พิมพ์หน้านี้ - (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 23-08-2009 11:36:25

หัวข้อ: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 23-08-2009 11:36:25
เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง เป็นคล้ายๆโปรเจคเรื่องสั้นที่กำหนดเวลาเขียนให้หนึ่งตอนเขียนเสร็จภายในหนึ่งวัน(เพราะเวลาไม่เยอะ จะได้ไม่ดอง) สำหรับเรื่องจากโปรเจคเดียวกันที่เคยลงไว้ในบอร์ดนี้ คือ อ้างฟ้าอ้างฝน


เรื่องสั้นเรื่องนี้ ลักษณะเป็นสามตอนจบ  คือ ๑.ไม่มี ๒.มี ๓.สู่กลางใจเธอ   ค่อยๆทยอยลงเเล้วกันเน๊อะ
เรื่องนี้เคยลงในบอร์ดปิดเเล้วบางท่านอาจเคยวอบเเวบเห็นมาบ้าง หวังว่า ทุกท่านที่หลงเปิดเข้ามาในกระทู้นี้เเล้วจะไม่ผ่านเลยไป เเวะติชมกันหน่อยนะคะ  :กอด1:

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 23-08-2009 11:41:30
เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง
เรื่อง: ไม่มี


๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


ว่ากันว่าความทุกข์ของคนเรามีหลายประเภท ทุกข์เพราะหน้าที่การงาน ทุกข์เพราะเงิน ทุกข์เพราะคนรอบข้าง หรือแม้แต่ทุกข์เพราะรัก....โดยเฉพาะในกรณีหลังสุด ที่ทำให้มนุษย์เรานั้น ‘เจ็บ...แต่ไม่รู้จักจำ’ แล้วทำไมมนุษย์เราถึงขวนขวายหามันกันนัก ทั้งที่ห้วงอารมณ์รัก มาพร้อมกับความทุกข์มากกว่าความสุข หรืออาจเพราะช่วงเวลาสุขอันน้อยนิดในห้วงรัก มันหวานหอมจนเสพย์ติด...? ผมเองตอบตัวเองไม่ได้เช่นกันครับ ว่าเพราะอะไรถึงยังพยายามดื้นรั้น ยื้อยึดความรักไว้ ทั้งที่รู้ อยู่เต็มอก ว่า ในไม่ช้า จะต้องเสียมันไป

“พัศ เราเลิกกันเถอะ...ได้ไหม?” ผมนิ่งฟังความนั้นราวคนไม่เข้าใจภาษา ทว่าเสียงที่ปลายสายยังคงพูดอะไรต่อไป ทว่าผมจับความใดๆไม่ได้...ใช่ครับ...ผมกำลังช๊อค

น่าแปลกใจอย่างยิ่งครับ ที่หลังจากพยายามทำความเข้าใจกับคำนั้นอยู่เพียงไม่กี่นาที ผมกลับ ตอบกลับคนที่ผม ‘ยังรัก’ ว่า ผมเข้าใจสิ่งที่เขาบอกผมด้วยอาการสงบอย่างยิ่ง ผิดกับผมคนก่อนที่คงโวยวาย ฟูมฟาย อาจเพราะช่วงเวลานั้นผมมีเรื่องให้คิดมากมายก็ได้





ดอกไม้สวยงามที่ถูกจัดแจงใส่ภาชนะสารพัดอย่าง สวยงามบ้าง สวยจนเกินงามบ้างจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่บนชั้นโชว์ของร้านดอกไม้เล็กๆในโรงพยาบาลที่เคยพลุกพล่านด้วยผู้คนที่มารอรับการตรวจ ญาติผู้ป่วยในตอนกลางวัน ผมกำลังสนใจดอกทานตะวันดอกใหญ่ที่เบ่งบานแช่มชื่นอยู่ในตู้แช่เย็น พลางคิดไปว่า มันจะสวยได้นานสักเท่าไหร่

“อ้าว คุณมโนพัศ” ผมหันไปสนใจเสียงทุ้มนุ่มนวล นายแพทย์หนุ่มเจ้าของไข้พี่ชายของผม ที่ประสบอุบัติเหตุและกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนี้มร่วมสองอาทิตย์

“สวัสดีครับคุณหมอ” ผมยกมือไหว้เขาเพราะจากการกะเกณฑ์แล้ว นายแพทย์หนุ่มคนนี้คงอายุมากกว่าผมสักสองสามปี แม้ใบหน้านั้นจะเยาว์ แต่แววตาเจือเศร้านั้นกลับทำให้สะดุดใจ

“ซื้อดอกไม้ไปฝากพี่ชายหรือครับ…เอาอันนั้นครับ”แพทย์หนุ่มชี้ไปที่ ดอกคาเนชั่นสีแดงเข้มที่ถูกจัดลงในลูกบาศก์แก้วใสเตี้ยๆเพียงดอกเดียว ก่อนจะยื่นเงินให้พนักงานร้าน

“ครับ แล้วคุณหมออศลย์ล่ะ?” หมอหนุ่มรับดอกไม้นั้นมาถือไว้ ยิ้มจางๆให้ ก่อนจะเดินจากไป...โดยไร้คำตอบใดๆ

“คุณไม่รู้หรือคะ ว่าคุณหมอเขาซื้อไปให้ภรรยา” ข้อมูลใหม่ของพนักงานร้านทำให้ผมถึงกับฉงน เพราะหมอหนุ่มคนนั้นดูออกจะหนุ่มเกินไปสำหรับการแต่งงาน

“ภรรยาคุณหมอป่วยหรือครับ?”

“ใช่สิคะคุณ เขาลือกันให้แซดทั้งโรงพยาบาล ว่าหมอเขาแต่งหวังเงิน ภรรยาเขาน่ะ อายุมากกว่า แถมป่วยหนักเชียวล่ะค่ะ เห็นพวกพยาบาลซุบซิบกันว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน...”พนักงานร้านทำท่าจะ ‘บอกเล่า’ ข่าวสารต่อไปอีก ทว่าผมไม่ค่อยสนใจเรื่องของใครอื่นมากนัก

“อ้อ ...เอาดอกทานตะวันในตู้ครับ ดอกเดียว”ผมพูด พลางเตรียมเงินสำหรับจ่าย และเมื่อได้รับดอกไม้ที่ต้องการแล้วก็รีบเดินจากไป

ระหว่างทางที่ผมเดินไปหาพี่ชายของผม ทางเดินที่เงียบกริบนั้น กลับมีเสียงหัวเราะเบาๆลอยมาตามสายลมอ่อนๆของยามค่ำในฤดูหนาว ผมมองผ่านกระจกใสของประตูห้องเข้าไป หมอหนุ่มคนนั้น นั่งบนเตียงคนไข้ กำลังยิ้มและหัวเราะอย่างขบขันไปกับหญิงสาวคนหนึ่งที่แม้ร่างกายจะผ่ายผอมลงด้วยโรคภัย แต่พอเดาได้ว่าก่อนหน้านี้เธอคงน่าดูสักเพียงไหน โดยที่ไม่รู้ตัว ดวงตาคมปนประกายโศกนั้น ก็หันมาสบตาผมเข้าโดยไม่ตั้งใจ เขาหุบยิ้มลงเล็กน้อยกว่าจะพยักหน้าให้เบาๆ นั่นทำให้ผมได้สติและรีบพละจากมา


ลึกๆแล้วผมก็สงสัยเช่นกันว่าเพราะเหตุใด ชายหนุ่มที่หน้าที่การงานดี หน้าตาดี อย่างหมออศลย์ ถึงแต่งงานกับผู้หญิงที่รู้ทั้งรู้ว่าเหลือเวลาบนโลกใบนี้น้อยเหลือเกิน
[/i]



ค่ำวันหนึ่ง หลังจากที่ผมเยี่ยมพี่ชายเสร็จ ผมได้รับโทรศัพท์จากคนรัก และเราทะเลาะกัน โดยที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าอะไรทำให้เราต่างฉุนเฉียวใส่กันได้ถึงขนาดนั้น ผมรู้แต่ผมโกรธมาก จนไม่อยากเสี่ยงที่จะขับรถกลับในเวลานี้ จึงนั่งทอดอารมณ์และคิดทบทวนหลายสิ่ง ที่เก้าอี้ข้างตึกที่พี่ของผมรักษาตัว

“ยังไม่กลับหรือครับคุณมโนพัศ” เสียงทุ้มนุ่มนวลนั้น ดังขึ้น ก่อนเงาร่างสูงจะทรุดลงข้างผม พลางล้วงซองบุหรี่ยับย่นออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต

“แล้วคุณหมอละครับ”ผมถามโดยไม่ได้มองหน้าหมอหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ด้วยเกรงว่าน้ำตาจะรินไหลออกมา

“คืนนี้ผมอยู่เวร มีไลท์เตอร์ไหมครับ?”ผมตอบปฎิเสธ ว่าผมไม่สูบบุหรี่ หมออศลย์จึงเก็บซองบุหรี่ใส่กระเป๋าเสื้อตามเดิม หลังจากต่างเงียบอยู่นาน ผมรู้สึกถึงสายตาประกายโศกนั้นกำลังจับจ้องมองอยู่

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ผมนึกว่าคุณจะถามผมเรื่องภรรยาผมเสียอีก”หมอหนุ่มหัวเราะขื่นๆ

“ผมไม่ช่างสงสัยถึงขนาดนั้นหรอกครับ”ผมตอบพลางทอดสายลงมองที่ปลายเท้า ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆของคนข้างกาย

“ตามหลักการแล้ว ภรรยาของผมควรอยู่ได้อีกสักครึ่งปี แต่ตอนนี้...เธอพร้อมจะ...จากไป...ได้ทุกเมื่อ”เสียงพูดนั้นแผ่วเบาเหลือเป็นเพียงเสียงกระซิบที่แห้งแล้ง

“เธอดูเป็นคนสวยทีเดียวนะครับ”หมอหนุ่มผินหน้ามามอง ดวงตาคมโศกนั้นฉายประกายคล้ายจะถาม อย่างนั้นหรือ?

“ก็อาจจะใช่ ผมมาพบเธอ ตอนที่สุขภาพไม่สู้จะแข็งแรงแล้ว เธอเป็นคนไข้รายแรกๆที่ผมได้เป็นแพทย์เจ้าของไข้ รุ่นพี่ของผมเคยเตือนเอาไว้ ว่าไม่ควร ที่เราจะผูกพันกับคนไข้คนไหนให้ลึกซึ้ง น่าเสียดายที่ตอนนั้นผมไม่เชื่อคำเตือนนั้น”

“ผมเชื่อว่าหัวใจคนเราห้ามกันยาก”ผมตอบด้วยเสียงที่เบาแทบไม่ต่างกัน

“นั่นสิ เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาด คุยสนุก แต่เริ่มเดิมที ผมไม่ได้แต่งงานกับเธอเพราะรัก”ถ้อยความนั้นทำให้ผมถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมองคนพูด

“ไม่ได้รัก..?”

“ใช่ ผมสงสาร...”

“แต่มันออกจะไม่ยุติธรรมกับภรรยาคุณนะครับ” หมอหนุ่มหัวเราะเบาๆ พลางออกความเห็นว่า ก็จริง

“เธอสู้กับโรคและความเจ็บปวดมาด้วยตัวคนเดียวตลอด เป็นผู้หญิงที่ใจเด็ดที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา นั่นทำให้ผมประทับใจ ขณะเดียวกันก็สงสาร” เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ผมยกขึ้นดูชื่อคนโทรเข้า ก่อนจะกดรับอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วพูดเพียงสั้นๆ

“ผมไม่อยากคุยตอนนี้” ไม่ว่าปลายสายจะพูด อะไร ขณะนี้ผมไม่ต้องการรับฟังสิ่งใดๆอีกแล้ว...เป็นอีกครั้งที่ผมกดวางสายอย่างไร้เยื่อใย

“โกรธกันหรือ อย่าโกรธกันไปเลย ถ้าต่อไป ‘ไม่มี’ เสียแล้ว จะนึกเสียดาย เวลา....ย้อนกลับไม่ได้หรอกนะ”น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นปลอบประโลมหัวใจให้ค่อยเย็นลงช้าๆ

“ขอบคุณครับ ผมเห็นว่าได้เวลาต้องกลับ...”

“เดินทางปลอดภัยนะครับ อ้อ..ถ้ามีเวลาละก็ แวะไปที่ห้องนั้นสิครับ” แพทย์หนุ่มยกยิ้มอ่อนโยนทั้งที่ดวงตาโศก ก่อนจะเอ่ยขอตัวกลับไปทำงาน


คำว่า ‘ไม่มี’ ของหมออศลย์ ทำให้ผมคิด ว่าหากไม่มี...อีกต่อไปแล้ว ผมจะนึกเสียใจในภายหลังหรือเปล่า และนั่นทำให้ผมคิดต่อไปอีกว่า ถ้าไม่มีเสียแล้ว จะทำอย่างไรต่อไป
[/i]



หลายวันต่อมา ผมเดินไปตามทางเดินเงียบกริบทางเดิม ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงหายใจของตัวเองชัดเจน ห้องที่ผมมุ่งหน้าไปนี้ ยังไม่ใช่ห้องที่พี่ของผมรักษาตัว ผมหยุดยืนหน้าห้องนั้นนิ่งนาน ได้ยินเสียงพูดคุยของนางพยาบาลภายในห้องและเสียงอุปกรณ์กระทบกัน ตามด้วยเสียงรูดม่าน เมื่อผมเอื้อมมือไปหมายจะเคาะ ประตูห้องกลับเลื่อนออก ผมสบตาเข้ากับนางพยาบาลคนหนึ่งซึ่งท่าทางตกใจ

“อ้าว คุณมโนพัศใช่ไหมคะ กำลังรออยู่เชียว”ร่างผอมเกร็งบนเตียงผู้ป่วย พูดกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ทว่าแผ่วเบา

“สวัสดีครับ”

“เห็นสนมาบอกว่าคุณจะมา ไม่นึกว่าจะหน้าตาน่ารักเสียด้วย”เธอพูดแล้วหัวเราะเบาๆ ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายแจ่มใสชวนมอง ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกโดยสิ้นเชิง และเธอคงจับอาการสังเกตของผมได้

“ฉันเพิ่งผ่าตัดสมองมา เสื้อผ้าหน้าผม ออกจะไม่ตามแฟชั่นสักหน่อย อย่าสนใจเลยค่ะ”เธอพูดแล้วหัวเราะเบาๆ นั่นทำให้ผมยิ้มตามไปด้วย และเริ่มเข้าใจว่าทำไมคุณหมอหนุ่มคนนั้นถึงเลือกเธอ

“คุณก็ดูสวยสมอาการดีครับ”ผมออกปากทีเล่นทีจริงด้วยหวังว่าเธอคงไม่เคือง

“แหม ปากหวานจริง มิน่า สนถึงอยากให้คุณมาคุยกับฉันนัก” เราคุยกันถูกคอจนน่าแปลกใจ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนผมเองก็ลืมเรื่องที่คิดไม่ตกไว้ภายหลังเสียสิ้น

“คุยกันเสียเพลิน คุณไปเยี่ยมพี่คุณเถอะค่ะ ฉันได้ข่าวมาว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมย่านของฉัน” ผมหัวเราะกับคำว่า ย่านของเธอ ก่อนจะเอ่ยคำลาอย่างเสียดาย

“มโนพัศ อำนาจแห่งใจ คุณเป็นคนเข้มแข็ง ใช้มันอย่างฉลาดนะคะ อย่าลืมเผื่อแผ่ให้คนอื่นด้วย”

“ผมคงเข้มแข็งได้ไม่เท่าคุณหรอกครับ”ผมสวัสดีเธอก่อนจะออกจากห้องมา ภาพภรรยาของหมออศลย์ยิ้มให้ผมด้วยดวงตาเป็นประกายสุขใสยังติดอยู่ในหัวใจ


ณ เวลานั้น ผมเพียงคิดไปว่า บางทีฟ้าก็ช่างกลั่นแกล้ง ดูอย่างภรรยาของหมออศลย์สิ เธองดงามด้วยความคิด และอาจเคยงดงามด้วยรูปโฉม ทว่า ฟ้าให้เวลาเธอสำหรับการอยู่บนโลกนี้ น้อยเหลือเกิน
[/i]



เช้าวันหนึ่งที่ผมมาเยี่ยมพี่ชายตอนเช้า แทนที่จะเป็นเย็นเหมือนทุกที เนื่องจากอีกหลายวันที่ผมต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัด เมื่อผมเปิดประตูห้องเข้าไป พบหมออศลย์กำลังตรวจอาการพี่ชายของผมพอดี ผมส่งยิ้มให้พยาบาลและพี่ชายของผม ก่อนจะหันไปสนใจการซักอาการของนายแพทย์หนุ่ม ดวงหน้าที่เคยพอมีสีเลือดอยู่บ้างวันนี้กลับซีดจาง ดวงตาที่แผงประกายโศกวันนี้กลับฉายประกายร้าวราวและเหนื่อยล้าอยู่ทุกขณะ หมออศลย์ขอตัวออกจากห้องไปโดยไม่ได้หันมาทักทายผมแม้แต่น้อย


ยามสายจัดของวันนั้นระหว่างผมเดินกลับจากการแวะไปทานอาหารเช้าจากโรงอาหารของทางโรงพยาบาล ผมเดินผ่านห้องห้องนั้น ห้องที่ภรรยาของหมออศลย์เคยพักรักษาตัว ทว่าวันนี้มันกลับว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ในห้องนั้นอีกต่อไปแล้ว....ผมได้แต่ภาวนาให้สิ่งผมคิดนั้นไม่เป็นจริง ร่างสูงในชุดเครื่องแบบนายแพทย์เดินผ่านผมไปราวกับไร้ตัวตน ฝีเท้านั้นย่ำสม่ำเสมอไปจนสุดทางเดินก่อนจะหายไปหลังประตูทางหนีไฟ ผมลังเลอยู่อึดใจก่อนตัดสินใจที่จะตามไป เบื้องหลังบานประตูเหล็กนั้น เสียงสะอื้นเบาๆ ดังลอดออกมา ผมมั่นใจ ว่าเป็นเสียงสะอื้น ของผู้ชายคนหนึ่ง....ที่หัวใจกำลังแหลกสลาย

“คุณหมอ...ไม่เป็นไรนะครับ?”ผมถามด้วยเสียงไม่ต่างจากกระซิบ เสียงหลังบานประตูนั้นเงียบหายจนน่าใจหาย นาน...กว่าจะมีเสียงอู้อี้พูดกลับมาเบาๆ

“ครับ” ความเงียบอันน่าอึดอัดโรยตัวแผ่วเบา ราวกับจะเย้ยหยัน ว่าคนอย่างผม ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้แม้สักอย่าง

“เพิ่งเมื่อเย็นที่ผ่านมา เธอยังเล่าเรื่องคุณให้ผมฟัง เธอยังหัวเราะอยู่เลย...”เสียงสั่นเครือนั้นพูดแผ่วเบา ผมตัดสินใจผลักประตูเหล็กนั้นออกไป ทว่ากลับมีแรงต้าน

“อย่าเปิดออกมาเลย..นะครับ”หางเสียงนั้นคล้ายจะวิงวอน ผมทรุดกายลงนั่งข้างประตูนั้น ก่อนตัดสินใจยื่นมือออกไป..โดยที่ผมเองก็ไม่แน่ใจตัวเอง ว่าสิ่งนี้คือความสงสารหรือเปล่า

“ครับ” มือของผมแบออก รับรู้ถึงความอบอุ่นของไอแดดในฤดูหนาว ด้วยมือนั้นอยู่พักใหญ่ กว่าสัมผัสเย็นชื้นนั้นจะยอมอยู่ในอุ้มมือ ผมบีบกระชับมือที่เคยแข็งแรงนั้นไว้แน่นราวกับพยายามจะถ่ายทอดถ้อยคำปลอบประโลมใดๆผ่านมือนี้

“ต่อไปนี้...จะไม่มีอีกแล้ว” ผมอับจนด้วยคำพูดใดๆ ณ วินาทีนั้น ได้แต่กุมมือนั้นไว้แน่น พลางรับฟังเสียงสะอื้นเบาๆ

“ขออยู่อย่างนี้ อีกสักพักนะครับ”น้ำเสียงที่เคยทุ้มนุ่มนวลกลับแห้งแล้ง ผมรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่ไหลออกจากดวงตาของผมเช่นกัน

“เท่าที่คุณต้องการเถอะครับ”


แดดอุ่นในสายลมหนาว ในยามนี้....ไม่อาจทำให้หัวใจใครบางคนห่างหายจากความเยียบเย็น
[/i]



หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์พี่ชายของผมก็อาการดีขึ้นจนสามารถออกจากโรงพยาบาลโดยกลับไปกายภาพบำบัดที่บ้านได้ ในวันที่ผมมารับพี่ชายของผมออกจากโรงพยาบาลนั้น หมออศลย์ยังคงแต่งกายด้วยเครื่องแบบตามปรกติ ดวงหน้านั้นค่อยดูมีสีสันขึ้นเมื่อเทียบกับวันนั้น ทว่าดวงตาที่ทอประกายโศกนั้น ยังฉายประกายเจ็บร้าวอยู่ลึกๆ แม้จะทุเลาลงมากแล้ว เราพูดคุยกันเพียงเล็กน้อยในระหว่างที่ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลของพี่ชายผม จนเมื่อเวลาบ่ายคล้อย ผมให้หลานสาวเข็นรถเข็นของคุณพ่อของเธอล่วงหน้าไปก่อน ผมรู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่ยังคงมองผมด้วยท่าทางสงบเรียบ

“ครับ?” ในที่สุดผมก็อดรนทนไม่ไหว หมอหนุ่มยกยิ้มบาง...รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานาน

“คุณหมอยิ้มได้แล้วนะครับ”ผมพูดอย่างติดจะล้อ ทว่าดวงตาคมโศกนั้นกลับตรึงสายตาของผมให้สบนิ่ง และไร้คำพูดใดๆ

“ขอบคุณนะครับ”น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นกล่าวเพียงแผ่วเบา เช่นเดียวกับสัมผัสอุ่นๆที่จับมือผมกุมไว้อย่างสุภาพ สัมผัสนั้นไม่ได้เย็นชื้นอีกต่อไป

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”ผมพูดได้เพียงเท่านั้นพลางรับสัมผัสอ่อนเบาที่ไล้ไปบนมือของผม

“ขอบคุณมือคู่นี้ ที่ช่วยให้ผมมีความกล้ามากพอที่จะปลดภาระทุกข์ออกจากบ่า” ดวงตาคู่นั้นกำลังบอกเล่าหลายสิ่งโดยมิได้ปริปาก โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นผมมองดวงหน้าคมสันนั้น เขาพยักหน้าให้เบาๆ ทว่าไม่ปล่อยมือ

“ครับ?”ผมกรอกเสียงไปตามสาย อย่างไม่มั่นใจ หลังความเงียบที่ยาวนาน เสียงหนึ่งที่คุ้นใจก็พูดกลับมา

“พัศนี้ผมเองนะ” ผมนิ่งฟังทั้งที่เดาได้ ว่าวันนี้ คนที่ผม ‘ยังรัก’โทรมาเพื่อบอกสิ่งใด

“พัศเราเลิกกันเถอะ ...ได้ไหม?” ทั้งที่คิดว่าเตรียมใจมาบ้างแล้ว ทว่าในเวลานั้นผมกลับทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงนิ่งค้าง ในหัวกลับว่างเปล่า สัมผัสที่มือนั้นบีบกระชับเรียกสติให้กลับมาอีกครั้งเช่นเดียวกับความเจ็บปวดที่เริ่มแผ่ซ่านในอก ดวงตาคมโศกนั้นราวกับจะเตือนให้ผมคิดได้ว่า

ระหว่างการยื้อใครสักคนที่หัวใจเขาไม่ใช่ของเราด้วยทิฐิ กับการยอม ‘ไม่มี’ เขาคนนั้นอีกต่อไปแล้ว อย่างไหนจะให้เจ็บน้อยกว่ากัน ตัวเขายังโชคดีแค่ไหนที่เลือกได้โดยที่มีตัวเลือก เเต่หมออศลย์เสียคนที่รัก ไปโดยไม่มีแม้โอกาสที่จะได้เลือก

“ครับ ผมเองก็เหนื่อยมากแล้วที่จะยื้อเราไว้ด้วยกัน”ผมพูดได้เพียงเท่านั้น คนที่ปลายสายพูดและวางสายไปเมื่อไหร่ ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ตัวเองกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“พี่สน” ผมเรียกเขาเสียงเครือ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเรียกชื่อเล่นเขา แขนแข็งแรงนั้นเป็นฝ่ายโอบรั้งให้ผมเข้าสู่อ้อมแขน

“โตแล้ว อย่าร้องเลย อายเขานะ”

“พี่สนยังร้องได้เลย”

“ก็ตอนนั้นพี่เสียใจ” น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นติดจะเขิน ผมพละออกจากอกนั้น เห็นหมออศลย์เกาแก้มอย่างเขินๆ

“ผมก็เสียใจ” ผมเถียงแทบจะทันควัน หมออศลย์จึงได้แต่รับคำว่า ครับครับ... ก่อนผมจะได้หัวเราะทั้งน้ำตา

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาผมรู้จักเพียงว่า ความรักของผมทำให้เจ็บร้าว แต่กลับเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยเพราะเกรงจะสูญเสีย ทว่า เมื่อผมได้รับรู้เรื่องราวของหมออศลย์ ผมได้รู้เพิ่มอีกว่า ความรักอาจก่อตัวอย่างไม่ยุติธรรมด้วยความสงสาร เเต่ความรัก อย่างไรก็คือความรัก


แม้วันนี้บาดแผลทางใจของผมหรือแม้แต่ของหมออศลย์จะยังสดใหม่ ทว่าหากในอนาคต เมื่อแผลทางใจของผมทุเลาและ ความทุกข์ใดๆเจือจาง บางทีผมอาจจะได้มีโอกาสเริ่มสัมผัสความรักอย่างที่หมออศลย์เคยสัมผัส และบางที มันอาจเริ่มจากดวงตาคมโศกคู่ตรงหน้านี้ก็ได้....เพราะผมเชื่อ ว่ามนุษย์เรา อย่างน้อยก็ผมนี่ละ.... มักเจ็บแล้วไม่จำครับ
[/i]


TBC ๒.มี
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 23-08-2009 13:08:33
การเดินทางของหัวใจบางทีมันก็ต้องเจอเรื่องที่ทำร้ายจิตใจเราอย่างมากมาย
เหมือนเตรียมความพร้อมให้เรา ว่าวันหนึ่งถ้าหาก ไม่มี มันเหมือนอย่างที่เคย
วันที่เราเคย มี นั้นจะเป็นวันที่เราจดจำมันไว้จนขึ้นใจ และเห็นคุณค่าของมันมากที่สุด

รอตอนต่อไปนะจ๊ะ

:m13:
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 23-08-2009 13:12:39
เมี๊ยวววววววววววว
หน้าแมว เอ๊ย หน้าหมา
เอ๊ย หน้าม้า (อิอิ) มาเจิม
 :o8:
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี
เริ่มหัวข้อโดย: DEMON3132 ที่ 23-08-2009 13:26:31
เข้ามาเจิม  :mc4: +1 ให้เรื่องใหม่ด้วยคน
ชอบเรื่องสั้นแบบนี้ ไม่ยืดยาว ถึงจะไม่ต้องคอยติดตามตอน
ต่อไปเหมือนกันเรื่องยาว แต่เรื่องสั้นประเภทนี้มักจะเป็น
เรื่องราวที่ลึกซึ้ง มีแง่คิดให้ชวนติดตามได้ตลอดเวลา
เช่นเดียวกัน ชอบค่ะ จะคอยติดตามตลอดไป
 :L1:
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 23-08-2009 13:32:51
 :sad4: เหมือนความรักมันมีทั้งจบลงไปและรักที่คงอยู่เสมอเลยนะ
แต่เราจะอยู่ต่อไปโดยลืมรักที่จบลงแล้วหารักใหม่ที่คงอยู่เสมอได้รึเปล่าซิ  :impress3:
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 23-08-2009 14:19:01
ฟ้าหลังฝน มักเป็นอะไรที่ดีๆ นะ  :n1:
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 23-08-2009 16:07:23
 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:


 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:


ถ้าหากฌะอเหงาเหมือนฉันกำลังเหงา

ก็อยากไห้เรามาเหงาด้วยกัน

ผ่านความเดียวดาย และความปวดร้าวไปด้วยกัน


สู้ๆๆๆ น่ะ ครับบ
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 24-08-2009 00:23:05
 o13 o13 o13
สุดยอดมากมายครับสำหรับเรื่องสั้นเรื่องนี้
+1 ใหเป็นกำลังใจเลยครับแอบคิดว่าจะต้องไปตามอ่านเรื่องเก่าๆของ คุณคนเขียน
ปกติจะไม่อ่านเรื่ิองสั้นนะครับ แต่เห็นชื่อเรื่องแปลกดีเลยลองเข้ามาอ่าน
และไม่ผิดหวังจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
การำดับเรื่อง การวางตัวละคร ทุกอย่างทำได้ในระดับดี ของเรื่องสั้น
เรื่องนี้อ่านแล้วติดใจกับความหมายของชื่อตอนมากครับ
“โกรธกันหรือ อย่าโกรธกันไปเลย
  ถ้าต่อไป ‘ไม่มี’ เสียแล้ว จะนึกเสียดาย เวลา....ย้อนกลับไม่ได้หรอกนะ”
นั่นสินะพออ่านถึงตรงนี้ทั้งเข้าใจเรื่อง ชื่อตอน
แล้วผมยังต้องกลับมาคิดตัวเองในตอนนี้ที่กำลังเครียดๆอยู่พอดี
มันมีความหมายมากพอที่จะทำให้เปลี่ยนมุมมองของ เรื่องบางเรื่องเลยนะครับ
นั้นแล้วจะเห็นว่าไม่ผิดเลยที่บอก เรื่องนี้มีพลังอยู่ที่ว่าคนอ่านจะรับ และตีแผ่ได้ในแง่ไหน
ลายการเขียนจัดว่าไม่ธรรมดา ดูออกว่าไม่ใช่งานชิ้นแรกชัวๆ
ทั้งภาษา การเลือกสรรคำมาใช้ ดูประณีตอย่างพอเหมาะ ไม่มีคำผิดเลย โดนใจครับ
ช่วงหลังๆมาคำผิดกลายเป็นเรื่องที่ต้องย้ำ กับ หลายๆเรื่องในเล้า อิๆ
สรุปแล้วชอบครับ จะรออ่านต่อ อีกสองตอนเลยเป็นกำลังใจให้ครับ
นิว
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 24-08-2009 01:12:49
แอร๊ยยยส์เรื่องสั้น  :impress2: รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี
เริ่มหัวข้อโดย: benxine ที่ 24-08-2009 07:27:36


ถ้าต่อไป ‘ไม่มี’ เสียแล้ว จะนึกเสียดาย เวลา....ย้อนกลับไม่ได้หรอกนะ

ประโยคนี้โดนใจสุด ๆ อ่านจบปุ๊ป จี๊ดที่ใจ น้ำตาไหลโดยทันที

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆแบบนี้นะครับ

จะรอตอนต่อไป .....  :3123:

หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Donpopper ที่ 24-08-2009 11:36:35
มโนพัศ อำนาจแห่งใจ คุณเป็นคนเข้มแข็ง ใช้มันอย่างฉลาดนะคะ อย่าลืมเผื่อแผ่ให้คนอื่นด้วย

ชอบท่อนนี้มากเลยอ่ะครับ

อำนาจแห่งใจ

ใช้มันอย่างฉลาดและใช้เพื่อคนอื่น

จะรอต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี
เริ่มหัวข้อโดย: ChiOln ที่ 24-08-2009 14:46:38
 :mc4:


รอครับ !!
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี (๒๖ ส.ค ๕๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 26-08-2009 21:29:38
เรื่องสั้น๒๔ชม.  ตอนนี้ ทำการรีไรท์เเก้ไขนิดหน่อยนะคะ  เนื่องจาก มีผู้อ่านเคยเเย้งว่าอ่านเเล้วขัดๆ  ยังรอรับทุกความคิดเห็นเช่นเคยนะคะ

เรื่อง มี ภาคต่อของ ' ไม่มี’

************************************************************************


แสงสว่างเพียงบางเบาสาดผ่านม่านสีเหลืองส้มที่รูดเปิดไว้ครึ่งๆ สายลมยามเช้าโชยพัดแผ่วเบาให้กระดิ่งลมที่ระเบียงส่งเสียงกริ๊งๆเบาๆ ผมลืมตาขึ้นรอคอยอย่างเงียบเชียบให้ความง่วงซึมค่อยๆละลายหายไป...ช้าๆ ระหว่างนั้นผมให้เวลากับตัวเองได้คิดหาคำตอบให้ตัวเองอย่างนี้ซ้ำๆทุกวัน



มีความสุขดีไหม?

ท่ามกลางห้องที่สว่างด้วยแสง สองหูได้ยินเสียงแห่งความวุ่นวายเพียงไกลๆ ผมลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจขับไล่ความเมื่อยขบ บัดนี้ความง่วงซึมใดๆจางหาย เหลือเพียงความสดชื่นยามเช้าวันใหม่เท่านั้น

“พัศตื่นเช้าจริง”เสียงงัวเงียดังเพียงแผ่วๆฟังอู้อี้จากใบหน้าที่ซุกซบบนหมอนนุ่ม มือแข็งแรงกำผ้าห่มไว้หลวมๆดูราวกับคนขี้หนาว

“ผมทำงานเช้านะครับ พี่สนนอนต่อเถอะ” ผมลุกขึ้นจากที่นอน ห่มผ้าห่มให้คนที่ยังหลับใหลได้อุ่นสบาย

ผมจัดการธุระส่วนตัวยามเช้าภายในไม่กี่นาที ทันกับเสียงกาน้ำร้อนที่ส่งเสียงร้อง แก้วกาแฟเซรามิกสีแดงเข้ม บัดนี้มีผงกาแฟและน้ำตาลรอท่าอยู่แล้ว ผมมองกลับไปในห้องนอนที่เปิดประตูกว้าง คนบนเตียง ยังนอนท่าเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมยิ้มน้อยๆ พลางเทน้ำร้อนลงในถ้วย กลิ่นหอมกรุ่นจึงฟุ้งไปทั่วบริเวณ ก่อนที่กลิ่นอาหารเช้าอย่างง่ายๆจะลอยยวนยั่ว รอจนกว่าใครอีกคนจะพ้นจากห้วงนิทรารมย์


สำหรับเช้านี้ ผมยังคงตอบตัวเองได้ครับว่า....มีความสุข


หากจะมองย้อนไปถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ก่อนที่เราจะมีความสุขกับปัจจุบัน ความทุกข์นานาย่อมย่างกรายเข้ามา เพราะมนุษย์เรา ความทุกข์มักใหญ่กว่าความสุขเสมอ เหมือนจุดขนาดใหญ่ที่สีสันจัดจ้าน ความสุขที่รายล้อมจึงไม่แจ่มชัด สำหรับตัวผมเอง ก่อนหน้านี้ความทุกข์ขนาดใหญ่ของผมเกิดขึ้น เมื่อคนรักที่คบกันมานานปี ขอเลิกรา ทว่าความทุกข์ของผมดูเล็กไปถนัดตา เมื่อเทียบกับหมออศลย์ หรือพี่สน ที่สูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไปตลอดกาลด้วยโรคภัยที่สร้างความปวดร้าว ทดท้อให้มายาวนาน แต่ในขณะเดียวกัน กลับเป็นสิ่งที่ผูกคนทั้งสองคนเข้าไว้ด้วยกัน นั่นเองทำให้ผมเกิดคำถามนับร้อยประการ

จะดีหรือ ที่ใกล้ชิดพี่สน ขณะที่พี่เขาเพิ่งจะสูญเสียสิ่งสำคัญไป

จะดีหรือ ที่ผมจะเจ็บแล้วไม่จำเช่นนี้ซ้ำๆ

จะดีหรือ ที่ผมอาจต้องเสี่ยงเอาความรักไปแลกกับความเหงาของใครอีกคน



เสียงเมโลดี้คุ้นหูดังขึ้นจากโต๊ะทานเข้าในครัว ในตอนเย็นหลังจากผมกลับมาจากที่ทำงานไม่นาน พี่สนลืมโทรศัพท์อีกแล้ว … ตั้งแต่พี่สนย้ายมาขออาศัยอยู่ด้วย เพราะบ้านพี่สนกำลังซ่อมขนานใหญ่นั้น ทำให้เขารู้นิสัยเสียๆของพี่สนเพิ่มหนึ่งอย่าง มือถือ....พี่สนลืมเป็นเรื่องปรกติ แถมออกจะทิ้งๆขว้างๆเสียด้วย ไม่น่าแปลกใจเลยที่อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆที่หลายคนใช้บ่งบอกรสนิยมและฐานะ สำหรับพี่สนจึงเข้าข่าย ดึกดำบรรพ์

“ปรกติ ไม่มีคนโทรหาอยู่แล้ว ถ้าพี่ลืมแล้วมีคนโทร พัศรับไปเลย”ผมเหลือบสายตามองหน้าจอที่ขึ้นเบอร์โทรเข้าที่ผมเองก็ไม่รู้จัก ก่อนจะกดรับ

“ครับ”ผมกดรับสายแล้วนิ่งฟังอย่างแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

พี่สนกำลังจะขายบ้าน...บ้านที่ซื้อไว้ เมื่อตอนแต่งงาน!

บ้านสีครีมขาวในขอบรั้วสีเขียวที่ครั้งหนึ่งผมเคยได้ไปเยือนนั้นยังคงตรึงอยู่ในความทรงจำ ผมยังจำเสียงกระดิ่งลมส่งเสียงกริ๊งๆได้ บ้านสวยสงบ ทว่าปราศจากบรรยากาศอบอุ่น ราวกับบ้านที่ไม่เคยมีคนอยู่นั้นทำให้ผมอึดอัดทุกครั้ง พี่สน...อยู่ในบ้านนี้เพียงลำพังเสมอ

“พัศ ถ้าง่วงทำไมไม่เข้านอน”เสียงทุ้มและฝ่ามืออุ่นๆ แตะหน้าผากของผมเพียงแผ่วเบา ทำให้ผมที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอหลับไปด้วยฤทธิ์ยาตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ

“มีไข้นิดๆนะ กินยาแล้วหรือยัง?”ผมพยักหน้าเบาๆ พลางยึดมือแข็งแรงนั้นไว้ ดวงตาคมโศกของพี่สนมองผมอย่างมีคำถาม แหวนโลหะบนนิ้วนางข้างซ้ายต้องแสงไฟเป็นเงาวาวจนผมต้องหยีตา

“เมื่อเย็นๆมีคนโทรมาหาพี่สน” พี่สนขมวดคิ้ว อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทำท่าคลายใจ ว่าตนลืมสิ่งใดไว้ที่บ้าน

“แล้ว” มือแข็งแรงนั้น เสยเส้นผมที่ปรกหน้าของผมขึ้นแผ่วเบา..และอ่อนโยน ผมหลับตาแล้วรับสัมผัสนั้น

“เขาว่าบ้านที่สนจะขาย เรียบร้อยดี คิดว่าคงมีคนติดต่อขอซื้อในเร็วๆนี้” พี่สนทรุดกายลงนั่งลงบนโซฟาที่ผมกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่

“โกรธพี่หรือเปล่า?”น้ำเสียงแผ่วเบานั้นทำให้ผมส่ายหน้าช้าๆ

“บ้านนั้นของพี่สนกับ...”ดวงตาคมโศกคู่ตรงหน้าผม ฉายประกายปวดร้าว ก่อนจะหลุบตาลงข่มซ่อนร่องรอยนั้นไว้ พี่สนคงไม่รู้หรอก ยิ่งทำแบบนี้มากเท่าไหร่ ตัวผมเองยิ่งเจ็บเหมือนกัน เจ็บตรงที่ มันตอกย้ำว่าสามปีที่ผ่านมาผมไม่อาจช่วยลดความทุกข์และความปวดร้าวของพี่สนได้ เหมือนแหวนวงเกลี้ยงที่พี่สนสวมติดนิ้วนางข้างซ้าย มันติดตัวพี่สนเสมอไม่เคยห่าง เมื่อมือของผมกุมรอบแหวนบนนิ้วแข็งแรงนั้น และเริ่มยื้อยุดให้เคลื่อนหลุดจากนิ้ว พี่สนกลับกำหมัดเข้า ราวกับไม่ต้องการให้มันจากไปไหน

“คงครบสี่ชั่วโมงแล้ว กินยาอีกสักหน่อยแล้วรีบนอนเถอะ” พี่สนพูดโดยไม่สบตาผม สิ่งที่ทำได้ มีเพียงการมองตามหลังพี่สนเช่นนี้...จริงๆนะหรือ??


หากจะเปรียบเทียบพี่สนเป็นสักสิ่งหนึ่ง ผมจะเปรียบพี่สนเหมือนน้ำ ไม่มีใครสามารถจับต้องตัวตนได้อยู่มือ ตลอดระยะเวลาที่ผมรู้จักพี่สน พี่สนยังมีอีกหลายแง่มุมที่ผมไม่รู้ มันยากเกินกว่าที่ผมจะเข้าถึง อาจมีแต่ภรรยาของพี่สนเท่านั้น ที่สามารถเข้าใจความซับซ้อนนั้น ในตอนนี้ผมเองก็ตระหนักแล้วว่า ผมไม่รู้ตัวเช่นกัน ว่าอยู่ในสถานะไหน เพื่อน..คนรัก..หรือเพียงเด็กคนหนึ่งในสายตาพี่สน



ผมนอนลืมตามองเพดานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดี รู้สึกถึงความอบอุ่นจากแผ่นหลังที่นอนเคียงใกล้ ทว่ามันไม่อุ่นซ่านถึงข้างใน ผมรู้ว่าพี่สนก็หลับได้ไม่เต็มตาเช่นกัน ดวงตาคมโศกนั้นคงทอดมองออกไปอย่างไร้จุดหมายและเฝ้าคิดเรื่องของตัวเองอยู่เงียบๆ จวบจนนาฬิกาปลุกร้องเตือน ผมลุกจากที่นอนด้วยความเกียจคร้าน กิจวัตรยามเช้ายังเป็นไปตามปรกติ เมื่อผมต้มน้ำทิ้งไว้ในครัว ขณะเงี่ยหูฟังเสียงกาน้ำร้อนร้องเตือน และออกมาได้กลิ่นกาแฟโชยหอมกรุ่นเช่นวันก่อน ทว่าวันนี้ กาแฟนี้รสชาติไม่กลมกล่อมชวนให้ติดใจเสียแล้ว


ผมยังคงเฝ้าถามตัวเองทุกวัน ถึงความสุขของผม ....และวันนี้เป็นวันแรก ที่ผมเองชักไม่แน่ใจ ว่าความสุขที่ผ่านๆมานั้น จริงเท็จด้วยประการใด

ผมเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอนที่ยังคงมีไอเย็นโอบล้อมด้วยเพราะเพิ่งปิดเครื่องปรับอากาศ พี่สนยังคงนอนอยู่บนเตียง และหลับตาราวคนหลับ แต่ผมรู้ ว่าพี่สนเพียงแค่หลับตาแล้วเงี่ยหูฟังเท่านั้น ผมทรุดกายลงนั่งข้างเตียง มองเครื่องหน้านั้นเงียบๆ และอดไม่ได้ที่จะใช้มือปัดเส้นผมที่ระใบหน้าของพี่สนออกเบาๆ คำถามหนึ่งที่คอยทิ่มแทงผมเสมอมา ทว่าตัวผมเองกลับไม่กล้าถามมาตลอดนั้น ในคราวนี้มันกลับแทบล้นทะลัก ด้วยความอึดอัดใจจนแทบทนไม่ไหว

“พี่สนยังรักเขาอยู่ใช่ไหม?”ผมมองใบหน้าที่หลับตานอนนิ่งบนเตียงด้วยนัยน์ตาร้อนผ่าว ทว่าความเงียบยังคงเป็นคำตอบ ผมเหยียดยิ้มให้ตัวเอง ด้วยความคิดเยาะหยัน ว่าตนเองนั้นถามคำถามโง่ๆออกไป

แม้พี่สนจะไม่ได้ตอบคำถามนั้น ทว่าคำตอบกลับกระจ่างชัด พี่สนยังรักภรรยาของเขา...นั่นหมายถึงว่า ช่วงเวลาสามปีที่เขาทุ่มเท เอาความรักของตนเข้าแลก อาจได้เพียงความเหงาของหัวใจใครอีกคนมาไว้ในกำมือ

เคยรู้สึกกันบ้างไหมครับ ว่าบางวัน การที่เราเริ่มวันใหม่ผิดพลาด ด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี ทำให้วันนั้นเจอแต่เรื่องร้ายๆ เหมือนโดนกลั่นแกล้ง วันนั้นทั้งวันนอกจากไม่สบายใจแล้วอากาศก็ร้อนอบอ้าว ผมปวดหัวตั้งแต่เช้า งานมีปัญหา ลูกน้องกวนอารมณ์ เพื่อนร่วมงานไม่มีความรับผิดชอบ ตบท้ายด้วยปัญหาชาวกรุง...รถติด นับเป็นวันที่เลวร้าย แต่ที่สุดของมันยังมาไม่ถึง เมื่อผมกลับเข้าบ้าน ทิ้งกายอย่างเหนื่อยอ่อนลงบนโซฟาพลางปลดเนคไทออกจากคอ และเริ่มเข้าสู่วังวนความคิดเรื่องเดิมๆ ผมรู้สึกได้ถึงความผิดปรกติบางอย่างในบ้าน เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เพราะบ้านดูโล่งไปถนัดตา เมื่อผมลองเดินสำรวจให้หายข้องใจ ก็ได้คำตอบ


ของที่เป็นของพี่สนแม้น้อยชิ้น ทว่าทุกชิ้น....หายไปแล้ว




หากอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้ คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปครับ?....รอจนกว่าเขาจะโทรหาด้วยความหวังว่าเราจะได้ทำความเข้าใจกัน หรือ เป็นฝ่ายโทรหาเขา ด้วยอารมณ์สับสนของตัวเองและพร้อมชนทุกอย่าง สำหรับผม วิธีเหล่านี้ ถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ใช่ครับ ผมโทรหาพี่สน และใช่อีกแหล่ะครับ ที่ผมสับสนและพร้อมชนทุกอย่าง ในวินาทีนี้

จากอากาศร้อนอบอ้าวมาทั้งวัน ค่ำนี้ฝนจึงตกหนักและยังคงตกต่อไปจนคล้อยดึก แต่ไม่มีอะไรหยุดความวู่วามของผมได้ จนในที่สุดผมก็ยืนตัวสั่นงันงกในโรงพยาบาลที่ติดแอร์เย็นเฉียบ เพื่อรอพี่สนอย่างเงียบๆ ก่อนออกมาผมส่งข้อความบอกพี่สนว่าจะมาหา แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อไหร่ และนั่นเป็นการติดต่อเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ผมมองนาฬิกาที่บอกเวลาใกล้หมดกะของพี่สน รู้สึกสั่นไปทั้งตัวแม้เสื้อผ้าจะเริ่มหมาดแล้วพลางเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้า ว่าใช้พี่สนหรือไม่

“พัศ!!”เสียงที่คุ้นเคยร้องอย่างตกใจ ผมไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของพี่สน เพราะพี่สนใส่สลิปเปอร์แทนที่จะเป็นรองเท้าหนัง เพียงแค่เห็นดวงหน้านั้น ความคิดสับสนทั้งหลายก็สงบลงในทันที

“ทำไมเปียกอย่างนี้ แล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่โทรเรียกพี่” น้ำเสียงนุ่มนวลนั้นถามอย่างเป็นห่วง พลางจับจูงให้เดินไปตามทางเดิน

“พี่สนอยากฟังคำตอบของคำถามไหนก่อนดี?”

“ไม่ตลกนะพัศ!” น้อยครั้งที่เสียงนุ่มนวลนั้นจะเข้มดุเหมือนอย่างคราวนี้ พี่สนพามาที่ห้องพักแพทย์ ห้องแคบๆที่ร้างผู้คน ก่อนจะส่งผ้าเช็ดตัวของโรงพยาบาลให้

“เปียกเพราะนั่งมอเตอร์ไซค์มา มาได้สักสองสามชั่วโมงแล้ว ที่ไม่โทรเรียกเพราะเวลางานไม่ควรคุยโทรศัพท์นะครับ แล้วก็ที่ไม่ให้ใครไปตามเพราะเรื่องของผมเล็กน้อย หากเทียบกับชีวิตคนไข้ของพี่สน”

“ยิ่งไม่ค่อยสบายยังจะตากฝนตากลมอย่างนี้อีก”

“ก็เพราะพี่สนแหล่ะ” มือแข็งแรงที่ชงกาแฟร้อนๆให้ชะงัก

“ทำไมถึงย้ายออกล่ะครับ”

“พี่รบกวนพัศมาเยอะแล้ว”พี่สนส่งแก้วกาแฟอุ่นๆให้ ดวงตาคมโศกฉายประกายสับสนอย่างปิดไม่มิด

“พัศสิที่รบกวนพี่สน จนพี่สนรำคาญ พัศไม่น่าทำให้พี่สนลำบากใจเลย”

“ไม่เอาน่าพัศ”

“พัศไม่น่าถามโง่ๆเลย พี่สนอย่าโกรธพัศนะ” ผมกุมมือแข็งแรงนั้นไว้แน่น

“พี่ไม่ได้โกรธหรอก”พี่สนพูดเพียงแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลนั้น น้ำเสียงที่ผมโหยหาทุกคืนวัน

“พัศไม่รู้เลยว่าตลอดสามปีที่ผ่านมา พัศเป็นอะไรสำหรับพี่สน แต่สำหรับพัศ พี่สนเป็นคนที่พัศรักนะ” พี่สนแนบหน้าผากของเราเข้าด้วยกัน พลางพึมพำแผ่วเบาว่า รู้แล้ว...รู้แล้ว

“อยากให้ตอบคำถามไหนก่อนดี?” เสียงนุ่มนวลนั้นถามแผ่วเบา มือแข็งแรงนั้นกอบกุมมือของผมขึ้นจรดริมฝีปาก ดวงตาคมโศกนั้นติดจะล้อเลียนน้อยๆ

“แล้วแต่พี่สน”ผมทำเสียงจริงจัง พี่สนจึงตอบอย่างจริงจังเช่นกัน

“พัศถามพี่เมื่อเช้า ว่ายังรักเขาอยู่ไหม ถึงเธอจะเสียไปหลายปีแล้ว แต่พี่ตอบได้เต็มปากว่ายังรักเขาเหมือนที่ผ่านมา”คำตอบนั้นซึมซาบลงในหัวใจของผมช้าๆ มันทำให้น้ำตาหยดใหญ่ไหลจากดวงตาเช่นกัน ผมอดที่จะเจ็บลึกๆไม่ได้ ว่าสุดท้ายผมได้เพียงความเหงาของคนตรงหน้านี้กอดไว้จริงๆใช่ไหม

“แล้วพัศจะไม่ถามพี่หรือ ว่าพี่รักพัศไหม?” ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตา พี่สนยิ้มอ่อนโยนพลางใช้ชายแขนสื้อของชุดกาวน์ซับน้ำตาให้แผ่วเบา

“อ้าว แย่จริง แต่พี่อยากตอบนะ งั้นข้ามไปคำถามของพัศก่อน พัศบอกว่าพี่เป็นคนที่พัศรักใช่ไหม? แล้วทำไม พัศถึงจะไม่เป็นคนที่พี่รักล่ะครับ?” ผมขมวดคิ้วคิดตามอยู่หลายอึดใจ พยายามตีความจากรอยยิ้มกว้างขวางนั้น จนพี่สนต้องช่วยขยายความ

“ไม่พูดก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รักนะครับ พัศ”

“พี่สนขี้โกงที่สุด”ผมพูดพลางยิ้ม ทอดสายตามองแหวนบนนิ้วพี่สน

ผมยินดีที่จะให้พี่สนสวมแหวนวงนี้ต่อไป เพื่อระลึกถึงการสูญเสีย อันเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ แม้ระหว่างผมกับพี่สนจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นคู่รัก แต่ขณะนี้เราเป็น ‘เพื่อนใจ’ ของกันและกัน พี่สนเพียงแต่ต้องการเวลา...อีกสักหน่อย ก่อนที่เราจะออกเดินไปพร้อมๆกัน บนเส้นทางชีวิต....บนเส้นทางที่แม้จะไม่ได้สะดวกสบาย ทว่าไม่เดียวดาย

คืนนั้นเรานอนฟังเสียงหัวใจของกันและกันเงียบๆ โดยปราศจากคำพูดใดๆ มีเพียงมือของเราเกาะกุมกันไว้ใกล้ใจ พี่สนเคยบอกว่าแต่งงานกับภรรยาด้วยความสงสาร ก่อนความสงสารนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความรักและผูกพัน ตัวผมก็ก็ไม่ต่างจากพี่สนเลย แต่เริ่มเดิมทีผมรู้สึกสงสาร ‘คุณหมออศลย์’ ความรู้สึกเหล่านั้นถูกบ่มเพาะจนเป็นรักและผูกพันในที่สุด

“พัศ ขอบใจที่อยู่ข้างๆพี่มาตลอดนะ”พี่พัศพูดเพียงแผ่วเบานิ้วมือแข็งแรงนั้นลูบไปบนหลังมือของผมเพียงแผ่วเบา ให้ความรู้สึกสบาย

“ไม่เป็นไรครับ ผมดีใจที่พี่สนยอมให้ผมอยู่ข้างๆ” ผมยกศรีษะขึ้นมองสบตาคมโศกนั้น ที่ฉายประกายพราว ดวงตาคู่นั้นกำลังกล่าวขอบคุณ เป็นคำขอบคุณที่แผ่วเบาที่สุด อ่อนหวานที่สุด และอุ่นซ่านในหัวใจที่สุด

“รีบนอนเถอะ....สงสัยต้องเลิกทำกะเย็นสักที”

“ทำไมหรือครับ?”

“เดี๋ยวเด็กที่บ้านจะเป็นเด็กมีปัญหาน่ะสิ ” พี่สนบีบจมูกของผมไม่แรงนักพลางยิ้มให้

ว่ากันว่าความทุกข์ของคนเรามีหลายประเภท ทุกข์เพราะหน้าที่การงาน ทุกข์เพราะเงิน ทุกข์เพราะคนรอบข้าง หรือแม้แต่ทุกข์เพราะรัก แต่สุดท้าย ทุกข์นั้นจะใหญ่จะน้อยล้วนขึ้นกับใจคนมอง และสุดท้ายเราจะก้าวผ่านความทุกข์เหล่านั้นมาได้ด้วยหัวใจที่แข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อน ผมถอนหายใจยาวพลางเอาหน้าซุกแขนพี่สน ได้ยินเสียงพี่สนหัวเราะเบาๆ เมื่อผมพยายามเอาขาก่ายพี่สนไว้ด้วย


ก่อนนอนคืนนี้ ผมมีคำตอบสำหรับคำถามของเช้าวันพรุ่งนี้ที่ว่า ‘มีความสุขดีไหม?’ ....คำตอบคือ ‘มี’ครับ และมากเสียด้วย





TBC...สู่กลางใจเธอ
************************************************************************
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี (๒๖ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: Donpopper ที่ 27-08-2009 00:04:35
พีสนก็นะ

เงียบอย่างเดียว

ปล่อยให้คนอื่นเขาคิดมากซะได้
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี (๒๖ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: benxine ที่ 27-08-2009 07:31:08


ร้องไห้สองตอนซ้อน!!~

ขอให้ จบ แบบแฮปปี้เอนดิ้งนะ!!~

กลัวจะร้องไห้ตอนสุดท้ายย!!~

 :m15: :m15:

หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี (๒๖ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 28-08-2009 20:07:37
แปลกดีเหมือนกันนะ ที่เมื่อวันก่อนเรารู้ตัวว่าเราขาด บอกตัวเองว่า ไม่มี
และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้ มี ตามแบบที่ใจต้องการ

แต่เมื่อถึงวันนี้ ที่เรามีกับเขาบ้างแล้วจริงๆ
แต่ชีวิตมันกลับเล่นกล ทำให้เรามองไม่เห็นเสียแบบนั้น

หากหยุดตัวเองและมองทุกอย่างด้วยสายตาที่มาจากหัวใจที่เดินช้าลง อีกสักนิด
รับรองจะเห็นว่าเรา มี  มาตลอด และบางทีเราอาจจะไม่เคยขาดมัน ตั้งแต่แรกแล้ว

ก็เป็นไปได้..
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี (๒๖ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 28-08-2009 20:55:30
นิยายของเมศๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี (๒๖ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 29-08-2009 02:16:19
เข้ามาอ่านเรื่องใหม่ครับ ^^


ทำไมตอนหมอสนย้ายของออกไป ไม่บอกพัศก่อนอะ เป็นผมผมก็ตกใจเหมือนกันนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี (๒๖ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 30-08-2009 00:06:45
ตอบคอมเม้นต์จาก 'ไม่มี'

คุณThe Living Rive  อ่านคอมเมนต์เเล้วมัน อื้มมมม มาก  (เเปลว่าอะไรไม่รู้) รู้เเต่ดูมีหลัการมาก
ปรกติดเมศเป็นมนุษย์เม้นต์อะไรไม่ค่อยเป็นสาระ เอาเป็นว่าขอบคุณมากค่ะ

คุณ krappom  ผันวรรณยุกต์กันหลายตลบ 55+  ปูที่บางเเสนมีเยอะไหมคะ? (เอ๊ะ หรือบางปู ...งง)

คุณ DEMON3132 ชอบเรื่องสั้นเหมือนกันค่ะ เพราะว่ามันสั้นดี เป็นคนติดนิยายง่าย เเต่เวลาน้อย 
เช่นเดียวกับงานเขียนของตัวเอง อยากเขียนเเต่เวลาไม่มาก บวกขี้เกียจอีกต่างหาก ดังนั้นเรื่องสั้น จึงเป็นทางเลือกที่ดีค่ะ

คุณ M@nfaNG  คิดถึงพี่ฟาง น้องรอเจ้ามืออยู่นา (มาจากไหนนี่55+)

คุณ dahlia  ฟ้าหลังฝนมักมีอะไรดีๆ อย่างน้อยฟ้าใสเเล้วใจก็ปลอดโปร่ง(นี่ พูดจาดีดูมีสาระ)

คุณ cavalli อย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวน้ำท่วม

คุณ [N]€ẃÿ{k}uñĢ  "ขอขอบพระคุณยิ่ง ด้วยใจจริงที่กรุณา..."(เขารู้หมดเรียนยุวกาชาดมา)
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเเรกๆของเมศ เขียนมาพอสมควร ดองมาก็มาก เขียนไม่รอดก็เเยะ เเห่ะๆ

คุณ Poes  เเม่นางเซียวยังสวยซึ้งไม่สร่างซา(เอ...ใช่ชื่อนี้หรือเปล่าชักไม่เเน่ใจ) ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

คุณ Zhenelle[♥]  ขอบคุณที่เข้าอ่านเช่นกันค่ะ สงสัยคราวหน้า ถ้าจะเขียนเเนวนี้อีก คงต้องเเจกทิชชู่เป็นออฟชั่นเสริมด้วย

คุณ Donpopper  ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  เเอ๊ปเปิ้ลโดนใครกัดเเหว่งไปคะ ฮ่าๆๆ

คุณ ChiOln  ขอบคุณค่ะ!! เห็นไข่ดาวจับมือกันเเล้ว อยากกินทั้งคู่เลย ข้าวสวยร้อนๆ ซอสเเม๊กกี้ 

ตอบคอมเม้นต์จาก 'มี'

คุณ Donpopper พี่สนเขามีอาการๆหนึ่ง จะปรากฏในตอนต่อไปค่ะ

คุณ Zhenelle[♥] ตอนสุดท้ายไม่ร้องนะ ไม่ร้อง

คุณ The Living Rive  เพราะจิตใจมนุษย์เราซับซ้อน จนบางที ตัวเราเองก็ไม่เข้าใจ หากใช้สติ
หยุดคิดสักนิดหนึ่ง ทุกอย่างจะกระจ่างขึ้นไม่ช้าก็เร็ว  ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ดีๆค่ะ

คุณ pongsj  ช่ายยยเเล้ว... จริงๆก็ไม่ใหม่มากนะคะ เรื่องสั้นนี่เขียนไว้นานเเล้ว ยกเว้นตอนสุดท้าย สู่กลางใจเธอ ที่เพิ่งเขียนเมื่อเร็วๆนี้

คุณ patz   เป็เมศคงโวยวายตีโพยตีพาย(ตีกรรเชียงด้วย)ตามหาพี่สน


ปรกติเมศเป็นมนุษย์ไม่ค่อยตอบคอมเม้นต์ เนื่องจาก เป็นคนตอบคอมเม้นต์ได้ไม่มีสาระมาก เป็นที่น่าอนาถใจ เเต่ครั้งนี้เกิดฮึดอยากตอบขึ้นมาเลยเอาซะหน่อยก่อนจะลงตอนต่อไป

ขอบคุณสำหรับการติดตาม คอมเม้นต์ +1 กำลังใจ ฯลฯ  :man1:
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี (๒๖ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 30-08-2009 00:43:01
สู่กลางใจเธอ เรื่องสั้น ๒๔ ชม.
ภาคต่อของ ไม่มี และ มี

*****************************************************************

ว่ากันว่าความทุกข์ของคนเรามีหลายประเภท ทุกข์เพราะหน้าที่การงาน ทุกข์เพราะเงิน ทุกข์เพราะคนรอบข้าง หรือแม้แต่ทุกข์เพราะรัก...โดยเฉพาะอย่างหลัง มโนพัศเห็นจะทุกข์มากที่สุด ด้วยเพราะกลัวคนที่รักไม่รัก อศลย์แปลว่าไม่ทุกข์ บางที พี่สน อาจไม่รู้ ราวทองไม่รู้ร้อน ว่า คนรอ..รอมานาน จนชักทรมาน มโนพัศ ได้แต่คิด ไม่เคยปริปาก

“พี่สน...พี่สน” พี่สนเพียงแต่อืมออรับ ทั้งที่ดวงตาหลังกรอบแว่นยังคงมองจ้องตัวอักษรในหนังสือเล่มหนา

“พี่สน”

“ว่าไงครับ”พี่สนทนไม่ไหวต้องเงยหน้าละจากหนังสือ เมื่อเห็นมโนพัศยิ้มหวานให้ ก็อดยิ้มเอ็นดูไม่ได้

“พัศมีอะไรจะบอกแน่ะ”ดวงตาคมหลังกรอบแว่นหรี่ลงอย่างประเมิน ทั้งที่ในหัวใจแอบคาดหวังว่าจะได้ยินอะไร

“ชักลงพุงแล้วนะพี่สน ไปออกกำลังกายเสียบ้าง เห็นทำแต่งาน” หลายเดือนแล้วที่อศลย์ขายบ้าน แล้วย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านนี้อย่างเต็มตัว ไม่ใช่เพียงข้าวของเล็กน้อยอย่างคราวก่อน

“พัศก็ช่วยให้พี่ออกกำลังกายสิ” ดวงตาคมโศกฉายแววกลุ้มกริ่มจนมโนพัศต้องเสสายตามองทางอื่น

“พี่สนทะลึ่งว่ะ” คนทะลึ่งรีบแก้ตัว ...พัศคิดลึกเองต่างหาก

“ทะลึ่งอย่างนี้กับคนอื่นหรือเปล่าเนี่ย” มโนพัศมองตาคมโศกคู่นั้นอย่างค้นหา

“ถ้าพี่บอกว่าทะลึ่งกับพัศคนเดียวจะเชื่อไหมล่ะ?” คำตอบของคำถามเปลี่ยนเป็นหมัดต่อยเข้าแขนคนถาม ไม่หนักไม่เบา แค่ร้องเสียงหลง...

“ เดี๋ยวพัศ พี่ก็มีอะไรจะบอกแน่ะ”มือแข็งแรงนั้นรีบคว้าคนขี้อายเข้าไว้ในแขน แม้ดวงหน้านั้นจะซับสีเรื่อชวนมอง ทว่าดวงตาคู่นั้น ลึกๆแล้วยังรอคอย ที่จะฟังบางสิ่งจากคนตรงหน้านี้...รอฟังจากพี่สนของพัศ

“พี่ซื้อเกมส์มา จะแกะเล่นก่อนก็ได้นะ” คนฟังหัวใจหล่นวูบ ผิดหวัง...อีกแล้ว

“พี่สนบ้าที่สุด”พี่สนเห็นพัศหน้างอ ทำท่าจะเดินหนี ก็รีบจับแขนไว้

“พรุ่งนี้จะไปดูงานต่างจังหวัดไม่ใช่หรอ รีบนอนดีกว่าพี่ว่า”มโนพัศพยักหน้ายอมแต่โดยดี ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอน เหลืออศลย์มองตามจนลับสายตา เสียงเรียกเข้าไม่คุ้นหูทำให้หมอหนุ่มหลุดจากห้วงคิด น้องพัศ ลืมโทรศัพท์เสียแล้ว

“พัศ โทรศัพท์”

“พี่สนรับเลย” มือแข็งแรงนั้นหยิบโทรศัพท์เครื่องน้อยที่ถูกลืม กดๆจิ้มๆอยู่พักใหญ่ก็รับสายไม่ได้เสียที จนสายนั้นตัดไป ระหว่างพี่สนกำลังพยายามศึกษาการใช้โทรศัพท์เครื่องจิ๋วไม่คุ้นมืออยู่นั้น ข้อความก็ถูกส่งเข้ามา คราวนี้กลับกดเปิดข้อความขึ้นอ่านได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม

‘ทำไมไม่รับ โทรศัพท์ ?…ฝันดีนะครับพัศ พรุ่งนี้เจอกัน’ อศลย์คิด....คิดไปไกลอย่างห้ามตัวเองไม่ได้


หรือหมดเวลาของพี่สนคนนี้เสียแล้ว??


“พี่สนจะติดรถไปลงแถวโรงพยาบาลไหม?”มโนพัศถามพลางใส่ถุงเท้าอย่างรีบร้อน พี่สนนำกาแฟร้อนๆ มาวางไว้ให้บนโต๊ะ

“อย่าเลย เดี๋ยวพี่ไปรถเมลล์ก็ได้”

“หูยคุณหมอ โหนรถเมลล์ไปทำงาน ไม่เท่ห์เลย” พี่สนยิ้มขยี้ผมคนช่างพูดด้วยความหมั่นไส้

“พี่ก็รอคนมาซ่อมรถให้พี่อยู่เนี่ย”

“พัศซ่อมไม่เป็น เขาต้องเทรนกันตั้งปีสองปีกว่าจะซ่อมได้”

“ให้เพื่อนพัศมาช่วยก็ได้” มโนพัศเงยหน้าขึ้นมองคนพูด ดวงตาคมโศกคู่นั้นคล้ายมีประกายบางอย่างเต้นอยู่ลึกๆ

“เพื่อนคนไหน?” พี่สนว่าช่างเถอะ พลางดื่มกาแฟในแก้วของตน ทำเป็นไม่เห็นเสียว่าคนฟังขมวดคิ้วเสียแทบเป็นปม

“พี่สน เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่า พี่แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”

“ปากแข็ง!” มโนพัศรู้ พี่สนเป็นคนปากแข็ง ขณะเดียวกันอศลย์ก็รู้ ว่ามโนพัศเมื่อข้องใจต้องรู้ให้ได้ มืออุ่นคู่ที่อศลย์เคยคุ้นแนบหน้าคมสันแผ่วเบา

“พัศรู้ว่าพี่สนเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่คราวนี้พัศจะรอจนกว่าพี่สนจะออกปาก….ตกลงไหม?”พี่สนหลุดยิ้มกับคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ แต่บังคับให้ทำต่างหาก

“พัศบังคับพี่”มโนพัศรีบร้องเปล่า ก่อนจะย้ำ

“พัศจะรอ...จนกว่าพี่สนจะออกปาก”น้ำเสียงหนักแน่นนั้นเน้นย้ำ ดวงตาคู่นั้นจริงจังเพราะพัศยังคงเป็นพัศ ทั้งที่รู้...พัศรออะไร ทว่าพี่สนก็ยังคงเป็นพี่สนเช่นกัน

“สายแล้วรีบไปเถอะ”



บางคราวที่ๆสงัดที่สุดก็อาจะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย อศลย์ทอดสายตามองตลาดเช้าอันคึกคัก มองดูผู้คนเริ่มวิถีชีวิต ชวนให้นึกถึงสมัยยังเป็นเด็กนักเรียนจนเติบโตเป็นหนุ่มน้อย จากหนุ่มน้อยเติบใหญ่เป็นชายหนุ่ม เริ่มทำงาน..และแต่งงาน ความคิดของอศลย์หยุดลง ณ ตรงนี้

“ฉันไม่ใช่คู่ชีวิตแท้ๆของสนหรอก”อศลย์คิดแล้วขำ เมื่อนึกถึงผู้เป็นภรรยา

“อ้าว ทำไมพูดอย่างนั้น ผมเพิ่งขอคุณแต่งงานนะ”

“ฉันอาจเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นคนรักได้ แต่เป็นคู่ชีวิตให้ไม่ได้ เพราะฉันไม่คิดว่าคนอย่างฉันจะอยู่ได้นานนัก”

“อยู่สิ คุณจะอยู่กับผมอีกนาน”

“ แหม ฟังแล้วชื่นใจจัง”

“อย่างน้อยก็ในความทรงจำ”

“เอ๊ะ ยังไง”เธอพูดแล้วหัวเราะ

“แล้วตกลงจะแต่งไหมละครับ?”

“เอ๊า แต่งสิ”อศลย์รู้เธอแต่งด้วยรัก และใจกว้างพอที่จะปล่อยเขาไป หากถึงเวลา ทว่าเวลานั้นมาถึงแล้วและกำลังจะผ่านไป อศลย์เฝ้าภาวนา อย่าให้เวลานั้นผ่านไปเร็วนัก

ร่างสูงน้อมสักการพระสงฆ์ ค้อมกายน้อยๆพลางใส่บาตร และสวดภาวนา ให้ผลบุญฝากพาข้อความไปถึงคนไกล ทั้งที่ไม่รู้ว่าข้อความนั้นจะถึงที่หมายหรือไม่ ด้วยรูปแบบใด อศลย์สวดภาวนาไปอมยิ้มไป กับระบบส่งข้อความด้อยเทคโนโลยี ...ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง...ผมเจอแล้ว!

“โยมมีสมาธิหน่อย” เสียงทุ้มนุ่มเย็นจากหลวงปู่ทำให้อศลย์รีบรับคำ...ครับครับ อายลูกศิษย์หลวงปู่เสียจริง



เสียงใบปัดน้ำฝนดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เพราะฝนยามบ่ายคล้อยลงเม็ดไม่หนักไม่เบาแต่น่ารำคาญ อศลย์มองโลกเบื้องนอกคันรถผ่านม่านหยาดฝน รอเวลาให้มโนพัศออกจากที่ทำงาน เขาเห็นแล้ว ร่างสูงโปร่ง ชะเง้อชะแง้อยู่หน้าบริษัท น้องพัศตอนกำลังกระวนกระวาย...น่ารักไปอีกแบบ รถยนต์รุ่นใหม่ที่ครั้งหนึ่งอศลย์เคยเห็นว่าเป็นรถของเพื่อนมโนพัศขับมาจอดเทียบตรงหน้า มโนพัศก้มลงคุยทางช่องหน้าต่างครู่หนึ่งก่อนรถคันนั้นจะขับลับหายไป พลันสายตาของมโนพัศเหลือบมาเห็นรถยนต์คุ้นตาจอดอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงรีบเดินฝ่าสายฝนมาขึ้นรถ

“เห็นพี่ได้ยังไง?”

“เห็นสิ จับรังสีโรคจิตได้”

“แน่ะ ว่าพี่”มโนพัศหัวเราะชอบใจ

“เหนื่อยไหม?”มโนพัศฟังเสียงทุ้มนั้นถามอย่างอ่อนโยนความเหนื่อยล้าดูจะระเหยไปในอากาศ

“หายแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”

“ทานอะไรรองท้องสักหน่อยดีกว่ามั้ง”พี่สนพูดยิ้มๆพลางยื่นอลัวกะทิสีสันสดใสให้เพราะรู้ พัศหิว

“ป้อนด้วย”พี่สนเริ่มสั่งการ

“หยิบเองสิ”

“รถคันเมื่อกี้ เพื่อนหรือ?”มโนพัศฟังแล้วขมวดคิ้ว

“รถไม่ใช่เพื่อน แต่คนขับน่ะใช่ มันซ่อมรถไม่เป็นหรอก”อศลย์หัวเราะเมื่อมโนพัศพูดแล้วยักคิ้วให้

“รถพี่ซ่อมแล้ว เขาว่าเซนเซอร์หลวม ไม่รู้มันยังไง ฟังไม่เข้าใจเหมือนกัน” อศลย์ว่าพลางหยิบขนมกินเสียเอง นิ้วแข็งแรงปราศจากแหวนวงเกลี้ยงเสียแล้ว

“พี่สนลืมแหวนหรือเปล่า?” พี่สนล้วงกระเป๋าเสื้อ แหวงวงเกลี้ยงถูกร้อยไว้ในสายสร้อย ก่อนจะจับใส่มือบางแล้วกุมมือนั้นไว้

“ไม่รู้จะเอาไว้ไหนดี” มโนพัศก้มหน้านิ่งนานจนพี่สนชักหวั่นใจ

“จริงๆแล้วพี่สนจะใส่ไว้พัศก็ไม่ได้ว่าอะไร” ดวงตาคู่โตมีหยาดน้ำคลอ พี่สนคิดในใจท่าจะแย่แล้ว

“แต่ว่าพัศบอกตรงๆว่าเหนื่อยแล้ว พี่สน...พี่สนยังรัก ‘เธอ’ อยู่ไหม?” อศลย์ฟังแล้วยิ้มจางๆ มโนพัศยังเป็นมโนพัศ เมื่ออยากรู้สิ่งใด ต้องรู้ให้ได้

“ไม่รัก แต่จะว่าไม่ผูกพัน ก็โกหก” น้ำตาหยดใหญ่หยดลงบนหลังมืออศลย์ พี่สนชักเป็นทุกข์เสียแล้ว วิธีบอกอ้อมๆเห็นจะไม่ได้ผลเสียแล้ว

“พัศครับ พัศเคยบอกพี่ว่าไม่รู้ว่าพัศเป็นอะไรสำหรับพี่ใช่ไหม ?” เมื่อเห็นว่ามโนพัศพยักหน้ารับ จึงพูดต่อ

“พัศน่ะไม่ใช่น้องไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่ทั้งคนรัก...แต่พี่เลือกพัศให้มาเป็น ‘คู่ชีวิต’ของพี่ ได้ไหมครับ?” มโนพัศเงยหน้าขึ้นสบตาคมโศก พี่สนรอ ด้วยใจจดจ่อ แต่มโนพัศนิ่งนานจนอศลย์ร้อนใจ

“พี่สนไม่รู้หรอก ว่าพัศรอ...รอมาหลายปี จนคิดจะไม่รอก็หลายครั้ง พี่สนไม่รู้หรอก คนรอ...ทรมาน”พี่สนถึงบางอ้อ โดนน้องพัศดัดหลัง คราวนี้เขาเข้าใจแล้ว หัวใจคนรอเป็นอย่างไร ทว่าความกระวนกระวายที่ตนได้รับคงเทียบไม่ได้เลยกับของมโนพัศ

“โชคดีจังที่พัศยังไม่เลิกรอ ไม่งั้นพี่ต้องแย่แน่ๆเลย”มโนพัศยิ้มขันทั้งที่น้ำตายังซึม ขณะที่พี่สนหัวเราะเสียงดังให้สมกับความรู้สึกโล่งในอก ฉ่ำชื่นในหัวใจ อ้อมแขนแข็งแรงนั้นโอบกอดร่างโปร่งไว้กับอก พลางประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากนั้น

“คราวหลังอย่าบอกอะไรอ้อมมากๆนะ พัศคิดตามมุกไม่ทันหรอก” พี่สนรับคำ ก่อนริมฝีปากนั้นจะประทับลงแผ่วเบา


กล่องไม้ใบน้อยถูกเปิดอย่างเบามือ ภายในนั้นมีเอกสารสำคัญของพี่สนและรูปภาพ...ภาพหญิงสาวคนหนึ่งที่ดวงตามีประกายเข้มแข็งกำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดี มือบางวางแหวนวงเกลี้ยงที่ร้อยสายสร้อยลงในกล่องนั้นอย่างเบามือ พลางยิ้มตอบรอยยิ้มงดงามนั้น ก่อนจะปิดฝากล่องไม้และปิดตู้เซฟ

“แน่ะ แอบดูรูปพาสปอร์ตพี่ละสิ”

“ใครเขาอยากดู หน้าตาเหมือนโจร”

“ใครจะหน้าตาดีเท่าคุณมโนพัศละครับ”พี่สนว่าพลางโอบแขนรอบเอวโปร่งบาง ดวงตาคมโศกนั้นฉายประกายขบขัน ก่อนริมฝีปากหยักสวยนั้นจะแนบรอยสัมผัสอุ่นให้ มือแข็งแรงอุ่นนุ่มลอบไล้สัมผัสไปบนผิวกาย

“พี่สนทะลึ่ง”

“พี่ทะลึ่งกับพัศคนเดียว แล้วพี่ก็ยังไม่ลงพุงนะ จับสิๆ” พี่สนจับมือบางมาวางบนหน้าท้องตน มโนพัศหัวเราะจนน้ำตาไหล

“เชื่อแล้วๆ”

“ถ้าไม่เชื่อจะแก้ผ้าโชว์”

“พี่สนไปไกลแล้ว กลับมาๆ”อศลย์หัวเราะชอบใจ นิ้วมือแข็งแรงไล้สัมผัสไปบนมือบาง อดไม่ได้ที่ จะประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ

“พี่ขอโทษที่ให้พัศรอนาน ขอบใจมากที่ยังรอพี่ ขอบใจมือคู่นี้ที่เมื่อครั้งนั้นเคยให้กำลังใจ ขอบใจแขนคู่นี้ที่เคยกอดปลอบใจ ขอบใจริมฝีปากคู่นี้ที่พูดให้พี่อารมณ์ดี ขอบใจดวงตาคู่นี้...ที่บอกรักทุกครั้งที่ได้สบตา”

“ขนาดนั้นเชียว”พี่สนว่า ใช่สิ ใครเขาก็รู้กันทั้งนั้น

“ขอบใจหัวใจดวงนี้ที่ยอมให้พี่สนเข้าไปครองนะครับ”

“หลงตัวเอง…ทีอย่างนี้ไม่เห็นปากแข็ง” มือบางดึงแว่นสายตาบนใบหน้าคมสันออก ดวงตาคมโศกนั้นฉายประกายพึงใจอย่างเปิดเผย ก่อนจมูกโด่งนั้นจะก้มลงถูกปลายจมูกกับจมูกรั้น ได้ยินเสียงหัวใจเต้นระส่ำ จนพี่สนนึกร้องปราบหัวใจตนเอง หัวใจจ๋าเต้นเบาๆหน่อยเดี๋ยวน้องพัศได้ยินว่าพี่สนตื่นเต้น

“พี่สนตื่นเต้น”โดนจับได้เสียแล้ว

“เปล่า”มโนพัศยิ้ม ก่อนมอบจูบลงบนริมฝีปากหยักสวยมอบสัมผัสอ่อนหวานทว่าอุ่นร้อนราวกับจะหลอมละลายหัวใจคนทั้งคู่เข้าด้วยกันอย่าช้าๆ



ว่ากันว่าความทุกข์ของคนเรามีหลายประเภท ทุกข์เพราะหน้าที่การงาน ทุกข์เพราะเงิน ทุกข์เพราะคนรอบข้าง หรือแม้แต่ทุกข์เพราะรัก ทว่าความทุกข์เหล่านั้นเทียบไม่ได้เลยกับความสุข แม้เพียงเล็กน้อย ขอเพียงให้ความสุขนั้นแปลเป็นกำลังใจ ทุกข์ใหญ่น้อยประการใดย่อมไม่สำคัญ เชื่อเถอะ...ขอเพียงมีแรงใจ ต่อให้หนทางยาวไกลสักเพียงไหน ก็พร้อมจะเดินต่อไป ดังเช่นที่มโนพัศ ก้าวเดิน ไปสู่หัวใจอศลย์...ที่กลางใจเธอ


END
*******************************A tu corazon******************************




หมดเเล้ว สามตอน....โดยส่วนตัวเเล้ว ชอบไม่มี > สู่กลางใจเธอ > มี   จะพบว่า สู่กลางใจเธอ ให้อารมณ์ที่เเตกต่างจาก ไม่มีเเละมี ค่อนข้างมาก  ขอสารภาพว่า  เรื่องทั้งสามตอนนี้ เขียนขึ้นในระยะเวลาที่ค่อนข้างห่างกันมากทีเดียวค่ะ เลยอาจจะดูอารมณ์ของเรื่องกระโดดไปบ้างในตอนสุดท้ายนี้

ขอบคุณสำหรับทุกการเข้าอ่าน ทุกคอมเม้นต์นะคะ
  
จริงๆเรื่องสั้น๒๔ชม. ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่เคยลงที่บอร์ดนี้มาก่อน  อาจจะลงต่อในทู้เดียวกันเสียเลย ดูไปก่อนเเล้วกันเน๊อะ(ดองไว้ก่อนเเล้วกันเน๊อะ)
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี ๓.สู่กลางใจเธอ (๓๐ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 30-08-2009 03:59:14
+1 ให้นะคราบสำหรับเรื่องนี้เสียดายจังจบแล้ว
แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องสั้นนะจะให้ยืดเพื่อ 555+
จะบอกว่าอ่านเรื่องนี้แล้วแระทับใจในวิธีการเล่าเรื่องที่แยบคายใช้ได้
ภาษามีระดับของตัวเองดีไม่มีความจำเจในการเล่าเรื่อง
พออ่านเรื่องนี้ไปตอนแรก ก็ติดใจไปตามอ่านเรื่องสั่นของ เมศ
แล้วก็เขียนออกมาได้ดีมากๆ ในหลายเรื่อง จะมีบางเรื่องที่อ่านไม่ได้จริงๆ
เพราะไม่ชอบเรื่องแนวๆประวัติศาสาตร์ กับ แนวทะเลทราย 555+
แต่ทุกเรื่องเขียนดี รวมถึงเรื่องนี้ด้วย
เพียงแต่พออ่านตอนสุดท้าย สู่กลางใจเธอ ระดับของการใช้คำดูจะตกลง
ภาษาบางอย่างที่ใช้สื่ออกมาได้ในระดับนึงเท่านั้น แต่ก็ชอบนะคราบ
แล้วจะรออ่านผลงานเรื่องสั้นดีๆแบบนี้อีก
นิว
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี ๓.สู่กลางใจเธอ (๓๐ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 30-08-2009 16:00:43
จบได้น่ารักดีอะครับ

โชคดีจริงๆ ที่พัศไม่เลิกรอ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี ๓.สู่กลางใจเธอ (๓๐ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: Donpopper ที่ 30-08-2009 16:55:58
ซึ้งมากเลยครับ

เป็นการพัฒนาความรักแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป

ไม่รีบร้อน

น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี ๓.สู่กลางใจเธอ (๓๐ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: The Living River Ping ที่ 03-09-2009 11:36:27
นี่แหละ ความรัก ความรักที่สวยงาม
จะสดใสหรือจะมืดมัว ใจเราเท่านั้นที่บอกได้
กว่าจะเข้าสู่กลางใจเธอได้ ต้องเดินมาจากกลางใจตัวเองก่อนเท่านั้น

:m13:
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี ๓.สู่กลางใจเธอ (๓๐ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: benxine ที่ 03-09-2009 18:11:22



 ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะครับ


 :L1: :L1:

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี ๓.สู่กลางใจเธอ (๓๐ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: หัดดิน เอ้ยหัดกิน ที่ 07-09-2009 22:33:42
เจ๋งอ่าคับ
ชอบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี ๓.สู่กลางใจเธอ (๓๐ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: snowblack ที่ 10-09-2009 12:17:32
เจ๋งมากน้องพี่

ชอบสุดๆอ่ะ

เศร้าได้ถูกใจ พี่มากมาย

จบได้หวานพอดี

สุดจะบรรยาย  :m31:  :m31:
หัวข้อ: Re: [Short Story]เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ๑.ไม่มี ๒.มี ๓.สู่กลางใจเธอ (๓๐ ส.ค ๕๒ )
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 12-10-2009 18:16:35
เรื่องสั้น(เกิน) ๒๔ชม.
เรื่อง : ใช่ว่าไม่รักกัน

๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖๖



ท่ามกลางสายลมปลายฝนต้นหนาว ใบไม้จากต้นไม้ใหญ่เสียดสีกันราวส่งเสียงกระซิบถ้อยความต่อกันบ้างร่วงโรยตามลมพัด บ้างคงอยู่ กบส่งเสียงร้องต่ำสูงอยู่เพียงไกลๆ เจ้าของบ้านสองคนกำลังช่วยกันเก็บของใช้ส่วนหนึ่งบรรจุใส่ลังกระดาษ หนังสือเล่มใหญ่ตั้งหนึ่งถูกมือนวลบางค่อยวางเรียงลงในลังอย่างเป็นระเบียบก่อนจะผนึกลังด้วยเทปกาวให้แน่นหนา

“ลังนี้หนักมาก ไม่รู้จะแตกหรือเปล่า”

“เขียนไว้ดีกว่าว่าหนังสือหนัก เวลาขนจะได้ไม่วุ่น” เสียงนุ่มๆนั้นกล่าว พลางคว้าปากกาเมจิกเขียนข้อความลงบนฝาลัง

“คริษฐ์นี่เขียนหนังสือไม่มีหัวเลย”

“ทำอย่างกับตัวเองเขียนแล้วมี” คนฟังฟังแล้วหัวเราะก่อนจะเถียง มีสิ ก่อนจะคว้าปากกามาลองเขียนบนฝากล่องบ้าง

“เห็นไหมมีแล้ว”

“มัวเล่นอยู่ รีบเก็บของเถอะ เชจะได้รีบนอน พรุ่งนี้ประชุมเช้าไม่ใช่หรือ?”เสียงอ่อนโยนนั้นกล่าว ด้วยน้ำเสียงที่นิทเชได้ฟังยามใดล้วนสุขใจทุกครั้ง


จะมีใครเชื่อไหมว่า ‘เรา’ กำลังจะเลิกกัน ไม่ใช่สิ เราเลิกกันแล้ว คริษฐ์แค่แวะมาเก็บของก่อนจะจากไป ออกจากชีวิตของใครอีกคนไป...อาจเป็นตลอดกาล จะมีใครเชื่อไหมว่า เราคบกันเจ็ดปีเต็ม โดยไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง ตามใจกันทุกเรื่อง รู้ใจกันทุกอย่าง ไม่มีใครเชื่อหรอก..... แม้เพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุดของทั้งนิทเชและคริษฐ์ต่างหาว่าเราทั้งคู่โกหก

“ไม่ได้โกหก” นิทเชยืนยันกับเพื่อนสนิท ทั้งที่ข้างกายเขาคริษฐ์ก็นั่งอยู่ตรงนั้น

“ทำไมแกโง่อย่างนี้วะ คริษฐ์เขาดีกับแกทุกอย่างเลยนะเว้ย ไม่เคยทะเลาะกันสักหนเลยไม่ใช่หรือ ตามใจแกทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าคริษฐ์เขาด้อยที่ตรงไหนเลยนะ การศึกษา หน้าตา ความก้าวหน้า เขาเหมาะสมกับแกทุกอย่างเลยนะ”

“ทำไมนะหรือ?”ผมหันไปสบตาคู่หนึ่งที่มองสบกันโดยไม่ต้องนัดหมาย และสิ่งที่เราไม่ได้นัดหมายกันในใจอีกอย่างคือ

ทำไมเราต้องเลิกกัน?

เพราะเราไม่เข้าใจกันหรือ? เห็นจะไม่ใช่ เพราะเราพบรักใหม่หรือ? ก็ยังไม่พบ เพราะเรา ทนนิสัยแย่ๆของอีกฝ่ายไม่ได้? ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ ......หรือเพราะเราไม่เคยทะเลาะกัน??

“วันเสาร์นี้ไปงานวันเกิดด้วยกันไหม?” เสียงนุ่มนวลนั้นถามขึ้นเมื่อเราอยู่ด้วยกัน..คำชักชวนเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรก

“วันเกิดใครล่ะ?”คำตอบที่ได้รับทำให้นิทเชถึงกับต้องนิ่งคิด วันเกิดแฟนเก่า เอาแฟนคนปัจจุบันไปร่วมงานด้วย จะดีหรือ?

“คริษฐ์ไปเถอะ”

“เชไม่ไปแล้วคริษฐ์จะไปทำไม?”

“ก็เขา...เพื่อนคริษฐ์”

“เชไม่ไป ก็ไม่รู้จะคุยกับใคร” นิทเชร้องอ้าว สุดท้ายแล้ว ‘เรา’ ก็ไม่ได้ไป เพียงแต่ส่งการ์ดที่ช่วยกันเลือกไปให้เท่านั้น


ทำไมเราต้องเลิกกัน? หรือเพราะเรารักกันน้อยเกินไป ท่าทางจะไม่ใช่ หรือเพราะเราไม่เอาใจใส่กัน ก็เปล่าเลย หรือเพราะเราใกล้กันมากเกินไป จนต่างอึดอัด ก็อาจจะไม่ใช่อีก เพราะเราต่างเป็นส่วนหนึ่งของอีกคนต่างหาก

“มายืนตรงนี้เร็ว” นิทเชร้องสั่งอย่างขบขัน ก่อนจะจูงมือคนตัวโตกว่ามายืนข้างสิงห์ไม้หน้าบ้าน

“ทำไมต้องถ่ายกับสิงห์หน้าบ้านด้วย”

“หรือจะถ่ายกับปลาคาร์ฟในบ่อ เชก็ไม่ว่านะ” นิชเชพูดพลางจัดทรงผมคริษฐ์ให้เข้าที่ ก่อนจะจัดการกับกล้องถ่ายภาพคู่ใจ

“หล่อแล้ว” คนฟังยิ้มเขินเมื่อได้ฟัง

“หล่อเชยๆ”

“รู้ไหม คริษฐ์ไม่เคยชอบการถูกถ่ายภาพเลย” คนหลังกล้องลดกล้องลง

“ถ้าไม่อยากถ่าย เชเลิกก็ได้”

“ถ่ายเถอะ” คริษฐ์ยิ้ม รับฟังเสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้น....ครั้งแรก...และเพียงครั้งเดียว

“พอดีกว่า รูปเดียวก็พอแล้ว”นิทเชพูดก่อนจะเก็บกล้องตัวโปรด



ฝนยามบ่ายโปรยลงมาแล้ว ละอองน้ำเล็กๆ เกาะบนกระจกใส ทำให้ภาพเบื้องนอกเลือนลาง เหมือนหัวใจนิทเชในวันนั้น หัวใจที่มองสิ่งใดไม่ชัดเจน รอจนกว่าหยดน้ำจะจางหายระเหยเป็นละอองไอสู่อากาศ เมื่อนั้นทุกสิ่งจึงกลับมากระจ่างชัด

“คริษฐ์ เราสองคนน่ะ รักกันมากเกินไปหรือเปล่า?” สัมผัสอุ่นๆนั้นลูบศีรษะนิทเชแผ่วเบา

“อะไรคือมากเกินไปล่ะ”

“ไม่รู้สิ”อ้อมกอดนั้นกระชับขึ้น ยังคงอบอุ่น และอ่อนโยนเสมอ


เราไม่เคยทำสิ่งที่ ‘เราต่าง’ ไม่ชอบ และหลีกเลี่ยงมันเรื่อยมา นิทเชเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบวุ่นวายสังสรรค์กับเพื่อนฝูงที่มากเกินความจำเป็น ในขณะที่คริษฐ์ทำงานที่ต้องพบคนมากเป็นคนอัธยาศัยดี มีเพื่อนมาก
นิทเชชอบถ่ายภาพ เขารักมันยิ่งกว่าสิ่งใด เขามักไปไหนมาไหนคนเดียวกับกล้องคู่ใจ บันทึกภาพสิ่งที่ตนเห็นเก็บไว้ ทว่าไม่เคยบันทึกภาพคนที่เขารักไว้ ...เพราะคริษฐ์เคยบอกว่าไม่ชอบถ่ายภาพเพราะมีปมด้อย...เมื่อใดที่เขาหายไปจากบ้านออกไปตระเวนถ่ายภาพ โทรศัพท์มักดังด้วยความร้อนรนเสมอ นั่นเป็นสัญญาณบอกเวลา...ต้องกลับ เพื่อความสบายใจของ ‘เรา’

“ผมเป็นห่วง”

“ไปแค่แป๊บเดียวเอง ซื้อขนมมาฝากด้วย”

“ไว้เราไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ?” นิทเชแค่รับคำในคอ ไม่มีใครพูดถึงมันอีก จนสุดท้ายนิทเชก็หลงลืมไปเสียเอง

ต่างคิดไปเพียงว่า อยากให้ ‘เรา’ มีความสุข….ก็แค่เท่านั้น


“เพื่อนแทบจะจำหน้าไม่ได้แล้วนะไอ้คริษฐ์” เพื่อนคนหนึ่งของคริษฐ์ ทักขึ้นเมื่อพบกันโดยบังเอิญ

“ก็ไม่ค่อยมีเวลา” มือแข็งแรงอบอุ่น ยังคงกอบกุมมือบางไว้ในอุ้งมือ สุภาพ และอ่อนโยนเสมอ

“แหม คุณเชปล่อยๆไอ้คริษฐ์มันมั่งเหอะครับ”

“เฮ้ย พูดงั้นได้ไง ข้าเนี่ยแหล่ะติดเขา ไม่ใช่เขาติดข้า” ชายหนุ่มพูดก่อนจะหัวเราะกับเพื่อนอย่างขบขัน มือนวลบางในอุ้มมือ ค่อยๆดึงออกจากการเกาะกุม แผ่วเบา...เสียจนเจ้าของมืออุ่นนั้นไม่รู้ตัว

“ ว่างๆก็ชวนคริษฐ์ออกไปสังสรรค์บ้างนะครับ อยู่ติดบ้านเกินไปเดี๋ยวจะเบื่อ” นิทเชพูดออกไปทั้งที่ไม่รู้สึกอย่างนั้น เขากลับรู้สึก....ว่างเปล่า ความรู้สึกที่มันทับถมกันมานานปี กำลังจะเอ่อล้นตันตื้อขึ้นในจิตใจ

“รายนี้คุณเชต้องออกปากเอง เขาถึงจะไปแหล่ะครับ” นิทเชทำเพียงยิ้มน้อยๆ
ในเมื่อเราต่างอยากให้มีความสุข...แล้วเราในตอนนี้ มีความสุขจริงหรือเปล่า??
เราจะมีความสุขด้วยกันได้ โดยที่ตัวตนของเราต่างค่อยสาบสูญไปทีละน้อย ...เราทำอย่างนั้นได้จริงๆนะหรือ?


“แล้วถ้าได้ล่ะ”คริษฐ์ ตอบตัวเอง ทั้งที่มีคำถามอื่นๆผุดขึ้นมาอีก ความสัมพันธ์ของเราจะอยู่ต่อไปได้อีกสักเท่าไหร่?

“แล้วถ้าไม่ได้ล่ะ” นิทเชตอบตัวเอง ผลของมันจะทำให้เราต่างเจ็บปวด ต่างพังทลายลงหรือเปล่า? หรือจะปิดตาตัวเองต่อไป เพื่อให้เรายังอยู่ด้วยกันได้...อีกนิด

“ผมต้องเลือกหรือเปล่า?” น้ำเสียงที่เคยนุ่มนวลนั้น จริงจัง ดวงตาคู่นั้นที่เคยมีน้ำหล่อเลี้ยงฉ่ำหวานกลับแห้งผาก มือนวลกอบกุมมือแข็งแรงที่กำหมัดแน่นไว้

“ไม่ใช่คริษฐ์คนเดียวหรอก แต่เป็น ‘เรา’” น้ำเสียงแห้งแล้งนั้น ทำให้ริมฝีปากหยักสวยสัมผัสแผ่วผิวลงบนมือบาง

“เพียงแต่เราต้องรู้ไว้ เราจะมีทุกสิ่งตามหวังไว้ไม่ได้”

“แล้วอะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆล่ะ?” ดวงตาคู่นั้นที่เคยทอประกายอ่อนโยน ทอดมองอย่างดิ้นรนหาทางออก


ความรักหรือ?....เราจะยังกุมมือกันได้สนิทใจทั้งที่พิษของความเจ็บปวดกำลังกัดกินเรานะหรือ?

“แล้วความสุขล่ะ?”

“เชไม่มีความสุขหรือ?”

“มีสิ เรามีเสมอ เมื่อเราอยู่ด้วยกัน ...แล้วคริษฐ์คิดว่าเรา ‘เป็นสุข’หรือเปล่า?” ชายหนุ่มครุ่นคิด ทว่าให้คำตอบที่แน่นอนกับตนเองไม่ได้เช่นกัน

“แล้วถ้าไม่ เราก็ควรจบกันอย่างนั้นหรือ?”ดวงตาที่คอยสบกลับมาวูบหลบ

“แล้วแต่คริษฐ์”คนฟังยิ้มทั้งที่ดวงตาโศก

“จะแล้วแต่คริษฐ์คนเดียวได้ยังไง?”

“เราอาจจะแค่ต้องการเวลา” นิทเชอดไม่ได้เลย ที่จะยื้อความสัมพันธ์เอาไว้ พอๆกับที่ห้ามตัวเองไม่ให้หลั่งน้ำตาไม่ได้

“อืม...เราอาจจะแค่ต้องการเวลา ให้ตัวตนของเรากลับมา...อย่าร้องไห้เลย”น้ำเสียงอ่อนโยนติดจะอ่อนหวานนั้นกระซิบแผ่วเบา พลางกอดคนในอ้อมแขนไว้

“เพื่อนเชจะต้องว่าเอาแน่ๆ”

“นี่ร้องเพราะกลัวโดนเพื่อนว่าเอาหรืออะไร?”คนถามร้องเสียงหลงเมื่อถูกทุบเสียเต็มแรงก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เราอาจจะเลิกกัน...” ริมฝีปากหยักสวย มอบสัมผัสอุ่นล้ำบนริมฝีปากบาง เนิ่นนาน ก่อนจะถอนจูบอย่างเสียดาย เมื่อสบดวงตาที่ยังเอ่อล้นด้วยน้ำตาคู่นั้น เขายิ่งมั่นใจในสิ่งที่กำลังจะพูด

“แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักกัน ใช่ไหม?” ชายหนุ่มยิ้ม นิทเชพยักหน้ารับพลางยิ้มตอบ

บางคนอาจพูดว่าโชคชะตาเปิดโอกาสให้เราต่างกลับไปค้นหาตัวตนของเรากลับมา ด้วยการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเปลี่ยนแปลง’ นิทเชยิ้มกับตัวเอง โชคชะตาอาจจะช่วยครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นเราต่างหาก ที่ ‘กล้า’ พอจะเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า คริษฐ์และนิทเช กล้าพอ ที่จะถอยหนึ่งก้าวสำหรับความสัมพันธ์ ให้พื้นที่กับหัวใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็ต้องเดินไปตามเส้นทางชีวิตของตนโดยไม่อาจหยุดยั้ง

“ย้ายไปทำงานต่างประเทศก็ดีนี่นา ใครเขาก็อยากไปกันทั้งนั้น ” นิทเชออกความเห็น ในค่ำวันที่ เราอยู่ด้วยกัน ...มิใช่คนรัก แต่เป็นเพื่อนใจ

“เป็นห่วงเช”

“ห่วงทำไม? เชก็ต้องเดินทางเหมือนกัน”

“ห่วงสิ เพราะเชต้องเดินทางไปหลายที่ ใครจะดูแล”คนพูดอดห่วงไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าขัด มากนัก เพราะรู้ว่านิทเชพยายามมาหลายปีกว่าจะได้รับการตอบรับให้เป็นช่างภาพนิตยสารสารคดีแห่งหนึ่ง

“ทุกคนก็ต้องเดินทางทั้งนั้น เดินไปบนทางเดินชีวิตของตัวเอง”

“คริษฐ์รู้ แต่มันก็อดห่วง...ไม่ได้”นิทเชยิ้มอย่างเข้าใจ เจ็ดปีเต็มที่คนตรงหน้านี้เฝ้าเอาใจใส่ดูแลกันไม่เคยบกพร่อง

“ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะ อย่าทำงานจนลืมตัวเองไป เพราะเราต้องรัก...รักตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม”

“อืม...คริษฐ์เข้าใจ”

“ เชไม่ต้องยกลังนั้น เดี๋ยวคริษฐ์ยกเอง”ลังใส่หนังสือถูกนิชเลยกใส่รถที่จอดรอหน้าบ้าน โดยไม่ฟังเสียงค้าน

“มีอะไรต้องขนอีกไหม?”คริษฐ์ว่าไม่มีหรอก ก่อนจะเอื้อมมือมาจับไหล่บาง

“ไม่รู้จะได้เจออีกเมื่อไหร่”

“จะร้องเพลงสั่งนางด้วยหรือเปล่า?” นิทเชถามหน้าตาย ก่อนทั้งคู่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ไม่ร้องหรอก เชก็รู้ ร้องเพลงเป็นปมด้อยพอๆกับถ่ายรูปเชียวล่ะ”มือนวลหยิบรูปหนึ่งออกจากกระเป๋าอกเสื้อ

“รูปนี้คงพอพิสูจน์ได้ ว่าปมด้อยเรื่องรูปถ่ายของคริษฐ์น่ะ ไม่จริงหรอก”


รูปถ่ายขาวดำของกิจวัตรประจำวันที่เจ้าตัวมักทำทุกเช้า เป็นการฝึกสมาธิให้ตัวเองมีสติก่อนออกไป ทำงานเสมอ คนในภาพนั่งบนเก้าอี้ ค้อมกายลงผูกเชือกรองเท้าตนเองในเช้าวันทำงานธรรมดาๆวันหนึ่ง ดวงตาของคนในภาพที่เงยหน้าขึ้นดูคล้ายมองสบในที แววตานั้นฉายประกายนิ่งสงบ และลุ่มลึกกว่าครั้งไหนๆ

“อ่านข้างหลังสิ”ช่างภาพออกปาก คริษฐ์ยิ้มเมื่ออ่านข้อความ

“มิใช่ไม่รักกัน”ไม่มีลงชื่อ หรือวันที่ มีเพียงลายมือหนักแน่นของตัวอักษรไม่มีหัวและเขียนเอียงน้อยๆ ทว่าดูสะอาดตา

“รูปสวยมาก ขอบคุณ” นิทเชมองร่างสูงที่ยังก้มลงพิจารณารูป พลางคาดเดาว่าช่างภาพไปเก็บภาพมาเมื่อไหร่

“ฝนจะตกแล้วนะ” เ สียงแผ่วเบาฟังคล้ายกระซิบนั้น ทำให้ดวงตาคู่คมมองรอบกาย ให้ได้คิดทบทวน ให้ได้ซึมซับความรู้สึกรักและเจ็บปวด ให้ได้เข้าใจ ‘เรา’ ที่ไม่ใช่ฉันท์คนรัก แต่เป็น ‘ตัวเรา’

“อืม ไปล่ะ ปิดประตูบ้านดีๆนะ” มืออุ่นร้อนยังคงสัมผัสอย่างสุภาพอ่อนโยนเสมอ ก่อนริมฝีปากหยักสวยที่ยกยิ้มน้อยๆจะมอบจุมพิตครั้งสุดท้ายลงบนหน้าผากใครอีกคน...ผิวแผ่วราวสายลม ที่พัดมาและผ่านเลยไป


ท่ามกลางสายลมที่สงบลงจนไม่มีใบไม้ใดขยับไหวและเสียงฟ้าครวญ นิทเชยืนมองรถยนต์คันนั้นแล่นจากไปจนลับสายตาด้วยดวงตาที่แผงรอยอาลัยรัก และริมฝีปากคลี่ยิ้มส่งให้ นิทเชถามใจตน ได้เรียนรู้สิ่งใดบ้างจากความรัก ไม่ว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นจะเป็นอย่างไร ชายหนุ่มเฝ้าเตือนตนเอง ให้เรียนรู้และเก็บไว้เป็นบทเรียน ว่า ‘เรา’จะเป็นเราไม่ได้ หากไม่มี ‘ตัวเรา’ เสียงฟ้าครวญสนั่น พร้อมกับสายฝนตกกระทบผืนดินจากน้อยหยดเป็นเทกระหน่ำ หอบพากลิ่นไอดินจางๆชวนสดชื่น หยดน้ำอุ่นร้อน ร่วงหล่นถูกตน ชายหนุ่มเพียงแต่รำพันกับตนเอง

“ฝนตกเสียแล้ว”









********************************************************************

ไม่ค่อยได้เขียนอะไรมาพักใหญ่ รู้สึกฝืดสนิทศิษย์ส่ายหน้า  

อยู่ๆก็อยากเขียนคนเลิกกันมากกว่าคนเริ่มรักกัน 555+ เพราะวันก่อนอาบน้ำอยู่(ทำไมต้องตอนอาบน้ำ เเป่ว...)เเล้วนึกขึ้นมาได้ ซึ่งเรื่องนี้ใช้เวลาเกิน๒๔ชม.ไปเยอะเลยค่ะ คุณ3 (ใช่เวลาตั้งนาน เขียนได้7หน้า ไม่ถึงด้วย)...เเต่ไม่เป็นไร มีเวลาเยอะ ฮ๋าๆๆ  

เเอบขี้เกียจตั้งทู้ใหม่ด้วย เเฮ่ะๆ  :-[

ยินดีรับฟังความคิดเห็น ขอบคุณสำหรับการเข้าอ่าน เม้นต์ นะคะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ใช่ว่าไม่รักกัน (หน้า๒) วันที่ ๑๒ ตค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 12-10-2009 19:08:45
อ่านแล้วไม่ฝืดนะคะ ภาษาสวย อ่านไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีจบซะแล้ว
แถมยังก็รู้สึกว่า ทำไมมันเศร้าจังเลย อะ ทั้งๆที่ช่วงแรกๆ มันไม่เศร้านี่หว่า

 o13
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ใช่ว่าไม่รักกัน (หน้า๒) วันที่ ๑๒ ตค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 12-10-2009 20:41:35
ก็ไม่ได้เลิกรักกันนี่นา...(รึเปล่า) แค่ต่างคนต่างต้องไปทำงานของตัวเองอะ

แต่การจากลานี่ มันเจ็บแปลบๆจริงๆเนาะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ใช่ว่าไม่รักกัน (หน้า๒) วันที่ ๑๒ ตค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 12-10-2009 21:27:12
อ่านแล้วมันหนึบๆไงไม่รู้
การแยกจากกันมันทำใจกันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ เฮ้อ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ใช่ว่าไม่รักกัน (หน้า๒) วันที่ ๑๒ ตค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Givesza ที่ 19-11-2009 23:50:26
 :sad11:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ใช่ว่าไม่รักกัน (หน้า๒) วันที่ ๑๒ ตค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 20-11-2009 08:48:45

 :pig4:


อ่านแล้วรู้สึกถึงอารมณ์ละเมียดละไม


(รู้สึกคนเดียว เอิ๊กๆ)


อืม สุดยอดมากกกก


+1 จัดไป

หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ใช่ว่าไม่รักกัน (หน้า๒) วันที่ ๑๒ ตค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 21-02-2010 17:48:18
ตามมาอ่านแล้วจนได้

เรื่องแรกลุ้นมากมาย

เรื่องที่สองก็ได้อารมณ์เหงาแบบเข้าใจ

ขอบคุณมากครับ

หายคิดถึงได้อีกหน่อย

 :man1:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ใช่ว่าไม่รักกัน (หน้า๒) วันที่ ๑๒ ตค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: PrinceTR ที่ 21-02-2010 18:10:53
ชอบมากเลยครับ

ผมจะตามอ่านผลงานต่อๆ ไปนะครับ  :sad4:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ใช่ว่าไม่รักกัน (หน้า๒) วันที่ ๑๒ ตค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: benxine ที่ 21-02-2010 19:46:36
อ่านไม่รู้เรื่องเลยยยยยย!!!~











ก็น้ำตามันบังตาหมดเลยอ่ะ ไหลตอนไหนก็ไม่รู้

รู้ว่าเศร้าฉิบ !!~

มาอีกเรื่อยๆนะ

 :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : ใช่ว่าไม่รักกัน (หน้า๒) วันที่ ๑๒ ตค. ๕๒
เริ่มหัวข้อโดย: Ramika ที่ 22-02-2010 01:47:39
ประทับใจมากเลยครับ

ขอบคุณมากครับ

แล้วจะมาต่ออีกป่าวเนี่ย
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : บัวขาว วันที่ ๖ มีนาคม ๕๓(เก็บตก)
เริ่มหัวข้อโดย: ppgf ที่ 06-03-2010 14:41:06
 :เฮ้อ: :o8: :o8: :o8: ชอบทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องสุดท้าย
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : บัวขาว วันที่ ๖ มีนาคม ๕๓(เก็บตก)
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 08-03-2010 18:40:13
ขอบคุณครับคุณเมศ  อ่านอีกรอบดีกว่า :man1:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : บัวขาว วันที่ ๖ มีนาคม ๕๓(เก็บตก)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 26-03-2010 17:24:21
เรื่องสั้น ๒๔ชั่วโมง


รักไร้กาล


อะไรเอ่ย?.....มีก็เป็นทุกข์ไม่มีก็เป็นทุกข์

อะไรเอ่ย?...ยิ่งวิ่งหนียิ่งเข้าหา

อะไรเอ่ย?....ยิ่งโหยหากลับขาดแคลน

คำตอบของคนผ่านโลกมามากมายอย่าง ‘กษิดิส’ นั้นคือ ‘ความรัก’

ทว่าความรักไร้กาลเล่า ...ใครจะเข้าใจ?



ในอพาร์ทเม้นต์เล็กๆที่เจ้าของเป็นหญิงชราหูไม่ค่อยดีคนหนึ่ง กษิดิสเพิ่งย้ายเข้ามาขอเช่าอยู่ห้องย่อยในห้องชุดเดียวกันได้ราวๆครึ่งปีด้วยการเรียนไปรับทำงานก๊อกแก๊กเก็บสะสมเงินไปตามเรื่องตามประสานักเรียนนอกที่ไม่ได้มีเงินทุนเป็นถุงเป็นถัง ยามสุดสัปดาห์มักมีเสียงเจี้ยวจ้าวหัวเราะเล่นหัวของเหล่านักเรียน จนบางครั้งเพื่อนบ้านถึงกับเรียกตำรวจมาเจรจา แต่หญิงชราเจ้าของห้องกลับไม่ได้ยินเสียงเอะอะนั้น

“คุณเชื่อไหม มิสแก ไม่ได้ยินเสียง ทั้งที่พวกเราหัวเราะเล่นหัวกันเสียงดังไปแปดตึก” คนฟังฟังเท้าคางกับโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยในส่วนห้องนั่งเล่นอย่างตั้งใจ ดวงตางดงามเป็นประกายอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ถ้าชิงเชื่อก่อนคุณก็ไม่เล่าน่ะสิ”

“แน่สิ ให้ความร่วมมือกันหน่อยแล้วกันนะติลา” คนเล่ายิ้มด้วยแววตาแพรวพราว ก่อนจะเล่าต่อไป พร้อมกับรอยยิ้มบางๆบนริมฝีกปากหยักสวย

“ด้วยความว่าแกแก่มากแล้ว แกเลยไม่ได้ยินนั่นแหล่ะ แถมเวลาพวกนักเรียนไทยไปหรือมา เอาของมาฝากแกกันทั้งนั้น มีหรือแกจะไม่ชอบ แกเลยว่า เด็กๆพวกนี้น่ารัก ไม่ได้เสียงดังเกะกะระรานใคร”

“อย่างนี้ ต่อให้เพื่อนบ้านมาร้องเรียนให้ตาย ตำรวจทำอะไรไม่ได้สิ” ไตติลาออกความเห็น

“ถ้าทำอะไรได้ คงไม่อยู่มาจนถึงป่านนี้ เจ้าของบ้านไม่ได้ยินเสียอย่างนี่”กษิดิสหัวเราะ

“แล้วคุณดิสต้องเรียนอีกกี่ปี?”ไตติลาถามพลางเปิดตำราเรียนของตนเอง ก่อนจะพูด

“ติลายังเตรียมแพทย์อยู่เลย สงสัยกว่าจะจบคงจะแก่เสียก่อน”

“ปีสุดท้ายแล้ว เคยคิดจะเลิกเรียนเสียก็หลายหน” คนฟังอุทาน กษิดิสยิ้มขัน แก้มสองข้างบุ๋มลึก ดวงหน้าคมสันจึงดูอ่อนโยน

“แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว…นะครับ” คนพูด พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ปลายนิ้วยาวแตะสัมผัสปลายนิ้วอีกฝ่ายแผ่วเบา

“คุณมาเรียนที่นี่กี่ปีแล้ว?”ไตติลาซักไซ้ต่อไป คนถูกถามยกนิ้วนับปีแทบไม่ไหว

“สิบปีพอดีเลย มาตั้งแต่อายุสิบหก”ไตติลาทำตาโต

“ผมเพิ่งมาได้สองสามปีเอง มิน่าล่ะคุณเรียนจะจบแล้ว ผมเพิ่งจะเริ่ม” เสียงเพลงที่ไม่รู้ที่มาดังขึ้น กษิดิสเหลียวหา ไตติลากลับสะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบหยิบ ‘กล่องสี่เหลี่ยม’ ขนาดกระทัดรัดออกมา

“อะไรน่ะ?” กษิดิสยื่นหน้าเข้ามาจนชิด

“โทรศัพท์มือถือ คุณไม่มีหรือ?” คนฟังส่ายหัว ไตติลากระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะขอตัวพูดธุระสักครู่ กษิดิสคว้าแก้ว จะไปรินน้ำอุ่นจากในครัว เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเสียก่อน

“คุยกับใครวะ?”เพื่อนสนิทของเขาถามอย่างสงสัยพลางยื่นหน้าเข้ามาในห้อง

“ไม่ได้เอาสาวซ่อนไว้นะเว้ย” ขณะกษิดิสกำลังคิดว่าจะแนะนำตัวกันอย่างไร เพื่อนของเขากลับพูดว่า

“ไม่เห็นจะมีใคร พูดคนเดียวอีกแล้วหรือวะ?” กษิดิสยิ้มพลางออกปากเชื้อเชิญเพื่อนให้เข้ามาในห้อง ชั่ววินาทีที่เขาเปิดทางให้เพื่อนสนิทเข้ามาจึงได้เห็นกับตาว่า ในห้องว่างเปล่า ไม่มีหนุ่มน้อยไตติลา คนๆนั้นหายไป ราวเป็นเพียงเงา



กษิดิสยังจำได้ระยะก่อนที่เขาจะเจอไตติลา บางคืนขณะเขากำลังจะหลับมักจะได้ยินเสียงเหมือนคนเดินไปรอบห้อง ได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษ เสียงเหลาดินสอ เสียงคนเครื่องดื่มในแก้ว หรือแม้แต่เสียงเพลง กษิดิสเคยเปรยอย่างขบขันกับเพื่อนว่า อาจจะมีผี ทว่าเขาไม่เคยกลัว ‘สิ่ง’นี้เลย จนในคืนหนึ่ง เพียงแค่เขาหันหลัง ไปเปิดประตูตู้เก็บจานในส่วนห้องครัว ที่เป็นครัวเปิดติดกับห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดอยู่บ้านยืนจ้องเขาเขม็ง

“คุณเป็นเพื่อนรูมเมตผมหรอ?” กษิดัสถึงกับงง เขาจะมีรูมเมตก็แค่หญิงชราเจ้าของห้องเท่านั้นแหล่ะ

“แล้วคุณเป็นเพื่อนรูมเมตผมหรอ” จะว่าเป็นหลานก็คงไม่ใช่ มิสแกคงไม่มีหลานหน้าตาเอเชียนขนาดนี้

“คุณเป็นคนไทยหรือ?” กษิดิสอดปากไม่ได้ เมื่อเห็นสร้อยพระที่ห้อยอยู่ที่คออีกฝ่าย

“คุณตอบคำถามผมก่อนดีกว่า” คราวนี้คนถามคาดคั้นด้วยภาษาไทยบ้าง

“คุณตอบก่อนดีกว่า” กษิดิสบอกอย่างใจเย็น ดวงตาหลังกรอบแว่นหนาของอีกคนเต้นระริกด้วยประกายโทสะจางๆ ริมฝีปากบางเม้มอยู่อึดใจหนึ่ง

“อย่ากวนจะดีกว่า” คนเริ่มมีน้ำโห ทำตาดุใส่ กษิดิสยกมือทำท่ายอมแพ้

“โอเคครับ ผมเป็นเพื่อนรูมเมตคุณ”

“คนไหนล่ะ? ฮวน หรือ วิโตลิโอ้”

“วิตโตลิโอ้ก็ได้เอา”

“ท่าทางวันนี้เขาคงกลับดึก คุณก็รอไปแล้วกัน” คนพูดเสร็จก็คว้าแก้วน้ำเดินตึงตังหายไปที่ห้องด้านใน

“คุณนั่นห้องผม!” เจ้าของห้องโวย แต่เมื่อเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ในห้องกลับว่างเปล่า ไม่มีใคร หรืออะไรที่ผิดแปลก ชายหนุ่มงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ทว่าไม่ทำให้กษิดิสรู้สึกกลัวแม้แต่น้อย







“คุณนี่ทำไมมาบ่อยจริง” คนเจ้าอารมณ์โวยเมื่อเห็นเขาในห้องนั่งเล่นบ่อยๆเข้า กษิดิสชักสนุกที่ได้เห็นคนๆนี้แสดงท่าทางต่างๆ ทั้งตกใจที่เห็นเขา ทำหน้าบูดแบบชักหงุดหงิดเมื่อเขากวนโทสะ

“ก็ผมยังไม่เจอเพื่อนผมนี่?”

“ทำไมไม่โทรหาเขาละ?”

“ผมไม่มีโทรศัพท์” คนฟังฟังแล้วคอแข็ง ทำท่าจะโต้กลับ

“เราจะนั่งลงคุยกันดีๆไม่ได้หรือ” น้ำเสียงนุ่มนวลที่ไม่ได้แผงแววล้อเลียนยวนโทสะใดๆ ทำให้คนเจ้าอารมณ์สงบลง ก่อนจะตัดสินใจยอมนั่งลงบนโซฟาเก่าๆข้างๆเขาจนได้

“แป๊บเดียวนะ ผมจะอ่านหนังสือ”

“คุณชื่ออะไร?”

“แล้วทำไมคุณไม่บอกชื่อตัวเองก่อนล่ะ?” กษิดิสถึงกับร้องอ้าว

“ผมชื่อกษิดิส”

“ไตติลา”

“คนอะไรชื่อไต” ไตติลามองตาเขียว

“ครับๆ” กษิดิสรีบหุบยิ้ม เกรงจะถูกล้มโต๊ะเสียก่อน

“ไตติลา แปลว่าเทพเจ้า แม่เรียกติลา เพราะไม่อยากเรียกไต” ทั้งคู่เงียบเสียงลงต่างไม่รู้จะพูดสิ่งใด

“คุณรู้หรือเปล่า ว่าทำไมธนบัตรหนึ่งเหรียญถึงมีพีรามิดกับลูกกะตาหนึ่งข้าง”กษิดิสรอดูปฏิกิริยาคนฟัง ทว่าไตติลายังนิ่ง จึงเล่าต่อไป

“เขาว่าดวงตาเป็นตาพระเจ้า เป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณแบบหนึ่ง หมายถึงความรู้ที่สูงขึ้น หรือเกี่ยวกับพวกเวทมนต์ ทีนี้ตาอยู่เหนือพีระมิด เก๊อะหมายถึง เวทย์มนต์เกี่ยวกับการรู้แจ้งของพระเจ้าในไบเบิล...”คนเล่าเงียบเสียงลง คราวนี้คนฟังจ้องตาเขาอย่างใคร่รู้

“แล้วยังไงอีกครับ?” บทจะน่าเอ็นดู ดวงตาที่เคยฉายประกายขี้หงุดหงิด ก็สดใสชวนมองได้เช่นกัน กษิดิสยิ้ม ก่อนจะเล่าต่อไป

“เขาก็เลยว่า ถ้าพกหนึ่งดอลล์ไว้ในกระเป๋า พระเจ้าจะได้คุ้มครอง เกิดอะไรไม่ดีขึ้นจะได้แคล้วคราด”

“ก็น่าจะแคล้วคลาดอยู่ ตกรถตกเรือจะได้มีเงินจ่าย” ไตติลาออกความเห็น คราวนี้กษิดิสหัวเราะเสียงดัง

“ช่างคิด!”


กษิดิสไม่เคยเฝ้ารอใครอย่างใจจดจ่อเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเป็นสุขทุกครั้งที่ได้พบไตติลา ยิ่งนานวันเข้าความรู้สึกเหล่านี้ยิ่งทวีขึ้นงอกงามเป็นสิ่งที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่าความรัก ชายหนุ่มรู้สึกได้ ไตติลาไม่ใช่คนในยุคสมัยเดียวกันกับเขา มันเป็นเรื่องจริงที่เหนือธรรมชาติ เหนือกว่าใครจะคาดฝัน รวมถึงตัวไตติลาเองด้วย เจ้าตัวดูเหมือนจะไม่รู้เลยว่าเวลาเป็นช่องว่างใหญ่ที่สุดที่แยกกษิดิสและไตติลาจากกันบ้างพบกันบ้างเช่นนี้

“คุณนี่โบราณจริงๆ”ไตติลาหัวเราะ เมื่อกษิดิสงกๆเงิ่นๆอยู่กับการใช้คอมพิวเตอร์ กษิดิสเคยเห็นแต่คอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ยักษ์มาบ้าง แต่ไม่ใช่เล็กกะทัดรัดแบบนี้

“อ้าว ก็ผมไม่ได้ใช้นี่ ปุ่มไหนเปิดไหนปิดกันล่ะ”

“ถามจริงเหอะคุณ คุณเกิดปีไหนเนี่ย ไปอยู่ที่ไหนมา คอมพิวเตอร์เดี๋ยวนี้ ไม่ได้เครื่องใหญ่เท่าบ้านเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เล็กกว่าเจ้าเครื่องนี้ยังได้เลย”

“บอกแล้วจะตกใจเชียวล่ะ ท่าทางผมจะแก่กว่าคุณเยอะ” ไตติลาฟังแล้วขันอย่างไม่เชื่อ จะเชื่อได้อย่างไร ในเมื่อขณะนี้กษิดิสอายุยี่สิบหกปี ขณะที่ไตติลาอายุยี่สิบสี่ปี

“ติลาเชื่อไหม ในโลกนี้มีตั้งหลายเรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้”

“แน่สิ แต่ถ้าคิดจะเปิดประเด็นเรื่องผีละก็ ขอผ่านเลยดีกว่า”

“แล้วเรื่องมิติเวลาล่ะ?”

“นี่ตกลงเรียนสถาปัตย์ หรือ สถาปัดไปตามกรรมเนี่ย เปิดประเด็นทวิภพเสียด้วย” กษิดิสทำหน้างง จนไตติลาต้องเสริม

“นิยายไง นิยาย เรื่องเขาออกจะดัง” กษิดิสยิ้มเก้อพลางส่ายหัว

“สงสัยเราจะมาจากคนละเวลากันเสียละมั้ง คุณดิสถึงได้โบราณนัก” ไตติลายิ้มเย้า ก่อนจะสอนให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่รู้ อย่างเต็มใจ ทว่าพอสอนได้สักหน่อย ไตติลาก็ลุกวิ่งไปหยิบแก้วน้ำ ทุกอย่างสลายหายไปต่อหน้ากษิดิส เพียงชั่วกระพริบตาเดียว เหลือเพียงชายหนุ่มนั่งเดียวดายอยู่ตามลำพัง


ชายหนุ่มนั่งนับวันรอ หนึ่งวัน สองวัน สามวัน จนเกือบหนึ่งสัปดาห์ ไตติลาไม่เคยได้กลับมาให้เขาเห็นอีกเลย หรือจะสิ้นโอกาสเสียแล้ว? ชายหนุ่มคิดพลางเปิดน้ำล้างหน้า ดวงตาของเขาแดงก่ำจากการอดนอนมาหลายคืน เขาไม่กล้าหลับ เกรงว่าหากหลับแล้ว ไตติลามาแล้วจะคลาดกัน ชายหนุ่มไม่รู้เลย ว่าเขาเหลือเวลาให้พบใครอีกคนนานเท่าไหร่ ไม่รู้เลยว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ทั้งที่หัวใจรักกำลังอัดแน่นอยู่ในอก ทุกอย่างดูสับสนไปหมด เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดกับไตติลาอย่างไรให้เข้าใจด้วยซ้ำ เมื่อเขาก้าวเท้าออกจากห้องน้ำ ร่างโปร่งคุ้นตายืนอยู่หน้าเตียงเขา จ้องมองกลับมาด้วยดวงตาสับสน

“คุณดิส...”เสียงที่อ่อนล้านั้น บีบหัวใจคนฟังได้อย่างน่าประหลาด

“ติลา ผม....”กษิดิสพูดสิ่งใดไม่ออก ทั้งยินดี และเจ็บปวดไปกับความไม่แน่นอนและสับสน

“คุณดิส นี่ผมฝันไปหรือเปล่า? มันเกิดอะไรขึ้น?” ไตติลากุมศีรษะทุกอย่างสับสนกับเรื่องราวเกินคาดเดา

“ถ้าติลาฝัน ผมก็คงฝันด้วย” มือแข็งแรงอบอุ่นกอบกุมมืออีกคู่ที่เย็นชื้นไว้ ด้วยปรารถนาให้คนตรงหน้าหลุดพ้นจากความอลหม่านในหัวใจ

“ถ้าเป็นฝัน มันก็เป็นฝันดีใช่ไหม?” นี่อีก น้ำเสียงนุ่มนวลที่ไตติลา ‘รัก’ ที่จะฟังหนักหนา

“ผมบังเอิญไปเจอหนังสือบันทึกผู้จบการศึกษา....มันมีชื่อคุณ ....กับปีที่จบ.....มันห่างจากปีที่ผมอยู่ หลายสิบปี” ไตติลาพยายามเล่าลำดับเรื่องราว ทั้งที่ยังสับสน

“เมตของผมบอกกับผมว่าไม่เคยรู้จักคุณ แล้วก็อีกหลายๆเรื่อง มัน.... ทุกอย่าง มันดูสอดคล้องกันไปหมด” ดวงตาที่กษิดิสนึกชมว่าสวยนัก เอ่อคลอด้วยน้ำตา

“ไตติลา ผมรู้ ว่ามันเหมือนเรื่องล้อเล่น เป็นเรื่องตลกที่ไม่มีใครเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงแล้ว ไม่ว่าด้วยเพราะอะไร” ริมฝีปากหยักสวย ประทับลงบนปลายนิ้วอีกฝ่ายแผ่วเบา ชายหนุ่มรู้สึกได้ ว่าร่างตรงหน้านี้กำลังสะอื้นเบาๆ

“ความรู้สึกพวกนี้ ผมสาบาน...ว่ามันเกิดขึ้นจริงเช่นกัน”

“หลายวันมานี้ผมทนกระวนกระวายใจไม่ไหว พยายามหาทางติดต่อคุณ แต่ไม่มีทางไหนเลย ไม่มีใครรู้ว่าคุณเป็นใคร คุณไม่ได้อยู่ที่ไหนๆเลย” กษิดิสเข้าใจ ความรู้สึกสิ้นไร้หนทางขณะทนทุรนทุรายนั้นมันเป็นเช่นไร

“เราจะยังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่? เราควบคุมมันไม่ได้เลย” คำถามที่แผ่วเบาเพียงกระซิบ ทำให้กษิดิสส่ายหน้าเงียบๆ ก่อนจะโอบแขนรอบร่างโปร่ง ด้วยเพราะไม่รู้ ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไร

“อย่ากลัวเลย ดิสอยู่นี่แล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนและอ้อมกอดราวกับจะคุ้มภัยนี้ ทำให้ไตติลาไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป

“อย่ากลัวไปเลย ดิสจะอยู่กับติลาเสมอ ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าเมื่อไหร่”กษิดิสกระซิบแผ่วเบา เพียงชั่วพริบตา อ้อมแขนที่เคยโอบหัวใจไว้กับอก พลันกอดไว้เพียงความว่างเปล่า....เหลือเพียงตัวเขา ให้เดียวดาย




เวลายังคงดำเนินไปสม่ำเสมอ เพียงชั่วกระพริบตาเสี้ยววินาทีหนึ่งได้กลายเป็นอดีตไปพลัน ระยะเวลาบนเส้นทางชีวิตที่ยาวไกลของกษิดิสก็กำลังจะล่วงผ่านอย่างไม่อาจห้ามเช่นกัน ทว่าทุกครั้งที่เขามองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกับใครคนหนึ่งในอดีตอันเหนือจินตนาการนั้น งดงาม แจ่มกระจ่างเสมอ กษิดิสเชื่อมาทั้งชีวิต ว่าความรักของเขาไม่เคยไปไหนเขาจะกอดมันไว้จนข้ามผ่านไปสู้ชีวิตใหม่ แม้จะไม่รู้ว่า ผู้เป็นดั่งหัวใจรักอยู่ ณ ที่แห่งหนไหน

“ปู่ครับลืมตาขึ้นหน่อยได้หรือเปล่า?” เสียงหนึ่งเรียกให้เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ร่างกายนี้เหนื่อยล้ามากแล้ว

“มีคนมาเยี่ยม” ร่างกายที่แก่ชรานี้หนังอึ้งเกินกว่าจะขยับไปไหน เกินกว่าจะออกแรงทำอะไร ทว่าความทรงจำของเขายังแจ่มชัด

“คุณดิส” ใช่แล้ว...เขายังจำเสียงนี้ได้ จำประกายสุกใสในดวงตาคู่นั้นได้ทั้งในยามเป็นสุข หรือทุกข์ รอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะ ทุกอย่างกระจ่างชัดยิ่ง

“อย่าร้องไห้เลย สังขารก็อย่างนี้ ตัวฉันอยู่มานานเสียจนเกือบจะเกินไปแล้ว” กษิดิสไม่รู้ ว่าเหตุใด เสียงของตัวเองถึงแผ่วเบานัก ไตติลาที่แปลกตาไปเล็กน้อย ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาคู่งามมีน้ำตาหล่อเลี้ยงจวนเจียนจะหยาดหยด



















“ติลา เธอจะยังรักฉันไหม? ถ้าฉันเป็นตาแก่ใกล้ตายอย่างนี้?”















กษิดิสหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า สัมผัสอุ่นร้อนที่แตะลงบนเปลือกตาของเขาทีละข้าง เป็นคำตอบที่น่าพอใจยิ่ง กษิดิสยิ้มจาง ความตายตรงหน้าเขานี้ไม่ได้น่ากลัวแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้มีความรัก ที่ไร้กาลเวลาเช่นนี้แล้ว ไม่มีสิ่งใดให้กลัวอีกต่อไป เพราะความรักนี้ยังส่องสว่างอย่างแรงกล้าในหัวใจ ไม่ว่าเวลาจะหยุดนิ่งหรือเดินต่อไป ไม่ว่าหัวใจรักจะอยู่ที่ไหน เขารับรู้ได้ว่าผู้เป็นที่รักจะอยู่เคียงใจเหนือห้วงกาล



รักไร้กาล





๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

นานๆทีจะเขียนได้เร็ว เริ่มเมื่อวาน เสร็จวันนี้ สั่งได้ดั่งใจ เขียนได้อย่างนี้ทั้งปีคงจะไม่มีรายการดองนิยาย เเต่ทำไม่ค่อยจะได้นี่สิคะ ฮ่าๆ


ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : รักไร้กาล วันที่ ๒๖ มีนาคม ๕๓(หน้า๓)
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 26-03-2010 21:13:51
^
^
^
เข้ามาจิ้มครับ



เรื่อง บัวขาว ตอนแรก นึกว่าเป็นเรื่องของคนรักต่างวรรณะจริงๆซะอีก ที่ไหนได้ เป็นนิยายในเรื่องสั้นซะงั้น โดนหลอกเลย หุหุ

ส่วนเรื่อง รักไร้กาล อ่านแล้วแอบงง ตกลงไม่ใช่ผีใช่ไหมครับ แค่ส่งจิตข้ามมิติเวลาเฉยๆใช่รึเปล่าครับ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : รักไร้กาล วันที่ ๒๖ มีนาคม ๕๓(หน้า๓)
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 31-03-2010 21:42:48
รักข้ามภพ อยากมีอีกคนที่อยู่ต่างมิติแบบนี้มั่งจัง
มันคงคิดถึงแบบทรมานเนอะ เพราะไม่รู้เค้าอยู่ตรงไหนจริงๆ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : รักไร้กาล วันที่ ๒๖ มีนาคม ๕๓(หน้า๓)
เริ่มหัวข้อโดย: CaroL ที่ 01-04-2010 12:01:43
อ่านแล้วมีน้ำตาซึม

แต่ก็ซึ้งจัง

ดีใจจังครับ

คุณเมศใจดีจัง

มีให้อ่านบ่อยๆแล้วฮิ้วๆๆๆ

ขอบคุณครับ :man1:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : รักไร้กาล วันที่ ๒๖ มีนาคม ๕๓(หน้า๒)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 18-04-2010 00:51:46
เอ...งงเเล้ว ตกลงมีกี่หน้า ปรับหน้าเว็บใหม่ หน้านี้ยังเป็นหน้าที่สอง  (งึมงำ)

 :L2:

อ่า...อากาศมันเปลี่ยนเเปลงบ่อย ขอ"พูดถึง"(ไม่ได้บ่นนา :m20:) ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่คนเม้นต์น้อยที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา ขนาดลงไปสามบอร์ดเเล้ว สงสัยอ่านจบเเล้วอาจจะงง เเล้วจากไปอย่างเงียบๆ 55+

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นนะคะ

ปล.จริงๆมาเเก้หน้าอ่ะ ตอนเเรกเป็นหน้า๓ ตอนนี้เป็นหน้าสองเเล้ว
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : รักไร้กาล วันที่ ๒๖ มีนาคม ๕๓(หน้า๒)
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 18-04-2010 01:34:47
อ่านงานเขียนของคุณเมศหลายเรื่องแล้วนะคะ
แต่ไม่ได้มีโอกาสเม้นท์เลย...พอสมัครสมาชิกที่เล้าก็ขอให้กำลังใจคุณเมศค่ะ
งานของคุณเมศมันไม่ตายตัวอ่ะ...หมายถึงเขียนได้หลายแนวน่ะค่ะ
เรื่องสั้นที่คุณเมศเอามาลงที่เล้าปรับเป็นเรื่องยาวได้เลยนะคะ
แต่รักไร้กาลนี่...เจ็บปวดอ่ะ :m15:
เวลาที่เรารอที่จะเจอใครซักคนที่เริ่มผูกพันธ์...แต่ไม่สามารถพบได้...
ต้องรอประตูกาลเวลาเท่านั้น
มันเหมือนเราต้องนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ กลางห้องมีเทียนจุดอยู่หนึ่งเล่ม
รอให้เปลวเทียนมันค่อย ๆ ดับลง  โดยที่เราทำอะไรไม่ได้เลย
...ทรมานแทนจริงจริง

ถ้าคุณเมศมีโอกาสแต่งเรื่องสั้นอีกก็เอาแปะไว้นะคะ
ชอบงานเขียนของคุณค่ะ
 :pig4:
   
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : รักไร้กาล วันที่ ๒๖ มีนาคม ๕๓(หน้า๒)
เริ่มหัวข้อโดย: NUKWUN ที่ 18-04-2010 01:48:12
ชอบชื่อตอนที่ว่า "รักไร้กาล"
มันกินใจอย่างบอกไม่ถูก
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : รักไร้กาล วันที่ ๒๖ มีนาคม ๕๓(หน้า๒)
เริ่มหัวข้อโดย: Phing ที่ 18-04-2010 14:27:52
ซึ้งมากเลย แอบน้ำตาซึม
 :pig4:



หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : King of Anything วันที่ 14 ส.ค 53(หน้า2)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 14-08-2010 00:46:48
เรื่องสั้น ๒๔ ชม.
King of Any things


   สายตาคู่หนึ่งกำลังทอดมองออกไปยังถนนด้านนอก ที่มีฝนกำลังสาดเทอย่างไม่กริ่งเกรงต่อสิ่งใด ลมแรงเสียจนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมทาง กิ่งก้านส่ายไหวและใบร่วงปลิดปลิว  ชายหนุ่มทอดสายตามองสภาพการจราจรข้างนอกนั่นพลางนึกไปถึงแผนการเดินทางกลับบ้านของตน ที่ต้องข้ามฝั่งเมืองไปเสียครึ่งค่อน เพื่อกลับบ้าน

“ฟังอยู่หรือเปล่า น้องอัณณ์?” ชายหนุ่มที่อาวุโสสุดในโต๊ะพูดขึ้น เรียกความสนใจของชายเจ้าของชื่อ

“ครับ” อัณณ์ตอบรับ ทั้งที่จริงแท้ ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำ   ชายหนุ่มใช้ช้อนกาแฟก้านบาง คนในแก้วกระดาษของตนเองต่อไปเงียบๆ  ก่อนจะก้มหน้าลงแอบวาดตัวการ์ตูนลงในสมุดบันทึก

“เราคงต้องแบ่งงานกันใหม่”  ชายคงนั้นยังคงพูดต่อไป   อัณณ์ลอบถอนใจเบาๆ พลางคิดไปว่า ถ้าลุกขึ้นขอตัวเดินจากไปเสียตอนนี้จะผิดมารยาทที่ตรงไหนหรือไม่

“มันต้องแบบนี้ ถึงจะดี” อัณณ์ ได้ยินเสียงผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ถกเถียงกันไม่จบสิ้น  ชายหนุ่มไม่อยากฟัง เวลางานมันผ่านไปแล้ว เขากำลังจินตนาการตัวเองเป็นตัวการ์ตูนตัวเล็กๆ เดินไปมาบนกระจกที่มีหยาดน้ำเกาะพราวก่อนจะไหลลื่นลงมายังโต๊ะกาแฟที่ตนนั่ง  กระโดดหลบหลีกไปตามถ้วยชามบนโต๊ะ ก่อนจะเดินชนเค้กก้อนใหญ่ล้มลงก้นจ้ำเบ้า เพราะมือใหญ่คู่หนึ่ง เลื่อนมันเข้ามาอย่างกระทันหัน

“แล้วจะให้น้องอัณณ์จับคู่กับใครดีล่ะ” เจ้าของชื่อยังคงปิดปากเงียบ

“หรือเราควรจะให้น้องอัณณ์ทำเดี่ยวไปเลย” อีกเสียงหนึ่งเริ่มเสนอความคิดเห็นบ้าง  ตัวการ์ตูนอัณณ์น้อยลุกขึ้นปัดกางเกง ปีนขึ้นไปบนก้อนเค้ก นั้น ก่อนจะกัดลงที่มุมหนึ่งเต็มคำ  เมื่อเห็นส้อมเงินเงื้อง้าจะปักลงมาจึงกระโดดหลบอย่างทันท่วงที  อัณณ์มองเจ้าของส้อมนั้น ที่ตัดเค้กคำใหญ่ใส่ปาก  ดวงตาคมหลังกรอบแว่นนั้น มองชายหนุ่มอยู่เช่นกัน

“แต่น้องอัณณ์ยังใหม่มากกับงานนี้นะ” อัณณ์กำลังมอง ชายคนที่นั่งตรงข้าม มือแข็งแรงนั้น หยิบปากกาวาดบางอย่างลงในกระดาษ  ไม่กี่อึดใจต่อมา กลายเป็น เด็กผู้ชายหน้าตาเกเรที่บนอกเสื้อมีรูปหมี

“งั้นมาทำกับฉัน”  อัณณ์จิตนาการไปว่า ตัวการ์ตูนเด็กผู้ชายสองคนนี้กำลังปีนป่ายไปตามโต๊ะ อัณณ์กำลังกระโดดไปตามช้อนส้อมบนจานกระเบื้องที่ว่างเปล่า เหลือเพียงเศษขนมชิ้นเล็กๆ  ในขณะที่เด็กผู้ชายหน้าตาเกเรคนนี้ แอบปีนขึ้นไปซุกซบบนหน้าอกของเพื่อนร่วมงานสาวสวย

“ไอ้นุต  ไอ้หมีคณุตม์!” เสียงเรียกอันดังนั้น ทำให้ทั้งเจ้าของชื่อและอัณณ์สะดุ้งสุดตัว อัณณ์แอบหัวเราะ ที่เด็กชายหน้าตาเกเรในจินตนาการร่วงลงมานอนแผ่กับพื้นโต๊ะ  เจ้าของชื่อเกาแก้มเขินๆ

“ว่าไงนะ?” เสียงทุ้มนุ่มนั้นถามแก้ขวย  อัณณ์ท้าวโต๊ะมองชายผู้นั่งตรงข้ามด้วยสายตาล้อเลียน

“คิดว่าน้องอัณณ์ควรจะทำงานนี้เดี่ยวๆหรือจับคู่ทำกับใคร?” ชายหนุ่มผู้ถูกถามทำหน้าคิด  แต่อัณณ์กลับเห็นเด็กชายหน้าตาเกเรในจินตนาการกำลังกระโดดลิงโลดไปมา

“เอ....เจ้าตัวเขาก็นั่งอยู่ตรงนี้ ผมว่าให้เจ้าตัวตัดสินใจเองดีกว่า”  อัณณ์หลุดจากห้วงจินตนาการของตัวเองโดยฉับพลัน  เจ้าตัวมักเป็นคนหัวอ่อน ใครให้ทำอะไรก็ทำ แทบจะไม่มีปากมีเสียง  จนกลายเป็นว่า มีแต่คนตัดสินใจอะไรๆให้ไปเสียหมด  เพิ่งจะมีคราวนี้เองที่เปิดโอกาสให้เจ้าตัวเลือกเอง

“ว่าไง?” อัณณ์กวาดสายตามองทุกคนในโต๊ะที่หันมองตนเป็นจุดเดียวอย่างลำบากใจ

“นั่นไง ก็บอกแล้ว น้องอัณณ์มาทำงานกับพี่ดีกว่า” ชายที่อาวุโสสุดในกลุ่มกล่าวอย่างสรุปรวมเอาเสียเอง ด้วยน้ำเสียงราวกับหยั่งรู้ทุกสิ่งบนโลกใบนี้  ทุกคนจึงละสายตาไปจากอัณณ์   เหลือเพียงสายตาคู่หนึ่งหลังกรอบแว่นเท่านั้น ที่มองตรงมา อย่างให้กำลังใจ และเชื่อมั่น  อัณณ์สูดลมหายใจลึกๆรวบรวมความกล้าให้ตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้น ผมทำกับพี่คณุตม์ดีกว่า พี่เขาเชียวชาญด้านนี้ น่าจะเป็นที่ปรึกษาของผมได้ดี จริงไหมครับ?”   คณุตม์ ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้ารับเบาๆ  อัณณ์เห็นเด็กชายหน้าตาเกเรคนนั้น ยิ้มยียวนก่อนจะชูหัวแม่โป้งขวาให้   



อัณณ์ยิ้มรับกว้าง การมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเอง ให้ความรู้สึกปรอดโปร่งแบบนี้เอง


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


   ฝนที่เคยตกหนักร่วมชั่วโมง สร่างซาลงมากแล้วในเวลานี้  ทุกคนที่นั่งร่วมโต๊ะกันมานานจึงเริ่มออกปากขอตัว  อัณณ์เก็บแทบกระโดดลิงโลด  ปากกาหลากสีที่วางไว้บนโต๊ะ ถูกกวาดลงกระเป๋าเรียบในคราวเดียว   อัณณ์ยิ้มให้ตัวการ์ตูนที่เขาวาดอีกครั้ง ก่อนจะปิดสมุดเก็บลงกระเป๋า  ร่ำลาพี่ๆขอตัวกลับบ้านอย่างรวดเร็ว

“พี่ไปส่ง” ผู้มีอาวุโสที่สุดในกลุ่ม รีบเอ่ยปากคล้ายจะบังคับ  อัณณ์ลอบทำสีหน้าลำบากใจ

“น้องเขากลับรถไฟฟ้า พี่เอารถมานี่ครับ  เขาไม่ให้เอารถขึ้นรถไฟฟ้านะครับพี่” คณุตม์เอ่ยปากแซว ทำให้เจ้าตัวหน้าหงายไป  อัณณ์นึกขอบคุณคณุตม์ในใจ  ผู้ชายชื่อเหมือนหมีคนนี้ ช่วยเขามาสองครั้งแล้วสำหรับวันนี้

“ปะ” มือแข็งแรงคู่นั้นตบลงบนบ่า อัณณ์ ดวงหน้าคมสันของคณุตม์ที่หันมายิ้มให้น้อยๆ  อัณณ์ทำได้เพียงมองอย่างสงสัย

“รถไฟฟ้า.....ใช่ไหม?” อัณณ์ยังทำหน้างง แม้ว่าชายหนุ่มจะพูดอย่างนั้น

“อ้อ”  คณุตม์หัวเราะ  กับหนุ่มน้อยผู้ไม่รู้ตัวเลยว่า ตนน่าเอ็นดูอย่างไร  อัณณ์ได้ยินเสียงคล้ายจะต่อว่าพี่คณุตม์ ว่าขี้โกง  ทว่าไม่ได้สนใจ

“ผมจอง!” อัณณ์ได้ยินเสียงพี่คณุตม์ว่า ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง  อัณณ์ได้แต่ทำตาปริบๆ...สงสัยอีกเหมือนเดิม

“รีบไปกันเถอะ” คณุตม์เปิดประตูให้อีกฝ่าย  ก่อนจะเดินไปตามทางเท้าด้วยกัน

“เคยมาขึ้นหรือเปล่า?” คณุตม์พยายามเปิดประเด็น หลังจากทั้งคู่เดินมาด้วยกันอย่างเงียบๆ   และอัณณ์เอาแต่ก้มหน้าเดิน ซึ่งเป็นนิสัยของเจ้าตัว

“ไม่ครับ”

“แหม เหมือนกันเลย ลองของใหม่เน๊อะ”

“อัณณ์ชอบวาดการ์ตูนหรือ?” คนถูกถามเพียงแต่พยักหน้า  ชายหนุ่มผู้มากคำถามมาจนปัญญาก็คราวนี้ 



   ชานชาลาในยามนี้ค่อนข้างเงียบเหงา อาจเพราะฝนเพิ่งตกไปหมาดๆ อากาศรอบข้างจึงเย็นชื้น  มองเห็นทิวทัศน์บริเวณรอบข้างได้กว้างไกล อัณณ์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาชอบกลิ่นของอากาศหลังฝนตกใหม่ๆ มันชวนให้สดชื่น เย็นสบาย  นาฬิกาบอกเวลาว่า อีกราวเกือบสิบนาที ขบวนต่อไปจึงจะมา

“แถวที่ทำงานเราเจริญแล้วเน๊อะ” อีกครั้งที่คณุตม์พยายามหาเรื่องชวนคุย

“ครับ”อัณณ์ยังคงพูดน้อยเหมือนทุกที  คณุตม์เริ่มรู้สึกจนปัญญาจริงๆเสียแล้ว  มือนวลบางหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเป้  เป็นโทรศัพท์มือถือ เพื่อถ่ายภาพเก็บไว้

“มาพี่ถ่ายให้” ชายหนุ่มรับขันอาสาก่อนจะรับมือถืออีกฝ่ายมา  ปลายนิ้วมือได้สัมผัสผิวเนื้อนวลเพียงเสี้ยววินาที กลับทำให้หัวใจเต้นแรง

“ย้อนแสง อัณณ์เลยดำเลย” เจ้าของรับกลับไปดูรูปก่อนจะกัดริมฝีปากอย่างเสียดาย   ก่อนจะยกมือถือขึ้นถ่ายใหม่ คราวนี้เปลี่ยนทิศทางไม่ให้ย้อนแสง  แต่ติดชายหนุ่มอีกคน ที่ยื่นหน้าเข้ามาในเฟรมราวกับนกรู้ 

“กล้องชัดดีนะ”  คณุตม์ ยังพยายามเปิดประเด็น  แอบยิ้มภูมิใจหน่อยๆ ที่ปลายจมูกตนเองในรูปเข้าใกล้แก้มใสนั้นอย่างหมิ่นเหม่

“ก็พอใช้ได้ครับ” มือนวลยกขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ ก่อนจะเก็บมือถือใส่กระเป๋า อีกครู่เดียว รถไฟฟ้าก็มาเทียบชานชาลา


   ภายในตู้โดยสาร มีผู้โดยสารนั่งเต็มทุกที่นั่ง  ทั้งคู่จึงเลือกยืนที่เสาใกล้ประตูอีกด้าน อัณณ์มองรอบตัวอย่างค่อนข้างตื่นเต้น  ก่อนที่จะสะดุ้งเพราะเสียงประตูที่ปิดดัง เช่นเดียวกับผู้โดยสารอีกกว่าครึ่ง  คณุตม์ มองพลางอมยิ้มเอ็นดู 

“มองอะไรครับ?” คนพูดน้อยเริ่มสงสัยบ้าง

“มองน้องอัณณ์”  คณุตม์มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาเป็นประกาย คล้ายจะหยอกเล่น  คนถูกมองจึงก้มหน้างุดเหมือนเดิม

“มองพี่หน่อยไม่ได้หรือ?” ชายหนุ่มทำใจกล้ากระซิบเบาๆ  ดวงหน้าขาวของอีกฝ่ายเริ่มซับสีเรื่อ

“ไม่เอา”

“พี่ไม่ใช้หมีนะ  มองแล้วไม่ตะปบหรอก”

“พี่ชื่อเลียนแบบหมี?” คณุตม์อยากจะขำ กับสีหน้าท่าทางจริงจังของอีกฝ่าย ราวกับการถามคำถามนี้เป็นการทำความผิดมากมาย

“พี่เกิดก่อนหมีคนุต หมีสิเลียนแบบชื่อพี่”


ทั้งคู่ยืนเคียงกันไปเงียบๆ  ยิ่งแวะสถานีถัดไป คนยิ่งเข้ามาในขบวนรถมาก  ชายร่างสูงใหญ่กว่า จึงช่วยบางบังอีกคนไว้ ไม่ให้ต้องเบียดเสียดกับฝูงชน   อัณณ์มองออกไปนอกหน้าตาอย่างเพลิดเพลิน  จนลืมไปแล้วว่า ตนเองต้องลงที่สถานีไหน

“เอ..เราต้องลงสถานีอะไรนะ?” คณุตม์เองก็ลืมเช่นกัน   อัณณ์ขมวดคิ้วพยายามนึกชื่อสถานีด้วยอีกคน

“สถานีนี้!”  มือแข็งแรงฉุดข้อมืออีกคนให้พุ่งออกไปจากขบวนรถ ตามหลังกลุ่มผู้โดยสารอื่นๆไปได้ ก่อนประตูขบวนรถจะปิดหวุดหวิด

“เอ๊ะ ไม่ใช่นะครับ ถัดไปต่างหาก” อัณณ์นึกได้ช้าไปเสียแล้ว ขบวนรถวิ่งฉิวจากไปต่อหน้าต่อตาคนทั้งคู่ 

“พี่หมี!” อัณณ์เรียกเสียงเข้ม คล้ายจะตัดพ้อ แต่แล้วคนทั้งคู่กลับหัวเราะดังลั่นชานชาลาที่แทบร้างผู้คนนี้  ก่อนจะนั่งลงที่ม้านั่งในชานชาลานั้นอย่างเสียไม่ได้ ...เหลืออีกราวสิบนาที กว่าขบวนต่อไปจะมา

“เป็นแกะน้อยในเมืองใหญ่” คณุตม์ออกความเห็น

“พี่เป็นหมีแล้วไม่ใช่แกะ ตัวก็ไม่น้อยอีกตะหาก”

“แล้วน่าจะรักหรือเปล่าล่ะ?” คนถามทำเสียงหวาน ส่งสายตาลึกซึ้งอย่างไม่ปิดบัง อัณณ์ส่ายหน้าเบาๆ 

“ส่ายหน้า คือ?”

“ไม่เข้าใจ”

“โธ่เอ๋ย” มือแข็งแรงขยี้เส้นผมอีกฝ่ายเบาๆ อย่างหมั่นไส้เต็มแก่  ก่อนทั้งคู่จะนั่งอยู่ด้วยกันเงียบๆ  ฟังเสียงการเคลื่อนไหวรอบตัว  อัณณ์ชอบจิตนาการถึงตัวเองเป็นตัวการ์ตูนตัวเล็กๆ  ตอนนี้มันกำลังเดินกลับไปกลับมาบนชานชาลาอย่างกระวนกระวาย  โดยมีตัวการ์ตูนอีกตัว เป็นเด็กชายท่าทางเกเร คอยต้อนหน้าต้อนหลัง

“รถไฟมาแล้ว” คณุตม์เตือน ก่อนทั้งคู่จะก้าวเข้าสู่ตัวขบวนรถอีกครั้ง 


   อัณณ์เลือกที่นั่งไม่ได้อีกเช่นเดิม เพราะผู้โดยสารค่อนข้างมาก  จึงได้แต่ยืนเกาะเสาที่ตำแหน่งเดิมเช่นก่อนหน้า เพราะอาศัยโดยสารแค่สถานีเดียวเท่านั้น  สัมผัสอุ่นร้อนที่แตะกันเบาๆที่มือข้างที่ใช้ยึดเกาะไว้ให้ทรงตัวอยู่ ทำให้อัณณ์รู้สึกหัวใจเต้นแทบกระดอนออกมา

“คนเยอะเน๊อะ” คณุตม์ว่า พลางเคลื่อนกายเข้ามาใกล้อีกนิด จนใบหน้านวลนั้นแทบซุกซบบนอก

“พี่คณุตม์ลวนลามผม” อัณณ์อุบอิบกับตัวเองเบาๆ  คนถูกกล่าวหาหัวเราะ และยิ่งหัวเราะมากขึ้นเมื่อเห็นหูอีกฝ่ายแดง

“เปล่านะ”

“พี่แค่ ขอชื่นใจหน่อย” อีกฝ่ายส่ายหน้าอีก

“ อะไรๆก็ส่ายหน้า” คณุตม์ทอดเสียงอ่อน นึกเอ็นดูเด็กขี้อาย

“น้องอัณณ์รักพี่หน่อยไม่ได้หรือ?” คณุตม์กระซิบข้างหูอีกฝ่าย ใกล้เสียจนรูสึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ  คราวนี้อีกฝ่ายก้มหน้ามากยิ่งกว่าเดิม พลางส่ายหน้า

“อย่างนี้พี่ก็เสียใจแย่สิ…เอ๊ะ หรือต้องบังคับ”

“พี่ลำเอียงเสียด้วยสิ”   ชายหนุ่มหัวเราะแห้ง  เริ่มรู้สึกว่าหากหนุ่มน้อยตรงหน้านี้ไม่เล่นด้วยเสียแล้ว เขาคงจะแห้วอกหักดังเป๊าะเสียเป็นแน่


   เสียงประกาศถึงสถานีปลายทางของทั้งคู่  ผู้โดยสารรอบกายต่างเดินออกจากขบวนรถ เช่นเดียวกับคณุตม์และอัณณ์ที่ต้องตามกระแสคลื่นมนุษย์ออกมาด้วย  ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หยุดรออีกฝ่ายที่ทางลงจากสถานี แค่เพียงมองสบตา  อัณณ์ก็แทบจะหัวใจกระดอนออกมาจากอก   นี่คณุตม์กำลังให้เขาเป็นฝ่ายตัดสินใจเองใช่หรือเปล่า   แล้วถ้าเขาปฎิเสธเล่า จะทำร้ายความรู้สึกให้อีกฝ่ายเจ็บปวดหรือเปล่า  แล้วถ้าเขาตอบรับ แน่ใจหรือว่าตัดสินใจถูก  จะไม่ต้องมาเสียใจทีหลังให้น้ำตาใช้หัวเข่าแน่หรือ?

“ตัดสินใจได้หรือยังครับ?” 

“พี่คณุตม์ใจร้อน” อัณณ์จับจ้องสีหน้าอีกฝ่าย ที่ปิดบังความตื่นเต้นไว้ไม่มิด

“นะ?” คณุตม์ทำเสียงอ่อนราวกับจะอ้อนวอน

“ให้ผมตัดสินใจ....ใช่ไหม?”

“แน่สิ เรามีสิทธิ์เต็มที่”

“แม้ว่า คำตอบจะทำให้พี่ไม่มีความสุขนะหรอครับ?”  ตลอดชีวิตที่ผ่านมา อัณณ์ผู้เป็นน้องคนเล็กของครอบครัว มีคนตัดสินใจในชีวิตให้ตลอด จนเข้าเรียน ไปจนถึงชีวิตทำงาน  พูดไปแล้วอาจจะไม่มีใครเชื่อ ว่าคนประเภทนี้มีอยู่จริง แต่อัณณ์รู้ ว่าเขาคือตัวอย่างของคนกลุ่มนั้น   และในวินาทีนี้ ชายตัวใหญ่เหมือนหมีคนนี้ กำลังหยิบยื่นสิทธิ์การตัดสินใจให้เขา 











“รัก.....หน่อยนึงก็ได้”









   เมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างขวางบนดวงหน้าคมสันของใครอีกคน ทำให้หัวใจของอัณณ์พองฟูขึ้น ด้วยความรู้สึกยินดีถึงอำนาจในมือตนเอง  อำนาจแห่งการตัดสินใจ และความกล้าหาญราวกับราชา  ที่ทรงสิทธิ์ขาด แห่งหัวใจตนเอง

จบ


เรื่องสั้น ๒๔ ชม. เรื่องที่เท่าไหร่ของเมศก็จำไม่ได้นะคะ 55+ (ใครจำได้ช่วยบอกที)

เขียนเเบบสนองตัวเองโดยเเท้ เลยเป็นเรื่องสั้นที่ไม่มีอะไรเลย ที่สุดในตระกูล ๒๔ ด้วยกัน

อาจเพราะช่วงนี้อากาศฝนๆฟ้าๆนะคะ เมศเป็นมนุย์ฝนฟ้าตามสภาพอากาศ เลยเจอเพลงๆหนึ่งเข้า ฟังเเล้วมันช่างสดใส ขัดกะวันเฉาๆของเมศ เลยจัดมาสักหนึ่งที พลอตไม่มี เขียนไปเรือยๆ ออกเเนวตามเพลงไปเรื่อยๆค่ะ  ชื่อเรื่องก็ไม่คิดเอง เอาชื่อเพลงง่ายๆงี้เลย 

(ทำไมยิ่งพูดยิ่งดูเป็นคนไม่เอาไหน ฮ่าๆๆๆ เเต่มันเป็นเรื่องจริงมากซะด้วยสิคะ55555+/*หัวเราะลั่นก้องป่า)เเว๊บมาเขียนเรื่องสั้นเเนวสดใสเเทนเรื่องยาวเเนวเฉาๆ สัก ๒๔ ชม(ตามคอนเซป) ชื่อตัวเอกของเรื่องนี้มีความหมาย มากกว่าชื่อเหมือนหมีด้วยนะคะ

คณุตม์ = ประเสิรฐกว่าคนทั้งหลาย

อัณณ์ = เเม่น้ำ,ตัวหนังสือ

ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ

หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : King of Anything วันที่ 14 ส.ค 53(หน้า2)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 14-08-2010 23:42:11
อ่านตอนฝนพรำๆๆ พอดีเลย น้องอัณณ์เป็นคนแบบนี้เหมาะแล้วที่จะมีอิตาพี่หมีมาคอยดูแล
ชอบตอนที่นึกว่าเป็นตัวการ์ตูนน่ารักดี แต่ทำไมอ่านแล้วกลับนึกถึง Tom & Jerry ก็ไม่รู้ :laugh:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : King of Anything วันที่ 14 ส.ค 53(หน้า2)
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 06-02-2011 08:48:33
ตามอ่านของคุณเมศ จากอะกาลิโก  อ่านแล้วก็จี๊ดๆ  หัวใจปวดหนึบๆเลย :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: MOBILE UPDATE
เริ่มหัวข้อโดย: thehackzzi ที่ 06-02-2011 13:17:25
เข้ามากล่าวคำขอบคุณแล้วเดินออกกระทู้เงียบๆ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : King of Anything วันที่ 14 ส.ค 53(หน้า2)
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 06-02-2011 18:04:27
โ้อ้ยๆๆๆ โคตรจะชอบเลย
ชอบมากกกกกกกกก ทุกเรื่องเลย
แอบเสียน้ำตาให้กับรักไร้กาล สะเทือนใจ
แต่ก็มายิ้มได้กับเรื่องน้องอัณญ์กับหมีคณุตม์

+1 แรงๆคร้าบบบ

ปล.เรื่องสั้น 24 ช.ม.ยังมีอีกไหมคะ  อยากอ่านๆๆๆ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : King of Anything วันที่ 14 ส.ค 53(หน้า2)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 06-02-2011 23:38:52
ยังมีอีกหรือเปล่าครับ? ชอบจัง โดยเฉพาะเรื่อง King of Anything น่ารักดี ^^
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : King of Anything วันที่ 14 ส.ค 53(หน้า2)
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 18-08-2011 19:59:56
อ่านแล้ว ทึ่งค่ะ  เป็นเรื่องที่เดินไปอย่างราบเรียบมาก  แต่ละมุนละไมที่สุด
ขอบคุณนะค่ะที่แต่งเรื่องดีดีให้อ่านกัน  ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : King of Anything วันที่ 14 ส.ค 53(หน้า2)
เริ่มหัวข้อโดย: KanomPhing ที่ 04-10-2011 20:05:19
ชอบคุณดิสมากๆ
น่ารักชะมัด
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : King of Anything วันที่ 14 ส.ค 53(หน้า2)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 04-10-2011 22:15:46
เรื่องล่าสุด น่ารักจัง

 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : King of Anything วันที่ 14 ส.ค 53(หน้า2)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae123 ที่ 05-10-2011 00:36:56
อยากจะบอกว่า....
ชอบทุกเรื่องเลยอ่ะ อิอิ
แต่แอบชอบเรื่อง king of anything
น่ารักดี ชอบๆๆ ><~~~
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : King of Anything วันที่ 14 ส.ค 53(หน้า2)
เริ่มหัวข้อโดย: Jaajaa ที่ 08-10-2012 20:28:40
มาต่ออีกนะคะ
ชอบมากทุกเรื่องเลย o13
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : King of Anything วันที่ 14 ส.ค 53(หน้า2)
เริ่มหัวข้อโดย: AB^Ton^ ที่ 28-11-2012 11:31:35
ลุ้นตัวโก่ง เลย เรื่องนี้ ขอบคุณคนแต่งมากครับ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : King of Anything วันที่ 14 ส.ค 53(หน้า2)
เริ่มหัวข้อโดย: pure_ka ที่ 24-09-2013 20:12:54

2 ปีผ่านไปกลับมาอ่านอีกครั้ง ในวันที่ฝนพรำๆ

ก็ยังอยากขอบคุณอีกเหมือนเดิม เพราะยังละมุน ละไม 

อ่านแล้วมีความสุข 

หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : King of Anything วันที่ 14 ส.ค 53(หน้า2)
เริ่มหัวข้อโดย: kamikame ที่ 24-09-2013 23:40:48
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ นะฮ๊าฟฟฟฟ  o13
หัวข้อ: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)
เริ่มหัวข้อโดย: ภาณุเมศพลัง ที่ 11-08-2014 20:03:06
เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง
เรื่อง: มิใช่ไม่รักกัน (ต่อจาก เรื่อง : ใช่ว่าไม่รักกัน P.1 ของกระทู้นี้)

๐๐๐๐๐๐

เริ่มมืดลงแล้ว...คริษฐ์คิด เมื่อมองท้องฟ้าผ่านกระจกหน้ารถยนต์ที่จอดนิ่งอยู่บนถนนในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้  ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนพลางขยับคลายเนคไทและกระดุมเสื้อให้สบายขึ้น  หลายเดือนมานี้เขาเหนื่อยเหลือเกิน  เหนื่อยใจกับสภาพแวดล้อม เหนื่อยใจกับคนรอบกายที่มีมากมายแต่ไม่มีใครเลยที่จะเข้าใจหรือเห็นใจเขาจริงสักคน ราวกับคนเหล่านั้นฟั่นเฟือนกันไปหมด....หรือบางที อาจจะเป็นตัวเขาเสียเองที่เสียสติ

   คริษฐ์รู้สึกตัวว่ากำลังหลงทาง หลงทางในเขาวงกตของความสัมพันธ์ที่ตัวเองเป็นคนทำเงื่อนปมขึ้นโดยไม่รู้ทางแก้ และปล่อยให้พันรัดเข้าที่รอบคอแน่นขึ้นทุกที  ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นจากเบาะข้างกาย เมื่อเขาพลิกมือวางโทรศัพท์ลงบนอีกมือหนึ่ง จึงได้เห็นแหวนเงินที่นิ้วนางข้างขวาที่ตนสวมไว้  แหวนที่นิทเชทำให้ด้วยความตั้งใจในทุกรายละเอียด แหวนทีมีเพียงชิ้นเดียวในโลกเพื่อสื่อตรงความรักของใครอีกคนหนึ่งถึงเขา....ทว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านไปนานแล้วแม้จะยังรู้สึกราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน

   คริษฐ์เริ่มใช้ชีวิตอย่างคนบ้างาน เพราะงานเป็นอย่างเดียวที่ทำให้เขาดับความว้าวุ่นของหัวใจตัวเองได้  เขาจึงทุ่มเทกับมันจนก้าวหน้าเกินกว่าที่คาดหวัง ใช้งานเป็นเกราะซ่อนตัวจากข่าวคราวใดๆจากเมืองไทยที่ไม่อยากรับรู้ ด้วยปรารถนาว่าการไม่รับสารใดจะช่วยให้เขาตัดใจจากนิทเชได้เร็วขึ้นอีกนิด ให้ตัวตนที่เสียศูนย์ของเขาหายลับไปเสียที
  เมื่อถึงที่พักชายหนุ่มเริ่มเช็คสายที่ไม่ได้รับ ไฟกระพริบสีแดงที่เครื่องโทรศัพท์วูบวาวราวกับจะส่งสัญญาณเตือนถึงข่าวร้ายจากแดนไกลกำลังเคาะประตูเรียกหาเขาอยู่แล้ว

“ไอ้คริษฐ์ กูไม่แน่ใจว่าจะบอกมึงดีไหม.....”เสียงเพื่อนสนิทที่อยู่ไกลถึงอีกซีกโลกพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจ  คริษฐ์รอฟังเงียบๆ
“นิทเชรถคว่ำ อาการสาหัส กูรู้ข่าวเมื่อเย็นนี้เอง....”คริษฐ์รู้สึกชาวาบ ประสาทสัมผัสทั้งหมดราวถูกเคลือบคลุม คล้ายกับทะเลสาบถูกผืนหมอกทึบคลุมทับ 

คริษฐ์พยายามติดต่อเพื่อนที่เมืองไทย แต่ด้วยเวลาที่ห่างกันร่วมสิบชั่วโมงจึงไม่ได้ความคืบหน้าใด  ชายหนุ่มเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง กระวนกระวาย ว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน โอดครวญ บางคราวก็นึกโทษตนเองทื่ไม่อยู่กับนิทเชในเวลาแบบนี้  แต่แล้วกลับเกิดคำถามอื่นขึ้นกับตนเองอีกเช่นกัน ‘อยู่กับนิทเชในสถานะอะไร?’ 

เพื่อนหรือ? ครั้งสุดท้ายที่เป็นเพื่อนกันเมื่อไหร่หนอ..สิบปีที่แล้วเห็นจะได้

คนรักเก่าหรือ? แล้วถ้านิทเชพบใครใหม่แล้ว เขายังจะสนใจเราอีกทำไม?   คริษฐ์คิดด้วยความว้าวุ่น เขานั่งลงที่ปลายเตียงของตัวเอง ทอดมองเหล่าภาพใหญ่น้อยที่ตั้งไว้ที่โต๊ะหัวเตียงแล้วสะดุดเข้ากับรูปในกรอบไม้เรียบๆที่ดูไม่มีอะไรโดดเด่น 

มือแข็งแรงเอื้อมไปคว้ากรอบรูปขึ้นมอง  ภาพตัวเขาเองที่กำลังก้มลงผูกเชือกรองเท้าพร้อมกับดวงตาราวกับคนกำลังครุ่นคิดพร้อมรอยย่นจางๆบนหน้าผาก  คริษฐ์แกะรูปออกจากกรอบ ไล้มือแผ่วเบาลงรูปนั้นด้วยเพราะคิดถึงคนที่ถ่ายรูปใบนี้ ก่อนจะพลิกดูด้านหลัง คำห้าคำที่เขียนด้วยลายมือคุ้นตาทำให้คริษฐ์ยิ้มจางกับตัวเอง  ‘ใช่ว่าไม่รักกัน’   เขาจ้องมองตัวอักษรนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายอันตีรวนพลางคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆอย่างเงียบงัน




‘คริษฐ์ชอบเราตรงไหนกัน?’ นิทเชในความทรงจำถามด้วยดวงตาคู่โตจับจ้องอย่างเฝ้ารอคำตอบ ในวันที่เขารวบรวมความกล้าเข้าไปบอกรัก

‘เชน่ารักดี  เป็นคนมองโลกในแง่ดี ใครอยู่ใกล้ก็สบายใจ’

‘ทั้งที่เราหน้าจืดๆเหมือนเต้าหู้ขาวอย่างนี้นะหรือ?’ เจ้าตัวพูดพลางหัวเราะ

‘เต้าหู้ขาวใช่ว่าไม่อร่อยนิ  จริงไหม?’ ดวงหน้าขาวๆนั้นซับสีเรื่อตัดกับสีขาวสะอาดของชุดนักศึกษาที่อีกฝ่ายสวมใส่ ความใฝ่หาในความรักของชายหนุ่มทำให้นิชเชกลายเป็นคนที่น่ารักน่ามองที่สุดใต้ดวงตะวันนี้!

   คริษฐ์ไม่เคยวาดฝัน ว่าอายุขัยความรักของตนจะยืนยาว เขารู้เพียงว่านิทเชยังเป็นที่รักเสมอ  ยิ่งนานวันเข้าความผูกพัน กลับพันผูกให้คนสองคนยึดติดเหนียวแน่นต่อกัน  พันธนาการความรักอันแน่นหนาบีบบังตัวตนของทั้งคริษฐ์และนิทเชให้จางหาย สร้างรอยปริร้าวเล็กๆขึ้นบนความสัมพันธ์และพวกเขาแสร้งเป็นมองไม่เห็นมาหลายปี เก็บกักความอึดอัดเอาไว้กับอกจนสุดท้ายความรักจึงต้องจบ...ทั้งที่ยังรัก     คริษฐ์ยังจำรอยยิ้มสดใสของนิทเชได้  จำสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายในยามที่ทำสิ่งที่รัก  จำสัมผัสผิวเนื้อและกลิ่นเฉพาะตัวของอีกฝ่ายได้แม่นยำนัก  ชายหนุ่มหลับตาลง...ขบคิด  และตัดสินใจ


๐๐๐๐

   นิทเชจำได้ว่าตนเองตื่นขึ้นพร้อมกับแสงสว่างเจิดจ้า  สองตามองเห็นแต่เพียงฝ้าเพดานขาวสะอาดราวกับโลกทั้งใบมีเพียงสีขาวและดำ  ได้ยินเสียงอุทานด้วยความตระหนกและเสียงฝีเท้าเร่งร้อน  ไม่กี่อึดใจต่อมานิทเชก็ได้ยินเสียงเรียกที่ทำได้แต่เพียงเบือนสายตาอันเลื่อนลอยไปมองโดยไม่อาจตอบคำใดๆได้เนื่องจากความเจ็บร้าวทั้งร่างกายบีบรัดสำเนียง  เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบคนกลุ่มหนึ่งทอดสายตามองมายังเขาด้วยสายตาเป็นห่วงระคนโล่งอก  นิทเชเพียงแต่มองตอบเงียบๆ ก่อนจะแลเลยไปมองหาบางอย่างจากคนกลุ่มนั้น....ทว่าไม่เจอ

   ร่วมอาทิตย์ถัดมานิทเชก็ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ อาจเพราะนิทเชยังต้องชดใช้กรรมอีกมากมายเขาจึงยังมีเวลาบนโลกใบนี้ต่อไปราวกับปาฏิหาริย์  ขณะนี้จึงมีสภาพทรมานด้วยดวงหน้าบวมช้ำ เนื้อตัวเป็นจ้ำช้ำม่วงไปทั่วพร้อมกับกระดูกมือขวาที่แตกแทบละเอียด ชั่วขณะที่คิดว่าตายแน่แล้วใบหน้าของบุคคลอันเป็นที่รักจำนวนหนึ่งก็สว่างวาบในห้วงคิด...หนึ่งนั้นคือคนที่ซื้อกล้องตัวโปรดให้ไว้เมื่อหลายปีก่อน นับเป็นโชคดีของนิทเชที่กล้องตัวนี้ปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน นอนนิ่งในกระเป๋าให้เขาลูบคลำเล่นอยู่อย่างนี้ในขณะที่รถทั้งคันแทบกลายสภาพเป็นเศษเหล็กหลังอุบัติเหตุ    มือข้างดีลูบคลำกล้องในกระเป๋าเล่นเบาๆ  ไล้สัมผัสเป็นตามผิวขรุขระของตัวกล้องอย่างถนอมยิ่ง แม้อายุใช้งานของมันจะนานมากแล้วก็ตาม

‘มันแพง!’ นิทเชยังจำเสียงอุทานของตัวเองได้

‘แต่เชชอบมันไม่ใช่หรอ  ผมรู้ว่าเชมาลูบๆคลำๆมันหลายทีแล้ว’ นิทเชยังจำได้ว่าอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างไร สำเนียงนั้นยังชัดเจนราวกับกระซิบอยู่ข้างหู

‘เชจะเก็บเงินซื้อเอง  อีกไม่กี่เดือนก็ได้แล้ว’ คนฟังคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้คนทำหน้างอ

‘ถือเสียว่าเป็นของขวัญวันครบรอบปีที่สี่  ให้ผมได้คืนอะไรกลับให้เชบ้าง....ได้ไหม?’  นิทเชคิดแล้วก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้  ทุกครั้งที่คริษฐ์ทำสายตาอ้อนวอน ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะขัดขืนได้

   แล้วในตอนนี้นิทเชเหลืออะไรบ้าง?....เจ้าตัวพยายามคิดหาคำตอบให้ตัวเอง งานของนิทเชหยุดชะงักเพราะบาดเจ็บจนทำงานไม่สะดวกนักและหากโชคร้าย มือข้างถนัดนี้อาจใช้ได้ไม่เหมือนเดิม นิทเชอาจมีเพื่อนฝูงรายล้อมรอบกาย แต่จะมีใครบ้างเข้าใจเขาอย่างที่ใครคนหนึ่งเคยเข้าใจ  แต่น่าเสียดาย.....ความรักทำให้ทั้งคู่ต่างสายตามืดบอด  ลบเลือนตัวตนของกันและกันอย่างช้าๆ  จนสุดท้ายต้องจากกันทั้งที่ยังรัก  ทำให้คริษฐ์ที่นิทเชรู้จักหายลับไปอย่างน่าใจหาย   

  นิทเชตักอาหารค่ำของตนเข้าปากอย่างทุลักทุเลด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด  พลางทอดสายตาเห็นแมวหลงสภาพผอมโซตัวหนึ่งที่ลักลอบเข้ามาในบ้านเขา เมื่อเห็นสภาพน่าเวทนานั้นแล้วก็ใจอ่อนแบ่งอาหารให้ทั้งที่รู้...แมวจร ประเดี๋ยวก็จากไป



   นิทเชเงี่ยหูฟังเสียงรอบกายเมื่อทั้งบ้านเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงน้ำที่หยดจากก๊อกกระทบลงบนจานเซรามิก  เสียงใบไม้เสียดสีกันในยามที่สายลมอ่อนเบาของฤดูฝนพัดผ่าน  นิทเชกำลังใช้ความคิดอยู่หน้าอ่างล้างจานว่าจะจัดการกับจานชามที่มีคราบติดแน่นด้วยมือข้างเดียวได้อย่างไร    นิทเชสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือคู่หนึ่งยื่นเข้ามารับหน้าที่ต่อจากเขา มือแข็งแรงนั้น ขัดล้างจานใบนั้นเบาๆ โดยไม่มีเสียงใดดังไปกว่าเสียงของน้ำ  เพียงไม่นาน...จานใบนั้นก็กลับไปสะอาดดังเก่า ราวกับไม่เคยถูกใช้งานใดๆ 

“กลับมาทำไม?”  นิทเชถามขึ้นเมื่อคนทั้งสองได้สบตากันอีกครั้งชวนให่ระลึกถคงคืนวันเก่าก่อน

“กลับมาหานิทเช”คริษฐ์มองกลับมาด้วยสายตาราวกับคนป่วยผู้เป็นโรคทางวิญญาณ ขณะที่มือแข็งแรงนั้นคล้ายจะแตะลงบนรอยบอบช้ำที่ใบหน้า ทว่าไม่มีแม้สักปลายนิ้วสัมผัส

“เชอยู่ได้”

“ผมรู้” น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลนั้นตอบรับเพียงแผ่วเบาแล้วนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อไป

“ผมรู้ว่าเชอยู่ได้.....แต่ผมอยู่ไม่ได้” นิทเชมองตามชายร่างสูงใหญ่ค่อยค้อมกายลงอุ้มเจ้าแมวจรที่เอาไว้ โดยไม่นึกรักเกียจเนื้อตัวสกปรกของมัน

“ผมขอโทษ....สำหรับเรื่องที่ผ่านมา” นิทเชรับฟังด้วยรอยยิ้มจางในหน้า ก่อนจะเอ่ยกระเซ้า

“สงสัยว่าเวลา...คงทำให้เราเป็นคนแข็งกระด้างขึ้นกว่าก่อน”

“ก็อาจจะใช่ โดยเฉพาะเวลาที่ห่างกันของเรา” คริษฐ์พูดแล้วจึงคลี่ยิ้มเศร้า 

   ทั้งคู่เงียบไปนานรอบกายพลันเงียบสงัด  มีเพียงเสียงใบไม้ที่ถูกลมพัด คราวนี้ไม่ใช่เป็นเพียงสายลมอ่อนๆ ทว่าบางคราวกรรโชกพัดบางคราวแผ่วผ่าน 

“งานที่ทำสนุกไหม?” คริษฐ์เลือกที่จะทำลายความเงียบลงก่อน

“สนุก! บางทีวันนี้ถ่ายรูปกรุงเทพ  พรุ่งนี้ถ่ายรูปงานวัด  มะรืนไปถ่ายรูปที่ชายแดนไม่ก็เข้าป่าเป็นเดือนๆ!” ประกายตาของนิดเชจุดรอยยิ้มเอ็นดูน้อยๆให้ชายหนุ่ม

“ผมก็สนุก! วันนี้ทำผิด  พรุ่งนี้ทำผิด มะรืนนี้ก็ยังผิด  ทำตัวผิดๆมาเป็นปีๆ!” คนกล่าวแย้มรอยยิ้มพราย รอยยิ้มที่หัวใจนิทเชโหยหามาแสนนาน  จนเขาลืมสิ้นถึงอดีตหรือแม้แต่ตัวตน

 อีกครั้งที่คนทั้งคู่เงียบงัน เพียงแต่ทอดสายตามองเงาของตนเองและอีกฝ่ายโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ด้วยเพราะความรู้สึกในหัวใจดวงนี้ซับซ้อนเกินกว่าจะหาคำใดบรรยายออกมาได้  ทำได้เพียงปล่อยให้เงาของทั้งสองคนที่ตามติดเจ้าตัวไปทุกหนแห่งบอกเล่าบางอย่างแก่กันโดยไร้สุ้มเสียง  เงาร่างสูงใหญ่ที่ทอดยาวกว่าเงาอีกเงาหนึ่งนั้นเอื้อมมือมาคว้ามือข้างดีของอีกเงากอบกุมไว้เงียบๆ  สัมผัสของมือนั้นให้ความรู้สึกเย็นชื้น เพียงแค่มือสัมผัส...ร่างของนิทเชกลับสั่นสะท้าน 

“ความผิดที่ผมทำไว้ คิดว่าคนอื่นจะยกโทษให้หรือเปล่า?” เงาของนิทเชกำลังส่ายหน้าเบาๆ

“แล้วความผิดของผม เชจะยกโทษให้หรือเปล่า?”   นิทเชไม่ได้ตอบ  เพียงแต่ทอดมองเงาของมือสองข้างที่กลับมากอบกุมกันไว้อีกครั้งก่อนที่เขาจะบีบกระชับเบาๆ  ปล่อยให้เงาของคนสองคนสื่อสารกันในความเงียบต่อไป




   คริษฐ์กำลังคิดว่าวันเวลาได้พิพากษาแล้วว่าเขามีความผิด ผิดที่ตัดสินใจผิดพลาด ผิดที่ไม่อาจทานทนความเหงาลดละความกระหายในเนื้ออุ่นกลิ่นอายของความสัมพันธ์ทางกายได้ และผิดที่ไม่อาจตัดใจรักใครได้มากกว่าเจ้าของเงาเล็กๆนี้ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดราวกับจะรวบรวมความกล้า  นับแต่นี้ความผิดใดๆที่เขาได้ก่อไว้ เขายินดีจะรับผลของมันอย่างเต็มใจ ขอเพียงสิ่งเดียว...อย่าให้มีสิ่งใดพรากเอาคนที่เป็นดั่งเนื้อหัวใจของเขาไป

“แล้วตกลง คริษฐ์ชอบเชตรงไหน?”  คนถูกถามหัวเราะกับคำถามนั้น ทั้งที่คนรอฟังไม่เห็นขัน

“ เต้าหู้ขาวสำหรับผม อร่อยเสมอแหล่ะ” นิทเชหัวเราะก่อนจะว่า

“ลอกข้อสอบเก่านี่นา” มือที่กอบกุมกันไว้หลวมๆถ่ายเทความอบอุ่นอ่อนโยนสู่หัวใจอีกฝ่ายดังเก่าก่อน อาจเพราะอายุขัยความรักของคนทั้งคู่ยังไม่สิ้น นิทเชยังนึกสงสัย ว่าอายุขัยความรักของตนเองนั้นจะดำรงอยู่อีกนานเท่าใด  ทว่าคริษฐ์กลับมั่นใจนักว่าคราวนี้ ความรักจะอยู่กับตนตราบจนสิ้นลมหายใจ

“ผมกำลังคิดว่า จะย้ายกลับมาประจำสาขาเดิม” ชายหนุ่มเปรยขึ้นแผ่วเบา

“งานก็ก้าวหน้าดีไม่ใช่หรือ?”

“ใช่ ก้าวหน้าดีมากเชียวล่ะ แต่ผมเลือกแล้วว่าจะอยู่ที่นี่” นิทเชมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ดวงตาคู่นั้นบ่งบอกถึงการตัดสินใจอย่างแน่นหนัก
“แต่เชไม่ออกจากงานง่ายๆหรอกนะ” น่าแปลก...นิทเชที่เคยเอาแต่โอนอ่อนผ่อนตามกลับยืนกรานหนักแน่นเช่นกัน เพราะนิทเชรู้ ขอบเขตของการรักตนเองก่อนใครๆนั้น ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่มุ่งหวังจะทำร้ายใคร  แท้จริงแล้วก็เพื่อตนเองทั้งนั้น

“เอาไว้เชอยากได้คนช่วยหิ้วกระเป๋ากล้องเมื่อไหร่  คริษฐ์ว่างเสมอ  ดีไหม?”

“แหม ค่อยคุยกันง่ายหน่อย” ทั้งคู่หัวเราะเมื่อนิทเชทำเสียงโล่งใจ

   นิทเชมองดวงหน้าคมสันที่มีเค้าอิดโรยนั้นไล่เลยไปจนถึงริมฝีปากหยักสวยที่เคยทั้งยกยิ้มหรือแม้แต่กล่าววาจาเชือดเฉือ มองลึกเข้าไปในดวงตาที่อ่อนล้าที่ฉายประกายหลากหลาย  รัก หลงใหล เหนื่อยอ่อน หรือแม้แต่ ‘เป็นสุข’  นิทเชหลับตาลงเมื่อริมฝีปากของตนสัมผัสได้ถึงความอุ่นชื้น พร้อมกับที่รับรู้ว่าร่างกายกำลังสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนใครอีกคน 

   เวลาร่วมปีที่ผ่านพ้นไปอย่างยากลำบากนั้น ได้พิสูจน์แล้วว่าทุกการกระทำทั้งที่สร้างรอยสุขหรือฝากรอยทุกข์  ล้วนแล้วแต่มาจากสาเหตุเดียว

‘มิใช่ไม่รักกัน’





จบ



ค้นโฟลเดอร์นิยายเก่าๆที่เคยเขียนไว้เมื่อ 3 ปี(หรือ 4?)ก่อน เจอะเรื่องนี้ว่ายังไม่ได้ลงในทู้รวมเรื่องสั้น เลยเอามาเกา เอร้ย เกลาใหม่นะคะ

ขอบคุณทุกท่านที่เเวะมาอ่าน ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-08-2014 22:06:43
ดีจังที่คู่นี้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 12-08-2014 01:58:40
ดีแล้วที่กลับมาอยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)
เริ่มหัวข้อโดย: lahlunla ที่ 13-08-2014 10:05:52
ซึ้ง สนุกทุกเรื่องเลยค่ะ  ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องราวที่อบอุ่นอย่างนี้  :mew1:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 13-08-2014 21:26:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 19-08-2014 19:16:33
น่ารักทุกเรื่องเลยอ่า ซึ้งๆหวานๆ

ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 25-08-2014 21:16:48
จุกในอกทุกเรื่องเลย
ต้องถอนใจแรงๆ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)
เริ่มหัวข้อโดย: natt lUcky ที่ 26-08-2014 21:44:21
อ่านจบแล้ว ทั้งน่ารัก และบางเรื่องเศร้ามาก น้ำตาไหล ซื้งด้วย มีทุกอย่างจริงๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 02-09-2014 22:51:09
 :o12: แวะกลับมาอ่านใหม่อีกรอบเจอว่าอัพต่อดีใจมากที่คู่นี้กลับมาอยู่ด้วยกัน
แล้วจะรออ่านเรื่องอื่นๆต่อน๊า ^^
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 03-09-2014 10:18:04
หวาน~ อ่านกี่ครั้งก็ยังคงหวานละมุน
หัวข้อ: Re: (เรื่องสั้น)เรื่องสั้น ๒๔ ชั่วโมง : มิใช่ไม่รักกัน วันที่ 11 ส.ค 57 (หน้า3)
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 31-01-2015 19:28:34
ชอบทุกเรื่องครับ สำหรับผมอ่านแล้วรู้สึกเหงา ๆ เศร้า ๆ งัยชอบกล

ขอบคุณครับ