( ต่อ )
รามิลรู้สึกเบื่อ เขาเทเวลาไปกับการหงุดหงิดอาการคันขาข้างซ้ายในขณะที่มันอยู่ใต้เฝือกอ่อนสีขาว เรื่องดี ๆ เพียงอย่างเดียวหลังจากความผิดของเขาถูกเปิดโปงก็คือแพรพลอยไม่ได้มีเด็ก อย่างน้อยมันคงไม่ได้ทำให้พ่อแม่หรือเพื่อนมองเขาด้วยสายตาที่กำลังก่นด่าว่าไอ้สารเลวอะไรเทือกนั้น อ้อแน่ล่ะ เขาไม่ต้องรับโทษอะไรเลย ไม่มีบทบัญญัติกฏหมายในข้อไหนบอกว่าการการกระทำเยี่ยงคนเห็นแก่ตัวเช่นนั้นเป็นความผิด
รามิลพยุงตัวออกจากรถของผู้เป็นแม่ด้วยไม้ค้ำข้างเดียว มันทุลักทุเลพอสมควร แต่ก็ดีกว่าการต้องหมุนล้อเก้าอี้รถเข็นหากต้องการไปไหนมาไหน แสงแดดอ่อน ๆ ทอดยาวบนถนนคอนกรีตขรุขระหน้าอาคาร เขาผ่านตึกผู้ป่วยนอกเพื่อไปยังทางเชื่อม ส่วนคุณแม่ขับรถออกไปแล้ว
ร่างโปร่งพาตัวเองไปตามขั้นบันไดเตี้ยอย่างระมัดระวัง เรื่องของอนาคตถูกดึงกลับเข้ามาเป็นสิ่งที่ต้องครุ่นคิดอย่างหนักอีกครั้งหลังจากความเปลี่ยนแปลง นอกจากพ่อและแม่แล้วมีคนแวะเวียนมาเยี่ยมรามิลประปราย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นญาติผู้ใหญ่หรือคนรู้จัก ไม่มีเพื่อนคนไหนโผล่มา แล้วรามิลก็ยังคิดไม่ออกเสียด้วยว่าหากขึ้นไปถึงห้องเรียนแล้วจะต้องวางตัวอย่างไร เริ่มเข้าหาเพื่อนกลุ่มใหม่ หรือเพื่อนจะยอมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในเมื่อชื่อของแพรพลอยได้กัดกินเข้าเป็นตราบาปในใจทุกคนโดยสมบูรณ์แล้ว
มันเหมือนเป็นตลกร้ายสักเรื่องซึ่งไม่มีใครคาดคิดถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
หากรู้ว่าแพรพลอยจะตาย เขาคงไม่แข็งใจปล่อยเธอไว้ตรงนั้น อย่างน้อยก็อาจรับโทรศัพท์และบอกให้คนขับวกรถกลับไป รามิลทิ้งโอกาสครั้งที่สองด้วยการเอากระเป๋าของเธอไปทิ้งไว้ในล็อกเกอร์ ตอนนี้มันอยู่ในมือของครอบครัวแพรพลอยแล้ว แต่การไม่ยั้งคิดกลับกลายเป็นรอยแผลใหญ่ ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว
รามิลขอบคุณที่อาคารเรียนมีลิฟท์ ถ้าอารมณ์ดีกว่านี้สักหน่อย เขาแน่ใจว่าจะต้องเป็นคนหนึ่งที่ขอลงนามเข้าสมาคมศิษย์เก่าเพื่อร่วมบริจาคเงินมาบำรุงลิฟท์ทุกปีแน่ ๆ ตอนนี้เกินเวลาเข้าเรียนไปไม่มาก แต่ตามวิสัยแล้ว คนที่เพิ่งพ้นช่วงวิกฤติอย่างรามิลคงไม่ถูกเช็กขาดเพียงเพราะต้องกระเผลกขาหมดสภาพนี่ไปกับไม้ค้ำหน้าตาตลก ถ้าขาไม่เจ็บ เขาจะสามารถไปถึงห้องเรียนได้ภายในห้านาที แต่ก็ทำได้แค่ค่อย ๆ พยุงตัวเองผ่านบรรดานักเรียนแพทย์สาขาอื่นที่รวมกลุ่มกันประปรายบนทางเดิน อาจมีบางห้องที่อาจารย์มาช้า แล้วรามิลก็ไม่รู้สึกดีสักเท่าไรที่ต้องเป็นเป้าสายตาเพราะการเป็นไอ้เดี้ยงแบบนี้
เขาออกแรงเปิดประตูห้องเรียนฝืด ๆ แต่มันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เชื่อเถอะว่าการถูกนักศึกษาสาขาอื่นจ้องโดยที่ไม่รู้อะไรมากไปกว่าเขาเป็นไอ้เดี้ยงน่ะมันดีกว่าเป็นไหน ๆ ไม่มีใครออกมาช่วยเขาปิดประตู อาจารย์หมอถามไถ่อาการตามมารยาทราวสองสามประโยคก็ให้เขาไปนั่งได้ เก้ ๆ กัง ๆ ขึ้นมาอีกก็ตอนที่ไม่รู้จะเอาไม้ค้ำพิงไว้ตรงไหนดี
รามิลหยิบเอาสายสะพายเฉียงออกจากการคล้องตัว เขาหยิบเลคเชอร์คู่ใจเล่มสีน้ำเงินขึ้นมา จ้องบนกระดานให้ผ่านตาอีกนิดหน่อย แล้วจึงหันไปสะกิดนิลซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ
“ถึงไหนแล้ว”
“เอ่อ...” อีกฝ่ายทำสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาเสียอย่างนั้น อย่างกับว่ารามิลจะถามใครก็ได้ เว้นแต่คน ๆ นี้ “อาจารย์นัดสอบวันศุกร์”
แน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรดีอย่างที่คิด นี่เป็นข่าวร้ายสำหรับคนที่เพิ่งเจอเรื่องสาหัสมาเห็น ๆ นั่นหมายถึงว่ารามิลสูญเสียโอกาสในการราวน์วอร์ด วินิจฉัย หรือแม้แต่ขาดการฟังบรรยายไปถึงหกคาบตั้งแต่เกิดเรื่อง แน่นอนเขาอ่านหนังสือหนัก ๆ เพื่อเข้าสอบได้ แต่ในข้อสอบวินิจฉัยโรค รามิลคิดว่าตัวเองเสียเปรียบ
“จะนัดติวกันเมื่อไร”
นิลเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง “ไม่รู้สิ ต้องไปถามไอ้บอส”
รามิลไม่ได้คิดไปเองแน่ว่าเขากำลังถูกมองแปลก ๆ ละสายตาจากเพื่อนชายที่นั่งข้าง ๆ ทำให้เห็นว่าดวงตาหลายคู่ในห้องกำลังรีบหันกลับไปก้มหน้าก้มตาอยู่กับโต๊ะทันทีที่เป้าสายตารู้ตัว ทุกคนทำเหมือนเขาเป็นตัวประหลาด ทำเหมือนระหว่างสามสัปดาห์มานี้มีเรื่องที่รามิลไม่รู้อย่างไรอย่างนั้น
สมุดเลคเชอร์ว่างเปล่าในส่วนสิบห้านาทีแรกของคาบ เขาไม่ได้เข้มแข็งถึงขนาดที่ว่าจะหันไปหานิลเพื่อขอดูสมุด แล้วก็ไม่ได้ทำไม่รู้ไม่ชี้เก่งพอที่จะไม่รู้ตัวว่าแม้แต่บอสหรือคนอื่น ๆ ก็ยังพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อ้อ อะไรที่ว่านั่นหมายถึงการเดินเข้ามาในห้องนี้ของรามิลต่างหาก
รู้ทั้งรู้ว่ามันจะเปลี่ยนไป และพอรู้แล้วว่าจากนี้จะเป็นไปในทางไหน
มันเป็นเรื่องของคำพิพากษา
หากคุณมีเพื่อนสักคนที่แอบมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงประหลาด ๆ คนหนึ่งของห้อง จากนั้นก็ทิ้งให้เธอถูกฆ่าอยู่ข้างทางแล้วกลับมาใช้ชีวิตปกติราวกับยกภูเขาออกจากอก ใช่ ไม่มีใครเกลียดรามิลหรอก แต่ทุกคนก็แค่ให้ความสนใจกับเขาในแบบที่ไม่เหมือนเดิม
กลุ่มเพื่อนเก่ามองมาทางนี้ รามิลคิดว่าพวกนั้นก็เลวพอ ๆ กัน เพียงแต่คนที่มีสิทธิ์เลือกทิศทางมันไม่ใช่เขา เด็กหนุ่มถึงทำได้แค่นั่งเป็นไอ้งั่งและมองดูทุกคนเดินออกไปจากห้องโดยไม่มีใครเข้ามากอดคอชวนไปกินมื้อกลางวันอย่างเคย เดาได้ในอนาคตว่าอาจจะต้องเริ่มหากลุ่มติวหนังสือใหม่ หาสังคมใหม่ ๆ และมันเป็นไปได้หรือไง ในเมื่อไม่มีใครในที่นี้อยากเกี่ยวข้องกับเขาเลยสักคน
“....”
กระดาษเลคเชอร์ภายใต้ฝ่ามือถูกขยำจนยับยู่ อยากจะฉีกมันออกมาเขวี้ยงออกไปให้ไกล
อย่ามาทำแบบนี้ เขาตวาดโดยไม่มีเสียง
อย่ามาทำเหมือนกับว่ารามิลเป็นส่วนหนึ่งของแพรพลอยเข้าจริง ๆ
--------------------------------------------------
“แล้วต้องไปรายงานตัวครั้งต่อไปเมื่อไรครับ”
มือแกร่งยื่นออกไปกดปุ่มรอลิฟท์ทั้งที่มือเต็มไปด้วยถุงจากซูเปอร์มาร์เก็ต เจ้าของห้องก็แค่ยื่นข้อเสนอว่าขอฉลองเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับบทสรุปของเรื่องนี้ นั่นทำให้ชนกันต์ยิ้มออกมา ทั้งยังออกปากว่าคืนนี้จะเจริญอาหารฝีมือจิตแพทย์ให้พุงแตกกันไปข้าง
“อ๋อ” คนตัวเล็กอ้าปากจะตอบ แต่ก็มัวพะว้าพะวงกับสายกระเป๋าเป้ที่ทำท่าจะหลุดจากบ่า ในมือเขาก็มีแต่ถุงไม่ต่างกัน กระทั่งอธิศรวบทุกอย่างในมือซ้ายไปเกี่ยวเข้ากับนิ้วขวา แล้วจึงมีมือข้างที่ว่างมาช่วยเขาจับสายสะพายขึ้นให้เข้าที่เข้าทาง “ขอบคุณครับ”
ลิฟท์เปิดออก ทั้งคู่หลบทางให้หญิงสาวสองคนซึ่งเดินสวนออกมา ก่อนร่างสูงจะใช้มือข้างที่ยังว่างนั้นดันประตูลิฟท์ไว้แล้วให้ว่าที่เภสัชกรเดินเข้าไปก่อน ชนกันต์อมยิ้มที่อยู่ดี ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า เสื้อเชิ้ตสีฟ้าของหมออธิศไม่เข้ากับถุงซูเปอร์มาร์เก็ตสีเหลืองสดเอาเสียเลย
“อังคารหน้าครับ หลังจากเข้าอบรมที่นั่นเสร็จก็ไปรายงานตัวต่อได้เลย”
คนฟังพยักหน้ารับรู้ เขาไม่แปลกใจกับคำว่าที่นั่นเท่าไรนัก เป็นที่รู้ ๆ กันว่าการเป็นนักศึกษาฝึกงานเภสัชกรรมปีสุดท้ายนั้นไม่ใช่การประจำอยู่ที่เดียวตลอดทั้งปี ชนกันต์จะได้ใบรับรองการฝึกงานจากทางโรงพยาบาลในวันศุกร์นี้ หลังจากนั้นจึงต้องทำหนังสือรายงานผลการฝึกที่มหาวิทยาลัยอีกราว ๆ หนึ่งสัปดาห์แล้วจึงเริ่มฝึกงานผลัดสองที่ร้านขายยา
และนัยหนึ่ง การฉลองในคืนนี้ก็คล้ายกับเป็นการบอกลาเพื่อนร่วมห้องชั่วคราว ชนกันต์เก็บของพร้อมสำหรับการกลับแมนชั่นในวันพรุ่งนี้แล้ว
อธิศไขประตูห้อง เดินเอาถุงซูเปอร์มาเก็ตไปวางกองรวมกันที่โต๊ะกินข้าว แล้วก็รีบมารับถุงจากชนกันต์ไปอีกต่อ เดือนหนึ่งเห็นจะได้ที่อีกฝ่ายไม่ได้เจอเหตุการณ์ ประหลาดหรืออะไรที่แย่มากไปกว่าการฝันร้ายเป็นครั้งคราว ทุกอย่างดีขึ้นตามลำดับ ถึงตอนนี้ชนกันต์จะไม่ได้วางใจเท่าที่ควร แต่เด็กหนุ่มก็เป็นฝ่ายออกปากเองว่าอยากพึ่งตัวเองให้ได้ และอธิศไม่รู้จะพูดอย่างไร เขารู้ว่านี่คือสิ่งที่สมควร
เป็นครั้งแรกที่จิตแพทย์อย่างเขายอมพูดจาไปในทางโอ้อวดว่าทำซุปไก่มันฝรั่งอร่อย แน่นอนมันเป็นอาหารง่าย ๆ แต่ในความง่ายนั้น หากมีสูตรพิเศษก็จะยิ่งอร่อยขึ้นอีก และนี่เป็นครั้งแรกที่ชนกันต์รู้ว่าพ่อครัวคนนี้เคยติดคุณย่ากับเขาด้วย
“แน่ใจนะว่าไม่หิวเท่าไร” อธิศถามเป็นรอบที่สอง แล้วคนตัวเล็กก็ตอบอีกว่ารอได้ ให้ตั้งเตาทิ้งไว้นานตามใจชอบได้เลย
ชนกันต์ทำท่าจะลุกไปช่วยหั่นหมูสำหรับผัดขิงเป็นกับข้าวอย่างที่สอง แต่ก็ถูกห้ามแล้วบอกให้รออีกสักครึ่งชั่วโมง จะได้ไม่เย็นชืดไปเสียก่อน นั่นเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นทีเดียว
“หมอจะไปงานเผาศพเธอหรือเปล่า”
เป็นที่รู้กันว่าสำหรับคนเจอเรื่องร้าย ๆ มา คงไม่ใจแข็งพอจะเรียกชื่อเธอคนนั้น เรื่องดีอีกอย่างคือครอบครัวแพรพลอยไม่ได้โกรธเคืองเด็กคนนี้อย่างที่อธิศกลัว ในทีแรกทั้งสองฝ่ายอาจอึดอัดกันบ้าง แต่ทันทีที่ชนกันต์พาตัวเองลงคุกเข่าแล้วก้มกราบจนศีรษะติดพื้น นายมนตรีก็ใจอ่อนลงมาช่วยพยุงตัวขึ้นในที่สุด จากนั้นทั้งคู่จึงขอเวลาทำใจอีกสักพัก หลังจากที่เข้าใจแล้วว่าความไม่เจตนาของชนกันต์นั้นเป็นเหตุสุดวิสัย อาจน่าโกรธเคืองที่ไม่ยอมลงไปดูลูกของทั้งคู่ แต่นอกจากตัวแพรพลอยเองแล้ว มันถูกที่ใครคนอื่นไม่มีสิทธิ์โกรธเด็กคนนี้
“ไปสิ” อธิศตอบ เขาดูพอใจที่จัดการมันฝรั่งเสร็จจนได้ “ผมก็ได้รับคำเชิญเหมือนกัน”
“พรุ่งนี้หลังจากเอาของไปเก็บที่ห้องเสร็จ ผมจะรีบตามไป” เด็กหนุ่มเบาใจขึ้นมาที่รู้ว่าหมออธิศมีโอกาสจะไปถึงก่อน เพราะหากต้องโผล่ไปที่นั่นโดยไม่รู้จักใครสักคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนที่เกี่ยวกับคดีด้วยแล้ว นั่นคงน่าอึดอัดพิลึก
“ให้แวะไปรับไหม” นายแพทย์เสนอ “ผมต้องรอรับเสือไปพร้อมกัน ยังไงก็คงช้าอยู่แล้ว”
“หมอเสือไปด้วยเหรอครับ”
อธิศพยักหน้ารับ มือก็ยกหม้อซุปไก่ไปตั้งบนเตาแม่เหล็กไฟฟ้าอายุสี่เดือน “รถของเสือยังซ่อมไม่เสร็จ พยาบาลบอกว่าเขาต้องนั่งแท็กซี่ไปกลับทุกวัน”
ชนกันต์พยายามนึกภาพรถของหมอศรัณย์ ได้ยินว่าบุบไปพอสมควรจนดูเหมือนทั้งคันเบี้ยวไปทางขวา โชคดีเหลือเกินที่เจ้าของรถแค่แขนซ้นเท่านั้น
“แล้วเก้า...”
ถึงตรงนี้อธิศเงียบไป เขาท้าวสองมือไว้กับขอบโต๊ะหลังทำอาหารหม้อแรกเสร็จ มีเวลาให้ทั้งคู่คุยฆ่าเวลากันอีกราวครึ่งชั่วโมง “ผมไม่รู้”
“อ่า...”
"ผมได้คุยกับเสือไปบ้างแล้ว แต่เก้า -- เด็กคนนั้นน่าเป็นห่วงทีเดียว”
สองคนเงียบไปอีกพักใหญ่ และปล่อยให้ห้องทรงยาวนี้มีเพียงเสียงแอร์ที่ทำลายความเงียบตอนหัวค่ำโดยไม่ได้มีทางเลือกอื่น เมื่อไรที่พูดเรื่องของรามิล พวกเขามักจะเป็นอย่างนี้เสมอ อาจด้วยความเคลือบแคลง แปลกใจ หรือบอกตัวเองว่าไม่ควรหาคำใดมาพูดถึงตัวตนของเด็กนั่นอีกหลังจากเรื่องครั้งนั้น
“ผมสงสารเขานะ” เป็นครั้งแรกที่ชนกันต์ทำลายกฏเงียบ “ถ้าเลือกได้ เก้าก็คงไม่ทิ้งเธอไว้ตรงนั้นใช่ไหมล่ะครับ”
“ครับ”
“ถ้าหมอเป็นหมอเสือ หมอจะอภัยให้เขาได้หรือเปล่า”
อธิศใช้เวลาคิดคำถามนี้อยู่พักหนึ่ง ชนกันต์ว่ามันนานเกินไปสำหรับคนที่ตัดสินใจอะไรเร็ว นัยน์ตาคมนั้นหลุบลงต่ำ จากนั้นริมฝีปากก็เหยียดเป็นยิ้มเล็ก ๆ ที่ดูไม่มีความหมาย
“แล้วผมโกรธคุณหรือเปล่า”
“ไม่ใช่สิ” คนอ่อนวัยกว่าท้วง “ผมหมายถึงถ้าหมอเป็นหมอเสือ มันเทียบกับผมไม่ได้สักหน่อย”
“ทำไมล่ะ”
“เราไม่ได้เป็นอะไรกัน
แบบนั้นนี่ครับ”
ชนกันต์ตอบตรง ๆ และคำตอบที่เขาได้รับกลับมาก็มีแค่เสียงหัวเราะเบา ๆ ในขณะที่ร่างสูงเดินลงมาลากเก้าอี้ข้างตัวแล้วหมุนทำมุมหันเข้าหากัน อธิศทิ้งตัวนั่งลงเพื่อบอกกลาย ๆ ว่าจะเข้าสู่ช่วงบทสนทนาฆ่าเวลาเต็มตัวแล้ว
“ไม่รู้สิ ผมก็อาจพยายามเข้าใจอย่างที่เสือกำลังทำ แต่จะรับได้ไหมก็เป็นอีกเรื่อง”
แทบไม่มีสักครั้งที่ทั้งคู่เลือกคุยเรื่องของคนอื่น สำหรับเด็กหนุ่มที่เคยมีแฟนนับคนได้แบบชนกันต์แล้ว ยอมรับว่าเขายังเก็บเรื่องความสัมพันธ์ของคนคู่นี้มาติดใจอยู่นิดหน่อย แล้วก็พาลจะนิสัยเสียจนนึกไปจับผิดถึงครั้งแรกที่ไปดื่มด้วยกันในบาร์
“แล้วหมอว่า... เรื่องนี้จบลงจริง ๆ หรือยัง”
ริมฝีปากของอธิศไม่ได้ฉีกกว้างไปกว่าเดิม แต่มันดูมากขึ้น “ดูจากที่คุณหลับได้ตั้งแต่ห้าทุ่มแทบทุกวัน ผมว่าแฮปปี้เอ็นดิ้งครับ”
นึกอยากจะสวนไปว่าหมอด่วนสรุป แต่ชนกันต์ก็กลัวจะกลายเป็นคนก้าวร้าวขึ้นมาอีก “ไม่รู้สิหมอ ผมยังกลัวอยู่”
“หืม?”
“ยังรู้สึกแปลก ๆ แบบบอกไม่ถูก แต่ผมก็คงจะรู้สึกไปเอง แบบนี้เรียกควันหลงได้ไหม” หัวเราะแก้เก้อให้ดูผ่อนคลายขึ้น และมันได้ผล เมื่อสิ่งที่ตามมาในหัวก็มีแต่เรื่องดี ๆ ท่ามกลางเหตุการณ์เลวร้ายที่ผ่านมา ชนกันต์ไม่แน่ใจว่าเขาโตขึ้นบ้างหรือเปล่า แต่ถ้า วัดจากตอนโทรไปแจ้งเรื่องโดนคดีขับรถโดยประมาท ที่พ่อแม่บอกว่าภูมิใจในตัวลูกชาย และเรื่องคดีของแพรพลอยที่ได้กลายไปเป็นพยานอย่างช่วยไม่ได้ นั่นก็เชื่อได้ว่า มันทำให้ชนกันต์คิดอะไรได้มากขึ้นในระดับหนึ่ง ถึงน้อยนิด แต่จะมากขึ้นตามกาลเวลา
ความเงียบโรยตัวลงมาแทนที่บทสนทนาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าความประหม่านี้มาจากไหน อาจจะมาจากหมออธิศที่กำลังใช้นัยน์ตาสีเข้มนั่นมองเขาจากเก้าอี้ตรงหน้ากระมัง ไม่บ่อยอีกนั่นแหละที่อีกฝ่ายจะยอมปล่อยให้เกิดสถานการณ์แปลก ๆ ชนกันต์เคยชอบหมออธิศตอนถอดแว่นเพราะดูใจดีกว่า แต่พอเป็นตอนนี้ เขาดันอยากเดินไปหยิบแว่นมาใส่ให้หมอเดี๋ยวนี้เลย
“ขอโทษครับ” อธิศรู้ตัวไวเสมอ ร่างสูงเอนแผ่นหลังจนตั้งฉากกับพื้น และนั่นทำให้แขนยาว ๆ ที่กุมมืออยู่บนหน้าตักเมื่อสักครู่ดูเก้ ๆ กัง ๆ ไปโดยปริยาย
“มีอะไรหรือเปล่าครับหมอ”
ดวงตานั้นมีแต่ความเคลือบแคลง ว้าวุ่นไปด้วยความคิด และบ้าชะมัด -- นี่เขาหัดมีนิสัยคิดวิเคราะห์คนอื่นตั้งแต่เมื่อไรกัน
“ไม่มี” อธิศโกหกทื่อ ๆ ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรพูดออกมาหรือเปล่า “ขอโทษที”
การอยู่ด้วยกันมาร่วมเดือนทำให้เด็กหนุ่มจับทิศทางได้ว่าการขอโทษครั้งที่สองนั่นสื่อถึงการควบคุมความคิดของคนตรงหน้าอย่างชัดเจน อธิศมักจะพูดอะไรในครั้งเดียว หรืออย่างน้อย ๆ ก็ทิ้งระยะห่างจนเรียกได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ต้องการการพูดซ้ำอีกครั้ง แต่นั่นแหละ – หมอกำลังดูประหลาด
“ผมก็แค่ใจหายน่ะ” ในที่สุดจิตแพทย์ก็ไม่ได้เลือกทางโกหก พูดให้ถูกคือชายหนุ่มคงละอายมากกว่าที่รู้ว่าตัวเองปกปิดความรู้สึกไม่สำเร็จ เขาทำมันได้เสมอ เว้นแต่บางที “ซึ่งมันตลกดี”
“ยังไงครับ”
เชื่อเถอะว่าอธิศแสดงออกให้รู้เลยว่าชนกันต์ไม่ควรถาม “ตลกที่ผมใจหายเพราะคุณจะย้ายกลับครับ”
“อ่า... ใจหายนี่ใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีนะ” คนตัวเล็กพูดติดตลก นิ้วก็ยกขึ้นเกาสันกรามแก้เก้อ “ผมรบกวนหมอมานานมากเหลือเกิน”
“....”
“ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกอย่าง”
“....”
“ผมเคยดีใจที่หมอเชื่อผมสักที แต่ตอนนี้มันมากกว่าคำว่าดีใจอีก เพราะถ้าไม่มีใครสักคนทำอย่างที่หมอทำ ผมได้กลัวจนตายไปแล้วแน่ ๆ”
“....”
“สิ่งที่หมอให้ มันมากกว่าไดอะซีแพมเสียอีก”
“กันต์”
เสียงทุ้มพูดสวนขึ้นมาทันทีที่จบประโยค ชนกันต์คิดว่าตานั้นยิ่งทำให้เขาร้อนรุ่ม มันแปลกประหลาดเกินกว่าเด็กหนุ่มจะคิดอยากจำกัดความด้วยคำใดที่นึกออก และหลังจากชื่อของเขา หมออธิศก็ไม่ได้พูดอะไรอยู่สองนาน
“เราจะได้เจอกันอีกไหมครับ”
“....”
“มันจะแปลก ๆ หรือเปล่า ถ้าผมติดใจยำปลาสลิดร้านที่หมอเคยพาไปกิน”
“....”
“....”
ทั้งคู่เงียบไปอีกแล้ว ว่าที่เภสัชกรรู้ว่านี่มันยากกว่าการสอบครั้งไหน ๆ ตลอดห้าปีที่ผ่านมา มันยากตรงที่เขาไม่รู้จะพูดอะไรอีก แล้วก็คิดว่าที่พูดไปมากเกินพอแล้ว และหากย้อนกลับไปในร้านอาหารครั้งนั้น ความรู้สึกเดิมของชนกันต์คือขอให้อธิศพูดอะไรออกมาสักคำ
“ไม่ต้องย้ายกลับได้ไหม”
“ครับ?”
ตาสีเข้มนั้นหยุดสั่นแล้ว มันแน่นิ่ง แล้วก็ลุ่มลึกเสียจนทำให้คนฟังร้อนไปทั้งตัว “ผมพูด คุณฟัง แต่ไม่จำเป็นต้องเก็บไปคิด ถึงแม้คำที่ว่าไม่ต้องคิดนั้นผมจะโกหกคุณก็ตาม”
ชนกันต์เกลียดยิ้มอบอุ่นของหมออธิศขึ้นมาจับใจ มันทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ แม้จะยังประมวลผลประโยคก่อนหน้าได้งุนงงก็ตามที
“ผมไม่อยากให้คุณย้ายกลับไปอยู่คนเดียว”
“ทำไมครับ”
“เพราะผมคิดว่า ผมเก่งกว่ายาไดอะซีแพม”
สิ้นประโยคร่างเล็กก็หัวเราะเบา ๆ เขาไม่รู้ว่าทำไมต้องหัวเราะ แล้วก็สั่งตัวเองว่าพยายามอย่าหยุดหัวเราะด้วย “ก็จริง”
อธิศนิ่งไปอีกแล้ว นิ่งและจับจ้องใบหน้าของเขาอย่างชั่งใจ มันคล้ายเป็นคำสั่งกลาย ๆ ให้ชนกันต์หยุดหัวเราะแล้วตั้งใจฟัง ซึ่งให้ตายเถอะ เขาอยากฝ่าฝืนคำสั่งนี่เป็นบ้า
“มีอีกเรื่องที่ผมอยากขอโทษคุณ”
หัวใจของเด็กหนุ่มต้องหลุดออกจากอกไปแล้วแน่ ๆ ในตอนที่นายแพทย์อธิศเลื่อนริมฝีปากเข้ามาแตะกับปากของเขา อาจจะสักสามวินาทีหรือนานกว่านั้น มือใหญ่ก็ยกขึ้นทาบบนพวงแก้ม มันพาชนกันต์ให้เป็นไปในทิศทางที่ทั้งคู่อยากให้เป็น ไม่นานนัก สัมผัสผะแผ่วนั้นผละออก จากนั้นจึงถือวิสาสะบดเบียดครั้งที่สองลงมาอย่างเชื่องช้า หนักแน่น และบาดลึกลงไปถึงความรู้สึก
แสร้งบอกตัวเองให้ไม่ต้องคิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น แต่ก็นั่นแหละ -- เขาเคยโกหกตัวเองได้ที่ไหนกัน เรียวลิ้นของแพทย์หนุ่มแห่งแผนกจิตเวชไล้เล็มริมฝีปาก ค่อย ๆ ส่งลิ้นเบิกทางเข้ามาต้อนและเกี่ยวเขาเอาไว้ อีกมือที่เคยเก้กังอยู่บนตักขยับขึ้นมาจับแขนเล็ก ทุกอย่างเหมือนห้วงสีขาวฟุ้ง สิ่งแรกที่เห็นหลังจากลืมตาขึ้นก็คือนัยน์ตาสีเข้มไม่มีเลนส์แว่นขวางกั้น และไออุ่นยังคงรดริมฝีปากของชนกันต์อยู่ในประโยคต่อมา
“ผมลืมคืนสุดสยองนั่นไม่ได้สักที”
คนตรงหน้าพูดติดตลก แต่ครั้งนี้มีความรู้สึกอื่นขึ้นมาแทนที่อารมณ์ขันเสียแล้ว
“แล้วผมก็อยากอยู่กับคุณต่อไปครับ”
--------------------------------------------------
เปลือกตาบางลืมขึ้นในความมืด เรตินาทำงานอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะเริ่มเห็นแสงจันทร์ส่องผ่านผืนผ้าม่านและเปลี่ยนให้เพดานค่อย ๆ สว่างขึ้นจนเป็นสีเทาอ่อน ไม่แน่ใจนักว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร อาจเป็นตอนที่กลับมาแล้วเอาแต่ร้องไห้ ถ้าอย่างนั้นไม้ค้ำก็คงยังอยู่ที่ปลายเตียง ข้าวของระเนระนาด แล้วกางเกงขายาวที่สวมอยู่ก็เป็นสแลคสีดำ
ทันทีที่เริ่มเรียบเรียงความคิดได้ ภาพความแปลกแยกในหัวกลับเริ่มเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่เขาต้องใส่ชุดกาวน์แล้วเป๋ไปเก็บรายละเอียดอาการคนไข้เพียงลำพังเพื่อเตรียมตัวสำหรับสอบย่อยที่จะถึง ในการขึ้นวอร์ดกับอาจารย์แพทย์ รามิลคิดว่าคงไม่มีใครกระซิบบอกคำตอบให้เขาได้ลุ้นและหัวเราะกับพฤติกรรมแผลง ๆ นั่นอีกแล้ว
คำตัดสินจบไปตั้งแต่ในชั้นศาล หากแต่คนที่ยังต้องรับคำพิพากษาต่อจากนั้นก็คือคนผิดนอกกฏหมาย ตราบาปซึ่งกัดกินตัวตนลึกลงไปเป็นปรสิต มันสูบเอาความคิด ความรู้สึก เรี่ยวแรง และความหวัง ให้หายไปจากชีวิตของรามิลได้อย่างเลือดเย็นเฉกที่เขาเคยทำกับผู้หญิงคนนั้น แทบทนไม่ไหวที่ต้องแสดงออกว่าอยู่ได้ แต่เปล่าเลย เขาอยู่ไม่ได้
ศรัณย์ให้บทลงโทษความรักได้เจ็บแสบเหลือเกิน
โดยการไม่เลือกมันถ้าถามว่าอารมณ์ของรามิลในตอนนี้เป็นแบบไหน เขาก็คงโกรธ -- แต่โกรธจนหมดแรงแล้ว เสียงฝีเท้าแว่วเข้ามาในหู และหลังจากหยัดตัวขึ้นนั่งได้ไม่ถึงสิบวินาที เสียงเคาะประตูสองทีก็ดังเรียกอย่างที่คิดเอาไว้
“เก้า มีเพื่อนมาหาจ้ะ”
แม่นั่นเอง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย นัยน์ตาเริ่มมีประกายอย่างลิงโลด รามิลรู้สึกว่าการที่หัวใจเต้นแรงขึ้นมานั้น เหมือนตอนที่เพื่อนขอเกี่ยวก้อยหลังจากทะเลาะกันในวัยเด็กไม่มีผิด เขาแบ่งความดีใจเป็นสามระดับ และศรัณย์อยู่อันดับแรกเสมอ
เด็กหนุ่มเอื้อมตัวไปกดเปิดโคมไฟแล้วลุกขึ้นจากเตียงอย่างทุลักทุเล การใส่เฝือกอ่อนทำให้เดินเหินถนัดขึ้นนิดหน่อย แม้จะแลกมาด้วยความเจ็บปวดซึ่งทุเลาลงเพียงเล็กน้อยก็ตาม และรามิลไม่ชอบใช้ไม้ค้ำในขณะที่ยังอยู่ในบ้าน นั่นหมายถึงเขาต้องการบำบัดทางกายภาพด้วยการฝืนออกไปโดยไร้เครื่องช่วยพยุง
อาจจะเป็นนิล บอส โอ๊ต หรือเพื่อนคนอื่น ๆ ในกลุ่ม
หรือถ้าดีหน่อยก็เป็นพี่เสือ
“เก้า” แม่เร่ง แต่เด็กหนุ่มไม่กระตือรือร้นเดินเร็วกว่านี้ถ้าไม่ใช่เสียงของศรัณย์
เขาปิดประตูห้องเพราะไม่อยากให้ใครมาเห็นสภาพเละเทะ ก้าวเดินช้า ๆ โดยอาศัยราวของชั้นสองซึ่งทอดยาวมาถึงบันได ในสามขั้นแรก รามิลอาจต้องพะว้าพะวงมองพื้นสักหน่อย แต่เขาก็ยอมชะโงกหน้ามองเงาคนไว ๆ ที่อยู่หลังผนังกั้นทางขวามือ “เพื่อนเอาเลคเชอร์วันนี้มาให้แน่ะจ้ะ”
“....!”
ขาขวาใต้เฝือกอ่อนรู้สึกเจ็บขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น เจ้าของเรือนผมสีดำยาวค่อย ๆ หันมาทางบันได เผยให้เห็นเดรสสีขาวลายลูกไม้เชย ๆ ผิวของเธอซีดเผือด ดวงตารีเล็กดำด้านในขณะเอ่ยคำทักทายคุ้นเคย
ริมฝีปากฉีกออกเพื่อขยับ
“สวัสดี เก้า”เฮือกเปลือกตาบางลืมขึ้นในความมืด เรตินาทำงานอย่างเกียจคร้านก่อนจะเริ่มเห็นแสงจันทร์ส่องผ่านช่องหน้าต่างเล็ก ๆ ที่ช่วยให้สิ่งรอบตัวเริ่มก่อเป็นเค้าโครงร่าง รามิลคิดว่าแค่เผลอหลับไป เขานอนอยู่ และจะตื่นขึ้นมาเพื่อหัวเราะเยาะกับตัวเองว่าเมื่อครู่เป็นแค่ฝันร้าย
ทว่ามือของเขาจับราวบันได เท้าข้างที่ไม่มีเฝือกสัมผัสอยู่บนพื้นไม้ รอบข้างมืดครึ้ม และชั้นล่างไม่ได้เปิดไฟอย่างที่เห็นเมื่อครู่ ไม่มีแม้กระทั่งเสียงโทรทัศน์ เสียงคุยโทรศัพท์ของพ่อ และรามิลไม่รู้ว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“....”
พลันห้วงคิดฉายภาพซ้ำแทนที่ ชายกระโปรงสีขาวกรอมเข่าพริ้วไสว เจ้าของเสียงทักทายเขาทั้งรอยยิ้ม ดวงตาสีดำด้านขยายกว้าง แล้วก็ราวกับความทรงจำสมจริงนั้นจะฉุดกระชากความรู้สึกทั้งมวลของเขาให้พุ่งสูงและระเบิดออกจนควบคุมไม่ได้
เขาถอยขาขวากลับขึ้นข้างบน และทันทีเฝือกอ่อนสัมผัสกับพื้นบันได ก็สายเกินกว่าที่รามิลจะรู้ตัวว่าได้เหยียบเอากระดาษปึกหนึ่งเป็นแรงส่งให้เขาลื่นไถลลงไปทางด้านล่าง
“อ้าก --”ความเจ็บแปลบที่ข้อเท้าทำให้เด็กหนุ่มเจ็บจนน้ำตาไหล หัวไหล่กระแทกเข้ากับพื้นไม้ปาร์เก้ มันส่งเสียงครึกโครมและคงจะปลุกคนในบ้านนี้ให้ตื่นขึ้นมา เพดานสีเทาอ่อนเริ่ม มืดมิด แสงจันทร์หดกลับออกไปทางหน้าต่าง และทิ้งให้สายตาของรามิลคว้างอยู่กับชีทเปื้อนไฮไลท์สีชมพูสลับเหลือง เสียงจั๊กจั่นกลางคืนร่ำไรอยู่ไกลแสนไกล
เจ็บจนอยากให้ขาหลุดออกไป ความคิดสุดท้ายเขามีแค่นั้น
แล้วก็เหมือนฝันที่เสียงของศรัณย์แว่วเข้ามา
“เก้า”TBC
----------------------------------------------------
เรื่องของเรื่องก็คือ ปรสิตมี 15 ตอนจบค่ะ