เมื่อคืนลืมโป๊ดเรื่องนี้ไปเรยยยยย
มัวแต่หลับ
คนนี้แหละใช่เลย 5 โดย ขนมชั้นชายหญิงห้าคนที่ยืนอยู่บริเวณปากทางเข้าวัดดูจะเป็นจุดสนใจของผู้คนบริเวณนั้นไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะฝรั่งชาย หญิง หน้าตาดีที่ยืนอยู่กลางกลุ่ม เนื่องจากชาวบ้านแถบนี้ไม่ค่อยจะเห็นชาวต่างชาติเท่าใดนัก ผิดกับชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆดูจะคุ้นหน้าคุ้นตามากกว่า ก๋วยจั๊บดูจำนวนคนที่เดินขวักไขว่อยู่ในงานแล้วก็หันมาต่อว่าน้องชายเสียงลั่น
“บอกแล้ว ว่าให้มาให้เร็วหน่อย เห็นไหมคนเต็มไปหมดเลย”
“โธ่ ใครจะไปรู้ล่ะว่าคนมันจะเยอะขนาดนี้ ก็ลืมนึกไปว่ามันวันสุดท้ายแล้ว เข้าๆไปเถอะน่ายิ่งดึกคนจะยิ่งเยอะนะ”
เกี๊ยวพูดตัดบทพลางรุนหลังพี่ชายให้เข้าไปในงาน โดยมีวุ้น อลิซ และเจมินี่ตามไปติดๆ
สองข้างทางมีร้านขายของกินตั้งติดๆกันเป็นแนวยาว มีตั้งแต่ลูกชิ้นชนิดต่างๆปิ้งจนเหลืองราดด้วยน้ำจิ้มรสจัดวางกองอยู่บนถาดแสตนเลส ข้างๆกันเป็นร้านขายฮอทดอกทอดที่กำลังฟูเต็มกระทะ
นอกจากนี้ยังมีร้านขนมเบื้อง สายไหม ข้าวโพดคั่ว มะพร้าวแก้วและของกินอื่นๆอีกนานาชนิด ภายในงานติดหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์สีแดง สีเขียว ไปทั่วบริเวณ เสียงเพลงดังกระหึ่มออกมาจากซุ้มเครื่องเล่นที่อยู่ถัดไป อีกด้านหนึ่ง เห็นชิงช้าสวรรค์กำลังหมุนช้าๆ ด้านข้างมีม้าหมุนที่เป็นตัวรถ กระต่าย หมู ทาสีฉูดฉาดหมุนไปตามจังหวะเพลง
“หิวแล้ว หาอะไรกินก่อนเถอะ”
เกี๊ยวหันไปบอกทุกคน ก๋วยจั๊บเอ่ยสวนขึ้นทันที
“พึ่งจะกินข้าวเย็นไปหยกๆ หิวอะไรของแกฮะ ไอ้ตะกละ”
วุ้นหัวเราะ พูดขำๆ “อย่าไปว่าเกี๊ยวมันสิ เกี๊ยวมันเป็นโรคกระเพาะไม่รู้เหรอ กระเพาะทะลุไง กินอะไรเข้าไปก็รั่วออกหมด”
“โธ่ เกี๊ยวกำลังกินกำลังนอนนะ ร่างกายมันต้องใช้พลังงานมากเป็นธรรมดา ถ้าซื้ออะไรแล้วอย่ามาขอแบ่งกินแล้วกัน”
เกี๊ยวพูดแบบงอนๆ ก๋วยจั๊บมองน้องชายแบบหมั่นไส้เล็กๆ เอ่ยขึ้นว่า
“งั้นไปกินขนมจีนกัน เห็นร้านป้ามะลิแล้ว” แล้วเจ้าตัวก็เดินนำทุกคนไปยังร้านขายขนมจีนที่อยู่ไม่ไกลนัก
แผงขนมจีนมีหม้อใบใหญ่บรรจุน้ำยาต่างๆตั้งอยู่บนเตาหน้าร้านอยู่สี่หม้อ หญิงวัยห้าสิบกำลังก้มหน้าก้มตาตักน้ำยาในหม้อราดบนขนมจีน เสร็จแล้วจึงส่งจานให้เด็กผู้หญิงนำไปส่งทีโต๊ะ เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นชายหนุ่มทั้งสองที่กำลังยิ้มตาหยีให้จึงอุทานอย่างดีใจ
“ตายแล้ว พ่อคุณ พ่อทูนหัว มาได้ยังไงกันคะนี่?”
“ก็มากินขนมจีนฝีมือป้าไง ได้ข่าวว่ามาขายที่นี่เลยต้องตามมากิน” ก๋วยจั๊บตอบก่อนจะทำท่าเมียงมองน้ำยาในหม้อ
“วันนี้มีน้ำยาอะไรบ้างน้า? ของผมเอาแบบเดิมนะครับ ” แล้วเจ้าตัวก็เดินไปหาคนตัวโตที่มองๆอยู่เหมือนกัน
“กินไร?”
“แล้วมีอะไรบ้าง ? จะให้กินอะไรยังไม่รู้เลยเนี่ย?”
คนตัวโตพูดตรงๆ พาให้คนฟังเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะชี้ของในหม้อให้ดูพร้อมอธิบาย
“เค้าเรียกขนมจีน พาสต้าแบบไทยๆน่ะ ในหม้อก็มีน้ำยา น้ำพริก แกงเขียวหวานไก่ กับน้ำยาป่า จะเอาแบบไหน?”
“เลือกให้หน่อยแล้วกัน เลือกไม่ถูก เอาอร่อยๆ” นายแบบหนุ่มโยนภาระให้ก่อนจะเดินเลี่ยงไปนั่งรอที่โต๊ะปล่อยให้ชายหนุ่มสั่ง
เมื่อสั่งเสร็จแล้วคนที่เหลือจึงเดินตามมา สักพัก จานขนมจีนก็ถูกนำมาเสริฟที่โต๊ะ เจมินี่เห็นมือเรียวหยิบผักในถาดข้างหน้าโปรยลงไปอย่างละนิดละหน่อย จึงทำตามบ้าง อลิซมองจานของตนเองแล้วมองจานของคนอื่นๆ แล้วจึงเอ่ยถาม
“ทำไมจานของฉันกับเจ็ม ไม่เหมือนของคนอื่นๆละคะ น้ำยานี่ก็สีแดงๆ เผ็ดหรือเปล่า?”
“ไม่เผ็ดค่ะ อลิซ ของคุณกับเจมินี่น่ะเป็นน้ำพริกที่ใส่ถั่วป่นกับกุ้งสับ จะออกหวาน แต่ของวุ้นกับตาสองคนเนี่ยเป็นน้ำยาป่าผสมกับน้ำยากะทิค่ะ ลองชิมดูนิดนึงก่อนก็ได้” วุ้นอธิบายและคะยั้ยคะยอให้อีกฝ่ายลองชิม
อลิซตักเข้าปากอย่างไม่แน่ใจนัก แล้วก็ต้องตาโตร้องออกมา “อร่อย อร่อยมากเลยค่ะ”
“พี่จั๊บ จะไปไหนต่อ?” เกี๊ยวเอ่ยถาม
“กำลังคิดอยู่ อยากไปไหนหรือเปล่าล่ะ?”
“ผมว่าเราไปขึ้นชิงช้าสวรรค์กันสักรอบ แล้วก็ไปดูมอเตอร์ไซด์ไต่ถัง ไปเล่นรถบั๊มแล้วก็ไปดูพวกเมียงูอะไรงี้ดีป่ะ”
“เมียงู แกจะไปดูทำไม ของหลอกเด็ก” วุ้นถามยิ้มๆ
“อ้าว เกิดคุณอลิซกับคุณฯเจมินี่เค้าอยากดูล่ะ ก็แค่เสนอเฉยๆ” ชายหนุ่มเถียง
“เอาเป็นว่าเราไปดูมอเตอร์ไซด์ไต่ถังก่อนแล้วกัน แล้วก็ไปเดินดูอะไรเล่น พอเหนื่อยๆค่อยมานั่งชิงช้าสวรรค์แล้วค่อยกลับกันดีไหม?”
เมื่อไม่มีใครโต้แย้ง ทั้งห้าคนจึงย้ายสถานที่ไปดูมอเตอร์ไซด์ไต่ถังก่อน
ภาพของชายที่สวมชุดขี่มอเตอร์ไซด์ใส่หมวกกันน็อคขี่วนไปรอบถังโดยที่ตัวและพาหนะตั้งฉากกับพื้น สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเจมินี่และอลิซเป็นอย่างมาก เสียงฮือฮาดังขึ้นเป็นระยะๆเมื่อมอเตอร์ไซด์เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ สักพักคนตัวสูงสะกิดคนยืนข้างเบาๆ
“อะไร?”
เสียงดังกลบจนฟังไม่ได้ยิน ก๋วยจั๊บตะเบ็งเสียงถามอีกครั้ง
“ว่าอะไรนะ?”
“คลื่นไส้...”
พูดไม่ทันจบ ก็รีบเอามือปิดปาก สีหน้าพะอืดพะอม เดือดร้อนถึงคนข้างๆต้องรีบพาออกมาสูดอากาศข้างนอกโดยทันควัน
เจมินี่ปิดปาก นั่งยองๆลงกับพื้น หัวเหมือนจะหมุนติ้วๆ
“พามาดูอะไรก็ไม่รู้ ปวดหัว”
“ใครใช้ให้ไปจ้องตามมันทุกรอบเล่า เรื่องง่ายๆก็ไม่รู้”
ก๋วยจั๊บพูดแบบไม่ใส่ใจ ในใจลึกๆแอบสะใจเล็กน้อย
“อ๊ะ นั่นสายไหม รอแป๊บนะจะไปซื้อ”
ชายหนุ่มผละไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เจมินี่นั่งทำหน้างง พึ่งจะกินไปหยกๆ นี่ยังจะกินอีกเรอะ เห็นว่าแต่คนอื่นก็เหมือนกันเลยนี่นา
ก๋วยจั๊บยืนมองสายไหมในถุง ตัดสินใจลำบากแฮะ สีนั้นก็น่ากิน สีนู้นก็สวย เลือกไม่ถูกเลย ท้ายสุดจึงตัดสินใจ
“เอาสองถุง สีขาว กับฟ้า”
พ่อค้ากระตุกถุงเบาๆแล้วยื่นให้ ชายหนุ่มทำหน้าซื่อ
“ซื้อตั้งสองถุง ไม่แถมบ้างเหรอ”
“โห น้องยังจะขอแถมอีก หน้าตาก็ดี ”
“ถามเฉยๆ ไม่ให้ก็อย่าบ่นสิ”
ก๋วยจั๊บเดินกลับมาหาเจมินี่ กลุ่มผู้ชายสามสี่คนเดินคุยกันอย่างสนุกสนานตัดหน้าไปในระยะกระชั้นชิด หนึ่งในนั้นกระแทกชายหนุ่มจนถุงสายไหมตกพื้น ผู้ชายคนนั้นไม่สนใจเดินคุยกับเพื่อนต่อไปโดยไม่มีคำขอโทษ ทำให้ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด เรียกเสียงห้วน
“เฮ้ย”
ไม่มีใครสนใจ ก๋วยจั๊บเม้มปากแผดสียงออกมา
“เฮ้ย!! ไอ้เสื้อฟ้าน่ะ กลับมาก่อน”
ชายหนุ่มทั้งกลุ่มชะงัก หันกลับมาอย่างประหลาดใจ ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีฟ้ากับกางเกงขาสามส่วนสีครีมเลิกคิ้วนิดๆ เมื่อเห็นคนยืนจังก้าหน้าตาเอาเรื่องอยู่
“ทำไม?”
เสียงถามออกแววรำคาญ เพิ่มดีกรีความโกรธให้ก๋วยจั๊บอีกโข
“จะทำไม นายเดินชนชั้นจนของหล่น นอกจากไม่ช่วยเก็บแล้วยังไม่มีขอโทษสักคำ คิดว่าชั้นจะปล่อยไปง่ายๆเหรอ”
ผู้ชายสี่คนมองหน้ากันแล้วขำก๊ากออกมา ชายหนุ่มเสื้อฟ้าเดินกลับมาพูดเสียงกลั้วหัวเราะ
“โห ว่าแต่คุณพี่จะทำยังไงล่ะเนี่ย พวกผมมาสี่ คุณพี่มาหนึ่งนะคร๊าบ จะว่าไปผมจำไม่เห็นได้ว่าเดินชนคุณพี่จนของตก โอ๊ะๆ ว่าแต่เป็นแผนของคุณพี่หรือเปล่าน้า อยากรู้จักผมก็บอกดีๆสิครับ ดูสิผมกลัวจะแย่อยู่แล้ว”
พูดจบก็หันไปหัวเราะกับเพื่อน ก๋วยจั๊บยิ้มนิดๆ พูดนิ่มๆ
“แผนเหรอ นี่แน่ะแผน”
ก๋วยจั๊บเตะขาออกไปหมายถีบที่ท้องอีกฝ่าย แต่อ้อมแขนแข็งแรงของใครบางคนมาโอบแล้วรั้งจนตัวลอยถอยหลังออกมาเสียก่อน เท้าของชายหนุ่มจึงได้สัมผัสเพียงความว่างเปล่า ก๋วยจั๊บดิ้นตะโกนอย่างฉุนเฉียว
“ปล่อยนะ เจมินี่ ขอถีบมันสักทีเหอะ ทนไม่ไหวแล้ว”
“หยุดดิ้นก่อน ชั้นถึงจะปล่อย” เจมินี่พูดเสียงเฉียบขาด
เสียงหัวเราะลอยแผ่วมาตามลม ชายหนุ่มเสื้อฟ้าพูดเปรยๆ
“เล่นแบบนี้ไม่ค่อยสวยแล้วนะคุณพี่”
ชายหนุ่มยกมือห้ามเพื่อนที่อยู่ข้างหลัง ที่ทำท่าจะเข้ามาเล่นงาน
“ผมว่าคุณพี่รีบไปดีกว่านะ มีอะไรเกิดขึ้นผมห้ามไม่ได้นะ”
“นายยังไม่ขอโทษชั้นเลย ทำไมชั้นต้องไปด้วยวะ จะมีเรื่องก็เข้ามาไม่กลัวอยู่แล้ว” ก๋วยจั๊บร้องท้า
เจมินี่ก้มลงมากระซิบเสียงเขียว “แต่ชั้นกลัว ลืมแล้วหรือไงชั้นเป็นนายแบบนะ จะให้มามีเรื่องได้ไง”
“ไม่ได้บอกให้นายมี ชั้นจะมีเอง” ก๋วยจั๊บพูดแบบไม่สนใจ เตรียมเอาเรื่องเต็มที่
ผู้ชายสามคนเดินย่างสามขุมเข้ามา เจมินี่รั้งคนตัวเล็กให้ถอยหลังมาอีกนิด
“พวกแกจะทำอะไร?”
เสียงตะโกนดังก้องมาจากข้างหลัง เกี๊ยวเดินมาหยุดข้างๆพี่ชาย มองหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาคมกริบ
“ถอย....ไป”
เกี๊ยวขู่ ขยับไม้หน้าสามในมือเป็นเชิงเตือน ชายสามคนถอยหลังไปรวมกับชายหนุ่มเสื้อฟ้าซึ่งยืนมองเกี๊ยวอยู่ก่อนแล้ว เกี๊ยวมองหน้าชายหนุ่มเสื้อฟ้า คิ้วเรียวขมวดนิดๆ
“แกเองเหรอ ชีวาส?”
“มายุ่งอะไรด้วย ”
“คนนี้พี่ชายชั้น ถ้าจะมีเรื่องต้องผ่านชั้นไปก่อน”
ชีวาสเดินไปหยุดตรงหน้าเกี๊ยว พูดเสียงต่ำ
“นายแน่ใจ? ว่าจะเอาชนะพวกชั้นได้”
“ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก อย่างน้อยพวกแกก็ต้องเจ็บตัวบ้างล่ะ”
ชีวาสถอนหายใจ ไม่แปลกใจเลยที่เป็นพี่น้องกัน นิสัยเหมือนกันออกขนาดนี้
“ช่างเถอะ วันนี้ชั้นมาเที่ยว ไม่ได้มามีเรื่อง ไปล่ะ” ชีวาสหันมาพูดกับก๋วยจั๊บ
“ถือว่าเราเจ๊ากันแล้วนะคุณพี่ ผมไปล่ะ” แล้วชายสี่คนก็เดินจากไป
เกี๊ยวหันไปมองพี่ชาย พูดประชด “มาเที่ยวงานวัดนะ ไม่ได้มามีเรื่องที่วัด เข้าใจหน่อย”
“ทำเป็นว่า เหอะ แล้วไอ้ไม้หน้าสามที่อยู่ในมือแกมันหมายความว่าไงล่ะ ”
ก๋วยจั๊บเถียงก่อนจะสะดุ้งโหยง เมื่อมีมือมาบิดเนื้อตรงเอว
“โอย เจ๊วุ้นเจ็บนะ” เกี๊ยวร้องโวยวาย
วุ้นหันมาว่าเสียงแหลม “แล้วไงยะ โดนทั้งสองคนนั่นแหละ แหม เก่งกาจกันเหลือเกินนะ คนนึงปากดี อีกคนก็แน่เหลือเกิน”
พูดจบก็เพิ่มแรงบิดไปอีก จนสองพี่น้องสูดปากร้องโอดโอย โดยมีเจมินี่กับอลิซ ยืนมองด้วยสีหน้าหวั่นๆ คนที่น่ากลัวที่สุดก็เห็นจะเป็นคนนี้นี่แหละ
“ห้ามมีเรื่องอีก เข้าใจไหม ถ้ามีล่ะก็พวกแกตายแน่” วุ้นประกาศ
สองพี่น้องมองหน้ากันแล้วทำหน้าเบ้
“เออ ว่าแต่แกรู้จักคนเมื่อกี้เหรอ” ก๋วยจั๊บหันไปถามเกี๊ยว
“ไอ้ชีวาสน่ะเหรอ ทำไมจะไม่รู้ ก็อยู่มหาลัยเดียวกัน คณะเดียวกันด้วย หมอนั่นกวนโอ๊ยจะตาย ”
“แล้วทำไมชื่อชีวาส”
“เห็นเค้าบอกกันว่าตอนแม่มันท้อง พ่อมันชอบกินชีวาสมาก เลยตั้งชื่อว่าชีวาส ว่าแต่จะไปไหนต่อ” เกี๊ยวตัดบท
หลังจากที่เดินดูนู่นดูนี่จนเมื่อย ทั้งหมดก็มายืนอออยู่หน้าชิงช้าสวรรค์
“จะขึ้นยังไงดีล่ะ เอางี้นายไปขึ้นกับคุณอลิซ แล้วเจ๊วุ้นกับเกี๊ยวมากับจั๊บ”
“แต่เจ๊อยากขึ้นกับคุณอลิซนี่นา” วุ้นเอ่ยขัด
“งั้นเจ๊วุ้นไปกับคุณอลิซ นายมากับชั้นกับเกี๊ยว”
“ไม่เอา ผู้ชายสามคนขึ้นอันเดียวเดี๋ยวก็ตกมาตายหรอก พี่ไปกับเจมินี่เค้าแล้วกัน ผมจะขึ้นคนเดียว”
ตกลงเป็นที่เรียบร้อยจึงได้ขึ้นกระเช้า โดยวุ้นกับอลิซไปกระเช้าแรก ก๋วยจั๊บกับเจมินี่ขึ้นกระเช้าที่สอง ระหว่างที่เกี๊ยวขึ้นไปนั่งกระเช้าที่สาม ก็มีเสียงเรียกเด็กที่ทำหน้าที่ปิดประตู ก่อนที่เด็กคนนั้นจะหันมาถาม
“พี่ๆ พอดีมีอีกคนหนึ่งเขาจะขึ้น แต่กระเช้าอื่นมันเต็ม ให้เขาขึ้นกับพี่ได้ไหม ?”
“เฮ้ย อะไร ไม่ได้หรอก ใครก็ไม่รู้”
“โธ่พี่ นี่รอบสุดท้ายแล้ว ให้ขึ้นไปด้วยเถอะ เหลือคนเดียวเอง”
เมื่อถูกขอร้อง เกี๊ยวก็จนใจ พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้
“เออ ๆ ตามใจ ให้ขึ้นๆมาเหอะ จะได้ไปสักที”
พูดจบก็หันหน้าไปมองทางอื่น ได้ยินเสียงคนก้าวเข้ามาและเสียงปิดประตู จากนั้นชิงช้าสวรรค์ก็ค่อยๆเคลื่อนหมุนขึ้นไปด้านบน
เกี๊ยวหันมามองผู้โดยสารร่วมแล้วก็ต้องชะงัก ชีวาสนั่งเอามือเท้าคางมองอีกฝ่ายอย่างสงบ
“เฮ้ย!! ใคร ใครให้นายขึ้นมานั่งกับชั้น ลงไปเลยนะ” เกี๊ยวโวยวาย
ชีวาสเหยียดแขนเหยียดขานั่งเอนหลังอย่างสบายอารมณ์
“ก็นายบอกให้ขึ้นมาได้ไม่ใช่เรอะ เสียใจด้วยนะ ชั้นลงไปไม่ได้แล้วด้วย หรือนายจะลงไปเอง”
เกี๊ยวโมโห แต่พอมองลงไปข้างล่างมันก็สูงซะ ครั้งจะโวยวายก็อายคนอื่น ชายหนุ่มจึงพาลพาโลกับคนใกล้ตัว
“เหอะ ถ้าชั้นรู้ว่าคนนั้นเป็นแกนะ ชั้นไม่มีทางให้ขึ้นมาหรอก ”
“พูดไม่ดีเลยนะ คำก็แก สองคำก็แก ที่ชั้นยังเรียกนายดีๆเลย”
เกี๊ยวทำเฉย หันหน้าไปมองทางอื่น ได้ยินเสียงพี่ชายโหวกเหวกมาจากข้างบน สงสัยทะเลาะกับเจมินี่อีกแหงๆ
ชิงช้าสวรรค์ เคลื่อนไปจนถึงจุดสูงสุด ทันใดนั้นตัวกระเช้าก็มีการสั่นสะเทือนน้อยๆแล้วหยุดลง พร้อมกับที่มีเสียงโวยวาย เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ เกี๊ยวมองผ่านลงไปข้างล่างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไม่ต้องตกใจนะครับ เครื่องมันค้างนิดหน่อย ชมวิวกันไปก่อนนะครับ” เด็กหนุ่มที่เป็นคนเก็บเงินประกาศผ่านโทรโข่ง ก่อนจะหันไปเร่งเพื่อนให้ไปตามช่าง
เกี๊ยวถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด พูดเปรยๆ “ทำไมชั้นถึงต้องมาติดอยู่บนกระเช้ากับนายด้วยนะ ซวยมากๆ”
“ นายนี่ขี้บ่นจริงๆ นู่นดูนู่นสิ”
ชีวาสชี้มือไปข้างนอก เกี๊ยวหันไปมองตามมือ ไกลออกไปคือแม่น้ำสายใหญ่ ที่สะท้อนแสงจันทร์จนเกิดเป็นประกายระยิบระยับ
“หืม สวยจัง!!” เกี๊ยวอุทานออกมา
ชีวาสหันไปมองใบหน้าด้านข้างของคนใกล้ตัวแล้วแอบยิ้ม พอดีที่เกี๊ยวหันมาเห็นจึงทำหน้าบึ้ง
“ยิ้มอะไรของนาย?”
“เปล่า”
“อย่ามาโกหก ก็เห็นอยู่เมื่อกี้ว่ายิ้มน่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ว่าแต่นายคบกับชินอยู่เหรอ” ชีวาสตัดบท
ชายหนุ่มชะงักไปนิดนึงแล้วพยักหน้า “ก็เป็นเพื่อนกัน ถามทำไม”
“ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ มันมีข่าวไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอกนะ”
เกี๊ยวเบะปาก หันไปมองหน้าชายหนุ่ม พูดชัดถ้อยชัดคำ “เหมือนที่ชินพูดไม่มีผิด นายไม่ชอบเค้าก็อย่ามาพาลให้ชั้นไม่ชอบไปด้วยสิ ชินเค้านิสัยดีจะตาย”
“มันพูดว่ายังไง?” เสียงคนถามเรื่อยๆเอื่อยๆ หากดวงตาตวัดมองอย่างคาดคั้น
“นายโกรธที่แฟนนายทิ้งนายมาคบกันชิน ใช่ไหมล่ะ ชินเค้าบอกชั้นหมดแล้ว นายนี่ไม่มีเหตุผลเลยนะ ผู้หญิงเค้าไม่รักไม่ชอบ จะไปรั้งเค้าทำไม” แล้วเจ้าตัวก็สะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายย้ายมานั่งฝั่งเดียวกัน เสียงหัวเราะดังแผ่วๆ แต่เกี๊ยวกลับไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายขำเลยสักนิด
“หึ ....หึ คนอย่างมันน่ะ กล้าพูดอย่างนี้ก็ตอนลับหลังชั้นเท่านั้นแหละ ลองถ้าอยู่ต่อหน้าสิ มันไม่กล้าพูดหรอก นายก็เหมือนกัน สักวันก็จะเห็นธาตุแท้ของมันเอง ชั้นจะไม่เตือนแล้ว เพราะถือว่าเตือนแค่ครั้งเดียวมันก็เกินพอ แล้วสักวันนายก็จะรู้เอง อีกไม่นานหรอก” พูดจบชีวาสก็ยังคงมองอีกฝ่ายนิ่งๆ จนเกี๊ยวอึดอัด
“เลิกมองชั้นได้แล้ว จะบอกไว้ก่อนนะ ไม่ว่านายพูดยังไงชั้นก็ไม่เชื่อนายเด็ดขาด ชินเป็นเพื่อนชั้น ชั้นเชื่อใจเค้า”
ชีวาสย้ายกลับไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งเมื่อชิงช้าสวรรค์เริ่มเคลื่อนไหวตามปกติ ชายหนุ่มรอให้เกี๊ยวออกจากกระเช้าก่อนแล้วจึงก้าวตามออกไป เกี๊ยวเดินมารวมกลุ่มกับพี่ๆที่รออยู่
เมื่อเห็นก๋วยจั๊บมองแบบเขม่นๆ เจ้าตัวจึงเอ่ยลา “ไปก่อนนะ เจอกันที่มหาลัย”
“ไปซะทีเหอะ ไม่ต้องบอกหรอก”
เกี๊ยวมองตามชายหนุ่มที่เดินไปสมทบกับเพื่อนอีกฟากหนึ่ง ก๋วยจั๊บกระเซ้า
“อะไรหะเจ้าเกี๊ยวไหนว่ากวนโอ๊ยนักหนา แล้วขึ้นไปด้วยกันได้ไง”
“เจ้านั่นมาขึ้นเองไม่เกี่ยวกันสักหน่อย กลับกันเหอะ ดึกมากแล้ว”
เกี๊ยวตัดบท แต่ในสมองคิดถึงเรื่องที่ชีวาสพูดทิ้งท้ายไว้ หรือว่ามันจะเกิดอะไรมากกว่าที่ชินเคยเล่าให้ฟัง พรุ่งนี้ลองไปถามชินดูดีกว่า เพื่อจะรู้อะไรมากขึ้น