายข้าให้ รอข้าครู่เดียว” ว่าแล้วก็รีบออกจากบ้านตรงไปยังบ้านนอกชายตัวเองที่อยู่ไม่ไกลทันที

“อึก ยาย” อลันเรียกยายเสียงแผ่ว เริ่มชาหนึบบริเวณแขน

“อดทนไว้ลูก ยายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยายดีใจที่หลายปลอดภัย” ยายพูดเสียงเครือ ทำเอาคนที่นอนอยู่บนเตียงสะอื้นร้องไห้ออกมา

“ข้าขอโทษ ฮึก” ขอโทษที่ไม่ควรตามแกะตัวนั้นไปเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นและเผชิญอยู่มันเกิดขึ้นจากตัวเองเป็นต้นเหตุหรือเปล่า เขาไม่รู้ แต่ที่รู้ๆคือทำให้ยายกับน้องต้องมาลำบากและได้รับอันตรายแบบนี้

“ไม่เป็นไรๆ ยายไม่โกรธเจ้า ทำแผลก่อนนะ” ยายเอ่ยบอกเมื่อเห็นหลานอีกคนยกอ่างน้ำพร้อมกับผ้าสะอาดมา ผู้เป็นยายหันมองตามทางประตูก็พบหยดเลือดไหลหยดตามทางเดิน จึงสั่งหลานสาวตัวเองทันที

“ไอลีน เจ้าเอาน้ำใส่ถังอีกใบ แล้วไปล้างหยดเลือดตามถนนและหน้าบ้านซะ”

“ได้ค่ะ” ไอลีนรู้เข้าใจสิ่งที่ยายบอก รีบวิ่งไปค้นหาถังน้ำและเติมน้ำให้เต็มถัง ก่อนจะวิ่งออกไปนอกบ้าน ที่คนวิ่งสวนผ่านไปมาอย่างโกลาหล ไม่นับกลุ่มทหารที่วิ่งไปทั่วเมือง

คบไฟจุดตามทางเดินก็ยังทำให้ไอลีนสังเกตเห็นหยดเลือดได้ไม่ค่อยชัด อาจจะเป็นเพราะเศษฝุ่นและดินที่ผู้คนเดินไปมากลบไปหมด นั่นทำให้เธอโล่งใจ ก่อนจะสังเกตทางเข้าบ้านของคนที่มีพระคุณให้ครอบครัวเธอเข้ามาพักหลบภัย ความมืดรอบตัวบ้านส่งผลให้เห็นบางอย่างที่เปล่งแสงตัดกับความมืดได้อย่างมหัศจรรย์ นั่นทำให้ไอลีนเม้มปากแน่น และรีบสาดน้ำล้างสิ่งเหล่านั้นให้หายไปทันที

“พี่อลันเป็นอย่างไรบ้างคะยาย” ไอลีนถามเมื่อจัดการตามที่ยายบอกเสร็จ แล้วรีบมานั่งข้างๆเมื่อเห็นยายเช็ดคราบโคลนตามใบหน้า และเลือดตามตัวพี่ชายจนสะอาด และเอาผ้าห้ามเลือดไว้ รอใครอีกคนที่ไปนำยามาให้

“สงสัยเพลียเพราะเสียเลือด” ยายตอบ

“ขะ ข้าไม่เป็นไร” เปลือกตาที่คิดว่าปิดสนิทกับปรือตาขึ้นตอบแทน ทำเอาไอลีนถึงกับยิ้มให้กับพี่ชาย

ปึง

“ข้ามาแล้ว ขอโทษที่ช้า พอดีข้าโดนน้องชายซักถาม กว่าจะออกมาได้ ก็โดนทหารค้นตัวอีก นี่ครับยา” คนตัวโตสีหน้าหอบเหนื่อยอธิบายรัวเร็ว พร้อมกับยื่นขวดยาสามกระปุกมาให้ และผ้าสะอาดสองผืน

“ขอบใจท่านมากนะเจฟ์ฟ” อลันพยายามเอ่ยขอบคุณด้วยความยากลำบาก เขาเริ่มปวดหนึบที่แขน และหนักอึ้งที่ศีรษะอย่างหนัก

“ไม่เป็นไร แล้วเจ้าไปโดนใครทำร้ายมา” โดนคนตัวโตถาม หลังจากทำแผลให้คนอยู่บนเตียงเรียบร้อย เป็นอลันที่ชะงักไปจนทั้งสามมองด้วยความสงสัย พร้อมกับกำมือตัวเองแน่นโดยไม่รู้ตัว และแน่นอนสายตาที่สั่นระริกนั้นก็ไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้

“ฮึก ขะ ข้าหนีปีศาจมา”อลันตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด พยายามบังคับไม่ให้ตัวเองสั่น สิ่งที่เผชิญก่อนหน้านั้นทำให้อลันหวาดกลัวแทบสิ้นสติ  และคำพูดของอลันทำเอาทั้งสามตกใจ

 “จะ เจ้าเจอปีศาจงั้นหรอ” คนเป็นยายรีบถามหลานตรงหน้าอย่างร้อนรน  พร้อมกับเสียงที่สั่นเหมือนหวาดกลัวไม่ต่าง

“ฮึก ข้าเจอมัน” อลันรีบโผเข้ากอดยายแล้วร้องไห้อย่างเสียขวัญ ผู้เป็นยายรีบกอดหลานตัวเองแน่นพร้อมกับใจที่หล่นวูบหายไป

“แล้วมันเห็นเลือดเจ้าไหม” ยายดึงหลานที่ร้องไห้ตัวสั่นออกมาเอ่ยถาม และอีกคนก็พยักหน้าทันที นั่นทำให้ยายแทบจะทรุดลงที่พื้น

“ยาย/ยาย!!” อลันและไอลีนต่างร้องเรียกยายพร้อมกันเมื่อเห็นยายทำท่าเหมือนจะเป็นลมหมดสติต่อหน้า

“อลันเจ้าต้องหาที่ซ่อนตัว!” จู่ๆยายก็พูดขึ้น พร้อมกับเขย่าแขนหลานไปมา เมื่อรู้ว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้คืออะไร และมันกำลังทำให้หลานตนเป็นอันตราย 

“ทะ ทำไมครับยาย” อลันที่ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา และหน้าซีดจากเสียเลือดยังคงมึนงงปรับอารมณ์ไม่ทันกับสถานการณ์ตรงหน้า

“ทำไมอลันต้องซ่อนตัวครับ” เจ้าของบ้านที่เงียบไปพักใหญ่เอ่ยถามด้วยความสงสัยเช่นกัน พลางมองทั้งสองสลับกันไปมา

“พะ พวกมันรู้แล้ว พวกมันรู้ว่าเป็นเจ้า พวกมันจะเอาเจ้าไป!” ยายพูดราวกับสติไม่อยู่กับตัว มือไม้สั่นไปหมด จนไอลีนต้องกอดยายไว้ ส่วนเขาและเจฟ์ฟต่างงุนงงและไม่เข้าใจสิ่งที่ยายพูด

พรึบ!

“ใคร!”

เสียงบางอย่างดังออกมาจากข้างนออกตรงหน้าต่าง เจฟ์ฟตะโกนถามเสียงดัง พร้อมกับวิ่งไปดูแถวหน้าต่าง เมื่อไม่พบเจออะไร จึงวิ่งออกไปนอกบ้านและไปดูว่าเป็นใครที่เข้ามาในบ้านตน พ้นจากคนนอก ยายจับหลานทั้งสองมากุมมือไว้แน่นพร้อมกับเอ่ยเสียงสั่นเทา

“อลัน ปีศาจมันจะตามล่าเจ้า ฮึก มันจะตามล่าเลือดของเจ้า” ยายพูดทั้งร้องไห้  กุมมือบีบแน่น เธอหวาดกลัวและสงสารผู้เป็นหลานสุดใจที่ต้องมาพบเจออะไรแบบนี้เพราะตน

“เจ้าคงรู้สิ่งที่มันบอกเจ้าใช่ไหม” ยายถามเสียงเครืออีกครั้ง อลันเม้มปากแน่น น้ำตาไหลอาบเมื่อเริ่มเข้าใจสิ่งที่ยายพูดทั้งหมด และคำพูดของปีศาจตนนั้น

‘เลือดเจ้า เป็นสิ่งที่ข้าถวิลหามาช้านาน’

‘และข้ากำลังจะได้มันกลับคืน’

“ข้ากลัว ฮึก ข้าขอโทษ” อลันตัวสั่นอย่างหนักและหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ พร้อมกับกอดยายแน่น ไม่คิดว่าสิ่งที่มีอยู่ในตัวจะทำให้ตัวเองพาอันตรายมาสู่ครอบครัวแบบนี้

“ยายต่างหาก ที่ทำให้เจ้าเป็นแบบนี้ ยายขอโทษนะอลัน ยายขอโทษ” ผู้เป็นยายพร่ำขอโทษคนในอ้อมกอดด้วยความรู้สึกผิดยากจะบรรยาย อลันได้แต่ส่ายหน้าอยู่บนอก ไม่เคยคิดโทษยายตัวเองเลยสักนิด

ปึง!!

เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้ทั้งสามที่กอดกันแน่นพลันสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะเห็นใบหน้าเครียดจัดของเจ้าของบ้านวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน แล้วพาร่างสูงของตัวเองเดินเข้ามาข้างใน

“พวกปีศาจส่งสาส์นมา” คำพูดนั้นทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ พวกเขาสามคนกอดกันแน่นขึ้นเมื่อเห็นสายตาของร่างสูงมองมายังอลันคนเดียว พร้อมกับคำพูดที่ทำให้อลันเองแทบหยุดหายใจ

“มันต้องการ ‘บางสิ่ง’ คืน”



:hao6: :hao6:

ออฟไลน์ 10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ตอนที่ 10

Who?





 ความตึงเครียดแผ่ปกคลุมภายในบ้านทันที  ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีแต่คนตัวโตเท่านั้นมองคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสายตาแปลกไป โดยไม่มีใครรู้ว่าเจ้าตัวนั้นคิดอะไรอยู่ บางสิ่งบางอย่างมันก็พาเหตุและผลเข้ามาพร้อมๆกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่แปลกที่เจ้าของบ้านจะเริ่มมองคนที่น่าสงสัยสุด

“บางสิ่ง ที่ท่านว่าคืออะไร ท่านพอรู้ไหม” ไอลีนเป็นคนทำลายความเงียบ พลางเดินมายืนตรงหน้าชายหนุ่ม และใช้กายตัวเองปิดบังผู้เป็นพี่ชายตัวเองให้รอดพ้นจากสายตาของอีกฝ่ายที่มองเขม็งไม่ไว้ใจ

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ตอนนี้ทางวังหลวงเริ่มวุ่นวาย เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่ปีศาจต้องการ และมันให้เวลาเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น” เจฟ์ฟจำเป็นต้องละสายตาออกจากอีกคน แล้วหันมามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเคร่งเครียดและสงสัยไม่ต่าง

“ 3 วันอย่างนั้นหรอ ถ้าเกินจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น” อลันโพลงถามด้วยความอยากรู้และกระวนกระวายใจ นั่นทำให้ทุกสายตาหันมามองเขาเป็นจุดเดียว  เขาแค่อยากรู้เท่านั้น ถ้าพ้นจากสามวันนี้จะเป็นอย่างไร 

“มันจะฆ่าทุกคนที่นี่” เจฟ์ฟตอบ ตาคมก็มองบุคคลทั้งสามที่หน้าซีดเผือดไร้คำพูดขึ้นมา คนที่ดูจะตกใจมากสุดก็คือคนที่บาดเจ็บอยู่บนเตียง

“…”

“…”

“…”

อลันหายใจติดขัด สมองมึนเบลอไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินคำว่า ฆ่าทุกคน มือเล็กที่สั่นเทากำมือตัวเองแน่น  เหลือบมองหน้ายายและน้องด้วยแววตาหวาดหวั่นและกลัว เริ่มโทษตัวเองอีกครั้งที่ทำให้เรื่องเป็นแบบนี้ เขาจะทำอย่างไรดี เขาไม่อยากไป แต่ถ้าไม่ไปยายกับน้องก็จะเป็นอันตราย

และทุกคนที่นี่ต้องตายเพราะเขา

แหมะ แหมะ

“ฮึก ข้ากลัว จะทำยังไงดี  ข้าจะทำยังไงดี” ความหวาดกลัวกัดเซาะจิตใจ พลันทำให้สติเริ่มสั่นคลอนหนัก จนเอ่อทะลักออกมาเป็นหยดน้ำตาไหล ร่วงเผาะอาบใบหน้าซีดที่ร่ำรองวิงวอนหาทางออก  อลันไม่ใช่คนเข็มแข็ง ไม่ใช่คนกล้าหาญ เป็นแค่เด็กที่ขลาดเขลาเท่านั้น

“เจ้าไม่ต้องกลัว ยายไม่ให้ใครเอาเจ้าไป” ยายรวบหลานที่ร้องไห้ตัวสั่นอย่างน่าสงสารมากอดปลอบไว้แน่น เธอเข้าใจความรู้สึกหลานดี เรื่องนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นกับหลานเธอด้วยซ้ำ ต่อให้พวกปีศาจมันมาพรากไป เธอไม่ยอมเด็ดขาด แม้จะแลกด้วยชีวิตก็ตาม

“ข้าไม่เข้าใจ ที่ท่านพูด หมายความว่าอย่างไร ” ร่างสูงของเจฟ์ฟพูดขึ้นมาขัดจังหวะ ทำให้ยายที่กอดหลานตัวเองชะงักไป  คิ้วเข้มของเจฟ์ฟขมวดชนกันอย่างสงสัย คิดตามคำพูดของทั้งสองที่สนทนากัน ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจบางสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ก็ตาม จึงสบตามองคนทั้งสองที่ตอนนี้หลบตาของตนไป

“…”

“บอกข้า เผื่อข้าจะหาทางช่วยได้” ในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้ย่ำแย่ลงทุกขณะ ไหนจะมีสาน์สจากปีศาจที่ขีดเส้นเวลาชีวิตของพวกเขาไว้แค่สามวัน  อะไรที่เขาสามารถช่วยได้ ไม่ว่าสิ่งไหนเขาก็พร้อมจะช่วย นอกจากในเมืองหลวงนี้แล้ว เขาก็มีทั้งน้องชายที่เขาเป็นห่วงไม่แพ้กัน

และคนที่นอนบาดเจ็บอยู่ในบ้านเขาด้วยตอนนี้

ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างลังเล แต่ด้วยภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานมาประชิดคอแล้ว คนเป็นยายก็เลือกที่จะหาทุกวิธีทางเพื่อช่วยหลานที่ตัวเองรัก และยอมเสี่ยงที่จะเชื่อและไว้ใจคนอื่น จึงผินหน้าที่ร่วงโรยไปหาชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพึ่งความหวังสุดท้าย

“ท่านจำตอนที่อลันบาดเจ็บตอนนั้นได้หรือไม่”

“ข้าจำได้” ชายหนุ่มตอบเมื่อนึกถึงวันนั้นที่เขาเห็นบางสิ่งในตัวอีกคนที่น่ามหัศจรรย์และแปลกประหลาดยิ่ง แต่ด้วยความที่ตนเองเป็นคนนอก จึงไม่สามารถซักถามเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายได้

“แล้วท่านเห็นอะไร” ยายถามชายหนุ่มที่ชะงักค้างไป หลังจากที่ตนเอ่ยถามสิ่งที่เห็นในวันนั้น สิ่งที่ไม่เหมือนใคร สิ่งที่หลายคนทวิลหา แม้กระทั่งปีศาจก็อยากครอบครอง

“…”

“นั่นคือสิ่งที่ปีศาจต้องการ”

“อลัน คือสิ่งนั้น”

“…”

ร่างสูงของเจฟ์ฟรู้สึกจะเสียการทรงตัวเล็กน้อยหลังจากได้ยินสิ่งที่ไม่คาดคิดออกจากปากหญิงชราตรงหน้า พลันหันไปมองร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเตียง ใบหน้าที่ชุ่มอาบไปด้วยน้ำตา และร่างกายที่สั่นเหมือนลูกนกที่ตื่นกลัว

“ฮึก ฮึก” เสียงร่ำไห้ไม่สมเป็นชายของอลันทำให้ ชายหนุ่มที่ยังสับสนตกใจ ยืนมองไม่ละสายตา

“ทำไม อลัน..” เสียงของเจฟ์ฟดูขาดห้วงไป ยามเอ่ยถึงอีกคน ที่มองมาทางตนด้วยแววตาเศร้าโศกระคนหวาดกลัว

“ท่านอย่ารู้เลย มันจะไม่เป็นผลดีต่อท่าน” ยายเอ่ยขัดขึ้นมา สิ่งที่เธอพูดไปทั้งหมดก็น่าจะทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าเข้าใจมากพอสมควร แต่เหตุผลที่แท้จริง ที่ทำให้หลานเธอต้องพบเจอเรื่องแบบนั้น เธอจึงไม่สามารถบอกเล่าให้อีกฝ่ายรับรู้  และอีกเหตุผลคือ เธออาจทำให้ชายหนุ่มต้องพบเจออันตรายได้

“ท่านช่วยพี่ข้าได้ไหม”  ไอลีนรีบถามชายหนุ่มอย่างไม่รีรอ ทั้งร้อนใจ เมื่อชายตรงหน้ารู้เรื่องพี่ชายของตนหมดแล้ว เวลานี้พวกเธอต้องหาทางช่วยพี่ชายให้ได้

“มีทางไหนที่สามารถหนีออกจากที่นี้ได้ไหม” หญิงชราถามขึ้นไม่ต่างกัน เธอคงไม่คิดจะปล่อยให้หลานอยู่ในกรงที่พวกปีศาจขังไว้ เพื่อรอวันเชือดอย่างแน่นอน

“ที่นี่ปลอดภัยที่สุดแล้ว” เจฟ์ฟตั้งสติได้ ก็พลันทำหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะส่ายหัวและตอบออกไป

“แต่มันไม่ปลอดภัยสำหรับพี่ข้า!” ไอลีนเผลอตะโกนใส่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ด้วยความที่เป็นห่วงพี่ชาย และกลัวว่าปีศาจจะพราก เอาตัวไป เธอก็หวาดกลัวไปหมด

“ตอนนี้รอบกำแพงมีแต่พวกปีศาจ ไม่มีใครสามารถเข้าออกได้” ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของทั้งสองยายหลานดี เขาเองก็เป็นห่วงอีกคนไม่ต่างกัน แต่ดูจากทหารที่วิ่งรอบเมืองแล้ว แม้แต่มดแมลงก็ไม่สามารถเล็ดลอดเข้าหรือออกได้ การป้องกัน คุ้มกัน เมืองหลวงคืออันดับแรก ต้องเข้มงวด เด็ดขาดที่สุด และคำตอบของเขาก็ทำให้ความหวังของทั้งสามสลายหายไป

“ทะ ท่านไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครใช่ไหม” อลันเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง หลังจากที่เงียบไปนาน อลันแค่อยากถามความเชื่อใจจากอีกฝ่ายเท่านั้น ตอนนี้เขาระแวงและหวาดกลัวไปหมดทุกอย่าง

“ข้าไม่ใช่คนปากสว่างขนาดนั้น วางใจได้” เจฟ์ฟตอบน้ำเสียงหนักแน่น ส่งสายตาสื่อความหมายว่าเขาคนนี้จะไม่ปริปากเอ่ยบอกใครทั้งนั้น และคำตอบที่เขาได้รับมาคือริมฝีปากบางนั้นเม้มเข้าหากันแน่น และดวงตากลมเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา มองมาที่เขาพร้อมกับพยักหน้า ครางรับในลำคอ

“แล้วเราจะทำอย่างไรดี” ไอลีนเอ่ยถามอีกครั้ง เพราะหนทางที่จะออกไปจากที่นี้กลับไร้หนทาง เธอจึงต้องหาทางอื่นเพื่อให้พี่ชายและยาย รวมทั้งตัวเองปลอดภัย

“ข้าว่า ตอนนี้พวกท่านพักผ่อนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้รอทางวังหลวงประกาศอีกที”

คำตอบของชายหนุ่มเจ้าของบ้านสรุปออกมา ทำให้ทั้งสามไม่มีใครคัดค้านอะไรออกมาอีก เพราะตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอ และหาวิธีอื่น ก่อนที่จะถึงกำหนดของพวกปีศาจ แต่ถึงบอกให้รอทางวังหลวงอย่างไร พวกเขาสามคนก็ไม่สามารถนิ่งนอนรอได้ แม้กระทั่งยามหลับพักผ่อนก็ไม่สามารถข่มตาปิดได้แม้แต่วินาทีเดียว





   วันเวลานับถอยหลังลงเรื่อยๆ จนล่วงเข้าวันสุดท้าย คือเส้นตายของทุกคนที่อยู่ภายในกำแพงหลวง ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน ทางวังหลวงได้ออกประกาศให้รางวัลคนที่สามารถสืบเสาะหาข้อมูล หรือมีเบาะแส เกี่ยวกับสิ่งที่สามารถ บ่งบอกได้ว่า คือ ‘สิ่งนั้น’ ของปีศาจได้  โดยการตั้งรางวัลสูงสุดตั้งแต่เคยตั้งรางวัลขึ้นมา นั่นหมายถึงการประกาศครั้งนี้เป็นเรื่องนี้ชี้เป็นชี้ตายของทุกคน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถหาเบาะแส สิ่งนั้น ที่ปีศาจต้องการได้ ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร ใช่สิ่งของ หรือมนุษย์กันแน่

กษัตริย์เอลอนหวาดวิตกอย่างหนัก ไร้ทางแก้ จนปัญญาหาทางออก เส้นตายชีวิตถูกกำหนดวันนี้วันสุดท้าย คือต้องได้คำตอบ และหาสิ่งนั้นไปให้พวกปีศาจ ไม่อย่างนั้นอาณาจักรที่ตนสร้างมาต้องล่มสลาย ผู้คนถูกฆ่าล้างล้มตายหมดเป็นแน่  ครั้นจะต่อสู้ก็ใช่ว่าจะชนะ ปีศาจมีจำนวนมากจนไม่สามารถคาดนับได้ ไม่นับรวมเวทย์มนต์คาถา อำนาจที่ปีศาจมี แค่คิดจะสู้ก็พ่ายแพ้ตั้งแต่เริ่มแล้ว

หนทางเดียวที่จะสามารถหยุดการล้มตายและล่มสลายของอาณาจักรได้ คือต้องเจรจาพูดคุยเท่านั้น ให้งมหาเหมือนเม็ดทรายตามท้องทะเล ก็ไม่มีทางรู้ว่าคือสิ่งใด ดังนั้นกษัตริย์เอลอน จึงสั่งอพยพประชาชนหลายพันของตน เข้าไปอยู่ในรั้วราชวังเมื่อถึงกำหนด และสั่งห้ามให้ผู้ใดหลบซ่อนอยู่ในบ้าน ให้มารวมตัวกันที่นี่ทุกคนเพื่อความปลอดภัย  และให้ทหารส่วนใหญ่มาป้องกันวังหลวงเอาไว้แทน ทหารบางส่วนก็ประจำตรงกำแพงใหญ่เช่นเดิม

อลันที่หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านของเจฟ์ฟตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา จนกระทั่งวันนี้ที่ทางวังหลวงประกาศให้ประชาชนทุกคนเข้าไปรวมตัวกันในวังหลวง สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในบ้านต่างเคร่งเครียดและวิตกกังวล ยิ่งได้ยินทหารด้านนอกตะโกนเร่งให้รีบไป อลันแทบจะนั่งไม่ติดด้วยความร้อนใจและหวาดกลัว สองสามวันที่ผ่านมา พวกเขาพยายามคิดและหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำตอบ หรือหนทาง นอกจากปล่อยให้เวลาผ่านไป และให้ทางวังหลวงเป็นตัวชี้ชะตา

“พวกเราต้องไปกันแล้ว” เจฟ์ฟเตือนสติทุกคน โดยเฉาะร่างเล็กตรงหน้าที่ดูจะเหม่อลอยจนน่าเป็นห่วง

“ให้ข้าไปกับพวกปีศาจดีไหม” เสียงที่ไม่แน่ใจเอ่ยออกมา พร้อมกับกุมมือที่สั่นของตัวเองแน่น ไม่กล้ามองหน้าทุกคนที่ยืนอยู่ และคำพูดนั้นก็ทำให้ทั้งสามคนถึงกับตกใจ

“อลัน! ทำไมเจ้าพูดเยี่ยงนี้” เป็นยายที่มาจับไหล่หลานตัวเองแล้วเอ่ยถามอย่างตกใจ

“ฮึก ข้าไม่อยากให้ใครตาย” อลันเงยหน้าพร้อมกับน้ำตาไหลเป็นสาย ความกลัวว่าจะสูญเสียคนที่ตัวเองรักก็ทำให้อลันทรมานแทบขาดใจตายด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่อยากเสียน้องและยายไป

“ตายก็ตายด้วยกัน ข้าไม่กลัวหรอก” ไอลีนตอบเสียงเครือ น้ำตาก็หยดไหลไม่ต่างกับพี่ชาย ถ้าเกิดปีศาจมันไม่ได้สิ่งที่มันต้องการ จะถูกฆ่าตายทั้งหมดเธอก็ไม่กลัว  ซึ่งยายก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ใช่ เจ้าห้ามคิดแบบนั้นเด็ดขาด บางทีเรื่องมันอาจไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น เจ้าอย่าเพิ่งกังวลวิตกไป ทุกอย่างต้องมีหนทาง” เจฟ์ฟพูดขึ้น มองคนที่เอ่ยคำพูดแบบไม่รักตัวเองด้วยสายตาไม่พอใจครุ่นโกรธ เขาเข้าใจความรู้สึกนั้นดี แต่จะเอาตัวไปถวายให้พวกปีศาจง่ายๆแบบนั้น มันก็ทำให้เขาโกรธไม่น้อย

“…”

“เรารีบไปกันเถอะ”

   ร่างสูงของเจฟ์ฟที่เป็นที่พึ่งเดียวของอลันเอ่ยบอก อลันลุกขึ้นด้วยสภาพร่างกายที่ดีขึ้นกว่าหลายวันก่อน บาดแผลที่ได้รับวันนั้น ถึงแม้จะยังไม่หายสนิท แต่แผลก็สมานกันเรียบร้อยรอแค่ตกสะเก็ดหายดีเท่านั้น แต่บาดแผลทางใจก็หนักอึ้ง แทบกรีดลึกจนร้าวราน ไปทั่ว เมื่อเผลอโทษตัวเองซ้ำๆที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

   “บางทีอาจจะไม่ใช่เจ้าก็ได้” คนตัวโตเอ่ยปลอบ พร้อมกับยีเส้นผมอย่างที่เคยทำ อลันเงยมองคนปลอบที่มองเขาด้วยแววตาอ่อนโยนและเป็นห่วงไม่ปิดบัง เขาจึงทำได้แค่พยักหน้ารับทั้งน้ำตา หวังว่าคำพูดของคนตรงหน้าจะเป็นจริง

มันอาจจะไม่ใช่เขาก็ได้

“ขอบคุณท่านมาก” อลันก้มหน้าขอบคุณอย่างซึ้งใจ ไม่แม้จะสบตามองด้วยซ้ำ พลางปาดน้ำตาตัวเองที่ไหลออกมาไม่หยุด และทำให้คนรอบข้างเป็นห่วงอยู่เสมอ

คนตัวโตแค่ยิ้มรับคำขอบคุณเท่านั้น ก่อนจะนำพาทั้งสามออกจากบ้านตัวเอง ตรงไปยังวังหลวงที่ผู้คนต่างเร่งรีบเข้าไปในนั้น อลันหันมองซ้ายขวาหลังจากออกจากบ้านคนตัวโต มองหาสุนัขคู่ใจของตัวเอง ที่พากันหนีตายเข้ามาในเมืองหลวงก่อนหน้าหลายวัน ดอร์กี้มันวิ่งนำล่วงหน้าเขาไป จากนั้นก็คลาดกันตอนเข้าไปข้างใน  อลันไม่เห็นมันอีกเลยตั้งแต่นั้นมา ถึงเขาจะห่วงมัน แต่เขาก็ห่วงยายและน้องมากกว่า ดอร์กี้มันฉลาด เขารู้ว่ามันเอาตัวรอดได้และจะหาเขาเจอในที่สุด  ดังนั้นเขาจึงหันไปสนใจคนข้างๆและโอบประคองโดยมีไอลีนช่วย โดยมีมือทั้งคู่กอบกุมกันไม่คลาย อย่างน้อยก็ให้รู้ว่าเขายังมีทั้งสองอยู่ข้างกาย

และเขาก็จะไม่มีวันทิ้งสองคนนี้เด็ดขาด

   เมื่อเข้ามาในวังหลวงทั้งหมด ก็เกือบจะคล้อยบ่าย ทุกคนที่เข้ามาทั้งหมดในเขตวังหลวงต่างพากันร้องไห้และพูดคุยกันระงมไม่หยุดหย่อน รอบกำแพงวังก็เต็มไปด้วยทหารอารักขาป้องกันแน่นหนา พื้นที่ในเขตวังกว้างขวางมากพอที่จะบรรจุคนนับหลายร้อยหลายพันคนได้โดยไม่เบียดเสียดหรือล้มทับกัน ส่วนตรงกลางลานก็มีบ่อน้ำพุขนาดใหญ่เป็นรูปม้าที่มีอัศวินจับดาบตั้งตระงานน่าเกรงขามอยู่  ตรงส่วนปราสาทก็จะมีแท่นหินยื่นออกมา เป็นที่ประทับของกษัตริย์และใช้ป่าวประกาศในงานพระราชพิธีต่างๆหรือกิจกรรมงานสำคัญ

   จนกระทั่งไม่นาน เสียงพูดคุยต่างๆนาๆก็พลันเงียบสงบ เมื่อเห็นกษัตริย์องค์ปัจจุบันขึ้นประทับบนนั้น อลันที่ไม่เคยเห็นพระพักตร์กษัตริย์  ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองดูให้เป็นบุญตาสักครั้งในชีวิต

   อ๊ากกกก

ยังไม่ทันที่อลันจะเงยมอง เสียงกรีดร้องโหยหวนภายนอกกำแพงวังก็ดังขึ้น พร้อมกับบรรยากาศรอบตัวเย็นละเยือก ไม่นับรวมท้องฟ้าที่ถูกบดบังด้วยก้อนเมฆทะมึนสีดำ บดบังแสงอาทิตย์จนหายไป  เมฆหมอกเริ่มคืบคลานปกคลุมรอบกำแพง ยิ่งทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในเขตวังหลวงรวมทั้งเขากรีดร้องอย่างหวาดกลัวและเสียขวัญ

พวกมันมาแล้ว!

   อลันแทบจะหายใจไม่ออกกับบรรยากาศที่เคยสัมผัส พลางจับมือยายและน้องแน่นก่อนจะพากันถอยล่นหนีไปท้ายกลุ่มคน ที่กระสับกระส่ายร้องระงมด้วยความกลัว ไม่ต่างจากกษัตริย์ผู้นำที่แทบจะข่มความกลัวเอาไว้ไม่ได้เช่นกัน

หวี๊ดดดดดดดดดดด

   ฟึบ ฟึบ

   เสียงกรีดร้องบางอย่างบนท้องฟ้าที่มืดสนิททำให้ผู้คนแหงนมอง มันกรีดร้องสนั่นไปทั่วผืนฟ้า เงาตะคลุ่มผ่านกลุ่มเมฆดำทำให้เห็นรูปร่างขนาดใหญ่ของมันบินวนรอบไปมา  ทุกคนที่อยู่บนพื้นดินต่างร้องไห้และก้มหน้าปิดหูตัวเองแน่น เพราะเสียงแหลมของมันเสียดบาดหูจนแก้วหูอาจทะลุกแตกได้

   ปัง!

   บานประตูที่ป้องกันเขตวัง พังลงตรงต่อหน้าตามมาด้วยกลุ่มหมอกควันสีขาวน่ากลัวที่คืบคลานเข้ามาข้างในอย่างช้าๆ และในกลุ่มหมอกควันนั้นยังมีบางอย่างที่รูปร่างเหมือนคนอยู่ในนั้นด้วย และแน่นอนมันคือพวกปีศาจ

หวี๊ดดดดดดดดดดด

   ฟึบ ฟึบ

   พรึบ!

   บางอย่างที่บินอยู่บนฟากฟ้าส่งเสียงกรีดร้องไม่หยุด ก่อนจะบินโฉบลงมาเกาะที่สันกำแพงเขตวังและกระพือปีกขนาดใหญ่จนเกิดลมที่ก่อขึ้นเป็นพายุ ยามมันกระพือปีกไปมา ผู้คนที่อยู่ภายใต้เขตวัง ล้มลงและถูกพัดกระจัดกระจายเกลื่อนบนพื้น

   อลันที่หลบอยู่หลังเสาข้างปราสาทมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยความกลัวสุดใจ ยิ่งเห็นบางอย่างที่อยู่บนกำแพงนั้นแล้ว แทบจะคุมร่างกายตัวเองไม่ให้สั่นไม่ได้ มันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ คล้ายมังกร แต่ผิดแปลกที่มันกลับมีผิวเรียบดำสนิท ส่วนหัวของมันมีเขางอกออกมา1คู่ มีฟันยาวแหลมน่าสะพรึงพร้อมฉีกกระชากสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง ลำคอของมันยาวเฟื้อยคล้ายงู แผงคอคล้ายกิ้งก่ายักษ์ ปีกมันกว้างใหญ่เกือบร้อยเมตร และเต็มไปด้วยกรงเขี้ยว หางมันก็เต็มไปด้วยหนามแหลม บนตัวเจ้าสิ่งมีชีวิตน่ากลัวนั้นมีใครบางคนควบคุมมันอยู่ โดยปกปิดตัวเองโดยการคลุมผ้าสีดำสนิท

เหมือนปีศาจในป่านั้น

และมันกำลังมองลงมาที่กลุ่มคนที่อยู่บนลานวังที่หนีตายอลหม่าน โดยมีสัตว์ที่คล้ายมังกรส่งเสียงกรีดร้องไม่หยุด ก่อนมันจะสั่งให้เงียบไป ตามมาด้วยหมอกควันที่หยุดแผ่คลุม และตอนนี้มันก็โอบล้อมพวกเขาทั้งหมดไว้ จากนั้นคนที่เป็นผู้สั่งการของปีศาจก็ควบคุมมังกรให้บินร่อนลงแตะที่พื้น จากนั้นก็ก้าวลงมา พร้อมกับคำพูดทีทำให้ทุกคนหวาดหวั่นเป็นที่สุด

 “ส่งสิ่งนั้นมา”

น้ำเสียงแหบพร่า ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกติดขัดราวกับหายใจไม่ออก ราวกับถูกกระชากวิญญาณไป อลันที่แทบจะทรุดลงพื้นด้วยความกลัว แต่บางสิ่งที่อลันรู้คือ น้ำเสียงนั้นไม่ใช่เสียงเดียวกันกับที่เขาเจอในป่า

“ขะ ข้าเอลอน กษัตริย์แห่งเลอเวียร์ ผู้แทนมวลมนุษย์ทั้งหมด ข้าขอเจรจาถึงสิ่งนั้นได้หรือไม่” กษัตริย์เอลอนที่ถูกทหารคุ้มกันเอ่ยขึ้นมา น้ำเสียงตระหนกหวาดกลัวเด่นชัดยิ่งทำให้ชาวบ้านต่างพากันเสียขวัญหนัก

“ไม่!” ถ้อยคำปฏิเสธดังลั่น ราวกับฟ้าผ่า ทำเอากษัตริย์ถึงกับหน้าซีดและขยับถอยหลังหนีด้วยความกลัว คร้านจะหันหลังวิ่งหนีอย่างคนขลาด ก็พลันเห็นสายตาและสีหน้าของชาวบ้านที่มองตนราวกับความหวังสุดท้าย จึงทำให้ตนไม่สามารถทิ้งประชาชนตัวเองได้

“ท่านบอกได้หรือไม่ ว่าสิ่งใดที่ท่านต้องการ ข้าจะหามาให้ทันที” ผู้นำมนุษย์รวบรวมความกล้าที่แสนน้อยนิดของตนเอ่ยถามปีศาจตรงหน้า

“ผู้ที่มีเลือดแสนล้ำค่าไหลเวียนอยู่”

!!

คำตอบของปีศาจไม่ทำให้กษัตริย์เอลอนรู้แจ้งได้ชัด นอกเสียจากว่าตอนนี้เขารู้ว่าปีศาจต้องการ คือ ‘คน’ และมันทำให้ตัวเขาเริ่มสิ้นไร้ปัญญาหาคนผู้นั้น

เขาจะหา ‘คนนั้น’ ได้จากที่ใดกัน

“ท่านช่วยอธิบายเพิ่มได้หรือไม่” บรรยากาศอึมครึมกดดัน แทบจะสิ้นไร้อากาศหายใจ หลังจากที่ผู้นำมนุษย์เอ่ยถามปีศาจตรงหน้า อย่างไร้หนทางรู้

“จงดูไว้”

ฟรึบ!

กรี๊ดดดดดดดด

ปีศาจที่อยู่ในผ้าคลุมสีดำยื่นมือออกไปทางกลุ่มชาวบ้าน ทันใดนั้นไป ร่างหญิงสาวโชคร้ายคนหนึ่งก็ลอยปลิวเข้าหามือที่ยืนออกไป ก่อนจะถูกกอบกุมคอเรียวจนหญิงสาวตาเหลือกแทบถลน ยังไม่ทันได้ร้องขอความช่วยเหลือ มืออีกข้างของปีศาจก็พุ่งเข้าไปตรงส่วนของหัวใจแล้วกระชากสิ่งนั้นออกมา จนเลือดพุ่งไหลทะลัก สิ่งที่อยู่ในมือปีศาจกลับเต้นตุบๆอย่างน่ากลัว

หมับ!

จากนั้นมือปีศาจก็บีบขยำก้อนหัวใจจนแหลกละเอียดคามือ หยดเลือดไหลไหลอาบตามมือปีศาจ หลั่งรินลงพื้นเจิงนองคาวคลุ้งอย่างสะอิดสะเอียน ผู้คนที่อยู่รายรอบ ไม่เว้นแม้แต่กษัตริย์ก็แทบสะเสียสติกับสิ่งที่น่าสยดสยองตรงหน้า

“ผู้นั้นมีสีเลือดที่ต่างออกไป ถ้าเจ้าไม่ส่งผู้นั้นมา ข้าจะฆ่าประชาชนของเจ้าทีละคน จนกว่าจะรู้ว่าเป็นใคร” น้ำเสียงเลือดเย็นอำมหิตเอ่ยบอก ก่อนจะทิ้งหัวใจของหญิงโชคร้ายผู้นั้นลงพื้นราวกับสิ่งไร้ค่า

อลันที่ได้ยินแทบจะหัวใจหยุดเต้น พวกมันหมายถึงเขา และพวกมันต้องการเขา ถ้าพวกมันยังไม่ได้ มันก็จะฆ่าผู้คนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ และเลือดของผู้คนคงไหลนองแดงฉานไปทั่วอาณาจักรอย่างแน่นอน และยายกับน้องของเขาก็จะไม่รอดเช่นกัน

 “ขะ ข้าขอเวลา!” กษัตริย์เอลอนโพล่งขึ้น

“ได้สิ ข้าให้เวลาเจ้า แต่ข้าจะฆ่าคนของเจ้าตามเวลาที่รอแล้วกัน” ปีศาจหัวเราะเสียงน่ากลัวตอบรับ มันไม่มีความเห็นใจ ไม่มีความสงสาร พวกปีศาจที่อยู่ในหมอกควันหัวเราะน่ารังเกียจ และชอบใจที่นายมันพูดแบบนั้น

“เพราะนายของข้ารออยู่”

กรึบ

อ๊ากกกกกกกก

สิ้นคำพูดปีศาจ ชาวบ้านที่หันหลังวิ่งหนี กลับถูกกระชากลอยดึงและถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทีละคน กษัตริย์เอลอนมองภาพตรงหน้าเลิกลั่กอย่างหวาดกลัว ขาสองข้างก็พลันถอยหลังเรื่อยๆ ไม่มีทางที่จะหาคนผู้นั้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว ประชาชนคงถูกฆ่าตายหมดเสียก่อนแน่ จึงตัดสินใจอย่างคนขลาด หันหลังหนีอย่างผู้แพ้ แต่ไม่ทันจะเข้าไปในปราสาท เสียงชาวบ้านคนหนึ่งก็ตะโกนร้องขึ้นมาเสียก่อน

“ข้ารู้! ข้ารู้ว่าเขาเป็นใคร” ชายคนหนึ่งที่คุ้นหน้าวิ่งออกไปตรงลาน ที่ปีศาจกำลังฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ ปีศาจมันชะงักแล้วเอ่ยถามชายตรงหน้าอย่างต้องการคำตอบ

“ใคร” เสียงต่ำเอ่ยถามจนคนที่รู้ตัวถึงกับใจหาย ก่อนชายคนนั้นที่เขาคุ้นหน้าดี ยื่นมือชี้นิ้วมาที่เขาขณะหลบซ่อนอยู่

“เขาอยู่นั่น”



:katai1: :katai1: :mew6:

ออฟไลน์ 10969

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ตอนที่ 11

King of Demon





“เขาอยู่นั่น”

ไม่นะไม่

อลันหน้าซีดเผือด กายสะท้าน มือที่เคยชุ่มเหงื่อกับเย็นเฉียบ พร้อมกับลมหายใจชะงักหลุดหายไป นัยน์ตากวางตวัดมองใบหน้าผู้ชายที่ตนรู้จักเป็นอย่างดี  และไม่คาดคิดว่าคนนั้นจะรู้ความลับของเขา

“จอร์ฟฟี่”

เสียงที่เอ่ยออกมาช่างยากลำบาก เมื่อน้องชายคนที่อลันไว้ใจ วิ่งไปหาปีศาจและชี้นิ้วมาที่เขา พลันหันไปมองคนตัวโตที่อยู่อีกมุมหนึ่งด้วยความรู้สึกผิดหวังและเสียใจ คิดว่าคนตัวโตคงเล่าเรื่องทุกอย่างให้น้องชายตัวเองฟัง

เจฟ์ฟที่อยู่อีกมุมหนึ่ง พร้อมกับหลานตัวน้อยสองคนที่เขากำลังปกป้องอยู่ ตอนนี้กำลังถูกอลันเข้าใจผิด เพราะสายตาอีกฝ่ายนั้นเสียใจจนคนที่ถูกมอง เจ็บหน่วงไปทั้งข้างใน  แต่ในเวลานี้เขาก็ไม่มีเวลาจะไปอธิบาย ในเมื่อสถานการณ์ตอนนี้ยากต่อการตัดสินใจ เขาโกรธที่น้องชายแอบตามตนเองมาและได้ยินความลับของอีกฝ่ายเข้า เขารู้ว่าน้องชายตัวเองจำเป็นที่ต้องบอกปีศาจเมื่อภรรยาของตนกำลังถูกสังหาร

เป็นครั้งแรกที่เจฟ์ฟทำตัวไม่ถูก ได้แต่หลบสายตาเศร้าคู่นั้น  และเขาก็ไม่มีทางเลือก ในเมื่ออ้อมแขนเขามีหลานที่น่ารักให้เขาปกป้องอยู่ จะให้ทิ้งครอบครัวตัวเองเพื่อปกป้องอีกฝ่าย เขาก็ทำไม่ได้ เขารู้สึกผิด และเสียใจ ที่ทุกอย่างมันกลายมาเป็นแบบนี้  ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นฝ่ายพูดออกไปก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้สึกว่าเขาเหมือนคนไม่รักษาสัญญา

สัญญาว่าจะไม่บอกความลับนี้กับใคร

แต่สุดท้ายเขาก็เลือกครอบครัวตัวเอง และปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไป



 “เจ้ารู้ได้อย่างไร” ปีศาจเอ่ยถาม มือก็ยังคงบีบกุมลำคอเรียวของหญิงสาวไม่คลาย ความมืดในผ้าคลุมนั้นตวัดหันมามองทางอลันที่กอดอยู่กับครอบครัว โดยไร้หนทางหนี ที่นี่เหมือนเป็นกรงขังสำหรับตัดสินชีวิตพวกเขาทั้งหมด

“ขะ ข้าได้ยินพวกเขาพูดกัน ข้ามั่นใจ ได้โปรด ท่าน ปล่อยภรรยาข้าเถิด” จอร์ฟฟี่รีบตอบอย่างร้อนรน พร้อมกับล่ำลักคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตภรรยาตัวเอง ที่เริ่มจะขาดอากาศหายใจอยู่ทุกเมื่อ อันที่จริง เขาเองก็ไม่ได้แน่ใจ แต่หลังจากน้องชายของเขา มาเอาพวกยาสมุนไพรต่างๆ ในวันนั้น เขาก็สงสัยและแอบตามมา จนกระทั่งได้ยินบางอย่างจากเด็กที่ชื่ออลัน

‘พะ พวกมันรู้แล้ว พวกมันรู้ว่าเป็นเจ้า พวกมันจะเอาเจ้าไป!’

‘อลัน ปีศาจมันจะตามล่าเจ้า ฮึก มันจะตามล่าเลือดของเจ้า’

ประโยคสุดท้ายก่อนที่เขาจะหลบหนีไป เพราะเกือบจะถูกจับได้หลังจากแอบฟัง ตอนแรกเขาก็ไม่เข้าใจเท่าใดนัก แต่หลังจากที่ปีศาจล้อมรอบเมืองและตามหาบางอย่างที่แม้แต่กษัตริย์ของพวกเขายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนกระทั่งปีศาจมันพูดขึ้นมา ว่าสิ่งนั้นเป็น มนุษย์

และเลือดที่ต่างจากคนทั่วไป

‘อลัน ปีศาจมันจะตามล่าเจ้า ฮึก มันจะตามล่าเลือดของเจ้า’

เขาจึงมั่นใจว่าต้องเป็นเด็กที่ชื่อ อลัน อย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่คิดจะป่าวประกาศหรือเอ่ยบอกใคร อย่างน้อยเด็กคนนั้นเขาก็เคยเอ็นดูในความใสซื่อและจริงใจของอีกฝ่าย ไหนจะพี่ชายตนดูจะเป็นห่วงเป็นใยเด็กคนนี้เป็นพิเศษ เขาจึงปิดปากเงียบมาตลอด

จนกระทั่ง..

ภรรยาของเขากำลังถูกปีศาจสังหาร เพื่อหาใครคนนั้น  คนที่มันต้องการ  และเขาก็ไม่รอช้าที่จะช่วยภรรยาของเขา ถึงแม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองได้ยินนั้นจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อย สิ่งที่เขาพูดไปก็ทำให้ปีศาจละมือที่จะสังหารภรรยาของเขาไป

พรึบ

ตุบ!

“ดาวิน่า!” จอร์ฟฟี่วิ่งถลาไปประคองภรรยาตัวเองที่ถูกโยนทิ้งไปอีกทางอย่างไม่ใยดี ก่อนจะประคองกอดปลอบร่างบางนั้นไว้แน่น ตาก็มองไปยังปีศาจที่เบนความสนใจไปหาคนที่เขาเพิ่งกล่าวหาไปพร้อมกับเอ่ยขอโทษในใจ

ข้าขอโทษอลัน

“เป็นเจ้าอย่างนั้นรึ” ปีศาจเอ่ยถามเสียงเนิบนาบแต่เต็มไปด้วยความเย็นละเยือก จนคนถูกถามใจเต้นระส่ำหวาดกลัวจับใจ

“ใช่ข้าเอง!”

“ยาย/ยาย!”

สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เมื่อยายเดินมาข้างหน้าพวกเขาทั้งสองและกางมือปกป้อง อลันกับไอลีนถึงกับร้องเรียกผู้เป็นยายเสียงหลง

“ยายแก่แบบเจ้างั้นรึ” น้ำเสียงของปีศาจเหมือนจะครุ่นไปด้วยโทสะ หลังจากเห็นยายยืนเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

“ใช่ เป็นข้าเอง ข้ากินดอกซียาน่าเข้าไป เลือดของข้าจึงแตกต่างจากผู้อื่น” ยายตอบออกไปอย่างไม่เกรงกลัว และนั้นทำให้ปีศาจมันชะงักนิ่ง

“มะ ไม่นะยาย ฮึก” อลันจับมือยายดึงรั้งออกมา แต่ยายก็ผลักเขาออกห่างและเผชิญหน้ากับปีศาจ ถ้าคนที่จะถูกจับตัวไป ขอให้เป็นเธอแทน อย่างน้อยชีวิตเธอก็อยู่ลืมตามานานมากเกินพอแล้ว

อลันที่หลบอยู่ด้านหลังอย่างกับคนขลาด ได้แต่สะอึกสะอื้นกอดน้องแน่น มองแผ่นหลังของยายที่ปกป้องตัวเองอยู่ด้วยความละอายและเสียใจ แต่ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้ยายและน้องปกป้องเขาอีกต่อไปแล้ว เขาจะเป็นฝ่ายที่ปกป้องทั้งสองบ้าง

“ถ้าโลหิตของเจ้าหลั่งออกมาเป็นสีแดงฉาน ข้าจะไม่ลังเลที่จะสังหารเจ้า” ปีศาจเดินเข้ามาใกล้ หมายจะเอื้อมมือมาจับยายเพื่อพิสูจน์หลักฐาน ดังเช่นชาวบ้านก่อนหน้านั้นที่ถูกสังหารไป อลันได้ยินดังนั้น แทบใจหาย ไม่รอช้าที่จะพลีพลามวิ่งไปหาผู้เป็นยาย

“ยะ อย่านะ อย่าทำอะไรยายข้า!”

“อลัน!” ยายเรียกหลานตัวเองลั่น เมื่อหลานพุ่งมากอดตัวเองไว้แน่นและดึงห่างจากปีศาจร้ายที่กำลังจะเอื้อมหมายจะพิสูจน์

“ฮึก ข้าเอง! เป็นข้าเอง อย่าทำอะไรยายและน้องข้าเลย” อลันอ้อนวอนปีศาจตรงหน้าทั้งน้ำตา ก่อนจะยื่นแขนตัวเองออกไปตรงหน้าปีศาจ

“…”

“ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านกรีดแขนข้าดูได้”

“อย่านะอลัน!!” ยายร้องห้าม ส่ายศีรษะไปมา จนปีศาจมันตวัดมองมาที่เธออย่างสงสัย และทันใดนั้นเธอถึงรู้ว่าปีศาจเริ่มคล้อยตามสิ่งที่หลานเธอพูดไปทั้งหมด

“หึหึ ถ้าเจ้าบังอาจหลอกลวงข้า มนุษย์พวกนี้ข้าจะสังหารให้หมด!” ปีศาจเอ่ยเสียงน่ากลัว ทำให้ชาวบ้านที่ได้ยินต่างพากันร้องไห้ระงม และหาทางวิ่งหนีอลหม่าน แต่สุดท้ายก็หนีไปไหนไม่พ้นเมื่อถูกปีศาจและหมอกสีขาวล้อมไว้

“ฮึก ข้าของร้อง อย่าทำอะไรพวกเขา” อลันละล่ำละลักบอก พร้อมกับคุกเข่าวอนให้เมตตา แต่สิ่งที่ปีศาจตรงหน้าตอบกลับมาคือเสียงหัวเราะสะพรึง ก่อนจะคว้าแขนเล็กของเขาขึ้น แล้วใช้ปลายนิ้วที่มีเล็บยาวดั่งใบมีด กรีดลึกเป็นเส้นยาว

“อึก” อลันกัดปากตัวเองแน่น ความแสบร้าวเจ็บลึก ยามเล็บแหลมกรีดที่แขนตัวเอง

แหมะ

แหมะ

หยดเลือดของอลันหยดลงนองพื้น พร้อมกับปีศาจปล่อยแขนของเขาเป็นอิสระ ยายกับไอลีนจึงรีบวิ่งมาประคองเขาและกอดไว้ร้องไห้ราวกับจะขาดใจ เขามองหยดเลือดตัวเองที่อยู่บนพื้น รายรอบด้วยความมืดที่ปีศาจสรรสร้างขึ้นมา

ฮือฮา

ไม่นานเสียงผู้คนที่อยู่หลายล้อม และเห็นบางอย่างที่เปลี่ยนไปบนพื้น หยดเลือดที่ถูกปีศาจกรีดแขนตอนนี้มันกำลังเรืองแสงสีม่วงมรกต ท่ามกลางความมืด ชาวบ้านต่างพากันตกใจและร้องเสียงหลง พลันถอยห่างจากพวกเขาทั้งสามราวกับเป็นตัวแปลกประหลาด ก่อนจะเริ่มมีคำด่าทอและสาปแช่งตามมา

“มันไม่ใช่มนุษย์!”

“เลือดนั่นไม่ใช่คน!”

 “มันเป็นพวกปีศาจ!”

“เพราะมันที่พาปีศาจมาที่นี่”

“เพราะมัน หลายคนถึงถูกฆ่า”

อลันได้ยินทุกคำพูดที่ต่อว่ารายล้อมรอบตัว อ้อมแขนอบอุ่นของยายและน้องก็กอดเขาแน่นขึ้นราวกับจะปกป้องไม่ให้คำพูดพวกนั้นทำร้ายเขาได้  อลันได้แต่ร้องไห้ซบอกยาย และเริ่มต่อว่าชะตาตัวเองที่ทำให้ตัวเขาเองต้องมาพบเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้

“เจ้า..” ปีศาจตนนั้นตะลึงตกใจ เมื่อเห็นหยดเลือดบนพื้น พร้อมกับส่งกลิ่นหอมยั่วยวนอย่างน่ากลัว จนปีศาจชั้นต่ำที่อยู่รายล้อมชาวบ้าน เริ่มหันเหความสนใจตามกลิ่นเชิญชวนที่หยดอยู่บนพื้นดินแทน และเริ่มส่งเสียงอาละวาด เพื่อค้นหาสิ่งหอมยั่วใจนั้น

เจอแล้ว

เลือดล่ำค่า

แม้เพียงน้อยนิดก็ทำให้ปีศาจคลุ่มคลั่งกระหายได้ถึงเพียงนี้  แม้แต่ตนเองยังเผลอสูดกลิ่นหอมหวานนั้นไปอึดใจ จู่ๆร่างกายราวกับมีกำลังวังชาอย่างน่าประหลาด ถ้าได้ลิ้มลองคงต้องแข็งแกร่ง ยากที่ใครจะสามารถต้านทานได้ มีพลังเหนือปีศาจทั้งปวง

เหนือทุกสิ่งบนโลกใบนี้

 สิ่งนี้ที่นายของตนต้องการ

หมับ!

“นายของข้ารอเจ้าอยู่”

ปีศาจพึมพำบางอย่าง ปรากฏกลุ่มเมฆควันเสียดำเข้าไปตวัดคว้าเด็กหนุ่มที่มีเลือดล่ำค่าโอบอุ้มไว้ เพื่อที่จะพาไปถวายให้แกนายท่านที่รออยู่ปราสาทใหญ่

“อลัน! ไม่นะ ปล่อยหลานข้า ฮือ” ยายพยายามรีบคว้าตัวอลัน แต่ปีศาจตัวสูงใหญ่กับตวัดมือเพียงหนเดียวทั้งยายและไอลีนต่างกระเด็นถอยห่างออกไป

“ ยาย!!” อลัน กรีดร้องลั่นดิ้นพล่าไปมาอยู่กลางอากาศ น้ำตาที่พลั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย ร้องเสียงยายรักของตัวเองไม่หยุด เมื่อเห็นปีศาจทำร้ายยายและน้องตัวเอง แต่กลุ่มหมอกสีดำนั้น ราวกับเชือกมัด ไม่สามารถขยับหรือดิ้นหนีได้

“เจ้ายอมไปกับข้าแต่โดยดี มิเช่นนั้นข้าจะสังหารพวกมันทั้งหมด” สิ้นคำพูดปีศาจ อลันตัวชาวาบ ลมหายใจขาดห้วงฉับพลัน ตาช้ำที่ร้องไห้อย่างหนักก้มมองเบื้องล่าง ผู้คนที่กรีดร้องอ้อนวอนให้ปีศาจไว้ชีวิต อลันหันไปมองยายและน้องที่กอดกันอยู่บนพื้นด้วยใจที่บีบรัดแน่น

ถ้าเขายอมไป ชาวบ้านทั้งหมดก็จะปลอดภัย รวมถึงยายและน้องของเขาด้วย ปีศาจมันแค่ต้องการเขาเพียงคนเดียว มันแค่ต้องการสิ่งที่อยู่ในตัวเขาเท่านั้น

“อย่าไปอลัน อย่าไป ฮือ” ยายรีบวิ่งทั้งที่ขาตัวเองไม่แข็งแรง ทั้งล้ม แต่ก็ลุกขึ้นมาใหม่เพื่อที่จะอ้อนวอนขอให้เขาไม่ไป

“ฮึก ยาย” อลันเรียกยายอย่างเจ็บปวดทรมาน อยากจะวิ่งไปกอดใจแทบขาด แต่ปีศาจตนที่มันจับอลันไว้ ก็เดินไปหยุดอยู่ที่ตรงหน้ายายก่อนที่ ยายจะมาถึงตัวเขา

หมับ!

 มือปีศาจกอบกุมลำคอทั้งยายและไอลีนแล้วยกลอยสูง ทั้งสองตาเลือกลานกุมคอตัวเองแน่นคล้ายกำลังขาดอากาศหายใจ ขาสองข้างปัดป่ายไปมาดิ้นรน

“อย่าทำพวกเขา!  ฮึก อย่าทำยายและน้องข้า  ขอร้อง อย่าทำพวกเขา ฮืออ” อลันตะโกนอ้อนวอนทั้งน้ำตา เห็นสีหน้าทรมานทั้งสอง กรีดบาดลึกในใจของอลันแทบสิ้นสติ

“ฮืออ ข้ายอมไปแล้ว ไว้ชีวิตพวกเขาด้วย” ใบหน้าที่เริ่มแดงก่ำของทั้งสอง ทำให้อลันตัดสินใจครั้งสำคัญ เพื่อที่จะรักษาชีวิตของทั้งสองเอาไว้  ถึงว่าว่าตนเองจะต้องพบเจอสิ่งที่เลวร้ายมากกว่า เขาก็ยอม ทุกอย่างเป็นเพราะเขา

“ข้าจะไว้ชีวิตคนพวกนั้น” ปีศาจได้ยินดังนั้นก็ปล่อยทั้งสองลงพื้นทันที พร้อมกับเดินมาหาเขาที่ถูกหมอกควันโอบรัดอยู่

แค่เพียงคนเดียว แลกกับนับพันชีวิต

เขาให้ได้ ขอแค่ให้น้องและยายมีชีวิตต่อไป

อลันไม่เคยคิดว่าตัวจะตัดสินผิดพลาดที่ยอมทิ้งชีวิตตัวเองให้ปีศาจ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าสามารถปกป้องคนที่ตัวเองรักได้ ถึงแม้จะแลกมาด้วยความเสียใจ และเสียงร่ำไห้ราวกับจะขาดใจของผู้เป็นยาย

“ขะ ข้าจะไม่ตาย” อลันพูดเสียงเครือ พยายามฝืนยิ้มทั้งน้ำตา บอกยายและน้องที่นั่งกอดกันอยู่ที่พื้น

“ข้าจะไม่ยอมตายเด็ดขาด!”

 อลันให้คำมั่นสัญญา ถึงแม้ภายภาคหน้าที่กำลังเผชิญจะโหดร้าย ทรมานแค่ไหน เขาสัญญาว่าจะอดทน จะรักษาชีวิตตัวเองเพื่อกลับไปหาทั้งสองอีกครั้ง ตาที่พร่าไปด้วยน้ำตามองไปที่ ยายและน้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถูกพาขึ้นไปบนสัตว์ปีศาจตัวใหญ่คล้ายมังกร แล้วเอ่ยคำสัญญาที่แนบตรึงสลักไว้ข้างใน

‘ข้าสัญญา’

“อลัน!!!!!!!!”

เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายของคนที่อลันรัก พร้อมกับร่างนั้นล้มหมดสติแน่นิ่งไป ข้างกายเป็นน้องสาวที่ร้องไห้ราวกับจะขาดใจที่สูญเสียพี่ชายให้กับปีศาจร้าย ที่พาเขาบินขึ้นลอยเหนือฟ้าที่มืดมิด 

“ฮึก ฮืออออ” อลันกุมที่น่าอกตัวเองแน่น และร้องไห้ออกมาใจจะขาด ทั้งบีบทั้งขยุ้มราวให้กับความเจ็บปวดที่สาดซัดเข้าใส่ พร้อมกับพร่ำขอโทษคนที่รักซ้ำไปซ้ำมา

ข้าขอโทษ..



จนกระทั่ง  แสงไฟเริ่มริบหรี่ในดินแดนมนุษย์และถูกแทนที่ด้วยความมืดและเหน็บหนาวของดินแดนปีศาจ  สัตว์ปีศาจกระพือปีกกว้างยาวครองท้องฟ้านภา บินเข้าสู่ ‘เขตต้องห้าม’ ที่มีเจ้าแห่งปีศาจรออยู่

พึบ พึบ!

เสียงกระพือปีกยามบินลงต่ำ ผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ที่ลำต้นสูงใหญ่น่ากลัวต่างจากต้นไม้ในแดนมนุษย์อย่างสิ้นเชิง แรงพัดทำให้เหล่าหมู่ต้นไว้พวกนั้นเอนไหวไปตามแรง ไม่นานอลันก็เห็นบางอย่างที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อจู่ๆสัตว์ปีศาจทะยานบินขึ้นสูงเหนือเมฆอีกครั้ง

ปราสาทสูงใหญ่ก่อตั้งบนยอดภูเขาสูงจนมองไม่เห็นปลายยอด ตัวปราสาทดูเก่าแต่ยังคงแข็งแรง ดูยิ่งใหญ่ลึกลับและน่ากลัว  ตัวปราสาทแทบจะมีไม่แสงไฟให้เห็น ยิ่งดูน่าวังเวงขนหัวลุก

อลันร้องไห้อย่างหนักจนอ่อนเพลีย แต่ก็ยังคงมีสติไม่เลือนหาย จึงหลับตายอมรับชะตากรรมตัวเองเมื่อสัตว์ปีศาจกำลังบินร่อนลงที่พื้นอย่างช้าๆ

ร่างกายเล็กหนาวเหน็บ และสั่นเทิ้ม มันเย็นเยือกราวกับที่แห่งนี้เป็นน้ำแข็ง ปีศาจร้ายคนที่จับตัวอลันมา ลงจากสัตว์ปีศาจ และคว้าแขนของอลันให้ลงมาที่พื้นอย่างแรง

ตุบ!

“อึก” อลันทรุดลมลงพื้น  พร้อมกับกลั้นก้อนสะอื้นไว้ในลำคอ ตาสั่นระริกหันมองความมืดรอบตัวที่เป็นลานกว้างมีหญ้าสีดำอยู่บนพื้น เพียงแค่นั้นน้ำตาที่กักเก็บไว้ก็ไหลพรากด้วยความกลัว

ไม่รอให้อลันได้ทำใจ ปีศาจร้ายก็ลากอลันให้เข้าไปในปราสาทใหญ่ที่อยู่บนสุดของปราสาท ความเย็นและความชื้นตามโถงทางที่ไป ทำให้ข้างในอลันเต้นระส่ำ พลันหันไปมองข้างหลังที่เดินมา ก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด

ฮึก หนีไม่ได้แล้ว

“ทะ ท่านจะพาข้าไปไหน” อลันหันกลับมาแล้วถามเสียงสั่น เร่งฝีเท้าตามปีศาจร้ายที่ก้าวไปข้างหน้าราวกับเร่งรีบหนักหนา จนขาที่สั้นของเขาเดินตามไม่ทัน แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามวิ่งตาม เพื่อจะไม่ทำให้ปีศาจตรงหน้าโกรธและทำร้ายเขาขึ้นมา

“เจ้าแห่งปีศาจ”

ปีศาจเอ่ยตอบ ร่างกายถึงกับอลันเย็นเฉียบ ขาสองข้างพลันชะงักไม่ขยับ ร่างที่สั่นเทาอยู่แล้วกับสั่นอย่างหนัก ใบหน้าแสดงความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

จะ เจ้าแห่งปีศาจงั้นหรอ

เพียงแค่นามเรียกขานก็ทำให้ลมหายใจที่น้อยนิดขาดห้วง เผลอก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ในชีวิตนี้อลันไม่เคยหวาดกลัวต่อสิ่งใด มากเท่านี้มาก่อน แค่ได้ยินนามเรียกก็เกือบหัวใจหยุดเต้น ถ้าเผชิญพบหน้า เขาคงได้กลั้นใจตายตรงนั้นก่อนที่จะถูกทรมานอย่างแน่นอน

“อย่าชักช้า” ปีศาจเร่ง ลากอลันต่อไปโดยไม่สนแรงขัดขืนอันน้อยนิดของมนุษย์อย่างเขา

“ฮึก ข้าไม่ไป ได้โปรด” อลันอ้อนวอน พยายามยื้อต้าน หวังคิดจะไปจากที่นี่ แต่ก็สู้แรงกำลังอีกฝ่ายไม่ได้ จนกระทั่งถูกปีศาจพาไปยังประตูบานใหญ่ ราวกับประตูแห่งเมืองเลอเวียร์  มีรอยแกะสลับรูปปีศาจประดับไว้ เป็นรูปงูยักษ์สองตัวแยกเขี้ยวตรงกลางรอยแยกประตู แค่เห็นอลันก็กลัวจนเกือบขาอ่อนล้มไป ดีที่ปีศาจร้ายรั้งแขนกระชากดึงไว้

แกร็ก

ประตูบานใหญ่แสนน่ากลัวถูกเปิดออก ปีศาจที่จับอลันมาก็ลากเขาเข้าไปในนั้น คบไฟที่ถูกจุดสองข้างทางยาวไปจนถึงแท่นประทับของใครบางคนที่นั่งรออยู่ อลันเผลอกวาดตามองภายในที่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ยักษ์และมีเสาหินขนาดใหญ่มากมายในห้องนี้ และแต่ละเสาจะมีสลักหินสัตว์ปีศาจประดับเกาะติดอยู่ ราวกับพวกมันกำลังจ้องมองมาตามเส้นทางที่มีคบไฟ

ปึก!

“โอ้ย” อลันโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เมื่อถูกโยนไปเบื้องหน้าที่ประทับ จนล้มลงที่พื้น ส่วนปีศาจร้ายก็โค้งคำนับให้กับบางคนที่อยู่เบื้องหลังเขา

“ข้าได้นำของล้ำค่ากลับคืนมาสู่ท่านแล้วขอรับ”

“…”

 “อึก” อลันที่ได้ยินดังนั้นแทบจะข่มความกลัวเอาไว้ไม่อยู่

ตึก ตึก

ไม่แม้แต่จะหันมันมองเบื้องหลัง ที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นกำลังตรงมาที่ตน แค่เสียงย่ำก้าวเดิน อลันก็สะท้านกลัวจนไม่กล้าหายใจ ปล่อยให้น้ำตาไหลพราก และร่างกายที่สั่นเทิ้มอย่างน่าสงสาร

หมับ!

เฮือก!

ปลายคางเล็กถูกจับโดยสัมผัสที่เย็นเฉียบรั้งให้เงยหน้าขึ้น อลันสะดุ้งตัวเกร็งสะท้านหลับตาแน่นไม่กล้าลืมตามอง  ใจดวงน้อยเต้นระส่ำอย่างรุนแรงน่ากลัว ร่างกายสั่นระริกจนมือที่สัมผัสอยู่รู้สึกได้ ว่ามนุษย์ไร้ค่าอย่างเขา ขลาดกลัวต่อตนมากแค่ไหน พลันให้เกิดรอยยิ้มน่ากลัวปรากฏ พร้อมกับสูดกลิ่นกายที่มีกลิ่นเลือดออกมาอย่างพึงพอใจ

“ในที่สุด เจ้าก็กลับมาหาข้า”






:hao6: :hao7: :hao7:




ออฟไลน์ Loofey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 สนุกมากกก ตามอ่าน2เว็บเลย สู้ๆนะค่าา  :mew1: :hao7: :hao7: :hao7:



ออฟไลน์ Patsz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
สนุกมาก เกือบพลาดเรื่องนี้ไปซะแล้ว

ออฟไลน์ Patsz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ยังรออยู่นะ มาดันกระทู้ :mew1:

ออฟไลน์ summerkiss

  • ที่พิมพ์แสดงคห.ไปอาจรุนแรงไปบ้างแต่โปรดรู้ไว้ว่าเราใส่ใจและชอบเรื่องของคุณไม่เช่นนั้นจะไม่มีซักตัวอักษรบนนิยายของคุณหากเราไม่ชอบ
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
สม น้ำ หน้า  อ่านไปลำคาญอลันไป คือรู้ว่ามันกดขี่ไม่เท่าไหร่ แต่จะไปช่วยเพื่อ ขนาดคนที่ช่วยฃีวิตเลี้ยงดู กับน้องสาวห้ามปราม ก็ไม่ฟังรั้นเอาพวกเขามาเสี่ยง รู้ทั้งรู้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด