Ai cherish you.
#คุณขอแค่รัก
บทนำ
“สง่างามจริง ๆ เห็นทีไรฉันก็ซึ้งจนน้ำตาไหล” มาเรียน่าพูดพร้อมกับยกชายผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่ขึ้นซับน้ำตาที่ซึมออกมาเพราะความปลาบปลื้มใจ ทอดสายตาดูพระราชพิธีเฉลิมฉลองราชสมบัติครบรอบสามสิบปีของพระเจ้าอิลิธาดอร์เดอะเกรทที่สามในโทรทัศน์อย่างชื่นชม “ดูสิเฌอรีล รูปโฉมท่านงดงามจริง ๆ”
“ใช้คำราชาศัพท์ผิดนะ” ชายหนุ่มรูปร่างสะโอดสะองสวมแว่นตาอันใหญ่ปิดบังใบหน้าเล็ก ๆ พูดขึ้นเนิบ ๆ สายตายังกวาดดูตัวอักษรในหนังสือที่ถืออยู่ “ระวังไว้เถอะ”
“เอ..ก็ฉันแค่อยากชื่นชมบารมีท่านนี่นา” แม่บ้านของหอพักราคาย่อมเยาพูด ตวัดตามองเหมือนค้อนมายังนักศึกษาปริญญาเอกที่ใกล้จะจบอยู่ร่อมร่อ “เอาแต่ท่องหนังสือทั้งวัน ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงนะเฌอรีล เป็นโลเทียจะเรียนสูงไปทำไมนักหนา เรียนเท่าไหร่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าคนนายคนกับเค้าหรอก สู้เอาเวลาไปหาสามีอิลิเธียดี ๆ สักคนยังดีกว่า”
เฌอรีลเบ้ปาก
“ทำไมฉันจะต้องหาอิลิเธียมาเป็นสามีด้วย คนอย่างฉันพึ่งตัวเองได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีอิลิเธีย”
“พูดน่ะพูดได้หรอก แต่ไม่มีใครหนีสัญชาตญาณตามสายเลือดพ้น ชีวิตของเราถูกกำหนดเส้นทางเดินมาแล้วผ่านสายเลือดชาติกำเนิดของเรายังไงล่ะ” มาเรียน่าพูด อันที่จริงเธอถกเรื่องนี้กับเขามาหลายรอบจนเอือมแล้ว “ช่างเถอะ...พูดไปเธอก็คงไม่เข้าใจ เอาเวลาไปอ่านตำราของเธอต่อเถอะนะ ฉันจะรอดูว่าดอกเตอร์โลเทียอย่างเธอจะได้ทำงานในตำแหน่งอะไร อาจจะดีกว่าแม่บ้านอย่างฉันหน่อยนึงล่ะมั้ง”
เฌอรีลพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ โบกมือไล่อีกฝ่ายออกไปจากห้องพักเล็ก ๆ ของเขา กลับมาเพ่งสมาธิอยู่กับธีสิสที่ใกล้จะเสร็จสิ้น อีกไม่นานเขาก็จะได้มีคำว่า ดอกเตอร์ นำหน้าสมใจ
ลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเดินสามก้าวก็ถึงตู้เย็น ในห้องเล็ก ๆ แคบ ๆ เท่ารูหนูนี้เดินวนสิบก้าวก็ครบทั่วห้อง เขาจำใจต้องเช่าอยู่ที่นี่เพราะมันใกล้มหาวิทยาลัยมากที่สุด และเป็นที่เดียวที่ยอมให้โลเธียเข้าพักอาศัยได้โดยไม่คิดเงินเพิ่ม
ถึงแม้ว่าประเทศอิลิธาเนียจะเปิดกว้างมากแล้วสำหรับชนชั้นโลเธีย แต่อย่างไรก็ตาม...ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลเธียยังถูกกีดกันบางอย่าง คล้ายกำแพงของคำว่าจารีตประเพณีที่สืบต่อกันมาทำให้โลเธียไม่สามารถก้าวข้ามกำแพงชนชั้นที่ต่ำต้อยที่สุดในอิลิธาเนียได้ ต่อให้หน้าตาดี เรียนเก่ง นิสัยน่ารัก ทำงานดีมากแค่ไหนก็ตาม
โลกของเราเป็นอย่างนั้น เราถูกกำหนดบทบาทหน้าที่มาแล้ว ...อาจารย์ของเฌอรีลพร่ำบอกเรื่องนี้เสมอในห้องเลคเชอร์ คนที่เกิดมาในชนชั้นอิลิเธีย ถือว่าเป็นคนมีบุญมาตั้งแต่ชาติปางก่อน มีสายเลือดสีทองบริสุทธิ์ดุจทองคำ เกิดมาในชนชั้นปกครองฐานะร่ำรวยสูงศักดิ์อย่างเช่นพระเจ้าอิลิธาดอร์เดอะเกรทที่สามและเหล่าเชื้อพระวงศ์นั่น หรือจะเป็นนายกรัฐมนตรีฟิเลอานั่นก็ใช่ ขณะที่ชนชั้นบีเธียเป็นประชาชนคนธรรมดาทั่วไปแต่ถ้ามีความสามารถก็สามารถก่อร่างสร้างตัวพาฐานะของตนเองขึ้นมาถึงขั้นเศรษฐีที่ใครต่อใครนับหน้าถือตาได้
ส่วนชนชั้นโลเธีย ชนชั้นที่เกิดจากสายเลือดสกปรก จากอิลิเธียที่ใฝ่ต่ำไม่รักดีหรือบีเธียที่หลงงมงายกับมารยาของโลเธีย ทำให้สายเลือดบริสุทธิ์ต้องแปดเปื้อนความผิดบาปของโลเธีย ลูกที่เกิดจากอิลิเธียกับโลเธียมีฐานะต่ำกว่าลูกที่เกิดจากโลเธียกับโลเธียด้วยกันเองเสียอีก
ชาวอิลิธาเนียนยอมให้โลเธียเรียนหนังสือได้ ทำงานได้ แต่อย่าหวังว่าจะก้าวหน้าเหมือนอิลิเธียหรือบีเธียเลยนะ...แค่ได้เงินเดือนก็ควรพอใจแล้ว แต่ก่อนโลเธียทำงานแลกที่อยู่กับเสื้อผ้าข้าวปลาอาหารด้วยซ้ำ...
“นึกว่าจะมาไม่ทันเสียแล้วเฌอรีล กำลังรออยู่เลย” บาลีน่าทักเขาเสียงใส เฌอรีลส่งยิ้มให้เธอ ยกมือขึ้นดันแว่นกลับขึ้นไปบนดั้งจมูก
“รีบวิ่งมาเลยล่ะ โปรเฟสเซอร์ยังอยู่ใช่มั้ย”
“อยู่ ๆ แต่รอก่อนนะ มีแขกมาหาน่ะ”
“โอเค”
เฌอรีลนั่งรออยู่ข้างหน้าห้องนั้นพักใหญ่ก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออก ร่างสูงใหญ่ของคน ๆ หนึ่งสวมเสื้อคลุมสีเข้มมิดชิดมองเห็นแค่ผิวขาวจัดแวบเดียวเดินผ่านหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว เฌอรีลมองตามหลังแล้วก็หมดความสนใจเพียงแค่นั้น เขารีบเข้าไปหาอาจารย์ในห้องทันที
โปรเฟสเซอร์โมฮาดูเหนื่อยอ่อนตอนที่เขาเดินเข้าไปหา ชายวัยกลางคนใกล้เกษียณส่งยิ้มให้เขาบาง ๆ ผายมือให้เฌอรีลนั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่
“เฌอรีล ฉันกำลังรออยู่เลย ได้อ่านที่เธอส่งมาให้แล้ว ไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก...ดีมาก” เขาพูดด้วยเสียงแหบ ๆ ฟังดูเนิบนาบ “ยินดีด้วยกับความสำเร็จของเธอ ขอให้เธอได้ใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาตินะ”
“ขอบคุณครับ” เฌอรีลก้มศีรษะยกมือขึ้นแตะที่อกแทนการทำความเคารพ “ถ้าไม่ได้โปรเฟสเซอร์ ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้มีโอกาสเรียนจบสูง ๆ แบบนี้มั้ย ไม่อย่างนั้นตอนนี้อาจจะวิ่งเสิร์ฟอาหารอยู่ในแบริลแล้วก็ได้”
“ไม่มีทาง คนอย่างเธอ...ไม่มีทางหยุดอยู่แค่นั้นหรอก” อาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังพูดยิ้ม ๆ
เฌอรีลกลับออกมาจากมหาวิทยาลัยด้วยความสดชื่น รู้สึกเหมือนชีวิตใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น โลเทียหนุ่มเดินแกมวิ่งออกมายืนรอรถบัสประจำทางริมถนน โทรศัพท์มือถือดังขึ้น
“...ครับ ใช่ครับ ได้เลยครับ สัมภาษณ์พรุ่งนี้เหรอครับ ได้ครับ” หัวใจเต้นแรง เจ้าหน้าที่จากคณะฯ ที่เขายื่นใบสมัครขอเป็นอาจารย์เอาไว้เรียกตัวไปสัมภาษณ์แล้ว เฌอรีลยิ้มกริ่ม ยังไงเสียตำแหน่งอาจารย์พิเศษก็ต้องตกเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มดันแว่นสายตาอันโตขึ้นไปบนดั้งจมูกอีกครั้ง
“ถอยไป ๆ หลบไปสิโว้ย” เสียงตะโกนดังขึ้นข้างหลัง เฌอรีลหันไปดูงง ๆ เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งหน้าตั้งตรงมาทางที่เขายืนอยู่ ปากร้องตะโกนโหวกเหวกโบกมือไล่ให้คนหลบ มีคนวิ่งตามเขามาด้วยอีกเป็นโขยง “หลบออกไป”
เฌอรีลถึงจะมีมันสมองอันชาญฉลาดแต่ว่าพระเจ้าไม่ได้ใจดีกับเขาขนาดนั้น นอกจากการเรียนแล้วเขาก็ไม่เก่งอะไรอีกเลย โลเทียหนุ่มขยับตัวหลบอย่างเงอะงะก็เลยถูกผู้ชายคนนั้นชนเข้าเต็ม ๆ จนหลายหลังก้นกระแทกพื้น ข้าวของกระจัดกระจาย
“โทษนะหนู เก็บเองก่อนนะฉันรีบ” ผู้ชายที่ชนเขาพูดเร็วปรื๋อแล้วกระโจนข้ามหัวเขาตรงไปอีกทาง เฌอรีลจุกจนลุกไม่ขึ้น ได้แต่ยกมือขึ้นบังหัวตอนที่คนอีกโขยงวิ่งตามคน ๆ นั้นไปติด ๆ
“หนู เป็นยังไงบ้าง ลุกไหวมั้ย” ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาช่วยพยุงเขาลุกขึ้น “แว่นตาแตกหมดแล้ว มองเห็นหรือเปล่า”
“เอ่อ..ขอบคุณครับ” เฌอรีลรับแว่นมาดู มันแตกละเอียดเพราะโดนใครสักคนเหยียบเข้าอีกทีหนึ่ง เอกสารวุฒิการศึกษาของเขาปลิวกระจายตกอยู่บนพื้น มีรอยเท้าดำ ๆ ประทับอยู่แทนตรามหาวิทยาลัย ไม่มีใครเข้ามาช่วยเขาเก็บอีก ผู้หญิงคนนั้นช่วยเขาเก็บแว่นแล้วก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระเป๋าสตางค์ของเฌอรีล
“ขโมย เขาขโมยเงินผม” โลเทียหนุ่มพูด โกรธจนน้ำตาคลอ นึกว่าใจดีมีน้ำใจ ที่ไหนได้...อีกฝ่ายกลับเข้ามาช่วยเขาโดยหวังผลประโยชน์ชัด ๆ อย่างว่า...ในเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้ โจรผู้ร้ายชุมเสียยิ่งกว่ายุงอีก
เฌอรีลดันตัวลุกขึ้นตามเก็บของกลับมาจนครบ เขาแกะเลนส์ที่แตกเละออกแล้วเก็บกรอบพัง ๆ เอาไว้ ตั้งใจว่าจะเอาไปให้ช่างช่วยซ่อมให้ เจ็บก้นไปหมดเพราะหงายหลังเต็มแรง ไม่รู้ว่าป่านนี้ผู้ชายที่ชนเขาโดนจับไปหรือยัง ถ้าให้เดาล่ะก็..คงเป็นพวกโจรวิ่งราวหรือพวกลักเล็กขโมยน้อยแน่
ชายหนุ่มเดินขโยกเขยกพาร่างของตัวเองขึ้นรถบัสไปแจ้งความกระเป๋าสตางค์หายที่สถานีตำรวจก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจรับเรื่องเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรมากกว่านั้นอีก เฌอรีลเดินกลับออกมาอย่างเหนื่อยใจ ชาตินี้ก็คงไม่ได้กระเป๋าสตางค์คืนอยู่แล้วล่ะ เขาแค่แจ้งความว่าบัตรประจำตัวโลเธียข้างในนั้นหายไปด้วยแค่นั้น ...ต้องหาเวลาทำบัตรใหม่ให้ยุ่งยากขึ้นไปอีก
ยืนรอรถบัสอีกเกือบชั่วโมงถึงได้มาลงที่ซอยหน้าหอพัก โชคดีที่ไม่มีฝนตกลงมา ไม่อย่างนั้นซอยเล็ก ๆ แห่งนี้ก็คงจะสกปรกไปด้วยคราบโคลนเละ ๆ ดูไม่จืด กระโดดหลบหนูตัวใหญ่ที่วิ่งตัดหน้าเขาไปในระยะประชิด เฌอรีลเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาในชุมชนที่แออัดด้วยผู้คนชั้นโลเธียและบีเธียฐานะยากจน
“เฌอรีล อย่าเพิ่งเข้าไปเลย กำลังมีคนตีกันอยู่ท้ายซอยแน่ะ” คุณยายแก่ ๆ เจ้าของร้านอาหารปากซอยเรียกเขาเอาไว้
“ตีกันอีกแล้วเหรอครับ น่าเบื่อจัง” เฌอรีลถอนหายใจยาว หรี่ตาลงพยายามเขม้นดูเหตุการณ์ท้ายซอยแต่เขาเห็นไม่ชัดเพราะสายตาสั้นมาก “ตีกันให้มันได้อะไรขึ้นมา” เขาไม่ชอบความรุนแรงทุกชนิด
“แก็งค์อันตพาลล่ะมั้ง เดี๋ยวนี้มันวางอำนาจเหลือเกิน วันก่อนก็มีคนจะมาเก็บค่าเช่าที่เพิ่มอีก จะขูดรีดกันไปถึงไหน” ยายฟาเรลพูดเรื่องปัญหาการเงินต่อ เฌอรีลฟังจนเบื่อ ยายพูดวนทุกครั้งที่เขามาอุดหนุนอาหารของยาย “เดี๋ยวเข้าหน้าหนาวแล้ว ต้องรีบตุนอาหารอีก ปีนี้ทางการเขาว่าจะหนาวกว่าทุกครั้ง ไม่รู้จะมีหิมะตกแบบปีนั้นหรือเปล่า ที่ฉันเคยเล่าให้ฟังจำได้ไหม ตอนที่เจอกับตาออต้าใหม่ ๆ”
“ครับ” เฌอรีลรับคำงึมงำ
“ว่าจะทัก แล้วแว่นสายตาของเธอไปไหนแล้วล่ะ ทำไมเสื้อผ้าถึงได้มอมนัก ไปทำอะไรมา”
“ตกแตกไปแล้วครับ” เฌอรีลตอบอย่างเซ็ง ๆ
“แล้วมองเห็นเหรอ”
“พอเห็นอยู่ครับ” ถึงภาพจะเบลอ ๆ หน่อยก็เถอะ “เดี๋ยวจะไปเอาแว่นสำรองมาใช้ก่อน”
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาหาฉันนะ” คุณยายฟาเรลพูดทิ้งท้ายก่อนที่เฌอรีลจะขอตัวเดินออกมา สถานการณ์ในซอยน่าจะสงบลงไปแล้ว เขาไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกอีก ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินเข้าไปจนถึงที่พัก ห้องของเขาอยู่ชั้นใต้ดินเพราะไม่มีห้องข้างบนสำหรับโลเธีย เขาเจ็บใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร อยู่ชั้นใต้ดินก็ดีตรงที่เขาไม่ต้องแบกของขึ้นบันไดหลายชั้นให้เหนื่อย ถึงจะเจอกับพวกสัตว์เล็ก ๆ และแมลงให้รำคาญบ่อย ๆ แลกกับราคาที่ถูกกว่าที่อื่นแล้วก็พอรับได้
หยิบกุญแจขึ้นมาไขเปิดประตูห้อง เฌอรีลเอื้อมมือไปเปิดไฟสว่างทั่วห้องเป็นอันดับแรก กวาดตามองสำรวจทั่ว ๆ อย่างที่ทำประจำจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในห้องถึงได้ก้าวเข้าไปแล้วรีบล็อกประตู สำหรับโลเทียอย่างเขาต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะช่วงที่ใกล้สิ้นเดือนด้วยแล้วล่ะก็
ลมพัดมาวูบหนึ่ง เฌอรีลขมวดคิ้ว เอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำมาถือเอาไว้ เงยหน้าขึ้นก็เจอว่าบนเพดานห้องของตัวเองมีช่องขนาดใหญ่ทะลุลงมาจากด้านบน น้ำหยดติ๋ง ๆ ตามลงมาด้วย ชายหนุ่มอ้าปากค้าง หยิบไฟฉายขึ้นมาส่องดูโพรงมืด ๆ ข้างบนนั้นอย่างตกใจ แต่เพราะเขาไม่ได้ใส่แว่นก็เลยมองไม่เห็นว่าข้างในนั้นคืออะไรกันแน่
“น่าจะเป็นท่อน้ำ หรือส้วมซึมลงมา” เฌอรีลพึมพำ เดินไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นต่อไปยังผู้ดูแลหอพัก รอสายอยู่พักใหญ่ก็ไม่มีคนรับ เขาเลยตัดสินใจขึ้นไปตามช่างด้วยตัวเอง
“ช่างไม่อยู่ค่ะ กว่าจะกลับมาคงอาทิตย์หน้า”
“แล้วผมจะนอนยังไงล่ะครับ มีรูเบ้อเริ่มอยู่บนหัวนอน”
“ก็ย้ายที่นอนสิคะ” คนดูแลหอพักตอบอย่างเฉยเมย “เอาไว้ช่างมาแล้วจะแจ้งให้นะคะ”
เจ้าโลเธียเดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเองอย่างหงุดหงิดกว่าเดิม นี่ถ้าเขาเป็นคนเช่าชั้นบนก็คงไม่เจอบริการแบบนี้ ถือว่าเขาเป็นแค่โลเธียใช่มั้ย ...เดินกลับที่ไปที่ห้องพักของตัวเอง ปรากฏว่าประตูห้องไม่ได้ล็อก สงสัยไม่กี้เขาคงรีบมากจนลืมล็อกประตู
มัวแต่หงุดหงิด เฌอรีลเดินเข้าไปในห้องน้ำที่ทำเป็นซอกแคบ ๆ มุมห้องเอาไว้แค่พอเข้าได้แค่นั้น เขาเดินชนเข้ากับเสาเต็ม ๆ จนกระเด็นถอยหลังมาหลายก้าว เงยหน้าขึ้นมองเสาต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าห้องน้ำอย่างมึนงง
“เห้ย ...เสาอะไรน่ะ โอ๊ย! ”
เสาที่ว่าเอนล้มใส่เขาเข้าเต็ม ๆ น้ำหนักเททับใส่เจ้าโลเธียจนหายใจไม่ออก เฌอรีลตกใจมาก เขาพยายามดันเสาออกจากตัวแต่มันไม่ขยับเลย
“ช่วยด้วย ...ช่วยฉันด้วย”
“พูดได้ด้วย? ” เฌอรีลตาเหลือก ทั้งถีบทั้งผลักเสาหนัก ๆ นั้นออกไป กว่าจะมุดออกมาจากกองผ้าได้ก็เล่นเอาเหนื่อย พอมาเพ่งมองดี ๆ แล้วเขาถึงพบว่าสิ่ง ๆ นี้ไม่ใช่เสาแต่เป็นคนต่างหาก คนที่สูงใหญ่เหมือนยักษ์ “คุณ...เป็นคนเหรอ”
“ไม่ใช่คนแล้วจะเป็นอะไรล่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงแหบแห้ง “เทวดาเหรอ ..มีคนชอบเปรียบเทียบฉันอยู่บ่อย ๆ”
“นี่ออกไปจากห้องของผมนะ” เฌอรีลตั้งสติได้แล้วตอนนี้ เขาหันไปคว้าขวดน้ำคู่มือมาถือเอาไว้แน่น โบกไปโบกมาเหมือนตะบอง “ถ้าไม่ออกไปเจ็บตัวแน่ ผมไม่รับประกันว่าจะรอดออกไปครบสามสิบสองมั้ย” พูดให้ดูโหด ๆ เข้าไว้ อีกฝ่ายตัวใหญ่กว่าเขาชนิดบังกันมิด ถ้าสู้กันจริง ๆ ก็คงโดนเตะคอหักตาย แต่ยังไงเฌอรีลก็ต้องขู่เอาไว้ก่อน
“แค่นี้ฉันก็จะตายอยู่แล้ว เธอยังจะไล่ฉันออกไปอีกเหรอ” อีกฝ่ายพูด ขยับตัวแล้วเปิดผ้าคลุมสีเข้มออก เผยให้เห็นร่างกายที่มีรอยช้ำอยู่ทั่วตัว เฌอริลขยับเข้ามาดูจนชิด ใบหน้าของอีกฝ่ายมีร่องรอยฟกช้ำถลอกปอกเปิก บอกชัดว่าเพิ่งโดนทำร้ายร่างกายมา “ไม่ต้องดูใกล้มากก็ได้ ถึงฉันจะรู้ว่าตัวเองหล่อมากก็เถอะ”
“นี่คุณไปโดนอะไรมาน่ะ อย่ามาตายในห้องผมนะ” เฌอรีลถอยกรูด มองซ้ายขวาหาทางหนีทีไล่ หัวสมองแล่นปราดไปยังเหตุการณ์คนตีกันเมื่อกี้ กวาดตามองผู้ชายตรงหน้าแล้วก็รู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน นึกไปนึกมาก็นึกออก “คุณคือคนที่วิ่งชนผมที่ป้ายรถบัสนี่”
“อ้อ...ไอ้หนูคนนั้นนี่เอง” อีกฝ่ายพยักหน้า “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะชน แต่เธอไม่หลบเองต่างหาก”
“คุณเป็นโจรใช่มั้ย” เฌอรีลได้ข้อสรุปกับตัวเองแล้วเรียบร้อย เขาค่อย ๆ ถอยหลังไปให้ถึงประตู นับในใจหนึ่งถึงสามเตรียมจะเผ่นออกมาจากห้อง
“ฉันไม่ใช่โจร แต่ฉันโดนทำร้าย พวกมันต่างหากเป็นโจร ทำร้ายคนบริสุทธิ์อย่างฉัน” อีกฝ่ายพูด “เธอจะใจร้ายทิ้งฉันได้ลงคอเหรอ”
“ผมจะไปตามคนมาช่วยคุณ” เฌอรีลพูด “จะได้พาคุณไปโรงพยาบาลไงล่ะ”
“ไม่ได้” อีกฝ่ายส่ายหน้าหวือ “ฉันไปโรงพยาบาลไม่ได้หรอก ฉัน..ฉันไม่มีสิทธิการรักษาที่นี่”
“ทำไมล่ะ คุณเป็นคนต่างชาติเหรอ” พยายามเพ่งมองร่างสูงใหญ่นั้น เขามองเห็นแค่ผิวขาวจัดตรงส่วนที่ไม่มีรอยช้ำกับคิ้วเข้มพาดตรงอยู่เหนือกรอบตาคมกริบเท่านั้น “ผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ...จริงเหรอเนี่ย” พูดออกไปแล้วก็ตัวสั่นเองด้วยความกลัวแกมตื่นตระหนก เฌอรีลนับหนึ่งแล้วข้ามไปสามเลยเพราะรอนับสองไม่ไหวแล้ว รีบเผ่นไปที่ประตู อีกฝ่ายก็ไวใจหายพุ่งตัวมาคว้าเอวเขาเอาไว้ทันควัน “โอ๊ย! ” แรงกระแทกของผู้ชายคนนั้นทำให้เขาล้มทั้งยืน หัวฟาดเข้ากับขอบเก้าอี้ดังโป๊ก
จากนั้นภาพตรงหน้าเขาก็ดับมืด
...........................................................................................
มาเปิดเรื่องใหม่เอาไว้ค่ะ ใกล้จะรวมเล่มเจ้าบู้บี้ #ขอรักแค่คุณ แล้ว ก็เลยมาเปิดเรื่องใหม่เอาไว้ เป็นเรื่องราวของประเทศอิลิธาเนีย ขอไม่สปอยเนื้อเรื่องแล้วกัน อิอิ ช่วงนี้เขียนอยู่สามเรื่องวน ๆ กันไป เจอกันตอนหน้านะคะ
ปล. โอเมก้าเวิร์สเรื่องนี้ขอเปรียบเทียบ อัลฟ่า>>อิลิเธีย, เบต้า>>บิเธีย, โอเมก้า>>โลเธีย
นอกนั้นเจอกันต่อในเรื่อง จะค่อย ๆ เล่าไปนะคะ
#คุณขอแค่รัก