ขอโทษนะครับที่หายไปนาน ไม่ได้ไปไหนหรอกครับ ทำแต่งาน เยอะมากๆเลยช่วงนี้ เรียกได้ถึงปูุ๊บทำงานปั๊บ พักเที่ยวก็ทานข้าวสิบนาที
ลุยงานต่อ สี่โมง สี่โมงครึ่งก็กลับบ้านพักผ่อนแล้ว แหะๆ และก็ แวบมาดูเรื่องอื่นในเล้า แล้วก็ผ่านไป แหะๆ
ขอบคุณที่อ่านนะครับ รู้สึกดีที่ยังมีคนอ่าน หรือเป็นกำลังใจอ่านให้นะครับ
เบื่อกันไปหรือยังครับ ลงแต่เรื่องเครียดๆของชีวิต คงไม่ค่อยมีใครอยากรู้เรื่องเครียดๆ เข้าใจอยู่ เพราะชีวิตทุกคนก็เครียดก็มีปัญหาหมด
วันจันทร์งานเข้าอีก อ๊าก ตายแน่ๆ
ถ้าไม่อยากอ่านหรือไม่ชอบบอกได้นะครับ ผมจะได้หยุดลง แหะๆ ลงๆแล้วเกรงๆพวกพี่ๆน้องๆบนบอร์ดจัง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 5
เมื่อครั้งนี้ผมกลับมา ผมกลับมาด้วยน้ำตา เพราะผมก็เหนื่อย กล้ายอมรับเลยว่าเหนื่อย เสียใจมากๆ แม่ผมก็มาส่งผมที่ท่ารถให้เข้ากรุงเทพเพื่อไปเรียนต่อเอง
ผมก็ไม่อยากเลยที่จะกลับ เพราะว่ากลับไปทำตัวไม่ถูก มันสับสนไปหมด ร้องไห้มันอยู่งั้นอ่ะสองวันก่อนกลับ แต่ก็ต้องกลับ
ผมบอกแม่นะครับว่าผมอยากย้ายมหาลัย ถ้าเป็นไปได้อยากย้ายไปมหิดล หรือย้ายกลับมามหาลัยที่ดังๆของภาคเหนือ แต่แม่ก็บอกว่าไหนก็เรียนมาแล้ว
ขึ้นปีสองแล้ว เดียวอีกสองสามปีก็จบแล้ว จะไปย้ายทำไม ก็ต้องยอมทนเรียนครับ
รอบที่ผมนั่งรถกลับเป็นรอบหกโมงกว่าๆเกือบๆทุ่มมั้งครับถ้าจำไม่ผิด ผมนั่งแถวหน้าสุดของรถ แหะๆ ดีเพราะนั่งหน้าได้ไม่เมารถ
หลังรถผมก็ไม่ชอบนั่งใกล้ห้อง
น้ำ ผมนึกว่าจะไม่มีคนมานั่งที่นั่งข้างๆผมซะแล้ว แต่โชคก็ไม่เข้าข้างผม มีพี่คนหนึ่งใส่เสื้อสีส้ม ส้มมากๆเลยครับ แสบตาเลย
นั่งข้างๆผมก่อนรถจะออก
ผมมองไปเพราะสีเสื้อพี่แกเจ็บได้อีก พี่แกเหมือนรู้ว่าผมมองก็หันกลับมามองนะครับ โดนเค้าจับได้ว่ามอง ทำไงได้ ก็ได้แต่ยิ้มแก้เขินแก้อายไป
แล้วผมก็หันกลับไม่ได้สนใจเค้าอีก
แต่พี่คนนี้ดิครับ นั่งสักพักก็คุยโทรศัพย์ แกพูดพอให้ผมได้ยินคนเดียวกับอีกฝ่ายในโทรศัพย์รู้ว่าพี่แกเป็นหมอเด็ก แล้วก็คุยเรื่องราวสารพัดกับคนที่โทรมาว่าให้
ดูแลน้องที่เป็นไข้อย่างไง เค้าพูดนานจนผมรู้สึกรำคาญเลยครับว่าง่ายๆ ผมเป็นคนที่มีความอดทนน้อยเลยก็ว่าได้ ถ้าผมไม่พอใจอะไรผมก็บอกให้รู้ทางสายตา
หรือหน้าหรือแม้แต่คำพูดเลย ที่เป็นเพื่อนๆผมก็คงรู้ดี ขอโทษนะเพื่อน
ดูเหมือนพี่แกคงรู้ว่าผมรำคาญเพราะผมใส่หูฟังแล้ว แต่ก็ไม่วายทำหน้าบึ้งให้รู้ว่ารำคาญ แล้วเค้าก็วางสายไป แล้วอยู่ในความสงบ จนแล้วผ่านไป จนถึงเวลา
พนักงานปิดไฟไปผมก็ไม่คิดอะไร จนกระทั่งผมรู้สึกว่าเค้ารุกล้ำที่ผมมากไป อยากจะบอก แต่ก็ไม่รู้จะพูดไง เพราะผมก็เป็นคนไม่ชอบพูดกับคนแปลกหน้า เค้าก็
เริ่มนั่งเลยมาที่ผมบ้าง ผมก็ได้แต่หันหลังให้เค้าไป ให้รู้ว่าเขยิบไปหน่อยพี่ เหมือนเค้าจะรู้ เค้าก็เขยิบออกไปหน่อยนะครับ แล้วผมก็หลับไปด้วยความเพลีย คน
ทั้งรถเงียบไปหมด นอนดีกว่าผม
ตื่นมาอีกที ผมเห็นจากกระจกว่าทางเริ่มผ่านพิโลกแล้ว แล้วอีกพักเค้าก็ต้องจอดให้ไปทานข้าว แต่ผมตื่นมาด้วยความหนักอึ้งที่ไหล่ผม พี่คนนี้เขยิบมาอยู่ที่ผม
ตั้งแต่เมื่อไร แล้วอะไรอ่ะ ทำไมเอาหัวมาซบผม มาซบผมทำไมอ่ะพี่? ผมก็ทำเป็นหลับนะครับ หลับตา แล้วขยับตัวเค้าก็ตื่นขึ้น นั่งตัวตรงขึ้นแต่ก็ไม่เบยิบออก
ไป ผมก็หลับไปอีกรอบ ตื่นมาอีกที อ้าวไหนมาซบอีกว่ะเนี้ย
หน้าตาผมก็ไม่ได้หล่อไม่ได้น่ารัก ออกแนวบ้านๆ มาซบทำไม พี่ก็น่าตาดี ใช่ได้ไปหาแฟนที่อื่นเถอะพี่ อยากบอกเค้ามากเลยอ่ะ เหอๆ ถึงที่จอดพักทาน
แล้ว ทุกคนลงหมด ยกเว้นผม แหะๆ ขอนอน ขี้เซ้าก็งี้ล่ะครับ เหอๆ
รถก็ขับมาเรื่อยๆ เข้ากรุงเทพแล้วครับ กำลังจะเข้าหมอชิต แล้ว หลายคนลงไปแล้ว มีแค่บ้างคนกับพี่คนข้างๆนี่ล่ะที่ยังไม่ลง พอลงปุ๊ปก็เหมือนเค้าจะเดิมตามๆผม
ไงไม่รู้ อาจเป็นเพราะขี้ระแวงด้วยมั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเคยลงหมอชิตด้วยนะครับ เลยทำให้กังวลและเครียดเยอะหน่อย แหะๆ ปกติไม่เครื่องก็รถ จะมีก็ตั้งแต่เข้า
มหาลัยแหละที่นั่งรถทัวร์รถบัสไปจังหวัดที่ผมเรียนเลย ไม่เคยผ่านหมอชิต แต่รอบนี้ขอแม่เพราะอยากลองไรใหม่ๆ เข้ามหาลัยง่ายกว่าเพราะนั่งจากหมอชิตไปมัน
ผ่านมหาลัยผมด้วย
พี่คนนี้ตามไม่เลิก เหมือนเค้าจะอยากพูดหรืออะไร แต่ผมไม่สนใจหรอก เดินไปเดินมา หลบไปหลบมา สลัดทิ้งจนได้ แหะๆ ไม่รู้เป็นโรควิตกและกลัวคนมั้ง ผมก็
ได้รถผ่านหน้ามหาลัยจนได้ จากที่เคยโทรถามเพื่อนก่อนจะมาสองวันก่อน เหนื่อยเหมือนกัน หายากมากๆรถเนี้ย แถมปวดหลังมากๆ เหอๆ อย่างว่ามีแน่อยู่แล้วล่ะ
ปัญหาปวดหลัง ก็เคยย้ายเตียงไม่สักคนเดียวที่ถอดชิ้นไม่ได้จากห้องหนึ่งไปอีกห้องคนเดียว ลากๆดึงๆไป เหอๆ แถมยังเคยอ้วนมาก่อน เลยเป็นผล
ก็ไม่มีไรมากนะครับ ก็มาถึงมหาลัยตอนแปดโมงเช้ากว่าๆ เป็นวันอาทิตย์ พรุ่งนี้เปิดเรียน แต่หอเงียบมากๆ เพราะกว่าๆพี่ๆน้องจะมาก็บ่ายๆนู้นอ่ะครับ มหาลัยผม
เป็นงี้ล่ะครับ รักกันเอง กับรักมหาลัยมากๆ เหอะๆ
และแล้วในที่สุดซัมเมอร์สามเดือนของผมก็จบลง พรุ่งนี้ก็เปิดเทอมแล้ว กลับไปหวานก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมก็ได้แต่ทำตัวให้ดูร่าเริ่งเข้าไว้
ช่วงไหนที่ใช้เงินเยอะก็เพลาๆลงในช่วงเดือนแรกๆ แล้วในเทอมนั้นผมก็ได้เจอกับพี่คนหนึ่ง เป็นพี่ที่ดีมาก บวกกับพี่กับเพื่อนอีกสองสามคนที่มาเรียนแค่ภาษา
อังกฤษที่มหาลัยผม ทำให้เราสนิทกันมากๆ ผมก็เริ่มตีตัวออกห่างจากหวาน จากที่เคยมีกันสองคน ผมก็เริ่มหาคนมาคั่นกลางไว้ ในบ้างครั้งผมก็ยังแปลกใจว่า
หวานทำไมยังทำดีกับผม เวลาผมไม่สบายหรือตังค์หมด ไม่ไปข้างนอก เค้าก็จะซื้อของมาให้เสมอ จนผมทำตัวเองไม่ถูก ผมก็เกรงใจนะครับ มีอะไรให้ได้
ขนม อะไรก็แบ่งไป ณ เวลานั้น หวานได้คบกับรุ่นพี่อีกคนที่ชื่อว่าโอ๊ต เรียนวิดวะ ผมก็ไม่รู้ว่าเค้าคบกับแฟนเก่าผมอยู่หรือไม่ แต่พอคุยไปคุยมา
ก็ได้ความว่ายังคุยกันอยู่ หลายๆอย่างทำให้ผม
คิดถึงคำพูดของแฟนเก่าหวานที่เคยพูด ตอนนั้นผมคิดว่าเค้าคงโกหกว่าหวานนะเอาไปหมดทุกคน แต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้ว่าอะไรคืออะไรแล้ว....
ผมยอมรับว่าผมเสียใจ ทำใจไม่ได้จริงๆ ที่เสียคนที่รักไปให้กับเพื่อน แต่ทำไงได้ผมมันโง่เอง แต่เอาเถอะ เทอมนี้ผมก็ขอเต็มที่กับชีวิต อยากได้ไรก็ต้องได้ ฮ่าๆ
เพราะผมเป็นคนงี้ล่ะ มีช่วงมิดเทอม ช่วงตุลาที่ผมจะเครียดเป็นพิเศษ ตอนนี้ก็ยังคุยกับหวานอยู่ ผมทำใจได้แล้วล่ะครับ ว่ายังไงเสียให้เพื่อนดีกว่าเสียให้คนอื่น ถึง
แม้ว่าเพื่อนผมจะไม่ดี คบกับพี่โอ๊คอีกคน ผมก็ไม่ว่า เพราะมันเรื่องส่วนตัวเค้า
มีอยู่วันหนึ่งผมจะไปติวสอบมิดเทอมวิชามาร์เกตติ้งกับเพื่อนๆอีกสองคน ไม่เชิงติวเพราะว่าไม่มีรุ่นพี่หรือใครที่ติวให้ ปรึกษากันซะส่วนมาก จำไรไม่ได้ก็ช่วยๆกัน
เตือน แต่ดูเหมือนผมจะจำได้มากกว่าทุกคน มันก็แน่ล่ะ เพราะว่าผมเข้าใจเนื้อเรื่องมากกว่า อย่างที่รู้ๆกันว่าวิชานี้ ไม่ได้ใช้ความฉลาด แต่คอมมอนเซนส์ คือคุณ
จะทำไงให้ลูกค้าซื้อของๆคุณ ตั้งกำไรอย่างไงให้ไม่ขาดทุน ซึ่งผมก็รู้มาอยู่แล้วเกือบหมด เลยแนะนำบอกเพื่อนได้ว่าที่ข้องใจทำไมถึงเป็นแบบนี้แบบนั้น ที่รู้ไม่ใช้
เพราะเรียนมา แต่มันเคยอ่านผ่านๆ โรงเรียนเก่าผมไม่สอนหรอกครับวิชานี้ ค้นคว้าเอาเอง เพราะเมื่อก่อนแม่อยากให้เรียนด้านธุระกิจ ผมเลยเลือกมาร์เกตติ้ง
เพราะไม่ชอบเลข ไม่ใช่ทำไม่ได้นะ แต่ไม่ชอบ แหะๆ ผมเลยตามใจตัวเอง ย้ายเลย
และในวันที่ติวสอบอยู่นี้วันนั้นหวานก็ขึ้นหอชายมาหาผม มานั่งคุย มานั่งเล่นเฉยๆในห้องผม เพราะห้องผมมันอยู่ริมๆทางหลังหอ เลยขึ้นง่ายนะครับ แล้วเป็นชั้น
เดียวกับพี่โอ๊คของหวาน ผมไม่มีรูมเมตครับ เพราะรูมเมตคนเก่าแย่มากๆหลังจากที่พี่ปีสี่ไป เค้าก็ให้ผมอยู่กับน้องคนหนึ่งซึ่งกลับมาห้องเมาได้ทุกวัน อ้วกได้อีก
แถมมีครั้งข้างเตียงผม เหอะๆ ได้นั่งเก็บอีก ลำบากตรูจริงๆ เลยขอย้ายมาอยู่คนเดียว
วันนี้หวานขึ้นมานั่งดหนังบนคอมผม มันก็เคยมาน้องห้องนี้ของผม ที่มันชอบนอนห้องนี้เพระว่าชั้นนี้มันเป็นฝั่งที่สะอาดมากๆ เพราะรุ่นพี่ฝั่งนี้รักสะอาด และสงบ
เหอๆ แถมเตียงโรงแรมด้วย นิ่มสบาย ไม่เหมือนชั้นสี่อีกฝั่งหรือชั้นอื่นๆ หรือแม้กระทั่งหอหญิงเองยังไม่มีเตียงนี้เลย
ผมถามว่าจะไปติวด้วยกันไม่ เพราะหวานไปเรียนบ้างไม่เรียนบ้าง ตามแต่ว่าตื่นไม่ตื่น ดื่มหนักไปหรือเปล่าเมื่อคืนอะไรทำนองนี้อ่ะครับ ก็เป็นห่วงในฐานะเพื่อน
ชวนลงไปอ่านด้วยกัน ดีกว่านั่งดูหนัง แต่หวานก็ไม่ไป บอกว่าอยู่นี้ดีกว่า ตามใจแล้วกัน ผมถือว่าชวนแล้ว เพราะผมไม่ชอบรบเร้า คนเราถ้าขยันก็ขยันเอง ไม่
ชอบบังคับครับ ผมถึงกลัวคนขยันมากกว่าคนฉลาดไง เพราะว่าคนขัยนนะน่ากลัวกว่าคนฉลาดตรงที่ว่าขยันไว้ได้แน่ๆ แต่ฉลาดแต่ไม่อ่านไม่ทำ ก็ไม่ได้ ผมเองก็
อีกคนที่เพื่อนๆชอบกลัว ชอบบอกว่าเมิงจะแข่งขันจริงจังไรกับคะแนนมากว่ะ เพราะผมเป็นคนอย่างนี้ล่ะครับ ผมรู้ตัวว่าไม่ฉลาด หลายๆคนชอบบอกว่าฉลาด แต่
ไม่ใช่ ผมใช่ความขยันเข้าไว้ ทุกอย่างที่ทำเพราะขยันอยากได้คะแนนสูงๆ จนเพื่อนเอื้อม ฮ่าๆ เพราะผมแข่งขันตลอดเวลา ถึงไม่เป่าประกาศ แต่หน้าคงฟ้องเวลา
ได้คะแนนสูงกว่าหลายๆคนหรือเกือบทั้งห้อง ผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะ ถึงกลุ่มเพื่อนเก่าที่โรงเรียนผมก็เหมือนกัน หลายๆคนในกลุ่มถึงเลว ถึง
ร้าย แต่การเรียนไม่ยอมแพ้กัน ไม่ว่าเพื่อนรุ่มห้อง เพื่อนกลุ่มเดียวกัน มันทำให้เราสู้ และพยายามต่อไป เราสู้เพื่อตัวเราเอง เราสามรถชนะตัวเองได้ ใจจริงไม่ได้
ดีใจกันหรอกครับที่ชนะเพื่อนได้ แต่ดีใจที่เราทำได้อย่างที่เราตั้งใจ ผลพลอยได้คือชนะเพื่อน ฮ่าๆ
ผมใช้เวลาติวไปประมาณสองชั่วโมง กลับขึ้นมา บรรยกาศก็เปลี่ยนๆไปอย่างเห็นได้ชัด แอร์ปิดไป ห้องมันมีอะไรแปลกๆซึ่งไม่รู้ว่าอะไร หวานก็นั่งอยู่ ผมก็ไม่รู้ว่า
จะถามว่าไร ได้แต่ถามไปว่า
“ เป็นไง ทำไรบ้างอ่ะตอนเวลาไม่อยู่อ่ะ? ดูหลังจบแล้วหรอว่ะเมิง?”
“อืม ดูจบแล้ว เมื่อกี้พี่โอ๊ตแกมาหาฉันที่ห้องแกนี้ล่ะ” มันบอกผม
ผมได้แต่อึ้งกับอึ้ง เพราะคนที่รู้จักผมจริงๆ ผมไม่ชอบใครมารุ่มร่ามในห้องผม ถึงจะสนิทแค่ไหน แต่ถ้าไม่เชิญไม่ชวนก็ไม่ แต่นี้พูดไม่ออกเลยครับ เหอะๆ ผมไม่มี
อะไรอคติกับพี่แกนะครับ แต่ไม่ชอบหน้าพี่แกเท่าไร ทั้งๆที่เค้ายังไม่ทำอะไรให้
“หรอ? อืม” ผมตอบไปได้ประมาณนี้ล่ะครับ
คุยไปคุยมา ผมก็จำรายละเอียดไม่ได้ แต่ไปๆมา ผมก็รู้เรื่องที่ผมไม่อยากรู้ และไม่อยากคิด เพราะเรื่องนั้นคือหวานบอกผมเหมือนผ่านๆว่ามีอะไรกันกับพี่แก ผมก็
ไม่ได้คิดอะไร แต่ว่ากลับอึ้งแดก พูดไม่ออกคล้ายไม่ถูกคือ ทำกันในห้องนี้ ในห้องผม ตอนผมไม่อยู่ แถทยังทำบนเตียงผม อยากจะบ้าตาย จริงๆนะครับ ผมพูดไม่
ออก
ทำบนเตียงไหนเนี้ย ผมเริ่มคิดแล้ว ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะผมเอาทั้งเตียงผมกับเตียงที่เป็นของรูมเมตที่ไม่มีตัวตนชนติดกัน เอาแล้วดิ อยากรู้ว่าเตียงไหน ได้ให้
เอาผ้าปูมาเปลี่ยนหรือเอาตัวเตียงแลกกับอีกห้องเลย เหอะๆ
จนแล้วจนรอดคุยกันไปมาก็ไม่รู้ว่าเตียงไหนอยู่ดี เพราะผมไม่กล้าถาม มันฟังแล้วขยะแขยงอีกรอบ ได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรมไป ชีวิต... นี่เป็นเพียงบทเริ่มของ
เทอมนี้เอง จะมีอะไรอีกไหมเนี้ย ผมชักสงสัย......