[เรื่องยาว]เหมยแดงบทที่11 (นิยายวายกำลังภายใน)19-9-256101
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องยาว]เหมยแดงบทที่11 (นิยายวายกำลังภายใน)19-9-256101  (อ่าน 4070 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เพลิดเพลินยิ่งนัก 

รอชมการประลองด้วยใจระทึก

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
ลู่หยุนนี่น่าจะพระเอกเนอะ แต่นายเอกนี่น่าจะหวงไป๋ยู่ แต่เราอยากให้เป็นอู๋หยางจงจังเลย ชอบเวลาเค้าอยู่ด้วยกัน  :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เหมยแดง

บทที่8 สิ้นสุดที่ยุติ


วันเวลาบางครั้งผ่านคล้ายผ่านไปเนิ่นนานอย่างยิ่ง แต่บางครากลับคล้ายพริบตาก็ผ่านพ้นไปแล้ว

ตอนนี้ค่ำคืนผ่านพ้นไปแล้ว วันนี้ย่อมเป็นเช้าวันใหม่

วันแห่งการชี้เป็นชี้ตายระหว่างบุรุษสองคนซึ่งมิเคยพบเห็นหน้ากันมาก่อน

คนผู้หนึ่งแซ่ซือหม่า นามเทียน* (ฟ้า) ฉายาจินหลิงอิง มีนามอันเป็นที่โจทย์ขานในยุทธภพมามากกว่าสี่สิบปี เจ้าสำนักเทียนซั่งเฟยอิง และเป็นผู้บัญญัติเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบิน นับตั้งแต่ท่านบัญญัติเพลงกระบี่นี้มา กระบี่ของท่าน มิเคยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด

อีกผู้หนึ่งแซ่หวง นามไป๋ยู่* (หยกขาว) เพิ่งปรากฏในยุทธภพเพียงสองเดือน ก็มีคนเรียกขานมันเป็น หงเหมยฮวา มิมีผู้ใดเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของมัน เพียงแต่ทราบ ยามมันลงมือ คล้ายกลายเป็นธาตุอากาศ จากนั้นบนร่างกายของศัตรูจึงค่อยปรากฏดอกเหมยแดง หลักวิชาที่มันใช้คือดัชนีขยี้เดือนสยบดาราอันลี้ลับพิสดารของกุ้ยหุนเฟยโม่วหนี่ หากผู้ใดถูกวิชานี้เข้าไป มีทางเลือกสองสาย

สายแรก ตาย

สายที่สอง ทรมานจนตายไป

มันคือผู้สืบสายเลือดของจอมขโมยแห่งยุค และนางอสูรที่ผลาญวิญญาณผู้คน

ซือหม่าเทียนอย่างไรก็เป็นผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพ ผู้ที่เคารพนับถือมีอยู่นับไม่ถ้วน พฤติการณ์ของท่านล้วนองอาจเปิดเผย ดังนั้น ย่อมมีคนจำนวนมากมาดูท่าน ดูว่าท่านจะสะสางหนี้แค้นรายนี้อย่างไร

ส่วนหวงไป๋ยู่ เนื่องเพราะไม่มีผู้ใดเคยเห็นตัวจริงของมันเลย แม้กระทั่งบิดารมารดาของมัน ก็มิมีผู้ใดเคยเห็นชัดตา ฟังแต่ว่า ยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นั้นรูปงามยิ่งนัก แต่ไฉนกลับวิวาห์กับสตรีอัปลักษณ์เช่นกุ้ยหุนเฟยโม่วหนี่ได้

ดังนั้น ยังมีหลายคนมาเพราะสงสัย ใคร่ดูหน้าบุตรของพวกมัน มีเค้าหน้าใดแน่

บึงเซิ่งไคเหลียนเดิมมิใช่สถานที่คับแคบ แต่ก็มิได้กว้างขวางจนเกินไป ดังนั้น ตอนนี้ สมควรมีผู้คนมาชุมนุมกันมากหลายผิดกว่าธรรมดา

ทว่าในความเป็นจริง รอบๆ บึงกลับมีคนอยู่เพียงสี่คนเท่านั้น

คนหนึ่งเป็นอู๋หยางจง เนื่องเพราะมันเป็นสหายกับลู่หยุน อีกสองคนคือซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยง คนสุดท้ายย่อมเป็นตัวของลู่หยุนเอง

ไฉนจึงมีเพียงสี่คนนี้ หรือแท้จริงแล้วการต่อสู้ครั้งนี้ มิมีใครต้องการดูนอกจากพวกมันสี่คน

ความจริงย่อมมิใช่

นับอย่างน้อยต้องมีผู้คนไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยต้องการชมการประลองนี้ ยี่สิบในนี้เป็นยอดฝีมือที่เป็นที่ยอมรับ ทว่าพวกมันทั้งหมดต่างถอยร่นออกไป

เนื่องเพราะตอนพวกมันตั้งใจมาจับจองที่นั่ง พลันเห็นจิ้งจอกสีดำตัวหนึ่งยืนอยู่

ยืนอยู่เดียวดายท่ามกลางพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะและอากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเหมย แม้ผู้ที่มาเช้าที่สุด ยอมผจญกับอากาศหนาว ยังถึงกับพบเห็นสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นยืนอยู่ก่อนแล้ว

นั่นย่อมมิใช่สุนัขจิ้งจอกจริง เป็นลู่หยุนที่สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอก

มันยืนอยู่ที่นั่น ตรงนั้น มิมีผู้ใดทราบนอกจากตัวมันเองว่ายืนมานานเท่าใด

แต่ทุกคนล้วนทราบ หากจิ้งจอกสีดำนั้นยืนอยู่ พวกมันต้องไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ได้เด็ดขาด

เนื่องเพราะแม้พวกมันมีฝีมืออยู่ไม่กี่ท่า ก็ยังพอสามารถสัมผัสถึงความกดดันที่แผ่ออกมาจากจิ้งจอกตัวนั้นได้

ดังนั้น ตอนนี้ที่บึงเซิ่งไคเหลียนจึงมีสักขีพยานเพียงสี่คน

คนที่จะต่อสู้กันเล่า?

เที่ยงตรง

ยามนี้เป็นเวลาที่มีแสงตะวันมากที่สุด คนที่ควรมา ต่างก็มากันครบแล้ว

ซือหม่าเทียนพลิ้วลงมาบนหิมะที่เริ่มละลาย คล้ายดั่งมีลมพัดหนึ่งหอบมา ใบหน้าของท่านเรียบเฉย มิมีเค้าความรุ่มร้อนใด นิ่งสนิทราวกับน้ำในแก้ว

หวงไป๋ยู่ก็มาแล้ว ยามมันมาถึง คล้ายดั่งเป็นเงาดำที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาจากอากาศก็ปาน

วิชาตัวเบาที่เลอเลิศปานนี้ กระทั่งลู่หยุนยังอดมิได้ต้องลอบชมในใจ

หวงไป๋ยู่ยืนอยู่ที่นั่น มันสวมเสื้อยาวสีดำ ผมสีดำราวนกกาน้ำถูกรัดเอาไว้ด้วยแพรสีดำ แขนเสื้อสีดำของมันยาวจนมองไม่เห็นปลายนิ้ว เสื้อของมันก็ยาวจนมองไม่เห็นรองเท้า ใบหน้าของมันขาวจัด ขาวจนแข็งกระด้าง แม้รูปหน้ามันจะงดงามอย่างยิ่ง แต่ก็กระด้างอย่างยิ่งเช่นกัน ดวงตาสีดำของมันทั้งคู่ยิ่งทอประกายคล้ายเข็มนับหมื่นๆ เล่ม พุ่งตรงไปยังซือหม่าเทียน

“ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกัน” หวงไป๋ยู่กล่าววาจา น้ำเสียงของมันถึงกับชืดชาไร้อารมณ์ พลันประสานมือที่อยู่ใต้แขนเสื้อ แล้วกล่าวสืบต่อ “ข้าพเจ้าหวงไป๋ยู่ วันนี้มาเพื่อชำระบัญชี”

เสื้อยาวสีดำของมันดูไปรุ่มร่ามอย่างยิ่ง ทั้งแขนเสื้อทั้งชายเสื้อต่างยาวเกินความจำเป็น แต่วิชาที่มันใช้เป็นวิชาลอบประทุษ หลักการแรกของวิชาจำพวกนี้

ต้องไม่ให้ศัตรูเห็นอาวุธของท่าน

นอกจากใบหน้า นับว่าไม่สามารถเห็นสัดส่วนใดของมันได้อีก

ดังนั้น เสื้อยาวที่ดูรุ่มร่าม แท้จริงคือการอำพรางลอบเร้น

อย่างไรมือของมันก็คืออาวุธฆ่าคน เท้าของมันก็ด้วย

แขนเสื้อของซือหม่าเทียนอย่างไรก็เป็นแขนเสื้อปกติ ชายเสื้อก็เป็นชายเสื้อปกติ เนื่องเพราะวิชาที่ท่านใช้คือวิชากระบี่ ปกติแล้วผู้ใช้กระบี่มักองอาจเปิดเผย มีว่าสัดส่วนใดก็ไม่จำเป็นต้องซ่อน เนื่องเพราะมือกระบี่ ที่ภูมิใจย่อมต้องเป็นกระบี่ที่ใช้ ดังนั้นท่านไม่มีความจำเป็นต้องปิดซ่อนสิ่งใด

เที่ยงวัน

แม้มีแดด แต่อากาศยังคงหนาวเหน็บ ในบรรดาคนทั้งหมด นับว่าอู๋หยางจงมีพลังฝีมือต่ำที่สุด อย่างไรอาชีพหลักของมันคือทำการค้า ดังนั้น มันจึงสวมเสื้อผ้าที่หนาที่สุด เสื้อขนจิ้งจอกที่มันสวม ดูไปยังคล้ายตัวใหญ่กว่าของที่มันให้ลู่หยุนยืมเสียอีก แต่ที่บันดาลให้มันรู้สึกอบอุ่นจริงๆ มิใช่เสื้อหนังจิ้งจอกตัวนี้

แต่เป็นบุรุษที่ใส่เสื้อหนังจิ้งจอกผู้นั้นต่างหาก

อู๋หยางจงเกิดมาคล้ายมีโชคมาพร้อมเคราะห์ มันรับช่วงต่อกิจการของบิดา มีพรสวรรค์ในการค้าขายอย่างยิ่ง มันลงมือทำการค้าเองไม่กี่ปี กิจการกลับเจริญรุดหน้าไปมากมาย ถึงกับสามารถทำธุรกิจตัดหน้าคู่แข่งไปได้แทบทุกครั้ง

แต่เคราะห์ของมันก็มีไม่น้อย เนื่องเพราะมันค้าขายเก่งเกินไป ดังนั้นต้องเป็นที่ไม่พอใจของหลายคนอย่างยิ่ง อู๋หยางจงก้าวเท้าออกจากหมิงซิ่งลู่โหลวทีไร หากออกจากเมืองไป มันย่อมมิแน่ใจในความปลอดภัยของตัวเอง

ชีวิตมัน นับว่าผ่านการถูกคนจับตัวไปนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งที่เลวร้ายที่สุด ก็เป็นครั้งที่ลู่หยุนช่วยมันไว้นั่นเอง หลังจากนั้น มันก็มิยอมเดินทางไกลเกินกว่าตัวเมืองอีกเลย

แต่เมื่อลู่หยุนพลันปรากฏตัวขึ้นมา คล้ายดั่งชีวิตมันมีอิสระขึ้นเล็กน้อย ดังนั้น มิว่าลู่หยุนชวนมันไปที่ใด ตอนนี้มันต้องรีบฉวยโอกาสไป แม้มันต้องมานั่งตากอากาศหนาวเหน็บ มันก็ยินดีมา

บ้านแม้อยู่สบาย แต่หากอยู่นานไม่ยอมออกไปไหน บันดาลให้คนไม่สบายได้เช่นกัน

ที่ที่อู๋หยางจงนั่งจึงเป็นเก๋งน้ำชาหลังนั้น จากเก๋งน้ำชา ยังสามารถมองเห็นการต่อสู้ได้ชัดถนัดตา ข้างตัวมันยังมีเตาเล็กๆ เตาหนึ่ง โต๊ะเล็กๆ และสุราสองไห และจอกสุราที่ทำจากเครื่องเคลือบชั้นดีอีกหลายใบ

ทุกคนทราบ มันเป็นจินก้วนที่ใจกว้างเสมอมา มันนั่งสบายอยู่ที่นี้ มิใช่ต้องการนั่งเพียงคนเดียว ดังนั้นบนโต๊ะจึงมีจอกสุราหลายจอก

แต่ผู้อื่นกลับคล้ายมิต้องการความสบายเช่นมัน

สองพี่น้องซือหม่ายืนอยู่ในทางตรงข้าม พวกมันสวมเสื้อขนจิ้งจอกเช่นกัน ยังเป็นขนจิ้งจอกสีขาวราวหิมะ มองไกลๆ คล้ายกับจิ้งจอกสองพี่น้องที่กำลังหมอบนิ่งเฝ้ารอคอยจังหวะตะครุบเหยื่ออยู่

ลู่หยุนยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง ท่าทางของมันตอนนี้มิคล้ายจิ้งจอก ยังคล้ายสุนัขเฝ้ายามที่หมดแรงแล้วตัวหนึ่ง ถึงกับอ้าปากหาวออกมา

อู๋หยางจงทราบ มันอยู่แถวนี้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสี่ชั่วยาม น่ากลัวหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต้องแข็งตายไปนานแล้ว แต่มันยังสามารถยืนตาปรือ อ้าปากหาวราวกับคนเพิ่งตื่น พอดีจุดที่มันยืน ยังเป็นตรงข้ามกับซือหม่าสองพี่น้อง

ดังนั้นตอนนี้ พวกมันจึงกลายเป็นสามเส้า ล้อมอยู่ด้านนอกอีกที

ลู่หยุนอ้าปากหาวอีกแล้ว นับตั้งแต่ที่คู่มือทั้งสองปรากฏตัว มันอ้าปากหาวอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสี่ครั้ง แต่ละครั้งต้องมีเสียงดังออกมาคล้ายตั้งใจให้ได้ยินโดยทั่วถึงกัน

แต่ดวงตาของมันยังคงเป็นประกายสุกใส

อู๋หยางจงทราบ ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใด คนที่ปลอดโปร่งที่สุดต้องเป็นคนผู้นี้เสมอ

หวงไป๋ยู่มองซือหม่าเทียน ซือหม่าเทียนมองหวงไป๋ยู่ ระหว่างคนทั้งคู่ คล้ายกำลังส่งกระแสจิตคุยกันอยู่ ลมหนาวพัดเฉือนฉิว คล้ายมีดเล่มเล็กๆ กรีดลงบนใบหน้า ซือหม่าเทียนกล่าววาจาเป็นครั้งแรก

“เรารอวันนี้มาถึงสิบแปดปีเต็ม ตอนนี้นับว่าเราสามารถตายตาหลับได้แล้ว”

หวงไป๋ยู่มองมัน “ท่านรอข้าพเจ้ามาแก้แค้นถึงสิบแปดปี?”

ซือหม่าเทียนพยักหน้า ดวงตาเป็นประกายรันทด “เราทราบ ในใจเจ้าต้องมีความแค้นไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ากับเรา เรารู้หากท่านยังมีชีวิต เจ้าต้องมาหาเราเพื่อล้างแค้น เมื่อท่านมาแล้ว เราจึงแน่ใจ เลือดเนื้อเชื้อไขของยู่เหลียนเทียนสื่อยังมิได้ถูกทำลายจริงๆ”

“ดังนั้น ตอนนี้ ท่านก็เตรียมทำลายข้าพเจ้าแล้ว?”

ดวงตาซือหม่าเทียนเป็นประกายสงบนิ่ง “เราไม่มีเหตุผลต้องทำลายเจ้า ตอนนี้เราเพียงต้องการดู เจ้ามีปัญญาสะสางบัญชีแค้นนี้ของเจ้าหรือไม่”

กระบี่มันพอจะชักออกจากฝักได้ แต่ร่างของหวงไป๋ยู่หายไปแล้ว หายไปราวกับล่องหน

จากนั้นประกายกระบี่ก็วาบขึ้นราวกับสายฟ้า

เสียงติงดังขึ้นถี่ยิบ แสดงว่าทั้งคู่ประมือกันแล้ว

ตอนนี้ที่พัวพันซือหม่าเทียนอยู่ ถึงกับคล้ายวิญญาณร้ายจากขุมนรก มองเห็นเพียงเงาดำเคลื่อนไหววูบวาบอยู่รอบตัวมัน ในเงาดำก็มีประกายกระบี่ เมื่อประกายกระบี่วาบ เงาดำก็พลันแฉลบไป

แต่เสียงติงๆ ยังคงดังมิหยุดยั้ง แสดงว่าคมกระบี่ต้องปะทะกับสิ่งของบางอย่างที่เป็นโลหะเช่นกัน

ใต้แขนเสื้อยาวของหวงไป๋ยู่ ยังมีของใดซ่อนอยู่ นอกจากนิ้วของมัน ใต้แขนเสื้อนั้นยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่

พวกที่ถูกลู่หยุนกดดันมิให้เข้ามา แท้จริงก็มิได้หนีเตลิดไปไกลที่ไหน ยังสามารถปีนขึ้นไปแอบดูบนกิ่งเหมยกิ่งหลิวได้ แต่ที่พวกมันเห็นและได้ยิน คือเงาสีดำ ประกายกระบี่ และเสียงติงๆ เท่านั้น

มิใช่เพราะพวกมันอยู่ไกลเกินไป แต่เพราะสายตาของพวกมันไม่อาจตามทันความเร็วในการลงมือของทั้งคู่ได้

ซือหม่าเทียนเคยประมือกับยู่เหลียนเทียนสื่อ ท่านทราบกระจ่าง วิชาตัวเบาของยู่เหลียนเทียนสื่อเลอเลิศเพียงใด เพียงมันสะกิดเท้าครั้งเดียว ยังลอยละลิ่วไปได้ถึงแปดวาสิบวา ผู้คนเพียงรู้สึกเหมือนลมสายหนึ่งผ่านไปเท่านั้น พอลมพัดผ่านมา มิเป็นศีรษะก็ย่อมเป็นของชิ้นหนึ่งถูกขโมยไป

ครั้งนั้นซือหม่าเทียนมิได้ถูกยู่เหลียนเทียนสื่อชิงศีรษะ เนื่องจากท่านสามารถคิดค้นเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินได้ พลานุภาพของเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่ ยังสามารถสะกดเทียนสื่อผู้นั้นมิให้ลอยขึ้นไปบนฟ้า

ทว่าทายาทของมัน กลับใช้วิชาฝีมือในเชิงตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง

ยู่เหลี่ยนเทียนสือแท้จริงยังใช้กระบี่ตัดศีรษะผู้คน

แต่หวงไป๋ยู่ผู้นี้ มิได้ใช้กระบี่ตัดศีรษะคน อาวุธคือนิ้วของมัน

ขอเพียงถูกนิ้วจี้เข้าใส่จุดสำคัญ มิตายทันทีก็ต้องทรมานจนตายไป

ปกติแล้วหลักของวิชาดัชนีคือนิ้ว นิ้วของคนที่ฝึกวิชาจำพวกนี้จะต้องแข็งแรงอย่างยิ่ง ปกติแล้วนิ้วที่แข็งแรงที่สุดมักเป็นนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง

นิ้วโป้งสามารถจู่โจมทำลายเป้าหมายใหญ่ได้อย่างหนักหน่วง นิ้วชี้สามารถก่อกวนลวดลายได้ นิ้วกลางจึงเป็นนิ้วที่ใช้สังหารอย่างแท้จริง เนื่องเพราะมันเป็นนิ้วที่ยาวที่สุด นิ้วที่โดดเด่นที่สุด และทรงพลังที่สุด

ส่วนนิ้วนางกับนิ้วก้อยนั้น แทบไม่มีคุณค่าเลย

แต่มิว่าอย่างไร หากนับเพียงสามนิ้วเป็นอาวุธ ตอนนี้อาวุธในแขนเสื้อของลู่หยุน อย่างน้อยๆ ต้องมีหก เนื่องเพราะมันมีมือสองข้างที่มีนิ้วสมบูรณ์

หากเคยมีผู้ใดปรามาสวิชาดัชนีว่ามิอาจทัดเทียมวิชาอย่างอื่นได้ ครั้งนี้มันผู้นั้นต้องกัดลิ้นตัวเอง

เนื่องเพราะตอนนี้ ซือหม่าเทียนและหวงไป๋ยู่ปะทะกันไปห้าสิบกระบวนท่าแล้ว แต่ยังมิรู้ผลแพ้ชนะ ที่สำคัญมือของหวงไป๋ยู่ ถึงกับสามารถสกัดกระบี่ของซือหม่าเทียน จนมิอาจใช้เจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินออกมาได้

ที่สำคัญเท่าสองมือ ก็คือสองเท้า สองเท้าของหวงไป๋ยู่ถึงกับสามารถขยับเคลื่อนไหวได้ราวปาฏิหาริย์ พัวพันซือหม่าเทียนไว้จนสลัดไม่หลุด เท้าก้าวหลบ นิ้วสกัด คราวนี้กระบี่จึงมิอาจเหินบิน เพราะถูกวิญญาณปิศาจพัวพันไว้ที่พื้นแล้ว

ทว่า เสียงติงๆ ที่ดังถี่ยิบพวกนั้นเล่า มาจากของใด

ใช่นิ้วของหวงไป๋ยู่กลายเป็นเหล็กไปแล้วหรือไม่?

ข้อนี้มีเพียงซือหม่าเทียนที่ทราบ

แม้มิเห็นชัดถนัดตา แต่ท่านเห็นประกายดำจากนิ้วนางและนิ้วก้อยของหวงไป๋ยู่

นิ้วนางกับนิ้วก้อยของมันถึงกับสวมเล็บเหล็ก เสียงดังติงๆ เกิดจากเล็บเหล็กปะทะกับกระบี่นี่เอง

สองนิ้วที่มีกำลังน้อยที่สุด กลับเป็นนิ้วที่สกัดกระบี่ อย่างนั้นสามนิ้วที่เหลือเล่า...



ความหึกเหิมลำพองของหวงไป๋ยู่แทบท่วมท้นขึ้นมาถึงหน้าอก สองวันก่อนหน้านี้ มันคล้ายขาดความมั่นใจอยู่สามส่วนในการเอาชนะซือหม่าเทียน แต่ตอนนี้มันทราบแล้ว ที่มันทุ่มเทลงไป ยังมิใช่สูญค่า ความทุ่มเทสิบแปดปีของมัน ยามนี้ปรากฏผลแล้ว

มันตอนนี้สามารถสะกดอานุภาพของเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินของซือหม่าเทียนได้ มันย่อมสามารถเอาชนะซือหม่าเทียนได้

หวงไป๋ยู่พลันทุ่มพลังเพิ่มเข้าไปอีก หวังเอาชัยให้เสร็จสิ้นไป

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เวลาผ่านไปเพียงชั่วก้านธูป ทั้งสองประมือกันไปกว่าหนึ่งร้อยกระบวนท่าแล้ว คนทั่วไปยังคงเห็นเพียงเงาดำกับประกายกระบี่ ครั้งก่อนที่ซือหม่าเทียนและยู่เหลียนเทียนสื่อประมือกันนั้น กินเวลาไปร่วมสามชั่วยาม

ครั้งนั้นซือหม่าเทียนกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ ยู่เหลียนเทียนสื่ออย่างไรก็อ่อนกว่ามันไม่มาก เรียกว่าทั้งอยู่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมที่สุด

ดังนั้นจึงสามารถต่อสู้ได้ต่อเนื่องยาวนานเช่นนั้น

แต่ตอนนี้ผิดกันแล้ว

ซือหม่าเทียนกลายเป็นชายชราอายุหกสิบ แม้จะมีกำลังภายในเลอเลิศเพียงใด ย่อมต้องเสื่อมถอยไปตามเวลา ขณะที่หวงไป๋ยู่เพิ่งมีวัยสิบแปด เป็นวัยที่กลายเป็นบุรุษเต็มที่ เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง

หัวใจของทั้งคู่ก็ต่างกัน

หัวใจดวงหนึ่งผ่านกาลเวลามายาวนาน มิทราบผ่านความเป็นตายและความรู้สึกซับซ้อนรุนแรงมามากมายเพียงใด

ส่วนหัวใจอีกดวงเพิ่งกำเนิดมาได้สิบแปดปี ยังคงเป็นหัวใจที่ใหม่เอี่ยม นอกจากความแค้นที่บิดาถูกฆ่าแล้ว ประการอื่นในหัวใจของหวงไป๋ยู่ไม่มี

เนื่องเพราะมันมีวัยเยาว์เกินไป ประสบการณ์น้อยเกินไป ยังอารมณ์พลุ่งพล่านมากเกินไป

ถึงกระบวนท่าที่ร้อยแปดสิบ มันเริ่มเกิดความรู้สึก แม้มันสามารถกดดันมิให้ซือหม่าเทียนใช้เจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินได้ แต่มันกลับคำนวณวิธีเอาชนะคนผู้นี้มิออกเลย

ความสงสัยเพียงชั่ววูบ เพียงมิทันกะพริบตา ก่อให้เกิดช่องว่างเพียงเล็กน้อย ช่องว่างที่มิว่าผู้ใดก็ยากที่จะฉวยโอกาสเอาไว้ได้

แต่กระบี่ของซือหม่าเทียนเปลี่ยนทิศแล้ว ร่างของมันพลันโฉบแฉลบขึ้นด้านบน คล้ายดังพญาอินทรีย์ตัวมหึมา ประกายกระบี่กระจายเต็มท้องฟ้า ดั่งเงาของปีกพญาอินทรีย์ที่แผ่กางออก

พลังอันมหาศาลที่ถาโถมลงมา ดังกรงเล็บแหลมคมพุ่งเข้าใส่ร่างของหวงไป๋ยู่

พริบตานั้นหวงไป๋ยู่พลันเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในประกายดาบ หลังประกายดาบยังมีดวงตาของคนผู้หนึ่ง

ซือหม่าเทียน

พริบตานั้นเองที่ผลแพ้ชนะปรากฏขึ้น

------------------------------

ดวงตะวันยังคงลอยสูง เหมยยังคงส่งกลิ่นหอม บนพื้นที่เคยเป็นหิมะเปียกแฉะ ตอนนี้กลับกลายเป็นหล่มโคลนมหึมาหล่มหนึ่ง เนื่องเพราะภายในสองชั่วธูปที่ผ่านมา บริเวณนี้มิทราบถูกเท้าเหยียบย่ำไปกี่พันครั้ง

เป็นเท้าเพียงสองคู่เท่านั้น

เท้าของซือหม่าเทียนและหวงไป๋ยู่

ตอนนี้ต่างคนต่างกลับไปยืนอยู่ที่เดิมแล้ว นอกจากหล่มโคลน บริเวณโดยรอบก็เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว

เหมยยังคงส่งกลิ่นหอม แต่ดอกเหมยกลับมิได้อยู่บนต้น

ดอกเหมยตอนนี้อยู่บนพื้น เนื่องเพราะถูกคลื่นกระบี่กระทบใส่ แม้เหมยจะเป็นดอกไม้ที่ทระนงเพียงใด ย่อมมิอาจทนทานคลื่นกระบี่เมื่อครู่นี้ได้อย่างเด็ดขาด

ดังนั้นพวกมันจึงร่วงหล่นไป

คนเล่า... คนเป็นอย่างไร

ที่ชรากลับคล้ายหนุ่มขึ้นมาหลายปี ที่ยังหนุ่มก็คล้ายกับเติบโตขึ้นหลายปีแล้ว

ชั่วเวลาสองก้านธูป สรรพสิ่งแปรเปลี่ยน คนก็แปรเปลี่ยนเช่นกัน

ถึงกับแปรเปลี่ยนจนน่าอัศจรรย์

ซือหม่าเทียนตอนนี้คล้ายเยาว์วัยลงสิบปี สีหน้าของท่านสงบเยือกเย็นอย่างยิ่ง ท่ายืนของท่านหนักแน่นอย่างยิ่ง ดั่งขุนเขาสูงใหญ่ แต่ดวงตาของท่านกลับฉายแววละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ดั่งท้องฟ้ายามรุ่งอรุณในฤดูชิวเทียน

หวงไป๋ยู่ตอนนี้สภาพไม่น่าดูแล้ว ผมเผ้าของมันยุ่งเหยิง ชายเสื้อและปลายแขนเสื้อยาวสีดำเต็มไปด้วยเศษโคลน สีหน้าของมันคล้ายคนผู้หนึ่งที่เพิ่งคลานขึ้นมาจากปลักโคลน พบเห็นพื้นที่แห้งและแข็งเป็นครั้งแรก

ดวงตาของมันจ้องมองซือหม่าเทียนอย่างเลื่อนลอย

ตอนนี้มันจึงค้นพบ

มันแท้จริงคือทารก ทารกที่มิเคยเห็นแสงตะวัน จึงถือแสงตะเกียงเป็นแสงตะวันไป

แต่ตอนนี้มันเห็นแสงตะวันที่แท้จริงแล้ว มันถึงกับมิอาจทนทานดูต่อไปได้ ต้องทรุดนั่งลงกับพื้น

ดวงตาของซือหม่าเทียนคล้ายดั่งดวงอาทิตย์ตลอดกาล ท่านกล่าวออกมาอย่างแช่มช้า

“นับว่าเจ้ามิเสียทีเป็นทายาทของยู่เหลียนเทียนสื่อ ตัวมันในปรโลกต้องภูมิใจที่มีบุตรชายเช่นเจ้า มารดาของเจ้าก็ย่อมภูมิใจเช่นกัน”

หวงไป๋ยู่เหม่อมองอยู่นาน จึงกล่าวขึ้นคล้ายละเมอ “ท่านเล่า... ท่านเห็นข้าพเจ้าเป็นอย่างไร?”

“เป็นคนที่มีอนาคต” เสียงของท่านแม้ไม่ดัง แต่หนักแน่นปานขุนเขา เปี่ยมไปด้วยพลังยิ่งใหญ่ขุมหนึ่ง

หวงไป๋ยู่นิ่งงันไปนาน สุดท้ายจึงถอนหายใจ “ข้าพเจ้าพ่ายแพ้ต่อท่านแล้ว ท่านไปเถิด”

ซือหม่าเทียนพลันหันกายอย่างแช่มช้า เสียงฝีเท้าของท่านตอนย่ำลงบนพื้นหิมะ คล้ายดังเข้าไปในหัวใจของทุกผู้คน

ซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยงติดตามบิดาของมันไป มิมีผู้ใดเหลือบดูหวงไป๋ยู่แม้แต่แว้บเดียว

แน่นอนว่าหวงไป๋ยู่ไม่สนใจ

ตอนนี้ไม่มีสิ่งภายนอกใดสามารถกระตุ้นให้มันสนใจอีกแล้ว

เห็นสภาพเช่นนี้ อู๋หยางจงก็ต้องเก็บของกลับแล้ว แม้แต่ลู่หยุนก็ขึ้นรถม้ากลับไปด้วยกัน พวกที่มามุงดูอยู่รอบนอกก็พากันจากไปแล้ว

ตอนนี้โดยรอบจึงกลายเป็นเงียบสงบอีกครา เงียบกระทั่งได้ยินเสียงลม

ได้ยินเสียงน้ำตาหลั่งไหล

น้ำตาของหวงไป๋ยู่หลั่งไหลแล้ว ตลอดร่างของมันพลันสั่นสะท้านดั่งเขื่อนที่ถูกทุบจนพังทลาย

มันมิทราบตอนนี้มันอยู่ในสภาวะใด

ด้านหนึ่งมันรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง นี่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกของมัน

ด้านหนึ่งมันก็รู้สึกอับอายอย่างยิ่ง ที่มิอาจชำระบัญชีเลือดให้บิดาของมันได้

แต่อีกด้านหนึ่ง มันกลับรู้สึกเคารพซือหม่าเทียนจากก้นบึ้งของหัวใจ

กระทั่งยังคล้ายได้ยินเสียงบิดาของมันกล่าวมาจากปรโลก

‘ได้ตายด้วยมือของคนเยี่ยงนี้ เตียเตียมิเศร้าเสียใจเลย’

หวงไป๋ยู่อย่างไรก็เพิ่งอายุสิบแปด เป็นบุตรไม่มีบิดานับเป็นความรันทดประการหนึ่ง สืบทอดปณิธานแก้แค้น ก็เป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตประการหนึ่ง

แต่การพ่ายแพ้ครั้งแรก ผิดหวังครั้งแรก นี่จึงเป็นเรื่องกระทบกระเทือนหัวใจที่แท้จริง

หัวใจคนเราตอนเกิดมาเป็นเพียงก้อนเนื้อมีชีวิตก้อนหนึ่ง

แต่เมื่อกาลเวลาผันผ่าน เหตุการณ์เปลี่ยนแปร

ก้อนเนื้อก้อนนั่นอาจกลายสภาพเป็นเหล็กเย็นก้อนหนึ่ง เตาไฟที่ระอุอุ่นเตาหนึ่ง ภูผา หรือบางทีอาจะเป็นเมฆหมอก

ก้อนเนื้อจะเปลี่ยนสภาพได้ ต้องผ่านการกระทบกระเทือนรุนแรงสักครั้งหนึ่ง

ครั้งแรกย่อมยากจะทนทานที่สุดเสมอ เมื่อมีหนสองหนสาม รสชาติย่อมไม่ยากจะทานทนอีกแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกของหวงไป๋ยู่

มันรู้สึกเป็นรสชาติที่ยากจะทานทนจริงๆ

ร่างของมันถึงกับโถมลงไปในหล่มโคลน ร่ำไห้เสียงดัง น้ำตาหลั่งไหลดั่งทำนบที่ปริแตก

คล้ายดั่งมันต้องการใช้ทั้งโคลนทั้งน้ำตาเหล่านั้น ล้างความรู้สึกสับสนที่ท่วมท้นตัวมันอยู่ให้หมดสิ้น

ลมหนาวยังคงพัด พัดเสียงร่ำไห้ลอยไปในอากาศ

--------------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
ตอนที่9 ได้โปรดมาเถิด

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
นึกว่าลู่หยุนจะอยู่ปลอบใจเสียอีก


 :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อยากไปกอดปลอบพ่อหนุ่มหน้ามน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เหมยแดง

บทที่9 สุรา น้ำตา ดนตรี


ลมหนาวพัดผ่าน คล้ายเข็มนับร้อยนับพันต่ำลงบนผิวเนื้อ

หล่มโคลนก็แห้งไปมากแล้ว ดอกเหมยที่ร่วงหล่นก็ถูกลมพัดปลิวคว้าง ดินโคลนบนร่างของหวงไป๋ยู่แห้งจนลอกเป็นแผ่น น้ำตาของมันก็แห้งเหือดแล้วเช่นกัน แต่มันยังคงอยู่ที่บึงเซิ่งไคเหลียน อยู่ที่หลุมฝังศพของบิดา

เนื่องเพราะมันมิทราบว่าตัวเองสมควรไปที่ใด สมควรทำอย่างไร

ดังนั้นมันจึงยังคงนั่งอยู่ นั่งอยู่ท่ามกลางอากาศหนาว นิ้วของมันเย็นจนชาด้าน ใบหน้าของมันก็ถูกลมหนาวกรีดจนชาด้าน ดวงตาของมันเหม่อมองไปที่ไกลแสนไกล

มันนึกถึงสุรา แต่กลับมิทราบว่าตัวเองสมควรไปดื่มสุราที่ใด

ใต้ต้นเหมยเบื้องหน้า พลันปรากฏคนผู้หนึ่ง สวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีดำเดินเข้ามา ในมือของมันมีสุราไหหนึ่ง กับป้านป้านหนึ่ง

คนผู้นั้นถึงกับเป็นลู่หยุน

หวงไป๋ยู่เงยหน้ามองมันคล้ายสงสัย ลู่หยุนเองก็ก้มลงมองมัน แล้วกล่าว “ท่านนั่งอยู่ที่นี่นานแล้ว?”

“อืม”

“ไฉนท่านถึงยังนั่งอยู่ที่นี่?”

“....”

ได้ยินเสียงลู่หยุนถอนหายใจ “ตอนพวกท่านสองคนปรากฏตัวขึ้นในสวนนี้ ข้าพเจ้าเห็นคนหนึ่งเป็นคนตั้งใจมาตาย ส่วนอีกคนเป็นคนที่ตั้งใจมาเริ่มชีวิตใหม่”

ดวงตาของหวงไป๋ยู่ปรากฏประกายพิสดาร ลู่หยุนกล่าวสืบต่อ

“ท่านทราบหรือไม่ เป็นผู้ใดมีดวงตาของคนตาย ผู้ใดมีดวงตาของคนเป็น”

“....” หวงไป๋ยู่มิกล้าตอบ ลู่หยุนพลันยื่นมือไปฉุดให้มันลุกขึ้น

“ท่านลุก”

หวงไป๋ยู่ถึงกับยอมลุกขึ้นมาโดยง่าย ลู่หยุนผลักมันให้เดินไปที่เก๋ง กล่าวสืบต่อ

“ท่านทราบเหตุผลที่ข้าพเจ้ามาปรากฏตัวที่นี่หรือไม่?”

หวงไป๋ยู่สั่นศีรษะ ลู่หยุนผลักมันให้นั่งลง

“เนื่องเพราะข้าพเจ้ารับปากท่านไว้เรื่องหนึ่ง มิว่าผู้ใดก็มิอาจปลิดศีรษะของท่านได้ แม้แต่ลมหนาว หรือแม้แต่ตัวท่านเองก็ตาม”

หวงไป๋ยู่กะพริบตา จวบจนตอนนี้จึงพูดออกมา “คล้ายท่านต้องยุ่งกับเรื่องผู้อื่นให้ได้จริงๆ”

“เมื่อข้าพเจ้ารับปาก ก็กลายเป็นเรื่องของข้าพเจ้า มิใช่เรื่องผู้อื่นเด็ดขาด” กล่าวจบมันก็รินสุราใส่ป้าน ยื่นให้หวงไป๋ยู่

“หากท่านยังคิดมีชีวิต ท่านดื่ม”

“หากข้าพเจ้ามิดื่ม”

“ก็ถือว่าท่านทรยศกับตัวเอง”

หวงไป๋ยู่ถึงกับยอมรับป้านสุรามา สุรายังอุ่นอยู่ มันกรอกจนแห้งไป ร่างกายพลันคล้ายมีไฟคุขึ้นมากองหนึ่ง ลู่หยุนรับจอกสุราไปแล้วรินให้มันอีกจอก ก่อนจะกล่าวสืบต่อ

“ที่ข้าพเจ้าเห็น ท่านมีแววตาของคนเป็น ส่วนซือหม่าเทียนมีแววตาของคนตาย ท่านเตรียมตัวมาฆ่า ส่วนอีกท่านเตรียมตัวเพื่อมาตาย”

หวงไป๋ยู่นิ่งไป

“ตอนนี้ผู้ตั้งใจมาตายกลับมิตาย ส่วนผู้ที่ไม่ต้องการมาตายกลับตั้งใจตายแล้ว”

“....”

“ข้าพเจ้าทราบ นี่เป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรกของท่าน”

“อืม...”

“หากท่านมิเคยพ่ายแพ้ รสชาติความพ่ายแพ้ครั้งแรกย่อมยากจะทานทน”

“อืม...”

“ท่านเคยหกล้มหรือไม่?”

“อืม...”

“ตอนท่านหกล้มครั้งแรก ท่านต้องร่ำไห้ รอจนท่านหกล้มซ้ำซาก ล้มลงบ่อยๆ ท่านย่อมต้องร้องไห้น้อยลง ระมัดระวังให้มากขึ้น ท้ายที่สุด ท่านย่อมไม่หกล้มอีกแล้ว ถึงแม้หกล้ม ท่านก็มิได้รู้สึกเจ็บปวดเช่นครั้งแรกอีกแล้ว เนื่องเพราะที่ท่านมีคือชีวิต เมื่อมีชีวิต มิว่าเรื่องใดท่านย่อมต้องสามารถผ่านไปได้ ท่านพ่ายแพ้วันนี้ หรือวันหน้าไม่มีทางชนะ หรือการพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำลายชีวิตท่านจนหมดสิ้น หรือที่แท้ท่านดำรงอยู่เพื่อรอให้ผู้อื่นมาทำลาย”

ใบหน้าซีดขาวของหวงไป๋ยู่เริ่มกลายเป็นสีแดง มันกรอกสุราแห้งไปอีก ก่อนจะยื่นมือออกไป

“ให้ข้าพเจ้า”

ลู่หยุนยื่นไหสุราให้มัน มิได้กล่าวกระไรอีก หวงไป๋ยู่รับไหสุราไป รินใส่ป้าน กรอกจนแห้งป้านแล้วป้านเหล้า กรอกจนมิเหลือสุราให้กรอกอีก

ตอนนี้ใบหน้าของมันแดงฉาน ดวงตาของมันก็แดงฉาน ในดวงตาแดงฉานมีน้ำเอ่อขึ้นมา

ลู่หยุนถอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกโยนใส่มัน

“ข้าพเจ้าออกไปเดินเล่น ท่านดูแลเสื้อตัวนี้ให้ดี”

กล่าวจบมันก็พลิ้วกายหายลับออกไปทันที หวงไป๋ยู่กระชับเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกเข้ากับตัว น้ำตาหลั่งไหลอีกครา

แต่ครานี้ดวงตาของมันมิได้สิ้นประกาย

ดวงตาของมันมีประกายแล้ว

-----------------------------------

ตะวันคล้อยต่ำ ลมหนาวพัดมาอีกหอบ พอดีพัดน้ำตาบนใบหน้าของหวงไป๋ยู่จนแห้งเหือดไป สรรพสิ่งรอบตัวแจ่มชัดอีกครั้ง ตอนนี้ดวงตาของหวงไป๋ยู่ไม่มีน้ำตา หัวใจของมันแม้ก่อนหน้านี้คล้ายมีบาดแผลใหญ่ ตอนนี้มันทราบ ไม่นานบาดแผลต้องปิดลง มันยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

ขณะที่หวงไป๋ยู่ยันกายลุกขึ้น ลมอีกหอบก็พัดเข้ามาในเก๋ง

ตอนมองดวงตาของซือหม่าเทียน หวงไป๋ยู่เคยรู้สึก นั่นคือดวงตะวันที่เจิดจ้า มันมิอาจทนทานแสงเจิดจ้านั้นได้ แต่ตอนนี้ เมื่อมันเห็นดวงตาของลู่หยุน มันคล้ายรู้สึก ดวงตานี้ดั่งแสงโคมในความมืด ดังแสงจากเตาไฟในคืนเหน็บหนาว

ลู่หยุนมองมัน แล้วคลี่ยิ้ม “ท่านสามารถลุกได้แล้ว”

“อืม...”

“งั้นพวกเราไปกัน”

“ไปที่ใด?”

“ห้องของท่าน” ลู่หยุนว่า “ข้าพเจ้าหนาวอย่างยิ่ง หนาวแทบตาย ต้องการดื่มสุราที่อุ่นจนร้อนสักไหหนึ่ง”

----------------------------------

เซียวเซียวสะดุ้งตื่น นางได้ยินเสียงสั่นกระดิ่งจากห้องไป๋ยู่หลัน อันที่จริงห้องของนางกับไป๋ยู่หลันห่างกันมิมาก นางทราบเมื่อคืนไป๋ยู่หลันมิได้กลับมา มิแน่ว่าไป๋เจี๋ยเจี่ยของนางอาจจะหนีตามบุรุษผู้นั้นไปแล้ว นางความจริงรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง ที่ไป๋เจี๋ยเจี่ยผู้นั้นมิยอมบอกนางตามตรง

เสียงกระดิ่งครานี้ปลุกนางให้ตื่นขึ้นจากการงีบหลับ นางทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ หรือไป๋เจี๋ยเจี่ยยังมิได้ไป นางรีบออกจากห้องไปทันที

“ไป๋เจี๋ยเจี่ย ข้าพเจ้าทราบท่านต้องรีบกลับมา” เซียวเซียวผลักประตูเล็กเข้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงยินดี “ข้าพเจ้าทราบท่านต้องไม่ไปโดยไม่บอกต่อข้าพเจ้า...”

นางพลันพบเห็นว่ามีสิ่งผิดปกติ ไป๋เจี๋ยเจี่ยของนางปกติมักแต่งกายพิถีพิถัน แม้นางชอบเสื้อผ้าสีดำ ก็ต้องเป็นเสื้อผ้าสีดำที่ไม่มีรอยด่างใด ผมของนางก็ต้องหวีจนเรียบ แต่สภาพของไป๋เจี๋ยเจี่ยตอนนี้มิคล้ายไป๋เจี๋ยเจี่ยที่นางเคยเห็น

ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยคราบโคลน ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง เสื้อผ้าของนางก็สกปรกเลอะเทอะ

เซียวเซียวถึงกับผงะไป “ไป๋เจี๋ยเจี่ย เกิดเรื่องใดขึ้นกับท่าน?”

หวงไป๋ยู่แย้มยิ้มให้นาง “เราบังเอิญหกล้มลงไปในหล่มโคลน พอดีได้มันช่วยไว้”

ตอนนั้น เซียวเซียวจึงพบเห็น นอกจากไป๋เจี๋ยเจี่ยของนาง ยังมีบุรุษอีกคนอยู่ในห้อง

บุรุษขี่เมฆผู้นั้น

ลู่หยุนคลี่ยิ้มให้นาง กล่าวขึ้นบ้าง “เจ้าไปเตรียมน้ำอาบมาหนึ่งถัง เสื้อผ้าใหม่ให้ไป๋เจี๋ยเจี่ยของเจ้า”

หวงไป๋ยู่หันไปมองลู่หยุน “ท่านมิต้องการดื่มสุรา?”

“ข้าพเจ้าต้องการ แต่ก่อนข้าพเจ้าจะดื่มสุรา ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านสะอาดก่อน”

เซียวเซียวหน้าแดงฉาน นางรีบผงกศีรษะแล้วออกจากห้องไปทันที หวงไป๋ยู่ถอนหายใจ

“นางที่จริงเป็นเด็กที่ว่าง่ายอย่างยิ่ง”

หวงไป๋ยู่กล่าว พลางถอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกส่งให้ลู่หยุน “ข้าพเจ้ามิหนาวแล้ว ขอคืนให้ท่าน”

“ท่านเตรียมอัปเปหิข้าพเจ้าออกจากห้องนี้แล้ว?”

“มิได้ เพียงแต่มิต้องการให้ท่านรู้สึกเหน็บหนาวเกินไป”

ลู่หยุนรับเสื้อคลุมมา แล้วกล่าว “ตอนนี้พวกเราอยู่ในห้อง ท่านสมควรจุดเตา”

“อืม...”

หวงไป๋ยู่เดินไปจุดเตา ลู่หยุนเดินไปปิดหน้าต่าง แล้วพาดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกไว้บนเก้าอี้

เมื่อมีไฟในเตา ห้องน้อยก็พลันอบอุ่นขึ้นมา หลังจากนั้นไม่นาน สุราที่อุ่นแล้วพร้อมจอก และถังใส่น้ำร้อนสำหรับอาบถังหนึ่งก็ถูกยกเข้ามาในห้อง หวงไป๋ยู่ให้เซียวเซียวออกไป จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้า

ลู่หยุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ หวงไป๋ยู่หันหลังให้มัน ดังนั้นสิ่งที่มันเห็นคือแผ่นหลังเปลือยเปล่าสีขาวราวกับหยก ด้วยร่างกายที่บางคล้ายกระดาษ ลู่หยุนจึงทราบ ไฉนมันสามารถมีวิชาตัวเบาเลอเลิศถึงเพียงนั้น แต่ก็อดอัศจรรย์กับพลังนิ้วมือของฝ่ายนั้นไม่ได้

หวงไป๋ยู่วักน้ำขึ้นมาล้างหน้า จากนั้นจึงใช้ผ้าชุบน้ำลูบตามเนื้อตัว มันรู้สึกลู่หยุนลุกขึ้นแล้วเดินมาข้างหลังมัน แต่มันยังคงไม่ได้หันไป

“ข้าพเจ้าเช็ดให้ท่าน”

มือของลู่หยุนเคลื่อนมาบนหลังมือของมันคล้ายปลาตัวหนึ่ง จากนั้นผ้าชุบน้ำก็หลุดจากมือไป หัวใจของหวงไป๋ยู่เต้นแรงขึ้นชั่วแว้บหนึ่ง ก่อนกล่าว

“ท่านมิต้องเอาใจข้าพเจ้าถึงเพียงนี้”

ได้ยินเสียงลู่หยุนหัวเราะ ขณะที่ใช้ผ้าเปียกผืนนั้นเช็ดลงไปบนแผ่นหลังของมัน “คราวก่อนข้าพเจ้าแกล้งท่านให้ขัดถูให้ข้าพเจ้า ครั้งนี้ข้าพเจ้าชดใช้คืนบ้างจะเป็นไร”

หวงไป๋ยู่พริ้มตา พลางถอนหายใจ ปล่อยให้ลู่หยุนเช็ดแผ่นหลังของมันไป

“ท่านอยู่ที่บึงเซิ่งไคเหลียนตั้งแต่เมื่อคืน?”

“เปล่า ข้าพเจ้าไปตอนใกล้รุ่ง”

“ท่านไปตรวจตรา”

“อืม...”

“ข้าพเจ้าสังเกตเห็นมีพวกประดาอื่นชะเง้อรออยู่ไกลๆ เป็นท่านขับไล่ออกไป”

“การประลองของพวกท่านมิใช่ปาหี่ข้างถนน ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้มีผู้ชมมากไป”

“ทั้งหมดล้วนเป็นท่านดำเนินการเอง?”

“อืม...”

“ธุระของผู้อื่น เมื่อท่านรับปากก็เป็นธุระของท่านจนหมดสิ้น”

“อืม”

หวงไป๋ยู่หันมาเผชิญหน้ากับลู่หยุน “ตอนนี้ นับว่าธุระของท่านเรียบร้อยแล้ว?”

ลู่หยุนผงกศีรษะ อีกฝ่ายกล่าวสืบต่อ “ท่านคิดทำประการใดต่อ?”

“ดื่มสุรา ฟังท่านเล่นกู่เจิงสักเพลง ได้ยินว่าท่านเล่นกู่เจิงเก่งมาก”

หวงไป๋ยู่มองมันด้วยสายตาพิศวง ลู่หยุนจึงกล่าวสืบต่อ “อย่าลืม ครั้งก่อนท่านยังมิได้บริการข้าพเจ้าเต็มที่ ครั้งนี้อย่างน้อยข้าพเจ้าต้องให้ท่านเล่นกู่เจิง บางทีอาจลองให้ท่านร้องเพลง”

อีกฝ่ายหัวร่อออกมา “ตกลง ข้าพเจ้าจะเล่นกู่เจิงให้ท่าน”

ลู่หยุนคลี่ยิ้มละไม ก่อนจะยกผ้าขึ้นเช็ดศีรษะให้หวงไป๋ยู่

“ผมของท่านยังไม่สะอาด ข้าพเจ้าจะเช็ดให้”

หวงไป๋ยู่ก้มหน้าลง พลันมองเห็นกระบี่ไม้ที่ห้อยอยู่หว่างเอวของลู่หยุนอีกครั้ง จึงกล่าว

“กระบี่นี้ของท่าน มิอาจให้ข้าพเจ้าเห็นจริงๆ?”

ได้ยินเสียงลู่หยุนกล่าว “ท่านยังคิดมีชีวิตสืบไป จึงมิควรเห็นกระบี่นี้ของข้าพเจ้า”

หวงไป๋ยู่ส่งเสียงอ้อ กล่าวขึ้นต่อ “ผู้เห็นกระบี่นี้ของท่าน ล้วนต้องตาย?”

“อาจบางที” ลู่หยุนว่า “แม้มิตาย ก็ย่อมมีอาจมีชีวิตเยี่ยงเดิมได้อีกแล้ว”

หวงไป๋ยู่พิศมองกระบี่ไม้เล่มนั้น แม้นึกสงสัยว่าเป็นกระบี่เยี่ยงไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้น มันก็ไม่คิดตอแยสืบไป

“กระบี่นี้ของท่าน มีนามหรือไม่?”

“มีคนเรียกมันเป็นอั้นจว่านเจี้ยน* (กระบี่ดาวดับ) ”

“อ้อ...”

ลู่หยุนพลันลดมือลง ยื่นผ้าให้กับหวงไป๋ยู่ “ผมของท่านสะอาดแล้ว”

หวงไป๋ยู่รับผ้ามาด้วยความงุนงงเล็กน้อย ขณะที่ลู่หยุนเดินไปนั่งที่โต๊ะ หันหน้าไปที่เตาไฟ แล้วรินสุราใส่จอกขึ้นดื่ม

“ท่านสวมเสื้อผ้า ข้าพเจ้าดื่มสุรารอ”

หวงไป๋ยู่ส่งเสียงอืม มันเดินเข้าไปหลังฉาก หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวม แล้วสั่นกระดิ่งเรียกเซียวเซียวมาเก็บถังใส่น้ำ

“มิทราบนอกจากสุราแล้ว กงจื่อท่านยังต้องการอย่างอื่นอีกหรือไม่?” เซียวเซียวถาม หลังจากยกถังใส่น้ำออกไปแล้ว ลู่หยุนคลี่ยิ้ม

“เราต้องการกับแกล้มสี่จาน เป็นเป็ดหนึ่ง ปลาหนึ่ง ห่านอีกหนึ่ง หมูอีกหนึ่ง จะผัดหรือจะทอดมาก็ได้”

เซียวเซียวผงกศีรษะ แล้วออกจากประตูไป หวงไป๋ยู่มองมัน

“ข้าพเจ้าลืมไป ท่านที่จริงคงหิวแล้ว”

“อืม... ข้าพเจ้าหิวอย่างยิ่ง นอกจากสุราแล้ว ยังต้องการกับแกล้มอันโอชะ และเพื่อนร่วมดื่มอีกผู้หนึ่ง”

“ข้าพเจ้า?”

“อืม”

“ท่านมิต้องการฟังข้าพเจ้าเล่นกู่เจิงแล้ว?”

ลู่หยุนหันมาคลี่ยิ้ม “ยังมีเวลาอีกทั้งคืน รอพวกเรากินอิ่ม ท่านค่อยเล่นก็แล้วกัน”

“ท่านคิดพักที่นี่?”

ลู่หยุนมิได้ตอบ มันยกจอกสุราขึ้น “ท่านมา”

หวงไป๋ยู่เดินออกมาจากฉาก ถึงกับสวมเสื้อผ้าของสตรีสีแดงโดดเด่น แต่มิได้แต่งหน้าทำผม ถึงกระนั้น มันก็หวีผมจนเรียบดั่งขนนกกาน้ำ มันนั่งลงตรงข้าม เงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา พบเห็นในดวงตาคู่นั้นมีประกายพิกล

“แม้ท่านมิได้แต่งหน้า ก็ยังงามอยู่ น่าเสียดาย ท่านมิใช่สตรี”

หวงไป๋ยู่แย้มยิ้ม “หากข้าพเจ้าเป็นสตรีจริง ตอนนี้ต้องไม่อยู่ตรงนี้แล้ว”

ลู่หยุนหัวร่อในคอ “ถูกของท่าน หากท่านเป็นสตรี ตอนนี้จะต้อง...”

ไม่รอให้พูดจบ หวงไป๋ยู่รีบพูดขึ้น “จะต้องรีบหนีไปให้ไกล”

“ไฉนจึงต้องรีบหนีไปให้ไกล?”

“เนื่องเพราะบุรุษเช่นท่าน...” หวงไป๋ยู่พลันนึกไปถึงตอนที่ลู่หยุนเลียนิ้วมือของมัน รู้สึกใบหน้าร้อนผะผ่าว ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวร่อ

“เนื่องเพราะบุรุษเช่นข้าพเจ้าไม่ใช่ตัวดี?”

“อะ... อืม...”

“แต่ตอนนี้ท่านวางใจได้ ข้าพเจ้ามาที่นี่ เพียงเพราะสุรา และดนตรีเท่านั้น”

“อ้อ...”

“ท่านดื่ม” มันเทสุราลงในจอกแล้วดันให้หวงไป๋ยู่ ฝ่ายนั้นรับไว้ พลางกล่าว

“นี่ควรเป็นข้าพเจ้ารินให้ท่าน”

“มิตรสหายรินให้มิตรสหาย เป็นท่านเป็นข้าพเจ้าไม่ต่างกัน”

หัวใจของหวงไป๋ยู่พลันรู้สึกระอุอุ่นขึ้นมา “ท่านถือข้าพเจ้าเป็นมิตรสหาย?”

“อืม... ข้าพเจ้าอาศัยจังหวะนี้ ฉวยโอกาสเสนอตัวเป็นมิตรสหายของท่าน ท่านย่อมไม่ปฏิเสธกระมัง”

หวงไป๋ยู่สั่นศีรษะ “ตอนนี้พวกเราถือเป็นสหายกันแล้ว?”

“อืม”

ตั้งแต่ออกสู่วงการนักเลง หวงไป๋ยู่มิเคยมีมิตรสหายมาก่อนเลย ยามนี้ลู่หยุนบอกมันเป็นมิตรสหาย มันถึงกับมิอาจกล่าววาจาใดได้ต่อ ได้แต่เบือนหน้ากลั้นน้ำตาไว้

มันเพิ่งพบลู่หยุนมาสามวัน สามวันที่คนผู้นี้จัดการเรื่องต่างๆ ราวกับเป็นธุระของตัวเอง มันมิทราบ จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร แต่มันกลับรู้สึก คนผู้นี้สามารถวางใจได้ ขอเพียงมีคนผู้นี้อยู่ มิว่าเรื่องใจก็สามารถวางลงไว้ได้

มันยกจอกสุราขึ้นกรอกจนแห้งไป พอดีกับที่เซียวเซียวยกกับแกล้มเข้ามา ก่อนเดินออกไป ลู่หยุนยัดทองให้นางแท่งหนึ่ง

“นี่ชำระค่าสุรากับอาหาร”

จากนั้นก็ยัดแท่งเงินแท่งเล็กๆ ให้นางอีกแท่งหนึ่ง “นี่ส่วนของเจ้า”

เซียวเซียวดีใจจนหน้าบาน รีบโค้งให้อย่างชดช้อยแล้วเดินออกไป หวงไป๋ยู่มองตามหลังนาง ก่อนจะถอนหายใจ

“ปกติแล้ว ท่านจ่ายค่าสุราอาหารด้วยตำลึงทองเสมอ?”

ลู่หยุนสั่นศีรษะ “ความจริงตำลึงทองนี้ไม่ใช่ของข้าพเจ้า”

“อ้อ... มีคนให้ท่านมา”

“เป็นบังคับให้” ลู่หยุนว่า พลางคีบเป็ดผัดน้ำมันขึ้นมากิน “อู๋เกอของข้าพเจ้า เป็นโรคประหลาดอย่างหนึ่ง ยามใดที่มันพบข้าพเจ้า จะต้องบังคับข้าพเจ้าให้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทั้งยังบังคับข้าพเจ้าให้ใช้จ่าย หากมันตรวจดูในตัวข้าพเจ้ายังมีเงินทองเหลือ มันจะพาลเอาถุงเงินยัดให้ข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้ากลัวถูกถุงเงินของมันทับตาย เลยต้องรีบจ่ายออกไปให้มาก”

หวงไป๋ยู่หัวร่อ “ท่านกับจงเกอคล้ายคบหากันมาเนิ่นนานอย่างยิ่ง พวกท่านพบกันได้อย่างไร”

“เป็นข้าพเจ้าบังเอิญไปยุ่งเรื่องผู้อื่น พอดีพบมัน จึงได้เป็นสหายกัน”

“บุคคลเช่นท่าน ต้องมีสหายไม่น้อยแน่”

ลู่หยุนพยักหน้า “ในความเห็นข้าพเจ้า มีสหายมากย่อมดีกว่ามีศัตรูมาก”

“อืม ถูกของท่าน” หวงไป๋ยู่ว่า “ได้ยินว่าท่านกระทำเรื่องใดไม่เคยผิดพลาด เป็นความจริงกี่มากน้อย”

ลู่หยุนคีบกับเข้าปากอีกคำ “ข้าพเจ้าเคยทำเรื่องผิดพลาดมากมาย มีผู้ใดบ้างไม่เคยทำเรื่องผิดพลาด”

“แต่ผู้คนกล่าวว่าท่านมิเคยกระทำเรื่องผิดพลาด เรื่องที่ท่านรับปาก ท่านไม่เคยพลาดเลย”

ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “เรื่องที่ข้าพเจ้ารับปาก อันที่จริงมีน้อยกว่าเรื่องที่ข้าพเจ้ากระทำ ก่อนรับปากผู้ใด ข้าพเจ้าย่อมแน่ใจ สามารถกระทำเรื่องนั้นได้ถึงรับปาก”

“อ้อ...”

“ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เคยผิดคำพูด แต่มิใช่ข้าพเจ้ามิเคยผิดพลาด”

หวงไป๋ยู่พยักหน้า “ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว”

ทั้งสองดื่มกินกันจนอิ่มหนำ หวงไป๋ยู่จึงไปยกกู่เจิงออกมา

“ข้าพเจ้าร้องเพลงมิเอาไหน แต่ยังพอมีความสามารถเล่นกู่เจิงได้”

ลู่หยุนแย้มยิ้ม “ข้าพเจ้าน้อมหูรับฟัง”

หวงไป๋ยู่วางกู่เจิงลงบนพื้น ลากเก้าอี้มานั่ง จากนั้นจึงวางนิ้วลงไปบนสาย

นิ้วของหวงไป๋ยู่เรียวยาว ได้รูปสวยดั่งสลักจากหยก ลู่หยุนจ้องนิ้วของมันเขม็ง

นิ้วที่สวยงาม นิ้วที่ฆ่าคน

สายถูกดีดแล้ว เสียงดนตรีดังกังวานขึ้นภายในห้อง

นิ้วที่สวยงามของหวงไป๋ยู่ไล่ไปตามสายเชือก ก่อให้เกิดบทเพลงคล้ายหยาดน้ำตาที่รินหลั่งไหล วิเวกรันทดสะเทือนใจ

นิ้วทั้งสิบขยับอย่างคล่องแคล่ว คล้ายมีความคิดเป็นของตัวเอง เมื่อขยับอีกครั้ง หยาดน้ำตาพลันกลายเป็นเกล็ดหิมะ เยือกเย็นทว่าเบาบาง จากนั้นดั่งมีลมหอบ ม้วนเอาเกล็ดหิมะไป กลายเป็นสายฝนอันฉ่ำเย็น ตกลงมาชโลมผืนดินที่แห้งผากไร้ชีวิต ก่อนที่แสงตะวันอันอบอุ่นจะสาดส่องลงมา

ดวงตาของลู่หยุนคล้ายดั่งมีม่านน้ำตาบางๆ มาบังไว้ชั้นหนึ่ง แต่หวงไป๋ยู่บรรเลงเพลงจบและเงยหน้าขึ้นมา ม่านน้ำตาบางๆ นั้นก็พลันสลายไป ลู่หยุนคลี่ยิ้ม

“บทเพลงที่ยอดเยี่ยม นับว่าคืนนี้ข้าพเจ้าสมปรารถนาแล้ว”

มันยกจอกขึ้น “คืนนี้ข้าพเจ้ามิเชิญจันทรา มิเชิญต้นเหมย ข้าพเจ้าเชิญท่านดื่ม”

------------------------------------------

ซือหม่าเทียนยืนอยู่บนระเบียง สายลมยามวิกาลพัดพาความหนาวเหน็บมาเสียดผิวเนื้อ แต่คล้ายดั่งท่านเคยชินเสียแล้ว

ที่เบื้องหน้าคือลานฝึก แม้ยังไม่ถึงยามอรุณรุ่ง แต่ท่านทราบ ทั้งชีวิตที่ท่านทุ่มเท ดั่งคนตีกระบี่ทุ่มเทจิตใจตีกระบี่อันเลอเลิศขึ้นมาเล่มหนึ่ง ณ ตอนนี้กระบี่เล่มนี้ได้ผ่านการฟาดฟันอันหนักหน่วงแล้ว

มันยังคงเป็นกระบี่ กระบี่ที่ดีเยี่ยม

ดวงตาของซือหม่าเทียนเป็นประกายวาววับ

ท่านทราบ แม้ตัวท่านมิอยู่ สำนักแห่งนี้ก็จะดำรงสืบต่อไป

ในชีวิตของท่านตอนนี้ มิมีสิ่งใดต้องห่วงกังวลอีกแล้ว

--------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
มีคนมาปลอบแล้วอ่ะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
นึกว่าจะไม่กลับมาปลอบเสียอีก

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
รอแนวนี้มานานมากละ ชอบๆ รอๆ ติดตามๆ ขอบคุณผู้แต่ง ด้วย จร้า :hao5: :-[ :z13: :z13: :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
บรรยากาศสีจมปูววววว

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เหมยแดง

บทที่10 เรื่องราวพลิกผัน


หวงไป๋ยู่ปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก รู้สึกศีรษะหนักอึ้ง เมื่อแหวกม่านเตียงออกก็เห็นแสงรำไรส่องผ่านกระดาษหน้าต่างเข้ามา มันยันกายลุกขึ้น เดินไปวักน้ำในถังขึ้นล้างหน้า เติมไฟในเตา พลันพบเห็นมีกระดาษปึกหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ โดยมีไป๋ยู่เย้าเฉียวทับไว้

ด้านบนสุดของกระดาษปึกนั้น มีกระดาษที่เขียนด้วยลายมือสวยงาม

‘จดหมายที่เตียเตียของท่านเขียนถึงสหายอู๋หลี่ฟู่ อู๋หยางจงฝากมอบมาให้ท่าน ส่วนไป๋ยู่เย้าเฉียว ซือหม่าเทียนฝากคืนให้แก่ท่าน’

แม้มิได้ลงชื่อ แต่หวงไป๋ยู่ก็ทราบ นี่เป็นลายมือของลู่หลุน มันทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วหยิบจดหมายเหล่านั้นขึ้นมาอ่าน

มือของหวงไป๋ยู่สั่นเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้อ่านจดหมายของบิดา ได้เห็นลายมือของท่าน ได้อ่านเรื่องราวที่ท่านเป็นผู้เขียน ในใจของมันบังเกิดความปลื้มปีติราวกับได้พบหน้าบิดาจริงๆ

ในจดหมาย ท่านเขียนบรรยายถึงการผจญภัยไปในที่ต่างๆ เล่าเกี่ยวกับสถานที่ที่ท่านไป ถ้อยคำในจดหมายทำให้หวงไป๋ยู่สัมผัสได้ถึงความสนิทชิดเชื้อระหว่างบิดาของมันและอู๋หลี่ฟู่ ซึ่งเป็นบิดาของอู๋หยางจง

หวงไป๋ยู่พลันรู้สึก มันมิสมควรหลอกให้อู๋หยางจงนำไป๋ยู่เย้าเฉียวมาให้ อย่างไรเสียฝ่ายนั้นก็เป็นบุตรสหายสนิทของบิดา

มันคิดจะไปหาอู๋หยางจงเพื่อกล่าวขอโทษสักครั้ง

อากาศในห้องน้อยยังคงอบอุ่นจากไฟในเตา หวงไป๋ยู่สั่นกระดิ่งเรียกเซียวเซียว ไม่นานนักนางก็ผลักประตูเล็กเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ไป๋เจี๋ยเจี่ย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่?”

หวงไป๋ยู่พยักหน้า ยาโถวน้อยจึงกล่าวสืบต่อ “บุรุษขี่เมฆผู้นั้นดีต่อท่านเป็นอย่างยิ่ง มันรอจนท่านหลับ จึงจัดการห่มผ้าให้ท่านเรียบร้อย ทั้งยังสั่งข้าพเจ้าให้ตุ๋นน้ำแกงไก่ให้ท่านด้วย”

นางวางน้ำแกงไก่ลงบนโต๊ะ แล้วหน้าแดง “ท่านได้คนรักเช่นนี้ ช่างประเสริฐเหลือเกิน”

หวงไป๋ยู่กำลังจะยกน้ำแกงขึ้นดื่ม มีอันเกือบต้องสำลักออกมา

“เจ้าว่าไร? ”

เซียวเซียวหัวร่อคิกคัก “ท่านมิต้องขัดเขินไป มีคนรักเช่นกงจื่อท่านนั้น มิว่าผู้ใดก็ต้องอิจฉาท่าน”

หวงไป๋ยู่ถลึงตา “เรากับมันผู้นั้นมิได้...”

ไม่รอให้อีกฝ่ายกล่าวจบ เซียวเซียวรีบบิดกาย วิ่งหนีออกไปทันที “ข้าพเจ้ากลัวท่านแล้ว ข้าพเจ้าจะลงไปหาข้าวต้มร้อนๆ มาให้ท่าน”

หวงไป๋ยู่มองไล่หลังนาง พลางถอนใจยาว แล้วยกน้ำแกงขึ้นดื่ม ในใจหวนนึกถึงลู่หยุน

มิรู้ว่าตอนนี้มันไปที่ใด บางทีมันอาจจะอยู่ที่หมิงซิ่งลู่โหลวกับอู๋หยางจงก็เป็นได้

หวงไป๋ยู่ตกลงใจ รับประทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว มันจะไปที่หมิงซิ่งลู่โหลว

--------------------------------------------

วันนี้อู๋หยางจงกับลู่หยุน เมื่อรับประทานมื้อเช้าแล้วก็พากันไปหมกตัวอยู่ในห้องเขียนอักษร เนื่องจากหิมะที่เริ่มตกโปรยปราย หัวข้อสนทนาระหว่างพวกมันยังคงเป็นการประลองระหว่างซือหม่าเทียนและหวงไป๋ยู่เมื่อวาน

“เมื่อวานข้าพเจ้าประกัน มิมีผู้ใดชมการต่อสู้นั้นอย่างสุขสบายเท่าท่านอีกแล้ว”

อู๋หยางจงหัวร่อในคอ “ข้าพเจ้านำทั้งสุราทั้งจอกไป แต่ท่านกลับตั้งใจยืนตากลม เช่นนี้จะโทษข้าพเจ้ามิได้” เว้นจังหวะเล็กน้อย จึงถามขึ้นต่อ “ที่ท่านจงใจก่อกวนจัดงานประลองนั้นขึ้น เนื่องเพราะท่านแน่ใจ หากประลองตัวต่อตัว ซือหม่าเทียนจะสามารถมีชัยต่อหวงไป๋ยู่ได้”

ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “ข้าพเจ้ามิใช่ชื่อเหลียง แซ่จูเกอ* (จูกัดเหลียง ขงเบ้ง) จึงสามารถคำนวณฟ้าดินได้”

อู๋หยางจงแสร้งทำเป็นมิได้ยิน กล่าวสืบต่อ “แต่หวงไป๋ยู่ผู้นั้น มีท่าเท้าอันเลอเลิศพิสดาร ท่านทราบหรือไม่ นั่นเป็นหลักวิชาใด”

“เป็นท่าเท้าท่องอเวจี” ลู่หยุนตอบ “เป็นท่าเท้าที่เคยแพร่หลายอยู่ในวงการมิจฉาชีพ แต่ผู้ที่ฝึกได้คล่องแคล่วเช่นมัน ข้าพเจ้าเพิ่งเคยพบเห็น”

“เป็นท่าเท้าที่ชื่อมิเป็นมงคล”

“อืม” ลู่หยุนพยักหน้า “เนื่องเพราะเป็นท่าเท้าที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง แต่ละก้าวที่ย่างไป ล้วนต้องเฉียดเข้าใกล้คู่ต่อสู้ และต้องดักหน้าคู่ต่อสู้ให้ได้ก้าวหนึ่ง ได้ยินว่าผู้ฝึกวิชานี้ ต้องย่ำเท้าอยู่ในแอ่งโคลนโดยที่ถูกปิดตาไว้ ใช้เพียงเสียงและการเคลื่อนไหวเป็นเครื่องบอกทิศทางเท่านั้น”

อู๋หยางจงส่งเสียงอ้อยาวๆ ในคอ กล่าวสืบต่อ “ดังนั้น มันจึงอาศัยท่าเท้านี้ กันมิให้ซือหม่าเทียนสามารถใช้เจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินออกมาได้”

“สายตาของท่านยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย” ลู่หยุนว่า “นอกจากมันจะฝึกท่าเท้าท่องอเวจีจนเลอเลิศหาผู้ใดเทียบ มันยังได้ดัดแปลงวิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดาราอีกเล็กน้อย ท่านคงพอสามารถเห็นเล็บเหล็กที่มันสวมได้กระมัง”

อู๋หยางจงโคลงศีรษะ “นับว่ามองเห็นก็มิได้ ข้าพเจ้าเพียงแต่คาดเดา มือของมันต่อให้ฝึกอย่างไร ต้องไม่กลายเป็นเหล็กไปได้ ดังนั้นมันจึงต้องสวมบางอย่างเอาไว้บนนิ้ว อาจเป็นเล็บเหล็กอย่างที่ท่านว่า”

“เล็บเหล็กสองอัน สวมไว้ที่นิ้วก้อยและนิ้วนาง มันใช้สองนิ้วนี้รับกระบี่ของซือหม่าเทียน การต่อสู้นี้แม้ว่าใช้เวลาไม่นาน แต่เป็นการต่อสู้ที่หวุดหวิดหวาดเสียวโดยแท้”

“อืม... หลักวิชาดัชนีต้องอาศัยการเข้าประชิดตัวเพื่อจู่โจมเป้าหมาย ส่วนวิชากระบี่ก็มีจุดอ่อนในระยะใกล้ การที่หวงไป๋ยู่สามารถเข้าประชิดตัวซือหม่าเทียนและพัวพันเอาไว้ได้นานขนาดนั้นย่อมมิใช่เรื่องง่าย และตัวซือหม่าเทียนเองสามารถปัดป้องการจู่โจมในมุมแคบโดยอาศัยกระบี่ได้ มันย่อมต้องเป็นยอดฝีมือในทางกระบี่เช่นกัน”

ลู่หยุนแย้มยิ้ม “ตอนนี้ท่านรู้สักนับถือเจ้าสำนักเทียนซั่งเฟยอิงบ้างแล้วกระมัง”

อู๋หยางจงมิได้ตอบคำถาม แต่ถามต่อ “อาการของหวงไป๋ยู่เป็นอย่างไร มันแก้แค้นไม่สำเร็จ คงแค้นใจมากกระมัง”

“อืม... แต่ข้าพเจ้าประกัน มันต้องดีขึ้นในไม่ช้า เพราะมันเป็นคนที่มีดวงตาของคนเป็น มิใช่เป็นคนที่มีดวงตาของคนตาย”

“อย่างนั้นธุระของท่านที่นี่ก็หมดแล้ว” อู๋หยางจงกล่าว ลู่หยุนผงกศีรษะ

“ท่านเตรียมตัวไปแล้ว?”

“อืม...”

อู๋หยางจงถอนหายใจ “ข้าพเจ้าทราบ ท่านคืออู๋เน่ยเฉียงฟง มิมีผู้ใดสามารถเหนี่ยวรั้งท่านได้ แม้แต่หวงไป๋ยู่ผู้นั้นก็มิได้?”

ลู่หยุนแย้มยิ้ม “แม้มันจะยังอ่อนต่อโลก แต่หวงไป๋ยู่ผู้นั้นมิใช่คนอ่อนแอ ไม่นานมันจะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”

“ท่านไม่ประสงค์อยู่ดูแลมันสักพัก?”

“มันมิใช่ทารก ข้าพเจ้ายิ่งไม่ใช่มารดา ดังนั้นหากท่านต้องการให้ข้าพเจ้าอยู่ช่วยผลาญเงินทองของท่านอีกสักสองสามวัน ท่านก็กล่าวออกมาเถิด ข้าพเจ้ากลัวท่านโดนเงินทองของตัวเองทับตาย อย่างไรต้องรับปากท่านอยู่แล้ว”

อู๋หยางจงหัวร่อ แต่ยังไม่ทันได้กล่าวกระไร คนรับใช้ก็เดินมาเคาะประตู

“นายท่าน มีคนมาขอพบขอรับ”

“ผู้ใด?”

“หวงไป๋ยู่ขอรับ”

“พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา” อู๋หยางจงหันไปพูดกับลู่หยุน ก่อนจะส่งเสียงตอบ “เชิญมันเข้ามาได้”

--------------------------------------

หวงไป๋ยู่รู้สึกกระอักกระอวนเล็กน้อย เมื่อพบว่าลู่หยุนอยู่ที่นี่กับอู๋หยางจงด้วย มันรีบประสานมือคารวะ แล้วกล่าวทักทาย

“พวกท่านสบายดี?”

“พวกเราสบายดี” อู๋หยางจงแย้มยิ้มตอบ พลางเชื้อเชิญให้ฝ่ายนั้นนั่งลง “ท่านฝ่าหิมะมาที่นี่แต่เช้า มีเรื่องด่วนหรือไม่?”

หวงไป๋ยู่สั่นศีรษะด้วยความประหม่า “ข้าพเจ้าเพียงแต่แวะมาเยี่ยม”

“อ้อ...”

“เรื่องจดหมาย... ต้องขอบคุณท่าน”

“เรื่องนั้นต้องขอบคุณเสี่ยวหยุน” อู๋หยางจงว่า “เพราะเสี่ยวหยุนมารบเร้าข้าพเจ้าให้ค้นหาจดหมายพวกนั้นหรอก”

ลู่หยุนพูดขึ้นต่อ “ที่จริงเป็นเพราะอย่างไรท่านสมควรจะได้อ่านมันอยู่แล้ว”

“ถึงอย่างไร ข้าพเจ้าก็ต้องขอบคุณ” หวงไป๋ยู่ว่า ก่อนจะกล่าวต่อ “ยังต้องขอโทษต่อจงเกอด้วย ที่ส่งจดหมายหลอกลวงให้ท่าน”

อู๋หยางจงหัวร่อพลางโบกมือ “เรื่องแค่นี้ มิเป็นไรหรอก ปกติแล้วข้าพเจ้าเองก็ไม่ค่อยได้ออกไปนอกบ้าน ออกไปยืดเส้นยืดสายบ้างจะเป็นไรไป”

สีหน้าของหวงไป๋ยู่ค่อยดีขึ้นหน่อย ขณะที่จะกล่าวกระไรต่อ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีก

“นายท่าน มีผู้ต้องการพบลู่กงจื่อ”

อู๋หยางจงเลิกคิ้ว “ผู้ใดมีเรื่องพบลู่หยุนของเราตอนนี้”

“เป็นซือหม่าสองพี่น้องจากเทียนซั่งเฟยอิงผาย บอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องพบลู่กงจื่อให้ได้”

ทั้งสามคนหันมองหน้ากัน อู๋หยางจงพูดขึ้น “เชิญทั้งสองท่านไปที่ห้องรับรอง”

คนรับใช้ขานรับ แล้วเดินออกไปทันที อู๋หยางจงหันมาพูดกับอีกสองคนที่เหลือ

“พวกเราไป ไปดูว่าสองคนนั้นมีเรื่องอะไร”

--------------------------------------

ห้องโถงของหมิงซิ่งลู่โหลวโอ่อ่ากว้างขวาง มิว่าผู้ใดเข้ามาก็ล้วนสัมผัสได้ถึงความปลอดโปร่งโล่งสบาย ทว่าสองพี่น้องซือหม่ากลับมีสีหน้าเคร่งเครียด อู๋หยางจงเมื่อก้าวเข้าไปในห้องก็มีสีหน้าประหลาดใจทันที

“พวกท่านทั้งสอง มีเรื่องอันใด?”

มิทันสิ้นคำ ซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยงชักกระบี่ออกมา ปราดเข้าใส่อู๋หยางจงทันที ความเคลื่อนไหวนี้อุบัติขึ้นอย่างผิดคาดหมาย กระทั่งอู๋หยางจงยังต้องยืนตะลึงงันไป

ที่เคลื่อนไหวคือลู่หยุน

มันเพียงสะบัดแขนเสื้อ ก็สกัดกระบี่คู่นั้นเอาไว้ได้ทันท่วงที สีหน้าของซือหม่าสองพี่น้องแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดกว่าเดิม

“ลู่เซียงเซิน ท่านมิอาจปกป้องฆาตกรสังหารผู้คน”

ลู่หยุนเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ฆาตกร?”

“อืม เป็นมันที่ยืนอยู่หลังท่าน” ซือหม่าซานกล่าวขึ้น “หวงไป๋ยู่ผู้นั้น เมื่อคืนได้อาศัยความมืด ใช้วิชาฝีมือชั่วช้าไปลอบสังหารเตียเตียของพวกเรา พวกท่านอย่าได้ถูกมันล่อลวงเป็นอันขาด”

ลู่หยุนงงงันวูบ จังหวะนั้นเองสองพี่น้องก็ตวัดกระบี่ขึ้นอีกครั้ง

“ลู่เซียงเซินได้โปรดหลีกทาง มิเช่นนั้นพวกเราสองพี่น้องมิเกรงใจท่านแล้ว”

วาจาเหล่านี้เป็นที่แน่ชัด พวกมันทั้งสองคล้ายถูกความแค้นเข้าครอบงำจนมิอาจพูดคุยรู้เรื่องได้แล้วจริงๆ ขณะที่ลู่หยุนจะกล่าวกระไรต่อ เสียงของหวงไป๋ยู่ก็ดังขึ้น

“ข้าพเจ้าก็ต้องการทราบ พวกท่านสองพี่น้องมีฝีมืออยู่กี่ท่า จึงได้กล้าโอหังมากล่าวหาผู้อื่นเช่นนี้”

กล่าวจบมันก้าวมายืนหน้าลู่หยุน “ท่านถอย เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้าพเจ้า มิต้องการให้ท่านสอดมือ”

ลู่หยุนคล้ายต้องการกล่าวกระไร แต่สุดท้ายก็ยอมล่าถอยออกมา หวงไป๋ยู่สูดหายใจ จ้องไปยังสองพี่น้องที่ยืนถือกระบี่อยู่เบื้องหน้า

“พวกท่านกล่าวหาเข้าพเจ้าสังหารเตียเตียของพวกท่าน?”

“ถูกต้อง”

“พวกท่านมีหลักฐาน?”

ซือหม่าซานหัวร่อออกมาอย่างขมขื่น “ท่านยังถามหาหลักฐาน? กล้าทำมิกล้ารับ คนเยี่ยงนี้ยังนับเป็นตัวกระไรได้”

หวงไป๋ยู่จู่ๆ ถูกเหยียดหยามโดยไร้สาเหตุเช่นนี้ ยิ่งก่อกวนให้โทสะลุกโพลง “ในเมื่อพวกท่านตกลงใจว่าข้าพเจ้าเป็นฆาตกร อย่างนั้นพวกท่านเชิญเข้ามา”

ประกายกระบี่วาววาบปรากฏขึ้นในห้องโถง พอขาดคำ สองพี่น้องก็ใช้ออกซึ่งกระบวนท่าเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินทันที อานุภาพของกระบี่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง ก่อกวนให้ข้าวของต่างๆ ที่อู๋หยางจงตั้งประดับไว้ ล้มลงแตกเสียหาย

“ลู่ตี๋ ปล่อยไว้เช่นนี้มิได้” อู๋หยางจงปราดไปหาลู่หยุน แล้วลากมันออกไปจนพ้นรัศมีกระบี่ กล่าวสืบต่อ “พวกมันตีกันที่นี่ คนเสียหายคือข้าพเจ้า”

“ห้องโถงของท่านโอ่อ่ากว้างขวางเช่นนี้ ข้าพเจ้ามองว่ายังสามารถรองรับการตีกันของพวกมันได้อีกหลายกระบวนท่า”

อู๋หยางจงมีสีหน้าหงุดหงิดรำคาญใจ “ลู่ตี๋ ท่านฟังข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้ามีนิสัยชมชอบอวดโอ่ทรัพย์สมบัติของตัวเอง แต่มิต้องการการอวดโอ่เช่นนี้ หากท่านมิยื่นมือเข้าระงับเรื่อง อู๋เกอของท่านมิแน่ต้องกัดลิ้นตายไป”

ลู่หยุนพลันวางมือลงบนไหล่ของสหายรัก แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านตอนกัดลิ้นน่ากลัวเป็นภาพที่ข้าพเจ้ามิต้องการดู ดังนั้น ท่านยืนไว้ ข้าพเจ้าจะไปรักษาสมบัติของท่าน”

กล่าวจบก็พลันพลิ้วกายออกไป

หวงไป๋ยู่แม้ถูกรัศมีกระบี่คุกคามจนต้องถอยร่นเป็นระยะ แต่ท่าทางของมันยังคงปลอดโปร่ง เนื่องจากเจ็ดสิบเจ็ดกระบี่เหินบินที่สองพี่น้องใช้ออกมานี้ ยังมิอาจเทียบได้กับที่มันพบพานเมื่อวาน ตอนนี้มันเพียงรอ รอหาช่องว่างที่จะทำลายม่านกระบี่นี้ลงให้สิ้นซาก

สองพี่น้องซือหม่า เมื่อลงมือก็ใช้กระบวนท่าสุดยอด แสดงว่าหวังปลิดชีวิตฝ่ายตรงข้ามในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นพละกำลังที่ใช้ออกมาจึงหนักหน่วงรุนแรง อู๋หยางจงมองแล้วให้นึกหวาดเสียว ด้วยมิทราบลู่หยุนจะทำประการใดเพื่อระงับเหตุในครานี้

แต่มันยังคงแน่ใจ ว่าลู่หยุนจะสามารถยุติภัยพิบัติในห้องโถงครั้งนี้ของมันได้

เนื่องเพราะอู๋เน่ยเฉียงฟงผู้นั้นรับปากแล้ว

จู่ๆ พลันมีลมหอบหนึ่ง พัดทะลวงเข้ามาในวงปะทะ สองพี่น้องซือหม่ารู้สึกข้อมือชาวูบ แทบทำกระบี่หลุดมือไป ขณะที่หวงไป๋ยู่ถูกกระแทกจนต้องถอยร่นออกไปหลายก้าว จึงสามารถทรงกายไว้ได้

ลู่หยุนยืนอยู่ตรงกลาง ใบหน้าเคร่งเครียด กล่าวเสียงหนักๆ “หากพวกท่านมิออมมือไว้ไมตรี ข้าพเจ้ามีแต่ต้องอัปเปหิพวกท่านออกไปข้างนอกแล้ว”

โดยมิรอให้ผู้ใดกล่าวแทรก ลู่หยุนหันไปทางสองพี่น้องซือหม่า แล้วกล่าวสืบต่อ “พวกท่านดั้นด้นมาที่นี่เพื่อหาข้าพเจ้า แต่มิทันได้กล่าวกระไรก็ลงมือทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น ท่านดู ห้องโถงนี้เมื่อครู่สวยงามอย่างยิ่ง ตอนนี้กลายเป็นสภาพเช่นไรแล้ว?”

สองพี่น้องซือหม่าถึงกับงงงันวูบ กวาดตาดูไปรอบๆ ทันที ลู่หยุนกล่าวสืบต่อ “พวกท่านมาบ้านผู้อื่น ผู้อื่นเปิดประตูต้อนรับ ท่านกลับทำลายข้าวของของมัน เช่นนี้สมควรเรียกตัวกระไร”

ทั้งสองโกรธจนหน้าแดงก่ำ ซือหม่าซานกล่าวสวนขึ้น “ท่านน่ากลัวยังมิเข้าใจ พวกเราสองพี่น้องที่จริงต้องการหาท่านเพื่อเสาะหาตัวฆาตกร แต่คาดมิถึงท่านกลับซ่อนฆาตกรเอาไว้”

ถึงจุดนี้ อู๋หยางจงทนไม่ได้ต้องกล่าวออกมาบ้าง “คำก็ฆาตกร สองคำก็ฆาตกร ครั้งก่อนข้าพเจ้ากับลู่ตี๋ไปเยือนสำนักของท่าน มิได้ล่วงเกินทำลายสิ่งใด ท่านอาศัยคำ ‘ฆาตกร’ ก็สามารถทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นได้?”

“อู๋หยางจง ข้าพเจ้าทราบ เตียเตียของข้าพเจ้าให้เกียรติท่านเสมอมา แม้ว่าท่านจะไม่แยแสนสนใจเลยก็ตาม แต่หากท่านให้ที่หลบซ่อนฆาตกรเช่นนี้ เทียนซั่งเฟยอิงผายก็จะไม่เกรงใจต่อท่าน

อู๋หยางจงโมโหจนหน้าดำหน้าแดง คิดจะกล่าววาจาตอบโต้ แต่ถูกลู่หยุนยกมือห้ามไว้ “พวกท่านได้โปรดยุติวาจาสักครู่ ฟังข้าพเจ้าสักเล็กน้อย”

หันไปหาสองพี่น้องซือหม่าอีกครั้ง “พวกท่านมาที่นี่ เพื่อหาข้าพเจ้าไปเสาะหาตัวฆาตกร?”

“อืม”

“ฆาตกรฆ่าผู้ใด?”

“เตียเตียของพวกเรา”

ลู่หยุนเลิกคิ้วขึ้นสูง “เตียเตียของพวกท่าน? ท่านผู้อาวุโสเสียชีวิตแล้ว?”

สองพี่น้องซือหม่าผงกศีรษะด้วยสีหน้าคับแค้นใจ “เตียเตียเสียชีวิตแล้ว เมื่อคืน ด้วยฝีมืออุบาทว์ของคนชั่วนั่น”

พลันชี้มือไปยังหวงไป๋ยู่ ซึ่งยืนหน้าบึ้งอยู่

“พวกท่านสองพี่น้องใช้แค่วาจากล่าวหาผู้คน หากข้าพเจ้าฆ่าซือหม่าเทียนจริง ตอนนี้ข้าพเจ้าย่อมยืนหัวร่ออยู่เหนือศพมันแล้ว มิต้องให้พวกท่านเดือดร้อนเสนอหน้ามาถึงที่นี่”

“เอาละ” ลู่หยุนกล่าวพลางชักกระบี่ออกจากหว่างเอว สะบัดคราหนึ่ง เห็นผ้าแพรสีขาวที่พันตัวกระบี่คลายออก ไปม้วนโต๊ะกับเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาด สะบัดอีกครา เก้าอี้และโต๊ะก็มาตั้งอยู่ตรงหน้ามันอย่างเรียบร้อย ผ้าแพรกลับไปพันอยู่ที่กระบี่เช่นเดิม

“เชิญพวกท่านนั่ง” กล่าวจบก็ลากเก้าอี้ลงนั่ง สองพี่น้องซือหม่าและหวงไป๋ยู่มีท่าทีลังเล อู๋หยางจงจึงกล่าวขึ้นต่อ

“ผู้ใดอยากมีเท้าจงรีบนั่ง ข้าพเจ้าแน่ใจ พวกท่านมิต้องการชิมรสของกระบี่ดาวดับเล่มนั้นเป็นแน่”

กล่าวจบมันก็รีบลากเก้าอี้ลงนั่ง พอดีเป็นฝั่งตรงข้ามกับลู่หยุน คล้ายคำ ‘อั้นจว่านเจี้ยน’ * (กระบี่ดาวดับ) พอมีพลังขู่ขวัญอยู่บ้าง สองพี่น้องซือหม่าจึงลากเก้าอี้ลงนั่ง หวงไป๋ยู่เองก็ลากเก้าอี้ลงนั่ง พอดีเป็นตรงข้ามกันเช่นกัน

ดังนั้น ตอนนี้ระหว่างทั้งคู่ จึงถูกคั่นไว้โดยลู่หยุน อู๋หยางจง และโต๊ะอีกตัวหนึ่ง

ลู่หยุนหันไปทางซือหม่าทั้งสอง กล่าวด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ “การที่เตียเตียของท่านถูกลอบสังหาร ข้าพเจ้านับว่าคาดมิถึงจริงๆ และต้องแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งด้วย”

ซือหม่าซานพยักหน้ายอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก ขณะที่ซือหม่าเลี่ยงพูดขึ้น “ลู่เซียงเซิน ท่านต้องให้ความยุติธรรมกับเตียเตียของพวกเรา ท่านเมื่อคืนถูกสังหารภายในห้อง ด้วยวิชาดัชนีของคนผู้นั้น”

คราวนี้มันมิได้ชี้มือ แต่บุ้ยหน้าไปทางหวงไป๋ยู่แทน หวงไป๋ยู่มีสีหน้าพิกลพิสดาร

“ท่านว่า เป็นวิชาดัชนีของข้าพเจ้า?”

“อืม? บนร่างกายของเตียเตียมีจุดคล้ายดอกเหมยห้าจุด มิใช่ฝีมือของท่านแล้วจะเป็นฝีมือของผู้ใด?”

มันพูดไปตัวสั่นไป คล้ายพยายามอดกลั้นเต็มที่ อู๋หยางจงร้องออกมา “เป็นเช่นนั้นจริง?”

สองพี่น้องซือหม่าพยักหน้า “เมื่อเช้าพวกเราเข้าไปหาท่านในห้อง ก็พบว่าท่านเสียชีวิตแล้ว”

น้ำตาพลันเอ่อท้นขึ้นมา ลำคอของพวกมันก็ตีบตัน ลู่หยุนจึงกล่าวขึ้นต่อ

“ท่านพบเห็นรอยจ้ำรูปดอกเหมยบนร่างกาย จึงคาดเป็นฝีมือของมัน?”

“ถูกต้อง”

“เหตุนี้เกิดเมื่อคืนแน่นอน?”

ทั้งสองพยักหน้า “พวกเราทั้งคู่อยู่ดูอาการเตียเตียจนเกือบถึงสองยาม จึงแยกย้ายกลับไปที่ห้อง กระทั่งเช้า จึงแวะไปอีกครั้ง ก็พบ...”

มันกล่าวมิจบ แต่ทุกคนก็พอจะเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ลู่หยุนพลันถอนหายใจ

“แสดงว่าท่านถูกสังหารระหว่างสองยามถึงรุ่งสาง”

“ตอนพวกเราไปถึง ร่างของท่านได้แข็งไปแล้ว จึงคาดว่าฆาตกรต้องลงมือหลังสองยามไม่นาน”

ลู่หยุนส่งเสียงในลำคอ “หากเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าพอจะประกันต่อพวกท่านได้ ผู้ลงมือมิใช่หวงไป๋ยู่อย่างเด็ดขาด”

ซือหม่าทั้งสองเงยมองลู่หยุนด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ฝ่ายนั้นกล่าวสืบต่อ “เมื่อคืน ข้าพเจ้าอยู่ดื่มเป็นเพื่อนมันจนเกือบถึงรุ่งสางจึงเลิกรา”


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
“ทะ... ท่านว่ากระไร?”

“ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเมื่อคืนอยู่ดื่มเป็นเพื่อนมันจนเกือบรุ่งสาง ตั้งแต่หลังเที่ยงคืน ข้าพเจ้าประกันได้ว่ามันมิได้ออกจากห้องไปไหนเลย ยังคงร่วมดื่มกับข้าพเจ้าอยู่ตรงนั้นเอง”

“ท่านกล่าวความจริง?”

“อืม ข้าพเจ้ามิมีเหตุผลใดต้องโกหก”

“ไฉนท่านต้องร่วมดื่มกับมันจนถึงรุ่งสาง”

ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “เนื่องเพราะมันเพิ่งพ่ายแพ้ เป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรกของมัน ท่านอย่าลืม เตียเตียของพวกท่านเป็นคนลงมือสังหารเตียเตียของมัน อย่างไรมันต้องเจ็บช้ำใจอย่างรุนแรงที่ไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงอยู่ดื่มเป็นเพื่อนมัน”

“พวกท่านไปดื่มกันที่ใด” ซือหม่าซานกล่าวสืบต่อ “มีพยานอื่นร่วมรู้เห็นหรือไม่?”

อู๋หยางจงสอดขึ้นมา “หรือพวกท่านมิเชื่อวาจาของมัน?”

ซือหม่าซานกล่าวเสียงหนัก “ข้าพเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลักฐาน เตียเตียข้าพเจ้าไว้ใจท่าน ข้าพเจ้าเองก็เคยไว้ใจท่าน แต่หลังจากเรื่องเมื่อเช้า ข้าพเจ้ากลับมีข้อคลางแคลงใจ ท่านกับมัน บางทีอาจจะรู้จักกันมาก่อน มิเช่นนั้นไหนเลยท่านจะสามารถหาตัวมันได้โดยง่าย มิหนำซ้ำยังสามารถเกลี้ยกล่อมให้มันทำตามสิ่งที่ท่านต้องการได้ มิแน่ว่าพวกท่านสองคนที่จริงสมคบคิดกันมาแต่แรก”

อู๋หยางจงลุกพรวดขึ้น “พวกท่านเสียทีเป็นบุตรของเจ้าสำนักใหญ่ มิทันได้สอบข้อเท็จจริงอันใดก็กล่าวหาผู้คน เฮอะๆ ข้าพเจ้าแน่ใจ บางทีเนื่องเพราะเตียเตียของท่านมิใช่ตัวดีจริงๆ ดังนั้นพวกท่านจึงได้รับถ่ายทอดมาด้วย”

ซือหม่าซานลุกพรวดขึ้นบ้าง แต่ถูกเสียงตบโต๊ะดังปึงของลู่หยุนหยุดไว้

“พวกท่านนั่ง! ”

ทั้งสองนั่งลงอีกครั้ง ต่างคนต่างมีสีหน้าไม่พอใจ ขณะที่ลู่หยุนกล่าวสืบต่อ “เรื่องที่ข้าพเจ้าดื่มกับมัน มีพยานรู้เห็น แต่จนใจ มิอาจบอกกล่าวกับพวกท่านเรื่องนี้ได้”

“อ้อ... ที่แท้พวกท่านมีความลับ”

“เป็นความลับที่ไม่เกี่ยวกับการตายของเตียเตียท่านแน่นอน”

“พวกเราไยต้องเชื่อท่าน?”

“เนื่องเพราะข้าพเจ้ามิมีเหตุผลใดต้องปกป้องฆาตกรที่สังหารเตียเตียของท่าน ข้าพเจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยเตียเตียของท่าน มิใช่มาเพื่อฆ่ามัน”

“....”

“หรือท่านยังไม่ทราบ หากข้าพเจ้าต้องการสังหารเตียเตียของท่านจริง ถึงตอนนี้พวกท่านต้องไม่นั่งอยู่ตรงนี้เด็ดขาด”

“....”

“พวกท่านลองตรองดู หวงไป๋ยู่ผู้นี้ มาเพื่อแก้แค้นเตียเตียของท่าน มันยอมตกปากรับคำข้าพเจ้า ประลองกับซือหม่าเทียนตัวต่อตัว หากมันต้องการใช้วิธีลอบสังหารแต่แรก มันย่อมมิจำเป็นต้องรับปากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าหากวางแผนให้มันสังหารเตียเตียท่านแต่แรก ต้องมิเปลืองมือเท้าเสนอหน้ามายุ่งอย่างเด็ดขาด และหากมันลอบสังหารเตียเตียของท่านจริง ตอนนี้มันย่อมต้องยอมรับอย่างภาคภูมิใจต่อหน้าท่าน บุตรที่สามารถล้างแค้นให้บิดาได้ มิว่าผู้ใดต้องยินดียืดอกยอมรับความภาคภูมินั้น”

“ถูกต้อง” หวงไป๋ยู่พูดขึ้นมาในที่สุด “ข้าพเจ้าต้องการสังหารซือหม่าเทียนตลอดเวลา หากข้าพเจ้าใช้วิธีลอบสังหารและทำสำเร็จ ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องกำลังหัวร่ออยู่ตรงหน้าพวกท่าน มินั่งเช่นนี้เด็ดขาด”

สองพี่น้องซือหม่าเงียบไปนาน ในที่สุด ซือหม่าเลี่ยงก็พูดขึ้น “หากมิใช่มันกระทำ เช่นนั้นเป็นฝีมือของผู้ใด?”

“นั่นคือเรื่องที่ต้องสืบเสาะ ข้าพเจ้าจะไปเทียนซั่งเฟยอิงผายกับพวกท่าน พร้อมกับมัน”

หวงไป๋ยู่กล่าวขึ้น “ข้าพเจ้าต้องไปด้วย?”

“เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจของท่าน” ลู่หยุนว่า “ท่านไปกับข้าพเจ้า ไปดูให้เห็นกับตาว่าซือหม่าเทียนตายด้วยน้ำมือผู้ใด ท่านเป็นผู้เดียวที่สามารถใช้วิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดาราได้ ท่านต้องสามารถทราบ ที่ตายเป็นเพราะหลักวิชาของท่านหรือไม่”

หวงไป๋ยู่สูดหายใจลึก สุดท้ายก็ผงกศีรษะ “ได้ ข้าพเจ้าไปกับพวกท่าน”

-----------------------------------

ทั้งสี่ควบม้าฝ่าหิมะออกจากหมิงซิ่งลู่โหลวอย่างเร่งร้อน ทิ้งให้อู๋หยางจงบงการคนรับใช้เก็บกวาดห้องโถงเพียงลำพัง ประการนี้อู๋หยางจงล้วนเต็มใจ ให้มันสั่งคนเก็บกวาดห้องโถง ยังดีกว่าให้มันขี่ม้าตากลมหนาวด้านนอกเป็นไหนๆ ดังนั้นตอนนี้ในหมิงซิ่งลู่โหลวจึงเต็มไปด้วยคนรับใช้ที่กำลังเก็บกวาดสิ่งของต่างๆ ภายในห้องโถง

เสียงเกือกม้าย่ำไปตามถนนที่เต็มไปด้วยหิมะฟังดูประหลาดหู ยิ่งออกห่างจากตัวเมืองยิ่งฟังดูประหลาดมากขึ้น ซือหม่าสองพี่น้องสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาว ขณะที่ลู่หยุนและหวงไป๋ยู่ ต่างถูกอู๋หยางจงบังคับยัดเยียดเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกมาคนละตัว ของลู่หยุนเป็นจิ้งจอกดำ ส่วนของหวงไป๋ยู่เป็นจิ้งจอกแดง

ถนนหนทางว่างเปล่า เนื่องจากมีหิมะโปรยปราย ทั้งสี่เร่งรัดควบม้า มินานนักก็ลุมาถึงเทียนซั่งเฟยอิงผาย ธงที่โบกสะบัดอยู่ท่ามกลางเกล็ดหิมะดูซีดจางกว่าธรรมดา แต่หมู่บ้านเล็กๆ ด้านหน้ากลับดูคึกคัก แสดงว่าระหว่างที่ซือหม่าสองพี่น้องออกไปจากสำนัก มีผู้มาเยือนใหม่

ซือหม่าซานรีบควบม้าน้ำไปก่อน ทิ้งซือหม่าเลี่ยงคุมเชิงอีกสองคนที่เหลือ ระหว่างนั้นลู่หยุนเอ่ยปากขึ้น

“เสี่ยวเส้าเหยี่ย สำนักของท่านใช่กำลังมีอาคันตุกะ?”

ซือหม่าเลี่ยงส่งเสียงตอบ “มิใช่อาคันตุกะ ท่านสังเกตเห็นธงสีแดงดำบนรถม้าคันนั้นหรือไม่?”

ลู่หยุนมองไปตามมือพลันพยักหน้า “เป็นธงของจิ่วซ่วนเชวิ่นจู* (หมู่ตึกเก้าดารา) หรือผู้ที่มาเป็นหวอซี่ซือซัว* (พู่กันเป็นตาย) ซุนหลี่ซุ่น?”

“ถูกต้อง ข้าพเจ้าคาด ต้องเป็นซุนสู* (ท่านอาแซ่ซุน) แน่”

ลู่หยุนผงกศีรษะ ขณะที่หวงไป๋ยู่กล่าวสืบต่อ “หวอซี่ซือซัวผู้นั้น... เฮอะๆ มันมาได้ประจวบเหมาะ”

ซือหม่าเลี่ยงถามขึ้นลอยๆ “ท่านรู้จัก?”

“อืม... ข้าพเจ้าทราบ มันคืออีกผู้หนึ่งที่อยู่ที่บึงเซิ่งไคเหลียนวันนั้น”

“อ้อ... ท่านยังต้องการแก้แค้นซุนสู”

หวงไป๋ยู่ส่งเสียงขึ้นจมูก “มิต้องกังวล ข้าพเจ้าไม่สนใจมัน”

ซือหม่าเลี่ยงลงจากม้า แล้วเดินนำทั้งคู่เข้าไปภายในเทียนซั่งเฟยอิงผาย

เหมยยังคงส่งกลิ่นหอม แต่บรรยากาศโดยรวมกลับดูเคร่งเครียด เพียงแค่ก้าวพ้นธรณีประตู หวงไป๋ยู่ก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากสายตาของบรรดาศิษย์เทียนซั่งเฟยอิง

มันย่อมรู้สึกมิพอใจ แต่ต้องสะกดความรู้สึกเอาไว้ แล้วเชิดหน้าเดินตามซือหม่าเลี่ยงไป

ซือหม่าซานล่วงหน้าเข้าไปรอนานแล้ว ในห้องโถงใหญ่ของเทียนซั่งเฟยอิงผาย ซึ่งไม่กี่วันก่อนเคยประดับแพรแดงและอักษรมงคล มีดนตรีและแขกเหรื่อมากมาย บัดนี้แพรแดงถูกนำออกไปแล้ว อักษรมงคลก็ถูกนำออกไปแล้ว ท่ามกลางแสงโคม กลางห้องมีโลงไม้สีแดงขนาดใหญ่โลงหนึ่ง ที่หน้าโลงนอกจากซือหม่าซาน ยังมีคนอีกผู้หนึ่งยืนหันหลังอยู่ คนผู้นั้นสวมชุดยาวสีเทาคล้ายนักพรต เมื่อเดินเข้าไปถึง ซือหม่าเลี่ยงก็ประสานมือคารวะ

“ข้าพเจ้าซือหม่าเลี่ยง มิได้อยู่ต้อนรับซุนสู ต้องขออภัย”

“มิเป็นไร” ซุนหลี่ซุ่นโบกมือ ก่อนจะหันหน้ากลับมา ใบหน้าของท่านสงบนิ่ง แต่ดวงตากลับเป็นสีแดงเรื่อ การเสียชีวิตของซือหม่าเทียนย่อมกระทบกระเทือนจิตใจของท่านอย่างมาก

ซุนหลี่ซุ่นกวาดตามองลู่หยุน แล้วหยุดสายตาที่กระบี่ไม้ ก่อนจะเบือนไปมองหวงไป๋ยู่ จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “ท่านที่นับถือคงเป็นลู่เซียงเซิน”

ลู่หยุนประสานมือ “ผู้น้อยคารวะผู้อาวุโส”

“อืม ท่านดูแล้วมีวัยเยาว์กว่าที่เราคาดไว้มากนัก ปีนี้มิทราบท่านอายุเท่าไร”

“ปีนี้ข้าพเจ้าอายุยี่สิบแปด”

ซุนหลี่ซุ่นพยักหน้า แล้วหันไปมองหวงไป๋ยู่ “ส่วนเจ้า คงเป็นทายาทของยู่เหลียนเทียนสื่อผู้นั้น”

หวงไป๋ยู่มิได้ตอบ มันเพียงจ้องตาซุนหลี่ซุ่น ฝ่ายนั้นหัวร่อในคอ “สายตาที่ดี”

เบือนหน้ากลับไปมองลู่หยุนอีกครั้ง แล้วกล่าวสืบต่อ “ท่านทราบหรือไม่ ซือหม่าเทียนเป็นกระไรกับเรา”

“พวกท่านเป็นสหายสนิทอย่างยิ่ง เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมานับสิบๆ ปี”

ซุนหลี่ซุ่นพยักหน้า “เรามาวันนี้ ตั้งใจมาเยี่ยมเยียนเทียนเกอ เพราะมิอาจมาอวยพรวันเกิดได้ มิคาด...”

น้ำเสียงของท่านพลันขาดไป มือที่กำอยู่สั่นระริก ซือหม่าซานที่ยืนอยู่กล่าวขึ้นเบาๆ “ซุนสูโปรดระงับจิตใจ”

ซุนหลี่ซุ่นส่งเสียงอืมในคอ สักครู่ใหญ่จึงสามารถกล่าววาจาต่อได้ “ลู่เซียงเซิน เมื่อครู่นี้ซานเอ๋อร์บอกต่อเรา ว่าท่านยืนยัน ได้ร่วมดื่มกับหวงไป๋ยู่ผู้นี้เกือบตลอดคืน”

ลู่หยุนผงกศีรษะ ซุนหลี่ซุ่นกล่าวสืบต่อ “ตอนเรามา ทั้งซานเอ๋อร์เลี่ยงเอ๋อร์ได้ออกไปสักครู่ใหญ่แล้ว เราจึงสอบถามเอากับบรรดาศิษย์อื่นๆ จึงทราบว่าก่อนหน้านี้ เคยมีผู้ลอบทำร้ายศิษย์คนหนึ่งแล้วบังคับให้เอาไป๋ยู่เย้าเฉียวมาส่งที่นี่”

ดวงตาของท่านเบนไปทางหวงไป๋ยู่ “เจ้าคงมิคาด บัดนี้ โฉวหลวนผู้นั้นยังสามารถกล่าววาจาได้”

แก้วตาของหวงไป๋ยู่หดลงเล็กน้อย ขณะที่ซุนหลี่ซุ่นกล่าวสืบต่อ “ดังนั้น เราจึงสอบถามกับมัน ว่าสถานที่สุดท้ายที่มันไปก่อนถูกลอบทำร้าย เป็นสถานที่ใด เจ้าทราบหรือไม่ มันบอกเราว่าอย่างไร”

ริมฝีปากของหวงไป๋ยู่ปิดสนิท แสดงว่ามันไม่ต้องการตอบคำถาม ดังนั้นซุนหลี่ซุ่นจึงพูดขึ้น “หอว่านเหนี่ยว”

ซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยงหันไปมองท่านเป็นตาเดียว

“มันถูกคนลอบทำร้ายที่หอว่านเหนี่ยว?”

“ถูกต้อง ก่อนหน้านี้เนื่องจากมันยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ จึงมิสามารถจดจำเรื่องต่างๆ ได้แน่ชัด ตอนเราสอบถามเมื่อเช้า มันสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้กระจ่าง ว่ามันไปพบคณิกานางหนึ่ง มิทราบลู่เซียงเซินท่านคุ้นหูชื่อของนางบ้างหรือไม่ นางมีนามไป๋ยู่หลัน”

ลู่หยุนผงกศีรษะ “ข้าพเจ้าเคยพบนาง”

“ดังนั้น ระหว่างที่ซานเอ๋อร์และเลี่ยงเอ๋อร์ออกไปหาท่าน เราจึงให้คนออกไปตามหานางคณิกาผู้นั้นที่หอว่านเหนี่ยว ท่านทราบหรือไม่ เราพบกระไร”

คราวนี้กระทั่งลู่หยุนก็มิยอมเปิดปาก ส่วนหวงไป๋ยู่มีสีหน้าคล้ายสวมหน้ากากเอาไว้ มันมองซุนหลี่ซุ่นด้วยสายตาเย็นชา

“มีเรื่องใดให้รีบกล่าว ข้าพเจ้ามิชอบคนชักช้ามากความ”

ซุนหลี่ซุ่นหัวร่อในคอ ปรบมือสามครั้ง ไม่นานนักศิษย์เทียนซั่งเฟยอิงก็นำตัวบุคคลสองคนเข้ามา

คนหนึ่งคือโฉวหลวน ส่วนอีกผู้หนึ่ง...

“ไป๋เจี๋ยเจี่ย” เซียวเซียวส่งเสียงด้วยความดีใจระคนแปลกใจ “ท่านอยู่ที่นี่?”

ลมหายใจของหวงไป๋ยู่พลันชะงักค้าง ในหัวขาวโพลนไปชั่วขณะ มันมองเซียวเซียว มิทราบสมควรกล่าวกระไร ยาโถวน้อยเห็นดังนั้นจึงกล่าวสืบต่อ

“ท่านผู้นี้ ส่งคนไปหาท่านที่หอว่านเหนี่ยว ข้าพเจ้าบอกว่าท่านออกไปข้างนอก พวกมันถามว่าเมื่อคืนท่านอยู่ที่ใด ข้าพเจ้าบอกต่อมัน ท่านอยู่กับบุรุษขี่เมฆผู้นี้ทั้งคืน จากนั้นมันจึงนำตัวข้าพเจ้ามาที่นี่ บอกว่าข้าพเจ้าต้องมายืนยันอีกเรื่องหนึ่ง ไป๋เจี๋ยเจี่ย นี่เป็นเรื่องราวใด”

ซือหม่าซานและซือหม่าเลี่ยงหันไปมองทั้งคู่เป็นตาเดียว ซือหม่าเลี่ยงกล่าวขึ้นมา “ลู่เซียงเซิน... นี่เป็นเรื่องราวใด เมื่อคืนท่านอยู่กับผู้ใดแน่ หวงไป๋ยู่ หรือไป๋ยู่หลัน?”

ลู่หยุนมีสีหน้าลำบากใจ มันได้แต่เม้มปาก มิทราบสมควรกล่าวกระไรดี ตอนนั้นเองที่ซุนหลี่ซุ่นหันไปหาโฉวหลวน

“โฉวหลวน เจ้าดูบุคคลผู้นี้ คล้ายผู้ใดที่เจ้าพบเห็นหรือไม่?”

โฉวหลวนมองหวงไป๋ยู่ขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะพยักหน้า “คล้ายกับไป๋ยู่หลันมาก”

ซุนหลี่ซุ่นแค่นเสียงในลำคอ กล่าวต่อ “คล้ายหรือใช่ เจ้าจงระบุให้ดี”

โฉวหลวนเพ่งมองหวงไป๋ยู่อีกพัก แล้วกล่าวขึ้น “ข้าพเจ้าแน่ใจ เป็นนางคณิกาที่ชื่อไป๋ยู่หลัน ข้าพเจ้าจำดวงตาของนางได้”

ดวงตาของหวงไป๋ยู่พลันทอประกายอำมหิต “ซุนหลี่ซุ่น วาจาไร้สาระที่ท่านต้องการกล่าว ใช่หมดแล้วหรือไม่?”

ซุนหลี่ซุ่นถอนหายใจ “วาจาที่เรากล่าว ล้วนเป็นวาจาที่เราสมควรกล่าว แต่พวกท่านกล่าววาจาน้อยไปแล้ว”

หันไปหาลู่หยุน แล้วกล่าวสืบต่อ “เราได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน แต่มิทราบสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ ท่านกับหวงไป๋ยู่ผู้นี้ บางทีอาจรู้จักกันมาก่อน บางทีท่านกับมัน... มิแน่ ท่านอาจทราบแต่แรก มันมิใช่บุรุษ แต่เป็นสตรี ซ้ำยังเป็นสตรีที่งามอย่างยิ่ง งามจนท่านมิอาจหักใจ...”

“ซุนหลี่ซุ่น! ” หวงไป่ยู่ตะคอกขึ้นมา “ความจริงเราบิดา ไม่คิดเอาชีวิตของเจ้า แต่บัดนี้ เตรียมศีรษะของเจ้าไว้ เราจะไปเด็ดมา”

ซุนหลี่ซุ่นแผดเสียงหัวร่อดังลั่น “จะฆ่าก็ฆ่าเลยเถิด เจ้าลงมือฆ่าเกอเกอของเราไปแล้ว ฆ่าเราอีกคนจะเป็นไรไป ครั้งนี้เจ้าควรลงมือให้ผู้อื่นเห็น มิเช่นนั้น... เจ้าย่อมมิใช่บุรุษที่แท้จริง แต่หากเป็นสตรี”

หวงไป๋ยู่พลันกระโจนออกไปด้วยความเร็วปานสายฟ้า แต่กลับถูกมือข้างหนึ่งรั้งไว้

“ไป๋ยู่ พวกเรามิได้มาฆ่าคน” ลู่หยุนกล่าวกับมันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หวงไป๋ยู่รู้สึก มีกำลังขุมหนึ่งแผ่เข้ามาตรึงข้อมือของมันเอาไว้ จนมิสามารถขยับเขยื้อนได้ มันเค้นเสียงลอดไรฟัน

“ท่านสามารถทนได้ แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถทนได้”

“ท่านทนไม่ได้ก็ต้องทน ข้าพเจ้ามาที่นี่เพื่อไขความกระจ่าง เรื่องที่ซือหม่าเทียนถูกสังหาร”

ซุนหลี่ซุ่นมองมันด้วยสายตาพิศวง “ท่านสามารถอาศัยความใดไขข้อกระจ่างเรื่องนี้?”

ลู่หยุนเพ่งมองที่โลง แล้วกล่าว “วิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดารา มิใช่เป็นวิชาที่มีผู้ใช้ทั่วไป แต่ลักษณะเด่นของวิชากลับสามารถเลียนแบบได้ไม่ยาก ข้าพเจ้าต้องการดูอาการบาดเจ็บของท่านผู้เฒ่า ว่าเกิดจากพลังฝีมือนี้จริงหรือไม่?”

“อาศัยท่านก็สามารถยืนยันได้?”

“มิใช่ข้าพเจ้า เป็นมัน”

หันไปทางหวงไป๋ยู่ แล้วกล่าวสืบต่อ “มันคือผู้เชี่ยวชาญวิชาฝีมือนี้ มันย่อมสามารถระบุได้ เป็นการลงมือด้วยตัวมันเองจริงหรือไม่?”

ซุนหลี่ซุ่นแผดเสียงหัวร่อออกมา “น่าเสียดาย ท่านเป็นถึงศิษย์ของว่านเหนียนลู่เล่าโต๋ว แต่กลับมีวาจาคล้ายคนวิกลจริต หากมันเป็นฆาตกร มันไหนเลยจะระบุว่าตัวเองเป็นผู้กระทำ”

หวงไป๋ยู่เค้นเสียงผ่านไรฟัน “หยุน หากท่านมิยอมปล่อย อย่าหาว่าข้าพเจ้าล่วงเกิน”

ลู่หยุนรู้สึกมีพลังขุมหนึ่งกระแทกออกมาจากข้อมือที่มันกุมอยู่ ดังนั้น มันจึงตัดสินใจปล่อยมือ ร่างของหวงไป๋ยู่หายวับไปทันที จากนั้นจึงได้ยินเสียงซุนหลี่ซุ่นตวาดออกมา

“รนหาที่ตาย”

พู่กันเป็นตายถูกดึงออกมาจากแขนเสื้อ เข้าปะทะกับฝ่ามือของหวงไป๋ยู่ ก่อให้เกิดคลื่นกระแทกรุนแรง จนเซียวเซียวล้มลงไป ลู่หยุนรีบถลันเข้าไปประคองนางขึ้นมา

“กงจื่อ... ข้าพเจ้า...” เซียวเซียวกล่าวได้แค่นั้น ก็พลันกระอักโลหิตออกมาคำโต ลู่หยุนรีบทาบฝ่ามือลงไปบนหลังของนาง เพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บ ก่อนหันไปหาซือหม่าเลี่ยง

“เสี่ยวเลี่ยง เจ้าดูนางไว้”

ซือหม่าเลี่ยงถลันเข้าไปประคองเซียวเซียวเอาไว้ พลางประหลาดใจที่ไฉนตัวมันจึงต้องกระทำตามคำกล่าวของลู่หยุนด้วย แต่ขณะที่คิดจะกล่าวกระไร ลู่หยุนพลันหายวับไปราวกับควัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงตวาดดังก้อง

“หยุดมือไว้! ”

พลังกระแทกอันหนักหน่วงรุนแรงสายหนึ่งก็พุ่งเข้าแทรกกลางระหว่างหวงไป๋ยู่กับซุนหลี่ซุ่น ทั้งคู่ถึงกับมิอาจทนทานได้ ต้องถอยออกมาสี่ห้าก้าว

ลู่หยุนยืนอยู่ตรงกลาง สีหน้าเคร่งเครียด มันจ้องหน้าหวงไป๋ยู่ ฝ่ายนั้นจึงกล่าว “หยุน ท่านไฉนจึงต้องขัดขวาง เรื่องนี้มิใช่ธุระกงการใดของท่าน”

“ไป๋ยู่” ลู่หยุนเรียกชื่อมัน “หากท่านยังดึงดันปะทะกับซุนหลี่ซุ่นผู้นี้ น่ากลัวผู้ที่ต้องสังเวยชีวิตคนแรกต้องเป็นเซียวเซียวผู้นั้น”

จนบัดนี้ หวงไป๋ยู่จึงเพิ่งตระหนัก ภายในห้องโถงยังมีเซียวเซียว ยาโถวน้อยธรรมดาที่มิรู้จักหลักวิชาบู๊ใด มันพลันโถมเข้าไป ชิงนางออกมาจากซือหม่าเลี่ยง

“เซียวเซียว เจ้าได้ยินเราหรือไม่?”

เซียวเซียวมีสีหน้าซีดเผือดราวกระดาษ หวงไป๋ยู่เขย่าตัวนาง “เจ้าตื่นมากล่าววาจากับเราสักครึ่งคำ”

ซือหม่าเลี่ยงที่อยู่ใกล้ที่สุดกลับมิลงมือประการใด ขนาดตัวมันยังมิอาจเข้าใจ ตอนนี้มันรู้สึกอย่างไรแน่ ตรงหน้ามันแท้จริงเป็นบุรุษหรือสตรี มันมิกล้าคิดต่อ คนผู้นี้คือฆาตกรที่ฆ่าบิดาของมันจริงหรือไม่? มันมิสามารถตอบตัวเองได้เลย

“ไป๋ยู่ ท่านพานางออกไปก่อน ที่นี่ข้าพเจ้าจัดการเอง”

หวงไป๋ยู่เหลือบมองลู่หยุนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งขอบคุณทั้งสงสัย ก่อนจะถีบเท้าพุ่งออกประตูไป พร้อมกันร่างของเซียวเซียว ซือหม่าเลี่ยงและซือหม่าซานรีบพุ่งตัวตามไป แต่กลับถูกลู่หยุนสกัดไว้

“ท่านไฉนกระทำดังนี้” ซือหม่าซานกล่าวด้วยความพลุ่งพล่าน “หรือท่านกับนาง... มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน”

ลู่หยุนมิได้ตอบ มันเพียงกล่าวสั้นๆ “ข้าพเจ้ายืนยัน การตายของเตียเตียท่าน มิใช่ฝีมือของมันเด็ดขาด”

“ท่านยังอาศัยประการใดมายืนยันได้... ท่าน... ท่าน บัดนี้ท่านได้ทรยศต่อน้ำใจของเตียเตีย น้ำใจของพวกเราสองพี่น้อง ท่านไฉนจึงกลายเป็นคนเยี่ยงนี้”

ลู่หยุนขบริมฝีปาก ทราบแน่แก่ใจ มันตอนนี้มิสามารถอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้กระจ่างได้ ดังนั้น จึงจำต้องกล่าวต่อ

“ซือหม่าซาน วันนี้ข้าพเจ้ามิได้ทรยศต่อเตียเตียของท่าน ยิ่งมิได้ทรยศต่อน้ำใจของท่านสองพี่น้อง สำหรับฆาตกรที่สังหารท่านผู้เฒ่า ข้าพเจ้ารับปาก จะหาตัวมันมาชำระความให้ท่าน ตอนนี้ข้าพเจ้าวิงวอนให้ท่านสงบสติอารมณ์ก่อน”

ซือหม่าซานตัวสั่นเทา “วาจาของท่าน ท่านจะกล่าวเช่นไรก็ได้ วันนี้หากข้าพเจ้าไม่สู้ตายกับท่าน ข้าพเจ้าไม่ขอเกิดเป็นคน”

มันพลันชักกระบี่ หมายจะต่อสู้เสี่ยงชีวิต แต่กลับถูกเสียงของซุนหลี่ซุ่นยับยั้งไว้

“ซานเอ๋อร์ เจ้าอย่าเปลืองมือเปลืองเท้ากับคนเช่นนี้”

“ซุนสู”

ซุนหลี่ซุ่นหันไปมองลู่หลุน กล่าวสืบต่อ “ในเมื่ออู๋เน่ยเฉียงฟงรับปากจะพาฆาตกรตัวจริงมาชำระความ เจ้าควรให้โอกาส”

“แต่...”

“ซุนสูเข้าใจ เจ้าไม่ไว้ใจมัน ซุนสูก็ไม่ไว้ใจมัน แต่เจ้าก็เห็น มันมิใช่ผู้ที่พวกเราสามารถต่อต้านได้”

ซือหม่าซานกัดริมฝีปากจนโลหิตหลั่งไหล เค้นเสียงกล่าวออกมา “ท่านจะให้ปล่อยพวกมันไปเยี่ยงนี้?”

“อืม... แต่มันย่อมต้องไม่ไปตัวเปล่า” หันไปหาซือหม่าเลี่ยง “เลี่ยงเอ๋อร์ เจ้าติดตามมันไป”

ซือหม่าเลี่ยงเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจ ขณะที่ซือหม่าซานร้องออกมา “จะให้มันติดตามอู๋เน่ยเฉียงฟงไป?”

ซุนหลี่ซุ่นพยักหน้า แล้วหันไปมองลู่หยุน “หากท่านกับหวงไป๋ยู่ผู้นั้นมิใช่ฆาตกรจริง ท่านต้องยินดีให้มันติดตามท่านไปสืบคดีในครั้งนี้ ท่านต้องสามารถรับรองความปลอดภัยของมันได้ ท่านกล้ารับปากหรือไม่?”

“มันมิต้องรับปาก ข้าพเจ้าก็จะไป” ซือหม่าเลี่ยงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าพเจ้าต้องการทราบ เป็นผู้ใดลอบลงมือสังหารเตียเตีย หากท่านมิยอมให้ข้าพเจ้าติดตามไป ก็สังหารข้าพเจ้าเสียที่นี่”

ลู่หยุนหลับตา ก่อนจะถอนใจแรง “ได้ ข้าพเจ้ารับปากพวกท่าน ข้าพเจ้าจะนำฆาตกรกลับมา และประกัน ซือหม่าเลี่ยงผู้นี้ต้องปลอดภัยกลับมาด้วย”

“ในเมื่อท่านรับปากแล้ว ท่านสามารถไปได้”

ลู่หยุนกวาดตามองซุนหลี่ซุ่นและซือหม่าซาน ก่อนจะหันไปหาซือหม่าเลี่ยง “พวกเรา ไป”

------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ซับซ้อนดั่งกลีบเหมย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
เหมยแดง

บทที่11 ถกปัญหา


หวงไป๋ยู่มีสีหน้าร้อนรนตอนเห็นลู่หยุนเดินออกมา มันอุ้มเซียวเซียวไว้ในอ้อมกอด

“หยุน นางหมดสติไปแล้ว”

ลู่หยุนถอดเสื้อหนังจิ้งจอกยื่นให้ “คลุมให้นาง พวกเราจะกลับไปหมิงซิ่งลู่โหลว”

หวงไป๋ยู่รีบรับเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกมาสวมให้เซียวเซียว จากนั้นจึงอุ้มนางขึ้นม้าแล้วควบออกไป ลู่หยุนกระโดดขึ้นม้า ซือหม่าเลี่ยงจึงกระโดดตามไป ในขบวนสามคน มันจึงรั้งอยู่หลังสุด

หิมะหยุดตกแล้ว แต่อากาศยังคงหนาวเหน็บ ซือหม่าเลี่ยงกระชับเสื้อคลุมขนสัตว์เข้ากับตัว พลางมองแผ่นหลังของคนที่นั่งอยู่บนม้าเบื้องหน้า มันทราบ กำลังภายในของคนผู้นี้ เลอเลิศไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงสามารถสวมเสื้อธรรมดาควบม้าท่ามกลางอากาศเช่นนี้ได้

เมื่อหลายวันก่อน ตอนคนผู้นี้มาถึงเทียนซั่งเฟยอิงผาย ในใจของมันมีแต่ความยกย่องชื่นชม จากเรื่องเล่าที่มันได้ยิน อู๋เน่ยเฉียงฟงลู่หยุน สำหรับมันเป็นดั่งวีรบุรุษ ทั้งความกล้าหาญ เสียสละ และพลังฝีมืออันสูงล้ำ ทว่าตอนนี้ ยามเมื่อบิดามันถูกฆาตกรรม ผู้ต้องสงสัยคนสำคัญกลับถูกคนที่มันยกย่องเชิดชูยืนยันว่ามิมีส่วนเกี่ยวข้อง หนำซ้ำดูท่าทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ซือหม่าเลี่ยงมิทราบมันสมควรเชื่อผู้ใดดี ดังนั้น มันจึงตกลงใจติดตามลู่หยุนไปดูสักครั้ง

มันรู้สึกอยู่ในส่วนลึก มิว่าประการใดที่อู๋เน่ยเฉียงฟงผู้นี้รับปาก ต้องไม่ตระบัดสัตย์เป็นอันขาด

----------------------------------

อู๋หยางจงเพิ่งบงการคนรับใช้ให้เก็บกวาดห้องโถงเสร็จ มันกำลังนั่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ที่ปูด้วยขนสัตว์ที่ทั้งหนา ทั้งนุ่ม ทั้งอุ่น ในมือของมันมีจอกสุราทองคำที่มีสุราอุ่นๆ อยู่เต็มจอก แต่ขณะที่กำลังจะยกขึ้นดื่ม คนรับใช้ก็พรวดพราดเข้ามา

“นายท่าน ลู่กงจื่อกลับมาแล้ว”

อู๋หยางจงพลันวางจอกลง รีบผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ หมายจะออกไปต้อนรับสหาย แต่ลู่หยุนกลับผลักประตูเข้ามาเสียก่อน

“เสี่ยวหยุน ท่านไปทำกระไรมา ไฉนตัวจึงได้เปียกเช่นนั้น?” อู๋หยางจงถามด้วยความประหลาดใจ แต่ยังมิทันที่ลู่หยุนจะได้ตอบ หวงไป๋ยู่ก็เดินเข้ามาแล้วชิงตอบคำถามไป

“มันขี่ม้ามาจากเทียนซั่งเฟยอิงผาย โดยไม่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ ที่ท่านเห็นคือหิมะที่ละลายเมื่อสัมผัสลงไปบนร่างของมัน”

อู๋หยางจงทำตาโต แล้วถาม “ท่านไฉนมิสวมเสื้อหนังจิ้งจอกที่ข้าพเจ้าให้ไป...” จากนั้นมันจึงพบเห็น เสื้อหนังจิ้งจอกตัวนั้นอยู่บนตัวดรุณีน้อยในอ้อมกอดของหวงไป๋ยู่

“ไฮ้ นางเป็นผู้ใด ไฉนหน้าซีดปานนั้น มาๆ วางนางลงบนเก้าอี้ก่อน” มันถึงกับสละเก้าอี้ตัวอุ่นเมื่อครู่ให้กับดรุณีน้อยที่ไม่รู้จัก แล้วเรียกคนรับใช้ให้ไปยกแคร่ที่คลุมขนสัตว์ไว้แล้วเข้ามา

หวงไป๋ยู่อุ้มเซียวเซียวจากเก้าอี้วางลงบนแคร่ แล้วหันไปหาลู่หยุน “ท่านสามารถช่วยนางได้หรือไม่?”

ลู่หยุนผงกศีรษะ มันคุกเข่าลงข้างแคร่ ยกข้อมือของดรุณีน้อยขึ้นมาตรวจชีพจร

“นางมีอาการบาดเจ็บภายใน แม้ไม่ถึงขั้นสาหัส แต่ก็รุนแรงไม่น้อย เมื่อครู่พวกท่านมิควรลงมือกันภายในห้องนั้น นางมิได้ฝึกกำลังภายในจึงมิอาจทนทานได้”

หวงไป๋ยู่ก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิดจับใจ ขณะที่ลู่หยุนวางฝ่ามือลงไปบนฝ่ามือของนาง แล้วถ่ายเทพลังลมปราณให้ส่วนหนึ่ง

ใบหน้าของเซียวเซียวเริ่มมีเลือดฝาด ทรวงอกของนางกระเพื่อมแรงขึ้น อู๋หยางจงที่ยืนสังเกตการณ์อยู่จึงกล่าวขึ้นมา

“นางเป็นผู้ใดกัน ไฉนพวกท่านจึงนำนางกลับมาด้วย”

“นางเป็นยาโถวรับใช้ของไป๋ยู่หลัน” ซือหม่าเลี่ยงตอบแทนให้ อู๋หยางจงหันไปมองราวกับเพิ่งเห็นมันปรากฏตัวในห้องก็ปาน

“อ้อ... เส้าเหยี่ยท่านนี้ก็มาด้วย”

แสดงให้ทราบแน่ชัด มันมิใคร่พอใจการมาของซือหม่าเลี่ยงเท่าไรนัก แต่เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่สนใจ กล่าวสืบต่อ “ท่านทราบความสัมพันธ์ของพวกมันหรือไม่?”

อู๋หยางจงหัวร่อในคอ “ทราบแล้วอย่างไร? มิใช่ธุระกงการใดของท่าน”

ซือหม่าเลี้ยงเม้มริมฝีปาก ขณะที่กำลังจะกล่าวอะไรต่อ เซียวเซียวที่นอนอยู่ก็ลืมตาขึ้นมา

“ไป๋เจี๋ยเจี่ย... ข้าพเจ้า...”

หวงไป๋ยู่รีบขยับไปกุมมือนาง ยิ้มแล้วกล่าว “เราอยู่นี่ เจ้ามิต้องกังวลใจ ที่นี่มิมีใครทำอันตรายเจ้าได้”

นางยังคงมีสีหน้ามิเข้าใจอยู่นั่นเอง “ข้าพเจ้า... ข้าพเจ้าเป็นไรไป”

“เมื่อครู่เจ้าถูกพลังปราณของผู้อื่นคุกคามจนบาดเจ็บภายใน” ลู่หยุนกล่าวตอบให้ “ไป๋เจี๋ยเจี่ยต้องการช่วยเจ้าจึงพามาที่นี่ นางจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ดังนั้น เจ้ามิต้องกังวลสิ่งใด นอนหลับพักผ่อนสักงีบ แล้วค่อยตื่นมาคุยกับนางอีกที”

ลู่หยุนกล่าวพลางวางมือลงไปบนไหล่ของนาง เซียวเซียวถึงกับพยักหน้าอย่างว่าง่าย แล้วพริ้มตาหลับไปทันที ได้ยินเสียงอู๋หยางจงถอนหายใจ

“ข้าพเจ้าเวลาเห็นท่านรักษาอาการให้ผู้ใด มักเข้าใจท่านเป็นหมอเทวดาทุกที”

ลู่หยุนหันมายิ้ม “ที่ข้าพเจ้าทำเป็นแค่วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น ท่านพอจะหาห้องสักห้องให้นางนอนพักได้หรือไม่?”

อู๋หยางจงพยักหน้า แล้วเรียกคนรับใช้เข้ามาสั่งความ

“ท่านอุ้มนางตามมันไปที่ห้อง ต้องการสิ่งใดก็สั่งต่อมันได้ทันที”

หวงไป๋ยู่พยักหน้า แล้วอุ้มเซียวเซียวเดินตามคนรับใช้ออกไป

เมื่อเหลือกันอยู่สามคน อู๋หยางจงจึงพูดขึ้นต่อ “ตอนนี้ข้าพเจ้าเชิญพวกท่านทั้งสองนั่ง ข้าพเจ้าต้องการรับฟัง ระหว่างที่ข้าพเจ้าบงการคนรับใช้ให้เก็บกวาดสถานที่อยู่นี้ พวกท่านไปเผชิญเรื่องราวใดมา”

ลู่หยุนและซือหม่าเลี่ยงจึงทรุดตัวลงนั่ง ยังคงเป็นลู่หยุนบอกเล่าเรื่องราว

อู๋หยางจงส่งเสียงอ้อๆ พลางพยักหน้าซ้ำๆ พอฟังจบจึงกล่าวขึ้น “ดังนี้เฒ่าแซ่ซุนผู้นั้นก็เพิ่มตรวนลงบนขาท่านได้อีกเส้นแล้ว ข้าพเจ้าแน่ใจ ระหว่างนี้ท่านต้องมิใคร่สะดวกสบายนัก”

ลู่หยุนแค่นยิ้มขืนๆ ขณะที่ซือหม่าเลี่ยงกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย “ความหมายของอู๋ต้าหนินคือ?”

“หรือท่านยังมองมิออก ลู่หยุนของข้าพเจ้ามิเคยกล่าววาจาโป้ปด มันบอกหวงไป๋ยู่ผู้นั่นมิใช่ฆาตกร ท่านควรเชื่อมัน มันบอกจะออกไปนำตัวฆาตกรกลับมา ท่านก็ควรเชื่อมันแล้วอยู่ช่วยเกอเกอของท่านที่สำนัก ตอนนี้ท่านออกมาที่นี่ หากฆาตกรผู้นั้นมุ่งหมายทำลายชีวิตของผู้เกี่ยวข้องกับซือหม่าเทียนจริง นี่มิใช่เพิ่มภาระให้เสี่ยวหยุนน้อยของข้าพเจ้าหรือไร”

ซือหม่าเลี่ยงรู้สึกตระหนกขึ้นมา หากคิดตามที่อู๋หยางจงว่า มันคือโซ่ตรวนที่คอยตรึงมือตรึงเท้าลู่หยุนจริง ทว่ามันเพิ่งสูญเสียบิดา หนำซ้ำท่านอาซุนของมันได้นำตัวยาโถวผู้นั้นออกมาเปิดเผยความลับของอู๋เน่ยเฉียงฟง มันอย่างไรก็มิอาจเชื่อใจลู่หยุนได้อย่างเดิมอีก

“ข้าพเจ้าอย่างไรสามารถดูแลตัวเองได้ ท่านอย่าลืม เป็นลู่เซียงเซินกระทำเรื่องอันน่าคลางแคลงใจก่อน หากมันกับหวงไป๋ยู่ผู้นั้นมิได้มีความสัมพันธ์เหนือธรรมดาจริง ไฉนจึงไม่กล่าวอธิบายต่อหน้าซุนสูของข้าพเจ้า”

อู๋หยางจงหัวร่อออกมา หันไปมองลู่หยุน แล้วหันกลับมามองซือหม่าเลี่ยงอีกครั้ง “แม้เสี่ยวหยุนของข้าพเจ้าจะเป็นบุรุษที่มีหนังหน้าหนาที่สุดในโลก แต่มันสามารถสำนึกได้ หนังหน้าผู้อื่นย่อมมิหนาเช่นมัน ดังนั้นหากท่านคาดหวังให้มันฉีกหน้าผู้อื่นต่อหน้าซุนสูของท่าน ท่านก็ผิดแล้ว ให้มันฉีกหน้าสหาย ท่านให้มันโอ่ประโคมความหน้าของหนังหน้ามันยังเป็นไปได้มากกว่า”

ลู่หยุนที่นั่งเงียบอยู่นาน กล่าวออกมาอย่างฝืดฝืน “ฟังวาจาที่ท่านกล่าว ข้าพเจ้ารู้สึกมิใคร่ถูกต้อง”

“มิใคร่ถูกต้องที่ใด”

“ที่ว่าข้าพเจ้ามีหนังหน้าหนา”

“อ้อ...”

“ความจริงหนังหน้าข้าพเจ้ามิได้หนา เพียงบางเท่าคนทั่วไปเท่านั้น ที่ข้าพเจ้าสามารถอวดโอ่ได้ มีเพียงปากที่หนักดั่งพะเนินเหล็กของข้าพเจ้าหรอก”

อู๋หยางจงหัวร่อชอบใจ “ตัวบัดซบ พะเนินเหล็กใดอยู่บนปากท่าน ข้าพเจ้ามองมิเห็น เห็นเพียงหน้าท่านหนาดั่งพะเนินเหล็กเท่านั้น”

ซือหม่าเลี่ยงฟังแล้วก็ทำหน้านิ่ว “ข้าพเจ้ามิเข้าใจ”

“ท่านน่ากลัวยังสงสัย ข้าพเจ้าเป็นหญิงหรือชายกระมัง” หวงไป๋ยู่ที่เพิ่งเดินเข้ามากล่าวขึ้น อู๋หยางจงหันไปมองมัน

“ยาโถวน้อยนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”

“นางหลับสนิทแล้ว ข้าพเจ้าจึงปลีกตัวออกมา”

“ท่านมาได้ทันเวลา” อู๋หยางจงว่า “ลู่ตี๋ของข้าพเจ้าเพิ่งใช้หนังหน้าหนาๆ ของมันช่วยกู้หน้าของท่านขึ้นมา”

หวงไป๋ยู่แค่นยิ้ม “ประการนี้เป็นหยุนท่านกังวลแทนข้าพเจ้าเกินไป”

“อ้อ...”

“เป็นดั่งที่ท่านเคยกล่าว ข้าพเจ้าแท้จริงสมควรภาคภูมิใจ สามารถปลอมตัวเป็นนางคณิกาที่งามที่สุดในเมืองได้ นี่สมควรเป็นเรื่องน่าอวดโอ่อย่างยิ่ง”

สีหน้าของลู่หยุนคล้ายแฝงแววเจ็บปวดอยู่เล็กน้อย ขณะที่ซือหม่าเลี่ยงถามขึ้น “เช่นนั้นท่านยอมรับตัวเองได้ปลอมเป็นนางคณิกาจริง?”

หวงไป๋ยู่ผงกศีรษะ รีบกล่าวสืบต่อ “แต่ที่ข้าพเจ้าปลอม เพียงแต่ปลอมเป็นนางคณิกาเท่านั้น มิได้ขายร่างกายแต่อย่างใด”

ลู่หยุนรีบพูดต่อ “ด้วยพลังฝีมือของมัน ย่อมมิจำเป็นต้องขายร่างกายจริงๆ”

“ถูกต้อง” อู๋หยางจงรีบสำทับ “ดังนั้น เส้าเหยี่ยน้อยท่านต้องไม่แคลงใจในความบริสุทธิ์ของมัน”

ซือหม่าเลี่ยงมองทั้งสาม ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าพเจ้ามิได้สงสัยเรื่องนี้”

“ท่านสงสัยเรื่องใด?”

ซือหม่าเลี่ยงมีสีหน้าลำบากใจ มันหันไปมองลู่หยุน แล้วหันไปมองหวงไป๋ยู่ “ที่ข้าพเจ้าสงสัย... คือพวกท่านทั้งสอง... มีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกันหรือไม่... หากนางเป็นคนรักของท่าน...”

หวงไป๋ยู่รีบกล่าวออกมา “มิใช่เป็นอันขาด”

“แต่... ท่านเป็นสตรีที่งดงามอย่างยิ่ง แม้ปลอมเป็นบุรุษ ก็มิอาจทำให้ความงามของท่านลดลงได้”

อู๋หยางจงมีสีหน้าคล้ายจะหัวร่อก็มิใช่ ร่ำไห้ก็มิเชิง ลู่หยุนก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก ขณะที่หวงไป๋ยู่เองคล้ายอยากร่ำไห้ออกมาจริงๆ

“ซือหม่ากงจื่อ หรือท่านดูไม่ออกจริงๆ? ข้าพเจ้าเป็นบุรุษ เป็นบุรุษโดยสมบูรณ์”

ครานี้เป็นซือหม่าเลี่ยงมีสีหน้าดูยากบ้าง มันจ้องหวงไป๋ยู่ “ท่านเป็นบุรุษจริงๆ?”

หวงไป๋ยู่มิทราบควรทำเช่นไร จึงปลดกระดุมเสื้อออก ซือหม่าเลี่ยงรีบร้องขึ้น “มิต้อง ข้าพเจ้าเชื่อท่านแล้ว”

คล้ายดั่งมันกลัวหวงไป๋ยู่จะปลดกระดุมออกจริงๆ หวงไป๋ยู่มองหน้ามัน

“ท่านเชื่อแล้วจริงๆ”

ซือหม่าเลี่ยงพยักหน้าซ้ำๆ “ข้าพเจ้าทราบ ต้องมิมีสตรีใดกล้าแกะกระดุมต่อหน้าบุรุษมากมายเช่นนี้ ดังนั้นท่านเป็นบุรุษอย่างแน่นอน”

หวงไป๋ยู่ระบายลมหายใจออกมา แล้วลากเก้าอี้ลงนั่ง

“เช่นนั้น ตอนนี้ท่านสมควรทราบ ที่ลู่เซียงเซินมิยอมกล่าวกระไรเกี่ยวกับข้าพเจ้าเมื่อครู่ เนื่องเพราะแม้มันมั่นใจตัวเองหน้าหนาเป็นพิเศษ แต่มันมิแน่ใจ ข้าพเจ้าสามารถหน้าหนาเช่นมันได้หรือไม่ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถตอบคำถามซุนสูของท่านได้”

กล่าวพลางหันไปมองลู่หยุน ฝ่ายนั้นถึงกับเสไปมองทางอื่น อู๋หยางจงหัวร่อเบาๆ

“หน้าท่านบางลงบ้างแล้วกระมัง”

ลู่หยุนกระแอมออกมา แล้วกล่าว “ในเมื่อท่านเข้าใจทุกอย่างถูกต้องแล้ว ยังคงกลับไปที่เทียนซั่งเฟยอิงผายเถิด เรื่องฆาตกรข้าพเจ้าจะหาตัวมาให้เอง”

ซือหม่าเลี่ยงสั่นศีรษะ “เยี่ยงนี้มิได้ แม้ข้าพเจ้าทราบเรื่องเหล่านี้แล้ว แต่ก็ยังมิสามารถไปอธิบายต่อซุนสูได้ว่าท่านกับหวงไป๋ยู่มิได้ลงมือสมคบคิดกัน”

“อ้อ...” อู๋หยางจงร้องออกมา “ในความเห็นท่าน พวกมันยังคงน่าคลางแคลงสงสัย”

“ข้าพเจ้ามิสงสัยแล้ว” ซือหม่าเลี่ยงว่า “แต่ซุนสูและเกอเกอกลับมิแน่ใจนัก อย่างไรเสียข้าพเจ้าก็ต้องติดตามท่านไปหาฆาตกรด้วยกัน หากกลับไปทั้งเช่นนี้เกรงว่า...”

“ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว” ลู่หยุนผงกศีรษะ “เช่นนั้นเราต้องคุยกัน ก่อนอื่น ข้าพเจ้าต้องกล่าวกับท่านว่า ข้าพเจ้าเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการเสียชีวิตของเตียเตียท่าน อันที่จริงเหตุผลที่ข้าพเจ้ามาที่นี่แต่แรกก็เพราะต้องการระงับเรื่องระหว่างท่านกับทายาทของยู่เหลียนเทียนสื่อ มิคาดกลับกลายเป็นเรื่องราวเช่นนี้ไปได้”

ซือหม่าเลี่ยงก้มศีรษะด้วยความคับแค้น “เมื่อค่ำวานข้าพเจ้ายังคงสนทนาอยู่กับเตียเตีย มิคาดวันนี้ ท่านกลับ...”

หวงไป๋ยู่มองมันด้วยความสะทกสะท้อน ขณะที่ลู่หยุนกล่าวขึ้นต่อ “เมื่อคืนนอกจากพวกท่านสองคน ยังมีผู้ใดพบเห็นเตียเตียของท่านอีกหรือไม่?”

“ไม่มีแล้ว พวกเราสนทนากับเตียเตียจนดึก จึงลาจากมา ตอนนั้นเตียเตียเตรียมตัวนอนแล้ว ต้องไม่พบผู้ใดอีกเป็นอันขาด”

อู๋หยางจงกล่าวขึ้นมาบ้าง “เมื่อวานข้าพเจ้าเห็นกับตา ซือหม่าเทียนมีวรยุทธ์สูงส่งเช่นนั้น กอปรกับอยู่ภายในเทียนซั่งเฟยอิงผาย ไฉนกลับถูกคนลอบประทุษได้โดยง่าย”

ซือหม่าเลี่ยงเม้มริมฝีปาก “เนื่องเพราะเมื่อวาน เตียเตีย... ท่านแทบไม่หลงเหลือพลังฝีมือแล้ว”

ทั้งอู๋หยางจงและหวงไป๋ยู่ร้องขึ้นมา ฝ่ายหลังกล่าวสืบต่อ “ได้อย่างไร ตอนประมือกัน ข้าพเจ้ายังถูกท่านคุกคามจนพ่ายแพ้ไป”

ครั้งนี้ซือหม่าเลี่ยงมิได้ตอบ เป็นลู่หยุนกล่าวขึ้นแทน “เนื่องเพราะตอนประลองเมื่อวาน ท่านได้ทุ่มเทพลังภายในไปแทบหมดสิ้น ดังนั้น หลังจบการประลอง ท่านจึงคล้ายสูญสิ้นกำลังภายในไปชั่วคราว”

ซือหม่าเลี่ยงเงยหน้าขึ้นมองลู่หยุน “ท่านทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร?”

“ข้าพเจ้าดูออกจากลักษณะการก้าวเท้าของท่าน”

อู๋หยางจงกล่าวขึ้นมา “หากเป็นเช่นนี้ มิว่าผู้ใดก็สามารถลอบประทุษซือหม่าเทียนได้”

“ผู้ที่ทราบเรื่องนี้ มีเพียงเกอเกอกับข้าพเจ้า รวมลู่เซียงเซินด้วยก็เป็นสาม นับกันจริงๆ แล้ว ผู้ที่ติดตามการประลองเมื่อวานอย่างใกล้ชิด มีเพียงสี่คนเท่านั้น ดังนั้น ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะมีผู้อื่นล่วงรู้”

ลู่หยุนผงกศีรษะ ซือหม่าเลี่ยงกล่าวสืบต่อ “เมื่อคืน เตียเตียยังกล่าวชม บอกท่านกระทำการรอบคอบ มิปล่อยคนให้เข้ามาใกล้มากเกินไป แม้มีเหตุการณ์ผิดปกติ ก็ย่อมมิมีผู้ใดสังเกตออก เนื่องจากอยู่ห่างจนเกินไป เตียเตียมีความนับถือท่านเป็นอย่างยิ่ง”

ลู่หยุนเม้มริมฝีปาก “เยี่ยงนี้หากข้าพเจ้ามิสามารถเสาะหาตัวฆาตกรออกมาได้ ข้าพเจ้าคงทรยศต่อความไว้วางใจของท่านผู้เฒ่าแล้ว”

อู๋หยางจงพลันถอนหายใจ ขณะคิดจะกล่าวกระไร หวงไป๋ยู่ก็ส่งเสียงขึ้น “นอกจากข้าพเจ้า ยังมีผู้ใดต้องการปองร้ายเตียเตียของท่านอีกหรือไม่?”

ซือหม่าเลี่ยงสั่นศีรษะ “แม้เตียเตียคร่ำหวอดอยู่ในยุทธภพมานานปี แต่ระยะหลังนี้ท่านมิได้ออกท่องเที่ยวไปไหน ความแค้นใหม่มิได้ก่อ ความแค้นเก่าที่รอการสะสางเพิ่งพบเห็นท่านคนแรก ข้าพเจ้านึกมิออกจริงๆ ว่ามีผู้ใดต้องการปองร้ายท่าน”

“ข้าพเจ้ากลับสามารถคิดออกได้บ้าง” หวงไป๋ยู่กล่าวขึ้นต่อ “ฆาตกรผู้นั้นจะต้องทราบเรื่องการมาของข้าพเจ้า ทราบลักษณะเด่นของวิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดารา ทั้งยังต้องมีวิชาตัวเบาอันยอดเยี่ยม จึงสามารถลักลอบเข้าไปสังหารเตียเตียของท่านภายในเทียนซั่งเฟยอิงผายได้”

“ฟังดูทั้งหมดเป็นท่าน” อู๋หยางจงว่า หวงไป๋ยู่พยักหน้า

“เนื่องเพราะมีเพียงข้าพเจ้าที่มีมูลเหตุ หากฆาตกรจงใจปิดบังอำพรางตัวเอง การป้ายความผิดให้ข้าพเจ้าย่อมเป็นลู่ทางที่สมบูรณ์แบบ”

ซือหม่าเลี่ยงพยักหน้า “ตอนแรกข้าพเจ้าและเกอเกอก็มั่นใจเช่นนั้น แต่เมื่อพบว่าลู่เซียงเซินเป็นพยานยืนยันของท่าน พวกเราก็มิอาจกล่าวหาหนักหนาไป ทว่าเมื่อซุนสูนำตัวยาโถวผู้นั้นออกมา เรื่องราวก็เปลี่ยนแปลงไปอีก”

ลู่หยุนที่เงียบอยู่นานกล่าวขึ้น “ซุนสูของท่านผู้นี้ รู้จักกับเตียเตียของท่านมานานกระมัง”

“โอ... นานอย่างยิ่ง ท่านเป็นตี้ตี้ร่วมสาบานของเตียเตียข้าพเจ้า ปกติแล้วท่านเป็นคนมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แต่ที่กระทำไปเยี่ยงนั้นคงเพราะท่านคั่งแค้นใจกับการตายของเตียเตียเป็นอย่างมาก”

พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของซือหม่าเลี่ยงก็กลายเป็นสีแดงฉานด้วยความคั่งแค้นเช่นกัน หวงไป๋ยู่กล่าวขึ้นต่อ

“มีข้อหนึ่งที่ข้าพเจ้าสงสัย โฉวหลวนผู้นั้น ที่จริงมิควรมีชีวิตอยู่แล้ว ไฉนมันยังสามารถออกมากล่าววาจาได้ ทั้งยังสามารถจดจำข้าพเจ้าได้ หากมันผู้นั้นมิปากมาก เซียวเซียวก็ไม่ต้องพบกับอันตราย”

“เรื่องนั้น...” ซือหม่าเลี่ยงอึกๆ อักๆ มันเหลือบไปมองลู่หยุน ฝ่ายนั้นจึงกล่าวขึ้น

“โฉวหลวนผู้นั้น ข้าพเจ้าเป็นคนรักษามันเอง”

หวงไป๋ยู่พลันถลึงตามองลู่หยุนราวกับมิเคยเห็นมันมาก่อน “ท่านว่ากระไร? ท่านรักษามัน? ท่านสามารถรักษามันได้?”

“ข้าพเจ้าเคยกล่าวกับท่าน ศัตรูของท่านมีเพียงซือหม่าเทียนเท่านั้น ผู้อื่นมิเกี่ยวข้อง ท่านลงมืออำมหิตต่อโฉวหลวนผู้นั้นย่อมเป็นเรื่องเกินกว่าเหตุ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องช่วยมัน”

“ท่านเป็นผู้ใดแน่” หวงไป๋ยู่ถามขึ้นมา “วิชาที่ข้าพเจ้าใช้ นอกจากตัวข้าพเจ้าและมามาแล้ว ก็มีแต่คนที่ฝึกวิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดาราเช่นเดียวกันเท่านั้น จึงสามารถคลายจุดเหล่านั้นได้”

“ทุกอย่างย่อมมีทางแก้” ลู่หยุนตอบ “แม้ข้าพเจ้ามิได้ฝึกวิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดารา แต่เคยศึกษารายละเอียดมาอยู่ จึงมีความสามารถพอแก้ไขได้เล็กน้อย”

หวงไป๋ยู่จ้องมันอยู่เป็นนาน ก่อนจะผุดลุกขึ้น “อู๋เน่ยเฉียงฟง อู๋เน่ยเฉียงฟง... ที่แท้ตัวอันตรายที่สุดคือท่านนี่เอง”

กล่าวจบมันก็เดินออกจากห้องไป อู๋หยางจงหันมาหาลู่หยุน “ท่านมิตาม?”

“ไฉนข้าพเจ้าจึงต้องตาม?”

“เนื่องเพราะมันเคืองท่าน” อู๋หยางจงว่า “เคืองที่ท่านสามารถแก้ไขวิชาที่มันภาคภูมิใจได้”

“อืม... เมื่อท่านทราบดังนั้นแล้ว ท่านก็ควรทราบ ข้าพเจ้ายิ่งต้องไม่ตามมันเด็ดขาด”

“อ้อ...”

ซือหม่าเลี่ยงกล่าวขึ้นบ้าง “ท่านมิกลัวมันแสร้งทำเป็นหนีไป?”

ลู่หยุนสั่นศีรษะ “มันย่อมไม่หนี เนื่องเพราะเรื่องนี้มิใช่มันเป็นผู้กระทำ มันอย่างไรมีความทะนงตนอยู่ ต้องอยากลากตัวฆาตกรตัวจริงออกมารับผิดเช่นกัน”

“มีเหตุผลๆ” อู๋หยางจงว่า “แต่ว่าตอนนี้มันไปแล้ว พวกเรายังสามารถคุยเรื่องนี้กันต่อหรือไม่?”

“ที่จริงข้าพเจ้ายังมืดแปดด้าน ที่ข้าพเจ้าต้องการดูให้แน่ชัด คือรอยจ้ำรูปดอกเหมยนั้นเอง ยังต้องพาไป๋ยู่ผู้นั้นไปดูด้วย เพราะมีเพียงมันที่สามารถมองเห็นความแตกต่างได้”

“เกรงว่าเรื่องนั้นพวกท่านคงกระทำมิได้” ซือหม่าเลี่ยงว่า “หากพวกท่านกลับไปที่นั่น... น่ากลัวซุนสูจะต้อง...”

“อืม... ข้าพเจ้าทราบความลำบากใจของท่านกระจ่าง ยิ่งมิต้องการลักลอบไปรบกวนวิญญาณของผู้อาวุโส ดังนั้นข้าพเจ้าจะเสาะหาทางอื่น”

อู๋หยางจงกล่าวขึ้นต่อ “เป็นความคิดที่ประเสริฐ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอเสนอ ก่อนที่ท่านจะไปเสาะหาหนทางใด ยังคงรับประทานอาหารเสียก่อนเถิด เพราะข้าพเจ้าหิวแทบตายแล้ว”

ลู่หยุนถึงกับต้องยิ้มออกมา “คล้ายดั่งท่านสามารถกินได้ตลอดเวลา”

อู๋หยางจงถลึงตามองมัน “ท่านมิได้ยินเสียงเกราะบอกโมงยามหรือไร? นี่เลยเที่ยงแล้ว ข้าพเจ้าต้องกิน ท่านก็ต้องกิน เส้าเหยี่ยน้อยผู้นี้ก็ต้องกิน รวมถึงโฉมสะคราญที่เพิ่งสะบัดหน้าหนีท่านไปเมื่อครู่ด้วย”

คราวนี้ลู่หยุนหัวร่อออกมา “ระวังไว้ หากมันได้ยินท่านกล่าวเช่นนี้ น่ากลัวต้องลากลิ้นท่านออกมาดีดเป็นแน่”

“หึๆ ข้าพเจ้าทราบมันไม่ได้ยิน ดังนั้นจึงกล้ากล่าว”

“ท่านกล้าชมผู้อื่นเป็นโฉมสะคราญลับหลัง ความสามารถเช่นนี้ข้าพเจ้าต้องนับถือจริงๆ”

อู๋หยางจงยืดอกอย่างภาคภูมิ “ท่านก็ทราบ ตัวข้าพเจ้าแท้จริงเป็นผู้กล้าหาญอย่างยิ่ง”

“ดังนั้นท่านยังต้องชมอีกให้มาก เพราะข้าพเจ้าล้างหูน้อมฟังอยู่”

หวงไป๋ยู่พลันเปิดประตูเข้ามาในห้อง อู๋หยางจงถึงกับสะดุ้งจนเก้าอี้สั่น มันหันไปมองพลางร้อง

“เสี่ยวยู่ ท่านไปแล้วไฉนกลับมาอีก”

หวงไป๋ยู่แย้มยิ้มแล้วลากเก้าอี้ลงนั่งดั่งเดิม “เนื่องเพราะข้าพเจ้านึกได้ ข้าพเจ้าออกไปแล้ว ก็ล้วนมีแต่พวกท่านคุยกันเอง มิแน่อาจพาดพิงถึงข้าพเจ้าหลายเรื่อง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงกลับมา”

อู๋หยางจงปรบมือ หันไปมองลู่หยุน “ท่านเห็นหรือไม่ เสี่ยวยู่ของข้าพเจ้า นอกจากรูปงามแล้วยังมีความฉลาดเฉลียว ท่านควรดูไว้เป็นตัวอย่าง”

ลู่หยุนผงกศีรษะเร็วๆ ขณะที่ซือหม่าเลี่ยงอดมิได้ต้องหัวร่อเบาๆ อู๋หยางจงกล่าวสืบต่อ “ในเมื่อตอนนี้มากันครบแล้ว พวกเราควรเริ่มรับประทาน”

------------------------------------

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog

สำรับอาหารคาวหวานถูกนำมาวางบนโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจเป็นพิเศษ ซือหม่าเลี่ยงที่ยังมิได้รับประทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า จึงเกิดความรู้สึกหิวมากกว่าผู้อื่น

“เส้าเหยี่ยน้อย ตอนนี้ท่านเป็นแขก ท่านสมควรรับประทานให้มาก” อู๋หยางจงกล่าวพลางหยิบตะเกียบขึ้นมา

“พวกท่านตอนนี้ก็สามารถรับประทานได้เต็มที่ ผู้ใดกล้าไม่รับประทาน ข้าพเจ้าจะป้อนมัน”

ลู่หยุนมีสีหน้ากล้ำกลืนสุดฝืน “หากท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าพเจ้ามีแต่ต้องรับประทานแล้ว”

ตอนอู๋หยางจงกิน มีความละเอียดถี่ถ้วนเป็นอย่างยิ่ง มิว่าของใดเมื่อเข้าปากมันแล้ว มันจะต้องเคี้ยวย้ำๆ เพื่อดื่มด่ำกับรสชาติที่ซาบซ่านเข้าไปในปาก ขณะที่ลู่หยุนเป็นตรงกันข้าม การกินของมัน คล้ายดั่งต้องการกรอกให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว หวงไป๋ยู่ที่เพิ่งเคยร่วมโต๊ะกับทั้งสองเป็นครั้งแรก ถึงกับมองด้วยความพิศวง

“พวกท่านทั้งคู่ คล้ายเกิดมาก็กลายเป็นตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง”

อู๋หยางจงกล่าวโดยที่ยังไม่วางตะเกียบ “ท่านพูดถูก เสี่ยวหยุนผู้นี้ วันๆ เอาแต่กรอกมิยอมรับประทาน ดังนั้น ท่านสมควรช่วยข้าพเจ้าตำหนิมันให้หนัก กับข้าวมิใช่ของต้องกรอก ต้องเป็นของรับประทาน”

ซือหม่าเลี่ยงกล่าวสืบต่อ “พวกท่านทั้งสอง น่ากลัวรู้จักกันมานานแล้ว”

ลู่หยุนพูดขึ้นบ้าง “ระหว่างรับประทาน ห้ามมิให้กล่าววาจา”

อู๋หยางจงพูดขึ้นมา “กฎนั้นผู้ใดตั้ง?”

“ข้าพเจ้า”

“อ้อ... ดังนั้นท่านจึงรีบกรอก เมื่อกรอกเรียบร้อย จึงสามารถกล่าววาจาได้ก่อนผู้อื่น เช่นนี้นับว่าเป็นการตั้งกฏที่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นจริงๆ”

ลู่หยุนถึงกับยินยอมเคี้ยวอาหารในปากเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อู๋หยางจงผงกศีรษะ “อืม ค่อยพอดูได้ ตามที่ท่านกล่าว ระหว่างรับประทานห้ามพูด รอจนข้าพเจ้ารับประทานเสร็จ ทุกคนจึงสามารถพูดได้”

ลู่หยุนขืนยิ้มออกมา “รอจนท่านรับประทานเสร็จ พวกเรามิกลายเป็นคนใบ้ไป”

“เพ้ย ข้าพเจ้ากลับต้องการดู พวกท่านสามารถเป็นคนใบ้ได้จริงๆ หรือไม่ หากท่านยังเซ้าซี้อยู่ ข้าพเจ้าจะรับประทานให้ช้าลงอีก”

ลู่หยุนคล้ายดั่งกลัววาจาของอู๋หยางจงจริงๆ ถึงกับก้มหน้าก้มตาเคี้ยวอาหารโดยมิกล่าวกระไรต่อ ผู้อื่นจึงต้องก้มหน้าก้มตาตามมันไปด้วย

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม อู๋หยางจงจึงวางตะเกียบ ท่ามกลางเสียงระบายลมหายใจของผู้ที่นั่งอยู่รอบๆ มัน

“เช่นนี้ ข้าพเจ้าสามารถกล่าววาจาได้แล้วกระมัง?” ลู่หยุนถามขึ้น อู๋หยางจงโบกมือ

“ยัง ห้องโถงนี้กว้างเกินไป ทั้งยังอุ่นน้อยเกินไป ข้าพเจ้าขอเชิญพวกท่านไปอีกห้อง ที่อุ่นกว่า สบายกว่า ยังสามารถพูดคุยกันได้มากกว่า”

กล่าวจบก็ผุดลุกขึ้น ที่เหลือจึงต้องลุกตาม

หากเทียนซั่งเฟยอิงผายมีหอสูงไว้ใช้พูดคุยเรื่องราวที่เป็นความลับ หมิงซิ่งลู่โหลวก็เป็นตรงกันข้าม อู๋หยางจงถึงกับสามารถใช้ทรัพย์สินของมัน บันดาลให้เกิดห้องใต้ดินที่วิจิตรตระการตาห้องซึ่ง ซ่อนอยู่เบื้องหลังก้อนหินใกล้กับสระน้ำ หากมิใช่มันพามาเอง ต้องมิมีผู้ใดทราบ ที่นี่มีห้องเช่นนี้อยู่

อากาศในห้องอุ่นสบายกว่าบนพื้นจริงๆ ที่น่าอัศจรรย์ ในห้องถึงกับไม่มีเตา

“นับว่าคราวนี้ข้าพเจ้าเข้าใจเหตุผลที่ท่านดั้นด้นมาสร้างบ้านเรือนอยู่ในสถานที่ลำบากเช่นนี้ชัดเจนแล้ว” ลู่หยุนกล่าวหลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ที่ปูขนสัตว์ไว้ อู๋หยางจงคลี่ยิ้ม

“ผู้อื่นต้องเข้าใจ ข้าพเจ้าเป็นคหบดีที่ร่ำรวยจนเกินไป ร่ำรวยจนมิทราบจะนำเงินทองไปถลุงกับสิ่งใด จึงต้องดั้นด้นใช้คนขึ้นมาสร้างคฤหาสน์ไว้ในที่ยากลำบากเช่นนี้ แต่ห้องใต้ดินนี้หรอก จึงเป็นเหตุผลสำคัญ”

หมิงซิ่งลู่โหลวเป็นคฤหาสน์ใหญ่ก็จริง แม้ทำเลที่ตั้งของมันจะอยู่ใกล้กับตัวเมืองมากก็จริง แต่สถานที่ตั้งกลับพิสดารเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะมันตั้งอยู่ใต้ชะง่อนผา เบื้องหน้าเป็นบึงน้ำกว้าง มีถนนเพียงสายเดียวที่ตัดตรงเข้าสู่ตัวเมือง รอบๆ เป็นป่าสนที่ขึ้นอยู่กระจัดกระจาย

“ตอนแรกข้าพเจ้าเข้าใจ เป็นเพราะท่านถือหลักฮวงจุ้ย จึงเลือกสถานที่นี้” ลู่หยุนกล่าวต่อ “คาดมิถึง ท่านยังล้ำลึกกว่านั้นมาก นอกจากฮวงจุ้ยแล้ว ท่านยังสามารถทราบ สถานที่ใดจึงสบายที่สุด”

อู๋หยางจงหัวร่อชอบใจ “ถูกต้อง เพราะสถานที่นี้มีตาน้ำร้อน ข้าพเจ้าจึงต้องดั้นด้นมาสร้างบ้านทับไว้ ห้องนี้พอดีอยู่ใกล้กับตาน้ำร้อนที่สุด ดังนั้นในหน้าหนาว ที่นี่จึงยังอุ่นสบาย”

หวงไป๋ยู่ผงกศีรษะ “มิน่าเล่า ข้าพเจ้าจึงไม่เห็นเตาไฟสักเตา”

“ในเมื่อห้องใต้ดินอุ่นได้โดยไม่ต้องใช้เตา พวกเราก็สามารถกล่าวถ้อยคำใดๆ ได้โดยมิต้องกริ่งเกรงผู้อื่นแอบฟัง ที่จริงระหว่างรับประทานอาหาร ข้าพเจ้าพลันคิดออกเรื่องหนึ่ง จึงได้เชิญพวกท่านมาที่นี่”

ทั้งสามคนหันไปมองอู๋หยางจงเป็นตาเดียว

“ท่านคิดเรื่องใดออก”

“ที่ข้าพเจ้าคิดออกเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ” อู๋หยางจงว่า “ฟังว่าในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา มีการขนย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก จากหลากหลายสถานที่ การขนย้ายถ่ายโอนนี้ ตอนแรกเป็นเพียงการขนย้ายเล็กๆ มิมีที่ใดน่าสะดุดตา แต่ระยะหลังกลับมีมากขึ้นจนเยอะเป็นพิเศษ ข้าพเจ้าจึงบังเกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมาเป็นพิเศษ”

มันลุกขึ้นไปหยิบสมุดที่อยู่บนชั้นออกมาเล่มหนึ่ง แล้วเปิดออก “นี่คือรายการการขนย้ายทรัพย์สินที่ข้าพเจ้าสืบทราบภายในสามเดือนที่ผ่านมา”

ในสมุดเล่มนั้น ถึงกับมีบันทึกเอาไว้อย่างละเอียดยิบ ว่าเป็นทรัพย์สินของผู้ใด ขนถ่ายจากที่ใดไปที่ใด ลู่หยุนเห็นแล้วก็ครางออกมา

“นับว่าการข่าวเรื่องเงินๆ ทองๆ ของท่านละเอียดก้าวหน้ากว่าผู้ใดในจงหยวนแล้วจริงๆ กระทั่งรายละเอียดพวกนี้ ท่านยังสามารถสืบทราบมาได้”

ซือหม่าเลี่ยงถามอย่างไม่เข้าใจ “บัญชีนี้มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับการตายของเตียเตีย? ที่เทียนซั่งเฟยอิงผาย มิได้ร่ำรวยถึงกับต้องฆ่าเจ้าสำนักปล้นชิง”

“ไม่ถึงกับไม่เกี่ยวข้องเสียทีเดียว” อู๋หยางจงว่า “ท่านตรวจดู รายการเหล่านี้ หนึ่งในสามเป็นการขนถ่ายทรัพย์สินในแถบไท่หยวน ในระหว่างที่มีการขนย้าย เผอิญสำนักใหญ่ในแถบนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าสำนักอย่างกะทันหัน การขนย้ายแม้มิเกี่ยวข้องกับสำนักโดยตรง แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกประจวบเหมาะจนเกินไป”

ลู่หยุนกล่าวออกมา “บัญชีนี้ของท่าน ที่จริงสอดคล้องกับเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าติดตามอยู่”

“เรื่องใด?”

“สามเดือนที่ผ่านมา มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น บรรดากองโจรที่ดักปล้นตามรายทาง บางส่วนได้เปลี่ยนหน้าไป”

อู๋หยางจงเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ท่านได้ไปสำรวจมา?”

“อืม” ลู่หยุนพยักหน้า “ข้าพเจ้าเป็นคนเดินทางไปๆ มาๆ ดังนั้นจึงพบพานกลุ่มโจรเหล่านี้เป็นประจำ บางส่วนที่ข้าพเจ้ารู้จัก ตอนนี้พลันเปลี่ยนหน้าไป”

ซือหม่าเลี่ยงพลันกล่าวขึ้น “กระทั่งโจรท่านยังรู้จัก ท่านเป็นบุคคลเช่นไรแน่?”

ลู่หยุนคลี่ยิ้ม “ข้าพเจ้าย่อมเป็นคนเดินทาง คนเดินทางอย่างไรมีมิตรย่อมดีกว่ามีศัตรู”

“อ้อ...”

“แต่เรื่องที่ท่านว่า โจรพวกนั้นบางส่วนเปลี่ยนหน้าไป ท่านหมายถึงพวกมันมีพฤติการณ์เปลี่ยนไป หรือมีผู้อื่นขึ้นมาปกครองแทน”

“ทั้งสองประการ” ลู่หยุนตอบ อู๋หยางจงหันไปมองหวงไป๋ยู่

“น่ากลัวเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับยู่ตี๋ท่านกระมัง ได้ยินว่าสองเดือนที่ผ่านมา ท่านสังหารกองโจรไปเป็นจำนวนมาก”

หวงไป๋ยู่รีบกล่าวออกมา “ที่ข้าพเจ้าสังหารไป เนื่องเพราะพวกมันขัดหูขัดตาข้าพเจ้า หาได้มีสาเหตุอื่น”

ซือหม่าเลี่ยงมองมันอย่างคลางแคลงใจ “พฤติการณ์ของท่าน ยิ่งกล่าวยิ่งน่าสงสัย หรือแท้จริงท่านมีส่วนพัวพันกับเรื่องลึกลับ?”

“ที่จริงตอนแรกข้าพเจ้าก็คิดเช่นนั้น” ลู่หยุนกล่าวขึ้นบ้าง “ที่ข้าพเจ้าสืบทราบว่าท่านสังหารโจรไปสองร้อยคน ย่อมเพราะข้าพเจ้ากำลังติดตามเรื่องการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ เมื่อซือฟูทราบว่าเป็นวิชาดัชนีขยี้เดือนสยบดารา จึงบอกแก่ข้าพเจ้าให้รีบมาเทียนซั่งเฟยอิงผาย เนื่องจากทราบว่าท่านเป็นทายาทของยู่เหลียนเทียนสื่อ”

“การฆ่าโจรของท่าน กับการเคลื่อนย้ายสมบัติมหาศาลเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องเช่นใดกันแน่?” ซือหม่าเลี่ยงหันไปถามหวงไป๋ยู่ เจ้าตัวสั่นศีรษะ

“ข้าพเจ้ามิทราบ”

“ท่านถามมัน มันย่อมต้องมิทราบ เนื่องจากมันมิได้เกี่ยวข้องกับการขนย้ายทรัพย์สินเหล่านี้ ที่จริงแล้วเรื่องการขนย้ายทรัพย์สินนี้ ข้าพเจ้าเองก็เพิ่งทราบจากอู๋เกอนี่เอง”

“ท่านเพิ่งทราบ แต่มิได้หมายความว่ามันต้องเพิ่งทราบด้วย”

“มันมิมีเหตุผลที่ต้องทราบก่อนข้าพเจ้า” ลู่หยุนอธิบาย “ข้าพเจ้าได้ติดตามมันมาสองเดือน ยังมิเห็นมันมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้มาก่อน”

“ไฮ้ ท่านว่าไร? ท่านติดตามข้าพเจ้ามาแล้วสองเดือน”

ลู่หยุนผงกศีรษะ “ขออภัยที่ข้าพเจ้าเพิ่งบอกท่าน อันที่จริงเพราะข้าพเจ้าสงสัยท่านเกี่ยวข้อง จึงได้ลอบติดตามท่านมา มิคาด ตอนข้าพเจ้าอยู่กับท่าน ผู้อาวุโสซือหม่าเทียนกลับถูกสังหารไป ดังนั้นตอนนี้ข้าพเจ้าจึงแน่ใจ ท่านมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องประหลาดนี้ เพียงแต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น”

หวงไป๋ยู่เบิ่งตากว้าง “เรื่องราวนี้เป็นเช่นไรแน่? นอกจากการเปลี่ยนหน้าของกองโจร การถ่ายเททรัพย์สิน พวกท่านยังทราบเรื่องใดอีก”

“ทราบสองเรื่องนี้ก็ทำให้เข้าใจได้เรื่องหนึ่ง” ลู่หยุนว่า “การขนย้ายทรัพย์สินจำนวนมาก การเปลี่ยนหน้าของบรรดาเหล่าโจร การเปลี่ยนเจ้าสำนักกะทันหัน เหล่านี้ล้วนสอดคล้องกัน หากท่านต้องการถ่ายโอนทรัพย์สินไปยังสถานที่อื่นโดยปิดบังอำพราง ย่อมต้องใช้คนกลางในการถ่ายโอน ผู้ใดที่เคลื่อนย้ายทรัพย์สินเหล่านี้ ได้เลือกใช้กองโจรเป็นคนกลาง มันย่อมมิใช้คนที่ไว้ใจมิได้ ดังนั้นในช่วงเวลานี้ เหล่ากองโจรจึงได้เปลี่ยนหน้าไป”

“เรื่องนี้ฟังมีเหตุผลอยู่” อู๋หยางจงกล่าวสนับสนุน “หากข้าพเจ้าคิดเคลื่อนย้ายเงินทองของตัวเองไปยังสถานที่อื่นโดยอำพราง หากมีความอำมหิตสักเล็กน้อย ต้องคิดวิธีนี้ได้”

“ดังนั้น พวกเราจึงคาดเดาได้อีกเรื่อง เจ้าของเงินทองนี้ ต้องมีความอำมหิตอยู่มิน้อย”

“แล้วมันเป็นผู้ใด?” ซือหม่าเลี่ยงถามออกมา ทั้งลู่หยุนและอู๋หยางจงสั่นศีรษะพร้อมเพรียงกัน

“เรื่องนี้จึงเป็นความลึกลับที่แท้จริง ข้าพเจ้าแม้สามารถสืบทราบการขนถ่ายทรัพย์สิน แต่มิอาจสืบไปถึงต้นตอที่แท้จริงได้ ทั้งยังมิอาจสืบว่าทรัพย์สินทั้งหมดถูกถ่ายโอนไปที่ใดแน่ เพียงแต่ทราบว่ามีการเคลื่อนย้ายเท่านั้น”

หวงไป๋ยู่สูดหายใจ “ฟังพวกท่านกล่าว คล้ายข้าพเจ้าออกจากบ้านมาก็ตกเป็นเครื่องมือของผู้อื่นทันที”

“อืม... เนื่องเพราะท่านลงมืออำมหิตเกินไป ทิ้งหลักฐานแจ่มชัดจนเกินไป ดังนั้นผู้อื่นจึงฉวยโอกาสใส่ไคล้ท่านได้โดยง่าย”

อู๋หยางจงพูดขึ้นต่อ “หากมิใช่ลู่ตี๋ของข้าพเจ้าติดตามท่านมาแต่แรก มิแน่ตอนนี้น่ากลัวท่านต้องถูกกล่าวหาเป็นฆาตกรโดยมิต้องแก้ตัวอีกแล้ว”

หวงไป๋ยู่พลันรู้สึกขนลุกเกรียว นึกถึงแผนสังหารซือหม่าเทียนที่ตัวเองวางไว้ตอนแรก กล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา “หากตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รับปากท่านไปประลองกับซือหม่าเทียน แต่ใช้แผนลอบสังหาร น่ากลัวตอนนี้คงเป็นไปตามแผนการของคนผู้นั้น”

“ถูกต้อง หากท่านมิรับปากข้าพเจ้าวันนั้น พวกเราย่อมมิทราบว่ามีอีกผู้หนึ่งอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”

ซือหม่าเลี่ยงกลืนน้ำลาย “เรื่องนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่คาด ท่านว่าเกอเกอกับซุนสูของข้าพเจ้าจะมีภัยหรือไม่?”

“เรื่องนี้ยังไม่แน่ชัด” ลู่หยุนว่า “ตอนนี้ผู้บงการคงทราบแล้ว หวงไป๋ยู่อยู่กับข้าพเจ้า ดังนั้นจึงไม่สามารถลงมือโดยเลียนแบบฝีมือของหวงไป๋ยู่ได้อีก เช่นนี้มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่ามันจะไม่ลงมือต่อเกอเกอและซุนสูของท่าน เนื่องเพราะไม่ต้องการให้ทั้งสองคนสงสัย”

“ในความเห็นของท่านคือ...?”

“เตียเตียของท่านถูกลอบสังหารในห้องพักของตัวเอง มิแน่ว่ามีคนในรู้เห็นเป็นใจ หากท่านคิดจะส่งข่าวคราวเรื่องนี้ ก็ต้องแน่ใจว่าจะมิมีผู้ใดทราบนอกจากตัวท่านและเกอเกอของท่าน ไม่อย่างนั้นหากผู้ที่เกี่ยวข้องทราบเข้า มิแน่อาจวางแผนจัดการเกอเกอและซุนสูของท่านด้วย”

“ข้าพเจ้ากลับคิดว่าท่านไม่ควรเสียเวลาไป” หวงไป๋ยู่กล่าวออกมา ซือหม่าเลี่ยงหันไปมองมัน “ท่านตอนนี้ที่ทราบเรื่อง เพราะได้ฟังและได้เห็นหลักฐาน แต่อาศัยท่านผู้เดียวไปกล่าวกับเกอเกอและซุนสูผู้นั้นของท่าน แม้เกอเกอท่านยินยอมเชื่อ แต่ข้าพเจ้ามั่นใจ ซุนสูของท่านผู้นั้นต้องหาเชื่อไม่ มิแน่จะกลายเป็นตีป่าให้เสือตื่นไป”

ซือหม่าเลี่ยงเม้มริมฝีปาก คล้ายกำลังขบคิดอย่างหนัก สุดท้ายก็ถอนหายใจ “เอาเถิด ข้าพเจ้าจะลองหาทางส่งข่าวที่สามารถทราบได้เพียงเกอเกอเท่านั้น ระหว่างนี้ข้าพเจ้าจะติดตามพวกท่านไปสืบหาเรื่องราวลึกลับนี้ด้วย”

อู๋หยางจงวางมือลงบนโต๊ะ “เป็นอันว่าเรื่องราวทั้งหมดยุติเพียงเท่านี้ก่อน เนื่องเพราะข้อมูลที่มีก็มีเพียงเท่านี้ ถกไปก็ใช่ว่าจะได้เรื่องอะไรใหม่ขึ้นมา ข้าพเจ้าขอเชิญพวกท่านกลับขึ้นไปข้างบน เล่นหมากรุกฟังกู่เจิงให้สำราญใจ ไว้มีเรื่องใหม่ค่อยมาถกกันอีกที”

-----------------------------------------
(จบตอน)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
โว้วววว
ซับซ้อนไปอีก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด