เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ผู้โดยสารทราบว่ารถไฟขบวนนี้กำลังเข้าเทียบท่าชานชาลาของสถานีแล้ว เสียงวงล้อบดเบียดกับรางรถไฟจนเสียงดังแสบแก้วหู เสียงเอี๊ยดอาดของโบกี้รถไฟดังต่อเนื่อง ก่อนจะจอดสงบนิ่งไม่ไหวติง ราวกับว่ามันถูกมือลึกลับจับมาวางไว้เฉยๆ
‘สถานีรถไฟจักราช’
ปลายทางการเดินทางของผม กว่าสี่ชั่วโมงที่ผมนั่งสัปหงกโครงเครงตลอดทาง จะว่าทรมาณก็ไม่ใช่ เพราะผมก็มีความสุขกับการเดินทางด้วยการขนส่งสาธารณะสุดคลาสสิกตัวนี้อยู่พอควร
‘...บอกมาคืนนี้ อยากได้กี่ครั้ง...’
เสียงโทรศัพท์ของผมแผดร้องขึ้นอย่างไม่อายใคร ไม่ทันที่จะหยิบออกจากกระเป๋ามาดู โทรศัพท์ก็อ่านชื่อคนโทรเข้าอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“นายสรxx มีxxxxx
084xxxxxxx”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าผมบางๆ ถ้าตรงหน้ามีกระจก คงจะเห็นว่าสีหน้าผมเป็นอย่างไร
“ครับ...”
ผมรับโทรศัพท์ทันที ปลายเสียงเงียบพักหนึ่งก่อนจะเอ่อยออกมา
‘เต้ถึงไหนแล้ว...’
ปลายเสียงยังคงไม่กล้าพอที่จะเอ่ยอะไรกับผมมากนัก
“สถานีรถไฟ”
‘เฮ้ย... จริงนะ’
“เออ... จะโกหกทำไม”
‘ถ้าอย่างนั้น เห็นอะไรอยู่แถวนั้นไหม’
คำพูดมันแปลกๆ เว้ย ผมเพิ่งเคยมาที่นี่นะ ถึงจะเห็นก็ไม่รู้จักหรอก
“อะไรวะ...”
‘หัวใจกู...’
เกิดสุญญากาศขึ้นสักครู่ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนเรื่องคุยและเร่งเร้าให้มันมารับผมโดยเร็ว
“เล่นอะไรไม่ดูเวลา...”
การที่ผมมาถึงที่นี่คงไม่ได้มาเพื่อให้ใครหรือผมเองก็เหอะ มาสารภาพรักสารภาพบาปกับใคร แต่ธุระที่มานั้นเป็นเรื่องที่ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีวันนี้
-งานศพ-
ผมต้องมางานศพเพื่อนที่เรียนจบปริญญาตรีมาด้วยกัน เป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ยากมาก จนทำให้ผมเริ่มคิดได้ว่า ชีวิตของเราไม่ได้ยาวอะไรเลย...
“คิดถึงแกหวะ...”
เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นทางด้านหลังของผม บุคคลตรงหน้าผมยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย หลังจากรับปริญญานี่ก็สี่ปีแล้ว ไม่คิดว่าการเจอกันครั้งนี้ จะเป็นการเจอกันในงานศพของเพื่อน
บรรยากาศในวัดเงียบสงบตามแบบของวัดป่า หีบศพวางอยู่กลางศาลารายล้อมไปด้วยพวงหรีดสีขาวดำ ทำให้ผมหดหู่ใจมากขึ้นกว่าเดิม
ผมจุดธูปเคารพศพเรียบร้อยแล้วก็เดินออกไปสมทบกับเพื่อนคนอื่นๆ คำถามมากมายก็เกิดขึ้นจากเพื่อนหลายๆ คน รวมถึงผมที่เอ่ยถามเพื่อนคนอื่นเช่นกัน
“แก... มีคนอยากคุยกับแกแนะ...”
เพื่อนคนหนึ่งสะกิดผม พร้อมกับผายมือไปยังคนๆ หนึ่ง คนที่โทรศัพท์ถามว่าผมถึงไหน คนที่ขับรถไปรับผมนั่นแหล่ะ...
“...”
ไม่รู้สิครับ ทุกครั้งที่ผมมองตาผู้ชายคนนี้แล้ว หัวใจผมมันเต้นเร็วผิดปกติทุกที
“ขอคุยอะไรหน่อยสิ...”
คุณคงคิดว่าคำพูดนี้ออกมาจากปากผู้ชายคนนั้นสินะ คุณคิดผิด เพราะมันดังออกมาจากปากต่างหากหละ
ผมกับผู้ชายคนนั้นเลี่ยงไปคุยห่างๆ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทต่อแขกคนอื่น
“สบายดีไหม...”
“สบายดีไหม...”
ต่างคนต่างเอ่ยออกมาพร้อมกันทำให้เราทั้งสองยิ้มออกมา ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“สี่ปีไม่เปลี่ยนไปเลยนะเต้...”
“ทำไมต้องเปลี่ยนหละ อยู่แบบที่อยู่ เป็นแบบที่เป็น มันสบายใจดีออกจะตาย”
ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ นะครับ เป็นแบบที่เป็น ดีสุดแล้ว
“แล้วนายหละ... ได้ข่าวว่าจะมีข่าวดีเร็วๆ”
มันชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าแล้วคลี่ยิ้มบางๆ ให้ผม
“ไม่รู้หลังจากวันนี้แล้วจะมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือเปล่า...”
“นั่นสินะ แปลกที่ต้องมาเจอกันกับโอกาสแบบนี้...”
เราสองคนเงียบลง ก่อนจะหันเข้าไปมองในศาลา บริเวณที่นำความหดหู่เข้ามาในใจผมได้ตลอดเวลา
“ไม่รู้ว่าเราจะมีเวลากับชีวิตมากขนาดไหน ชีวิตมันสั้นนะ แป๊บๆ หมดวัน แป๊บๆ หมดปี แป๊บๆ ก็แปดปีที่เรารู้จักกัน...”
ผมหันกลับไปมองหน้าผู้ชายข้างหน้า พร้อมคำพูดที่ผมทิ้งไว้
“เรารู้ว่ามันอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่นัก ถ้าเราจะพูดอะไรไม่ดีออกไป เพียงแต่ว่าอยากจะพูด เพราะมันตกผลึกแล้ว ต่อให้กวนมันเท่าไหร่ก็คงไม่มีฝุ่นผงให้ขุ่นอีก...
... ทั้งๆ ที่เราก็ไม่รู้ว่าผลของการพูดมันจะดีหรือไม่ก็ตาม แต่ก็คงอยากพูด...
... เราอยากพูดเพื่อให้ตัวเองโล่ง ไม่อยากอึดอัด...”
ผู้ชายข้างหน้าผมยังคงเงียบ แต่สายตาไม่วางไปจากผมเลย ผมเดาไม่ออกหรอกว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่มันทำให้ผมรู้สึก...
-อึดอัด-
แม้เพื่อนๆ จะแซวผมกับผู้ชายตรงหน้าว่าเป็น
-คู่เกย์-
สิ่งที่ออกจากปากเราสองคน เป็นเพียงรอยยิ้มเท่านั้น
“เรารักโก๋...”
“เรารักเต้...”
อีกครั้งที่เราสองคนพูดพร้อมกัน ผมไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ผมได้ยิน เขารักผมเหรอ นี่แปลว่าตลอดเวลาแปดปีเราสองคนคิดตรงกัน แต่กลับไม่เคยพูดเลย...
“ดีใจนะที่เราคิดตรงกัน... เมื่อมันสายไปแล้ว...”
เสียงของผู้ชายตรงหน้าสั่นเล็กน้อย ส่วนผมนะเหรอน้ำตาไหลอาบทั้งสองแก้มแล้ว
“ถ้าเราสองคนรู้ตัวเร็วกว่านี้... คงจะดี...”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
...............................