เรื่องสั้น ๒๔ชั่วโมง
รักไร้กาลอะไรเอ่ย?.....มีก็เป็นทุกข์ไม่มีก็เป็นทุกข์
อะไรเอ่ย?...ยิ่งวิ่งหนียิ่งเข้าหา
อะไรเอ่ย?....ยิ่งโหยหากลับขาดแคลน
คำตอบของคนผ่านโลกมามากมายอย่าง ‘กษิดิส’ นั้นคือ ‘ความรัก’
ทว่าความรักไร้กาลเล่า ...ใครจะเข้าใจ?
ในอพาร์ทเม้นต์เล็กๆที่เจ้าของเป็นหญิงชราหูไม่ค่อยดีคนหนึ่ง กษิดิสเพิ่งย้ายเข้ามาขอเช่าอยู่ห้องย่อยในห้องชุดเดียวกันได้ราวๆครึ่งปีด้วยการเรียนไปรับทำงานก๊อกแก๊กเก็บสะสมเงินไปตามเรื่องตามประสานักเรียนนอกที่ไม่ได้มีเงินทุนเป็นถุงเป็นถัง ยามสุดสัปดาห์มักมีเสียงเจี้ยวจ้าวหัวเราะเล่นหัวของเหล่านักเรียน จนบางครั้งเพื่อนบ้านถึงกับเรียกตำรวจมาเจรจา แต่หญิงชราเจ้าของห้องกลับไม่ได้ยินเสียงเอะอะนั้น
“คุณเชื่อไหม มิสแก ไม่ได้ยินเสียง ทั้งที่พวกเราหัวเราะเล่นหัวกันเสียงดังไปแปดตึก” คนฟังฟังเท้าคางกับโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยในส่วนห้องนั่งเล่นอย่างตั้งใจ ดวงตางดงามเป็นประกายอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ถ้าชิงเชื่อก่อนคุณก็ไม่เล่าน่ะสิ”
“แน่สิ ให้ความร่วมมือกันหน่อยแล้วกันนะติลา” คนเล่ายิ้มด้วยแววตาแพรวพราว ก่อนจะเล่าต่อไป พร้อมกับรอยยิ้มบางๆบนริมฝีกปากหยักสวย
“ด้วยความว่าแกแก่มากแล้ว แกเลยไม่ได้ยินนั่นแหล่ะ แถมเวลาพวกนักเรียนไทยไปหรือมา เอาของมาฝากแกกันทั้งนั้น มีหรือแกจะไม่ชอบ แกเลยว่า เด็กๆพวกนี้น่ารัก ไม่ได้เสียงดังเกะกะระรานใคร”
“อย่างนี้ ต่อให้เพื่อนบ้านมาร้องเรียนให้ตาย ตำรวจทำอะไรไม่ได้สิ” ไตติลาออกความเห็น
“ถ้าทำอะไรได้ คงไม่อยู่มาจนถึงป่านนี้ เจ้าของบ้านไม่ได้ยินเสียอย่างนี่”กษิดิสหัวเราะ
“แล้วคุณดิสต้องเรียนอีกกี่ปี?”ไตติลาถามพลางเปิดตำราเรียนของตนเอง ก่อนจะพูด
“ติลายังเตรียมแพทย์อยู่เลย สงสัยกว่าจะจบคงจะแก่เสียก่อน”
“ปีสุดท้ายแล้ว เคยคิดจะเลิกเรียนเสียก็หลายหน” คนฟังอุทาน กษิดิสยิ้มขัน แก้มสองข้างบุ๋มลึก ดวงหน้าคมสันจึงดูอ่อนโยน
“แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว…นะครับ” คนพูด พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ปลายนิ้วยาวแตะสัมผัสปลายนิ้วอีกฝ่ายแผ่วเบา
“คุณมาเรียนที่นี่กี่ปีแล้ว?”ไตติลาซักไซ้ต่อไป คนถูกถามยกนิ้วนับปีแทบไม่ไหว
“สิบปีพอดีเลย มาตั้งแต่อายุสิบหก”ไตติลาทำตาโต
“ผมเพิ่งมาได้สองสามปีเอง มิน่าล่ะคุณเรียนจะจบแล้ว ผมเพิ่งจะเริ่ม” เสียงเพลงที่ไม่รู้ที่มาดังขึ้น กษิดิสเหลียวหา ไตติลากลับสะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบหยิบ ‘กล่องสี่เหลี่ยม’ ขนาดกระทัดรัดออกมา
“อะไรน่ะ?” กษิดิสยื่นหน้าเข้ามาจนชิด
“โทรศัพท์มือถือ คุณไม่มีหรือ?” คนฟังส่ายหัว ไตติลากระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะขอตัวพูดธุระสักครู่ กษิดิสคว้าแก้ว จะไปรินน้ำอุ่นจากในครัว เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเสียก่อน
“คุยกับใครวะ?”เพื่อนสนิทของเขาถามอย่างสงสัยพลางยื่นหน้าเข้ามาในห้อง
“ไม่ได้เอาสาวซ่อนไว้นะเว้ย” ขณะกษิดิสกำลังคิดว่าจะแนะนำตัวกันอย่างไร เพื่อนของเขากลับพูดว่า
“ไม่เห็นจะมีใคร พูดคนเดียวอีกแล้วหรือวะ?” กษิดิสยิ้มพลางออกปากเชื้อเชิญเพื่อนให้เข้ามาในห้อง ชั่ววินาทีที่เขาเปิดทางให้เพื่อนสนิทเข้ามาจึงได้เห็นกับตาว่า ในห้องว่างเปล่า ไม่มีหนุ่มน้อยไตติลา คนๆนั้นหายไป ราวเป็นเพียงเงา
กษิดิสยังจำได้ระยะก่อนที่เขาจะเจอไตติลา บางคืนขณะเขากำลังจะหลับมักจะได้ยินเสียงเหมือนคนเดินไปรอบห้อง ได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษ เสียงเหลาดินสอ เสียงคนเครื่องดื่มในแก้ว หรือแม้แต่เสียงเพลง กษิดิสเคยเปรยอย่างขบขันกับเพื่อนว่า อาจจะมีผี ทว่าเขาไม่เคยกลัว ‘สิ่ง’นี้เลย จนในคืนหนึ่ง เพียงแค่เขาหันหลัง ไปเปิดประตูตู้เก็บจานในส่วนห้องครัว ที่เป็นครัวเปิดติดกับห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดอยู่บ้านยืนจ้องเขาเขม็ง
“คุณเป็นเพื่อนรูมเมตผมหรอ?” กษิดัสถึงกับงง เขาจะมีรูมเมตก็แค่หญิงชราเจ้าของห้องเท่านั้นแหล่ะ
“แล้วคุณเป็นเพื่อนรูมเมตผมหรอ” จะว่าเป็นหลานก็คงไม่ใช่ มิสแกคงไม่มีหลานหน้าตาเอเชียนขนาดนี้
“คุณเป็นคนไทยหรือ?” กษิดิสอดปากไม่ได้ เมื่อเห็นสร้อยพระที่ห้อยอยู่ที่คออีกฝ่าย
“คุณตอบคำถามผมก่อนดีกว่า” คราวนี้คนถามคาดคั้นด้วยภาษาไทยบ้าง
“คุณตอบก่อนดีกว่า” กษิดิสบอกอย่างใจเย็น ดวงตาหลังกรอบแว่นหนาของอีกคนเต้นระริกด้วยประกายโทสะจางๆ ริมฝีปากบางเม้มอยู่อึดใจหนึ่ง
“อย่ากวนจะดีกว่า” คนเริ่มมีน้ำโห ทำตาดุใส่ กษิดิสยกมือทำท่ายอมแพ้
“โอเคครับ ผมเป็นเพื่อนรูมเมตคุณ”
“คนไหนล่ะ? ฮวน หรือ วิโตลิโอ้”
“วิตโตลิโอ้ก็ได้เอา”
“ท่าทางวันนี้เขาคงกลับดึก คุณก็รอไปแล้วกัน” คนพูดเสร็จก็คว้าแก้วน้ำเดินตึงตังหายไปที่ห้องด้านใน
“คุณนั่นห้องผม!” เจ้าของห้องโวย แต่เมื่อเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ในห้องกลับว่างเปล่า ไม่มีใคร หรืออะไรที่ผิดแปลก ชายหนุ่มงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ทว่าไม่ทำให้กษิดิสรู้สึกกลัวแม้แต่น้อย
“คุณนี่ทำไมมาบ่อยจริง” คนเจ้าอารมณ์โวยเมื่อเห็นเขาในห้องนั่งเล่นบ่อยๆเข้า กษิดิสชักสนุกที่ได้เห็นคนๆนี้แสดงท่าทางต่างๆ ทั้งตกใจที่เห็นเขา ทำหน้าบูดแบบชักหงุดหงิดเมื่อเขากวนโทสะ
“ก็ผมยังไม่เจอเพื่อนผมนี่?”
“ทำไมไม่โทรหาเขาละ?”
“ผมไม่มีโทรศัพท์” คนฟังฟังแล้วคอแข็ง ทำท่าจะโต้กลับ
“เราจะนั่งลงคุยกันดีๆไม่ได้หรือ” น้ำเสียงนุ่มนวลที่ไม่ได้แผงแววล้อเลียนยวนโทสะใดๆ ทำให้คนเจ้าอารมณ์สงบลง ก่อนจะตัดสินใจยอมนั่งลงบนโซฟาเก่าๆข้างๆเขาจนได้
“แป๊บเดียวนะ ผมจะอ่านหนังสือ”
“คุณชื่ออะไร?”
“แล้วทำไมคุณไม่บอกชื่อตัวเองก่อนล่ะ?” กษิดิสถึงกับร้องอ้าว
“ผมชื่อกษิดิส”
“ไตติลา”
“คนอะไรชื่อไต” ไตติลามองตาเขียว
“ครับๆ” กษิดิสรีบหุบยิ้ม เกรงจะถูกล้มโต๊ะเสียก่อน
“ไตติลา แปลว่าเทพเจ้า แม่เรียกติลา เพราะไม่อยากเรียกไต” ทั้งคู่เงียบเสียงลงต่างไม่รู้จะพูดสิ่งใด
“คุณรู้หรือเปล่า ว่าทำไมธนบัตรหนึ่งเหรียญถึงมีพีรามิดกับลูกกะตาหนึ่งข้าง”กษิดิสรอดูปฏิกิริยาคนฟัง ทว่าไตติลายังนิ่ง จึงเล่าต่อไป
“เขาว่าดวงตาเป็นตาพระเจ้า เป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณแบบหนึ่ง หมายถึงความรู้ที่สูงขึ้น หรือเกี่ยวกับพวกเวทมนต์ ทีนี้ตาอยู่เหนือพีระมิด เก๊อะหมายถึง เวทย์มนต์เกี่ยวกับการรู้แจ้งของพระเจ้าในไบเบิล...”คนเล่าเงียบเสียงลง คราวนี้คนฟังจ้องตาเขาอย่างใคร่รู้
“แล้วยังไงอีกครับ?” บทจะน่าเอ็นดู ดวงตาที่เคยฉายประกายขี้หงุดหงิด ก็สดใสชวนมองได้เช่นกัน กษิดิสยิ้ม ก่อนจะเล่าต่อไป
“เขาก็เลยว่า ถ้าพกหนึ่งดอลล์ไว้ในกระเป๋า พระเจ้าจะได้คุ้มครอง เกิดอะไรไม่ดีขึ้นจะได้แคล้วคราด”
“ก็น่าจะแคล้วคลาดอยู่ ตกรถตกเรือจะได้มีเงินจ่าย” ไตติลาออกความเห็น คราวนี้กษิดิสหัวเราะเสียงดัง
“ช่างคิด!”
กษิดิสไม่เคยเฝ้ารอใครอย่างใจจดจ่อเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเป็นสุขทุกครั้งที่ได้พบไตติลา ยิ่งนานวันเข้าความรู้สึกเหล่านี้ยิ่งทวีขึ้นงอกงามเป็นสิ่งที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่าความรัก ชายหนุ่มรู้สึกได้ ไตติลาไม่ใช่คนในยุคสมัยเดียวกันกับเขา มันเป็นเรื่องจริงที่เหนือธรรมชาติ เหนือกว่าใครจะคาดฝัน รวมถึงตัวไตติลาเองด้วย เจ้าตัวดูเหมือนจะไม่รู้เลยว่าเวลาเป็นช่องว่างใหญ่ที่สุดที่แยกกษิดิสและไตติลาจากกันบ้างพบกันบ้างเช่นนี้
“คุณนี่โบราณจริงๆ”ไตติลาหัวเราะ เมื่อกษิดิสงกๆเงิ่นๆอยู่กับการใช้คอมพิวเตอร์ กษิดิสเคยเห็นแต่คอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ยักษ์มาบ้าง แต่ไม่ใช่เล็กกะทัดรัดแบบนี้
“อ้าว ก็ผมไม่ได้ใช้นี่ ปุ่มไหนเปิดไหนปิดกันล่ะ”
“ถามจริงเหอะคุณ คุณเกิดปีไหนเนี่ย ไปอยู่ที่ไหนมา คอมพิวเตอร์เดี๋ยวนี้ ไม่ได้เครื่องใหญ่เท่าบ้านเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เล็กกว่าเจ้าเครื่องนี้ยังได้เลย”
“บอกแล้วจะตกใจเชียวล่ะ ท่าทางผมจะแก่กว่าคุณเยอะ” ไตติลาฟังแล้วขันอย่างไม่เชื่อ จะเชื่อได้อย่างไร ในเมื่อขณะนี้กษิดิสอายุยี่สิบหกปี ขณะที่ไตติลาอายุยี่สิบสี่ปี
“ติลาเชื่อไหม ในโลกนี้มีตั้งหลายเรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้”
“แน่สิ แต่ถ้าคิดจะเปิดประเด็นเรื่องผีละก็ ขอผ่านเลยดีกว่า”
“แล้วเรื่องมิติเวลาล่ะ?”
“นี่ตกลงเรียนสถาปัตย์ หรือ สถาปัดไปตามกรรมเนี่ย เปิดประเด็นทวิภพเสียด้วย” กษิดิสทำหน้างง จนไตติลาต้องเสริม
“นิยายไง นิยาย เรื่องเขาออกจะดัง” กษิดิสยิ้มเก้อพลางส่ายหัว
“สงสัยเราจะมาจากคนละเวลากันเสียละมั้ง คุณดิสถึงได้โบราณนัก” ไตติลายิ้มเย้า ก่อนจะสอนให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่รู้ อย่างเต็มใจ ทว่าพอสอนได้สักหน่อย ไตติลาก็ลุกวิ่งไปหยิบแก้วน้ำ ทุกอย่างสลายหายไปต่อหน้ากษิดิส เพียงชั่วกระพริบตาเดียว เหลือเพียงชายหนุ่มนั่งเดียวดายอยู่ตามลำพัง
ชายหนุ่มนั่งนับวันรอ หนึ่งวัน สองวัน สามวัน จนเกือบหนึ่งสัปดาห์ ไตติลาไม่เคยได้กลับมาให้เขาเห็นอีกเลย หรือจะสิ้นโอกาสเสียแล้ว? ชายหนุ่มคิดพลางเปิดน้ำล้างหน้า ดวงตาของเขาแดงก่ำจากการอดนอนมาหลายคืน เขาไม่กล้าหลับ เกรงว่าหากหลับแล้ว ไตติลามาแล้วจะคลาดกัน ชายหนุ่มไม่รู้เลย ว่าเขาเหลือเวลาให้พบใครอีกคนนานเท่าไหร่ ไม่รู้เลยว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ทั้งที่หัวใจรักกำลังอัดแน่นอยู่ในอก ทุกอย่างดูสับสนไปหมด เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดกับไตติลาอย่างไรให้เข้าใจด้วยซ้ำ เมื่อเขาก้าวเท้าออกจากห้องน้ำ ร่างโปร่งคุ้นตายืนอยู่หน้าเตียงเขา จ้องมองกลับมาด้วยดวงตาสับสน
“คุณดิส...”เสียงที่อ่อนล้านั้น บีบหัวใจคนฟังได้อย่างน่าประหลาด
“ติลา ผม....”กษิดิสพูดสิ่งใดไม่ออก ทั้งยินดี และเจ็บปวดไปกับความไม่แน่นอนและสับสน
“คุณดิส นี่ผมฝันไปหรือเปล่า? มันเกิดอะไรขึ้น?” ไตติลากุมศีรษะทุกอย่างสับสนกับเรื่องราวเกินคาดเดา
“ถ้าติลาฝัน ผมก็คงฝันด้วย” มือแข็งแรงอบอุ่นกอบกุมมืออีกคู่ที่เย็นชื้นไว้ ด้วยปรารถนาให้คนตรงหน้าหลุดพ้นจากความอลหม่านในหัวใจ
“ถ้าเป็นฝัน มันก็เป็นฝันดีใช่ไหม?” นี่อีก น้ำเสียงนุ่มนวลที่ไตติลา ‘รัก’ ที่จะฟังหนักหนา
“ผมบังเอิญไปเจอหนังสือบันทึกผู้จบการศึกษา....มันมีชื่อคุณ ....กับปีที่จบ.....มันห่างจากปีที่ผมอยู่ หลายสิบปี” ไตติลาพยายามเล่าลำดับเรื่องราว ทั้งที่ยังสับสน
“เมตของผมบอกกับผมว่าไม่เคยรู้จักคุณ แล้วก็อีกหลายๆเรื่อง มัน.... ทุกอย่าง มันดูสอดคล้องกันไปหมด” ดวงตาที่กษิดิสนึกชมว่าสวยนัก เอ่อคลอด้วยน้ำตา
“ไตติลา ผมรู้ ว่ามันเหมือนเรื่องล้อเล่น เป็นเรื่องตลกที่ไม่มีใครเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงแล้ว ไม่ว่าด้วยเพราะอะไร” ริมฝีปากหยักสวย ประทับลงบนปลายนิ้วอีกฝ่ายแผ่วเบา ชายหนุ่มรู้สึกได้ ว่าร่างตรงหน้านี้กำลังสะอื้นเบาๆ
“ความรู้สึกพวกนี้ ผมสาบาน...ว่ามันเกิดขึ้นจริงเช่นกัน”
“หลายวันมานี้ผมทนกระวนกระวายใจไม่ไหว พยายามหาทางติดต่อคุณ แต่ไม่มีทางไหนเลย ไม่มีใครรู้ว่าคุณเป็นใคร คุณไม่ได้อยู่ที่ไหนๆเลย” กษิดิสเข้าใจ ความรู้สึกสิ้นไร้หนทางขณะทนทุรนทุรายนั้นมันเป็นเช่นไร
“เราจะยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่? เราควบคุมมันไม่ได้เลย” คำถามที่แผ่วเบาเพียงกระซิบ ทำให้กษิดิสส่ายหน้าเงียบๆ ก่อนจะโอบแขนรอบร่างโปร่ง ด้วยเพราะไม่รู้ ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไร
“อย่ากลัวเลย ดิสอยู่นี่แล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนและอ้อมกอดราวกับจะคุ้มภัยนี้ ทำให้ไตติลาไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป
“อย่ากลัวไปเลย ดิสจะอยู่กับติลาเสมอ ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าเมื่อไหร่”กษิดิสกระซิบแผ่วเบา เพียงชั่วพริบตา อ้อมแขนที่เคยโอบหัวใจไว้กับอก พลันกอดไว้เพียงความว่างเปล่า....เหลือเพียงตัวเขา ให้เดียวดาย
เวลายังคงดำเนินไปสม่ำเสมอ เพียงชั่วกระพริบตาเสี้ยววินาทีหนึ่งได้กลายเป็นอดีตไปพลัน ระยะเวลาบนเส้นทางชีวิตที่ยาวไกลของกษิดิสก็กำลังจะล่วงผ่านอย่างไม่อาจห้ามเช่นกัน ทว่าทุกครั้งที่เขามองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกับใครคนหนึ่งในอดีตอันเหนือจินตนาการนั้น งดงาม แจ่มกระจ่างเสมอ กษิดิสเชื่อมาทั้งชีวิต ว่าความรักของเขาไม่เคยไปไหนเขาจะกอดมันไว้จนข้ามผ่านไปสู้ชีวิตใหม่ แม้จะไม่รู้ว่า ผู้เป็นดั่งหัวใจรักอยู่ ณ ที่แห่งหนไหน
“ปู่ครับลืมตาขึ้นหน่อยได้หรือเปล่า?” เสียงหนึ่งเรียกให้เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ร่างกายนี้เหนื่อยล้ามากแล้ว
“มีคนมาเยี่ยม” ร่างกายที่แก่ชรานี้หนังอึ้งเกินกว่าจะขยับไปไหน เกินกว่าจะออกแรงทำอะไร ทว่าความทรงจำของเขายังแจ่มชัด
“คุณดิส” ใช่แล้ว...เขายังจำเสียงนี้ได้ จำประกายสุกใสในดวงตาคู่นั้นได้ทั้งในยามเป็นสุข หรือทุกข์ รอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะ ทุกอย่างกระจ่างชัดยิ่ง
“อย่าร้องไห้เลย สังขารก็อย่างนี้ ตัวฉันอยู่มานานเสียจนเกือบจะเกินไปแล้ว” กษิดิสไม่รู้ ว่าเหตุใด เสียงของตัวเองถึงแผ่วเบานัก ไตติลาที่แปลกตาไปเล็กน้อย ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาคู่งามมีน้ำตาหล่อเลี้ยงจวนเจียนจะหยาดหยด
“ติลา เธอจะยังรักฉันไหม? ถ้าฉันเป็นตาแก่ใกล้ตายอย่างนี้?”
กษิดิสหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า สัมผัสอุ่นร้อนที่แตะลงบนเปลือกตาของเขาทีละข้าง เป็นคำตอบที่น่าพอใจยิ่ง กษิดิสยิ้มจาง ความตายตรงหน้าเขานี้ไม่ได้น่ากลัวแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้มีความรัก ที่ไร้กาลเวลาเช่นนี้แล้ว ไม่มีสิ่งใดให้กลัวอีกต่อไป เพราะความรักนี้ยังส่องสว่างอย่างแรงกล้าในหัวใจ ไม่ว่าเวลาจะหยุดนิ่งหรือเดินต่อไป ไม่ว่าหัวใจรักจะอยู่ที่ไหน เขารับรู้ได้ว่าผู้เป็นที่รักจะอยู่เคียงใจเหนือห้วงกาล
รักไร้กาล
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
นานๆทีจะเขียนได้เร็ว เริ่มเมื่อวาน เสร็จวันนี้ สั่งได้ดั่งใจ เขียนได้อย่างนี้ทั้งปีคงจะไม่มีรายการดองนิยาย เเต่ทำไม่ค่อยจะได้นี่สิคะ ฮ่าๆ
ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ