คุณ พ.คนโสด
“วันนี้กลับเร็วนะครับ”
โจ้หันไปมองผู้ชายตัวใหญ่เปลือยท่อนบนกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ข้างบ้าน ใครคนนั้นเอ่ยทักพร้อมกับเดินมาหาที่ข้างรั้วพลางยิ้มหล่อให้ ถึงปกติแล้วโจ้จะโหดและโฉดขนาดไหนก็ไม่เคยเสียมารยาทขนาดที่ว่ามองหน้าคุณพ. แล้วหันกลับมาไขกุญแจเดินเข้าบ้านไปโดยไม่ได้ตอบอะไรเลย ส่วนคนที่คล้ายกับโดนเมินก็ยังทักได้ทักดีอยู่ทุกวี่ทุกวัน เป็นเวลามากกว่า 3 เดือนแล้ว จนไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เสียมารยาทมากกว่ากัน
วันนี้โจ้กลับเร็วเพราะมีนัดกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันสามชาติเศษเนื่องด้วยเป็นหมอเหมือนกัน เวลาที่จะเจอกันจึงแทบจะไม่มี จึงใช้โอกาสเนื่องในวันเกิดเพื่อนตัวเองในการพบกัน โดยที่เจ้าของวันเกิดจะมาหาเขาที่บ้านเอง หมอรู้ทันไอ้หมอแว่นเพื่อนของตัวเองว่าอยากจะมาเอาของขวัญวันเกิด
แต่ทว่า...โจ้เองลืมวันเกิดเพื่อนตัวเองไปเสียสนิท ลืมไปเลย...ลืมจนรู้สึกผิด
ปกติแล้วเพื่อนผู้ชายจะไม่ค่อยใส่ใจเรื่องวันสำคัญหยุมหยิมอะไรเสียเท่าไหร่ มีแต่เพื่อนสนิทโจ้นี่เองที่ดูจะเยอะเกินมนุษย์มนาไปมาก ถ้าบอกไปตรงๆ ว่าลืม โจ้อาจจะต้องง้อเพื่อนตัวเองไปเป็นเดือน หมอเลยจัดการโทรสั่งเค้กวันเกิดที่ร้านในห้างแถวบ้าน เพราะคิดว่าเพื่อนมันถ้าไม่ได้เป่าเค้กก็คงงอนหนักอีกเช่นกัน
โจ้รู้ลักษณะนิสัยของเพื่อนตัวเองดีก็เลยตามใจ บางทีก็ตามใจจนมันเสียคน
หมอรีบอาบน้ำเพราะเข้าเวรแล้วไม่ได้อาบมาเกือบสองวัน กะว่าขับรถไปเอาเค้กที่ร้านกลับมาบ้านคงถึงเวลานัดกับเพื่อนพอดี หมอก้าวยาวๆ มาถึงรถทั้งๆ ที่หัวยังเปียกอยู่ เขาพยายามสตาร์ทรถ คงเพราะไม่ได้ขับมานานแถมไม่มีเวลามาอุ่นเครื่อง น้องมินิคันสีครีมน่ารักจึงสตาร์ทไม่ติดเอาเสียอย่างนั้น โจ้บ่นไปพยายามสตาร์ทรถไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ล้มเลิกความตั้งใจ
“รถหมอเป็นอะไรเหรอ”
รถกูคงเป็นยานอวกาศมั้ง... โจ้มองหน้าคนที่โผล่หัวข้ามกำแพงมาถาม ผู้ชายข้างบ้านถอดเสื้อโชว์ซิคแพคพร้อมผิวสีแทนดูเหมือนกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ บางทีหมอก็แอบคิดว่าต้นไม้บ้านคุณพ. คงมาจากแหล่งชุ่มน้ำเพราะออกมาทีไรก็เจอคนข้างบ้านอยู่ในสภาพนี้
จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่รู้ที่โรงจอดรถกับกำแพงบ้านสองหลังอยู่ติดๆ กัน หมอที่มีวี่แววว่าจะไปเอาเค้กสาย มองคนข้างบ้านที่ยิ้มแฉ่งสดใสอย่างกับพระอาทิตย์ก่อนจะตอบ
“รถผมสตาร์ทไม่ติด”
คุณพ.มีสีหน้าตกใจเล็กน้อยเมื่อหมอยอมเปิดปากคุยด้วย แต่แล้วไม่ถึงครึ่งวินาทีคุณพ. ก็ทำให้หมอไม่อยากคุยด้วยอีกจนได้
“คงเพราะรถมันกลัวหน้าหมอมั้ง โคตรดุ”
โจ้ผู้ไม่เคยต่อล้อต่อเถียงกับคน โดยเฉพาะผู้ชายด้วยกันถอนหายใจยาวเหยียดอย่างเหนื่อยใจ ส่วนคนข้างบ้านที่ยิ้มร่าเกือบตลอดเวลาเอ่ยถามอย่างไม่เกรงกลัวรังสีอำมหิต
“ไปไหน ให้ผมไปส่งไหม”
โจ้สังเกตว่าคุณพ. ของสาวๆ นี่ยิ้มพร่ำเพรื่อเหลือเกิน โดยเฉพาะลักยิ้มนั่นคงเป็นเสน่ห์ของเขามั้ง แต่โจ้ว่าบางทีอย่ามาใช้กับผู้ชายด้วยกันดีกว่า หมอขนลุก…
โจ้มองหน้าคนข้างบ้านที่ยืนพูดจาไร้สาระพลางยิ้มทะเล้นอยู่พักเดียวก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากบ้านที่ไกลจากถนนเกือบสองกิโลด้วยท่าทางหัวเสียพอสมควร แต่เพียงแค่เปิดประตูรั้วออกมาฟ้าที่ครึ้มตั้งแต่บ่ายก็มีวี่แววว่าฝนจะตก เขาควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงตัวเอง เปิดหาเบอร์โทรแท็กซี่พร้อมกับรีบโทรไปอย่างรวดเร็วจนได้ใจความว่า ทางบ้านหมอรถติด ต้องรออีกเกือบยี่สิบนาที...
หมอหันรีหันขวางไปพบกับคนข้างบ้านที่ถือสายยางสีเขียวพร้อมกับยิ้มให้หมอ ยิ้มหวานอย่างกับรู้ทัน
“เอ่อ พอดีว่าผมจะไปธุระ ยืมรถสักพักได้ไหมครับ”
เขาแอบเห็นว่าอีกคนแอบกลั้นหัวเราะแต่ไม่นานนักก็เก๊กออกมาอย่างเก่า
“เดี๋ยวผมพาไปเนอะ” พอว่าอย่างนั้นคนข้างบ้านก็รีบกุลีกุจอไปใส่เสื้อหยิบกุญแจรถ โจ้ที่ไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดเดินไปข้างรั้วพร้อมกับจ้องตาไอ้หมาพันธุ์อะไรสักอย่างที่ตัวใหญ่เหมือนเจ้าของมันก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวมันแรงๆ เพราะหมั่นเขี้ยว
เวลาที่โจ้กลับบ้านมาแล้วคุณคนข้างบ้านไม่อยู่มักจะเห็นหมาตัวโตๆ นั่งนิ่งๆ รอเจ้าของอย่างน่าสงสาร พอลองเรียกด้วยชื่อมั่วๆ ดูหมาก็นั่นก็ส่ายหางพร้อมวิ่งเข้ามาหาอย่างอยากจะเล่นด้วย ซึ่งโจ้ก็เล่นด้วยทุกครั้งจนกลายเป็นเพื่อนกันแล้ว หมอยอมรับอย่างสนิทใจว่าสนิทกับหมาข้างบ้านมากกว่าเจ้าของมันเสียอีก
“ตัวใหญ่ฉิบหายเลยไอ้เบ็ก พ่อมึงให้แดกเด็กเหรอ”
ดูเหมือนการสนทนาทางเดียวของหมอกับหมาข้างบ้านจะเหมือนการด่า แต่ถ้าได้เห็นหน้าของมันที่กำลังยิ้มพร้อมกับลูบหัวหมาด้วยก็จะดูออกว่าหมอแค่เอ็นดู เอ็นดูเบ็กได้โหดสมกับเป็นหมอโจ้นั่นเอง
“มันชื่อใบตองนะหมอ ไม่ได้ชื่อเบ็ก”
ชื่อเบ็กนี่โจ้ตั้งขึ้นมาเองอย่างถือวิสาสะ หมอมองหน้าคนข้างบ้านที่หายไปไม่ถึงห้านาทีก่อนจะสาวเท้าออกไปรอหน้าบ้าน ถ้าไม่เพราะเพื่อเค้กของเพื่อนสนิทแล้ว โจ้ไม่มีทางมาทำตัวเสี่ยงแบบนี้เด็ดขาด
แล้วแค่ไปซื้อเค้กต้องขับปอร์เช่เลยรึ...หมอกระพริบตาปริบๆ มองรถหรูพลางคิดว่าอยากให้สรรพากรตรวจสอบรายได้ของพวกนักดนตรีหน่อยว่ามันปีนึงได้เท่าไหร่ หมอจะได้เลิกเป็นหมอแล้วไปหัดเล่นกีตาร์ต่อ
“หมอไปทำอะไรที่ห้างครับ”
โจ้ผู้พอมีสำนึกว่าได้รบกวนคนข้างบ้านมาหันไปตอบด้วยมารยาท
“เอาเค้กครับ”
“วันเกิดหมอเหรอ”
ใครคนนั้นถามพลางหันมายิ้มให้ โจ้ยิ้มให้หน่อยๆ อย่างมารยา...มารยาถูกแล้ว เพราะหมอมันกำลังเสแสร้งสุดๆ
“ของเพื่อนครับ”
“หมอมีเพื่อนด้วยเหรอ...”
และแล้วความพยายามยิ้มแย้มของหมอก็จบสิ้นลง โจ้ว่าบางทีคุณพ. ที่เคยโดนทุบหัวแบะต้องไปเช็คสมองเพิ่มบ้าง เพราะการกวนตีนชาวบ้านชาวช่องโดยเจตนาไม่เว้นแต่ละวันมันแปลกอยู่เหมือนกัน
โจ้เลือกที่จะเสียมารยาทอันไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว โดยการเลิกคุยกับคนข้างบ้านแต่หันหน้าออกไปมองข้างทางแทน เกิดมาหมอไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้นั่งรถรุ่นท้อป แต่ที่ไม่คาดฝันกว่านั้นคือการต้องมานั่งฟังคุณพ.ฮัมเพลงท่าทางมีความสุข เพื่อเพื่อนแท้ๆ เลย...
ตั้งแต่ลงจากรถโจ้ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเป้าสายตาอยู่ตลอดเวลา เชื่อขนมกินได้ว่าที่คนมองไม่ได้มองหมอ คนเขามองคุณพ.ต่างหาก หมอลองพิจารณาดูแล้วที่เขามองๆ กันไม่ใช่ว่าคุณพ.ดังหรอก เพราะถ้าดังจริงต้องมีคนมาขอถ่ายรูปแต่นี่คงเป็นเพราะออร่าและความหล่อเหลาเจ้าชู้มากกว่า
เห็นโปรยยิ้มไปทั่ว...นั่นมึงคิดว่าตัวเองเป็นนางสาวไทยเหรอ..?
“เค้กให้ใครเหรอหมอ...”
“เพื่อน” คนที่มาด้วยถามคำถามเดิมอีกครั้งพลางจ้องที่เค้กสีชมพูแหววที่เหมือนซื้อไปให้ลูกสาวมากกว่า
ความจริงแล้วหมอเกรงใจอีกคนเหมือนกันที่ต้องมาด้วย แต่คนข้างบ้านให้เหตุผลมาว่า ‘คนกันเองครับ’ หมอเลยไม่ว่าอะไร แม้จะไม่อยากเป็นคนกันเองก็ตาม
โจ้นัดเพื่อนไว้สองทุ่มแต่สองทุ่มครึ่งแต่ตัวเองยังติดแหง็กอยู่บนถนนกับสารถีจำเป็นที่นั่งถามนั่นนี่จากหมอ แต่หมอไม่ตอบสักคำ เมื่อนั่งเล่นโทรศัพท์จนแบตใกล้จะหมด หมอเลยเลือกที่จะนั่งนิ่งๆ แล้วมองข้างนอกแทน สักพักไอ้เพื่อนเวรก็โทรมาจิกทั้งๆ ที่ห้านาทีที่แล้วหมอก็บอกไปแล้วว่ารถติด นี่ขนาดรีบมานะนี่ ถ้ามัวรอพี่แท็กซี่ป่านนี้คงยังไม่ถึงไหน
“มึงอยู่ไหนว้าาาา” เพื่อนเวรที่แอบปีนรั้วเข้าไปนั่งรอในสวนหน้าบ้านแล้วโทรมาเร่ง
“อยู่ที่เดิมที่กูบอกมึงไปก่อนหน้านี้นั่นแหละ” โจ้พูดแล้วก็กดวางสายเพราะเห็นว่ารถเริ่มวิ่งได้แล้ว หมอเผลอหันไปมองคนข้างบ้านที่ดูสงบเสงี่ยมขึ้น มานึกๆ ดูแล้วไม่รู้ตัวเขาเองจะอคติอะไรกับคนข้างๆ กันนักกันหนา แต่ไม่ทันไรหมอก็พับความคิดที่อยากจะญาติดีกับคุณพ.ไว้ในกล่อง แล้วปากล่องออกมหาสมุทรอินเดียไปซะ
“จ้องขนาดนั้น อยากมาเป็นน้องชายผมแล้วเหรอ”
เพราะโคนเต๊าะแบบนี้ไง...ถึงทำใจให้ญาติดีไม่ได้สัที!
ที่หนังสือก็อซซิบบอกว่าคุณพ.เป็นไบเซ็กชวลนี่ท่าจะจริง แต่โจ้ว่าอีกคนคงเล่นด้วยผิดคน เล่นกับหมอโจ้มือหนึ่งแห่งห้องฉุกเฉินถ้าไม่บ้าก็ประสาทแน่นอน
“พ่อกูมาแล้วววว” เพื่อนของหมอตะโกนทักทายทันทีที่โจ้กลับถึงบ้าน
“จิงโจ้นั่งนี่ๆ” อีกคนตบเก้าอี้หน้าบ้านปุๆ ให้นั่งลงเสมือนเป็นบ้านตัวเอง หมอวางของที่เผลอซื้อมาหลายอย่างแล้วเดินไปเปิดบ้าน แต่เพื่อนเขาดันอยากจะนั่งรับลมให้ยุงแทะขาที่นอกบ้านแทน จริงๆ แล้วโจ้ไม่ได้กลัวยุงเลย หมอกลัวอะไรที่ตัวใหญ่กว่ายุงต่างหาก...หมอกลัวคนข้างบ้านมากกว่า
“เออโจ้ รุ่นพี่ไอ้ซินคนนึงซื้อบ้านในหมู่บ้านมึงด้วย” เพื่อนของหมอพูดถึงเพื่อนของแฟนตัวเอง...ซึ่งเพื่อนหมอมีแฟนเป็นผู้ชาย
ตอนแรกที่หมอเห็นว่าเพื่อนสนิทของตัวเองคบกับผู้ชายด้วยกันก็รู้สึกอคติอยู่ไม่น้อย เพราะรู้มาตั้งแต่แรกว่าเพื่อนตัวเองที่มีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด ด้วยหลายๆ อย่างมันดูเป็นไปไม่ได้ในเวลานั้น ทั้งหมอไม่ค่อยเชื่อในความรักของเพศเดียวกันเสียเท่าไหร่ นึเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย แต่พอลองมองดูดีๆ ก็เห็นว่าเพื่อนมีความสุขดี มีความสุขจนถึงวันนี้เสียด้วยซ้ำ... เป็นความรักของหมอเองมากกว่าที่เชื่อมั่นหนักหนาแต่กลับล้มไม่เป็นท่า
เมื่อกี้...โจ้ที่ฟังเพื่อนบ่นนั่นนี่อาจจะกำลังโฟกัสผิดจุดก็เป็นได้
“เพื่อนโจ้ ผมนี่ซาบซึ้งในความดีของมึงจริงๆ”
หมอเหล่มองเพื่อนของตนที่แกะกล่องของขวัญแล้วพบว่าภายในนั้นเป็นของที่เจ้าตัวอยากได้มานาน โจ้ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วหมอบีมมันซาบซึ้งในตัวมันหรือเงินกันแน่ โจ้กำลังตั้งใจปักเทียนบนเค้กไม่ได้ฟังเพื่อนที่บ่นหงุงหงิงมากนัก เอาจริงๆ ถึงพวกมันจะดูซีเรียสเรื่องวันเกิด แต่ผู้ชายก็ยังเป็นผู้ชายวันยังค่ำ มีที่ไหนซื้อเค้กมาให้เจ้าของวันเกิดช่วยปักเทียน