^
^
^
เหรอคร้าบบบบบบ
งั้นพูดใหม่ก็ได้
โอ๋ๆๆ ไม่เอา ไม่เอา เราโตแล้ว เราไม่แกล้งเด็กม. 4 (แต่ถ้าอายุมากกว่านี้แกล้งได้) ตอบเม้นของเก่าก่อนนะคร้าบ
มาว่าด้วยเรื่องความแตกต่าง
1. ผมชอบใส่กางเกงยีนส์ขาเดฟ (ใส่มานานก่อนที่มันจะมาฮิตในวัยรุ่นตอนนี้อีก) + เสื้อเชิ๊ต แบบพอดีตัว ซื้อตามตลาดนัด แต่เจมส์ชอบใส่ขากระบอก เขาบอกเดฟมันใส่แล้วเดินไม่สะดวก กับเสื้อโปโล
2. กีฬา ผมชอบดูฟุตบอล ว่ายน้ำ บาสเก็ตบอล เจมส์ชอบพวก NFL รักบี้ ยิงปืน (น่ากลัว)
3. ผมไม่ชอบกินผัก ชอบเขี่ยผักทิ้ง จะกินแค่บางชนิด และเป็นคนที่กินอาหารค่อนข้างยาก ผัดกระเพรา ก็ไม่กินกระเพราเขี่ยทิ้ง แต่ต้องใส่ ไม่ชอบกินผ็ด แต่เขาจะชอบกินผักมาก กินอาหารได้ง่าย ๆ อะไรก็กินได้ พริกเป็นเม็ด ๆ ก็กินได้ ไปกินก๋วยเตี๋ยวที เขาใส่พริกเยอะ จนน่ากลัว
4. ผมไม่ชอบดูละคร แต่เจมส์จะชอบดูละคร โดยเฉพาะละครน้ำเน่าช่อง 7 จะชอบดูมาก ดูแล้วก็บ่นว่าน้ำเน่า และก็ยืด เคยบอกให้ลองเปลี่ยนไปดูช่อง 3 เขาบอกไม่ใช่แนว ละครไฮโซเกิน
5. ผมชอบดูหนัง หนังดราม่า หนังผี แต่เขาชอบดูหนังแอ็กชั่นมาก โดยเฉพาะหนังพวกวินาสสันตะโร แต่มีเรื่องหนึ่งที่เราชอบดูเหมือนกันคือ Harry Potter
6. เรื่องฟังเพลง เราชอบฟังเพลงป๊อบร๊อคเหมือนกัน โดยเฉพาะเพลงรักหวาน ๆ
7. ตอนเรียน ผมเป็นคนชอบใส่เสื้อเชิ๊ตแขนยาวและยีนส์ขาเดฟ ไปเรียน แต่เขาส่วนใหญ่จะใส่แต่แขนสั้น กับ แสล๊ค (ถูกระเบียบมาก) ส่วนผมผิดระเบียบประจำ
8. ผมชอบกินร้านอาหารญี่ปุ่น ZEN แต่เขาชอบ Fuji
9. ผมกินเนื้อ แต่เขาไม่กินเนื้อ บอกกินสัตว์ใหญ่บาป !!!!
10. ผมชอบซื้อรองเท้าผ้าใบครั้งละ 2 คู่ แล้วเอามาสลับข้างกันใส่ เช่น เอาข้างซ้ายคู่ที่ 1 เข้ากับข้างขวาคู่ที่ 2 แต่เจมส์เขาบอกทำอะไรบ้า ๆ 555 เปลืองเงิน ทุกวันนี้ถ้าไม่ใช่รองเท้าที่ใส่ทำงาน ผมก็ยังใส่ของผมแบบนี้อยู่ คนชอบมอง สงสัยจะมองว่าไอ้นี่มันบ้าเปล่า
11. ผมชอบไปว่ายน้ำ แต่เขาชอบไปตีแบดมินตัน
12. สิ่งที่เหมือนกันคือ เราทั้ง 2 คน จะไม่ยุ่งโทรศัพท์ของกันและกัน ให้ความเคารพกัน ไม่แอบอ่านข้อความกัน ไม่เช็คกัน
13. ผมชอบกินกาแฟ แต่เขาไม่กินแต่จะกินพวกโอวัลตินมากว่า
14. ผมชอบกินน้ำเต้าหู้แบบไม่ใส่เครื่อง แต่เขาจะชอบกินแบบใส่เครื่อง
15. ผมต้องใส่เสื้อผ้านอน เป็นตายร้ายดียังไงก็ต้องใส่ แต่เจมส์มักไม่ค่อยใส่ ต้องไล่ให้ไปใส่ Boxer ตลอด 5555
ที่จริงมีอีกเยอะ ที่แตกต่างกัน แต่เราอยู่กันได้แฮะ ตอนคบกัน เราไม่เคยทะเลาะกันแรง ๆ นะ แต่มีงอนกันบ้างอะไรกันบ้าง ลงท้ายด้วยผมต้องง้อทุกที
^
^
^
แจงเป็นข้อๆ นะครับแจ๊ค
ข้อแรก === ผมกะเดฟเนี่ยไม่ค่อยจะถูกกันซักเท่าไหร่ บอกตามตรงว่าผมขาเล็กมาก เล็กพอๆ กะเป้ อารักษ์ได้มั้ง เวลาใส่มันก็เลยดูไม่ค่อยจะสวยซักเท่าไหร่(มั้ง)
อีกอย่าง ลองนึกตามนะ ขาเล็ก แต่เป้าแน่นๆ อ่ะ มันดูตลกๆ ไงไม่รู้ว่ะ
แต่ผมก็ใส่บ้างนะ แล้วแต่งาน อย่างถ้านัดเจอพวกเพื่อนเก่าเนี่ยจะกล้าใส่หน่อย เพราะเราอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ไม่ต้องกลัวสายตาว่าใครจะมอง ก็เลยจะมั่นนิดนึง
ข้อสอง === กีฬาเนี่ยตัดไปเลย ผมไม่ชอบดูกีฬา แต่แฟนผมแมร่งชอบกันทุกคน
ข้อสาม === ผมชอบกินผักมากกกกก กินได้เกือบหมด ยกเว้นผักที่มีกลิ่นเหม็น เช่น กระเทียม กุยช่าย ต้นหอม ดอกหอม (แต่ผมชอบผักชี กะกระเฉดซะงั้น)
ส่วนกะเพรากะโหระพา หอมแดง หอมใหญ่นี่แล้วแต่อารมณ์ครับ ถ้าหิวจัด หรืออยู่ในงานที่เป็นทางการนิดนึงก็กิน แต่ก็ไม่ค่อยชอบซักเท่าไหร่
จริงๆ แล้ว ผมจะบอกว่าตอนเด็กๆ เนี่ย ผมเป็นเด็กที่กินผักไม่ได้เลย
จำได้เลยว่าตอนอนุบาล ตอนขึ้นรถโรงเรียนจะมีเด็กผู้หญิงคนนึงชอบเอาแตงกวามากินข้างๆ แล้วยัยบ้านั่นมันก็ชอบมาวึดวือกับผม แบบมาบังคับให้ผมกินไรงี้ครับ
ซึ่ง...ผมว่าเพราะไอ้แตงกวานั่นแหละที่ทำให้ผมเกลียดผักไปเลย..........
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปครับ เมื่อผมต้องเข้ามาเรียนในกรุงเทพ..........
..........เมื่อต้องมารับรู้ว่า ‘ความลำบาก’ มันหน้าตายังไง
เริ่มตั้งแต่ที่ต้องไปออกค่ายอาสา อาจจะด้วยของกินที่มีจำกัด แล้วก็ไม่ใช่ของดีๆ ซะด้วย ถ้าเลือกมากอาจไม่ได้กิน ผมก็เลยต้องฝืนกิน
หรืออย่างตอนขึ้นปีสองที่ราม...แล้วต้องเป็นเฟรชชี่อีกที่ไปพร้อมๆ กันนั่นก็ลำบากครับ เพราะตอนนั้นผมปิดเรื่องที่ผมเอ็นท์เข้าได้อีกที่เป็นความลับโดยไม่บอกให้ที่บ้านรู้..........
คือกลัวว่าจะเป็นภาระให้ท่านน่ะครับ เพราะตอนนั้นที่บ้านผมกำลังประสบปัญหาทางการเงินอยู่
นั่นก็เลย....เอ่อ...พูดตรงๆ ก็คือมีอะไรก็ต้องกินอ่ะครับ บางทีซื้อกับข้าวมา จะมาเขี่ยโน่นเขี่ยนี่ทิ้งก็เสียดาย เพราะลำพังกินแต่ข้าวกับเนื้อไม่กี่ชิ้นมันไม่อิ่ม ก็เลยต้องฝืนๆ กินไปอ่ะครับ
แรกๆ ก็แย่ แต่พอซักพักมันก็เริ่มชินและเริ่มอร่อยไปกับมันตอนไหนไม่รู้ จนเดี๋ยวนี้อาหารสิ้นคิดของผม ถ้าไม่ใช่ ผัดผักคะน้า ก็เป็นผัดผักรวมมิตรอ่ะครับ
แต่อย่างนึงที่ผมกินไม่ได้เลยยยยยยยยยยย ไม่ว่าจะพยายามกินมันแค่ไหนก็คือ ‘พริก’ ครับ เพราะกินทีไรหน้าจะแดง เหงื่อไหลโทรมหน้า จนสุดท้ายต้องท้องเสียตลอดเว
ข้อสี่ === ละครผมดูได้ครับ แต่ไม่ติด แต่ถ้าเรื่องไหนเริ่มติด ผมก็จะรีบหาเรื่องย่อมาอ่านเพื่อไม่ให้ติด (งงมั้ยครับ 555)
ข้อห้า === ผมดูหนังได้ทุกแนวครับ ตั้งแต่ A ยัน Z แล้วแต่อารมณ์ ณ เวลานั้น
ข้อหก === ผมฟังเพลงได้ทุกแนวเช่นกัน แต่ต้องไม่ใช่ร๊อคหนักๆ
ร๊อคหนักๆ ฟังแล้วปวดหู
ข้อเจ็ด === ตอนเรียนมัธยม อย่างที่บอกครับว่าผมเนิร์ด เสื้อตัวใหญ่ กางเกงใหญ่ หัวเข็มขัดจะเห็นชัดเจน ชายเสื้อไม่ออกนอกกางเกง รองเท้าสะอาด ผมไม่ใส่เยล หน้ามันๆ ในกระเป๋า(นักเรียน)มีหนังสือครบทุกวิชา โอ้ยเยอะครับ มากมายก่ายกอง
ข้อแปด === เรื่องอาหารพูดไปแล้ว (ผมเป็นคนง่ายๆ กับอาหารครับ ชอบกินข้างทางมากกว่าร้านหรูๆ ในห้าง)
ข้อเก้า === ผมไม่กินเนื้อ
ตอนเด็กๆ กินได้ แต่พอโตขึ้น จู่ๆ วันนึงกินเสร็จก็ไม่สบายอย่างไม่มีสาเหตุซะงั้น ป่วยอยู่เป็นอาทิตย์ๆ ทั้งที่ผมเป็นคนป่วยยาก
เมื่อหาสาเหตุไม่ได้ ก็เลยเหมาว่าน่าจะเป็นเพราะเนื้อ ตั้งแต่วันนั้นก็เลยไม่เคยกินอีกเลย (อยากกินนะ แต่ไม่กล้าเสี่ยง กลัวไม่คุ้มกะการไม่สบายยาวๆ)
ข้อสิบ === เรื่องรองเท้าน่าจะเคยพูดแล้ว
ข้อสิบเอ็ด === ตอนเด็กๆ เคยเรียนว่ายน้ำ แต่ด้วยความที่ไม่ถูกกะอาจารย์หรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ไอ้อาจารย์บ้านั่นมันก็เลยจับผมกดน้ำ!!!
นึกภาพตามนะครับ ผมอยู่บนสระ ไอ้เหี้ยนั่นจับหัวผมกดลงไปในสระ เพราะเรื่องแค่ผมหันไปคุยกะเพื่อนแค่แป๊บเดียว
ตั้งแต่วันนั้นผมก็เลยแหยงๆ สระไปเลย
คือให้ไปดูน่ะได้ แต่ไม่กล้าลง
ให้ว่ายก็คงได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ...ไม่กล้าลงสระ
ข้อสิบสอง === ผมเองก็ไม่ยุ่งโทรศัพท์ของแฟนเหมือนกัน
อย่าว่าแต่โทรศัพท์เลย อย่างอื่น ข้าวของ เครื่องใช้ผมก็ไม่เคยยุ่ง
ส่วนเหตุผล? ไม่รู้ครับ แค่ไม่อยากยุ่งเฉยๆ
ข้อสิบสาม === บอกไปแล้วเหมือนกัน (ผมกินกาแฟนได้ แต่ไม่ชอบ)
ข้อสิบสี่ === น้ำเต้าหู้จะใส่หรือไม่ใส่ก็แล้วแต่อารมณ์เหมือนกัน วันไหนอยากใส่ก็ใส่ วันไหนไม่อยากใส่ก็ไม่ใส่
ข้อสิบห้า === เวลานอนผมต้องใส่กางเกงขาสั้นหนึ่งตัวครับ เสื้อจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ แต่ถ้าไม่ใส่หลายๆ วันจะเริ่มเป็นผดที่หลัง เพราะซักผ้าปูสามสี่เดือนครั้ง......
แต่กางเกง...ยังไงก็ต้องเป็นขาสั้นครับ แบบไหนก็ได้ แต่จะไม่ใส่กางเกงในนอน เพราะมันอึดอัด
แต่ถ้าวันไหนใส่กางเกงในนอน แสดงว่าวันนั้นไม่ได้อาบน้ำ หลับทั้งอย่างงั้นเลย...........
เสร็จจากงานรับปริญญาแล้วคร้าบบบ
มีความสุขที่สุดด
สัญญากับตัวเองว่า วันนี้ เราเป็นผู้รับ
สักวัน เราจะต้องเป็นผู้ให้กับทุกๆคน
แม่ครับ รักแม่จัง
จากลูกชายปากแข็งของแม่ครับ
ขอเข้ามาตอบคำถามสุดท้ายแล้วกันครับ เรื่องความต่าง
ผมว่า ผมกับมันแทบไม่มีความต่างเลยครับ นอกจากหน้าตา และสถานะทางเพศ ฮ่าๆๆๆ
เราต่างคน ต่างมีอดีต ที่มืดดำ ในรูปแบบที่คล้ายๆกัน
ผมจำได้ ตอนที่เข้าเล้ามาใหม่ๆ ชอบมีคำถามว่า ผมเป็นเคะหรือเมะ
ทุกคนมีคำตอบที่เป็นขั้วอย่างชัดเจน ว่าเป็นแบบไหน ในขณะที่ผมตอบไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าเป็นแบบไหน
ไอ้บีหนึ่งมันบอกผมว่า ดูจากความรู้สึกมึงสิ เมะ มักจะเป็นผู้ให้ ชอบดูแล เอาอกเอาเอาใจ ส่วนเคะมักจะขี้อ้อน และต้องการการเอาใจ
แต่ผมว่ามันไม่แฟร์ การที่เราจะรักใครสักคน มันต้องให้ซึ่งกันและกันสิ
ในสายตาคนอื่น มันเป็นคนที่เย็นชา และเข้มแข็งมาก
แต่หลังจากที่เราเปิดใจคุยกัน มันทำให้ผมรู้ว่า มันมีมุมที่อ่อนแอ และต้องการคนเข้าใจ
เช่นกันกับผม ที่ต้องการคนเข้าใจ พูดภาษาเดียวกัน
มันเหมือนกับคนที่ต่างคนต่างอ้างว้างมานาน ได้มาเจอกับอีกคน ที่ต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน ไม่รู้ว่า สิ่งนี้มันเรียกว่าความต่างมั้ย
ซึ่งสิ่งเล็กๆ ที่ดูช่างเป็นเรื่องมโนธรรมที่ผมบอกมานี้นี่แหละ ที่ผูกมัดผม(กับมัน?) ให้รู้สึกดีๆต่อกัน มาจนถึงทุกวันนี้ครับ
ตอนนั้นมันถามผมว่า "ทำไมถึงยังรักกู ทั้งที่มึงได้รู้ทุกเรื่องของกูหมดแล้ว มึงควรจะรังเกียจกูนะ"
คำตอบก็คือ "เพราะกูรู้ไง กูถึงอยากจะอยู่ตรงนี้ เพื่อที่จะยืนยันว่า ต่อจากนี้ ในตอนที่มึงต้องฝืนทำเป็นเข้มแข็งเพื่อใคร หลังจากนั้น มึงสามารถร้องไห้กับกูได้ตลอดไป"
ทุกคนครับ วันนี้ผมมีความสุข
^
^
^
เอาเรื่องรับปริญญาก่อนเลย ยังไงก็ขอแสดงความยินดีและดีใจด้วยอีกครั้งนะครับน้องรัก (ไม่รู้บอกแบบนี้ไปกี่ครั้งแล้ว แต่ก็ยังอยากบอกอยู่ดี)
หนิง(และทุกๆ คน)ครับ..........
รู้จักกันมาก็พอสมควรแล้ว ก็คงน่าจะรู้กันแล้วใช่มั้ยครับว่าผมเองก็เป็นอีกคนที่ปากแข็งกับคนที่ผมรัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ น้องๆ
หรือแม้แต่กับแฟน
เชื่อมั้ยครับว่าจนถึงทุกวันนี้ ผมยังคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดในโลกสำหรับผมก็คือการบอกรักใครซักคนนี่แหละ...ให้ตายเหอะ!
ไม่รู้สิครับ ทั้งๆ ที่ผมก็รักนะ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่กล้าแสดงออก ไม่กล้าบอกให้คนเหล่านี้รู้ซักทีว่าผม ‘รัก’ พวกเค้ามากแค่ไหน
แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะผมถูกเลี้ยงมาแบบนี้ก็ได้
เพราะทุกคนที่บ้านผมก็จะอยู่กับแบบนี้ แบบรักนะแต่ไม่แสดงออก
พ่อแม่ไม่เคยบอกว่ารักลูก
ลูกๆ ไม่กล้าบอกรักพ่อแม่ เป็นอย่างงี้ตั้งแต่เด็กๆ แล้วละครับ
แต่ถ้าลองมองดูดีๆ การกระทำต่างๆ ที่เราต่างทำให้แก่กัน นั่นก็แสดงออกมาได้ดีละครับว่าครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากครอบครัวนึงเลย
....แม้พ่อกับแม่ผมจะเลี้ยงลูกไม่ค่อยเป็นก็ตาม.....................
เอ๋า ไปโบ้ยให้พ่อแม่ซะงั้น!!
ส่วนเรื่องที่ว่าใครเป็นแบบไหน เป็นเคะ เป็นเมะอะไรนั่น พี่ว่าส่วนนึงมันอยู่ที่ตัวเราด้วยอ่ะครับ บางที....กับบางคนเราอาจจะเป็นอีกแบบนึง แต่ใครจะไปรู้ว่ากับอีกคน...เราอาจจะเป็นอีกแบบก็ได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น....
เราควรจะมีจุดยืนที่แน่นอนครับ
จะเป็นอะไรก็เอาให้แน่ซักอย่าง จะเป็นเคะก็เป็นไปเลย หรือถ้าอยากเป็นเมะก็ต้องหนักแน่น
ส่วนเรื่องที่ว่าจะต้องดูแลซึ่งกันและกันหรือไม่ยังไงนั้น พี่ว่ามันเป็นเรื่องที่คนรักกันต้องทำอยู่แล้วครับผม
และสุดท้ายกับคำพูดคำนี้ของคนนั้นของหนิง
"เพราะกูรู้ไง กูถึงอยากจะอยู่ตรงนี้ เพื่อที่จะยืนยันว่า ต่อจากนี้ ในตอนที่มึงต้องฝืนทำเป็นเข้มแข็งเพื่อใคร หลังจากนั้น มึงสามารถร้องไห้กับกูได้ตลอดไป"
พี่เองก็เคยพูดประมาณนี้กับโจเหมือนกัน แต่เป็นการพูดตอนที่เค้าหลับไปแล้วนะครับ
เป็นการพูดที่ไม่ใช่เพื่อเค้า แต่เพื่อบอกตัวพี่เองว่าพี่จะดูแลและรักเค้าในแบบที่เค้าเป็นเค้าแบบนี้ไปตลอด และตลอดไป...
แต่สงสัยเสียงที่พี่บอกเค้ามันคงเบาเกินไปมั้งครับ โจเค้าถึงไม่ได้ยิน...
..........และชิงทิ้งพี่ไปซะก่อน..........
ดราม่าไปป่ะเนี่ย 555