บทนำบรรยากาศในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ชักจะตึงเครียดขึ้นมา
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นตามไรผมของชายหนุ่มวัย 28 ปีหมาดๆ ถ้าเขาไม่ได้สวมแว่นสายตาหนาหนักนั่นไว้
ดวงตาที่ดูกลมโตนั่นคงขยายออกจนแทบหลุดจากเบ้าตา เมื่อพบว่ากระดาษสี่เหลี่ยมบนโต๊ะที่เพิ่งพลิกขึ้นมานั้น
เป็นภาพโครงกระดูกในชุดเกราะสีดำถือธงที่มีรูปดอกไม้ขาวๆ แบบในงานศพ พร้อมเลขอาถรรพณ์หมายเลข 13
และตัวหนังสือใหญ่โตด้านล่างที่ทำเอาหัวใจของชายหนุ่มถึงกับเหี่ยวฟีบบบบ... ลงทันตา “DEATH”
ฉิบหายละ ไอ้คะน้า ไพ่ยิปซีมันมีเป็นสิบๆ ใบ ไฉนตัวข้าพเจ้าต้องซวยหยิบได้ไพ่ใบนี้ด้วยโว้ย
“แหงะ มันพาดขึ้นมาใบนี้จะไหวไหมเนี่ยคุณป้า”
หนุ่มวัยยี่สิบตอนปลายถึงกับโอดครวญกับแม่หมอที่ตอนนี้คิ้วก็กำลังขมวดยุ่ง และสีหน้าแสดงความวิตกไม่แพ้กัน
“อ้าว ไหงไม่ตอบล่ะคุณป้า ซวยเลยใช่ไหมเนี่ย ว่าแล้วๆๆๆๆๆ”
แม่หมอถอนหายใจหนักๆ แล้วเอื้อมมือไปพลิกไพ่ยิปซีอีกใบที่วางอยู่ด้านล่างแล้วจับหงายขึ้น
รอยยิ้มค่อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าหญิงสาววัยสี่สิบทันที
“อย่าเพิ่งตกใจ ดูนี่ก่อน” ว่าแล้วก็ค่อยๆ วางไพ่อีกใบลงตรงหน้า
คะน้าจ้องมองไปในกระดาษที่เหลี่ยมผืนผ้านั้น พระอาทิตย์ดวงโตแล้วมีเด็กชายขี่ม้าขาวอยู่ด้านล่าง
กางแขนหน้ายิ้มแป้น แถมมีดอกทานตะวันชูไสว มันก็ดูโอเคนะ
แต่มันแปลว่าอะไรเล่า สมองบื้อๆ อย่างเขามันจะแปลออกไหมเนี่ย
“แล้วมันคืออะไรล่ะครับคุณป้า” เขามองอย่างขยาด ไอ้ไพ่ Death นี่มันหลอกหลอนชะมัดเหอะ
“รอเดี๋ยวสิ ขอเปิดไพ่ให้หมดสิบใบก่อน” ว่าแล้วก็พลิกไพ่ใบอื่นๆ ขึ้น ไล่เรียงไปเรื่อยๆ
ไพ่ยิปซีหน้าตาแปลกๆ ถูกหงายขึ้นใบแล้วใบเล่า คะน้าไม่รู้ความหมาย
แต่บางใบก็อกสั่นขวัญแขวนไม่น้อยอย่างเช่นภาพชายหนุ่มกองดาบปักอกสลบตายคาที่ ฟ้าผ่าตึกถล่มอะไรก็ไม่รู้
“ใบนี้อะไรน่ะ สยองชะมัดเลย” เขายังไม่เลิกครวญครางกับดวงชะตาบนไพ่กระดาษเหล่านั้น
เรื่องแบบนี้ ไม่เกิดกับตัวเองคงไม่รู้ คนแบบเขา ยอดชายนายคะน้า ชายหนุ่มผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเกิดมาพร้อมกับความซวย
จะเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องความรัก ไม่ว่าเรื่องไหนๆ เขาก็ห่วยทุกเรื่อง
เรื่องงาน ยิ่งทำก็ดูเหมือนยิ่งตกต่ำ จากพนักงงานออฟฟิศดีๆ ก็โดนเด้งเพราะพิษน้องน้ำปลายปีที่แล้วซะงั้น
ส่วนเงินทองน่ะ ก็พอหาได้ แต่พ่อเจ้าประคุณก็ดันมีโรคประจำตัวคือเอ๋อ เบลอ มึน แล้วก็ทำหายเป็นประจำ
เรื่องความรักไม่ต้องพูดถึง ถึงหน้าตาพอไปวัดไปวาตอนบ่ายสามได้ แต่สายตาเจ้ากรรมก็ดันสั้นสุดโต่ง
ไม่พ้นต้องสวมแว่นหนาเตอะ จะว่าไปคะน้าก็แต่งตัวทันสมัยอยู่หรอก
แต่ทันสมัยเมื่อสักสิบปีที่แล้วได้นะ เอาเป็นว่าเรียกว่าเกาะกระแสแฟชั่นรุ่นคุณพ่อคุณแม่ก็แล้วกัน
ไม่นับกับกับคำว่า “โชค”
โชคเหรอ... เกิดมาชายหนุ่มไม่เคยได้รู้จักเอาเสียเลย เดินอยู่ดีๆ นกก็ขี้ใส่หัว
ไม่ก็โดนน้ำกระเด็นใส่ตอนรถขับผ่านประจำ ล่าสุดเจอเหรียญสิบหล่น
พอเอื้อมมือจะเก็บ กางเกงตัวเก่งที่ทั้งรักทั้งหวงก็ดันขาดดังแควกกก!!
นอกจากจะทำให้คนใส่ต้องขายหน้าแล้ว ยังต้องเสียค่าซ่อมกางเกงอีกห้าสิบ!!!
ก็เอาเป็นว่าซวยซ้ำซวยซากซวยมาตลอดชีวิตก็แล้วกัน คราวนี้จะอะไรอีกล่ะ
คะน้าครุ่นคิดพร้อมกำลังใจที่ห่อเหี่ยวไปกว่าครึ่ง
ชายหนุ่มเงยหน้ามองแม่หมอที่ “เจ๊เป็ด” แม่ค้าขายผักแผงข้างๆ ในตลาดแนะนำให้มาดู
“คะน้า เอ็งต้องไปเลย คุณแม่อ้อยเนี่ย แม่นมาก! เจ๊เตียงร้านทองหน้าตลาด
หรือนังลำไยที่ขายปลาทูก็บอกว่าเด็ดสะระตี่เลยเอ็งเอ๋ย
คราวก่อนบอกว่าแกจะมีดวงนะ ไงล่ะ ถูกหวยรวยอื้อเลยไอ้คะน้า”
ครับ ฟังไม่ผิดหรอก ก็บอกแล้วว่าไม่ได้เด่นดูดีแบบใครๆ เขาหรอก
ถ้าคิดว่ายอดชายนายคะน้าจะหล่อเหลาเอาการแบบเดินไปไหนใครก็มองแบบเหลียวหลังเนี่ย คงไม่มีเสียล่ะ
เมื่อชายหนุ่มก็มีหน้าตาบ้านๆ แบบหาได้ตามร้านอาหารตามสั่งทั่วไปเหมือนเราๆ ท่านๆ นั่นแหละ
อันที่จริงต้องบอกว่าตามตลาดสดทั่วไปเสียมากกว่าล่ะ ส่วนงานเนี่ยเหรอ
ก็อย่าคิดว่าจะดีเด่อะไร อย่างที่เกริ่นๆ ไป เขาเป็นพ่อค้าแผงไข่ในตลาดสดเนี่ยล่ะ
ใช่! ฟังไม่ผิดหรอก ขายไข่ไก่สดๆ ที่ซื้อไปทำอาหารทานกันเนี่ยล่ะ
ไม่ใช่แค่ขายไข่หรอก มีขายมะพร้าว กับผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวน่ะแหละ
จะว่าไปมันก็ไม่ได้แย่อะไรนักหนาหรอก เพราะบ้านเขาก็พอมีฐานะอยู่บ้าง
คุณพ่อของคะน้าเป็นเจ้าของตลาดสดแห่งนี้ ประกอบกับที่บ้านเป็นเจ้าของสวนมะพร้าว กับฟาร์มไก่ไข่
ด้วยความที่ทำอะไรก็ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวแบบพี่คนอื่นๆ
ลูกคนเล็กแบบคะน้าเลยโดนส่งมาเฝ้าตลาดไปกลายๆ ด้วยการขายไข่ไก่กับมะพร้าว
แล้วก็เฝ้าตลาดไปในตัวอยู่กลางตลาดเนี่ย
“อืม... มันดูแปลกๆ นะ” เสียงคุณป้าหมอดูทำเอาชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ความคิด
“ยังไงครับ เพราะไอ้ไพ่โครงกระดูกนี่หรือเปล่าครับ” หมอดูวัยกลางคนส่ายหน้า
“ไพ่เราน่ะ เป็นไพ่ที่เกี่ยวกับความรักเยอะ ที่แปลกก็คือมันไม่มีไพ่ผู้หญิงโผล่ขึ้นมาสักใบ”
คะน้าทำหน้างงๆ ”ดันมีแต่ไพ่ผู้ชายโผล่ขึ้นมาเยอะจัง”
“เฮ้ย! ป้า ผมมาดูเรื่องงานนะป้า ถามว่ามันจะขยับขยายได้ไหม ไม่อยากมานั่งทำงานแบบนี้อีกแล้ว
คือมันไม่ไหวเลยน่ะ เครียดมากจริงๆ ไอ้เรื่องอื่นเนี่ย ผมปลงไปนานแล้วครับป้า”
“คืองี้ งานเราน่ะ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก อีกหน่อยมันจะดีขึ้น ดีมากๆ เลยล่ะ ไม่ต้องห่วง
ไพ่บอกว่าเราโชคดีมากนะ ทุกๆ เรื่องเลย The Sun ที่เป็นตำแหน่งตัวเราเนี่ย มันเป็นไพ่ที่ดีที่สุดในสำรับเลยนะ”
“เอ้ย! จริงดิ แต่นี่... โครงกระดูกอะไรเนี่ย น่ากลัวจะตาย ผมกลัวผีนะป้า!!!”
“ผีที่ไหนล่ะ Death ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น มันแปลว่าการสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง
และการเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ ซึ่งอาจจะดีหรืออาจจะไม่ดีก็ได้
แต่ไพ่ประจำตัวเราน่ะดี นั่นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร”
“ใช่เรอะ?” ชายหนุ่มรำพึงแบบไม่เชื่อหูตัวเอง “แล้วนี่...”
เขาชี้ไปที่ไพ่คนตายเพราะโดนดาบเสียบ กับไพ่ฟ้าฟาดหอคอยถล่ม
“นั่นมันไพ่อดีตไง ที่ผ่านมาดวงเราไม่ดีนักน่ะ แต่นับจากนี้จะดีเลยล่ะ
โดยเฉพาะเรื่องความรัก เรามีไพ่เกี่ยวกับความรักขึ้นมาเยอะ”
“ฮ่ะๆๆ มันถึงได้เป็นไพ่ Death นี่ไง” คะน้าหัวเราะแทรกขึ้นมาอย่างปลงๆ
คุณป้าหมอดูถอนหายใจด้วยความหน่าย พูดอะไรก็ไม่ฟังให้จบเอาซะที
“นั่นแปลว่าเราจะพบรักแบบกะทันหันต่างหาก และคราวนี้ ดูเหมือนจะสละโสดด้วยซ้ำ
รักมากเลยล่ะ ประเด็นคือทำไมมันไม่มีไพ่ผู้หญิงขึ้นมาให้เลยสักใบ มีแต่ไพ่ผู้ชาย”
“นั่นไง ก็บอกแล้วว่าอาภัพ คุณป้าก็ไม่เชื่อ ฮ่าๆๆๆ ดูสารรูปผมก่อนป้า
หล่อหลบในขนาดนี้ อย่าว่าแต่สาวๆ เลย หมามันยังเมินเลย”
เขาคุ้นเคยความจริงที่แสนเจ็บปวดนี้มานานแล้ว รักใคร ชอบใคร ก็มีแต่ผิดหวัง
เรียกว่าสาวคนไหนที่เขาแอบชอบ โดนมีเวรมีกรรม เพราะจะโดนล้อหมดคณะก็แล้วกัน
ไม่ใช่ไม่อยากหล่อ ไม่อยากมีความรักนะ แต่ทำไงได้ พยายามแล้ว แต่มันได้แค่นี้จริงๆ
“ใครจะมาสนใจพ้มมม...” ลากเสียงสูงอย่างปลงๆ
“Chariot หรือไพ่นักรบ หมายถึงคนที่มีนิสัยเป็นคนจริง พูดจาขวานผ่าซาก
หมายถึงคนทำงานประมาณพวกตำรวจ ทหาร วิศวกร มีอาชีพเกี่ยวข้องกับการเดินทางอยู่เรื่อยๆ
ส่วนนี่ราชาถ้วย เป็นคนอ่อนไหว จิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น
สายงานน่าจะเกี่ยวกับอาชีพที่ต้องช่วยเหลือคนอื่นประเภทหมออะไรแบบนี้”
“แล้วยังไงล่ะครับ” เขาเกาหัวแกรกๆ อย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ใช่ผู้หญิงด้วยนะ เป็นผู้ชาย ไพ่ทายว่าเร็วๆ นี้ ชายหนุ่มสองคนนี้จะก้าวเข้ามาในชีวิตพ่อหนุ่มให้ปวดหัว”
คุณป้าค่อยๆ เก็บไพ่ทั้งหมดคืนสู่สำรับพร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆ ที่ทำเอาคะน้าคิดไม่ตก
“ทำไมล่ะครับ” คุณป้าหมอดูไม่ได้ตอบอะไร เธอหยิบไพ่ใบสุดท้ายที่เป็นตำแหน่งของบทสรุปขึ้นมา
วางตรงหน้าของชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มที่ชายหนุ่มไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่
คะน้าเอี้ยวตัวมองอย่างสงสัย ยกมือขึ้นขยี้หัวด้วยความงงจนผมสีดำสนิทนั้นยุ่งเหยิ
...ผู้ชาย ...ผู้หญิง
The Lover คู่รักอย่างนั้นหรือ? .
.
.
.
ตอนที่ 1.1พจมาน@บ้านทรายทองยังต้องตีไฟเลี้ยวให้กับชีวิตของกระทาชายนายคะน้าเถอะ
บ่ายแก่ๆ แทนที่จะได้ใส่เชิ้ตผูกไทเท่ๆ หล่อๆ หน้าคอมฯ หรือไม่ก็ได้นอนพักเอนหลังยามบ่าย
ไหงกลับต้องมานั่งเรียงไข่ แยกขนาด อยู่ในตลาดสด ...ครับ ตลาดสด แล้วเมษาฯ หน้าร้อนแบบนี้
ตับม้ามแทบจะปลิ้นออกมาเอาเสียให้ได้ ไม่คุ้น ไม่ชอบ และไม่ถูกโฉลกอย่างแรงจริงๆ
ว่าแล้วก็ตักไอติมมะพร้าวมานั่งย้อมใจสักถ้วยดีกว่า ก็ไม่อยากจะคุยหรอกนะ
แต่ไอติมมะพร้าวสูตรเจ้าคุณแม่เนี่ย แหม๊.... มันช่างหอมเย็นชื่นใจจริงจริ๊งงงงงง...
“ไอติอิหนึถ้วะ รัวเปนห้าถ้วะ” สำเนียงไทยผสมพม่าดังขึ้นใกล้ๆ ตัว
คะน้าหันไปมองเขม่นต้นเสียง แต่เจ้าของแก้มตอบหาได้สนใจไม่
หญิงสาวเอื้อมมือพิเศษไปกดเร่งพัดลมขึ้นอีกเบอร์ “คุผุชายให้โจะแวะ”
“จันทู จะกดพัดลมก็กดดีๆ อย่าเอาเท้ากด” คะน้าพูดอย่างอ่อนใจ
แม่สาวพม่าคนนี้ คุณพ่อของเค้าเป็นคนส่งมาให้ช่วยเหลือดูแลแผงไข่กับมะพร้าว
แต่วันทั้งวัน คะน้าไม่เห็นสาวร่างเล็กแกร็นแต่ดันมีหน้าท้องห้อยๆ นี่ จะทำอะไรนอกจากนั่งดูทีวีอะไรไปเรื่อยเปื่อย
แล้วก็ผัดแป้งจนหน้าขาววอก สาบานได้เลยว่าครั้งแรกที่เห็นจันทู คะน้าคิดว่านี่มันผีจูออนชัดๆ
ชายหนุ่มตักไอติมกินแบบกินไปสยองไป เมื่อจูออน เอ้ย! จันทูหันมาถลนตาเหลือกๆ ใส่
ก็เล่นเอาเจ้าตัวสะดุ้งขนแขนสแตนด์อัพ ...จู่ๆ มาจ้องอะไรแบบนี้ กูกลัวนะเว้ย!
“ชะ... ช่วยเรียงไข่หน่อยสิจันทู” สาวพม่าหน้าสก๊อยซ์หันมามองแบบขัดใจ
ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบไข่ที่เรียงบนแผงเก็บเข้าไปในตะกร้าใหม่
ตาจ้องมองจอทีวีเล็กๆ ที่ฉายละครน้ำเน่าอย่างอินสุดขีด คะน้าถึงกับฉุนกึก
“ให้เอาจากตะกร้าขึ้นมาเรียง ไม่ใช่เอาไข่เก็บ แล้วจันทูจะเอาไข่ที่ไหนขาย เอ่อ... ล่ะครับ”
ปลายเสียงอ่อนลงเมื่อเจอสายตาแฝงแววอาฆาตของจันทู
“เก๊าะและทะไม คุคะน้ามะพุให้มานชะๆ” สรุปมันเป็นผู้ช่วยหรือมันนายกูกันแน่ฟะ
ที่สำคัญตัวแกเองพูดชัดมากเลยจันทู คะน้าวางถ้วยไอติมลงพื้นแล้วลุกขึ้นมาเรียงไข่เอง
“เหอะ เดี๋ยวผมเรียงเอง”
จันทูกระถดตัวหนีพร้อมกับทีวีเครื่องเล็กในมือ หญิงสาวนั่งลง อีกครั้งที่เอามือพิเศษกดปรับพัดลมให้แรงขึ้น
คะน้าหันไปมองอย่างอ่อนใจ เมื่อเจอมองแบบนั้น หญิงสาวก็สลดลงหน่อย
ขยับตัวมาใกล้ๆ เหมือนจะพยายามช่วยเหลือ แต่ก็เงอะๆ เงิ่นๆ เหลือเกิน
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมทำเอง” จันทูถลนตา สะบัดหน้ารัวๆ แกจะถลนตาทำม๊ายยยย... มันน่ากลัวนะเฟ้ย
“จันทูแคะจะเบาะว่า คุคะน้ากิไอติเสะ ให้เอาปะทิ๊ดั้วะ โสะโปะ”
ป๊าดดดดดดดดด... ดู๊... ดูมันพูด! อีจันทู! อีผีจูออน!!! คะน้าแทบจะหยิบไข่ยกแผงเขวี้ยงใส่รัวๆ
แต่ก็คงจะมีแต่เขาคนเดียวแหละที่ไม่ถูกชะตากับจันทู เพราะใครๆ ในตลาดนี้ก็เอ็นดูจันทูเสียมากมาย
ไม่เว้นแต่เจ๊เป็ด แม่ค้าขายผักแผงข้างๆ ก็คงใช่แหละ เห็นคุยเรื่องละครน้ำเน่ากันถูกปากซะขนาดนั้น
“วันก่อนเอ็งไปดูหมอมาว่าไงบ้าง” เจ๊เป็ดตะโกนถามเสียงใส
ถ้าเขาตาไม่ฝาด คะน้าคิดว่าเห็นหูของจันทูกระดิกนิดๆ นะ
“ก็ดีนะ แต่อะไรก็ไม่รู้ งงๆ”
“เอ๊า! เอ็งงงอะไรวะไอ้คะน้า” เจ๊เป็ดทำหน้าสงสัย
“ก็มันงงๆ นะ ไปถามเรื่องงาน ไหงมาดูเรื่องความรักให้ก็ไม่รู้ มีบอกด้วยนะว่าจะมีคนเข้ามาสองคนอะไรเนี่ย แล้ว...”
ยังไม่ทันสิ้นคำเจ๊เป็ดก็ตบฝ่ามือลงตักดังฉาด จันทูเองก็หันควับกลับมาจ้องอย่างไม่ปิดบังอะไรต่อไปแล้ว
“เอาละเว้ย ไอ้เป็ดจะเสียหนุ่มให้กับสาวๆ ที่ไหนวะ
นังจันทู เอ็งไปบอกคุณๆ เลยนะเว้ย ได้มีซะไพร้สะใภ้ล่ะเว้ยคราวนี้”
เจ๊เป็ดหัวเราะเสียงดัง จันทูหันมารับคำมั่นเหมา แหม... เข้ากันดีเหลือเกินนะ ยัยผีตองเหลืองนี่
“หมายถึงเซอร์ไพรซ์หรือเปล่าครับเจ๊” คะน้าส่งเสียงเบาๆ อย่างอ่อนใจ
เจ๊เป็ดหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดหมาดๆ ทำหน้าเครียด ไม่รู้จะพูดยังไง ภาพในวันนั้นยังจำได้ดี
“มันแปลว่าอะไรน่ะครับ The Lover?”
“ก็แปลตรงตัวนั่นแหละพ่อหนุ่ม”
แม่อ้อยที่ถูกขนานนามว่าเป็นเดี่ยวมือหนึ่งในการทำนายดวงจากคนทั้งตลาดตอบกลับยิ้มๆ
.
“ระวังไว้นะ เผลอๆ เราน่ะ จะได้แฟนเป็นผู้ชายเอา”คะน้าสะบัดหัวทำหน้าสยดสยอง เขาเอามือลูบแขนขึ้นลงไปมา
นี่สินะ คำจำกัดความของคำว่า “ขนลุกเกรียว”
“โทษนะครับๆ ไอติมขายยังไง”
เสียงเรียกจากลูกค้าฉุดร่างชายหนุ่มให้หยุดคิดอะไรไร้สาระ คะน้ารีบลุกขึ้นพร้อมกับตอบกลับไป
“สิบ สิบห้า ยี่สิบครับ เอาเท่าไหร่ดี”
“เอามาห้าสิบเลยครับ ร้อนตับจะแล่บแล้ว” ควักแบงค์ร้อยวางลงบนถังไอศกรีม
แล้วเอามือดึงเสื้อเชิ้ตสีขาวตรงอกเข้าออกไวๆ ไล่ความร้อนจากกาย
คะน้าเงยหน้าขึ้นมองอย่างพิจารณา หน้าตา รูปร่าง ท่าทาง และการแต่งตัวของเขาดูผิดที่ผิดทางไปเสียหมด
คงไม่แปลกถ้าเห็นคนแบบนี้เดินอยู่ในห้างสรรพสินค้าหรูๆ แต่ที่นี่... ตลาดสด!
“มีแต่ถ้วยยี่สิบ ห้าสิบไม่รู้จะขายยังไงน่ะสิครับ” แม้ลูกค้าหนุ่มตรงหน้าจะสวมแว่นกันแดดเข้มจัด
แต่แว่บหนึ่งคะน้าคิดว่าเห็นแววตาของความไม่สบอารมณ์ฉายผ่านออกมาอย่างชัดเจน
“ไม่ใช่ไม่อยากขายนะครับ แต่ผมไม่รู้จะขายยังไง” เขาพูดเสียงอ่อน
แต่ไหนแต่ไร เขาไม่ถนัดรับมือกับสถานการณ์แบบนี้เท่าไหร่
...เลี่ยงได้ก็เลี่ยง ยอมได้ก็ยอม ให้มันจบๆ ไป
“ก็ตักๆ มาสิ ร้อนจะตายแล้ว อยากกินอะไรเย็นๆ” ถ้ามองไม่ผิด ลูกจ้าพม่าของเขามายืนสะบัดพัดส่งตายิ้มหวานให้เนี่ยนะ
โอ้ย ตูอยากจะบ้าตาย แทนที่จะช่วยกูขายนะ ไอ้หมอนั่น ก็หันไปส่งยิ้มให้ซะงั้น
“ยี่สิบบาทครับ ทอนแปดสิบ” ส่งถ้วยไอศกรีมให้พร้อมเงินทอน หันไปเจอจันทูก็สะดุ้ง
เอ่อ... แกกะพริบตาเข้า เดี๋ยวขี้ตาแกก็ร่วงหรอก
คะน้าหันกลับมาส่งถ้อยไอศกรีมพร้อมกับส่งยิ้มแหยๆ แทนคำขอโทษ
“ไม่มีมือ กินแป๊บ” สั้นๆ กุดๆ ง่ายๆ แบบนั้น แล้วลูกค้าหนุ่มตรงหน้าก็ถอดแว่นกันแดดออก
แล้วลงมือจ้วงไอศกรีมกะทิอย่างตายอดตายอยาก
ทันทีที่คำแรกเข้าปาก รอยยิ้มเล็กๆ ก็ผุดขึ้นบนใบหน้าที่ดูถมึงทึงนั้น
...ดูดีว่ะ คะน้าอดคิดแบบนั้นในใจไม่ได้จริงๆ
“เห้ย! นี่มันอร่อยมากๆ เหอะ!” เขาอุทานขึ้นมาแล้วจ้วงไอศกรีมต่ออย่างไม่ปรานีปราศรัย
พ่อค้าหนุ่มยิ้มแป้นอย่างภูมิใจ ไงล่ะ ไอติมสูตรคุณแม่ บอกแล้วว่าเด็ด!
ไม่ถึงนาที ไอศกรีมกะทิถ้วยใหม่ก็ถูกส่งจากมือคะน้าไปให้กับลูกค้าหนุ่มที่ตอนนี้ทานไปยิ้มไปจนตาแทบจะเป็นสระอิเอา
คะน้าจ้องมองท่าทีของเขาอย่างมีความสุข รู้สึกดีที่มีคนชื่นชอบไอศกรีมของคุณแม่
จะว่าไปแล้ว คนๆ นี้จัดเป็นคนที่หน้าตาดีมากๆ คนหนึ่งเลยล่ะ
ผิวขาวถึงแม้ว่าจะไม่ขาวจัดแบบเขา แต่ก็ละเอียดและดูสุขภาพดี รูปร่างสูงใหญ่มีกล้ามเนื้อดูน่ามอง
ผมตัดสั้นดูสะอาดสะอ้านรับกับใบหน้าที่ตอนนี้ระเรื่อเป็นสีแดงฝาดด้วยแดดที่ร้อนจัด
คิ้วเข้ม ตาโต และจมูกคมเป็นสันรับกับริมฝีปากอิ่ม หล่อขนาดนี้ไปเป็นดาราก็น่าจะพอถูไถ
ดูดีกว่าพระเอกละครที่จันทูดูอยู่ทุกวันอีกนะนั่น
ไม่ๆๆ เอาใหม่ เล่นบทตัวร้ายน่าจะเวิร์กกว่า เพราะดวงตาที่ดูเจ้าเล่ห์นิดๆ นั่น
กับนิสัยเอาแต่ใจนี่น่าจะเอาเรื่องพอสมควรอยู่เลยล่ะ แต่ก็หล่อเลยล่ะ
แม้แต่ในสายตาผู้ชายด้วยกันอย่างเขา ยังต้องยอมรับเลยว่าชายหนุ่มตรงหน้านี่หล่อไม่ธรรมดา
ตายแล้วเกิดใหม่จะได้เท่าไอ้หมอนี่ไหมนะ คะน้าขยับแว่นหนาเตอะของตัวเองพลางรำพึงในใจ
มองไปที่จันทูที่ส่งตาหวานเชื่อมให้หนุ่มหล่ออย่างไม่เก็บอาการ
ถึงไม่ได้ชอบแรงงานพม่าคนนี้เอาเสียเลย แต่เขาก็อดน้อยใจไม่ได้เหมือนกัน ...ทีกูนะ ไม่เคยแลเหอะ!
“ทำเองเหรอ” คำถามจากไอ้หล่อดึงสติของคะน้ากลับมาอีกครั้ง
“สูตรคุณแม่ครับ แต่ผมทำเอง” คิดดูชีวิต อนาถจิตกลับบ้านไปก็ปั่นมะพร้าวแช่
กว่าจะได้หลับได้นอนก็ดึกดื่นหลังขดหลังแข็ง
“ชอบแฮะ” สบตายิ้มซะแพรวพราว
.
.
1...
2...
3...
4...
5...
5 วินาที! กูชะงักไป 5 วินาที!!! ไอ้หมอนี่มันไม่ธรรมดาเลยวุ้ย!!!
“พรุ่งนี้จะมาไหม”
“ขายทุกวันครับ” คะน้าขยับตัวแบบเก้ๆ กังๆ เขาพยักหน้าแล้วหยิบแว่นตาขึ้นสวม ก่อนจะเดินออกไปแบบไม่ให้ใครตั้งตัว
กว่าที่เต่าคลานแบบคะน้าจะเอะใจว่ายังไม่ได้คืนเงินทอนลูกค้าหน้าใหม่ ร่างสูงก็ทะยานไปไกลเสียแล้ว
“เดี๋ยวคุณๆๆๆ ตังค์ทอน” คะน้าโบกมือหยอยๆ วิ่งกระหืดกระหอบตามมา
จู่ๆ ร่างสูงตรงหน้าก็หยุดแล้วหันกลับมา จนคนที่วิ่งตามมายั้งไม่ทัน ปะทะกับบ่ากว้างตรงหน้าอย่างไม่เจตนา
ซ้ำไปกว่านั้นแทนที่เขาจะเป็นอะไร กลับเป็นเจ้าตัวเองที่กระดอนไปเอาซะงั้น
“เอ๊า! เป็นอะไรไหม” สองมือคว้าเข้ามายึดไม่ให้เสียจังหวะ
“ขะ..ขอโทษครับ คะ..คือ... คือคุณลืมเงินทอน”
แฮ่ก... แฮ่ก... คะน้าหอบจนตัวโยน ขาก็ไม่ได้สั้นหรอกนะ
แต่ปั่นสปีดตามนี่ก็เอาเรื่องอยู่ คนอะไร เดินเร็วชะมัด
“เอ่อ...” คะน้ายืนเก้ๆ กังๆ ใบหน้ากระอักกระอ่วนเขาทำเอาร่างสูงตรงหน้าเริ่มรู้สึก
เขายกมือทั้งสองข้างชูขึ้นระดับศีรษะแบบคนยอมแพ้ ไม่มีคำพูดใดๆ จากปากมีแต่รอยยิ้มอารมณ์ดี
“หกสิบบาท ตังค์ทอน” คะน้ากำธนบัตรยี่สิบบาทในมือยื่นกลับให้เขา “เอ่อ... ครับ” อันหลังนี่ ไม่รู้จะพูดไปทำไม
“เก็บไว้ พรุ่งนี้จะมาใหม่” เดินจากไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรทั้งสิ้นแหละ
“เดี๋ยวๆๆๆ ผมไม่เคยเห็นหน้าคุณ ไม่คุ้นเลย ผมเก็บไว้ไม่ได้หรอก” พ่อค้าหนุ่มแย้ง
“มาคุมงานแถวนี้ อยู่อีกนาน” หยิบแว่นกันแดดขึ้นสวม โหย... แม่งเท่นะ ยอมรับเลย
“คุมงาน?”
“เป็นวิศวะ มาคุมงานก่อสร้างคอนโดเยื้องๆ ไปเนี่ย เก็ตยัง?” คะน้าพยักหน้ารัวๆ เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น
มิน่าล่ะ เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ไอ้เท่ทำหน้าระอาเล็กๆ เออ... มึงเท่ จุดนี้กูเก็ตละ แต่...
“แต่ผมก็ไม่รู้จักคุณอยู่ดี รับเงินไว้ไม่ได้หรอก
ถ้าพรุ่งนี้คุณมาก็ค่อยจ่ายใหม่ก็ได้นี่ รับไว้เถอะ ผมก็วิ่งมาแล้วเนี่ย”
“ชื่ออะไร”
“ห๊ะ?” คะน้าฉงนในคำถาม
“ถามว่าชื่ออะไร”
“คะน้า ถามไปทำไม”
“คะน้า? ผักคะน้าน่ะนะ” พ่อค้าหนุ่มพยักหน้างงๆ
“Chinese Kale เนี่ยนะ” เออสิวะ! เซ้าซี้จริง แล้วล่อภาษาอังกฤษเลยวุ้ย! เจ้าของชื่อพยักหน้ากลับ
ก็พ่อตั้งให้แบบนี้นี่หว่า จู่ๆ ไอ้เท่ตรงหน้าก็ระเบิดเสียงหัวเราะซะดังลั่น เชรดดดดดดดดด... ขำอะไรกับชื่อกูล่ะเนี่ย!
“ทิม”
“ห๊ะ?” ทิ่ม! ก็แล้วจู่ๆ มันนึกจะทิ่มอะไรหว่า ไม่เข้าใจแฮะ
“ชื่อ...
ทิม” เออ... ก็กูงง แล้วแม่งหัวเราะอะไรหน้าดำหน้าแดง ตาเป็นสระอิอีกแล้วนะมึง
“อ้อ” คะน้าพยักหน้า
“รู้จักกันแล้ว เก็บเงินไว้ จบนะ” แล้วก็ก้าวฉับๆ ออกไปแบบไม่เห็นฝุ่นเลย
“เดี๋ยวๆ เอาเงินคืนไป” สิ้นคำก็หันมาทำหน้าหงุดหงิดทันที
“อย่าเถียงได้ไม๊! มันจะอะไรนักหนา จะไปทำงาน จบนะ!”
น้ำเสียงกึ่งตะคอกนิดๆ และสายตาแบบไม่สบอารมณ์ของคนที่วิ่งไปทำเอาคะน้าชะงัก
สุดท้ายก็ยอมถอดใจ คะน้าพยักหน้าแสดงถึงการตกลง ทันใดนั้น ไอ้เท่ก็ส่งยิ้มกลับซะงั้น
คะน้าได้แต่ยืนงงกับความแปรปรวน เขามองชายหนุ่มที่วิ่งจากไป แน่นอนว่ามันก็ยังเท่เหมือนเดิม
“เค้าเป็นดาราหรือเปล่าวะ ไอ้คะน้า” นี่คือคำถามแรกจากปากเจ๊เป็ดเมื่อเขากลับมาที่แผง
โดยมีจันทูยืนสมทบ ไม่ใช่แค่ไม่ปิดบัง แต่ออกหน้าออกตาว่าอยากรู้มาก
“เป็นวิศวกรน่ะป้า มาคุมงานก่อสร้างคอนโดใหม่ตรงเนี๊ย”
“แล้ววิศวกร วิศวกรรมมันทำอะไรวะไอ้คะน้า กูก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง” เจ๊เป็ดทำหน้างงๆ จันทูก็เช่นกัน
“ก็คุมพวกคนงานก่อสร้างอะไรพวกนี้มั๊ง ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน”
คะน้าพูดไปก็งงไป หยิบเงินหกสิบใส่กระป๋องแล้วนั่งเรียงไข่ต่อ
เดี๋ยวนะ! เดี๋ยวๆๆๆๆๆ อะไรนะ
วิศวะเหรอ!!!!!!!!!!!!
.
.
.
จบตอน 1.1 นะครับ คือขอแบ่งเป็น 1.1 กับ 1.2 นะ มันยาวๆ พิกล
เปิดตัวหนุ่มวิศวะไปแล้ว ชอบกันไหมครับเนี่ย