EP2 : Sweet As Banoffee
คาบแรกเช้านี้นักศึกษารวมตัวกันอยู่ในห้องที่เรียงรายไปด้วยโต๊ะเลคเชอร์ ชายหนุ่มร่างสูงได้จับจองโต๊ะตัวหนึ่งในมุมเงียบสงบของห้องเพื่อสร้างพื้นที่ส่วนตัว มือหนึ่งควงปากกาไปมา พลางสายตาก็จับจ้องไปที่ซองขนมใสๆ ประดับด้วยรอยยิ้มละไมที่มุมปาก
“สกาย!”
เสียงใสดังมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง เขาเหลือบตามองขึ้น ชายหนุ่มร่างเล็กความสูงจัดว่าต่ำกว่ามาตรฐานผู้ชายทั่วไป ดวงตาโตสดสดใส พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า พยายามแทรกตัวเบียดเสียดมาทางสกายด้วยท่าทางเก้งก้าง สองเท้าปัดสะดุดกับโต๊ะเดินทุลักทุเลมาจนถึงคนที่กำลังนั่งอยู่ จากนั้นจึงจัดแจงวางสัมภาระลงบนพื้น
“วันนี้นายมาช้าจังนะซัน...”
“วันนี้เราออกมาพร้อมพี่อ้อ แต่พี่เค้าตื่นสายน่ะ เลยช้า...ว่าแต่ทำไมวันนี้มานั่งซะไกลเลยล่ะ?”
ซันพูดพลางบิดมือเปิดฝาขวดน้ำพลางยกขึ้นดื่มแก้กระหาย ตาโตก็เหลือบมองคนข้างๆ ที่ตอนนี้ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ มีเพียงความเงียบ รอยยิ้มบางๆ และสายตาที่ทอดมองไปทางอื่น เขาได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“นายเคยหลงรักผู้ชายมั้ยวะซัน?”
“พรู่ด!!! ...แค่กๆๆ!!!”
ใช่แล้วนี่คือเสียงสำลักน้ำจากเพื่อนเตี้ย ซันไอจนตัวโยน จากนั้นก็รื้อทิชชู่ขยุกขยุยในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาซับปาก เขาเองพอจะรู้ถึงตัวตนข้างในของสกายว่าเป็นคนยังไง แต่ครั้งนี้สิ่งที่สกายเอ่ยออกมามันทำให้ตกใจมากจริงๆ
“ผู้ชายที่นายพูดถึงเนี่ยคือใคร? แล้วเรารู้จักมั้ย?”
“ไม่รู้จักหรอก...มั้ง?”
สกายพูดจบก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว ราวกับว่าไม่ได้สนใจว่าคู่สนทนาจะตอบโต้มายังไง ซันรู้สึกเหนื่อยหน่ายจึงเริ่มเปลี่ยนเรื่อง
“เออ...นายเห็นรูปวันงานนิทรรศการที่พี่อ้อลงในเพจของมหาลัยยัง?”
“เห็นแล้ว พี่อ้อส่งมาให้ดูแล้ว โดนด่าด้วยว่ารูปเยอะแยะแต่ทำหน้าไม่ได้เรื่องซักรูป มีแต่หน้าเหม่อๆลอยๆ เปลืองเมม...”
พูดถึงคนที่ชื่อ “อ้อ” สกายก็ทำหน้าหงิกขึ้นมา อ้อเป็นรุ่นพี่ปีสามคณะศิปกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นรูมเมทของซัน อ้อมักจะเป็นตากล้องให้กับกิจกรรมต่างๆ ของทางมหาวิทยาลัย เขาเป็นผู้ชายปากร้ายมาดกวน ชอบโขกสับ เป็นที่หวั่นเกรงของรุ่นน้องเสมอๆ แน่นอนว่าคนที่รับบทหนักที่สุดก็คือ “ซัน”
“อ้าวแบบนี้ก็แปลว่าสกายเห็นแต่รูปของตัวเองดิ ลองดูดิ อันที่ลงในเพจคือรูปที่พี่เค้าแต่งแล้วเลือกเอามาลง”
ซันพูดพลางยื่นโทรศัพท์มือถือให้เพื่อนดู สกายเลื่อนนิ้วไปเรื่อยๆดูภาพอย่างไม่ตั้งใจนักแต่แล้วก็ต้องไปสะดุดกับภาพๆหนึ่ง
‘พี่เต้ยตอนสวมที่คาดผมหูกระต่าย!’
นิ้วเรียวยาวจัดแจงกดบันทึกรูปภาพโดยไม่สนใจว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ไม่ใช่ของเขา จากนั้นก็ถือวิสาสะใช้ของๆเพื่อน ส่งรูปภาพเข้าโทรศัพท์ของตัวเอง
“ขอบใจนะเพื่อน”
สกายเอ่ยขอบคุณพลางส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้ ในขณะที่ซันเองก็ยังตามไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น ตากลมโตกวาดตามองลงในหน้าจอมือถือก็พบภาพต้นเหตุ เขาหรี่ตาลงมองเพื่อนซึ่งขณะนี้กำลังยิ้มชื่นชมอะไรบางอย่างในโทรศัพท์ตัวเองอย่างรู้ทัน
‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’
หญิงสาวร่างสูงบอบบาง ยืนอยู่เบื้องหน้าประตูไม้เนื้อดีพลางเคาะเรียกหาคนที่อยู่ภายใน เวลานี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว กระเพาะของหญิงสาวเริ่มส่งเสียงโอดครวญเรียกร้องให้เธอต้องหาอะไรลงมาเติมให้เต็ม
“ไม่ได้ล็อก...”
เสียงเรียบโต้ตอบกลับมา สมายผลักประตูเข้าไปภายใน ภาพที่เห็นคือชายร่างสูงนอนขดอยู่บนเตียง แขนขากอดก่ายหมอนข้างแน่น สีหน้าเซื่องซึม
“สกายจะกินไร พี่หิวแล้วเนี่ยจะสั่งข้าว!”
คนเป็นพี่ยืนกอดอกพิงโต๊ะภายในห้อง คิ้วเรียวๆ ยกขึ้นสูงเชิงตั้งคำถาม แต่กลับไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ
“พี่สมาย...ทำไมผมโง่แบบนี้...ผมลืมขอเฟสบุคพี่เค้า...”
“อะไรของแกอีกล่ะ! อยากจะพูดอะไรก็พูดมาแล้วรีบคิดเร็วๆ ด้วยว่าจะกินอะไร จะสั่งข้าว!”
สกายจัดแจงเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้สมายฟัง หญิงสาวที่กำลังหิวไส้กิ่วเหลือบไปเห็นซองขนมใสๆที่วางอยู่บนโต๊ะ มือสวยไม่รอช้ารีบคว้าขนมซองนั้นมาฉีกเข้าปาก
“ไอ้อะอาย! แอเอ่นอะไอไอ้อู้เอื้องอีกแอ้วอ๊ะ!!!” (ไอ้สกาย! แกเล่นอะไรไม่รู้เรื่องอีกแล้วนะ!!!)
หญิงสาวพยายามพูดไปพร้อมกับปากเล็กๆที่เคี้ยวอยู่จนคนฟังไม่สามารถเข้าใจได้ ชายหนุ่มเพ่งมองสิ่งที่อยู่ในมือของพี่สาวแล้วก็โวยวายขึ้นมาดังลั่น
“พี่สมาย กินทำไมอ่ะ! นั่นมันคุกกี้ที่พี่เต้ยให้ผม เป็นของที่มีคุณค่าทางจิตใจเลยนะเว้ย ผมกะจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก!”
“อีสกาย! แกเป็นบ้ารึไง? แกจะเก็บไว้ให้ราขึ้นหรอ? ของอร่อยๆ ยกให้คนสวยๆหิวๆกินเนี่ยถูกต้องแล้ว คนทำเค้าจะได้ดีใจ”
ปากเล็กๆที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสีน้ำตาลโต้ตอบแบบไม่ยอมแพ้ ตอนนี้คุกกี้ทั้งชิ้นได้หายลงท้องแบนราบของเธอไปแล้ว นิ้วมือบางบรรจงเช็ดคราบเหนียวหนึบบนริมฝีปาก
“แล้วชั้นจะบอกอะไรให้นะ แกอย่าคิดทำอะไรบ้าๆแบบนั้นอีก ถ้าเกิดตอนนั้นแกเบรกรถไม่ทันขึ้นมา ชนพี่เต้ยอะไรของแกตายห่าไปจริงๆ ชั้นกับแม่หาลูกไปคืนพ่อแม่เค้าไม่ได้หรอกนะเว้ย!”
สกายหลุบตาลงสีหน้าสำนึกผิด ถูกอย่างที่พี่สาวของเขาว่า สิ่งที่เขาทำลงไปวันนี้ถ้าเต้ยรู้เจตนาที่แท้จริงเข้า ถึงจะซื่อบื้อแค่ไหนก็ต้องโกรธมากแน่ๆ
“จะว่าไป...คุกกี้อันนี้อร่อยดีนะ แกบอกว่าพี่เต้ยของแกให้มาหรอ?”
หญิงสาวพูดพลางหยิบซองขนมขึ้นมาดู บนซองมีฉลากเล็กๆแปะอยู่
“พี่เต้ยของแกเค้าทำขนมขายหรอ?”
“ไม่รู้ดิ...”
“ก็นี่ไง มีเบอร์มือถือกับไอดีไลน์แปะอยู่ อ่านว่าเต้ยๆอะไรซักอย่างเนี่ย”
ร่างสูงดวงตาเบิกโพลง ลุกพรวดขึ้นจากที่นอน เขาไม่รอช้าดึงซองขนมออกจากมือหญิงสาว ดวงตารีเพ่งมองข้อความบนฉลาก ในนั้นมีเบอร์โทรศัพท์กับไอดีไลน์ติดอยู่จริงๆ หน้านิ่วเมื่อครู่กลายเป็นเบิกบาน ริมฝีปากแดงคลี่ยิ้มกว้าง ตาเรียวเล็กกลายเป็นสระอิอีกครั้ง
“พี่สมาย! พี่คือนางฟ้าของผม!”
คนเป็นน้องพูดพลางพุ่งตัวเข้าไปกอดหญิงสาว ที่เค้าว่ากันว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ช่างสังเกตนั้นคงเป็นเรื่องจริง สมายดันหน้าน้องชายออกน้อยๆแล้วแหวเสียงดัง
“แล้วสรุปแกจะกินอะไร จะได้โทรสั่งข้าวซักที หิว!”
“บานอฟฟี่!”
เจ้าของน้ำเสียงร่าเริง พร้อมแววตาเป็นประกายนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ซันเพื่อนเตี้ยของสกายนั่นเอง หลังจากที่สกายวางถ้วยที่ภายในสลับชั้นระหว่างบิสกิต คาราเมล กล้วยหอมและวิปครีม ลงตรงหน้า คนตัวเล็กก็จัดแจงแกะขนมลิ้มลองทันที
“นายจะไม่กินด้วยกันจริงๆ หรอสกาย?”
ซันเอ่ยชวน แต่มือก็ตักปากก็เคี้ยวอย่างรวดเร็ว เหมือนกลัวว่าจะมีคนมาแย่งขนมไป
“ไม่ดีกว่า น้ำหนักเราขึ้นมาสองกิโลแล้ว...”
ใช่แล้ว “สองกิโล” นับตั้งแต่ที่สกายได้ไลน์ของเต้ยมาซึ่งก็ผ่านมาเพียงแค่สองสัปดาห์ สกายสั่งขนมเต้ยเป็นประจำจนน้ำหนักของเขาพุ่งพรวด จะเอาไปให้คนที่บ้านทุกคนก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่สามารถแบกรับแคลอรี่ปริมาณมหาศาลได้อีกต่อไป ลาภปากจึงไปตกอยู่กับซัน ชายผู้ซึ่งกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน
แต่ไม่มีทางที่สกายจะหยุดสั่งขนมของเต้ย เพราะอะไรนะหรือ...เพราะสกายยังคิดมุกใหม่ๆไม่ออกว่าจะคุยอะไรกับเต้ย ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้คือ สกายสั่งขนมเต้ย เต้ยแวะมาส่งขนมที่โรงอาหารกลาง ความสัมพันธ์ของทั้งสองวนเวียนอยู่แค่นี้
“ไอ้ซัน! มึงมาหลบอยู่ที่นี่เอง”
“ที่นี่” คำที่เสียงแหบห้าวตะโกนขึ้นดังลั่นหมายถึงโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย และเจ้าของเสียงนั้นก็คือ “อ้อ” นั่นเอง สกายรีบยกมือขึ้นไหว้อ้อพัลวัน อ้อทำหน้ายุ่งๆพยักหน้ารับ แล้วหันไปจ้องตาขวางใส่คนที่กำลังยัดขนมคำสุดท้ายเข้าปากอยู่พอดี
“ไหนมึงบอกว่ามึงจะรออยู่ที่คณะไง? เร่งกูให้กูรีบมา บอกกูว่าจะกลับห้องทำกุญแจหาย แล้วมึงสะเออะมานั่งแดกอะไรอยู่ที่นี่!”
ซันหน้าเจื่อนไม่โต้ตอบ ส่วนสกายเองก็พยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเป็นนัยว่าเขาไม่อยากมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์นี้
“สกายเรากลับก่อนนะ...”
ซันรีบลุกพรวดจากเก้าอี้ หน้าเล็กๆหดเหลือสองนิ้ว ตาโตช้อนมองคนสูงหน้าดุอย่างกลัวๆแล้วเดินตามไป แต่ก็ไม่วายหันมาโบกมือลาสกายน้อยๆพลางพูดแบบไม่มีเสียงว่า ‘ไปก่อนนะ’ อ้อหันมาเห็นจึงเอามือผลักหัวคนเตี้ยแทบทิ่ม สกายได้ยินเสียงเหมือนคนเถียงกันอยู่ไกลๆ ไม่นานร่างทั้งสองก็เดินหายไป ชายหนุ่มถูกทิ้งให้นั่งเหงาอยู่คนเดียวอีกครั้ง
‘Rrrrrrrrr’
เสียงโทรศัพท์มือถือของสกายดังขึ้น บนหน้าจอมีคำว่า “คุณมี้” ปรากฏอยู่
“ฮัลโหล แม่...ว่าไงครับ?”
[สกายวันนี้เลิกเรียนแล้วยังลูก?]
“เลิกแล้วครับแม่ เดี๋ยวก็จะกลับแล้ว แม่มีอะไรรึเปล่าครับ?”
[วันนี้สมายเค้าเลิกงานไว ส่วนแม่ก็ว่างพอดี ไปกินข้าวเย็นด้วยกันนะลูก]
“ได้ครับแม่ เราจะไปเจอกันที่ไหนดี?”
[ห้างที่เราไปกันประจำนั่นแหละจ้ะ รีบมานะเดี๋ยวสมายโมโหหิว เจอกันนะลูก]
คนเป็นแม่หัวเราะเบาๆหลังพูดจบ สกายกดวางสายจากนั้นก็ก้าวเท้ายาวๆไปที่รถแล้วขับออกไป
ที่ห้างสรรพสินค้า การปรากฏตัวของคนสามคนทำให้เป็นที่สนอกสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา คนหนึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปเป็นอย่างดี หญิงสาววัยกลางคนดูอ่อนกว่าวัย วันนี้แต่งหน้าบางเบากว่าปกติที่เห็นคุ้นตาในจอโทรทัศน์ อีกคนหนึ่งเป็นหญิงสาวรูปร่างผอมสูง ใบหน้าเก๋ไก๋ ผมตรงยาว ตาเล็กเรียว ปากนิดจมูกหน่อย แต่งกายโดดเด่นกว่าใครๆ และสุดท้ายชายหนุ่มร่างสูง เจ้าของใบหน้าสงบนิ่ง เยียบเย็น น่าหลงใหล ดวงตาเล็กเรียว จมูกโด่งสวยรับกับรูปหน้า ปากอิ่มเจือสีแดงธรรมชาติ "สกาย" นั่นเอง
“อิ่มจัง...อร่อยด้วย กินฟรีมันดีจริงๆ”
สาวน้อยร่างสูงเอ่ยขึ้นอย่างพอใจ พลางหัวเราะน้อยๆ น้ำมนต์มองลูกทั้งสองอย่างมีความสุขแล้วพูดขึ้นบ้าง
“แม่ดีใจมากเลยที่ได้มากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับลูกๆ นานๆถึงจะมีโอกาสแบบนี้ซักที”
สกายหันไปมองแม่และพี่สาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สำหรับเขาที่เป็นคนรักครอบครัว การที่ทุกคนได้มาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าแบบนี้ เป็นช่วงเวลาดีๆที่พอจะช่วยให้ชายหนุ่มบรรเทาความว้าวุ่นใจได้บ้าง
“ถ้าพ่อเค้าอยู่ด้วยกันตรงนี้ก็คงจะดีนะ...แม่อยากให้พ่อเค้าได้เห็นแล้วก็ภูมิใจว่าแม่เลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวมาได้ดีแค่ไหน”
น้ำมนต์เผยรอยยิ้มที่เจือความเศร้าไว้เล็กน้อย สองพี่น้องมองหน้ากันเจื่อนๆ สกายตัดสินใจดึงดูดความสนใจจากคนเป็นแม่
“เอ่อ...แม่ครับ ผมอยากแวะดูร้านนี้น่ะ ป่ะ...เราเข้าไปดูข้างในกันเถอะ”
สกายจูงมือคนเป็นแม่เข้าไปในร้าน เบื้องหน้าเต็มไปด้วยของกระจุกกระจิกมากมาย ตุ๊กตากระต่ายตัวโตปุกปุยตัวหนึ่งดึงดูดสายตาให้ชายหนุ่มเดินปรี่เข้าไปหา สกายอุ้มตุ๊กตาตัวนั้นลงมา ทั้งบีบทั้งกอด ใบหน้าระบายไปด้วยความสุข เขายิ้มกว้างปากก็พึมพำถึงความน่ารักของตุ๊กตาตัวนี้
“แม่ๆ ดูสิน่ารักเนอะ เห็นแล้วคิดถึงเจ้าเต้าหู้เลย”
สกายพูดพลางหันหลังมา หมายจะอวดความน่ารักของสิ่งที่ตนอุ้มอยู่ให้ผู้เป็นแม่ดู แต่เบื้องหน้ากลับกลายเป็นชายหนุ่มแก้มใส เจ้าของเส้นผมละมุนนุ่มเจือสีน้ำตาล ดวงตากลมๆเล็กๆนั้นจ้องมองมาทางสกายไม่วางตา
“พี่เต้ย!”
สกายแทบหยุดหายใจ ใบหน้าระรื่นก่อนหน้านี้หุบลง เขาพยายามตีสีหน้าสงบนิ่ง จากนั้นจึงรีบเก็บตุ๊กตากลับเข้าที่พลางชะเง้อมองหาแม่ ภาพที่เห็นคือน้ำมนต์กับสมายกำลังช่วยกันเลือกสีทาเล็บกันอย่างสนุกสนาน
‘ทำไมพี่เต้ยถึงโผล่มาตอนนี้ได้วะ?’
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ การที่สกายได้มาเจอคนที่ชอบโดยบังเอิญแบบนี้เขาคงดีใจจนเนื้อเต้น แต่สกายไม่เคยอยากให้คนทั่วไปรับรู้ว่าสกายเป็นผู้ชาย “ไม่ตรงปก” ความมุ้งมิ้งกะหนุงกะหนิงภายในมันขัดกับภาพสงบนิ่ง เยือกเย็นภายนอกของเขาเหลือเกิน
“พี่เต้ยมาทำอะไรที่นี่หรอครับ?”
สกายถามน้ำเสียงอึกอัก เต้ยหยิบริบบิ้นสีสวยขึ้นมาสองสามเส้น
“มาซื้อริบบิ้นน่ะ จะลองเอาไปแต่งกล่องขนม”
เต้ยพูดพลางย่นคิ้วเล็กน้อย ริบบิ้นหลากสีหลายขนาดมากมายเรียงรายตรงหน้า บ้างก็มีลวดลาย บ้างก็เป็นลูกไม้ บ้างก็มีดิ้นเหลือบสะท้อน เขาจึงตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกเส้นไหนสีอะไรดี
“เออสกายท่าทางแกจะชอบของพวกนี้นะ มาช่วยเลือกหน่อยสิ”
“อ่อ...เอ่อ...ได้ครับพี่”
สกายยิ้มแห้งเดินตามเต้ยไป ร่างเล็กก้มหน้าตั้งอกตั้งใจจับคู่สีของริบบิ้น ในขณะที่ร่างสูงข้างๆเหลือบมองต้นคอขาวของคนที่ตัวเล็กกว่า กลิ่นจางๆของขนมอบที่ติดอยู่บนตัวและเรือนผม ทำให้สกายใจสั่น เขาค่อยๆขยับใบหน้าเข้าไปใกล้พลางก้มลงเล็กน้อยเพื่อมองริบบิ้นในมือของรุ่นพี่หนุ่ม
“สีนี้กับสีนี้ดีป่ะ?”
เต้ยเงยหน้าขึ้น มือหนึ่งหยิบริบบิ้นสีสวยขึ้นมาสองเส้น สายตาของเต้ยกับสกายประสานกันโดยไม่ตั้งใจ ใบหน้าของทั้งสองห่างกันแค่คืบ ร่างสูงรู้สึกเหมือนกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ ใบหน้าร้อนวูบ ในอกเหมือนจะระเบิดออกมา แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่สำหรับเขามันช่างอ้อยอิ่ง เนิ่นนาน
“สกายทำไรอ่ะ!”
หญิงสาวร่างบางพุ่งตัวเข้าล็อกคอผู้เป็นน้อง สายตาก็เหลือบมองใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“โอ๊ย! พี่ปล่อยผม...เล่นอะไรเนี่ย? แรงอย่างกะควาย! นึกว่าคอจะหักซะแล้ว”
“อย่ามาเว่อร์! แหวะทำเป็นบอบบาง...อ้าวแล้วนี่ใครอ่ะ เพื่อนหรอ”
เต้ยยกมือไหว้คนทั้งสอง ปากบางยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยสวัสดี
“นี่พี่เต้ย รุ่นพี่ที่มหาลัยครับแม่”
“อ๋อ...”
เสียงของน้ำมนต์และสมายร้องประสานกัน แต่สายตาที่มองมาทางสกายกลับแตกต่าง คนเป็นแม่มองอย่างเอ็นดู ในขณะที่คนเป็นพี่มองอย่างรู้ทัน
“เต้ยนี่เองที่สกายสั่งขนมมาบ่อยๆ ขนมของเต้ยอร่อยมากเลยจ้ะ”
“ขอบคุณครับ”
เต้ยพูดตอบพลางยิ้มเขินเล็กน้อย
“สกายเค้ากินจนน้ำหนักขึ้นแล้วน่ะจ้ะ จะเอามาให้แม่ให้พี่สมายกินแทนก็ไม่ไหว พากันอ้วนเอาๆ”
“โธ่แม่! ไม่ต้องบอกพี่เค้าก็ได้”
สกายเสียงเง้างอด เต้ยเหลือบตามองสกาย เขาหลุดขำเล็กน้อย
“กินจนน้ำหนักขึ้นเลยหรอวะ? ลดๆบ้างก็ได้ เดี๋ยวความหวานจุกอกตายพอดี”
‘ผมไม่ได้จะตายเพราะขนมหวานหรอกคร้าบ...ผมจะตายเพราะพี่นี่แหละ’
สกายได้แต่พล่ามอยู่ในใจ เขินก็เขิน แต่ก็มีความสุขมาก เป็นครั้งแรกที่เขาได้คุยกับเต้ยอย่างเป็นธรรมชาติ ส่วนเต้ยเองก็ดูเข้ากับคนง่ายกว่าที่เขาจินตนาการไว้
“น้องเต้ยลองทำขนมคลีนขายสิ จะได้กินแล้วไม่อ้วน เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆได้ด้วย”
สมายเสนอแนะ เพราะถึงเธอจะกลัวอ้วน แต่เธอเองก็ชอบกินขนมอยู่ไม่น้อย
“นั่นสิจ๊ะ ลองดูมั้ย ไหนๆบ้านเราก็เป็นลูกค้าประจำอยู่แล้ว แม่จะขอสั่งเอาไปแจกคนในกองถ่าย”
น้ำมนต์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนคาดหวัง เต้ยตั้งใจฟังอย่างสนใจก่อนจะเอ่ยตอบ
“ผมเองก็ไม่เคยทำขนมคลีนมาก่อน แต่ผมจะลองดูนะครับ เดี๋ยวผมหาสูตรได้แล้วผมจะลองทำมาให้ชิมก่อน”
“ดีเลยจ้ะ ให้สกายเค้าชิมนั่นแหละ ถ้าเค้าว่าอร่อยพวกเราก็ว่าอร่อยเหมือนกันจริงมั้ยลูก”
คนเป็นแม่พยักพเยิดหน้ากับคนเป็นพี่สาว สกายได้แต่ลูบจมูกเบาๆแก้เก้อ ส่วนสมายแอบส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาทางน้องชาย
“แล้วเดี๋ยวเต้ยจะกลับรึยังลูก? พวกเราว่าจะกลับกันแล้ว หนูมายังไง? เดี๋ยวแม่แวะไปส่งที่บ้านมั้ยจ๊ะ”
หญิงวัยกลางคนยังคงถามต่อ พร้อมแสดงน้ำใจต่อเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู
“อ๋อไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมต้องซื้อของอีกนิดหน่อย ขอบคุณมากครับ”
“งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะลูก”
เต้ยยกมือไหว้ลาหญิงทั้งสอง จากนั้นจึงตบไหล่สกายเบาๆแทนการบอกลาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ คนทั้งสามเดินออกจากร้าน ร่างสูงเหลียวหลังกลับไปมองเห็นรุ่นพี่หนุ่มอยู่ไกลๆ แม้จะน่าเสียดายที่มีโอกาสเจอเพียงชั่วครู่ แต่มันก็อบอุ่นหัวใจ
“เฮ้ยๆ เก็บอาการหน่อย...”
หญิงสาวยืนกอดอกเอาข้อศอกกระทุ้งแขนน้องชายเบาๆ เธอหรี่ตามองคนข้างๆที่มุมปากแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม สองพี่น้องเดินคุยเล่นหยอกล้อกันตลอดทาง ระหว่างเดินตามผู้เป็นแม่ไปยังลานจอดรถ
ยามราตรีเงียบสงัด ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆปิดไฟมืดสนิท มีเพียงแสงจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือช่วยให้ความสว่าง เต้ยกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงนุ่ม ดวงตากลมเพ่งจับจ้องหน้าจอ เนื่องจากความสว่างไม่เพียงพอ ปลายนิ้วเลื่อนดูสูตรขนมอย่างตั้งอกตั้งใจ
‘Rrrrrrrr’
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างขัดจังหวะ บนหน้าจอปรากฏคำว่า “ภีม” ทว่านี่ไม่ใช่การโทรด้วยเสียงเพียงอย่างเดียว เต้ยกดรับสาย ในจอที่ถึงแม้ภาพจะดูพร่าเลือนไปบ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าคู่สนทนาคือชายหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงเกลารูปไข่ นัยน์ตาคมโตสวย จมูกโด่งรับกับใบหน้า ริมฝีปากหยักเป็นกระจับ คิ้วเรียวเข้มของคนในจอขมวดพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย
“นั่งทำอะไรมืดๆวะเต้ย? กูมองหน้ามึงแทบจะไม่เห็นแล้วเนี่ย”
“เออๆ แป๊ปนึง”
เต้ยขยับตัวลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า ก้าวขาหนักๆไปทิศทางเบื้องหน้ามือควานหาปุ่มเปิดไฟ
“เห็นชัดยังไอ้ภีม”
“เออๆ กูพอใจแล้ว งั้นแค่นี้แล้วกัน”
“เดี๋ยวๆ มึงอย่ามาตลก กวนตีนเก่งนะมึง”
ชายหนุ่มทั้งสองต่างหัวเราะใส่กัน ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูมีความสุข
“ตอนนี้ที่นู่นสายแล้วไม่ใช่หรอวะ? โทรมาทำไมเนี่ย? มึงไม่ไปเรียนหรือไง?”
“เอ้า! ก็กูคิดถึงเพื่อนนี่หว่า โทรหาไม่ได้หรอวะ?”
“มึงเอาดีๆ”
“เออๆ...ก็วันนี้มีพายุหิมะกูเลยออกไปเรียนไม่ได้ เค้าประกาศหยุดกันก็เลยถือโอกาสโทรหามึงเนี่ย....แล้วมึงเป็นยังไงบ้าง? สบายดีมั้ย? ขนมขายดีป่ะ? เก็บเงินได้เยอะยัง?”
หน้าสวยรัวคำถามจนคนฟังถึงกับลำดับไม่ค่อยถูกว่าจะตอบเรื่องไหนก่อนเรื่องไหนหลัง
“กูก็เหมือนเดิมแหละมึง ขนมก็ขายได้เรื่อยๆ ยังเก็บเงินได้ไม่เท่าไหร่หรอก แล้วเพื่อนกูที่เคยบอกว่าจะช่วยกันทำกะกู ช่วงนี้มันก็หายหัวไปเลย...มันติดแฟน กูเลยรับทำแค่ส่วนของกูคนเดียว แล้วมึงล่ะ เป็นยังไงบ้าง?”
“กูก็สบายดี อยู่ที่นี่ก็มีความสุขดี มันอิสระดีน่ะมึง อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องมาแคร์สายตาคนอื่น”
“ดีว่ะ กูก็อยากทำอะไรตามใจกูบ้าง เสียดายบ้านกูไม่ได้รวยแบบมึง แต่ไม่เป็นไรกูจะเก็บเงินให้ได้เยอะๆเลย กูจะได้มีโอกาสเป็นอิสระแบบมึงบ้าง”
ตากลมๆสบตาคนในจอแบบมีแรงบันดาลใจ ภีมยิ้มตอบกลับมา ปากก็เอ่ยให้กำลังใจ
“สู้ๆนะเว้ยไอ้เต้ย มึงจะขึ้นปีสี่อยู่แล้ว ตอนนี้มึงจะเอายังไงกับชีวิตมึงต้องชัดเจนได้แล้วนะเว้ย”
เต้ยนิ่งไป สีหน้าสดชื่นเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัดใจ
“อืม...กูจะพยายาม...”
“พอๆ กูไม่คุยกับมึงแล้วไอ้เต้ย ดราม่าเฉย กูไปดีกว่า”
“เดี๋ยวดิมึง...แล้วเรียนจบแล้วมึงจะกลับมาไทยเลยมั้ยวะ?”
ภีมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนพูดแบบไม่ยี่หระ
“กลับดิ...แต่...หลังจากกูเรียนโทจบนะ”
สิ้นคำพูดของภีม สีหน้าของเต้ยซึมลงเล็กน้อย
“มึงจะเศร้าทำไมเนี่ย? กูก็กลับไทยทุกปีอยู่แล้วป่าววะ...ไม่เอาน่ะมึง ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยดิวะ ยิ้มให้กูดูทีก่อนกูจะวางสาย เร็วๆ”
เต้ยอมยิ้มแบบไม่เต็มใจนัก สำหรับเต้ยภีมซึ่งเป็นเพื่อนกับเขามาตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่เข้าใจเขาดีที่สุดคนหนึ่ง ภีมคอยอยู่เคียงข้างเขาทุกครั้งในยามลำบาก แต่นี่ก็สามปีมาแล้วที่ภีมไปเรียนต่อต่างประเทศ ชีวิตเต้ยเลยเหมือนขาดคนที่คอยให้กำลังใจไป
“มึงยิ้มแบบนี้จริงๆกูไม่ให้ผ่านนะเว้ย แต่กูหิวละจะไปแดกข้าว อยู่ทางนู้นมึงดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ กูเป็นห่วง ไปล่ะ ฝันดีนะมึง”
เต้ยโบกมือแทนการพูดลาผ่านหน้าจอ ใบหน้าสวยยิ้มบางๆก่อนจะวางสายไป ร่างเล็กเดินไปปิดไฟอีกครั้งก่อนล้มตัวลงนอน ในหัวสมองยังคงครุ่นคิดถึงเรื่องราวบางอย่าง
++++++++++++++++
สวัสดีค่า ผ่านมาสองตอนแล้ว ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามด้วยนะคะ อยากบอกว่าแค่นี้เราก็รู้สึกมีกำลังใจมากแล้วค่ะ ไม่ว่าคนอ่านจะมากจะน้อยยังไงเราก็จะพยายามเขียนต่อไปนะคะ แล้วก็จะพยายามเขียนให้ดีขึ้นด้วยค่ะ ^^
ยังไงก็ขอฝากเมะใจแหววแบบสกาย แล้วก็เคะแมนๆแบบเต้ยด้วยนะคะ