เลิก [ตอนพิเศษวันวาเลนไทน์]
ผมเคยเป็นคนที่ชอบของหวานมากๆ แต่ตอนนี้ชักจะไม่แน่ใจ...
“หนิงอ้าปากเร็ว อ้ามมม”
ภาพของชายหนุ่มหน้าหวานที่กำลังป้อนสตรอเบอร์รี่สีแดงสดเคลือบด้วยช็อกโกแลตวาววับเข้าไปในปากสวยได้รูปของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีหวานชวนให้หัวใจของผมคันยุบยิบชอบกล
หงุดหงิดโว้ย หงุดหงิดจริงๆ โว้ย
“เฮียะ ทำหน้าแบบนี้นี่หึงอะดี้”
เสียงบีหนึ่งที่ดังขึ้นจากทางด้านซ้ายชวนให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
“หึงอะดี้ หึงอะดี้”
เสียงบีสองที่ดังขึ้นมาตอกย้ำทำให้หน้าของผมรู้สึกเห่อร้อนขึ้นมาแปลกๆ จนต้องแกล้งหันไปตวาดพวกมันแทน
“ดี้แป๊ะเอ็งสิ ไปทำงาน!”
“เฮียะเขินอะดี้”
“เขินอะดี้ๆ”
คำแซ็วเสียงดังเรียกให้สายตาทุกคู่ที่อยู่ในร้านหันมาจับจ้องผมเป็นตาเดียวจนผมต้องเสแสร้งแกล้งเล่นมุกจนเอาตัวรอดจากเหล่าลูกค้ามาได้เกือบหมด...
ใช่...เกือบหมด
ดวงตากลมโตจับจ้องมาหาผมด้วยแววตาโหยหาอย่างที่ผมเองก็คาดไม่ถึง นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววคิดถึงมากมายเสียจนผมต้องเบือนหน้าหนีอย่างช่วยไม่ได้
ไม่ไหว สบตาไม่ได้เลย
“พี่กาจขา ทานอีกสิคะ อ้ามม”
เสียงหวานออดอ้อนออเซาะเสียจนผมต้องเบ้ปากใส่อย่างรำคาญ ผู้หญิงก็แบบเนี่ยะ นังหนิงนี่ผมเห็นมาแต่เด็กๆ เมื่อวานยังกระโดดขึ้นซ้อนรถเครื่อง
(รถจักรยานยนต์)ไอ้โชคเด็กวัดอยู่เล๊ย พอมาวันนี้ละทำมาใส่กระโปรงสีสวยเป็นคุณหนูเรียบร้อยเลยนะเอ็ง
เฮียล่ะอยากจะแหมให้ถึงศาลากลางจังหวัดจริงๆ
ยังไม่ทันที่ผมจะได้เบ้ปากใส่อย่างที่คิดไว้ จู่ๆ ความจริงบางอย่างก็โผล่ขึ้นมากระแทกเข้าในสมองอย่างจัง
...เขาจะรักกันแล้วมันเรื่องอะไรของเอ็งล่ะอิ๊ว...
...เลิกกันไปแล้ว ไม่มีสิทธิ์จะมาหึงหวงกันแล้วนะ...
เลิกกันไปแล้ว...
ใช่...พวกเราเลิกกันแล้ว
ผมถอนหายใจให้กับความรู้สึกปั่นป่วนในช่องอกที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ที่มาที่ไปก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปด้านในร้าน
ไม่ชอบความรู้สึกที่ปลายจมูกแสบร้อนจนน้ำตารื้นขึ้นมาแบบนี้เลย
“เฮีย”
เสียงใสๆ ที่มักจะได้ยินเป็นเสียงแรกและเสียงสุดท้ายของวันมาตลอดหลายปีรั้งขาผมเอาไว้
ผมไม่ได้หันไป เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่พักใหญ่
ผมรอ...ยืนรอโง่ๆ อยู่อย่างนั้นจนในที่สุดเขาก็ยอมพูดออกมา
“ชาเย็นแก้วนึงดิ”
อ่า...ให้ตายสิ ผมหวังอะไรอยู่กันนะ
เรื่องของเรามันจบไปแล้ว ความรักของเรามัน...
“เฮียขา น้องหนิงเอาคาปูชิโน่ แก้วใหญ่ หวานน้อย คินนี่ด้วยค่ะเฮีย”
แล้วความดราม่าทั้งมวลก็หายไป...
นังหนิงเอ๊ย รู้ไหมว่ากว่าเฮียจะน้ำตารื้นได้นี่บิ้วนานนะโว้ย!
กว่าผมจะปลีกตัวเข้ามาด้านในร้านได้ก็เสียเวลาไปมากโข เดี๋ยวคนนู้นก็สั่งอันนี้ เดี๋ยวคนนี้ก็สั่งอันนั้น สั่งกันเสียจนมือผมเป็นระวิง กว่าคนจะบางตาลงก็ปาเข้าไปช่วงบ่ายแก่ๆ เลยทีเดียว
เหนื่อย เฮียแก่แล้ว เฮียเหนื่อยง่าย
ผมหัวเราะขำๆ ให้กับสังขารของตัวเองแล้วเอนหลังพิงลงบนเก้าอี้ไม้ตัวเก่งที่อยู่คู่ร้านนี้มีตั้งแต่สมัยปู่ของผมยังมีชีวิตอยู่ อันที่จริงผมจะนั่งพักอยู่ด้านหน้าร้านเหมือนในทุกๆ วันก็ได้ แต่เพราะ...
มือของผมค้ำโต๊ะไม้ตรงหน้าเอาไว้แล้วชะโงกคอออกไปดูด้านหน้าร้าน ตรงนั้น ที่โต๊ะทางขวามือริมสุด ร่างสูงโปร่งที่คุ้นเคยยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเดิมมาตั้งแต่เที่ยงแถมไม่มีท่าทีว่าจะจากไปไหนแม้ว่าสาวเจ้าที่มาด้วยกันจะอ้อนแล้วอ้อนเล่าก็ไม่ยอมกลับ
จะนั่งทำไมนานๆ ก็ไม่รู้ ไม่เห็นอยากจะเจอหน้าเลยสักนิด
ผมนอนฟุบลงบนโต๊ะไม้เก่าๆ อย่างอ่อนแรง ในหัวหวนคิดไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่วันก่อน
‘เฮียแม่ง ทำไมปล่อยให้คนอื่นจับเนื้อจับตัววะ!’ตอนนั้นจำได้ว่าอีกคนหัวเสียอย่างหนักที่เห็นผมกอดกับเพื่อนสมัยมัธยมที่ไม่ได้เจอกันมานานในงานเลี้ยงรุ่น
เด็กหนอเด็ก
‘นั่นก็ผู้ชาย เฮียก็ผู้ชาย ไม่เห็นมันจะมีปัญหาตรงไหนเลย!’
‘ผมก็ผู้ชายไหมล่ะเฮีย!’น้ำเสียงนั้นทั้งเกรี้ยวกราด ทั้งดังลั่นเสียจนใจผมสั่น รู้ตัวอีกทีก็เผลอทะเลาะกันเข้าจนได้
ไม่น่าเลย...
‘เฮ้ยกาจ เฮียว่าเราพูดจาไม่รู้เรื่องแล้วว่ะ’
‘เฮีย ผมก็หึงเป็นป่ะวะ ผมเป็นผัวเฮียนะ!’ผมไม่ชอบ ไม่เคยชอบที่จะต้องใช้คำประเภทผัวๆ เมียๆ กับอีกคนสักเท่าไหร่ เด็กคนนั้นก็รู้อยู่แก่ใจว่าผมไม่ชอบ แต่ก็ยังพูดออกมาจนได้
ผมไม่ผิดสักหน่อย
‘ถ้าจะพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ก็เลิกกันไปเลยเหอะ!’ปกติเวลาทะเลาะกันทีไร ผมก็มักจะพูดอะไรทำนองนี้ออกไปเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่า...
‘ก็ดีเฮีย เลิกก็เลิก’แล้วสุดท้าย เราก็เลิกกันจริงๆ ...
ไอ้ผมก็ไม่ได้เสียใจสักเท่าไหร่หรอก ภรรยาที่แต่งงานกันถูกต้องตามกฎหมายยังเคยโดนขอหย่ามาแล้วเลย นับประสาอะไรกับแค่แฟน พันธะก็ไม่มี สัญญาอะไรก็ไม่มีต่อกันสักอย่าง ถ้าวันหนึ่งมันจะต้องจากกันขึ้นมาก็นับว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่ก็นะ...
ผมถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ๆ หวังบรรเทาความรู้สึกปวดหน่วงๆ ในอกที่เกิดขึ้น
รู้ก็รู้ เข้าใจก็เข้าใจ แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจถึงปวดหนึบหนับไปหมด
ไม่เห็นจะเข้าใจเลย...
“บีหนึ่ง ชาเย็นให้เฮียแก้วสิ”
จริงๆ แล้วกะอีแค่ชาเย็น ผมเดินออกไปตักเองได้อยู่แล้ว แต่ที่ต้องสั่งให้บีหนึ่งเอาเข้ามาให้ก็เพราะไม่อยากออกไปเจอหน้าคนที่นั่งไปยอมลุกนั่นล่ะ
ไม่อยากเจอเลย...
เปลือกตาผมปิดลงช้าๆ เพื่อรวบรวมลมปราณ...
“เฮียะ ชาเย็นโหมะ เอาโอเลี้ยงแทนได้มะ”
“เฮียะ เขาไม่กีโอเลี้ยงนะ คราก่อกินในคุกมาเยอะแล้ว ตอนโดจับใบขะขี่อะ จำได้มะ”
เดี๋ยวพวกมึงจะเป็นคู่แรกที่จะโดนเฮียสกัดจุด ไอ้พวกเด็กเวร เรื่องดีๆ ผมมีเป็นร้อยเรื่องดันไม่จำ มาจำเรื่องอะไรก็ไม่รู้
เสียงเอะอะจากด้านหน้าร้านของสองคนนั้นเป็นอะไรที่จะว่าชินก็ชิน ไม่ชินก็ไม่ชิน
มันสองคนเป็นบ้า คนปกติอย่างเฮียตามไม่ทันหรอกนะ จริงจริ๊ง
“เฮียะ โตะลงเอาน้ำอะไร”
“เอา...”
“เอาโอวัลติน”
เสียงที่แทรกขึ้นมากลางบทสนทนาของเราสามคนทำให้ผมชะงัก
“ว้าว นายหัวจะได้ด้วยอะเฮียะ”
หุบปากโว้ยบีหนึ่ง
“สุดยอดไปเลย โสะแล้วที่เป็นคู่กัน”
เอ็งก็เหมือนกันเลยไอ้บีสอง
“อะนายหัว เอาไปให้เฮียะด้านในเลย”
ไอ้บีหนึ่ง เอ็งหยุดความคิดนั้นเอาไว้ตรงนี้เลยนะ...
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตะโกนห้าม มูลี่ที่ใช้กั้นระหว่างด้านหน้ากับด้านในร้านก็ถูกเปิดออกด้วยมือขาวเรียวที่ผมคุ้นแสนคุ้น ไม่กี่วิหลังจากนั้น คนๆ นั้นก็มายืนอยู่ตรงน้าผม
คนตรงหน้าก็ใส่เสื้อยืดโปโลสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำและร้องเท้าผ้าใบที่แพงหูฉี่เหมือนอย่างทุกที แต่ไม่รู้ทำไมใจผมถึงเต้นแรงนัก
เย็นไว้ใจเอ๊ย เดี๋ยวเขารู้ว่าเราตื่นเต้นง่ายนะเออ
“ไงเฮีย ไม่เจอกันไม่กี่วัน ซูบลงไปนะ”
“ซูบอะไร๊ เฮียสบายดีจะตาย เราเถอะ ผอมไปนะ”
ผมแสร้งหัวเราะอย่างไม่เป็นธรรมชาติชนิดที่ว่ามองมาจากกาแล็กซีแอนโดรเมด้าก็รู้ว่าเสแสร้งอยู่ ก็รู้ว่าไม่เวิร์ค แต่จะให้เฮียทำยังไงล่ะโว้ย
“ผอมสิ กินข้าวไม่ลง คิดถึงเฮียจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”
ไม่ว่าเปล่า ขายาวๆ สองข้างนั้นยังก้าวเข้ามาหาผมทีละนิด ทีละนิด
“ไม่ได้กอดเฮียแล้วนอนไม่หลับเลย”
อย่าสิ...
“ขอโทษนะเฮียที่พูดจาไม่รู้เรื่อง”
บ้าจริง...
“กลับมาคืนดีกันนะ”
แล้วผมก็ถูกกอด
ถูกชายหนุ่มคนนั้นโถมตัวลงมากอดไว้แน่นเสียจนได้ยินเสียงหัวใจที่ถี่รัวของอีกฝ่าย
บ้า...บ้าชะมัดเลย
“ขอโทษ”
ผมซุกหน้าเข้ากับไหล่แข็งปั๋งของอีกฝ่าย
“ขอโทษที่พี่เองก็ทำตัวไม่ดี”
โอ๊ย เขินโว้ย พี่เพ่ออะไรกัน ร้อยวันพันปีไม่เคยพูดนะเนี่ย เขินไปหมด อยากจะบิดตัวไปมาให้เป็นขนมเกลียว
“อือ ก็ทำตัวไม่ดีจริงๆ นั่นล่ะ”
อ้าว ไอ้เด็กนี่ ดีได้ไม่ถึงสองนาทะ...
“ทั้งคู่เลยเนอะ”
อะ โอเค ถ้าเป็นแบบนี้ยอมก็ได้
ผมยกมือขึ้นโอบรัดแผ่นหลังของอีกคนเอาไว้ในอ้อมแขนเป็นการตอบรับ
น่าแปลกที่เขาหัวเราะ
“ชอบเวลาเฮียขี้อ้อนแบบนี้จัง”
“เพ้อเจ้อ”
“โธ่เฮีย วาเลนไทน์ทั้งที อย่าดุกันสิ”
ไม่ว่าเปล่า ยังถือวิสาสะก้มลงมาหอมแก้มผมไปทีนึงด้วย
ไอ้คนฉวยโอกาสเอ๊ย...
“งั้นวันนี้กลับไปนอนบ้านกันนะเฮีย”
“อือ”
“หลังจากนี้ ไม่เลิกกันแล้วนะเฮีย”
“อือ”
“ถ้างั้น...”
จู่ๆ เขาก็ดันตัวออกจากอ้อมแขนของผมก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งคุกเข่า มือสองข้างของเขากุมมือของผมไว้ในอุ้งมือ นัยน์ตากลมโตช้อนมองผมราวกับต้องการอ้อนวอนขอบางอย่าง
“แต่งงานกันนะครับ”
ผมเบิกตาค้างแล้วอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ
ยอมรับว่าสภาพของตัวเองค่อนข้างจะทุเรศทุรังอยู่พอตัว แต่คนมันตกใจไง ไม่หัวใจวายก็บุญแล้วโว้ย
แต่สภาพของผมไม่ได้สำคัญเท่ากับอีกคนเลย...คนๆ นั้น นายหัวเจ้าของสวนนับร้อยไร่ที่แสนปากร้ายคนนี้กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าผม เขาหัวเราะด้วย...ทั้งหัวเราะทั้งยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มือเรียวสวยสองข้างประคองกล่องกำมะหยี่สีเหลืองไว้กล่องนึง
สีเหลือง...สีที่ผมชอบ
“อยู่กับผม เป็นคู่ชีวิตของผมได้ไหมครับ”
เสียงนั้นกำลังวอนขอ...เขากำลังขอความรักจากผมเหรอ
บ้า...บ้าชะมัด
“ไม่ร้องสิเฮีย”
ผมเปล่าร้องสักหน่อย ใครร้องกัน ไม่มี๊
“ตกลงจะแต่งไหมครับ”
“เออ”
จำได้ว่าตัวเองตอบไปแค่นั้นเอง หลังจากนั้นภาพทุกอย่างมันก็เบลอๆ ฟุ้งๆ เหมือนเอ็มวีเพลงรักไปหมด อันที่จริงผมก็เป็นพวกความจำดีอยู่นะ แต่ก็คิดว่ายังไงก็ต้องเขียนบันทึกประจำวันเกี่ยวกับวันนี้ลงไปในสมุดไดอารี่สักหน่อย หัวข้อของมันก็น่าจะเป็น...
‘วาเลนไทน์ปีที่สี่สิบของชีวิตกับการถูกขอแต่งงาน’ ล่ะมั้ง