ฝึกวิชาคาถาจนแกร่งกล้า
ให้ได้มาซึ่งพรสมประสงค์
เพียรใฝ่สุมขุมพลังอันมั่นคง
หลักอยู่ยงลึกลงไป..ใต้บาดาล
-๓๔-
มันคงเป็นการขับรถที่อันตรายที่สุดเท่าที่ไอ้โป๊ยเคยขับแล้วครับ
คือมันไม่ได้ซิ่งรถเร็วอะไรหรอกเพราะระยะทางไม่ได้ไกลขนาดนั้น เพียงแค่การฝ่าไฟแดงการสี่แยก เบรคกระชั้นจนหน้าขมำ…และการกระทำอีกหลายๆอย่างที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามันกำลังร้อนรนและสับสนอยู่
“พี่วันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้วะ?”
“กู…ก็ไม่แน่ใจ”
“แล้วเค้าจะช่วยเราได้ตรงไหน? กับไอ้เรื่องที่แก้วหายไปเนี่ย?”
“จริงๆแล้ว…มันเป็นแค่ลางสังหรณ์ของกูเท่านั้นแหละ”
มันเลิกคิ้ว หันมามองผมวูบนึงแล้วหันไปขับรถส่ายๆต่อ “ลางสังหรณ์เชรี่ยอะไร?”
ผมเดาะลิ้น
“เรื่องมันลึกซึ้ง…” “ไม่ตลกไอ้สัส มึงต้องบอกกูมา..เดี๋ยวนี้!”
“ไอ้ควาย มึงก็ใจเย็นๆก่อนได้มั้ย มึงขับรถซะกูแทบจะหัวใจวายตาย..ถึงที่โน่นแล้วกูจะเล่าให้มึงฟังเอง”
“ที่ไหน? อุทยานเมืองเก่าที่ไปกันเมื่อวานอ่ะนะ?” มันร้อง ท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก “กูไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่ะ สรุปว่าอะไรยังไง? ทำไมพี่วันของมึงถึงโผล่มาอยู่ที่พิจิตรได้วะ? หรือจะเกี่ยวอะไรกับไอ้ที่มึงไปเดินเล่นเมื่อวาน”
ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น และปล่อยให้มันเลี้ยวรถผ่านกำแพงอิฐมอญตำแหน่งเดียวกับเมื่อวาน
ไอ้โป๊ยไม่ได้โง่ ที่มันปล่อยข้อสันนิษฐานทั้งหมดทั้งมวลออกมาแบบนั้นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้…ในเมื่อผมทำตัวน่าสงสัยเอง และที่ผมเงียบไม่ตอบอะไรแบบนี้เพราะผมกำลังเรียบเรียงอยู่ บางทีมันคงถึงจุดที่ต้องเล่าอะไรให้มันฟังสักอย่าง…ถึงแม้ว่าเรื่องที่พูดไปจะไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรต่ออีกฝ่ายสักเท่าไหร่ก็ตาม
เมื่อยี่สิบนาทีก่อนที่ตอนที่รับสายจากพี่วัน ผมรู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้…แต่ก็รีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ทั้งเรื่องแก้ว เรื่องอะไรอีกหลายๆเรื่องด้วย เผลอๆอาจจะมากกว่าตอนที่ผมคุยกับเขาเป็นชั่วโมงๆเมื่อวานเสียอีก
อีกคนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงบอกให้ผมมาหาเขาที่เดิมโดยไม่บอกเหตุผลใดๆทั้งสิ้น
เรื่องมันฟังดูโง่มากครับ แต่ผมกับโป๊ยก็บึ่งรถออกมาทันทีเพราะไม่มีเวลาให้ไตร่ตรองอะไรขนาดนั้น แตงโมรออยู่ที่ที่พักทั้งที่ยังสับสนไม่แพ้กัน แต่ด้วยถ้าแก้วกลับมาก่อนโดยไม่มีอะไรผิดปกติจะได้ติดต่อกันได้สะดวก
ผมเคยยืนอยู่ในจุดเดียวกับโป๊ยครับ
..เวลาที่เราหงุดหงิด..เวลาที่เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย.. มันเป็นความหงุดหงิดบนความเศร้าที่แม้แต่จะร้องไห้ก็ยังทำไม่ได้…แบบนั้นแหละ
ซูซูกิสวิฟท์สีขาวของแตงโมวิ่งเทียบจอดที่ตำแหน่งเดียวกับที่เราจอดเมื่อวานเป๊ะๆ เด็กชายตัวเล็กสองคนก็วิ่งเล่นอยู่ที่ลานหน้าศาลหลักเมืองเหมือนเป็นกิจวัตรที่ทำทุกวัน คุณป้าคนเดิมก็กำลังจัดเตรียมดอกไม้ธูปเทียนเพราะมันยังเป็นช่วงเช้าอยู่
ผมลงจากรถ และเดินนำโป๊ยข้ามถนนลาดยางไปที่ทางเดินอิฐสีแดงเล็กๆที่ทอดยาวไปตามทาง ตามพื้นยังมีใบไม้รอยอยู่เต็มเหมือนเช่นที่เป็นเมื่อวาน คงไม่มีใครมากวาด..และเท่าที่ดู คงไม่มีใครมาจัดการเรื่องอะไรแถวนี้เสียนานแล้ว
จังหวะเท้าของผมกับมันแทบจะเร็วเท่าๆกัน เสียงรองเท้าสองคู่ที่กระทบไล่เลี่ยกันนั้นทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวน้อยกว่าเมื่อวาน
จวบจนถึงโบราณสถานวัดมหาธาตุ…ถึงได้หยุดเดิน
เพราะไอ้พี่วันรออยู่ตรงนั้น เขาเลิกคิ้วเมื่อเห็นโป๊ย แต่ไม่ได้ว่าอะไร แล้วเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาผมเอง
“ไม่เป็นไรนะ?” มันเป็นคำถามที่ทำให้ผมอยากจะถลาเข้าไปกอดเขาเหลือเกินครับ แต่พลังงานทั้งหมดก็ใช้ไปกับการฝืนตัวไว้แบบนั้น เพราะไอ้โป๊ยมันยืนอยู่ข้างหลัง แม้ผมจะรู้ว่ามันคงไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะแซวอะไรมากมายเท่าไหร่
“อื้อ” ผมพยักหน้า ตั้งใจจะตอบเขาเสียดิบดี “ไม่เป็น….”
“เกิดเรื่องอะไรกันแน่? พี่วันรู้เหรอครับว่าแก้วอยู่ที่ไหน?”
แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือโป๊ยมันโพล่งขึ้นมาก่อนซะงั้น ด้วยท่าทางร้อนรนไม่ต่างจากเดิม และไม่มีท่าทีว่าจะยอมสงบง่ายๆด้วยจนผมต้องยกมือแตะแขนมันไว้ก่อน แต่ไม่รู้จะห้ามด้วยวิธีไหนดี
เพราะผมเองก็อยากรู้คำตอบของคำถามนั้นเหมือนกัน
พอหันกลับไปมองพี่วัน เขาก็ยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่เหมือนอยากจะบอกให้พวกผมใจเย็นเป็นนัยๆ
“พี่ไม่รู้หรอกครับ” อีกฝ่ายตอบ “แต่พี่มีวิธี”
“วิธีอะไร?”
“มันเป็นวิธีที่…อาจจะต้องใช้อะไรบางอย่างนิดหน่อย” เขาโบกมือให้ผม แล้วพยักเพยิดไปทางโป๊ย “แต่เรื่องนั้นอาจต้องการคำอธิบายก่อน”
มันทำให้ผมเลิกคิ้ว “ด-ได้เหรอ?”
พี่วันยักไหล่ “อุตส่าห์พามาถึงนี่…คงไม่ได้อยากจะปิดเพื่อนแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
“ยังจะมีปัญหาอะไรที่มากไปกว่าตอนนี้อีกล่ะ?”
พี่วันยิ้มให้ผม และถึงแม้ว่าเขาจะยิ้มให้ผมจนเป็นปกติอยู่แล้วก็เถอะ แต่ก็นึกแปลกใจมิใช่น้อยกับการแสดงท่าทีนั้น เพราะปัญหาที่ว่าคือเรื่องของแก้ว? นั่นหมายถึงการที่แก้วหายตัวไปจะเกี่ยวข้องอะไรกับจระเข้อย่างนั้นหรือ?
ด้วยเพราะเขาเป็นจระเข้…มันสมควรแล้วรึเปล่าที่เขาจะออกตัวมาช่วยเหลือมนุษย์ด้วยตัวเองแบบนี้
ถึงอย่างนั้นร่างสูงก็ยังเดินนำพวกเราไปตามทางเดินอิฐ ที่ผมแอบตกใจไม่น้อยว่าเขากำลังพาพวกเราไปยัง ‘ถ้ำจระเข้’ แห่งนั้น ทั้งที่ผมคิดว่ามันเป็นความลับ…แต่ช่างเถอะ ในเมื่อไอ้พี่วันตัดสินใจแล้วนั่นก็คงหมายถึงเขาคิดมาดีแล้วเช่นกัน
ผม..ที่ตอนนั้นเองก็ยังไม่เข้าใจอะไรมากมาย..จึงได้หันมาหาโป๊ยตามหน้าที่
“กูพร้อมจะอธิบายแล้วนะ” ..แน่ะ คำพูดลองเชิงอีกกู.. คนฟังทำท่าจะโบกผมสักตั้งกับคำพูดเหมือนผู้ที่อยู่เหนือกว่าแบบนั้น แล้วว่า “เรื่อง?”
“เรื่องพี่วัน”
มันเดาะลิ้น “ว่ามา”
“คือความจริงแล้ว…” ผมอึกอักนิดหน่อย แล้วกระซิบบอกมัน
“พี่วัน…ไม่ใช่มนุษย์” มันเงียบไปทันที
ดวงตาของโป๊ยมีประกายความสับสนแบบทบทวี ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หยุดเดินหรือออกอาการแอคติ้งเว่อร์ว่ามันคือเหี้ยอะไร เขาดูไม่ได้ตกใจเหมือนตอนที่ผมรู้ครั้งแรก หรือว่าผมบอกเขาไปชัดเจนไม่พอวะ?
“เฮ้ย” เลยขอสะกิดมันสักหน่อย “ได้ยินที่กูพูดป่าววะ?”
คนฟังพยักหน้า “ได้ยิน”
“ว่า?”
“…จริงๆกูก็คลางแคลงใจมาสักพักแล้ว ว่าพี่วันเขาอาจจะ...เอ่อ…แตกต่างจากพวกเรา” โป๊ยพึมพำ ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่คนที่เดินนำตรงหน้า “หมายถึงพวกบรรยากาศที่แตกต่างออกไป…แต่ไม่คิดว่าจะจริง”
“อ้อ” ผมพยักหน้า “มึงจะบอกว่าเป็นโป๊ยญานทิพย์ใช่มั้ย?”
“แล้วผู้ชายหน้าตาดีที่มีความลับเยอะนี่เป็นสเปคมึงเหรอ?” “ไอ้เวร ไม่วายยังจะแขวะ”
“แล้วถ้าไม่ใช่มนุษย์แล้วพี่วันเค้าเป็นอะไร?”
“จระเข้” ..มาอีกแล้วครับกับบรรยากาศเดธแอร์ ผมกลืนน้ำลาย คิดว่าไอ้ประโยคเมื่อครู่น่าจะชัดเจนและรวบรัดมากพอ เหลือบมองคนข้างตัวอีกรอบ..แต่ก็ไม่สังเกตว่ามันจะเร่งฝีเท้าขึ้นหรือผ่อนความเร็วลงสักนิด คล้ายกับมันกำลังเพ่งสมาธิในการย่ำมากกว่าสิ่งอื่นใด
“อ้อ” ในที่สุด..มันก็รับ “อย่างงี้นี่เอง”
...แต่คำรับมันจะสั้นไปหน่อยมั้ยวะ!? “มึงไม่แสดงอาการตกใจอะไรมากกว่านี้หน่อยเรอะ!?”
“กูก็ตกใจอยู่นี่ไง”
“ตรงไหนมิทราบ…”
“ก็บอกแล้วไงว่ากู ‘คลางแคลงใจ’ มาสักพักแล้ว” มันมุ่ยหน้า ไม่ได้หันมามองผมด้วยซ้ำ “ถึงจะตกใจนิดหน่อยก็เถอะ…
ระดับพี่วันทั้งทีก็คิดว่าจะเป็นอะไรที่เท่กว่านี้ซะอีก…”
“มึงต้องเห็นตอนที่เค้าแปลงกาย” ผมชิงพูด
“เท่โคตร” “ไอ้สัสนี่ก็อวยสามีจ๊างง”
“กูแค่พูดความจริงว้อย!!”
“โอ้ย! มึงนี่ก็เสียงดังจังเลย ไอ้เรื่องแบบนี้มันควรจะเป็นความลับไม่ใช่เหรอ?”
“…เออ…มึงสัญญาได้มั้ยว่าจะไม่บอกใคร?”
อีกฝ่ายพยักหน้า “ก็ได้นะ”
“…อย่าทำตัวเหมือนอยู่เหนือกว่าแบบนั้นสิวะ” ผมเบ๊ปากใส่มัน “มึงนี่ก็ประหลาด นอกจากจะไม่ตกใจห่าอะไรแล้ว ยังเสือกนิ่งได้ขนาดนี้อีก”
พอสิ้นคำพูดผม..มันก็ยกมือเกาหัวเล็กน้อย ก็จริงอยู่ที่โป๊ยนิ่งและตั้งสติได้ดี ต่างจากตอนที่แก้วหายไปเมื่อครู่ลิบลับ มันสิทำท่ายังกับจะเป็นจะตายเสียให้ได้แล้วก็สะบัดไอ้สิ่งที่เรียกว่าความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ทิ้งไปหมด
วินาทีนั้นเองที่ผมสังเกตว่าคนข้างหน้าแอบเหลือบมองมา คล้ายกับว่าเขาก็ฟังบทสนทนานี้อยู่ด้วยเช่นกัน
“ไม่รู้ดิ…กูไม่สนมาแต่แรกแล้วว่าว่าพี่วันเค้าเป็นใคร หรือเป็นอะไร มันเรื่องของพวกมึง”
นั่นเป็นคำที่เพื่อนรักตอบผม
“ตอนนี้กูสนแค่ว่า..แก้วอยู่ที่ไหน ส่วนเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง” คำพูดนั้นไอ้พี่วันก็ได้ยินเช่นกัน เขาขยับยิ้ม แล้วก็หันกลับไปเดินต่อโดยไม่คัดค้านสิ่งใดต่อ
และให้ตาย ผมอยากกอดไอ้โป๊ยเหลือเกินครับวินาทีนี้
…ใจมึงหล่อมากไอ้สัส ยังไม่ทันที่ผมกับโป๊ยจะได้สนทนาอะไรต่อ เราก็เดินมาถึงสะพานที่เต็มไปด้วย..เอ่อ..กลิ่นขี้นก โป๊ยยกมือปิดจมูกทันทีแล้วเหลือบมองผม สายตานั่นกำลังตั้งคำถามว่า ‘นี่เรากำลังจะไปที่ไหนกันเหรอ?’ กับคำว่า ‘เอาจริงดิ’ ส่วนผมก็ไม่รู้จะส่งสัญญาณตอบมันยังไงด้วยสายตาดี เลยชิงเดินตามไอ้พี่วันไปก่อน ปีนลอดใต้สะพาน แล้วไปหยุดยืนที่หน้าถ้ำแห่งเดิมที่เดียวกับที่ผมมาเมื่อวาน
เมื่อหันไปมอง แม้ว่าไอ้โป๊ยมันจะยังดูงงๆ แต่ก็ตามพวกผมมาติดๆ
“นี่อย่าบอกนะว่าเราต้องเข้าไปอ่ะ?”
..ดูคำถามมันดิ แม่งเป็นคำถามเดียวกับที่ผมถามตัวเองเมื่อวานเลยครับให้ตาย!
ผมพยักหน้าตอบมัน ก่อนไอ้พี่วันจะเดินนำเข้าไปก่อนเป็นคนแรก
ก็มีคิดบ้างนะครับว่ามนุษย์สองคนบุกรังจระเข้แบบนี้คงไม่ดีไม่งามนัก แต่มากับจ้าวน้อยทั้งที…คงไม่มีอะไรอันตรายเกิดขึ้นหรอก
.
.มั้งนะมั้ง แค่คิดไปเองเท่านั้นแหละ
…ก็มีบ้างเหมือนกันที่ไอ้พี่วันมันเอาแต่ใจซะจน…ไม่คิดหน้าคิดหลัง เหมือนเดิมครับ ข้างในของโพรงแห่งนี้มันมืดสิ้นดี แต่เพราะพี่วันยื่นมือมาให้ผมเกาะก็เลยไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องหยิบไฟฉายมาส่องทางเหมือนเมื่อวาน ส่วนโป๊ยก็จับไหล่ผมไว้อีกทีต่อกันเป็นทอดๆ แต่เพราะมองไม่เห็นนั่นแหละเลยท่าจะสะดุดล้มอยู่หลายรอบเหมือนกัน
“พี่คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกไปหน่อย..”
ในที่สุด..ไอ้พี่วันก็เอ่ยขึ้น หลังจากที่เขาไม่ได้พูดอะไรเลยมาตลอดทาง
“ถ้าแก้วเป็นลูกของหมออาคมจริงอย่างที่ไกรเล่า พี่คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี่คง…ไม่ชอบมาพากลเท่าไหร่” ผมเลิกคิ้ว..แม้ตัวเองจะเอะใจกับเรื่องดังกล่าวอยู่บ้างแต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“ไม่ชอบมาพากลยังไง?”
“แก้วหายไปหลังจากที่ไกรมาเจอพี่ พี่ไม่คิดว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องบังเอิญหรอกนะ”
มือที่จับไหล่ผมบีบขึ้นนิดหน่อย มันเป็นสัญญาณแซวของไอ้โป๊ยโดยไม่ต้องพูดว่า ‘อ้อ ที่มึงหายไปเมื่อวานนี่แว่บมาหาสามีนี่เองสินะ แล้วก็ปล่อยให้พวกกูยืนตากแดดรอ บลาๆๆ’
“จำเรื่องที่พี่เล่าให้ฟังเมื่อวานได้มั้ย?” เขาพูดต่อ นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่คนขี้เกียจอธิบายอย่างเขาเอ่ยปากออกมาก่อนโดยที่ผมไม่ต้องถาม โอ้ว นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าพัฒนาการ “พี่คิดว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกัน…กับวรรณนา”
…สาบานได้ครับ จุดนั้นผมไม่รู้เลยว่าไอ้เรื่องโน้นกับเรื่องนั้นมันไปโยงกันได้ยังไง!? “อะไรนะ? วรรณนาเหรอ?”
“ใช่”
“มันจะบังเอิญไปรึเปล่า?”
“เรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นพร้อมกันสองครั้งน่ะ ไม่ได้เรียกว่าเรื่องบังเอิญเท่าไหร่หรอกนะ”
เรื่องแรก…คือการที่ผมมุ่งหน้ามาพิจิตร แล้วไอ้เจอกับไอ้พี่วันที่เหมือนกับพรหมลิขิตบันดาลชักพา(หยุดเอาฮาสักที!)
เรื่องที่สอง…คือเรื่องที่จู่ๆแก้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“แล้ววรรณนาทำไม?”
“เท่าที่พี่รู้มา…” เขาลดเสียงลง “วรรณนาไม่ใช่ลูกของท่านอาพันวัง”
ผมอ้าปากค้างอยู่แปปนึง “แล้ว…วรรณนาเป็นลูกของใครล่ะ?”
อีกคนส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน”
“อ้าว”
“เพราะว่าไม่รู้น่ะสิ เลยคิดว่ามันน่าสงสัย…” อีกฝ่ายยกมือเสยผมแล้วถอนหายใจ “วรรณนามาจากไหนไม่รู้ ตั้งแต่ที่พี่รู้จักก็คือ…เขาบอกกันมาว่าเป็นลูกของท่านอา แล้วก็แค่นั้น ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันด้วยซ้ำ”
“แล้ว…แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าไม่ใช่?”
“เพราะปู่พี่บอกว่าไม่ใช่”
“แล้วปู่พี่รู้รึเปล่า?”
“พี่ยังไม่ทันได้ถามถึงขนาดนั้น แต่ตอนที่พี่เล่าเรื่องของวรรณนาให้ท่านฟัง..อยากให้ท่านช่วยตามหาให้ ปรากฏท่านไม่รู้จัก ไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าท่านอาพันวังมีลูก”
พี่วันพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ประหลาดมาก
ซึ่งผมไม่เข้าใจเลยจนกระทั่งประโยคถัดไป
“เพราะท่านบอกว่า…ท่านอาพันวังมีลูกไม่ได้” ผมพยายามใช้สมองน้อยๆที่ตัวเองมีอยู่คิดตามคำอธิบายนั้น พยายามนึกภาพตามอย่างช้าๆที่สุด ไอ้โป๊ยที่เดินตามข้างหลังผมมาสิแย่หนัก มันคงงุนงงจนไม่รู้ว่าจะเริ่มถามตรงไหนดีด้วยซ้ำ
ถึงกระนั้น..คนที่รู้เยอะที่สุดอย่างไอ้พี่วันก็ดูท่าทางหนักใจไม่น้อย
“…และไม่ว่าวรรณนาจะเป็นใครมาจากไหน พี่ไม่คิดว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ดีแน่”+++++++++++++++++++
ผลึกแก้วสีทองขนาดมหึมาตั้งตระหง่านกลางห้องราวน้ำแข็งสีอำพันย้อยหยดจากเพดานสูงใหญ่ ผิวประกายเพียงกระทบคบไฟไหววูบก็สะท้อนแสงเรืองรองไปทั่วกำแพงสีแดงอิฐรอบบริเวณ ส่องระยิบระยับงดงามจับตาจนคนมองต้องอ้าปากค้าง
ที่ฟากหนึ่งด้านหลังเป็นธารน้ำตกใส ทอดยาวออกไปเป็นทางคูคลองเล็กๆ ยามประจันหน้าในชุดไปรเวทเหมือนมนุษย์ทุกองค์ประกอบยืนอยู่ที่จุดต้นของผลึกแก้วอำพัน จ้องมองพวกผมด้วยนัยน์ตาสีเดียวกันคล้ายงุนงงสงสัย แต่ไม่ได้ซักถามอะไร
ถ้าทำได้ผมคงอยากหันไปกอดไอ้โป๊ยจนตัวกลม อีกคนก็ทำท่าทำทางอยากจะเข้ามาเหมือนกัน แต่เพราะทำไม่ได้..พวกเราเลยแค่ขยับเข้ามาใกล้กันอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง
ไอ้พี่วันยังคงเดินนำไปข้างหน้า ด้วยท่าทางไม่ยี่หระอะไรกับบรรดาสายตาที่มองมาสักนิด
จนกระทั่งเราเดินยาวข้ามจากช่องประตูหนึ่งมายังช่องประตูฝั่งตรงข้ามด้วยระยะเวลาที่นานกว่าทศวรรษ(เว่อร์ไป..) ยามหน้าประตูหนึ่งถึงได้ก้าวเท้าออกมาปริปากออกเป็นครั้งแรก
“จ้าวน้อยขอรับ…นั่น….”
ท้ายเสียงนั้นพยักเพยิดมาทางพวกผมด้วยสายตาประหลาดนัก
…ทำไมครับ? ไม่เคยเห็นมนุษย์ตัวเป็นๆงั้นเหรอครับพี่? ก็อยากจะเล่นมุขเกรียนประสาทตามประสาอยู่บ้างครับ แต่ดูจะไม่ใช่เวลาที่ถูกที่ควรนัก และเท่าที่ผมเรียนรู้มา..เราอย่าคาดเดาอายุจากใบหน้าของจระเข้ ดังนั้นผมเลยสันนิษฐานว่าเขาอาจจะอายุมากกว่าพวกผมสักเจ็ดสิบปีได้
มีตัวอย่างกรณีของท่านอาพันวัง เป็นบทเรียนที่สอนไว้ว่าอย่าคิดจะล้อเล่นกับใครที่มีอายุมากกว่าเรามากกว่าสามเท่าเด็ดขาด
“แล้วจ้าวปู่ล่ะครับ?” และพี่วันไม่ได้ตอบคำถามนั้น…ทำดีมากพี่ชาย “ขอผมพบได้รึเปล่า?”
คนฟังมีท่าทีลังเลไม่น้อย แต่ก็พยักหน้า แล้วถอยเท้าออกไป “แน่นอนขอรับ”
“ขอบคุณครับ”
พวกเราเดินเกาะกระแสตามหลังผ่านธรณีประตูไป โดยไม่ลืมที่จะส่งยิ้มทักทายตามประสาแขกที่ดีทั้งที่ตัวสั่นงกๆ โป๊ยมีอาการดีกว่าผมนิดหน่อย อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ดูกลัวเกร็งอะไรอย่างที่ผมเป็นอยู่
…นั่นเพราะมันยังไม่เข้าใจถึงความหมายของสิ่งมีชีวิตพวกนี้ดีน่ะสิ…
คิด..แล้วก็อิจฉามันชะมัด อย่างน้อยๆมันก็ไม่ได้ถูกขู่ว่าจะกินๆตลอดอย่างผมไง เฮ้อ ทำไมผมต้องพูดให้ตัวเองดูเป็นมนุษย์หนึ่งเดียวที่โชคร้ายขนาดนั้นด้วยเนี่ย
แต่เดี๋ยวก่อนนะ
…พวกเรามาทำอะไรที่นี่วะ..? ผมที่เพิ่งฉุกใจคิดได้ก็ต้องหันศีรษะกลับมาก่อน หลังช่องประตูนั้นมีม่านสีขาวคล้องเกี่ยวเอาไว้ ให้พวกเราต้องเบี่ยงตัวหลบยกมือแหวกม่านไปตลอดทาง แต่ไอ้พี่วันนั้นกลับเดินได้สบายมาก เพียงแค่เดินตรงไปเรื่อยๆไม่เห็นต้องลนลานแบบที่ผมเป็น
กลิ่นหอมของกำยานเก่าลอยมาแตะที่จมูกทำให้รู้สึกแปลกนิดหน่อย ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย…ผิดกับบรรยากาศภายนอกลิบลับ
ผมสูดลมหายใจติดๆขัดๆของตัวเอง ยื่นมือไปเกาะแขนไอ้พี่วันอีกครั้งหนึ่ง
มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เราเดินมาจนสุดทางพอดี
สิ้นสุดของหมู่ม่านที่แหวกออก…จึงจะพบห้องหับขนาดกว้างใหญ่อีกห้องหนึ่ง ผนังห้องยังคงเป็นก้อนหินสีแดงอิฐที่เรียงรายต่อกัน เพียงประดับด้วยพลอยไพลินเม็ดเล็กวาดลวดลายเต็มผนัง โต๊ะเก้าอี้หินอ่อนคู่หนึ่งตั้งเด่นอยู่กึ่งกลาง ตรงสุดของสายตาจึงจะเป็นตั่งเตียงหินสลักลายสีเข้ม ปูฟูกบางๆกางคลุมด้วยม่านโปร่งเดียวกับทางที่เดินเข้ามา
ถ้าจะให้ผมอธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น ก็จะบอกว่าในบรรดาตลอดทางที่เดินผ่านมา ห้องแห่งนี้แหละที่ผมสามารถเรียกได้ว่า ‘ที่อยู่อาศัย’ จริงๆ
และแม้ว่ากลิ่นกำยานที่เมื่อครู่ยังทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายจะยังคงลอยคลุ้งไปหมดก็ตาม บัดนี้มันกลายเป็นบรรยากาศกดดันอย่างบอกไม่ถูก
ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ไอ้พี่วันอีกนิดนึง เขาจึงหันมาหาผม..และยิ้มอ่อนๆให้
“ไม่เป็นไร” เขาบอก “จ้าวปู่พี่ใจดีนะ”
..วินาทีนั้นผมไม่อาจให้คำนิยามจำกัดความของคำว่า ‘ใจดี’ ในความหมายของไอ้พี่วันเลยจริงๆครับ.. แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น พอเขาหันมามองผมด้วยสายตาชวนให้เชื่อมั่นเช่นนั้นก็ทำให้ผมโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ตอนนั้นดวงตาของไอ้พี่วันเปลี่ยนเป็นสีทองอีกแล้ว และมันคงทำให้โป๊ยชะงักไม่น้อยทีเดียว แต่เพื่อนผมก็ไม่ได้ทักอะไรกับการเปลี่ยนแปลงนั้น ทั้งที่มันทำสีหน้าพร้อมจะถามได้อยู่ตลอดเวลาแท้ๆ...เพียงแค่สะกดกลั้นไว้
เพราะอย่างน้อยๆมันก็จงใจกระซิบมาละว่า
“…จากนี้มีเรื่องต้องคุยกันยาวเลยว่ะไกร” ผมพยักหน้าไปกับมันหนึ่งครั้ง อยากจะบอกมันว่า ‘ถ้าจะให้เล่าสามวันก็ไม่จบหรอก’ แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรออกมา เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากช่องประตูอีกบานในห้อง แถมยังกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆจนใจผมเต้นไม่เป็นส่ำ
ยามที่ ‘เจ้าบ้าน’ ย่างกรายเข้ามาปรากฏตัวเป็นครั้งแรก ผมถึงกับอ้าปากค้าง
เสียงฝีเท้าที่บรรจงย่ำลงมาเมื่อครู่ทำให้ผมนึกถึงชายวัยกลางรูปร่างใหญ่โตที่ก้าวเดินมาด้านหน้าอย่างมั่นคง มโนภาพ ‘ท่านจ้าวปู่’ คนนั้นไว้หนวดเครายาวระต้นขา มีสายตาอ่อนโยนเหมือนไอ้พี่วันทอดมองมาหา และบารมีแกร่งกล้าจนต้องคุกเข่าลงกับพื้น
….แต่…..แม่งไม่ใช่อย่างที่ผมคิดเลยครับ
เพราะท่านจ้าวปู่นั่นเป็นแค่….. “เด็ก…ไม่ใช่เหรอวะนั่นน่ะ?” ..ไอ้โป๊ยพูดก่อนครับ! มันหลุดปากก่อน! มันผิด! จระเข้สองตัวในห้องถึงกับหันมามองโดยพร้อมเพรียงกัน ทั้งไอ้พี่วันที่ยืนอยู่ในระยะเอื้อมแขนก็ด้วย ทั้งคนตัวเล็กที่สูงแค่เอวหน้าตาแอ๊บแบ้วนี่ก็ด้วย ส่วนผมซึ่งได้ยินประโยคนั้นเต็มสองรูหูไม่ต้องหันไปมองเลยครับ ผมรู้ว่าใครพูด รู้ด้วยว่ามันกำลังทำหน้าไม่ต่างจากผมอยู่
ผมทำหน้าที่เพื่อนที่ดีครับ คือการปิดตาชี้ไอ้คนพูด บอกเป็นนัยๆว่า ‘ผมไม่ผิดนะ!’
ส่วนไอ้โป๊ยน่ะเหรอทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ จะแก้ต่างอาการปากไวเฉียบพลันนั่นก็ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว มันเลยรีบว่า
“ขอโทษครับ…ผมไม่ตั้งใจจะเสียมารยาท”
..เฮ้ย ประโยคแม่งหล่ออีกแล้วว่ะ ทำไมกูไม่ได้พูดประโยคหล่อๆแบบนั้นบ้างเลยวะ..!? “ไม่เป็นไร” เสียงของเด็กชายที่ดูท่าจะยังไม่แตกหนุ่มดีนั้นเอ่ยขึ้น พร้อมไหวไหล่ “มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ตกใจเรื่องไม่เข้าเรื่องกันไปเสียหมด”
“จ้าวปู่ครับ นี่ไกร..ที่เคยเล่าให้ฟังวันก่อน” พี่วันแนะนำ “ส่วนนั่นโป๊ยครับ เพื่อนไกร”
“โห่ นี่เจ้าไปอยู่บนนั้นท่าทางจะสนุกไม่ใช่น้อย ได้เพื่อนกลับมาเยอะแยะ”
“เรียนมหา’ลัยเดียวกัน คณะเดียวกันน่ะครับ เป็นพวกรุ่นน้อง”
“อ๋อ สมัยนี้มันก็มีแบบนั้นเนอะ”
พี่วันยิ้ม “ครับ คงอย่างนั้น”
“สมัยนี้โลกบนนั้นเปลี่ยนไปเยอะนัก” เด็กชายตัวเล็กเดินเตาะแตะปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หินอ่อน “ข้าสิชักตามไม่ทัน อย่างกับช่วงเวลาที่โลกบาดาลนี้ได้หยุดลงตั้งแต่หลายร้อยปีที่แล้ว”
“ว่างๆจ้าวปู่ก็ออกไปข้างนอกบ้างสิครับ ผมพาไปเอง”
“เรื่องสิ ร่างเด็กแบบนี้ออกไปจะสนุกอะไรได้ที่ไหน”
ครับ ใช่ ผมเห็นด้วยกับประเด็นนั้นสุดๆ
แม้คำพูดคำจาจะชัดถ้อยชัดคำและดูสูงวัยมากแค่ไหน แต่ตราบเท่าที่ผมยังเห็นคนตรงหน้าเป็น ‘เด็ก’ อยู่…ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอินไปกับบทสนทนาดังกล่าว
โป๊ยเองก็เช่นกันครับ มันยังคงกระพริบตาปริบๆจ้องท่านจ้าวปู่อย่างเสียมารยาทเป็นที่สุด ช่างน่าขันนักที่มันทำแบบเดียวกับผมทุกประการ
ไอ้พี่วันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆระหว่างที่ผมกำลังเรียกสติตัวเองกลับมา พยายามที่จะไม่เอ่ยถามไปอย่างหยาบคายว่าท่านใช้ครีมบำรุงหน้าอะไรถึงได้ดูเด็กขนาดนั้น และกำลังทบทวนว่าไอ้ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันคือโลกแห่งความเป็นจริงแน่ใช่มั้ย
…รู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กจ้อยของโลกอันแสนกว้างใหญ่นี้ยังไงชอบกล
ไม่ต้องห่วง โป๊ยกำลังทำแบบเดียวกับผมอยู่ครับ
จังหวะนี้เราทำอะไรก็เหมือนฝาแฝดกันไปหมดละ เมื่อพลิกโลกลงมาร้อยแปดสิบองศาแบบนี้นี่หว่า กลายเป็นไอ้การ์ตูนเอนิเมชั่นที่เราดูตอนเด็กๆเป็นเรื่องเบบี๋ไปเลย
“มาทางนี้สิ”
คำเรียกนั้นทำให้ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ และลนลานที่จะก้าวไปข้างหน้า
“ไม่ใช่เรา” ท่านจ้าวปู่โบกไม้โบกมือ
“อีกคนน่ะ” ..ท่านหมายถึงโป๊ย.. และมันทำให้คนถูกเรียกก้าวเท้าเข้าไปหาโดยไม่ขัดคำสั่งแม้แต่น้อย
ท่านจ้าวปู่ผายมือให้โป๊ยนั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนตัวหน้า แล้วพี่วันก็ก้าวเท้าถอยหลังมายืนข้างๆผม เขามองผมยิ้มๆด้วยความหมายที่ผมไม่เข้าใจ
เลยขมวดคิ้วใส่ “อะไร?”
“ไม่ต้องกลัวหรอก” พี่วันกระซิบบอก “จ้าวปู่ใจดีออก เห็นมั้ย?”
ผมพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะสะดุ้งหวือเมื่อมือใหญ่สอดเข้ามากุมมือผมแบบไม่เนียนอย่างที่สุด เล่นเอาไม่กล้าหันไปด่ามันเลยครับจุดนี้ ไม่รู้จะประกาศให้โจ่งแจ้งไปถึงไหน…ไอ้ความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกแบบนี้เนี่ย! กูเขินหมด!!
ตัดฉากกลับไปที่บนโต๊ะหินอ่อนครับ จ้าวปู่แบมือลงตรงหน้า เป็นมือเล็กๆทั้งสองข้างให้โป๊ยเอื้อมไปจับ
“ท่านจ้าวปู่จะทำอะไรน่ะ?” ผมกระซิบถาม
“พิธีกรรม”
อีกฝ่ายตอบสั้นๆง่ายๆตามเดิมครับ!
ไอ้พัฒนาการเมื่อกี้มันหายไปไหนแล้ว!? ผมมุ่ยหน้า “พิธีกรรมอะไรเล่า”
“อ้อ ก็..เอ่อ..เป็นการสวดคาถาให้เรารู้ที่อยู่ของคนที่เราผูกพันด้วยน่ะ…อย่างเช่น เราอาจจะต้องใช้สมาธิเพ่งหาเขามากเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ก็จะให้คนที่รู้สึกพิเศษๆทำเนี่ยแหละ” ไอ้พี่วันพยายามอธิบาย “..ตอนที่ไกรหายไป…พี่ก็ทำแบบนี้เหมือนกัน”
“พี่วันทำได้ด้วยเหรอ?”
“เปล่าหรอก” เขาตอบ..ลดเสียงลงเล็กน้อย “…ท่านอาหาให้”
ผมคิดว่าเขาคงเจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องนึกถึงเรื่องนั้น เลยตัดสินใจเงียบไม่ถาม แล้วบีบมือเขาปลอบแทน
‘…เขาเลี้ยงดูพี่มา..ตั้งแต่พี่ยังเล็กๆ…’ สุรเสียงสั่นสะท้านเช่นนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำ
‘…และพี่ฆ่าเขา…ด้วยน้ำมือของพี่เอง…’ ผมไม่กล้าพูดหรอกว่าสิ่งที่ไอ้พี่วันทำไปนั้นมันผิดหรือถูก แต่พูดได้เลยว่าเขาทำดีแล้วที่สำนึกผิดและเสียใจเช่นนั้น เพราะบางทีคนเราก็เสียใจที่ทำสิ่งที่ถูกเหมือนกัน
..แล้วมาตรวัดความถูกต้องพวกนั้นคืออะไรกันล่ะ?