ตอนที่ 13
ช่วงเวลาแห่งความสงบ
ผมหัวหมุนกับงานจนลืมตวันโดยสิ้นเชิง
เพราะมีโปรเจ็กต์ใหญ่เข้ามาซึ่งเป็นงานแต่งงานของไฮโซท่านหนึ่งที่เป็นลูกสาวของลูกค้าของดาราลัยจิวเวลรี่มาเนิ่นนาน เธอต้องการเครื่องเพชรสำหรับสวมใส่ทั้งหมดสี่ชุด...ในฐานะเจ้าของ ผมพูดอะไรไม่ได้นอกจากจัดสรรตามประสงค์ เพราะไม่ค่อยสันทัดเรื่องเครื่องประดับเจ้าสาวเท่าไหร่เลยเป็นการระดมความคิดของผมกับทีมออกแบบของบริษัท
ทีมออกแบบสร้างสรรค์เครื่องประดับใหม่ๆ ออกเป็นคอลเล็กชั่นวางขายตามหน้าร้าน ส่วนผมนั้นจะทำเฉพาะใบสั่งซื้อพิเศษเท่านั้น หรือถ้าอารมณ์กรึ่มๆ กำลังคึก ก็อาจจะออกแบบเครื่องประดับวางกระจายตามหน้าร้านแค่หนึ่งหรือสองชิ้น เกิดเป็นของแรร์สำหรับนักสะสมและลูกค้ารอยัลอย่างศศินที่ตามเก็บโดยไม่สนราคา
นี่คือความแตกต่างที่ตวันทำไม่ได้ ยุคสมัยใหม่ของดาราลัยจิวเวลรี่ที่เริ่มโปรโมตในโซเชียลผ่านตัวเจ้าของเองอย่างผม และความตื่นเต้นกับการออกแบบใหม่ๆ แบบไม่ซ้ำจำเจ
ปัญหาก็คือ...คนเป็นเจ้าสาวช่างเรื่องมากเหลือเกิน!
วันก่อนยังบอกว่าสวยจัง ชอบมาก แต่วันต่อมาก็ขอแก้ไม่ยั้ง แก้เสร็จบอกว่าแบบเดิมสวยกว่า ผ่านไปอีกสองวันขอโละแบบใหม่หมด ผมถึงกับปวดสมอง! เพราะเธอไม่มีความคิดของตัวเอง วันดีคืนดีก็เอารูปงานแต่งของดาราต่างประเทศว่าจะเอาแบบนี้ๆ ทั้งที่แบบเดิมไม่ใช่เลย! งานแต่งมีครั้งเดียวในชีวิต เธอจึงอยากให้ออกมาดีที่สุด ผมเองก็อยากทำให้ดีเหมือนกัน ถ้าเธอไม่เปลี่ยนใจไวน่ะนะ!
เครื่องประดับหนึ่งชุดประกอบด้วยเทียร่าหรือมงกุฎ ต่างหู สร้อยคอ กำไลข้อมือ
แก้แบบทีก็แก้ยกชุดเพราะต้องให้ไปทางเดียวกัน
ผมไม่ไหวแล้ว อยากจะระเบิดตัวตายแล้ว!!
“ที่รักจ๋า วันนี้ฉันเจอร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ที่น่าจะชอบด้วยล่ะ ไปทานด้วยกันนะ”
“ฉันยังแก้งานไม่เสร็จเลย!”
“แก้ไม่เสร็จก็ต้องมา ที่รักจ๋าเชื่อฉันเถอะ”
“โว้ย ไอ้ศศิน ไอ้บ้า!”
เพราะไม่อยากถูกฉุดกระชากลากถูต่อหน้าพนักงานที่เริ่มอมยิ้ม ผมเลยยอมเดินตามศศินแต่โดยดีกึ่งฉุนเฉียว พอถลึงตาใส่อีกฝ่ายก็ยิ้มขำอย่างกับว่าผมช่างน่ารักเหลือเกิน ขนาดทำตาแทบถลนก็ยังน่ามอง ทะเลาะกับคนบ้าพรรค์นี้มีแต่เจ็บตัวเองซะเปล่าๆ ผมเลยนั่งกอดอกหน้าบึ้งอยู่ในรถ ไม่ยอมพูดกับเขา
อย่าแปลกใจว่าทำไมพนักงานถึงดูจะยิ้มกรุ้มกริ่มตอนเห็นศศินบุกขึ้นห้องทำงานท่านประธาน เพราะหลังจากนั่งรถไปสะสางเรื่องตวันกับพาฝันด้วยกัน ศศินก็คล้ายจะจับความรู้สึกผมว่าเริ่มเปิดใจมากขึ้นเลยยิ่งรุกหนัก เขาจะมารับผมไปทานข้าวกลางวันทุกวัน รอดบ้าง แห้วบ้างตามอารมณ์ของนาวาคนนี้ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่อาจหาญขนาดฉุดผมออกจากห้องทำงานที่กองเต็มด้วยกระดาษแก้แบบ พรุ่งนี้ต้องไปคุยกับลูกค้าแล้วแต่ยังไม่เสร็จเลย!
ผมนวดขมับเป็นพักๆ ในหัวคิดวกวนว่าจะไปปรึกษากับทีมงานยังไงดีหลังทานอาหารมื้อนี้เสร็จ แต่พอถึงร้านอาหารก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะเป็นร้านขนาดเล็ก คนไม่พลุกพล่าน แถมยังติดริมน้ำ ลมพัดเอื่อยโชยกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า บรรยากาศดีน่านั่งสุดๆ
“ที่รักชอบล่ะสิ”
เรื่องอะไรจะทำให้เขาได้ใจกันล่ะ
ผมไม่ตอบแต่เดินนำเข้าไปในร้าน เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากศศินที่โบกมือให้บอดี้การ์ดสองคนแยกไปนั่งโต๊ะห่างๆ เพื่อให้เวลาพวกเราสองคนแบบส่วนตัว เขารู้ดีเลยล่ะว่าแม้ไม่พูดอะไรว่าหางตาผมมักมองบอดี้การ์ดร่างบึกแบบนึกรำคาญอยู่บ่อยๆ
การมีคนเดินตามหลังต้อยๆ แถมไม่รู้จักมักจี่มันอึดอัดนะ!
ศศินสั่งเมนูแนะนำของร้านและกับข้าวอีกสองสามอย่าง เขาสืบเรื่องผมมาละเอียดยิบๆ เลยรู้ว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร ซึ่งเป็นข้อดีเพราะตอนนี้ผมไม่ค่อยอยากพูดมากเท่าไหร่ ให้เขาจัดการทุกอย่างก็ดีแล้ว
ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ รสชาติไม่นับว่าดีเลิศ ไม่งั้นคงมีคนนั่งเต็มร้าน แต่ก็ไม่ถึงกับย่ำแย่ เพราะผมเน้นชมบรรยากาศมากกว่า หลังพนักงานทำความสะอาดโต๊ะเหลือทิ้งไว้แค่เครื่องดื่ม ผมก็หยิบสมุดสเก็ตช์ขึ้นมาวางบนตัก นั่งชันเข่าหันหน้าเข้าหาแม่น้ำ ฝั่งตรงข้ามคือศศินที่นั่งนิ่งไม่กวนใจ เขาหยิบหนังสือฆาตกรรมของแดน บราวน์ขึ้นมาอ่าน
เป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบอย่างหาได้ยาก
อาจเพราะเรียนหนังสือไม่เก่ง ทำให้ตอนเด็กต้องอ่านหนังสือหนักเพื่อทำคะแนนให้ได้ทัดเทียมหรือไม่ห่างกับผมมาก ตวันเลยเกลียดการอ่านหนังสือไปโดยปริยาย เวลาอยู่ด้วยกันผมชอบนั่งวาดรูปดูบรรยากาศ ชมฟ้าชมดิน ดื่มโกโก้ร้อนผ่อนคลายสบายใจ ตวันจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา บางครั้งก็อ่านข่าวทำหน้าเคร่งเครียด ไม่ก็ชวนผมถกการเมือง ซึ่งบอกเลยว่ายิ้มฟังอย่างเดียวไม่ขอออกความเห็น
เสียงขีดเขียนของดินสอจรดกระดาษ และเสียงพลิกหน้าหนังสือคลอไปกับเพลงบรรเลงในร้านอาหาร ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ผมเองก็ไม่รู้จะบรรยายยังไง แต่สงบใจอย่างบอกไม่ถูก เป็นความเรียบง่ายคล้ายตัดขาดจากโลกภายนอก ลดละโซเชียล ดื่มด่ำกับธรรมชาติและใช้เวลาของตัวเองโดยไม่ก้าวก่ายกันและกันแต่คล้ายจะเชื่อมโยงเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะตอนที่ผมละสายตาจากกระดาษแล้วเผลอสบตากับศศินที่เงยหน้าจากหนังสือขึ้นมาพอดี ยิ้มให้กันน้อยๆ แล้วก้มหน้าก้มตากับกิจกรรมของตน ทั้งที่เหมือนไม่อะไรแต่กลับชวนให้หัวใจอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
รักของตวันสนิทสนมลึกซึ้งแทบไม่ต่างกับการเป็นทุกอย่างของกันและกัน ฉะนั้นแม้ความชอบหรือหลายอย่างของเราจะต่างกันคนละขั้ว แต่ด้วยความรักความผูกพันก็ทำให้เลือกจะมองข้ามแล้วคล้อยตามกันเป็นการถนอมน้ำใจ และด้วยปมด้อยของเขาทำให้ผมซึ่งเหมือนจะโดนตวันเอาใจเสมอนั้นเป็นฝ่ายฉุดรั้งดึงดันให้เขาได้ในสิ่งที่ทัดเทียม
ผมเหนื่อย...ตวันเองก็เหนื่อย
ส่วนรักของศศิน เป็นความรักค่อนไปทางส่งเสริมสนับสนุนเพราะมีกำลังทรัพย์และทุกอย่างพรั่งพร้อม แม้เวลาคุยกันเป็นต้องแยกเขี้ยว แต่พออยู่ด้วยกันกลับสงบ แตกต่างกับตอนอยู่กับตวันที่แม้จะสุขสมแต่แฝงความอึดอัดในบางครั้ง อาจเพราะผมยังไม่ได้รักเขา ถึงได้ไม่ใส่ใจความรู้สึกอีกฝ่ายอย่างที่ทำกับตวัน
ถึงอย่างนั้น...ก็อดยอมรับไม่ได้ว่านี่เป็นความรู้สึกที่ดี
ผมแก้ไขแบบร่างของเครื่องประดับตามคำเรียกร้องของลูกค้าเสร็จตั้งแต่ชั่วโมงแรก นอกนั้นคือนั่งวาดรูปเล่น ความกดดันในใจจากคำวิจารณ์ของลูกค้าที่แก้แบบครั้งแล้วครั้งเล่าจนชักจะไม่มั่นใจตัวเองเริ่มเยียวยาทีละน้อย อาจเพราะผมนิยมทำงานอิสระ และตลอดมาการออกแบบตามใบสั่งก็มักออกมาด้วยดีด้วยทุกคนให้จินตนาการเต็มที่ด้วยประสงค์ไอเดียแปลกใหม่อยู่แล้ว พอครั้งนี้มีธีมชัดเจนแถมยังเป็นงานใหญ่ซึ่งสำคัญที่สุดของชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง ผมเลยหน้าดำคร่ำเคร่ง ถ้าศศินไม่คะยั้นคะยอลากมานั่งรับลมริมน้ำอาจจะสมองระเบิดอยู่ในออฟฟิศ
“ขอบใจ”
ถึงจะเขินอายเวลาพูดแค่ไหน แต่สุดท้ายพอศศินขับรถมาส่งที่บริษัท ผมก็เค้นคำขอบคุณออกมาได้คำหนึ่งหลังนั่งเงียบมาตลอดทั้งขาไปและขากลับ
อย่าหาว่าผมทำตัวใจร้ายกับเขาเลย แต่วิธีการของศศินในหลายๆ ครั้งก็กวนประสาทเกินจะพูดจาดีๆ ด้วยนี่นา โดยเฉพาะเวลาเรียกที่รักจ๊ะที่รักจ๋า ได้ยินแล้วเส้นสมองปวดตุบๆ
ไม่รู้ป่านนี้พนักงานในบริษัทจับกลุ่มนินทาเรื่องรักของเจ้านายไปถึงขั้นไหนแล้ว
อย่างที่บอกไปว่าหลังเลิกกับตวัน ผมมีคนเข้าหาเยอะมาก ที่ซื้อของฝากแวะเวียนเป็นลาภปากพนักงานก็มีเป็นประจำ แต่มีศศินคนเดียวนั่นแหละที่ลากผมออกไปทานข้าวด้วยสำเร็จ ซึ่งต้องบอกว่าแทบจะแลกด้วยหยาดเหงื่อแรงกายไม่น้อย
เทียบคนอื่นแล้วน่าเศร้ากว่าเยอะ
ผมไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่มีไลน์ เพราะไม่ชอบเรื่องวุ่นวายตามอ่านเรื่องชาวบ้าน อินสตาแกรมที่เพิ่งเปิดใหม่สดๆ ก็อัพรูปแบบตามใจฉัน บางครั้งก็อัพติดๆ กันหลายสิบรูป บางครั้งก็หายหัวไปเลยสามวันติด เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวนั้นรู้เฉพาะวงในคนใกล้ชิด เพราะเบอร์บนนามบัตรคือเบอร์ของเลขาฯ จะมาหาที่บริษัทก็เจอบ้างไม่เจอบ้าง ก็นาวาคนนี้ชอบเถลไถลนั่งร้านคาเฟ่มากกว่าห้องทำงาน เรียกได้ว่าใครหลงผิดคิดจีบผมนั้น...โคตรซวย!
ยกเว้นศศินที่มีเบอร์ผมตั้งแต่สมัยมหา’ลัย เพราะแม้จะรำคาญเขาแค่ไหน แต่ผมขี้เกียจเปลี่ยนเบอร์ใหม่มากกว่า แถมยังใจใหญ่ หน้าหนา ให้บอดี้การ์ดหิ้วของฝากพนักงานไม่ขาดตั้งแต่หัวหน้ายามยันเลขาฯ หน้าห้อง แม้ผมบอกปัดไม่ไปด้วยก็ไม่เป็นไร เขาขอแค่ได้เจอหน้าที่รักสักหนึ่งนาทีก็ดีใจแล้ว รอยยิ้มทะเล้นยียวนของเขาเวลาเจอผมนั้นทำให้สาวๆ หลายคนในออฟฟิศเทใจให้คะแนนนำโด่ง ยิ่งผมเริ่มยอมไปทานข้าวด้วยก็ยิ่งซุบซิบนินทากันสนุกปาก ผมคร้านจะแก้ความเข้าใจผิด ใช้เวลาทั้งหมดทุ่มเทกับงานเพื่อจะได้กลับห้องไปนอนตีพุงสบายๆ
เพียงนึกถึง...ความนุ่มนิ่มของเตียงก็ทำเอาผมแทบจะเททุกอย่างทิ้ง อยากนอนขี้เกียจจังเลยนา...
“ฝันหวานอะไรอยู่ที่รัก ไปทำงานได้แล้ว”
แต่ศศินดับฝันผมอย่างไม่ปรานี เรียกเสียงหัวเราะน่าหมั่นไส้กับสายตาวาวๆ จนผมถลึงตาใส่ ก่อนจะเดินกระทืบเท้าเข้าบริษัทโดยมีอีกฝ่ายช่วยเปิดประตูให้อย่างสุภาพบุรุษทั้งที่มีบอดี้การ์ดพร้อมรับคำสั่งอยู่สองหน่อ
ก็เป็นซะอย่างนี้แล้วจะไม่ให้เคืองได้ไง คนบ้าเอ๊ย!!
ในที่สุดการแก้ไขซึ่งแทบไม่เหลือเค้าจากเดิมก็ผ่านพ้นด้วยดี ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ลับหลังลูกค้าพลางคิดว่าควรจะไปไหว้พระขอพรที่ไหนดีไม่ให้วันดีคืนดีเธอนึกอุตริอยากเปลี่ยนแบบใหม่อีกครั้ง เพราะทั้งผม ทั้งทีมงาน รวมถึงฝ่ายขึ้นโมเดลและช่างฝีมือพากันเป๋กันไปแทบๆ กับความเอาแต่ใจของลูกค้ารายใหญ่ท่านนี้
เห็นว่าเพิ่งเรียนจบจากต่างประเทศ อายุยี่สิบเอ็ด คบหาดูใจกับแฟนหนุ่มชาวต่างชาติแค่หนึ่งปีเท่านั้น กำลังอยู่ในวัยคึกคะนองเต็มขั้น แถมพ่อแม่ยังหน้าใหญ่ ลูกสาวคนเดียวแต่งงานทั้งทีเลยทุ่มงบไม่อั้น น่าจะเลี้ยงแบบสปอยล์แต่เด็กจนไม่คิดว่าการแก้ไปแก้มาทั้งที่ตกลงดีลงานกันแล้วจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ขอแค่พอใจแล้วจะทำไม อยากจะเพิ่มเงินแค่ไหนก็เอาไปสิ
ตอนผมเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ คงไม่เป็นอย่างเธอหรอกนะ...ไม่หรอกมั้ง ไม่ใช่สิน่า
ผมปาดเหงื่อ นึกภาพตอนตัวเองจูงมือตวันจะแยกออกจากบ้านให้ได้ท่าเดียวแล้วคิดว่าตอนนั้นก็ดื้อน่าดูนะตัวเรา
อโหสิกรรมให้ด้วยเถอะนะพ่อครับ...แม่ครับ
ผมพนมมือ สวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรและพ่อกับแม่ที่เคยสร้างความเดือดร้อนเอาแต่ใจใส่
แต่ไม่ทันได้ไล่ถึงครูบาอาจารย์ซึ่งผมเคยก้าวร้าว ทำตัวขี้เกียจใส่แล้วแอบพาตวันโดดเรียน เลขาฯ หน้าห้องก็แจ้งว่าศศินมาหา
...เที่ยงแล้วสินะ
“ที่รักจ๋า วันนี้อยากกินอะไรเอ่ย อาหารทะเล อาหารไทย หรืออาหารฝรั่งดีจ๊ะ?”
พอเปิดประตูก็เจอกับศศินนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เขามาตรงเวลาเสมอ สวมเชิ้ตพับแขนสีแดงเลือดหมู ทั้งที่ปกติใส่แต่สีครามจนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวไปแล้ว
ตัดภาพมาที่ผม วันนี้นัดเจอลูกค้าเลยไม่กล้าแหวกแนวมาก เพียงสวมกั๊กสีแดงเลือดหมูตัดกับเสื้อยืดคอกลมแขนยาวสีขาว ผูกเนกไทปมหลวมพร้อมหนีบเข็มกลัดเพชรแบบเก๋ไก๋มีสไตล์เข้าคู่กับแว่นตากันแดดกรอบแดงซึ่งคาดอยู่บนหัวและรองเท้าหนังสีเดียวกัน
“อุ๊ย วันนี้เราจับคู่สีเหมือนกันเลย บังเอิญจังนะ”
“บังเอิญบ้าบังเอิญบออะไร” ผมประชดขณะเปิดโทรศัพท์ให้เขาดูคอมเมนต์มูนนี่ของที่รักใต้ภาพของผมที่เพิ่งถ่ายก่อนมาบริษัท
‘วันนี้ที่รักใส่สีแดงเลือดหมูสินะ งั้นฉันจะใส่ด้วย!’ คอมเมนต์ธรรมดาที่มีคนเม้นเลียนแบบอีกหลายสิบคน แต่ไม่ธรรมดาเมื่อคนหน้าด้านคนนั้นดันทำเหมือนการแต่งตัววันนี้เป็นเรื่องบังเอิญ!
ศศินหัวเราะร่วน ก่อนจะโค้งตัวพลางผายมือเชื้อเชิญให้ผมเดินนำไปก่อนเพื่อจะได้ไปกินข้าวกัน เขาเคยบอกว่าอยู่กับผมแล้วมีความสุข ก็น่าจะสุขมากจริงๆ เพราะเล่นหัวเราะไม่เคยหยุดเลย
พอออกมาข้างนอกผมก็รั้งแว่นกันแดดที่คาดบนศีรษะมาใส่ดีๆ สบตากับบอดี้การ์ดสองคนในรถเล็กน้อยก่อนจะเมินมองวิวนอกหน้าต่าง
“ที่รักจ๋าอยากกินอะไร”
“ฉันหิวมาก อยากกินสเต๊กเนื้อจานใหญ่ๆ”
“ที่รักกินน้อยอย่างกับแมวดม จู่ๆ ตะบี้ตะบันกินหมดจานใหญ่เดี๋ยวก็ท้องอืดหรอก” ศศินแย้ง ก่อนจะรีบกลับคำเมื่อผมมองค้อน “ที่รักกินเยอะก็ดีแล้ว เอาตามแต่ใจอยากเลยจ้ะ ฉันมียาแก้ท้องอืด”
คนอะไรชวนมือไม้กระตุกน่าตีให้ตายจริงๆ ผมไม่แปลกใจเลยที่เขาต้องมีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกัน คำพูดน่ากระทืบเอามากๆ!
ครั้งนี้ศศินพาผมมาที่ภัตตาคารหรูชั้นดาดฟ้า แม้เปิดโล่งแต่มีเป็นเพิงไม้ไว้บังแดด มองเห็นรอบกรุงเทพฯ สวยงามแปลกตาดี
“นายรู้จักร้านอาหารดีๆ เยอะจังนะ” ผมกล่าวขณะมองไปรอบๆ อย่างถูกใจ เพราะตัวเองกินน้อย เลยมักเสพบรรยากาศเป็นหลัก เมื่อก่อนตอนอยู่กับตวันพวกเรามักไปร้านซ้ำๆ เดิมๆ เพราะเขาเน้นสะดวก ส่วนผมขี้เกียจหา
“เพื่อที่รักจ๋า ฉันทำทุกอย่างได้อยู่แล้ว”
ผมพยักหน้าขอไปที นึกในใจว่าช่วงโปรโมชั่นตามทำคะแนนก็ดีอย่างนี้ ผมกับตวันพัฒนาจากเพื่อน เลยไม่มีโมเม้นต์หวานๆ ของการตามจีบขอเป็นแฟนสักเท่าไหร่
นับว่ากระชุ่มกระชวยดีเหมือนกัน
อย่าเห็นว่าผมเปรียบเทียบศศินกับแฟนเก่า แล้วหาว่าได้ใหม่ลืมเก่าเชียวล่ะ ต่อให้ตวันจะเป็นยังไง ต้องปรับตัวเข้าหากันมากแค่ไหน ถ้าเขาไม่นอกใจผมก่อน ผมก็มั่นใจว่าจะคบกับเขายืดยาวไปจนแก่เฒ่าอยู่ดี เพราะคนอย่างนาวาถ้าตัดสินใจเลือกที่จะรัก ก็จะรักตลอดไป ไอ้ความรู้สึกเหนื่อย เศร้า ขัดแย้ง สงสัย ก็เป็นปกติของชีวิตคู่ไม่ใช่รึไง
ส่วนศศิน ถึงแม้เขาจะทำดีกับผมเหลือเกิน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นคบหาในแง่นั้น
ผมรู้จักตวันดีทุกอย่าง แต่ยังหักหลังกันได้ลงคอ แล้วกับศศินล่ะ...เขารู้จักผมดี แต่ผมแทบไม่รู้จักเขาเลย
เหมือนพยายามเผยเพียงด้านหนึ่งให้เห็น ไม่ได้ปอกเปลือกตัวตนจริงๆ ออกมา
เพราะอย่างนี้ล่ะมั้งเวลาอยู่กับเขาบางครั้งก็สงบ แต่บางทีก็หงุดหงิด
“ที่รักกินไม่หมดจริงๆ ด้วย เห็นมั้ย บอกว่าอย่าสั่งจานใหญ่ก็ไม่เชื่อ”
“ฉันมีเงิน” พูดแล้วคล้ายจะเข้าตัวกับลูกค้าที่เพิ่งตกลงงานกันเมื่อเช้า...ไม่น่า ผมไม่อาการหนักขนาดนั้นหรอก!
“ที่รักก็รู้ว่าฉันไม่ให้ที่รักจ่ายเองอยู่แล้ว รับของหวานเพิ่มมั้ยครับ” ศศินยื่นเมนูของหวานเข้าล่อ ทำเอาผมที่กำลังสับสนกับนิสัยของตัวเองเผลอจิ้มนิ้วภาพเครปเค้กสายรุ้งเข้าโดยไม่ตั้งใจ
“เอาอันนี้เนอะ” ศศินหันไปสั่งของหวานเพิ่มทันที ส่วนผมลอบปาดเหงื่อ...ช่วงนี้รู้สึกอ้วนขึ้นชอบกล แบบว่ามีคนบริการดี พาไปกินข้าวข้างนอกชมวิวกินของหวาน กลับมาก็มีของกินเล่นตุนเพียบ แก้มก็ชักจะอวบๆ หรือควรจะงดข้าวเย็นดีนะ?
“ที่รักที่กลมกลิ้งน่ารักสำหรับฉันเสมอ”
“ใครกลมกลิ้ง!” ผมแหวใส่เขาที่หัวเราะอย่างผ่อนคลายสบายใจเหลือเกินกับการแกล้งให้ผมฉุนเฉียวเนี่ย ไม่นานเครปเค้กสายรุ้งก็มาเสิร์ฟ ผมเลยใช้ส้อมจิ้มเนื้อแป้งทะลุเพื่อระบายอารมณ์
“ที่รักที่รุนแรงฉันก็รักนะ”
“ไอ้บ้าศศิน!”
ยังดีที่เขาเพียงยิ้มขันแล้วรีบโบกมือเป็นเชิงไม่แกล้งเล่นแล้ว ก่อนจะทำหน้าเคร่งขรึม เล่นเอาผมถึงปรับอารมณ์ไม่ทัน
“ที่รักกินเค้กไปฟังไปก็แล้วกัน” ศศินพูดพลางหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งเลื่อนมาตรงกลางโต๊ะ
ผมซึ่งอมเครปเค้กจนแก้มตุ่ยก้มมองทันควัน ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อภาพนั้นคือตวันกับพาฝันที่ประคองกันไปเลือกซื้อของใช้สำหรับทารก เธอท้องแค่สี่เดือน พุงไม่ป่องมาก แต่ดูอ่อนแรงคล้ายแพ้ท้องหนักจนต้องเอนพิงตวันตลอดเวลา แน่นอนว่าเพราะยังมีกระแสข่าวเป็นระยะ เธอเลยสวมหน้ากากปิดปากเพื่อปกปิดตัวตน ส่วนตวันนั้นไว้หนวดเครา แม้สภาพจะไม่โทรมเท่าที่เจอกันล่าสุด แต่แววตานั้นดูอ่อนโยนยามมองหญิงสาวข้างกาย ถึงไร้รัก แต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและพยายามที่จะรัก ทำดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำให้ได้
ผมดีใจที่เขาลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง จะบอกว่าไม่ห่วงเลยก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเพิ่งรู้ซึ้งกับตัวว่าการอกหักนั้นเจ็บปวดกว่าที่คาดไว้หลายเท่า ผมยังมีพี่นที มีป้าแช่ม มีบ้านให้กลับ มีห้องให้อยู่ แต่ตวัน...เขาไม่เหลืออะไรเลย
เมื่อเลิกกับผม เขาไม่มีอะไรเหลือสักอย่างเดียว!
พอสมัครงานไม่รอด ไม่เหลือคุณค่าหรือเป้าหมายในชีวิตถึงได้เมาหัวราน้ำขนาดนั้น แต่เมื่อพาฝันเข้ามาพร้อมลูกน้อยในท้องเธอ ถึงเขาจะไม่รักอีกฝ่าย แต่ก็พร้อมจะเปิดใจรับครอบครัวใหม่เข้ามา
ดีแล้ว... ผมคิดแบบนี้จริงๆ นะ ไม่ได้ประชดประชัน เพราะเทียบกับเห็นเขาสภาพไม่เป็นผู้เป็นคน ยังชวนเจ็บกว่าภาพที่เขาประคองพาฝันกว่าเยอะ ซึ่งหมายความว่าผมตัดใจจากตวันได้จริงๆ เหลือเพียงความผูกพันตามประสาเพื่อนสมัยเด็กเท่านั้น
“ฉันให้คนติดต่อตวันเรื่องงานแล้วนะ” ศศินเอ่ยต่อ มองตาวาวๆ คล้ายหวังให้ถามรายละเอียด ผมมองหน้าเขา พลันรู้สึกผิดขึ้นมาเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าจะยอมพูดดีๆ ด้วยก็แค่เรื่องของตวันเท่านั้น
“ขอบคุณ” ผมเอ่ย ก่อนจะยื่นรูปส่งคืนให้ “แต่ไม่ต้องตามตวันแล้วล่ะ รวมถึงพาฝันด้วย ไม่ต้องช่วยอะไรพวกเขาแล้ว”
“จะดีเหรอที่รัก”
“ดีสิ ไม่ได้เกี่ยวข้องกันซะหน่อย” ผมยักไหล่ ตัดสินใจแน่วแน่เมื่อเห็นศศินย้ำจริงจังราวกับเป็นเรื่องสำคัญของตัวเอง ทั้งที่...เป็นเรื่องสำคัญของผมต่างหาก ซึ่งนับแต่นี้ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว! “เจอหน้ากันก็คุยแต่เรื่องของตวัน นายไม่เบื่อฉันก็เบื่อจะแย่”
“ใครว่าไม่เบื่อ พนันกันมั้ยล่ะว่าฉันเบื่อกว่าที่รักเยอะเลย!”
ผมหลุดยิ้มกับศศินที่โวยวายเหมือนเด็กสื่อว่าเขาโคตรจะเบื่อเรื่องพรรค์นี้มากจริงๆ
ผมก้มหน้ากินเค้กต่อขณะที่ศศินแทบจะฉีกรูปตวันกับพาฝันทิ้ง ก่อนจะหลุบตาต่ำ...
เมื่อตวันรับผิดชอบผลของการกระทำตัวเองแล้วเดินหน้าต่อ ผมเอง...ก็ควรจะเลิกหยุดยืนอยู่กับที่ ลองรักดูอีกสักครั้ง...บ้างดีมั้ยนะ
---------------
ในที่สุดศศินก็ไม่ต้องคอยหาเรื่องตวันมาชวนนาวาคุยแล้วค่ะ! ปรบมือออออออออ
ดีใจกับศศินด้วยจริงๆ นะคะเนี่ย ภายใต้รอยยิ้มเฮฮา จริงๆ ศศินก็คงแอบเซ็งและด่าตวันไปหลายรอบมากๆ เหมือนกัน เลิกกันไปแล้วแต่ต้องคอยสืบให้ที่รักจ๋าไม่ห่วงมันอีก ทำบุญอะไรมาวะ อิจฉา!! แต่ไม่ต้องอิจฉาแล้วนะศศิน นาวาจะพยายามตัดขาดตวันแล้วค่ะ ข้อดีของตาหนูนาวาคือไม่ชอบคิดอะไรซับซ้อน วกวน เสียเวลานอน เลยตัดสินใจได้ไวค่ะ
#นาวาสไตล์
ตัวอย่างตอนต่อไป เมื่อคิดจะเปิดใจ นาวาก็เริ่มเป็นฝ่ายเรียนรู้คนโรคจิต(?)บ้างแล้ว
“วันนี้ที่รักอยากกินอะไร”
“ฉันขี้เกียจคิดแล้ว นายนั่นแหละอยากกินอะไร”
เพจ :
มาจะกล่าวบทไปTwitter :
MajaYnaja