ตอนที่ 14
ลักพาตัว
“วันนี้ที่รักอยากกินอะไร”
“ฉันขี้เกียจคิดแล้ว นายนั่นแหละอยากกินอะไร”
ศศินตะลึง เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมถามความเห็นเขา
ท่าทางนั้นน่าตลกมาก เขามองมาตะลึงค้าง ไร้รอยยิ้มยียวนบนใบหน้าเหมือนเคย คล้ายกับตอนที่ผมพยักหน้าขอบคุณครั้งแรกกับเขาตอนเดินแฟชั่นโชว์ ผมชอบเขาที่เป็นแบบนี้มากกว่าตอนกวนประสาทใส่กันซะอีก
“ถ้าฉันอยากกินส้มตำใส่ปลาร้าเยอะๆ ล่ะ”
“ก็ไปสิ ทำไม คิดว่าฉันกินไม่เป็นรึไง” ผมยักคิ้วใส่ศศิน เห็นแบบนี้แต่ตอนเด็กผมเคยกินส้มตำกับตวันออกบ่อยไป เพราะในวันว่างๆ เหล่าคนงานลูกจ้างในบ้านดาราลัยจะล้อมวงกินอาหารอีสานกัน ป้าแช่มจะเป็นมือตำชั้นดี ป้าช้อยแม่ตวันเป็นลูกมือ ผมเห็นตวันกินแล้วแก้มแดงน่ารักมากเลยลองชิมดู
ผลคือเผ็ดจนปากแดง! แต่อร่อยเหาะอย่าบอกใคร!
ถึงจะชอบแต่ผมก็กินไม่บ่อยหรอก เพราะกินเผ็ดมากๆ แล้วปวดกระเพาะ และถ้าไม่ใช่ป้าแช่มตำเองก็ไม่วางใจว่าจะสะอาดปลอดภัยรึเปล่า
ศศินมองผมเหวอๆ ก่อนจะกลายเป็นนิ่งสงบ สายตาเยือกเย็น แต่แล้วก็ฉีกยิ้มจนตาหยี
ผมว่าตัวเองเป็นคนอารมณ์แปรปรวนแล้วนะ เจอศศินเปลี่ยนอารมณ์ไวเหมือนโชว์เปลี่ยนหน้ากากละยอมซูฮกเลย
“งั้นฉันจะพาที่รักไปชิมร้านโปรด”
“ที่ไหน” ผมชักไม่วางใจ กลัวเขาจะเล่นพิเรนทร์
“ความลับ”
เผลอตกบ่วงอะไรเข้ารึเปล่านะ ผมเริ่มสยองขวัญพิลึก แต่ก็ยอมขึ้นรถแต่โดยดี เชื่อว่าศศินคงไม่ถึงกับหน้ามืดจับปล้ำหรอกมั้ง
...รึเปล่านะ
ผมมองคอนโดฯ หรูตรงหน้าแล้วรีบหันหลังมองไปยังตึกสูงฝั่งตรงข้าม นั่น...คือคอนโดฯ ที่ผมพักอาศัย ส่วนนี่...อย่าบอกนะว่าเป็นคอนโดฯ ที่ศศินพักอาศัย!
“ที่รักนี่หัวไวดีจัง ใช่แล้วล่ะ นี่คือที่พักของฉันเอง” ศศินเห็นผมเอี้ยวคอไปมาจนน่ากลัวว่าจะเคล็ดก็รีบเฉลย ก่อนจะเปิดประตูให้ผมลงหน้าคอนโดฯ เพื่อให้บอดี้การ์ดนำรถไปจอด แล้วกดลิฟต์ส่วนตัวขึ้นไปยังชั้นยี่สิบสาม...
นั่นเป็นชั้นเดียวกับผม แต่ไม่ใช่ชั้นบนสุดของที่นี่!
ขณะที่ผมชักจะก้าวเท้าอย่างยากลำบาก ศศินกระตือรือร้นมากที่จะนำเสนอห้องพักชั้นดี และทันทีที่เขาเปิดประตูห้อง แล้วเปิดม่านออกเผยให้เห็นทัศนียภาพฝั่งตรงข้ามชัดๆ...ชัด...ชัดมาก ชัดว่าห้องของเขาหันหน้าเข้าหาห้องของผมพอดีเป๊ะ!
“ไอ้โรคจิต!”
วินาทีนั้นผมหันไปต่อยหมัดเปรี้ยงเข้าเต็มกรามขวาของศศิน รู้สึกสยดสยองครั่นคร้ามอย่างบอกไม่ถูก แต่อีกฝ่ายดันเบี่ยงตัวหลบอย่างไม่ยากเย็น หัวเราะฮะๆ อย่างชอบอกชอบใจเมื่อผมตามต่อยเขาไม่หยุด
มองไปมองมาเหมือนราชสีห์กำลังแหย่หนูเล่นชอบกล ขณะที่เขาสนุกสนานมาก ผมก็เริ่มหอบเหนื่อย ชี้หน้าเขาเป็นเชิงฝากไว้ก่อนเถอะแล้วทิ้งตัวนั่งพักบนโซฟา ขยับคอเสื้อแบบร้อนเหลือทน
“น้ำเย็นครับที่รัก” ศศินช่างบริการดี เขาเห็นผมหยุดวิวาทก็รีบรินน้ำเย็นมาประเคนด้วยรอยยิ้มประจบเอาใจ แต่อย่าคิดว่าแค่นี้จะยอมถอยให้นะ ไอ้โรคจิตเอ๊ย นี่เขาแอบส่องจากตรงนี้นานแค่ไหนแล้วเนี่ย!
“นายมีกล้องส่องทางไกลใช่มั้ย”
“จะบ้าเหรอที่รัก จะมีได้ยังไง”
“...”
“มีครับ เดี๋ยวเอามาให้นะ”
ไม่นานศศินก็ประเคนกล้องส่องทางไกลที่ดูจะสมบุกสมบันคล้ายใช้งานอย่างหนักหน่วงหลายปีให้ เห็นแล้วผมละขนแขนลุกซู่ ก่อนจะรีบส่องกล่องไปทางฝั่งตรงข้ามเพื่อดูว่าเห็นชัดมากที่สุดแค่ไหน
โชคดีที่ไม่ชัดมาก เพราะห้องผมแม้จะมีกระจกรอบ แต่ก็มีม่านสีขาวขวางตลอดแนว ถึงมุมนี้จะตรงกับประตูกระจกสำหรับเปิดออกไปเดินเล่นแถวระเบียงพอดี แต่ผมก็ไม่ใช่คนชอบตากแดดเท่าไหร่ เลยไม่ค่อยออกมาโชว์ตัวให้ศศินส่องชัดๆ ถ้าจะเห็น...ก็คงเห็นแค่เงาเวลาเดินวนไปมาในห้องเท่านั้น
...พอคิดว่าจะลองรักครั้งใหม่ เปิดใจให้ศศินมากกว่าเดิม ดันเจอความดำมืดที่ไม่คาดคิดซะงั้น
“ที่รักจ๋าจะไปไหน!”
“ไปให้พ้นจากคนโรคจิตอย่างนายไง!!”
ลาก่อนศศิน นายน่ากลัวเกินไป ผมขอบาย
แต่พอเปิดประตูห้องก็ผงะเมื่อเจอกับบอดี้การ์ดสองคนยืนขวางจนไม่เหลือทางให้แทรกตัวหนี ผมหน้าซีดเผือด นึกกลัวว่าหรือโดนลวงมาปล้ำจริงๆ วะเนี่ย พลันศศินตะโกนแทรกเสียงเข้ม เล่นเอาบอดี้การ์ดทั้งสองแหวกทางให้แทบไม่ทัน “ปล่อยเขา!”
ผมเหลือบมองศศินอย่างสับสน อีกฝ่ายดูจะเสียความมั่นใจพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังยิ้มยียวนให้อย่างที่ชอบทำ แม้จะเป็นยิ้มฝืนๆ ที่ดูยังไงก็ไม่มีความร่าเริงสดใสเลยก็ตาม วูบหนึ่งผมคิดว่ารอฟังคำแก้ตัวของเขาดีมั้ย แต่พอหันไปมองห้องตัวเองซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็คิดว่าคงรับไม่ไหวหรอก ต่อให้จะยกเหตุผลร้อยแปดมาอ้างก็ตาม
ส่งคนตามว่าหนักแล้ว แต่แอบส่องขนาดนี้เกินไปจริงๆ!
คิดแล้วก็หันหลังกลับ ไม่เหลือบมองศศินอีก บอดี้การ์ดของเขาเองก็ไม่ได้ตามมาประกบ ปล่อยให้ผมลงไปเรียกแท็กซี่ชั้นล่างกลับบริษัทไม่คิดเหนี่ยวรั้ง
แต่นั่งไปสักพักผมก็สำนึกได้ว่า...ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย!
ศศินตั้งใจจะพาผมไปทานร้านโปรด แต่ไหงพาขึ้นห้องซะงั้นล่ะ นึกได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว อีกอย่างผมก็ไม่คิดวกกลับไปถามเขาด้วย เลยบอกให้แท็กซี่จอดข้างร้านอาหารตรงหน้า แบบว่ามีอะไรให้กินก็ขอรองท้องไว้ก่อน ขี้เกียจเลือกเยอะ
ปรากฏว่ารสชาติอร่อยกว่าที่คิด ผมเรียกพนักงานคิดเงิน ก่อนจะเดินไปรอเรียกแท็กซี่หน้าร้าน ปกติผมขับรถเองนะ แต่เพราะนั่งรถศศินมาแล้วทิ้งเขาไว้กลางทางเลยต้องพึ่งบริการขนส่งสาธารณะ...ที่ปฏิเสธเป็นครั้งที่สองแล้วเพราะย่านที่ผมไปรถติด!
กรรมจริงๆ นาวา เจออิทธิฤทธิ์แท็กซี่ไทยเข้าแล้ว ดีนะตอนลงจากคอนโดฯ ศศินแท็กซี่ไม่เรื่องมาก อาจเพราะเป็นรถที่ทางพนักงานต้อนรับช่วยเรียกให้ด้วยล่ะมั้ง
อากาศก็ช่างร้อนจริงๆ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นเพราะจำได้ว่าตวันเคยดาวน์โหลดแอพฯ เรียกแท็กซี่อะไรสักอย่างให้ เขาบอกว่าผมโลว์เทคเกินไป ต้องรู้จักตามทันโลกบ้าง ขณะยืนจิ้มอย่างงงๆ อยู่จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งจอดตรงหน้า
ผมเงยมองตามสัญชาตญาณ ก่อนจะถูกปิดปากลากขึ้นรถคันนั้นด้วยเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที
นาวา ดาราลัยโดนลักพาตัว!
เอาล่ะ มาตั้งสติกันก่อน
นี่เป็นการลักพาตัวครั้งแรกในชีวิตผม ซึ่งก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ลิ้มรสประสบการณ์นี้ โลกมันไปไกลขนาดไหนแล้วยังมาลักพาตัวบ้าๆ บอๆ อีก ต่อให้โลภอยากได้เงิน แต่ตำรวจและเทคโนโลยีในการตามจับน่ะมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งเป้าหมายมีเงินเยอะยิ่งน่ากลัว เพราะเท่ากับว่าพวกเขาเหล่านั้นจะทุ่มเงินเต็มที่ในการจ่ายให้ปล่อยคน แล้วทุ่มอีกเท่าหนึ่งในการตามจับคนร้ายให้เข้าคุกก่อนจะได้ใช้เงินก้อนนั้นซะอีก!
ผมขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัดเพราะผู้ชายห้าคนเบียดกันอยู่ในรถคนเดียว ทุกคนสวมไอ้โม่ง สองคนนั่งด้านหน้า อีกสองประกบผมด้านหลัง ดูคุกคามน่าหวาดหวั่น แต่การลักพาตัวนั้นดีอย่างตรงที่ค่อนข้างรับประกันชีวิต เพราะตราบใดที่คนร้ายไม่ได้เงิน ผมจะปลอดภัยแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่จะให้เขาโทรหาพี่นทีก็ใช่เรื่อง
เกรงว่าถ้ารู้เข้า พี่นทีคงจับผมไปขังไว้ในบ้านไม่ให้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย
แล้วใครจะยอมล่ะไอ้บ้าเอ๊ย ผมอุตส่าห์มีชีวิตอิสระที่พี่ชายยอมรับแล้วนะ!!
“อื้อๆๆๆ” ผมดิ้นขลุกขลัก จนผู้ชายที่ปิดปากไว้ยอมปล่อยมือ แต่ผู้ชายอีกคนยังคงจับมือไม่ยอมปล่อย แถมยังมัดแขนมัดขา ไม่ยอมให้หนีลงจากรถไปได้ “แค่ก! ถุงมือนายเหม็นชะมัด ซักบ้างรึเปล่า!”
“...”
เหล่าคนร้ายถึงกับจุดๆๆ กับประโยคทักทายแรกของผู้ถูกลักพาตัว
“พวกนายอยากได้เงินเท่าไหร่” ผมเข้าประเด็นสำคัญทันที “ห้าล้าน? สิบล้าน? ถ้าอยากได้ก็บอกกันดีๆ อย่ามาลักพาตัวแบบนี้ นอกจากจะวุ่นวาย เป็นข่าวดัง โดนประกาศจับ ต้องหาแผนหลบหนีไปต่างประเทศแล้วยังเสี่ยงตายอีก ถ้าอยากได้ก็บอกมาตรงๆ ฉันจะเซ็นเช็คให้”
“เอ่อ...” คนร้ายซึ่งนั่งฝั่งคนขับที่เพิ่งหาเสียงเจอหันมาพูดกับผมด้วยท่าทางประจบทันที “จะให้เงินพวกเราจริงๆ เหรอ”
“ก็จริงน่ะสิ พวกนายจะลักพาตัวเรียกค่าไถ่ไม่ใช่รึไง เสียเวลาน่า คนถือเงินก็คือฉัน จะติดต่อคนอื่นให้วุ่นวายทำไม อยากได้ก็มาเจรจาต่อรองกันนี่ เอ้า แก้มัดด้วย มันเจ็บนะ"
พลันคนซึ่งนั่งประกบด้านซ้ายของผมรีบแก้มัดให้ทันที ดูว่าง่ายพิกล หรือว่าเป็นการเข้าใจผิด?
“คุณจะให้เงินพวกเราเท่าไหร่”
“ก็แล้วแต่ว่านายอยากได้เท่าไหร่” ผมเอียงศีรษะเล็กน้อย เริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่อย่างที่คิด “เดี๋ยวนะ พวกนายไม่ได้จะลักพาตัวเรียกค่าไถ่กันใช่มั้ย”
“อ่ะแฮ่ม” ชายซึ่งนั่งประกบฝั่งขวาผมกระแอมกระไอ “ลักพาตัวน่ะใช่ แต่ไม่ใช่การเรียกค่าไถ่ คุณหนูครับ พวกเราโดนจ้างมาให้พาคุณไปที่แห่งหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าคุณจะกรุณา..สิบล้านนั้น...”
อำนาจเงินตราเปลี่ยนคนได้จริงๆ เพียงพริบตาเจ้าพวกนี้ก็ดูแลผมอย่างดี เรียกคุณหนูไม่พอยังหายาหม่องมาทามือที่เป็นรอยแดงเพราะโดนมัดให้ด้วย!
“พวกนายโดนจ้างมาเท่าไหร่”
“คนละหมื่น”
ฉิบ! ค่าตัวผมมีแค่หนึ่งหมื่นเท่านั้นเหรอ มิน่าล่ะพอได้ยินว่าหลักล้านถึงได้ตาวาวกันขนาดนี้
“เอาล่ะ ก่อนอื่นพวกนายมีสี่คน ฉันตั้งต้นให้ที่คนละล้าน รวมเป็นสี่ล้าน”
“ตั้งต้น?”
“ใช่ ฉันจะถามคำถาม ถ้าพวกนายตอบถูกใจ ฉันจะเพิ่มให้คนละล้าน ยุติธรรมดีมั้ย ได้เท่ากันทุกคน ไม่ต้องทะเลาะกันภายหลังเรื่องส่วนแบ่ง วิน-วิน”
ทั้งสี่คนลอบสบตากันก่อนจะตอบรับอย่างพร้อมเพรียง
“ตกลง!”
“คนที่จ้างพวกนายคือใคร”
“เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอไม่บอกชื่อ สวมหน้ากากอนามัยปิดหน้า แต่ผมยาว ผิวคล้ำ สวมชุดคลุมท้อง...”
พาฝัน? ผมยิ้มกริ่ม ไม่น่าเชื่อว่าเธอยังตามมารังควานกันอีก
“เธอสั่งให้พวกนายทำอะไร”
“ให้จับคุณไปที่แห่งหนึ่ง แล้วก็...”
พูดยังไม่ทันจบดีคนขับรถก็ร้องอุทานเมื่อจู่ๆ ก็มีรถตัดหน้าจนต้องเบรกกะทันหัน ผมแทบหน้าคว่ำถ้าไม่ติดว่าชายชุดดำช่วยประคองด้วยเห็นว่าเป็นบ่อเงินบ่อทอง พอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะเห็นศศินยืนล้วงมือในกระเป๋ากางเกง สีหน้าเย็นชา สายตาเยือกเย็น ประกบด้วยบอดี้การ์ดสองคนซึ่งไม่ยักจะเย็น แถมยังถือปืนจ่อที่ฝั่งคนขับแบบไม่กลัวเกรงกฎหมายทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ
“ใครวะเนี่ย!” คนในรถพากันร้องเสียงหลง
“เปิดประตู” ผมรีบสะกิดคนข้างตัวให้เปิดประตูทันที พอโผล่หน้าออกไปศศินก็รีบฉีกยิ้ม ครั้งนี้ทำได้ดีกว่าตอนผมเดินออกจากห้องเขาเยอะ
“ที่รัก บาดเจ็บรึเปล่า ขอโทษนะที่ฉันมาช้าเกินไป...” ศศินกางแขนคล้ายจะโอบกอด แต่ก็ไม่กล้าแตะต้องเลยทำได้เพียงขยับมืออย่างเก้ๆ กังๆ ท่าทางเขาดูผวาหนักกว่าคนโดนจับอย่างผมซะอีก
“ฉันไม่เป็นไร ให้คนของนายเก็บปืนแล้วหาที่คุยกันเงียบๆ หน่อย” ผมรีบเอ่ยกึ่งเร่ง กลัวจะมีตำรวจมาจับ ซึ่งตอนนี้หลายคนคิดว่าเป็นแค่การทะเลาะวิวาทขับรถตัดหน้ากัน ยังไม่มีใครเห็นปืนเพราะคนของศศินใช้ตัวบังในมุมอับอย่างมืออาชีพ
“หาที่คุยกัน? แต่เจ้าพวกนี้มัน...”
“ต่อให้นายไม่มาช่วย ฉันก็จัดการได้อย่างอยู่หมัดแล้วละน่า” ผมหวังให้เขาใจร่มๆ ดูทำหน้าเข้าอย่างกับจะฆ่าคนตาย ถึงก่อนหน้านี้จะรู้สึกไม่ดี แต่การเห็นเขารีบมาช่วยแบบไม่สนอะไรทั้งนั้นก็ทำให้เริ่มใจอ่อนขึ้นมาหน่อยๆ เพราะถ้าเป็นการลักพาตัวเรียกค่าไถ่จริง และคนที่จับผมโหดเหี้ยมกว่านี้จนไม่ฟังคำต่อรอง ทุกอย่างอาจจะแย่กว่าที่คิดก็ได้
“จัดการ?” เห็นผมยังยิ้มออก ศศินก็เริ่มผ่อนคลายลง แต่ก็ยืนประกบผมไม่ห่างพลางช่วยเปิดประตูรถให้เข้าไปในรถของเขาจึงจะพอวางใจ “ที่รักทำยังไงน่ะ”
“ฉันสู้ใครไม่เป็น แต่ฉันรวยมาก” ผมยักคิ้ว “จบมั้ย”
ศศินหัวเราะออกจนได้
“จบครับ” สายตายามมองมานั้นแฝงความรักใคร่ไม่เคยปิดบัง “คนมีเงินนี่เท่สุดๆ ไปเลย”
ผมเกาแก้มแก้เก้อ รู้สึกเขินขึ้นมานิดหน่อย แม้การกระทำหลายอย่างของศศินจะน่าสยองขวัญแกมบิดเบี้ยวผิดปกติ แต่เห็นแก่ที่เขาห่วงความปลอดภัยผมเป็นอันดับหนึ่ง แม้จะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ไม่เคยฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวกัน จะยอมให้โอกาสอีกสักครั้งแล้วกัน...
ครั้งสุดท้ายแล้วนะ!
-------------------
เกือบไปแล้วทั้งศศินและนาวาเลยค่ะตอนนี้
ศศินเกือบจะโดนทิ้งแล้วเพราะแสดงด้านมืด(?)ออกมาโดยที่ตาหนูยังไม่เตรียมใจ นาวาคบกับตวันตลอด เจอแต่อะไรใสๆ(??)คอยเป็นห่วงเป็นใยตวัน มาเจอศศินถ้ำมองก็ไม่แปลกที่จนขนลุกขนพองค่ะ แต่ศศินเองก็รักของเขามาตั้งนาน...ได้แต่แอบส่องแฟนชาวบ้านอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ไม่ได้มีใจอกุศลจริงๆ นะ(???)
ส่วนเรื่องการใช้เงิน...นาวาเป็นคนใช้เงินมือเติบมากๆ ค่ะ ฟุ่มเฟือยสุดๆ ขอแค่ตัวเองพอใจ ถ้าจะโทษ...ต้องโทษวิธีการสั่งสอนของพี่นทีค่ะ... ( คติประจำใจพี่ชาย : น้องชายที่น่ารักน่ะแค่นอนตีพุงเฉยๆ แล้วคอยใช้เงินก็พอ! )
#นาวาสไตล์
ตัวอย่างตอนต่อไป เรื่องสนุกอะไรกำลังรออยู่นะ
“รู้อย่างนี้แล้วที่รักจ๋าจะทำยังไงต่อ”
“ทำอะไรต่อน่ะเหรอ? ก็พานายไปดูเรื่องสนุกไง”
เพจ :
มาจะกล่าวบทไป Twitter :
MajaYnaja