✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✦ว่าด้วยเรื่องของพระรอง✦ภาคปลาย บทหนึ่ง P.25 14/01/66 อัพพ  (อ่าน 181499 ครั้ง)

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
โหหไม่คิดว่าเสิ้นจิ้งเฟยตัวจริงจะยังไม่ตาย สงสารคุณไป๋กับหยางชวีมาก  :ling3:

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เป็นตอนที่สนุกมากๆ เคลียร์ไปได้คนนึงยังต้องรับมือต่ออีก สุดยอด

เป็นกำลใจให้ท่อนไม้

ออฟไลน์ ตุยชิคชิค

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
สงสารคุณชายเสิ่่นเหมือนกันนะสะเทือนใจกับประโยคไม่มีใครรอข้าอยู่ อุแงง

ออฟไลน์ Ramnoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ความสัมพันของจิ้งเฟยนี่ซับซ้อนดีจริงๆ
ส่วนตัวเราคิดว่าจิ้งเฟยรักฮ่องเต้
ส่วนพี่ฟู่เทียนสือคือเพื่อนที่ไว้ใจ
ที่พึ่งพาได้

รอวันที่ท่อนไม้ไป๋จะได้เจอกับจื่อฟางไม่ไหวแล้ว
มันต้องมีเหตุการณ์ให้จื่อฟางต้องมาอยู่ในร่างหลิวเซียนฟางแน่ๆ

ปราบหลิวอ๋องไปแล้ว  1 ราย
คราวนี้ก็องชายใหญ่สินะ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 
บทยี่สิบเจ็ด : สู่บทเริ่มต้น



ณ เมืองหลวง ฉางอัน

ยามเหม่า(05.00 น. - 06.59 น.)บนป้อมปราการปรากฏเห็นร่างสองร่างยืนสังเกตการณ์มองไปยังพื้นที่ห่างไกลเบื้องหน้า ในกรอบสายตามองเห็นคบเพลิงเรียงรายจนเป็นแสงสว่างกลุ่มใหญ่ ฮ่องเต้เจี่ยผิงสวมใส่ชุดนักรบทั้งร่าง สองมือจับธนูเหนี่ยวรั้งสายก่อนจะปล่อยเกาทัณฑ์พุ่งไปในอากาศ ปักทะลุเกราะของชนเผ่านอกด่านที่วิ่งกรูอยู่ในสนามรบ ร่างของเจ้าแผ่นดินองอาจอาบไปด้วยความสูงศักดิ์แม้จะผ่ายผอมไปจากเดิม ที่ปรึกษาเกาจวีถังยืนอยู่ข้างกายในมือถือสารน์จากเมืองลั่วหยาง

“มีข่าวจากลั่วหยาง”ที่ปรึกษาเกาเอ่ย ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มลดคันธนูลง รับสารน์มาจากอีกฝ่าย คิ้วขมวดมุ่นเมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนักที่ฝั่งลั่วหยาง เกาโหยวอ๋องยึดเมืองไว้ได้ในตอนนี้ไม่รู้ว่ากำลังทหารจะต้านไว้ได้หรือไม่ การศึกที่เข้ามาทั้งสองทางทำให้เจี่ยผิงเครียดจนนอนหลับไม่สนิท น่าเสียดายนัก...เกาโหยวอ๋องมีฝีมือด้านการศึกแต่กบฏอย่างไรก็คือกบฏ ฮ่องเต้เจี่ยผิงเปิดสารน์อ่านด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ในใจเต็มไปด้วยความกังวล ผู้ส่งมาจากแม่ทัพเมิ่งประจำค่ายซินเฉิงได้บอกเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียดตั้งแต่นำทัพบุกด่านอู๋เสียจนแตกพ่ายจนสามารถเข้ายึดเสียนหยางได้ดังเดิม แต่กำลังของหลิวอ๋องหลบหนีไปยังเส้นทางชายป่า รองแม่ทัพไป๋นำกำลังเข้าติดตาม

เจี่ยผิงยกยิ้มเมื่ออ่านถึง ไป๋ผูอวี้ต้องการจัดการหลิวอ๋องจริง ๆ เนื้อความที่เหลือเล่าสถานการณ์ที่เมืองลั่วหยางที่นำกำลังเข้าช่วยเหลือโจมตีเกาโหยวอ๋อง สีหน้าของเจ้าแผ่นดินแฝงความยินดีระคนแปลกใจ ปราบกฏได้แล้ว สกุลไป๋ส่งกำลังเข้าช่วยเหลือ ชายหนุ่มอ่านสารน์จบก็ได้แต่ครุ่นคิดอย่างแปลกใจ ไป๋อู่เหยียนยอมส่งคนมาช่วยเหลือเช่นนี้เหนือความคาดหมายของเขานัก

“ข่าวดี?”ที่ปรึกษาเกาเอ่ยถาม

“สถานการณ์ที่เมืองลั่วหยางคลี่คลายแล้ว แม่ทัพเมิ่งคุมสถานการณ์ไว้ได้ ผู้นำสกุลไป๋ส่งกำลังมาช่วยด้วยส่วนหนึ่ง”ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวช้า ๆ เหลือแต่เพียงเมืองเสียนหยางที่หลิวอ๋องเจี่ยซินไปปักหลัก ยามนี้ยังไม่ได้รับข่าวคราวใดจากรองแม่ทัพไป๋ เขาจึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ฝั่งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

“สกุลไป๋?”ที่ปรึกษาเกาแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา แม้จะไม่เคยได้พานพบกับไป๋อู่เหยียนแต่ก็ทราบมาจากไป๋ผูอวี้ว่าอีกฝ่ายไม่ใคร่อยากร่วมมือกับราชสำนักจนถึงขั้นขนของกลับเมืองบ้านเกิด

“คนสกุลนี้ออกจะแปลก ท่านว่าหรือไม่”ฮ่องเต้เจี่ยผิงกล่าวพึมพำ สายตาทอดมองไปยังด้านนอกกำแพงเมืองฉางอันที่กองกำลังทหารฝั่งตนเริ่มจัดทัพออกไปปะทะกับพวกชนเผ่าด้านนอก เขาประกาศให้ราษฎรอยู่ในความสงบอย่าได้แตกตื่น นำกำลังทหารตรวจตราทั้งคืน ตรอกซีหมานที่เคยพลุกพล่านไปด้วยผู้คนยามนี้เงียบสงบ มีเพียงโรงน้ำชาหลิวซื่อที่มีพ่อบ้านและคนสกุลไป๋ราว ๆร้อยกว่าคนที่ยังไม่ได้ย้ายหนีไปที่ใด ชายหนุ่มเหนี่ยวรั้งสายธนูอีกครั้ง เกาทัณฑ์แหลมคมพุ่งปักทะลุชุดเกราะของศัตรูร่วงกองกับพื้น

“สหายเกา ท่านก็จับธนูเป็นเพื่อนเราเถิด”ชายหนุ่มเหนี่ยวสายธนูอีกครั้ง

เกาจวีถังได้แต่ถอนหายใจ “กระหม่อมไม่มีฝีมือ”เขาเป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๊นไปสู้รบกับพวกคนป่าเถื่อนไม่ได้หรอก ฮ่องเต้หนุ่มออกคำสั่งให้นายทหารยิงธนูใส่พวกชนเผ่านอกด่านต่อไปเรื่อย ๆ เจ็บแค้นอยู่ในใจลึก ๆ ช่างอิ่นรวบรวมพวกชนเผ่าที่เคยถูกปราบในรัชสมัยก่อนมาเป็นปรปักษ์กับราชสำนักได้สำเร็จได้แก่พวกแคว้นปาสูชนเผ่าซือ แคว้นหนานเอี้ยนเผ่าเสียนเป่ย แคว้นเหลียงเผ่าตี หลังจากจบการศึกเจี่ยผิงต้องจัดการพวกชนเผ่าเหล่านี้ให้อยู่ในอำนาจราชสำนักอย่างเบ็ดเสร็จ

การศึกนอกประตูเมืองฉางอันกินเวลายืดเยื้อถึงหนึ่งเดือน กำลังพลของช่างอิ่นตั้งค่ายอยู่รอบนอกกดดันฮ่องเต้เจี่ยผิง กำลังทหารรับมือกับเหล่าชนเผ่าที่มีกำลังนับหมื่นได้ไม่ง่ายนักจึงทำได้เพียงสู้ประวิงเวลาไม่ให้ทัพของช่างอิ่นผ่านเข้ามาในกำแพงเมือง แม่ทัพเมิ่งและรองแม่ทัพไป๋ยังคงปักหลักอยู่ที่ลั่วหยางแม้จะปราบเกาโหยวอ๋องลงได้ แต่เหตุการณ์ทางนั้นยังไม่สงบเพราะชนเผ่านอกด่านได้บุกเข้ามาสร้างความวุ่นวาย สถานการณ์ภายในเมืองหลวงก็ไม่ต่างกันนัก รังแต่จะเข้าใกล้เส้นอันตรายเพราะถูกกองทัพของช่างอิ่นปิดทาง สิ่งที่เป็นปัญหาคือเสบียงอาหาร แม้ว่าฮ่องเต้จะลดอาหารการกินในวังหลวงแต่ก็ยังไม่เพียงพอ  ในเมืองจึงมีเหตุปล้นชิงเสบียงเป็นที่วุ่นวาย เดือดร้อนกันถ่วนหน้า

เสนาบดีเสิ่นมู่หยางที่ยังไม่ได้กลับเข้าราชสำนักไม่รู้นึกครึ้มอย่างไรออกมาตั้งกระโจมแจกจ่ายเสบียงอาหารให้แก่ชาวบ้านที่ไม่มีอันจะกิน ฮ่องเต้เจี่ยผิงจึงเรียกประชุมท้องพระโรงเร่งแก้ปัญหา ชายหนุ่มนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สายตากราดมองไปยังเหล่าขุนนางที่ยืนแออัดกันแน่นไปหมดด้วยสายตาเยียบเย็น 

“กองกำลังทหารของเราจะยันพวกชนเผ่านอกด่านได้อีกนานเท่าใด”เจี่ยผิงเอ่ยถาม ไม่คิดว่าช่างอิ่นจะกดดันตนได้มากถึงเพียงนี้ ยังคงปักหลักตั้งค่ายอยู่ด้านนอกกำแพงเมืองฉางอัน ก่อนหน้านี้สามวันชายหนุ่มเพิ่งได้รับรายงานว่ากองกำลังที่ส่งไปซุ่มโจมตีช่างอิ่นกลับเป็นฝ่ายถูกพวกเผ่าเสียนเป่ยลอบโจมตีเสียเอง

“กระหม่อมคิดว่าได้อีกไม่เกินหนึ่งเดือนพ่ะย่ะค่ะ หากยืดเยื้อนานกว่านี้กระหม่อมเกรงว่าจะต้านกำลังของพวกชนเผ่าไม่ไหว”เสนาบดีกรมทหารกล่าวตอบเสียงสั่น ไม่กล้าสบพระพักต์ของฮ่องเต้

“กระหม่อมอยากให้ฝ่าบาทประทับที่ตำหนักกุ้ยลี่เพื่อความปลอดภัย ในยามนี้ให้พวกกระหม่อมรับมือกับสถานการณ์จะเป็นการดีกว่า”ที่ปรึกษาเกาเสนอขึ้นด้วยน้ำเสียงนาบเนิบ ตำหนักกุ้ยลี่อยู่ห่างไกลจากประตูเมือง ประทับอยู่ที่นั่นย่อมปลอดภัยกว่า ขุนนางน้อยใหญ่ได้แต่ส่งเสียงเห็นด้วย คงมีเพียงที่ปรึกษาท่านนี้ที่กล้าออกปากในยามที่สถานการณ์ตึงเครียด ฮ่องเต้เจี่ยผิงได้ยินก็หัวเราะลั่น เสียงหัวเราะไร้ซึ่งอารมณ์ขันสะท้อนก้องอยู่ในท้องพระโรงสร้างความอกสั่นขวัญหายให้แก่เหล่าขุนนางใหญ่ยิ่งนัก

“ท่านจะบอกให้เราหลบหนี? เราไม่คิดหนี เราจะร่วมการศึก เส้ากงกงเตรียมชุดเกราะให้เราเดี๋ยวนี้”สิ้นคำกล่าวของฮ่องเต้เจี่ยผิง เหล่าขุนนางใหญ่และขันทีต่างก็คุกเข่าหมอบกราบคัดค้านเป็นการใหญ่

“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท โปรดถนอมพระองค์ด้วย เรื่องนี้…เรื่องนี้กระหม่อมจะหาทางแก้ไขสถานการณ์เองพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดคิดไตร่ตรองอีกทีเถิด”เสนาบดีกรมทหารคุกเข่าโขกศีรษะเสียงดังก้อง น้ำตาไหลเปื้อนหน้า มิใช่เพราะกลัวว่าฮ่องเต้จะตาย แต่เพราะกลัวว่าหัวของตนจะหลุดจากบ่าต่างหาก เป็นที่รู้กันว่าช่างอิ่นหรือพระนามเดิมเจี่ยอี้สายเลือดครึ่งหนึ่งเป็นชาวหูย่อมชำนาญการบ พวกเขาจะปล่อยให้ฮ่องเต้กระทำการเสี่ยงได้อย่างไร เหล่าขุนนางต่างก็รู้ดีว่าฝ่าบาทกำลังทำการข่มขู่ 

“เราจะไม่ยอมให้มีพวกคนเถื่อนนอกกำแพงมาเขนฆ่าราษฎรในเมืองหลวงเด็ดขาด ฉะนั้นจัดการช่างอิ่นที่นอกกำแพงเมืองให้ได้!”เจี่ยผิงประกาศกดดัน กล่าวจบก็ลงจากบัลลังก์มังกรออกไปทางประตูข้างโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของเหล่าขุนนาง ที่ปรึกษาเกาจวีถังได้แต่เดินตามออกไปเงียบ ๆ

“ฝ่าบาท กดดันพวกเขาไปก็เปล่าประโยชน์ กองทัพยันพวกชาวหูและเผ่านอกด่านได้ถึงเพียงนี้ก็เต็มกลืนแล้ว”เกาจวีถังกล่าวเสียงนุ่ม แต่กลับยิ่งทำให้เจ้าแผ่นดินมีโทสะ ในอกคล้ายกับถูกแผดเผา เจี่ยผิงไม่คิดว่ากำลังของราชสำนักจะอ่อนแอจนสู้คนเถื่อนไม่ได้ ต้องมีบางอย่างผิดพลาด ทหารที่เขาส่งไปนับหมื่นจะทำพวกนั้นไม่ได้เลยหรือ?ยิ่งนึกถึงกองกำลังที่ถูกเผ่าเสียนเป่ยซุ่มโจมตีก็ยิ่งโกรธแค้น

“เราจะไปตรวจสถานการณ์ที่ป้อมปราการณ์”

“ฝ่าบาท สถานการณ์หน้าประตูเมืองไม่ดีนัก กระหม่อมเกรงว่า...”เส้ากงกงส่งเสียงแย้ง แต่ชายหนุ่มหาได้ฟังไม่ ยามนี้เขาต้องหาที่ระบายอารมณ์ พวกคนเถื่อนที่อยู่นอกกำแพงนั่นอย่างไร ฮ่องเต้เจี่ยผิงสวมชุดนักรบมาถึงกำแพงเมืองฉางอันก็มุ่งตรงไปที่ป้อมตรวจการณ์ทันที เหล่าทหารต่างก็คุ้มกันอย่างเคร่งครัด บรรยากาศยิ่งตึงเครียด สีพระพักต์ของฮ่องเต้บ่งบอกแล้วว่าสถานการณ์ในยามนี้เข้าขั้นวิกฤติ มองเห็นกองกำลังโรมรันสู้รบอย่างไม่ยอมแพ้ ห่างออกไปมองเห็นกระโจมใหญ่ของช่างอิ่นผู้นั้นก็ได้แต่กำมือแน่น หยิบคันธนูจากนายทหารมาเหนี่ยวยิง

“ทางด้านบัณฑิตหลิวเป็นอย่างไร”ฮ่องเต้ปรายตามองร่างขององครักษ์กู้หมิง แม้จะส่งองครักษ์มีฝีมือไปเฝ้าที่วัดซิงเจียวแต่เขาก็ยังเป็นห่วงรัชทายาทและฮองเฮา ส่วนเฮ่อเจ๋อยังไม่กลับจากการสอดแนมศัตรูที่ด้านนอก

“ปกติดีพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินกู้หมิงบอกชายหนุ่มก็พยักหน้ารับรู้ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก

“ฝ่าบาท กลับเข้าไปด้านในเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เส้ากงกงร้องขออย่างเป็นกังวล ร้อนใจยิ่งที่เจ้าแผ่นดินไม่ยอมหลบหนี

“หากท่านได้รับบาดเจ็บ ราษฎรจะยิ่งเสียขวัญ”เกาจวีถังที่อยู่ข้างกายเอ่ยเสริมบ้าง เจ้าแผ่นดินรู้สึกเหมือนได้ฟังบทสวดบางอย่างจึงยกยิ้มขึ้น

“เรื่องแค่นี้คิดว่าเราไม่รู้หรือ เรามิได้จะลงไปร่วมในสนามรบเสียหน่อย”ชายหนุ่มเอ่ย เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ในท้องพระโรงก็ยกยิ้มขึ้น เขาเพียงต้องการข่มขู่ให้ขุนนางพวกนั้นตื่นตัว ฮ่องเต้หนุ่มย่อมรู้ดีว่าในยามนี้ตนจะเป็นอะไรไม่ได้

“เจี่ยผิง ท่านดื้อด้านนัก”เป็นครั้งแรกที่เกาจวีถังเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเช่นมิตรสหาย แม้แต่ก่อนองค์ฮ่องเต้จะไม่ถือยศข่มอำนาจกับที่ปรึกษาแต่เขาก็ไม่เคยคิดกล่าววาจาสนิทสนม ฮ่องเต้เจี่ยผิงได้ยินชื่อของตนจากสหายก็ลดคันธนูลงเล็กน้อย

“คงมีแต่ท่านกระมังที่ทนได้”ฮ่องเต้หวนนึกไปถึงคุณชายรูปงามที่ไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว มีเพียงร่างกายว่างเปล่าทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า

ล่วงเลยไปอีกสิบวันฮ่องเต้เจี่ยผิงและที่ปรึกษาเกามาตรวจดูเหตุการณ์นอกกำแพงฉางอันที่ป้อมปราการณ์เกือบทุกวันจนกลายเป็นความเคยชิน ทำให้กระแสการต่อต้านของชาวบ้านเริ่มลดน้อยลง ฮ่องเต้เจี่ยผิงได้แต่ยกมุมปากเป็นรอยยิ้มเมื่อที่ปรึกษาเกาเอ่ยถึงเรื่องนี้

“ที่ฝ่าบาทดื้อดึงในท้องพระโรงก็เพราะอยากให้เป็นเช่นนี้เองงั้นหรือ”เกาจวีถังลืมนึกถึงเรื่องกระแสต่อต้านการปกครองของอีกฝ่ายไปเสียสนิท เพราะการศึกที่กินเวลานาน เหลือเพียงอ๋องอีกสองคนเท่านั้นที่ยังเหลือรอด แต่จากสายสืบรายงานมาว่าทั้งสองคนได้หลบหนีออกจากเมืองท่าที่ยึดไว้ กำลังคนของฮ่องเต้กำลังไล่ตามเพื่อนำกลับมารับโทษ เขาไม่มีวันปล่อยให้พวกกบฏหนีรอดเด็ดขาด

“ฝ่าบาท”เส้ากงกงนำจดหมายมาส่ง ชายหนุ่มรับมาคลี่ดูมิใช่จดหมายเร่งด่วนหรือสารน์ลับใด แต่เมื่อกวาดสายตาอ่านจนจบก็ได้แต่นิ่งงัน จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เหล่าทหารที่อยู่รอบบริเวณต่างก็ลอบมองหน้ากันอย่างแปลกใจ เสียงหัวเราะที่สะท้อนก้องเป็นเสียงหัวเราะอย่างเปิดเผยอย่าง เกาจวีถังได้แต่พินิจมองอีกฝ่าย นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของคนผู้นี้

“มีเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”ที่ปรึกษาเอ่ยถามอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้

“เสิ่นจิ้งเฟยยังไม่ตาย…”ฮ่องเต้เจี่ยผิงพึมพำเบา ๆราวกับยังไม่อยากเชื่อ ในอกคล้ายกับมีดอกไม้บานสะพรั่งอยู่“เขายังไม่ตาย”ชายหนุ่มกวาดตามองจดหมายในมืออีกครั้ง

‘เสิ่นจิ้งเฟย ยังมีชีวิต ร่างที่อยู่ในกองเพลิงเป็นเพียงคนหน้าเหมือน ยามนี้ผู้ติดตามได้พาหลบหนีออกไปจากเสียนหยางแล้ว’

“จริงหรือ...ข้า...กระหม่อมยินดีด้วย”ที่ปรึกษาเกาได้แต่เอ่ยไปเช่นนั้น สีหน้ามีแววงุนงงชัดเจน แม้จะยังมึนงงว่าเป็นไปได้อย่างไร แล้วร่างที่อยู่ในโลงแก้วนั่นเล่า?แต่หากว่ามีจดหมายมาจากสายสืบเช่นนี้ก็แสดงว่ามีเรื่องราวเบื้องหลัง ได้แต่คิดสงสัยว่าพระองค์จะทำเช่นไรต่อ

ผู้เป็นฮ่องเต้รู้สึกราวกับน้ำหนักที่กดทับอยู่บนอกปลิวหายไปกับสายลม เขาพลิกจดหมายในมือเล่น “เขามีชีวิตอยู่ แต่ดูเหมือนไม่อยากเจอเรา ช่างเถิด เราอยากให้เวลาเขาท่องเที่ยว เรายังมีเรื่องที่ยังอยากสนทนาค้างคากับจิ้งเฟย”หากจบการศึกกับช่างอิ่นแล้วค่อยว่ากัน

“นำร่างในโลงแก้วไปเผา”เขาเอ่ยสั่งกับเส้ากงกงด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก นึกแล้วก็แค้นเจี่ยซินนักให้เขาอาลัยอาวรณ์ร่างของผู้อื่นมาหลายเดือน

สถานการณ์ในสนามรบด้านนอกกำแพงเมืองฉางอันยังคงสงบนิ่ง ทั้งสองฝ่ายกำลังดูเชิง ทันใดนั้นได้ยินเสียงเป่าเขาสัตว์ดังไปก้องทั่วบริเวณ กำลังพลกลุ่มใหญ่เห็นเป็นเงาทะมึนเคลื่อนตัวมาใกล้ กองทัพนำโดยท่านแม่ทัพเมิ่งและรองแม่ทัพไป๋มาสมทบกำลังทหารที่เริ่มอ่อนแรงได้อย่างทันเวลาทำให้สถานการณ์เปลี่ยน

ทางด้านค่ายของอดีตองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ ภายในกระโจมใหญ่ชายหนุ่มกำลังหารือกับกุนซือทัวป๋าฉงเมื่อเห็นว่ากำลังเสียเปรียบก็คิดว่าถึงเวลาใช้แผนนั้นแล้ว   

“คุณชายอี้จะให้เขาลงมือเลยงั้นหรือ”หัวหน้าแคว้นเหลียงชนเผ่าตี เล่อไห่ผิงเอ่ยถาม การร่วมศึกครั้งนี้เขายังลังเลอยู่มาก แม้เคยถูกแผ่นดินเจี่ยรุกรานจนราบคาบ แต่ที่ผ่านมาราชสำนักก็ดูแลไม่ขาดตกบกพร่องจึงไม่ใคร่สบายใจนัก เล่อไห่ผิงกำลังดูทิศทางลมหากคุณชายอี้ท่านนี้มีลางจะแพ้สงคราม เขาจะนำกำลังหลบหนี ไม่อยู่รอให้ฮ่องเต้แผ่นดินเจี่ยมาตามฆ่าตน

“ข้าไม่ต้องการให้สถานการณ์ตกเป็นรอง”เจี่ยอี้เอ่ยตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย เขาจะทำลายเจี่ยผิงช้า ๆ ได้ข่าวว่าเสิ่นจิ้งเฟยชายที่ทรงโปรดคนนั้นตายไปแล้ว หากมีคนตายอีกสักคน บุรุษเช่นเจี่ยผิงจะไม่สั่นสะเทือนเลยก็เป็นเทพเซียนแล้ว เขายกยิ้มเมื่อนึกถึงแผนของตน

เจี่ยผิง ข้าจะให้ท่านได้รับรู้รสชาติของการถูกตลบหลัง

……...
วันรุ่งขึ้นช่างอิ่นคุมกำลังต่อสู้กับทหารราชสำนักตั้งแต่ยามอิ๋น(03.00 น. - 04.59 น.) เสียงม้าศึกกับเสียงกู่ร้องประหลาดดังแว่วให้ได้ยิน พาให้ผู้คนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของกำแพงเมืองหวาดหวั่น ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังคงสังเกตการณ์อยู่ที่ป้อมเช่นเคย ที่ปรึกษาเกาอยู่เคียงข้างพร้อมด้วยเส้ากงกง 

“ฝ่าบาท!”เฮ่อเจ๋อที่ออกไปสอดแนมกลับมาด้วยสีหน้าเร่งร้อน ทั้งยังมีร่องรอยของการต่อสู้ตามร่างกาย ฮ่องเต้หนุ่มหมุนกายมองทันที  “เกิดเรื่องใดขึ้น”

“วัดซิงเจียวถูกโจมตี องค์รัชทายาทถูกจับตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์คนสนิทรายงาน เจี่ยผิงใจกระตุกวูบรีบสาวเท้าไปหาชายในอาภรณ์สีเข้มทันที

“แล้วฮองเฮาเล่า”

“ยังไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”เฮ่อเจ๋อได้แต่ก้มหน้าคุกเข่าตัวสั่นงันงก ที่ปรึกษาเการับรู้ได้ทันทีว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น นึกเป็นห่วงสหายของตนแต่ก็ยังไม่กล้าเอ่ยถามเพราะเรื่องของฮ่องเต้ย่อมสำคัญกว่า 

“ผู้ใดลงมือ”เจี่ยผิงเอ่ยถามเสียงเย็นเยียบ มือกำแน่นด้วยโทสะ 

“กระหม่อมกำลังให้กองกำลังลับเร่งตรวจสอบ…”เฮ่อเจ๋อตอบคิดว่าเรื่องนี้มีกลิ่นแปลกๆ “คาดว่ามีคนในร่วมมือด้วยขอรับ”

“หรือจะเป็นฝีมือของผู้อาวุโสอวิ๋น…”ที่ปรึกษาเกาพึมพำ เฮ่อเจ๋อไม่ได้เอ่ยตอบในทันทีนึกไปถึงสภาพการบุกรุกก็พบว่าฝีมือของคนผู้นั้นช่างคุ้นตายิ่ง ชายหนุ่มเงยหน้าสบพระพักต์เจ้าแผ่นดินเป็นครั้งแรก

“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเป็นกู้หมิง”เกิดความเงียบอันน่าหวาดกลัวเกิดขึ้น เจี่ยผิงคิดว่าตนหูฝาดไป รอบตัวคล้ายหยุดนิ่ง กู้หมิงองครักษ์ของเขาน่ะหรือร่วมมือกับช่างอิ่นผู้นั้น ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

“กู้หมิง...เขามีเหตุผลใดให้ร่วมมือกับพวกนั้น มิใช่ว่าเขาอยู่กับเรามาตั้งแต่สมัยยังเป็นรัชทายาทหรือ”ฮ่องเต้หนุ่มไม่เข้าใจ กวาดตามองไปยังสนามรบด้านนอกกำแพงเมืองด้วยจิตใจเย็นเยียบ ทหารยังคงสู้รบ สถานการณ์ฝั่งเขากำลังดีขึ้น ช่างอิ่นก็เลยใช้วิธีนี้กดดันอย่างนั้นหรือ จับตัวองค์รัชทายาทเจี่ยอิงต้าไปมีเหตุผลเดียวเท่านั้น ความหวาดหวั่นกัดกินอยู่ในจิตใจ

“ฮ่องเต้เจี่ยผิง…”เกาจวีถังเอ่ยเรียก ไม่ทันได้พูดสิ่งใด เสียงความวุ่นวายจึงดังก้องไปทั่วบริเวณกำแพงเมือง มองไปรอบตัวจากด้านบนก็พบว่ามีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายล้อมป้อมปราการณ์ไว้ ควันไฟพวยพุ่งจากจุดที่ไกลออกไปเป็นทิศที่วัดซิงเจียวตั้งอยู่ ชาวบ้านต่างก็ส่งเสียงโวยวายเมื่อกองกำลังป่าเถื่อนบุกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทหารราชสำนักต่างก็กรูมาปกป้องราษฏรเป็นที่วุ่นวาย การบุกโจมตีไม่ได้มาจากภายนอก แต่เป็นภายใน

เฮ่อเจ๋อผิวปากเรียกกองกำลังลับคุ้มครององค์ฮ่องเต้ทันที เจี่ยผิงกำมือแน่นเมื่อมองเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาตนเอง มีผู้บุกรุก?หรือเป็นฝีมือของกู้หมิงจริง ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ให้อภัยไม่ได้ กองกำลังทหารกลุ่มใหญ่ต่างก็ตั้งรับการโจมตีบริเวณทางขึ้นกำแพงเมืองฉางอัน  เวลานี้ฮ่องเต้เจี่ยผิงตรวจดูสถานการณ์อยู่บนป้อมปราการณ์ นายทหารต่างก็รู้ดีว่าจะให้ผู้บุกรุกเข้าไปไม่ได้เด็ดขาด ว่าแต่ผู้ใดบังอาจกล้าสร้างความวุ่นวายในเวลานี้? เมื่อกลุ่มนายทหารเห็นว่าผู้บุกรุกอย่างอุกอาจเป็นผู้ใดก็ตกตะลึงอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ร่างสูงใหญ่ในชุดอาภรณ์สีเข้มเป็นองครักษ์ของฮ่องเต้เจี่ยผิงผู้หนึ่งนามว่ากู้หมิง ร่างนั้นนำกองกำลังไม่ทราบฝ่ายบุกทำร้ายชาวเมือง มีคำอธิบายได้อย่างเดียว...กบฏ

“องค์รัชทายาท!”ทหารผู้หนึ่งร้องเรียกด้วยความตระหนก เมื่อเห็นว่ามีชายชราผู้อยู่ในกลุ่มกองกำลังนั้นผลักร่างองค์ชายรัชทายาทมาเบื้องหน้า รัชทายาทเจี่ยอิงต้าในวัยสิบเอ็ดปีถูกจับมัดมือไพล่หลังเดินโซเซอย่างอ่อนแรง คมดาบจ่ออยู่ที่ลำคอเล็ก แม้จะหวาดกลัวแต่ก็ไม่ยอมเผยให้เห็น ดวงตาคู่นั้นกลอกมองไปรอบ ๆอย่างตื่นตัว

“ปล่อยตัวองค์รัชทายาทเดี๋ยวนี้!”เสียงตวาดของเฮ่อเจ๋อดังขึ้นที่กำแพงเมืองด้านบน ร่างสูงศักดิ์ของฮ่องเต้เจี่ยผิงปรากฏกาย คล้ายกับมีบรรยากาศกดดัน องครักษ์ลับคุ้มกันอย่างแน่นหนา 

“เสด็จพ่อ ช่วยลูกด้วย”องค์ชายเจี่ยอิงต้าส่งเสียงอย่างอ่อนแรง ตนถูกพาเดินทางมาจากวัดซิงเจียวค่อนข้างไกล กบฏพวกนี้ปฏิบัติต่อเขาราวเชลยศึก รัชทายาทรู้สึกลำคอตีบตันเมื่อนึกถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นในวัดซิงเจียว เสด็จแม่และท่านอาจารย์ต่างก็ถูกคนชั่วทำร้าย…

เจี่ยผิงรู้สึกว่าเลือดกายในร่างเดือดพล่าน เมื่อมองเห็นเจี่ยอิงต้าถูกมัดมืออยู่ในสภาพอ่อนแอ เขาปรายตามองกองกำลังของช่างอิ่นด้วยความโกรธแค้น ดวงตาจับจ้องอยู่ที่กู้หมิงอยู่นาน สายตาคู่นั้นราวกับต้องการฉีกเนื้อของอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ เฮ่อเจ๋อได้แต่ข่มความโกรธแค้นผิดหวังอยู่ในส่วนลึก มองกู้หมิงเช่นกัน ไม่นึกว่าสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายคอยปกป้ององค์ฮ่องเต้แท้จริงแล้วจะภักดีต่อคนเถื่อนช่างอิ่นมาโดยตลอด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเจ็บใจ

ที่ปรึกษาเกาแม้หวาดหวั่นแต่ก็ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า ยังคงท่าทีสง่าเช่นเคย สังเกตกองกำลังของฝ่ายนั้นพบว่ามีราว ๆห้าร้อยคน หากรัชทายาทถูกจับตัวมาได้เช่นนี้หลิวเซียนฟางสหายของตนจะยังปลอดภัยอยู่หรือไม่ แต่ไม่ทันได้คิดร่างหนึ่งที่นำกำลังทหารมาด้วยก็ปรากฏกายเรียกเสียงฮือฮาจากเหล่าทหาร หลี่ลั่วหวั่น เกาจวีถังรู้เย็นเยียบไปทั้งร่าง รู้อย่างนี้ยอมให้ฮ่องเต้มอบสุราพิษให้แก่คนผู้นี้เสียก็ดี

“ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกท่านจนตรอกถึงต้องใช้วิธีนี้กดดันเรา”ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งเยาะหยัน กวาดตามองกำลังพลของช่างอิ่นที่ล้อมรอบอย่างขู่ขวัญ 

“จนตรอกหรือ กระหม่อมคิดว่าใช้คำนี้ไม่ถูกนัก”ผู้อาวุโสอวิ๋นก้าวมาเบื้องหน้า รอยยิ้มอย่างชายชราผู้ใจดีปรากฏบนใบหน้าเหี่ยวย่น

“ฝ่าบาท ลงมาเจรจาด้วยคำพูดไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องมีผู้ใดเจ็บตัว”อวิ๋นเซียนหลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม 

เจี่ยผิงปรายตาเฒ่าและหลี่ลั่วหวั่นด้วยสายตาเย็นชา “เราไม่มีเรื่องใดจำเป็นต้องเจรจา ปล่อยตัวรัชทายาทมิเช่นนั้น…”ชายหนุ่มหยุดพูด ใจกระตุกวูบเมื่อมองเห็นกู้หมิงที่กดปลายดาบลงบนลำคอของเจี่ยอิงต้ามากขึ้น รัชทายาทเม้มริมฝีปาก ใบหน้าซีดเผือด มองจากตรงนี้ยิ่งเห็นได้ชัดว่าร่างกายสั่นเทา

“เวลานี้กระหม่อมไม่คิดว่าพระองค์จะมีสิทธิ์ต่อรอง ทำตามที่กระหม่อมร้องขอเถิด”ผู้อาวุโสอวิ๋นกล่าวเสียงนุ่ม

“หุบปาก!ปล่อยตัวองค์รัชทายาทเดี๋ยวนี้!”เฮ่อเจ๋อคำรามอย่างแค้นเคือง

“การเจรจาย่อมต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ฮ่องเต้เจี่ยผิงคงกระจ่างแจ้งดี กระหม่อมอยากร้องขอให้พระองค์ทรงเปิดประตูเมืองต้อนรับองค์ชายใหญ่และเหล่าสหาย จะได้ไม่ต้องมีพลทหารและราษฎรเจ็บตัว”ชายชราเอ่ยซ้ำเน้นย้ำทุกคำพูดราวกับต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจอย่างชัดเจน ฮ่องเต้ปล่อยเสียงหัวเราะเย็นชา 

“เจรจา?ผู้อาวุโสอวิ๋นได้ประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียวเช่นนี้เราไม่นับว่าเป็นการเจรจา อีกอย่างท่านคงลืมไปแล้วกระมังว่าเราปลดช่างอิ่นออกจากตำแหน่งองค์ชายแล้ว เขาเป็นเพียงสามัญชนเท่านั้น”ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ คิดวางแผนการอยู่เงียบๆว่าจะนำตัวรัชทายาทออกมาได้อย่างไร กู้หมิงมีฝีมือ คงไม่ปล่อยให้คนมาชิงตัวเจี่ยอิงต้าได้ง่ายๆ ให้เขาเลือกระหว่างชีวิตราษฏรกับโอรสของตนเองมันไม่เป็นตัวเลือกที่ลำบากไปหน่อยหรือ เจี่ยอิงต้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ชายหนุ่มไม่ใช่คนใจจืดใจดำถึงเพียงนั้น ...แต่หากยอมเปิดประตูเมืองย่อมหมายถึงยอมแพ้ แม้อยู่เหนือคนทั้งแผ่นดินแต่เจี่ยผิงก็ยังมีความหวาดกลัว

“ฝ่าบาท หากท่านไม่ยอมตัดสินใจ กระหม่อมไม่แน่ใจว่าองค์รัชทายาทจะปลอดภัยหรือไม่”สิ้นคำพูดของฝ่ายนั้น ทหารองครักษ์ต่างก็เครียดเขม็งไปทั้งร่าง รอคอยคำสั่งของเจ้าแผ่นดิน เจี่ยผิงยังคงมีใบหน้าเรียบเฉยแม้ในใจจะถูกแผดเผาไปด้วยความร้อนรน

รัชทายาทที่อดทนมานานเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ “เสด็จพ่อ”เจี่ยอิงต้าร้องเรียก แต่ก็รีบหยุดปากเมื่อรับรู้ถึงคมมีดกดที่ผิวกาย ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังคงนิ่งเฉย เหล่าทหารต่างก็พากันกลั้นหายใจอย่างอกสั่นขวัญหาย

“ฝ่าบาท…”ที่ปรึกษาเกาเรียกเบา ๆรู้ดีว่ายามนี้เจี่ยผิงกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก หากยอมให้พวกชนเผ่านอกด่านเข้ามานั่นหมายถึงหายนะ ไม่มีที่สำหรับผู้แพ้ ชายหนุ่มกวาดตามองสนามรบด้านนอก ยามนี้กำลังทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังคงสลับรุกรับเข้าปะทะวุ่นวาย

ฮ่องเต้เจี่ยผิงสูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ เขาจะต้องเลือกจริงๆน่ะหรือ?ยิ่งมองเห็นสีหน้าและแววตาจององค์รัชทายาทก็ยิ่งทำให้ตัดสินใจได้ยาก

~•~

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 

 

‘ทิ้งเสิ่นจิ้งเฟยคนเก่าไว้ที่นี่ จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่’


จื่อฟางสะดุ้งตื่นด้วยเหงื่อโทรมกาย กวาดตามองไปรอบตัวก็พบว่ายังนอนอยู่ในหอพักของตนอยู่เช่นเคยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“…ฝันแบบนี้อีกแล้ว”เด็กหนุ่มพึมพำพลิกตัวเอาหน้าซุกหมอน หลิวอ๋องตามหลอกหลอนในความฝันมาหลายสิบวัน น่ากลัวจริง ๆแต่ก็ยืนยันเรื่องหนึ่งได้ว่าท่านอ๋องวางแผนทำให้ผู้คนคิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยตาย อันที่จริงเขาน่าจะฝันถึงไป๋ผูอวี้มากกว่าน่าแปลกตั้งแต่กลับมาก็ที่เขาไม่ได้ฝันถึง มีเพียงความคิดยามมีสติเท่านั้นที่วนเวียนถึงคนที่อยู่อีกโลกหนึ่ง

เด็กหนุ่มพลิกตัวลงจากเตียง มองเวลาก็พบว่าเกือบสี่โมงเย็นแล้วจึงรีบเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกาย มีสถานที่หนึ่งที่เขามักยอมเสียเงินไปทุกอาทิตย์ กำแพงเมืองซีอาน จื่อฟางแค่อยากไปนั่งเหงาๆยามเย็นเท่านั้นแม้บางครั้งนักท่องเที่ยวจะเยอะจนรบกวนอารมณ์ เขามักนำกระดานสเก็ตติดตัวเข้าไปด้วย เขาเลิกหวังลมๆแล้งๆถึงไป๋ผูอวี้เพราะรู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพียงแค่ยังคิดถึงไป๋ผูอวี้อยู่บ่อย ๆเวลาเจอหน้าไป๋อี้เสวี่ย

เรื่องของไป๋อี้เสวี่ยก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เวลาเจอในห้องเรียนก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่ารู้จักกันเขาได้คุยกับฝ่ายนั้นเฉพาะช่วงที่ไปตรวจอาการกับคุณหมอไป๋หยางจิงเท่านั้น เด็กหนุ่มขอข้อมูลเว่ยป๋อของคนเขียนนิยายแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร คนเขียนมีคนติดตามเยอะไม่รู้ว่าจะเห็นข้อความของเขาหรือเปล่าแต่ทักไปพูดคุยก็เท่านั้น

จื่อฟางแต่งตัวเสร็จก็คว้ากระดานสเก็ตและกระเป๋าเป้ใบใหญ่นั่งรถบัสไปลงที่กำแพงเมืองซีอานกว่าจะถึงก็เป็นเวลาห้าโมงเย็น แสงอาทิตย์สาดส่องไปตามกำแพงโบราณที่ทิ้งร่องรอยประวิติศาสตร์ไว้ในเมืองอันวุ่นวายเขากวาดตามองรอบ ๆก็นึกถึงบรรยากาศเก่าๆอย่างห้ามไม่อยู่ เด็กหนุ่มเดินทอดน่องไปตามทางช้าๆ ผ่านผู้คนที่เดินผ่านไปมา  มองเห็นม้านั่งว่างอยู่ก็รีบเข้าไปจับจองทันที เริ่มลงมือร่างภาพในจินตนาการเช่นทุกครั้ง ใช้เพียงดินสออีอีขีดร่างเป็นเส้นหวัด ย้ำแสงเงาเป็นบางจุด ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงถึงเสร็จ

เขากวาดตามองภาพในกระดาษมีเงาร่างของคนสองคนในชุดโบราณมองพระอาทิตย์ตกบนกำแพงเมือง ทุกครั้งที่วาดเสร็จเขาก็ลงขายในเว็บ ไป๋อี้เสวี่ยเป็นลูกค้าประจำ จื่อฟางนั่งกอดเข่ามองท้องฟ้าที่ยังคงกระจ่าง เส้นแสงสีทองสาดตกมาตามช่องกำแพง สายลมพัดเอื่อย ๆต้องหน้า มองภาพถนนสมัยใหม่และตึกสูงปะปนไปกับตัวเมืองโบราณที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เขารู้สึกว่าถูกจ้องมองจึงหันไปทางซ้ายมือพบกับร่างสูงใหญ่คุ้นตายืนอยู่ไม่ไกลนัก ชั่วครู่หนึ่งที่เขาคิดว่าเป็นไป๋ผูอวี้จึงเผลอลุกยืนด้วยความดีใจ รอยยิ้มกระจายเต็มใบหน้า

แต่เมื่อร่างนั้นก้าวเข้ามาใกล้ก็พบว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา ไป๋อี้เสวี่ย รอยยิ้มจึงลดลงสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองอย่างห้ามไม่ได้ ไป๋อี้เสวี่ยยืนมองเขาท่ามกลางแสงอาทิตย์ก่อนตัดสินใจก้าวเข้ามาใกล้กับเก้าอี้ที่เขาจับจองอยู่

“นายมานั่งเหม่อที่นี่อีกแล้ว”ร่างนั้นเอ่ยทัก จื่อฟางได้แต่ทิ้งตัวนั่งเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง

“เวลานายเห็นฉัน ชอบทำหน้าเหมือนเห็นผีทุกที”ไป๋อี้เสวี่ยพึมพำ รู้ดีว่าจื่อฟางทำสีหน้าแบบนี้เพราะอะไร เพราะเป็นสีหน้าแบบเดียวกับเมื่อตอนที่ฟื้นในโรงพยาบาล อีกฝ่ายคาดหวังว่าจะได้เห็นใคร

“ไม่มีอะไร”จื่อฟางตอบสั้นๆ รู้สึกฝาดเฝื่อนในลำคอชอบกล

“คิดว่าฉันเป็นแฟนของนายหรือไง”อีกฝ่ายบอกว่าเขาหน้าเหมือนแฟน แฟนเก่าล่ะมั้งเพราะไป๋อี้เสวี่ยไม่เห็นว่าเพื่อนร่วมห้องคนนี้จะคบกับใคร

 ดูเหมือนคำพูดของไป๋อี้เสวี่ยจะจี้ใจดำเพราะอีกคนนิ่งเงียบไปดวงตาคล้ายกับมีประกายน้ำ แต่บางทีอาจจะเป็นเพราะแสงอาทิตย์ก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำตัวไม่ถูก

“เฮ้ย นายอย่าร้อง…”คนตัวสูงรีบนั่งลงข้างๆ

“ฉันไม่ได้ร้อง”จื่อฟางพึมพำเมื่อกี้…เขานึกว่าเป็นไป๋ผูอวี้จริง ๆ ได้แต่ถอนหายใจทอดสายตามองรถที่วิ่งผ่านถนนไปมาอย่างไร้จุดหมาย

ไป๋อี้เสวี่ยเหลือบมองกระดานสเก็ตก็เอ่ยถามถึงสิ่งที่สงสัยมานาน

“ทำไมนายไม่เรียนอาร์ตน่าจะสนุกกว่ามานั่งหลับในห้องบรรยาย”

“คำสั่งจากเบื้องบน”เด็กหนุ่มตอบติดตลกไป๋อี้เสวี่ยพยักหน้าอย่างเข้าใจ เคยพบผู้ใหญ่ทั้งสองมาก่อนจึงพอจะรู้ว่าครอบครัวของจื่อฟางเป็นแบบไหน โดยเฉพาะคนพ่อที่ค่อนข้างดุ แค่เขาบังเอิญเจออีกฝ่ายเพราะมาส่งจื่อฟางหลังกลับจากโรงพยาบาล นายจื่อชุนซิงถึงกับจ้องหน้าเขาจนรู้สึกกระอักกระอ่วน จื่อฟางได้แต่บอกกลายๆว่าพ่อเป็นคนหัวโบราณ

“นี่ ไป๋อี้เสวี่ย ฉันขอถามอะไรนายหน่อยสิ”อยู่ ๆจื่อฟางก็เอ่ยถาม สายตายังคงทอดมองท้องฟ้าที่เริ่มหม่นแสง

“ว่ามาสิ”เขามองหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย สายลมที่พัดมาเอื่อย ๆทำให้เส้นผมยาวประบ่าของร่างนั้นระใบหน้า เด็กหนุ่มต้องกำมือพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เอื้อมไปปัดเส้นผมออก

“ถ้าเป็นนายนายจะเลือกอยู่ในความฝันที่เหมือนความจริงหรือเปล่า”

“….ความฝันที่เหมือนความจริง?ตอบยากเหมือนกันนะ”เขายกยิ้มเมื่อนึกถึงความฝันของตัวเอง เขายังคงฝันประหลาดอยู่บ่อย ๆและทุกครั้งที่ฝันก็ยิ่งเพิ่มระดับความเรตมากขึ้นไปอีกจนเด็กหนุ่มไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกอันน่าสับสนได้อย่างไรจึงทำได้แค่อยู่ห่าง ๆจื่อฟาง ยกเว้นวันนี้ที่มีความรู้สึกว่าต้องมาที่นี่

“ว่ายังไงดีล่ะ คนที่อยากอยู่ในโลกของความฝันก็คงมีแต่คนที่ไม่มีความสุขกับชีวิตจริง ถ้าหากว่าฉันไม่มีความสุข ฉันก็คงเลือกอยู่ในความฝันล่ะมั้ง”ไป๋อี้เสวี่ยหันมองคนข้างกายที่คล้ายจะนิ่งงันไปจึงยกยิ้ม

“นายล่ะ อยากอยู่ในความฝันเพราะตอนนี้นายไม่มีความสุขเหรอ”คำถามของไป๋อี้เสวี่ยกระแทกใจของจื่อฟางเข้าอย่างจัง ตอนนี้นายมีความสุขหรือเปล่า? แม้จะรู้คำตอบดีแต่เขาไม่ได้เอ่ยตอบ จื่อฟางได้ชีวิตของตัวเองกลับมา ไม่มีเรื่องเสี่ยงตาย ไม่ต้องเจอคนน่ากลัวอย่างหลิวอ๋อง แต่ว่าในโลกนั้นเขามีจางต้า มีหยางชวีแล้วก็มีไป๋ผูอวี้ เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากอย่างนึกเสียใจ เสียใจที่ตัวเองตัดใจจากโลกนั้นอย่างเด็ดขาดไม่ได้ซักที หากว่าเขาได้เอ่ยลากับอีกฝ่ายก่อนจากมาสักนิด ได้ใช้เวลาร่วมกันมากๆโดยไม่ต้องมีเรื่องกวนใจ จื่อฟางก็คงไม่คิดฟุ้งซ่านอยู่แบบนี้

ไป๋อี้เสวี่ยเห็นอีกฝ่ายเงียบไม่ตอบก็ถอนหายใจ เอ่ยถามอีกคำถาม “แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ ก่อนที่นายจะมีความฝันที่เหมือนจริง นายมีความสุขหรือเปล่า”

“ฉันไม่รู้”ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขาพบว่าเป็นคำตอบที่ยากก็คงกึ่งๆมีความสุขและไม่มีความสุขปะปนกัน ชีวิตคนก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? ว่าแต่ทำไมต้องมาพูดคุยปัญหาชีวิตกับเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่สนิทใจคนนี้ด้วย

“ช่างเถอะ”

“นายแค่ไม่อยากตอบ”คนข้างกายเอ่ยขึ้นเบาๆทำให้ถูกมองขวางใส่

“แล้วนายล่ะ รู้สึกชอบความฝันที่เห็นไหม”จื่อฟางถามกลับบ้าง ครั้งนี้ไป๋อี้เสวี่ยเป็นฝ่ายที่ชะงักบ้าง ตั้งใจจะตอบว่า‘ไม่รู้’แต่ก็กลัวว่าจะถูกย้อนด้วยคำพูดของตัวเองจึงไม่ได้เอ่ยตอบไปพักหลังมานี้ส่วนใหญ่ก็ฝันแต่เรื่องบนเตียง ไม่สิ บางทีก็ใต้ต้นดอกท้อ ดอเหมย ประหลาดชะมัด แต่เขาอาจจะประหลาดกว่าที่มองเห็นผู้ชายสองคนทำเรื่องอย่างว่าแล้วเกิดอารมณ์พิศวาสขึ้นมา หรือว่าไป๋อี้เสวี่ยต้องเอาเรื่องแบบนี้ไปปรึกษากับพ่ออีก เขาก็เริ่มสับสนแล้วเหมือนกัน

“…”

“…”

เกิดความเงียบอันอีกครั้ง เขากับคนตัวสูงข้างกายนั่งมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดเงียบๆ ไฟจากหอระกลองและหอระฆังส่องแสงละลานตา แม้จะมีเสียงพูดคุยของนักท่องเที่ยวหลากเชื้อชาติดังแว่วเข้ามาแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทำลายบรรยากาศ

“นายฝันถึงเรื่องอะไรกันแน่”ไป๋อี้เสวี่ยเอ่ยออกมาในที่สุด

“บอกไปนายก็คงไม่เข้าใจ”

“นายไม่บอกฉันก็ไม่มีทางเข้าใจ”เขามองร่างอีกคนแม้จะนั่งอยู่ข้างกันแต่ก็คล้ายกับมีกำแพงบาง ๆขวางกั้น “ที่นายไม่ยอมคุยกับฉันก็เพราะเรื่องความฝันน่ะเหรอ หรือเพราะฉันหน้าเหมือนแฟนเก่านาย”ไป๋อี้เสี่ยเอ่ยขึ้น ทุกครั้งที่จื่อฟางเห็นเขาแล้วทำสีหน้าแบบนั้น…ไป๋อี้เสวี่ยบรรยายความรู้สึกออกมาไม่ถูก เขาก็คือเขา มีคนมามองเป็นคนอื่นย่อมรู้สึกแปลกๆ

“ไม่ใช่แฟนเก่า”จื่อฟางขู่ฟอด

“ก็ไม่เห็นนายคบใคร”ไป๋อี้เสวี่ยหัวเราะน้อย ๆกับท่าทางของอีกฝ่าย

“งั้นฉันถามนายบ้าง นายเข้ามาคุยกับฉันก็เพราะเรื่องความฝันนั่นใช่ไหมล่ะ”

ถูกอีกฝ่ายตอกกลับมาแบบนี้ไป๋อี้เสวี่ยก็อับจนคำพูดเพราะว่าก็เป็นความจริง “ดูเหมือนความฝันนั่นจะให้ผลต่างกันล่ะมั้ง อย่างที่ฉันเคยบอกบางทีฉันกับนายอาจเกิดเพี้ยนขึ้นมาพร้อมกันก็ได้”

จื่อฟางก็ชักไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าตัวเองยังสติปกติดีอยู่หรือเปล่า

………

กว่าจะกลับมาที่หอพักฟ้าก็มืดแล้ว เขาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อพบว่ามีถุงบางอย่างแขวนอยู่หน้าประตู พอหยิบมาดูก็พบว่าเป็นกล่องหนังสือเรื่องกลรักหญิงงามมีโน้ตติดอยู่แปะว่า ‘ถึงคุณจื่อฟาง จากคนเขียนนิยายเรื่องกลรักหญิงงาม’ เด็กหนุ่มรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องพร้อม นั่งลงบนเตียงแกะหนังสือออกมาดู หยิบข้าวโพดคั่วที่ค้างคืนมาหนึ่งวันจนเหนียวหนืดเข้าปาก  เป็นหนังสือนิยายสองเล่มจบ หน้าปกเป็นรูปวาดแบบหญิงโบราณอย่างที่เห็นได้ทั่วไป จื่อฟางข้ามไปเปิดอ่านตอนพิเศษในเรื่องเท่านั้น ไม่อ่านเรื่องของไป๋ผูอวี้และคุณหนูฉิน มีตอนสั้นๆที่กล่าวถึงเสิ่นจิ้งเฟยบอกว่าได้ใช้ชีวิตอยู่กับซูเหลียนฮวาและทั้งสองคนมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน แต่นางไม่ชอบใบหน้างดงามของตัวเองจึงมักเอาดินมาทาหน้าให้ขี้เหร่ จื่อฟางเลิกคิ้วอ่านดูแล้วเหมือนจะได้เห็นหนังสือภาคต่อเลยแฮะ

บางทีอาจจะถูกจับคู่กับลูกแฝดของไป๋ผูอวี้และคุณหนูฉิน จื่อฟางจึงเปิดไปอ่านตอนพิเศษของคู่พระนางพบว่าฉินเซียงอินตั้งท้องอีกรอบ เขาแค่นเสียงหึท้องหลายรอบเหลือเกิน ไม่สิ มีสติหน่อยจื่อฟางนี่เป็นแค่นิยายเท่านั้น เขารีบพลิกเปลี่ยนหน้าก็มีภาพร่างขาวดำเล็ก ๆหล่นลงมา เขาหยิบมาดูเป็นภาพวาดของชายในชุดบัณฑิตสีฟ้าอ่อน ๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาคล้ายกับจื่อฟาง ต่างกันตรงที่มีไฝเม็ดเล็กๆที่เหนือริมฝีปาก มีตัวอักษรจีนโบราณเขียนกำกับไว้ ‘หลิวเซียนฟาง’ โน๊ตสั้นๆบรรยายอยู่เบื้องล่าง

‘ถึงคุณจื่อฟาง ฉันส่งรูปเล่มหนังสือมาเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับต้นแบบตัวละครบัณฑิตหลิว แต่ว่าฉันเติมไฝเข้าไปเพื่อเพิ่มความโดดเด่น หวังว่าจะไม่เคืองกันนะ ส่วนเสิ่นจิ้งเฟยเป็นตัวละครเพียงตัวเดียวที่ฉันจินตนาการเอาเอง หยิบยืมนิสัยของคุณมาเท่านั้น คุณคงสังเกตว่าบัณฑิตหลิวเป็นตัวละครที่ใส่เพิ่มเข้ามาภายหลังก็เพราะว่าฉันอยากให้คุณอยู่ในนิยายเรื่องกลรักหญิงงามด้วย หวังว่าจะชอบนิยายของฉันนะ แต่ไม่ต้องอยากรู้หรอกว่าฉันเป็นใคร’

จื่อฟางอ่านจบก็กระพริบตา ค่อนข้างมั่นใจว่าคนเขียนนิยายเป็นคนในห้องเรียนนั่นแหละแต่เขาหมดความกระตือรือร้นที่จะตามหานานแล้ว เด็กหนุ่มกวาดตามองหน้าปกนิยายอย่างครุ่นคิด ไม่คิดว่าจะมีตัวละครของตัวเองในโลกนิยายด้วย อีกทั้งยังเป็นบัณฑิตหลิว หลิวเซียนฟาง…จำได้ว่าเป็นตัวละครที่ออกมาไม่บ่อยนัก เขารีบเปิดอ่านหนังสืออ่านตั้งแต่ต้นว่าตัวละครของเขาออกที่บทไหนอีก ตอนอยู่ในโลกนิยายไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ในโลกนั้นบางอย่างก็ไม่เหมือนเดิม เช่นหยางชวีเป็นตัวละครที่อยู่ดี ๆก็โผล่มา บางทีตัวละครของเขาอาจจะเป็นแบบเดียวกันก็ได้

เขาพลิกมาจนเกือบกลางเรื่อง อ่านอย่างละเอียดก็พบว่ามีบทที่บรรยายถึงอยู่บ้าง บัณฑิตหลิวเป็นคนนิสัยเอื่อยเฉื่อย นิยมชมชอบดื่มชา เป่าขลุ่ยยามว่างและวาดภาพเขียนกวี เขาเป็นหนึ่งในสภาบัณฑิต รู้จักกับที่ปรึกษาเกาจวีถัง ไป๋ผูอวี้ไม่เคยได้เจอหน้ากันตรง ๆ เพราะส่วนใหญ่บัณฑิตหลิวจะอยู่ในวังหลวง ฮ่องเต้เจี่ยผิงให้มาสอนหนังสือรัชทายาท แต่ไม่ได้แต่งตั้งเป็นราชครู เมื่อไป๋ผูอวี้ผลักดันเปลี่ยนระบบการสอบเคอจวีจนสำเร็จมีกล่าวถึงเล็กน้อยว่าลาออกจากสภาบัณฑิตเพราะเรื่องสุขภาพ มาเอื่อยเฉื่อยในหอตำราแทน ดูแล้วเป็นคาแรคเตอร์ของจื่อฟางจริง ๆยกเว้นเรื่องความฉลาด

“เป็นตัวประกอบจริง ๆ”เขาพึมพำเมื่อหาบทพูดระหว่างตัวประกอบหลิวเซียนฟางและพระเอกของเรื่องไม่เจอ แต่อย่างน้อยก็ยังอยู่ในเรื่องเดียวกับไป๋ผูอวี้ เขาเก็บหนังสือไว้บนชั้นก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนเตียงคิดอยู่ว่าไป๋อี้เสวี่ยจะได้หนังสือด้วยหรือเปล่า แต่ยิ่งคิดก็รู้สึกว่าเปลือกตาหนักอึ้ง ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะนอนหลับได้เร็วกว่าทุกวัน หลับได้ไม่นาน เขาก็ได้กลิ่นดินอับชื้น...รู้สึกว่าหายใจไม่ออกด้วย เด็กหนุ่มพลันรู้สึกถึงลมพัดเอื่อย ๆต้องร่าง ประสาทสัมผัสเริ่มรับรู้ได้ดีขึ้น เขาพลิกหน้าออกจากผืนดินอับชื้นเพื่อหายใจให้สะดวกแล้วค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ แต่เพราะแสงแดดส่องจนแสบตาจนต้องหลับตาลงอีกครั้ง เมื่อความรู้สึกเวียนหัวหายไปก็ลืมตาขึ้นใหม่

จื่อฟางมองเห็นท้องฟ้ากระจ่าง มีเสียงดังอื้ออึงแว่วอยู่ห่างออกไป เมื่อฟังดีๆถึงได้รู้ว่าเป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือแต่คำพูดเหล่านั้นเป็นคำโบราณ เสียงควบม้าดังสะเทือนไปทั้งร่าง เด็กหนุ่มขยับยันกายลุกนั่ง ในอกเต้นกระหน่ำเมื่อมองเห็นสภาพแวดล้อมรอบกาย เขากึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บริเวณทางรกร้างใกล้ชายป่าเบื้องหลังคือวัดโบราณ เด็กหนุ่มบิดร่างกายที่ปวดเมื่อย ได้ยินเสียงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบ   

เดี๋ยวนะ...จื่อฟางเบิกตามองไปรอบ ๆ ใจเต้นแรงเสียจนคล้ายจะระเบิดออกมา ความทรงจำที่ไม่ใช่ของตัวเองแต่ให้ความสึกคุ้นเคยแล่นเข้ามาในห้วงความคิดไม่หยุด ที่นี่คือโลกโบราณ โลกนิยาย!เขาคือบัณฑิตหลิวเซียนฟางคนนั้น เด็กหนุ่มก้มมองร่างตัวเองพบว่าชุดตัวยาวสีฟ้าอ่อนมีรอยเลือดเปื้อนดวงใหญ่บริเวณหน้าอก จับๆดูก็พบว่ามีบาดแผลแห้งแต่ไม่มีความรู้สึกเจ็บแล้ว จึงลองหยิกแขนตัวเองแรงๆหนึ่งทีความเจ็บแปลบทำให้เขาต้องลูบแขนไปมา สิ่งหนึ่งที่รู้คือเขายังไม่ตาย ร่างนี้ยังไม่ตาย เขาจะได้เจอไป๋ผูอวี้แล้ว!

“ฮ่า ๆ”จื่อฟางรู้สึกอยากร้องไห้และหัวเราะไปพร้อม ๆกัน ใบหน้าของพ่อกับแม่พลันแจ่มชัดอยู่ในห้วงความคิด ฟังดูเหมือนเป็นลูกอกตัญญูแต่เขาคิดถึงโลกนิยายที่มีไป๋ผูอวี้จริง ๆ หากว่าได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งนี้จนไม่มีสิ่งใดค้างคา เขาเชื่อว่าต้องได้กลับไปที่โลกปัจจุบันอีก นึกถึงร่างของตัวเองที่นอนหลับอยู่ในห้องก็ลงมือหยิกตัวเองอีกครั้งว่าฝันไปหรือเปล่า แต่ร่างนี้จับต้องได้และเจ็บได้ด้วย รอยแผลน่ากลัวที่หน้าอกในตอนนี้เริ่มจะมีความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนชอบกลจนเขาโอดครวญเบาๆ ร่างของเขาอยู่ในห้องนอน หากสลบไม่ได้สติอีกก็หวังว่าคนที่เข้าไปเจอคราวนี้จะไม่ใช่แม่อีก อา ครั้งนี้เขาจะนอนหลับไปนานเท่าไหร่? นึกถึงคุณหมอไป๋คงได้เอาร่างของเขาเข้าเครื่องสะแกนอย่างละเอียดแน่

…ไป๋อี้เสวี่ย…ฉันหวังว่านายจะช่วยดูแลร่างของฉันนะ

จื่อฟางนึกถึงเพื่อนร่วมชั้นที่ยังคงไม่สนิทก็ปวดขมับตุบ ๆยกมือสัมผัสดูกลับพบว่าบวมเป่ง ก่อนอื่นเขาต้องกลับเข้าไปในเมืองฉางอัน เพราะบริเวณที่เขาอยู่คือวัดซิงเจียวซึ่งอยู่นอกเมือง ความทรงจำของบัณฑิตผู้นี้ทำให้รับรู้ว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงให้เขานำองค์รัชทายาทและเจาฮองเฮามาพำนักที่นี่แต่กลับถูกกลุ่มกบฏบุกเข้ามาชิงตัวองค์ชายรัชทายาทไป หลิวเซียนฟางพยายามต่อสู้จนเป็นที่มาของบาดแผลถูกแทง เด็กหนุ่มยังคงไม่ได้ก้าวไปที่ใดเพราะความทรงจำที่ยังคงประดังประเดเข้าไม่หยุด เป็นเรื่องตั้งแต่สมัยแบเบาะยันตอนโต

ที่น่าตกใจคือบิดาและมารดาของร่างนี้มีใบหน้าเหมือนพ่อแม่ของจื่อฟางและใช้ชื่อเดียวกันยกเว้นแซ่ของพ่อ เฉิงเค่อลี่และหลิวชุนซิง สกุลหลิวแต่ก่อนมีฐานะยากจน มารดาเปิดร้านขายตำราอยู่ในตรอกซีหมาน ส่วนท่านพ่อเปิดเหลาสุรา มีนิสัยค่อนข้างดุ หลิวเซียนฟางอายุได้เพียงยี่สิบเอ็ดปีแต่ก็เฉลียวฉลาดถึงขั้นได้เป็นถึงบัณฑิตปั๋วซื่อ(มหาบัณฑิตมีหน้าที่สอนหนังสือ)แตกต่างจากจื่อฟางราวฟ้าเหว โชคดีที่หลิวเซียนฟางยังสนใจเรื่องการศึกษามากกว่าการแต่งงานมีบุตร ทั้งยังมีคนที่แอบชอบอยู่ในใจ แต่ก็เป็นเพียงการแอบชอบฝ่ายเดียวเท่านั้น จื่อฟางปาดเหงื่อออกจากหน้าผากไม่เข้าใจอยู่เรื่องเดียวเหตุใดต้องเข้ามาอยู่ในร่างเจ็บป่วยออด ๆแอดๆด้วย แต่อาการป่วยของบัณฑิตหลิวส่วนหนึ่งน่าจะมาจากอาการเครียดและนอนน้อย อ่านตำราเยอะขนาดนั้นไม่ป่วยก็บ้าแล้ว

เมื่อสงบสติอารมณ์ได้ จื่อฟางจึงรออยู่สักพักค่อยเดินทางกลับไปยังวัดซิงเจียวที่เปลวไฟลุกไหม้ วัดค่อนข้างใหญ่โตจนเขาไม่รู้ว่าหากต้องหาตัวเจาฮองเฮาต้องไปที่ใด เด็กหนุ่มไม่มีอารมณ์เข้าไปสำรวจภายในวัดหากพวกกบฏจับรัชทายาทเป็นตัวประกันเป้าหมายก็คือฮ่องเต้เจี่ยผิง เด็กหนุ่มก้าวเดินอย่างระมัดระวัง มองเห็นท่อนไม้ขนาดเหมาะมือก็ใช้เป็นที่ค้ำยันระหว่างเดิน ร่างกายนี้ยังไม่ค่อยเข้าร่องเข้ารอยเท่าไหร่ จื่อฟางกุมบาดแผลที่หน้าอกแม้ไม่มีเลือดไหลแต่ก็ยังรู้สึกปวดแปลบยามที่ขยับร่าง

ร่างผอมเดินมาจนถึงประตูทางออกลวดลายงดงาม สายลมพัดกลิ่นควันไฟและกลิ่นคาวเลือดต้องจมูก มีร่างไร้ลมหายใจของชาวบ้านนอนเกลื่อน ควันไฟปรากฏให้เห็นหลายจุด แถบนี้พบเจอแต่ความเงียบสงัดและเสียงร้องครางอย่างเจ็บปวด เขาก้าวเดินไปตามถนนจนปวดเท้า บาดแผลที่หน้าอกทำให้ไม่สามารถเดินได้เร็วกว่านี้ เบื้องหน้าคือทางแยก ได้ยินเสียงความวุ่นวายดังแว่วเข้าหู ชาวบ้านหลายสิบคนพากันหลบซ่อนอยู่ในตรอกลึก ยังมองไม่เห็นทหารเข้ามาช่วยเหลือ จื่อฟางกลัวว่าจะเจอกับพวกกบฏจึงเลือกเดินผ่านตรอกแคบ ๆ โผล่หน้าออกไปเมียงมองสังเกตการณ์ พบเห็นเพียงร่างชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บนอนสลบอยู่เท่านั้น

แต่เขาจะไปถึงประตูเมืองได้อย่างไร?บริเวณที่เขาอยู่ค่อนข้างไกลมากโข ยังจำได้ว่าเมื่อครั้งที่อยู่ในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยเคยนั่งรถม้าสำรวจเมือง เด็กหนุ่มพยายามนึกเส้นทางให้ออกแต่ในตอนนี้สมองยังคงมึนงงว่าทางไหนคือที่ใด เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงควบม้าหลายตัวดังแว่วมา พร้อมกับเสียงลากบางอย่าง เด็กหนุ่มหันมองซ้ายขวาก่อนจะรีบหลบซ่อนที่กำแพงใกล้ๆกลัวว่าจะเป็นศัตรู

“บัณฑิตที่อยู่ตรงนั้น รีบขึ้นมาบนรถม้าเร็ว!”เสียงกระโชกดังขึ้น เมื่อหันมองก็เห็นว่าคนที่อยู่บนหลังม้าแต่งกายอย่างข้ารับใช้ แต่พวกข้ารับใช้ขี่ม้าได้ด้วยหรือทั้งยังเป็นม้าชั้นดีด้วย สัตว์สี่ขาตัวสูงใหญ่จนต้องก้าวถอยหลัง รถม้าสองคันบรรทุกชาวบ้านที่บาดเจ็บอยู่แออัด

“ข้าคือบัณฑิตหลิวเซียนฟาง พวกกบฏจับตัวองค์รัชทายาทเจี่ยอิงต้าไป พวกเจ้ารีบนำกำลังไปสมทบที่ประตูเมืองเร็ว”จื่อฟางรีบบอก แปลกใจที่ได้ยินเสียงพูดนุ่มลึกของตัวเอง คนบนหลังม้ากวาดตามองเขาขึ้นลง คิดว่าเป็นบัณฑิตที่ดูจะมีตำแหน่งถึงได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับรัชทายาทจึงพยักเพยิดไปทางรถม้า

“ท่านบัณฑิตหลิวขึ้นไปบนรถม้าเถอะ หน้าที่ของพวกเรามีเพียงช่วยเหลือราษฎรเท่านั้น”คนบนหลังอาชาสีน้ำตาลอ่อนเอ่ย

“อะไรนะ พวกเจ้าคิดเมินเฉยต่อองค์รัชทายาทได้อย่างไร”เด็กหนุ่มขึ้นเสียง กล่าวออกไปอย่างลื่นไหล อารมณ์โกรธของร่างนี้ทำให้เขาตัวสั่นเพราะร่างกายเริ่มทรงตัวไม่ไหว บาดแผลที่หน้าอกทำเขาร้อนไปทั้งร่าง อันที่จริงเรื่องรัชทายาทก็ไม่ใช่เรื่องของเขา เวลานี้จะไปที่ประตูเมืองให้ลำบากไปทำไม สู้หลบซ่อนตัวไม่ดีกว่าหรือ แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าฝั่งฮ่องเต้เจี่ยผิงจะเอาชนะเจี่ยอี้ได้ง่าย ๆ จากความทรงจำของบัณฑิตหลิว ในยามนี้ดูเหมือนว่ากองทัพเจี่ยกำลังเสียเปรียบ กบฏจ่ออยู่หน้าประตูบ้าน อีกทั้งยังถูกทำลายจากภายใน จื่อฟางก็กลัวตายเหมือนกัน เขายังไม่อยากกลับโลกปัจจุบันทั้ง ๆที่ยังไม่ได้เจอไป๋ผูอวี้

“พวกเราสกุลไป๋ไม่ได้รับใช้ราชสำนัก”หนึ่งในนั้นกล่าวเสียงแข็ง ใบหน้าฉายแววไม่พอใจชัดเจน จื่อฟางเบิกตาโตเมื่อได้ยินแซ่คุ้นหู

“สกุลไป๋ ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้า...”เด็กหนุ่มยั้งตัวเองได้ทัน เมื่อเกือบจะเอ่ยถามถึงไป๋ผูอวี้ ความทรงจำส่วนหนึ่งของหลิวเซียนฟางไม่มีข่าวคราวจากการศึกนอกกำแพง รู้แค่เพียงว่าไป๋ผูอวี้ถูกแต่งตั้งเป็นรองแม่ทัพนำทหารกว่าห้าพันนายไปสมทบที่ค่ายซินเฉิงเพื่อปราบกบฏหลิวอ๋อง เขารู้สึกบอกไม่ถูกเหตุผลส่วนหนึ่งที่ท่อนไม้ไป๋ยอมทำผิดกฎสกุลก็เพราะจื่อฟาง แต่ไป๋ผูอวี้จะเป็นอย่างไรในเมื่อคิดว่าจื่อฟางไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว เขาต้องส่งจดหมายให้ถึงอีกฝ่าย แต่จะทำได้อย่างไรในเมื่อยามนี้การศึกกำลังตึงเครียด

จื่อฟางเงียบไปครู่หนึ่งอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เห็นคนสกุลไป๋จ้องมองด้วยสายตารำคาญจึงชี้ไปที่อาชา “ถ้าอย่างนั้นข้าขอยืมอาชา ข้าจะไปหน้าประตูเมืองเอง”ข้ารับใช้สกุลไป๋ต่างก็มองหน้ากันไปมา ควันไฟสีหม่นพวยพุ่งอยู่หลายจุดที่ห่างออกไป ทำให้จื่อฟางนึกไปถึงคืนเพลิงไหม้ที่ห้องหนังสือในจวนสกุลเสิ่น เผลอยกมือลูบแก้มซ้ายโดยไม่รู้ตัว ยังจดจำความรู้สึกที่ถูกคมมีดกรีดผ่านได้

ชายที่มีท่าทีสุขุมกระแอมกล่าวขึ้น “กำลังของสกุลไป๋บางส่วนเร่งมือไปที่ประตูเมืองก่อนแล้วเป็นคำสั่งของศิษย์พี่ซูเหลียนฮวา ส่วนพวกเราเพียงแค่มาช่วยเหลือชาวบ้านเท่านั้น บัณฑิตเช่นท่านไปสู้รบไม่ได้หรอก ขึ้นรถม้าเถิด พวกข้าจะพาไปยังคฤหาสน์สกุลไป๋เพื่อรักษาบาดแผล”ชายหนุ่มพยักเพยิดไปทางรถม้า ปราดมองรอยเลือดที่หน้าอกของเขา คิดสงสัยว่าบัณฑิตผู้นี้ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไร ทั้ง ๆที่มีแผลเปิดขนาดนั้น ชายคนหนึ่งเปิดประตูรอม้ารอ

“ข้าทราบแล้ว”จื่อฟางไม่คิดเอ่ยแย้งเพราะที่อีกฝ่ายพูดมามีเหตุผล อีกทั้งกลับไปคฤหาสน์สกุลไป๋เป็นตัวเลือกที่ดีกว่ามาก หากเขาไปที่กำแพงเมืองแล้วจะทำอะไรได้ หยิบจับอาวุธก็ไม่เป็น หากเป็นบัณฑิตหลิวตัวจริงก็คงยอมไปช่วยเหลือ เด็กหนุ่มมองหน้าข้ารับใช้สกุลไป๋ก่อนค้อมกายเป็นการขอบคุณ รีบก้าวเข้าไปในรถม้าอย่างเงียบเชียบ คนสกุลไป๋บนหลังอาชาต่างก็มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ ปกติแล้วข้ารับใช้เช่นพวกเขามักไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้

จื่อฟางนั่งซุกตัวอยู่ด้านใน ระหว่างที่รถม้ามุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์สกุลไป๋ เขาพยายามมองลอดช่องฉลุลายเล็ก ๆเมื่อรถม้าเคลื่อนตัวผ่านจวนสกุลเสิ่น เขาไม่ได้เป็นห่วงเสิ่นมู่หยาง แต่ห่วงจางต้า ไหนจะหยางชวีป่านนี้สองคนนั่นจะเป็นยังไงบ้าง เด็กหนุ่มถอนหายใจ ละสายตามาจากช่องลม หลับตาเพื่อสงบสติอารมณ์ เขาไม่ควรให้เรื่องราวเก่าๆมาเหนี่ยวรั้ง เรื่องเป็นเช่นนี้แล้วนอกจากไป๋ผูอวี้ก็ไม่คิดอยากบอกเรื่องวิญญาณเข้าร่างกับผู้ใดอีกโดยเฉพาะจางต้า รถม้าจอดลงช้า ๆจนหยุดอยู่ที่คฤหาสน์สกุลไป๋ที่ยามนี้เหลือเพียงบ่าวรับใช้ที่ยอมอยู่กับไป๋ผูอวี้

“พวกท่านลงมาเถอะ ผู้ใดบาดเจ็บก็เร่งรักษา หากเหตุการณ์สงบก็ค่อยกลับไปยังที่จากมา”เสียงของข้ารับใช้สกุลไป๋ดังอยู่ด้านนอก ก่อนที่ประตูรถม้าจะเปิดออก เด็กหนุ่มใจเต้นแรงด้วยความคิดถึง ไม่ได้มาที่คฤหาสน์แห่งนี้นานแล้ว เขารีบก้าวลงจากรถม้า เดินตามข้ารับใช้ผ่านประตูชั้นในเข้าไปที่ลานกว้าง พบว่ามีชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่งถูกพามาพักฟื้นที่นี่

“ท่านบัณฑิต บาดแผลของท่านดูท่าจะร้ายแรง ท่านหมอกู้รักษาเขาก่อนเถิด”ข้ารับใช้คนหนึ่งดันร่างผอมตรงไปอีกทางที่หมอกู้ประจำสกุลเสิ่นนั่งอยู่ เดิมทีสกุลเสิ่นแทบไม่คบค้ากับสกุลไป๋แต่เพราะเรื่องของคุณชายเสิ่นจิ้งเฟย เสนาบดีเสิ่นมู่หยางถึงได้ยอมส่งท่านหมอมาช่วยเหลือเพราะรู้ดีว่าเหตุการบ้านเมืองยังคงไม่สงบ แต่บ่าวรับใช้บางส่วนรู้ดีว่าที่สกุลเสิ่นยอมญาติดีด้วยก็เพราะคุณชายไป๋และคุณชายเสิ่นต่างก็มีใจให้กัน บุตรชายรูปงามราวสตรีของจวนนั้นจากไปก็ไม่คิดขวางทางใดอีก

จื่อฟางได้ยินชื่อหมอกู้ก็ใจกระตุกมองเห็นร่างของท่านหมออันคุ้นตา ท่านหมอจ้องมองเขาด้วยสายตาพินิจ  หยิบมีดสั้นออกมา ตัดเสื้อบริเวณที่มีรอยเลือดออกดังแควกจนเขาสะดุ้งแต่ก็พยายามรักษาท่าทีอันสุขุมไว้ ท่านหมอกู้มองบาดแผลที่ถูกแทงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ปากอ้าค้างน้อย ๆ

“ท่านบัณฑิตรอดชีวิตมาได้อย่างไร”หมอกู้ทำเสียงจุ๊ ๆ ตรวจบาดแผลอย่างละเอียด ใบหน้าเหี่ยวย่นปรากฏอารมณ์หลากหลาย

“ข้าเป็นพวกตายยากน่ะ”เขาเอ่ยตอบระหว่างที่ท่านหมอทายาสมุนไพรบางอย่างลงบนบาดแผลที่แห้งแล้ว จื่อฟางเม้มปากข่มกลั้นอาการเจ็บแสบที่แผ่กระจาย



 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2019 02:18:34 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4



“ท่านรอดชีวิตมาได้ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ยิ่งนัก บาดแผลของท่านดูอย่างไรก็ผ่านมาหลายชั่วยาม คนปกติคงเลือดออกจนหมดตัวแล้ว”หมอกู้พึมพำ สายตาจดจ้องอยู่รอยเปื้อนเลือดเป็นวงใหญ่บนร่างของเขา จื่อฟางไม่เอ่ยตอบเพียงนั่งให้อีกฝ่ายปิดบาดแผลด้วยการพันผ้ารอบแผ่นอกให้อย่างเบามือ เด็กหนุ่มถือโอกาสสำรวจมองร่างกายของตัวเอง แม้จะผอมจากการเจ็บป่วยแต่ก็ไม่ถือว่าบอบบางอย่างร่างเก่า สรีระคล้ายกับตัวเขาในโลกปัจจุบัน พอนึกเช่นนี้แล้วก็พานคิดว่าตอนนี้จะมีคนเจอร่างเขาหรือยัง ได้แต่หวังว่าคนที่ไปเจอจะเป็นไป๋อี้เสวี่ยไม่ใช่แม่ของเขา

“ท่านมีอาการเจ็บป่วยอยู่ ทานยาสมุนไพรบำรุงสักเล็กน้อย…คุณชายบ้านข้าเคย…”หมอกู้หยุดชะงัก มือเหี่ยวย่นสั่นน้อย ๆ จื่อฟางจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเห็นใจ ข่าวการตายของเสิ่นจิ้งเฟยคงสะเทือนใจของคนหลายคน

“มิใช่บัณฑิตหลิวหรอกหรือ?”เสียงทักคุ้นหูดังอยู่เบื้องหลัง จื่อฟางใจกระตุกหมุนกายไปมองเพียงนิด พบเห็นร่างของคุณชายที่มีใบหน้าคล้ายคนง่วงนอนอยู่ในชุดผ้าแพรทั้งร่าง     

“คุณชายจ้าว”เด็กหนุ่มเอ่ยทักพร้อมด้วยรอยยิ้มสุภาพ พยายามซ่อนความแปลกใจเอาไว้ เขารู้มาว่าจ้าวเซียวชิงสนิทกับไป๋ผูอวี้แต่ก็ไม่คิดว่าสามารถเข้ามาในคฤหาสน์สกุลไป๋ได้ ที่น่าตกใจคือคุณชายจ้าวที่ดูไม่เอางานเอาการคนนี้รู้จักกับที่ปรึกษาเกาจวีถังสหายคนสนิทของฮ่องเต้ ช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ เขาแสร้งทำสีหน้าปกติ เพราะกับคุณชายผู้นี้ก็รู้จักกัน

“ข้าขอคุยกับบัณฑิตหลิวสักครู่ได้หรือไม่”จ้าวเซียวชิงมองร่างของบัณฑิตหลิวด้วยสายตาเคร่งเครียด ชายหนุ่มทราบมาว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงให้หลิวเซียนฟางนำรัชทายาทและฮองเฮาไปพำนักซ่อนตัวที่วัดซิงเจียว แล้วเหตุใดถึงมาหลบภัยอยู่ที่สกุลไป๋?อีกทั้งได้รับบาดเจ็บย่อมบอกได้เพียงอย่างเดียวว่าสถานการณ์ทางนั้นมิใช่เรื่องดี

“ย่อมได้”จื่อฟางรับคำ เหลียวมองไปรอบตัวด้วยดวงตาเป็นประกายวูบไหว คฤหาสน์สกุลไป๋เงียบสงัดผิดปกติ แต่บรรยากาศผ่อนคลายและกลิ่นใบชาแห้งก็ยังคงเดิม แต่หมอกู้ยืนยันว่าเขาต้องดื่มยาสมุนไพรจนหมดถ้วยก่อนค่อยไป คุณชายจ้าวรออยู่ที่ศาลาใกล้กับต้นไผ่ เป็นศาลาที่เขากับไป๋ผูอวี้เคยนั่งเมื่อครั้งที่จื่อฟางมาที่นี่เป็นครั้งแรก

“เกิดอะไรขึ้น”ฝ่ายนั้นเอ่ยถามทันทีเมื่อออกมาห่างไกลจากผู้คน เด็กหนุ่มมองแววตาที่เปิดเผยอย่างซื่อตรงของอีกฝ่ายก็ถอนหายใจ แสร้งทำสีหน้าหมองเศร้า

“เป็นความผิดของข้าเอง….”จื่อฟางเริ่มแสดงบทของหลิวเซียนฟางอย่างไม่ติดขัด

…….

บริเวณกำแพงเมืองฉางอันยังคงเงียบสงัด เหล่าทหารและกบฏต่างก็รอคอยคำตอบของฮ่องเต้เจี่ยผิง พวกตนต่างทราบดีว่ารัชทายาทเจี่ยอิงต้าสำคัญอย่างไร เพราะพระองค์เป็นโอรสเพียงองค์เดียวทั้งยังเฉลียวฉลาดเกินวัย ส่วนอีกพระองค์เป็นองค์หญิง จึงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับฮ่องเต้เจี่ยผิง องค์รัชทายาทหลับตาด้วยความหวาดกลัวแข็งขาที่อ่อนแรงเริ่มรับความกดดันไม่ไหวส่งเสียงร้องไห้อย่างน่าสงสาร ยิ่งทำให้ผู้เป็นเจ้าแผ่นดินมีโทสะเลือดขึ้นหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้ผูกพันรักใคร่ลึกซึ้งกับรัชทายาท แต่อย่างไรนั่นก็คือเลือดเนื้อที่เกิดมาจากตน แต่ช่างอิ่นคิดใช้วิธีเช่นนี้กดดันเขาอย่างนั้นหรือ?

“ผู้อาวุโสอวิ๋นย่อมรู้คำตอบของเราดี”แม้จะเจ็บปวดที่ต้องกล่าวออกไปเช่นนี้ แต่เจี่ยผิงไม่สามารถเปิดประตูเมืองฉางอันได้จริง ๆไม่ใช่แค่ราษฎรที่ตกอยู่ในอันตราย แต่รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับเจี่ยผิงทั้งหมด ฮ่องเต้หนุ่มถอนหายใจกับการตัดสินใจของตน ได้แต่หวังว่าเจี่ยอิงต้าจะเข้าใจการกระทำของเขา ชายหนุ่มเหลือบตามองเฮ่อเจ๋อเป็นการส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายลงมือ พริบตาเดียวกำลังทหารและกบฏก็พุ่งปะทะกัน

“จัดการรัชทายาท!”อวิ๋นเสียนหลางร้องสั่ง กู้หมิงขยับมือหมายจะบั่นคอเจี่ยอิงต้าแต่เกาทัณฑ์แหลมคมก็พุ่งแหวกอากาศเฉียดร่างของกู้หมิงไปเส้นยาแดงผ่าแปด รัชทายาทรีบดิ้นหลุดออกจากการเกาะกุม รับรู้ว่าปลายคมดาบบาดเข้าผิวกายจนร่างกายสะท้านทรุดลงเหมือนหุ่นไร้ชีวิต

“รัชทายาท”เฮ่อเจ๋อพุ่งร่างเข้าไปป้องกัน ช้อนร่างที่ไม่ได้สติอุ้มไว้ในอ้อมแขน เลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลที่ลำคอเล็ก ๆนั้น องครักษ์คนสนิทกวาดสายตามองก็พบว่าบาดแผลไม่ลึกแต่เลือดที่ไหลไม่หยุดเป็นปัญหาสำคัญ เจี่ยผิงตัวชาวูบเมื่อมองเห็นบาดแผลและเลือดที่ไหลมาจากลำคอของรัชทายาท ทหารต่างโกรธแค้นพุ่งตัวเข้าปะทะกับกบฏเป็นที่วุ่นวาย เจี่ยผิงคว้าคันธนูเหนี่ยวยิงไปที่หลี่ลั่วหวั่นจนถูกร่างอีกฝ่ายเข้าพอดี ในช่วงจังหวะที่กำลังวุ่นวายกำลังส่วนหนึ่งของสกุลไป๋ก็เข้าร่วมการศึก พวกเขาไม่ได้ปกป้องราชสำนักเพียงแค่ทำตามคำสั่งของศิษย์พี่ซูเหลียนฮวาเท่านั้น ‘กำจัดตาเฒ่าอวิ๋นเสียนหลาง’ เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด ห่าลูกศรก็พุ่งไปยังทิศของร่างของผู้อาวุโสอวิ๋น

เฮ่อเจ๋อส่งตัวองค์รัชทายาทที่ได้รับบาดเจ็บให้องครักษ์ลับผู้หนึ่งรีบพาตัวกลับรักษาไปในวังหลวงอย่างเร่งด่วน ด้านบนกำแพงเมืองฮ่องเต้เจี่ยผิงถูกอารักขาอย่างแน่นหนา

“ฝ่าบาททรงหลบหนีไปที่ตำหนักกุ้ยลี่ก่อนเถิด ทางนี้ให้ทหารราชสำนักจัดการดีกว่า”เกาจวีถังกล่าวอย่างเร่งร้อนเมื่อเห็นว่าสถานการณ์พลิกผันกลายเป็นดี จึงออกแรงฉุดดึงแขนของเจ้าแผ่นดินอย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป ฮ่องเต้หนุ่มเพียงปรายตามอง เขาทราบดีในยามนี้หากตนเป็นอะไรไปย่อมเสี่ยงต่อราชบัลลังก์ บาดแผลของรัชทายาทดูแล้วหนักหนา เขากำมือแน่น

“ฆ่าพวกมันให้หมด”ฮ่องเต้หนุ่มประกาศกร้าว แต่ก่อนจะลงจากกำแพงเมืองก็เหนี่ยวยิงเกาทัณฑ์ใส่กู้หมิง แต่ร่างนั้นใช้กระบี่ปัดออกได้ทันท่วงที เฮ่อเจ๋อจึงรับหน้าที่ต่อกระโจนเข้าใส่เต็มกำลัง ไม่มีเวลามาให้นึกถึงคำว่าพี่น้อง ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกเส้นทางที่ไม่อาจให้อภัยได้

“นำกำลังค้นหาวัดซิงเจียว หาเจาฮองเฮาให้พบ”ฮ่องเต้เจี่ยผิงออกคำสั่งกับองครักษ์ส่วนหนึ่ง

“พ่ะย่ะค่ะ!”พวกเขารับคำแล้วจากไป องครักษ์ที่เหลืออารักขานำทางฮ่องเต้เจี่ยผิงและเหล่าขุนนางขั้นสูงไปหลบภัยที่ตำหนักกุ้ยลี่ด้วยจิตใจระส่ำระส่าย ขณะที่เฮ่อเจ๋อ ทหารและองครักษ์ลับต่อกรกับคนทรยศ เนื่องเพราะการปรากฏตัวเหนือความคาดหมายของสกุลไป๋ทำให้สามารถเปลี่ยนจากตั้งรับมาบุกรุกได้ ทหารจึงโจมตีเป็นหน่วยเดียวอย่างมีแบบแผนที่เรียกว่าการตั้งค่ายกล กำลังกบฏกว่าสองร้อยนายถูกจับตัวไว้ได้ที่เหลือถูกฆ่าทิ้ง หลี่ลั่วหวั่นแม้ถูกเกาทัณฑ์ของฮ่องเต้แต่ยังไม่ตาย ยกเว้นกู้หมิงที่ถูกเฮ่อเจ๋อบั่นคออย่างไม่ลังเล แต่เดิมก็มิใช่พวกอาลัยอาวรณ์อยู่แล้ว ส่วนผู้อาวุโสอวิ๋นถูกสกุลไป๋จัดการได้ภายในพริบตาเดียว พวกเขาจัดการเสร็จก็กลับไปอย่างรวดเร็วดั่งยามปรากฏกาย

ฮ่องเต้เจี่ยผิงออกสั่งให้นำตัวเหล่าผู้ก่อกบฏไปที่กำแพงเมือง ลงทัณฑ์แล่เนื้อทีละส่วนจนกว่าจะสิ้นลม พร้อมทั้งเสียบประจารร่างไว้เช่นนั้น สถานการณ์วุ่นวายในเมืองฉางอันจึงเริ่มสงบ แม้ผ่านไปสามวันแต่ข่าวสารก็ถูกแพร่สะพัดไปทั้งเมืองหลวง เรื่องอดีตอัครเสนาบดีหลี่เป็นกบฏ องค์รัชทายาทถูกจับเป็นตัวประกันได้รับบาดเจ็บหนัก โรงน้ำชาหลิวซื่อจึงแน่นขนัดไปด้วยชาวบ้านที่ได้รับการช่วยเหลือ อีกทั้งข่าวเรื่องการต่อสู้ของสกุลไป๋ก็เป็นที่สนใจ พวกชาวบ้านต่างก็ใคร่รู้ว่า เหตุการณ์เป็นแบบนี้แล้วฮ่องเต้จะจัดการอย่างไรกับสกุลไป๋

ที่ตำหนักกุ้ยลี่ หมอหลวงมีฝีมือกว่าสิบคนพยายามช่วยเหลือองค์ชายรัชทายาทเจี่ยอิงต้าอย่างสุดความสามารถ แต่พระอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ทำได้เพียงประคองอาการวันต่อวันเท่านั้น เจี่ยผิงนั่งอยู่ที่นอกฉากกั้นทำได้เพียงภาวนาให้รัชทายาทฟื้นตัวในเร็ววัน สามวันที่ผ่านมาชายหนุ่มเครียดเสียจนไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ เขามีรัชทายาทเป็นโอรสเพียงองค์เดียว ความจริงข้อนี้มีเพียงหมอหลวงประจำตัวเท่านั้นที่ล่วงรู้ปัญหาของฮ่องเต้เจ้าแผ่นดิน

ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เจี่ยผิงไม่สามารถให้กำเนิดโอรสหรือธิดาได้อีก มิแน่เจาฮองเฮาและพระสนมขั้นสูงบางคนที่ฉลาดอาจคาดเดาออก ชายหนุ่มหยิบยกเรื่องชมชอบชายงามมาเป็นข้ออ้าง แม้จะเป็นเรื่องเสียพระเกียรติแต่เรื่องที่ฮ่องเต้มีทายาทยากเป็นเรื่องคอขาดบาดตายกว่ามากนัก ในยามนี้ความเป็นความตายของเจี่ยอิงต้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องเสิ่นจิ้งเฟยยังมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งเดียวที่ไม่ทำให้เขาเป็นบ้าไปเสียก่อน

“จิ้งเฟย หากเจ้าอยู่ใกล้ๆก็ดีสิ อย่างน้อยเสียงกู่เจิงของเจ้าก็ทำให้ข้าจิตใจสงบ”เจี่ยผิงนวดขมับ อยากนอนพักแต่ก็ทำไม่ได้ การศึกที่นอกประตูเมืองยังไม่รู้ผล เขาข่มตาไม่ลง

ที่ปรึกษาเกาได้แต่คอยปลอบพระทัย หลายวันมานี้มีเรื่องกวนจิตใจเจ้าแผ่นดิน ทหารพบตัวเจาฮองเฮาแล้ว พระนางหลบซ่อนตัวอยู่ในวัดซิงเจียว เวลานี้ยังคงรักษาตัวอยู่ในตำหนัก แต่กลับไม่พบเงาร่างของบัณฑิตหลิว คิดได้เพียงอย่างเดียวว่าสหายของตนไม่รอดชีวิต

“ฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินมาว่าหญิงคณิกาที่เป็นคนของสกุลไป๋เก่งกาจเรื่องยาสมุนไพร แม้นางจะไม่ใช่หมอมากฝีมือ แต่กระหม่อมคิดว่ายาของนางอาจช่วยได้ไม่มากก็น้อย”ชายหนุ่มออกความเห็น ร่างสูงสง่ายังคงมีใบหน้าเคร่งขรึมชวนให้ผู้คนวางใจ 

“ที่ปรึกษาเกาหมายถึงนางมารหมื่นพิษ?”เฮ่อเจ๋อที่รับฟังอยู่ในห้องกล่าวขึ้นอย่างกระทันหันทำให้ที่ปรึกษาสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ คิดว่าองครักษ์ผู้นี้ช่างน่ากลัวนัก

“ใช่แล้ว”ชายหนุ่มพยักหน้า เฮ่อเจ๋อจึงหมุนกายไปทางเจ้าแผ่นดินอย่างนอบน้อม

“กระหม่อมเคยประมือกับนางมาก่อน ที่ปรึกษาเกาจวีถังกล่าวได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ นางมีฝีมือ”องครักษ์คนสนิทก้มหน้าต่ำรอรับคำสั่งจากฮ่องเต้ เจี่ยผิงเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของนางผู้นี้มาบ้าง บางทีไม่แน่ว่านางอาจจะช่วยเจี่ยอิงต้าได้

“เช่นนั้นส่งสารน์เร่งด่วนไปที่ทัพด้านนอกให้นำหญิงนามว่าซูเหลียนฮวากลับเมืองหลวงเพื่อมารักษาอาการของรัชทายาทโดยด่วน”เจี่ยผิงออกคำสั่งกับเส้ากงกง ขันที่ใหญ่รับคำสั่งก่อนรีบค้อมกายเร่งรีบออกไปจากตำหนัก ได้แต่หวังว่าทัพด้านนอกจะเร่งรีบจัดการเด็ดหัวช่างอิ่นมาให้ตนเสียที สถานการณ์ที่นอกกำแพงดูคล้ายจะพลิกผันตลอดเวลา ฮ่องเต้ส่งกองกำลังอีกพันนายออกมาตั้งรับที่หน้าประตู ทำให้แคว้นเหลียงชนเผ่าตีมองเห็นว่าอาจเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อกำลังเสริมของทหารราชสำนักจึงนำกำลังส่วนหนึ่งหลบหนีไป ทำให้ทัพของช่างอิ่นอ่อนกำลังลง

 …….

จื่อฟางกลับมาพักอยู่ในเรือนของหลิวเซียนฟาง บ้านของบัณฑิตหลิวอยู่ไม่ห่างจากรั้ววังหลวง เป็นเรือนที่ไม่ใหญ่เกินไปและไม่เล็กจนคับแคบ ยามที่กลับจากการพักฟื้นที่คฤหาสน์สกุลไป๋ก็พบว่าในเรือนไม่มีบ่าวไพร่อยู่ คงเพราะหวาดกลัวกำลังของพวกกบฏจนหลบหนีไปซ่อนตัวกระมัง ดีที่บัณฑิตมัธยัสถ์ผู้นี้ไม่ได้อาศัยร่วมกับบิดามารดา เพราะจากภาพความทรงจำคนทั้งสองช่างมีนิสัยที่คล้ายกับพ่อแม่ของเขายิ่งนัก เขายังไม่พร้อมรับมือกับโคลนนิ่งบุพการีของตน

เขาล้วงเอากุญแจจากในอกเสื้อ เข้ามาในเรือนได้ก็มุ่งหน้าเดินไปตามเฉลียงทางเดินอันเงียบสงบอย่างเร่งรีบ บาดแผลของเขาหายดีแล้วยิ่งสร้างความแปลกใจให้หมอกู้ เหตุการณ์วุ่นวายที่กำแพงเมืองจบลง เขาก็โล่งอก คนสกุลไป๋ทำงานได้รวดเร็วฉับไวยิ่งนัก เรื่องการสังหารผู้อาวุโสอวิ๋นจึงคล้ายกับเป็นนิทานเรื่องหนึ่ง เด็กหนุ่มไปยังห้องเขียนหนังสือ ร่างชะงักเล็กน้อยเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ความทรงจำสุดท้ายในห้องหนังสือยังตามหลอกหลอนไม่จางหาย เขาปรับลมหายใจให้เป็นปกติ กวาดสายตามองไปรอบห้อง ฉากฉลุลายกั้นเตียงนอนด้านใน รสนิยมของหลิวเซียนฟางช่างไม่ได้เรื่อง แก่เรียนแล้วยังคร่ำครึยิ่งนัก เด็กหนุ่มเปิดบานประตูทั้งหมดจนแสงสว่างส่องเข้ามาภายในห้อง เขาทิ้งร่างนั่งที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ กางกระดาษซวนจื่อออก

ฝนหมึกอย่างเร่งรีบ ก่อนจรดพู่กันลงบนกระดาษ เขาต้องการเขียนจดหมายถึงไป๋ผูอวี้หรือในตอนนี้ที่ต้องเรียกว่ารองแม่ทัพไป๋ ยามที่พักฟื้นอยู่ในคฤหาสน์แห่งนั้น เด็กหนุ่มได้ยินเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับตัวไป๋ผูอวี้และเรื่องราวความรักต้องห้ามระหว่างคุณชายรูปงามเสิ่นจิ้งเฟยไม่ขาด ข่าวการตายของเสิ่นจิ้งเฟยเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากสำหรับชายหนุ่มผู้มีรักมั่นคงเฉกหินผา อาการที่เขาได้ยินใช้คำว่า‘ท่อนไม้เดินได้’มาบรรยายก็คงไม่ผิดนัก ในเมื่อเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองฉางอันสงบลงแล้ว จื่อฟางต้องการส่งจดหมายไปให้คนในสนามรบได้รับรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่

เจ้าท่อนไม้จะได้มีกำลังใจฮึดสู้กลับมาหาเขาที่ฉางอัน  คนที่หมดหวังในชีวิตความคิดไตร่ตรองย่อมไม่เหมือนเดิม เด็กหนุ่มรู้ดีว่าท่อนไม้ไป๋มิใช่คนที่คิดอยากตายตามคนรัก แต่เท่าที่ฟังคนสกุลไป๋นินทาอาการของเจ้านั่นก็เอาเรื่องอยู่ เด็กหนุ่มหยุดมือ มุ่นคิ้วระหว่างที่คิดว่าควรเขียนสิ่งใดลงไปดี

‘ถึงท่านรองแม่ทัพไป๋ ข้าชื่อว่าจื่อฟาง ในยามนี้รอท่านอยู่ที่อีกฝั่งของกำแพง ท่านคงเคยได้เห็นภาพวาดตัวจริงของข้า ยามนี้ข้าได้มีร่างเป็นของตัวเอง มีใบหน้าเป็นของข้า ข้าหวังว่าท่านจะจำได้ หากท่านกลับมาอย่างปลอดภัยไว้จะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด เอาชนะช่างอิ่นเร็วๆเข้าเถิด ท่อนไม่ไป๋! ข้าอยากเห็นหน้าท่านแต่งงานกันแล้วย่อมต้องเชื่อฟังข้า ลูกไหนสุกแล้วหากรอนานกว่านี้เกรงว่าจะบูดเน่าเอา รีบกลับมา ท่านรองแม่ทัพรักษาตัวด้วย จากจื่อฟางภรรยาที่กลับมาแล้วของท่าน’

จื่อฟางจงใจเอ่ยถึงคำว่าท่อนไม้และลูกไหนเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าจดหมายฉบับนี้เป็นของจริง เพื่อความแน่ชัดเขาจึงลงชื่อเป็นภาษาอังกฤษไปด้วย พร้อมกับวาดภาพของตัวเองประกอบไปคร่าวๆ เท่านี้คงทำให้ไป๋ผูอวี้เชื่อได้แล้วกระมัง เด็กหนุ่มพับจดหมายเก็บสองชั้น หากให้นายทหารธรรมดานำจดหมายไปส่งในยามที่มีการศึกอยู่นอกกำแพงเมืองคงเป็นไปไม่ได้ เขาจึงต้องใช้คนที่มียศตำแหน่งสูง คนแรกที่นึกถึงคือที่ปรึกษาเกาจวีถัง จื่อฟางยกยิ้มเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดสุภาพ มองเงาสะท้อนในคันฉ่อง ร่างนี้เหมือนเขาทุกระเบียดนิ้ว ยกเว้นไฝเหนือริมฝีปาก แม้จะมองดูแล้วขัดลุกตาแต่ก็ต้องยอมรับว่าทำให้ร่างนี้ดูโดดเด่นขึ้นมาบ้าง เขาจัดหมวกบัณฑิตให้เรียบร้อย หยิบป้ายหยกแสดงตนว่าเป็นบัณฑิตปั๋วซื่อมาห้อยติดตัว สถานการณ์เช่นนี้ที่ปรึกษาเกาย่อมอยู่ข้างกายฮ่องเต้ จื่อฟางจึงมุ่งหน้าไปยังวังหลวง

องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ที่ประตูข้างเมื่อเห็นว่าเขาคือบัณฑิตหลิวผู้สอนหนังสือแก่รัชทายาทจึงสั่งทหารชั้นผู้น้อยนำเกี้ยวเข้าไปที่ตำหนักกุ้ยลี่ เป็นการเดินทางที่ค่อนข้างไกล จื่อฟางเอนพิงเกี้ยวที่โขยกเขยกตามการเคลื่อนไหวไปตลอดทางก็แทบอยากได้ยาหอมเพราะมึนหัว ไม่นานนักเกี้ยวก็มาถึงห่างจากตำหนักหลายสิบเมตร ทหารในอาภรณ์สีเข้มเข้ามาประชิดตัวทันทีเมื่อร่างของเด็กหนุ่มโผล่ออกมาจากเกี้ยว

“ข้าบัณฑิตหลิว”จื่อฟางเปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงอย่างผู้มีการศึกษา ขยับกายให้เห็นป้ายหยกข้างเอว ทหารจึงยอมปล่อยให้เขาผ่านเข้าไปในตำหนักกุ้ยลี่ เดินเท้าอีกพักใหญ่กว่าจะถึงหน้าตำหนัก องครักษ์ลับที่แต่งตัวคล้ายกับพวกที่มาเฝ้าจวนสกุลเสิ่นปรากฏกายให้เห็น เนื่องจากปกปิดใบหน้ากันทุกคนจึงไม่รู้ว่ามีคนคุ้นหน้าคุ้นตาหรือไม่

“ข้าต้องการพบที่ปรึกษาเกา”เด็กหนุ่มเอ่ย องครักษ์จึงนำเข้าไปรอที่ศาลาด้านนอกไม่อยากให้มีผู้รบกวนฮ่องเต้เจี่ยผิง รอไม่นานร่างสง่าของเกาจวีถังก็มาถึงอย่างเร่งร้อน เจ้าของใบหน้าสุขุมมีดวงตากระจ่างเปิดเผยมีสีหน้าผ่อนคลายเมื่อมองเห็นร่างของสหาย แต่ร่างนั้นดูซูบเซียวจากเดิม คล้ายมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปแต่เกาจวีถังบอกไม่ถูก

“สหายหลิว ท่านทำข้ากลัดกลุ้มยิ่ง ทหารที่ไปตรวจตราวัดซิงเจียวบอกว่าไม่พบร่างของท่าน ข้าคิดว่า…”ที่ปรึกษาไม่พูดออกมาทั้งหมดแต่จื่อฟางเข้าใจประโยคถัดมาของอีกฝ่ายจึงรีบโบกมือ แสร้งลูบหน้าอกบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ เล่นบทอ่อนแอสักเล็กน้อย ร่างกายของหลิวเซียนฟางไม่เหมือนเสิ่นจิ้งเฟยแม้จะได้รับบาดเจ็บแต่ก็ไม่ทำให้นอนซมป่วยไปอีกหลายวัน ได้มีร่างกายอย่างคนปกติแม้จะมีอาการป่วยออดแอดแต่ก็ถือว่าดีแล้ว

เขามองเห็นสายตาตั้งคำถามของที่ปรึกษาเกา จึงบอกเล่าไปตามตรง ยกเว้นเรื่องที่เป็นวิญญาณเข้ามาในร่างนี้  “ข้าได้รับบาดเจ็บหนัก ระหว่างทางได้เจอคนสกุลไป๋ พวกเขาไม่ยอมให้ข้ามาช่วยเหลือองค์รัชทายาท!”จื่อฟางแสร้งเข้าถึงบทบาทบัณฑิตผู้มีใจภักดีต่อรัชทายาทเจี่ยอิงต้าที่พร่ำสอนหนังสืออยู่บ่อยครั้ง แม้ส่วนมากในความทรงจำ รัชทายาทจะไม่ค่อยเชื่อถือบัณฑิตอายุน้อยเท่าไหร่ เจี่ยอิงต้าสนใจเรื่องการทหารมากกว่า ให้ความรู้สึกเหมือนเจี่ยอี้ผู้เคยเป็นองค์ชายใหญ่แต่รัชทายาทมีความฉลาดเฉลียวติดมาด้วย ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะคิดแย่งบัลลังก์ฮ่องเต้เจี่ยผิงเหมือนในนิยายหรือไม่

“ตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่ต้องกังวลไปรัชทายามเจี่ยอิงต้าย่อมปลอดภัย ยามนี้กำลังให้คนนำซูเหลียนฮวามาตรวจดูอาการ”ที่ปรึกษาเกาเอ่ยคำพูดเช่นนี้อยู่หลายคราจนกล่าวออกมาอย่างคล่องปาก ชายหนุ่มวางมือลงบนบ่าของบัณฑิตหลิวเมื่อมองเห็นสีหน้าสับสนของสหาย สมองของจื่อฟางคล้ายกับหมุนติ้ว หรือว่าจะส่งผ่านทางซูเหลียนฮวาจะง่ายกว่า?แต่นางจะได้ออกไปนอกกำแพงฉางอันเมื่อใด เขาตัดสินใจไม่ถูก ที่ปรึกษามองเห็นว่าบัณฑิตหลิวมีท่าทีกระวนกระวายใจจึงเอ่ยถาม

“ท่านมีเรื่องใดในใจหรือ บอกข้ามาเถอะ”ยามนี้เขาไม่มีอะไรทำ ช่างน่าเบื่อหน่ายนัก

“ท่านยังจำคำที่ข้าเอ่ยที่กำแพงเมืองได้หรือไม่ เรื่องของไป๋ผูอวี้ ข้ากลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้ต่อบทกลอนกับเขาอีก น่าเสียดายนัก”จื่อฟางแสร้งส่งเสียงไอค่อกแค่ก ย่นใบหน้าราวกับกำลังเจ็บปวดทรมาน

“บัณฑิตหลิวมิต้องห่วง กองทัพของเราย่อมเอาชนะกบฏได้”ที่ปรึกษาไม่อยากได้ยินคำพูดท้อแท้มาจากอีกฝ่าย อีกทั้งบัณฑิตหลิวไม่เชื่อมั่นในกำลังของราชสำนักตั้งแต่เมื่อใด ดูเหมือนอาการบาดเจ็บจะส่งผลกระทบต่อหลิวเซียนฟาง ร่างผอมเพียงส่ายหน้าไปมา รอยยิ้มจางปรากฏบนใบหน้าเกลี้ยงเกลา

“ข้าเกรงว่าตัวเองจะจากไปก่อนต่างหากเล่า บาดแผลที่ข้าได้รับส่งผลกับร่างกายโดยตรง…”แน่ล่ะ เป็นเรื่องโกหก แต่เวลานี้ต้องยอมทำเพื่อส่งจดหมายฉบับนี้ออกไปให้ได้ เด็กหนุ่มแสร้งตีหน้าเศร้า หยิบผ้าผืนเล็กมาปิดปากส่งเสียงไอค่อกแค่ก

“พูดอะไรอย่างนั้น ท่านยังอยู่ได้อีกนาน”เกาจวีถังตวัดสายตามอง คิ้วขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจกับคำพูดของสหาย กวาดสายตาไปทั่วร่างของบัณฑิตหลิว แม้ว่าเกาจวีถังจะไม่ต้องการคิดในแง่ร้าย แต่อาการป่วยของหลิวเซียนฟางยังไม่ดีขึ้น เวลานี้ยังได้รับบาดเจ็บจากการก่อกบฏอีก

“บาดแผลของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“เบาแล้ว แต่ก็ต้องทานยาสมุนไพรไปเรื่อยๆ”ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ จื่อฟางได้แต่เล่นละครให้แนบเนียน

“ดีนัก”เกาจวีถังตบหลังของบัณฑิตหลิว มองออกว่าอีกฝ่ายต้องการร้องขออะไรบางอย่าง

“ที่ปรึกษาเกา ถือว่าทำเพื่อข้าเถอะ ส่งจดหมายฉบับนี้ออกไปให้รองแม่ทัพไป๋ที่นอกกำแพงได้หรือไม่”เด็กหนุ่มหยิบจดหมายออกมาจากอกเสื้อด้วยมือที่จงใจทำให้สั่นเทา

“ย่อมได้ ข้าจะส่งองครักษ์ออกไป”สุดท้ายก็เอ่ยออกมาเช่นนี้เพราะเห็นท่าทางน่าเวทนาของหลิวเซียนฟาง

“ขอบคุณมาก ข้าเข้าไปเยี่ยมดูรัชทายาทได้หรือไม่”จื่อฟางไม่อยากข้องเกี่ยวกับฮ่องเต้เจี่ยผิง แต่ตอนนี้ยังต้องเล่นบทของหลิวเซียนฟางต่อไป เขาเป็นอาจารย์สอนหนังสือแก่เจี่ยอิงต้าหากไม่เอ่ยถึงเลยเกรงว่าจะน่าสงสัย

“รอสักครู่”ที่ปรึกษาเกานำความไปทูลฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ในห้อง เมื่อเจ้าแผ่นดินอนุญาติจื่อฟางก็เดินก้มหน้าก้มตาเข้าไป สิ่งแรกที่ได้กลิ่นคือยาสมุนไพรที่ฟุ้งปะทะกับจมูกจนแทบหายใจไม่ออก หมอหลวงยังคงอยู่ด้านในฉากกั้น ตรวจดูอาการขององค์รัชทายาทตลอดเวลา เด็กหนุ่มไม่กล้าแม้แต่เหลือบมองฮ่องเต้เจี่ยผิง รีบคุกเข่าถวายบังคม

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”เขาได้แต่จ้องมองชายเสื้อคลุมของร่างตรงหน้า

“บัณฑิตหลิว เราได้ยินว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ อาการเป็นอย่างไรแล้วบ้าง”ฮ่องเต้เจี่ยผิงเพียงเอ่ยถามเพราะไม่อยากคิดเหม่อลอยฟุ้งซ่าน

“กระหม่อมดีขึ้นเป็นลำดับพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมาเยี่ยมองค์รัชทายาท…”จื่อฟางเอ่ยตอบด้วยจิตใจสั่นไหว เป็นครั้งแรกที่ได้พบอีกฝ่ายในฐานะเจ้าแผ่นดินและข้ารับใช้ ในใจจึงหวาดกลัว ฮ่องเต้ในยามนี้ช่างแตกต่างยามที่พูดจากับเขาในร่างของเสิ่นจิ้งเฟยทำเด็กหนุ่มอกสั่นขวัญหายไปหมด รับรู้ว่าฝามือชื้นไปด้วยเหงื่อเมื่อมองเห็นร่างของเจ้าแผ่นดินลุกเดินมาหยุดที่เบื้องหน้า

“เราสั่งให้เจ้าดูแลรัชทายาทและฮองเฮาให้ดี เหตุใดเจ้าถึงปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้”ฮ่องเต้เจี่ยผิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่กระแสเย็นเยียบที่รู้สึกยิ่งทำให้จื่อฟางหวั่นวิตก เหตุใดท่านมาพาลใส่ข้าเล่า?

“กระหม่อม…”ต้องพูดว่าอะไรนะ แต่ก่อนฮ่องเต้เจี่ยผิงไม่ได้กล่าววาจากับเขาอย่างเป็นทางการ พอเป็นเช่นนี้สมองก็คล้ายกับว่างเปล่า “กระหม่อมยินดีรับโทษที่ไม่สามารถช่วยเหลือองค์รัชทายาท…”

 “ฝ่าบาท บัณฑิตหลิวจะทำอะไรได้”ที่ปรึกษาเกาเอ่ยขัดเมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงในเวลานี้ยังคงอารมณ์ไม่คงที่ จื่อฟางได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ เหลือบมองไปทางฉากกั้นครู่หนึ่งแต่ก็มองไม่เห็นสิ่งใด นอกจากเสียงหมอหลวงพูดคุยกันอย่างตึงเครียด   

“ช่างเถิด”ฮ่องเต้สะบัดชายเสื้อนั่งลงที่ตั่งอีกครั้ง พยายามระงับอารมณ์ที่คุกรุ่น จื่อฟางได้แต่นั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งผู้เป็นฮ่องเต้ได้ออกปากเอ่ยชวนเขาและที่ปรึกษาเกาออกไปเดินเล่นที่สวนด้านนอก เขาซ่อนความยินดีออกนอกหน้าไว้เพราะในห้องแห่งนี้เหม็นกลิ่นสมุนไพรยิ่งนัก หากให้อยู่นานกว่านี้คงเป็นลม

สวนในตำหนักกุ้ยลี่ไม่ใหญ่โตมากนัก ไม่มีดอกไม้ใดให้ชมเนื่องจากเป็นเดือนแปด คิมหันต์ฤดู อากาศจึงร้อนยิ่ง เห็นเพียงดอกบัวบานเต็มสระน้ำช่วยให้เย็นตาได้บ้าง จื่อฟางหยิบผ้าผืนเล็กมาซับหน้าระหว่างที่เดินตามฮ่องเต้ เขาคิดไว้แล้วหากบ้านเมืองสงบ เขาจะลาออกจากราชสำนัก ที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับเขา

“บัณฑิตหลิว เห็นด้วยหรือไม่…”เสียงของฮ่องเต้ลอยมาตามสายลม จื่อฟางถึงได้รู้ตัวว่าเหม่อลอยไปนาน

“ฝ่าบาทว่ากระไรนะพ่ะย่ะค่ะ”เด็กหนุ่มได้เผลอไผลย้อนถาม จนร่างที่เดินนำอยู่เบื้องหน้าหยุดชะงัก หมุนกายมองด้วยดวงตาที่คาดเดาไม่ออก ที่ปรึกษาเกาจ้องมองสหายด้วยสายตาครุ่นคิด หาได้ยากที่หลิวเซียนฟางจะไม่อยู่กับร่องกับรอย

“เราคิดว่าท่านยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บ”อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้จะหงุดหงิดอยู่มากที่บัณฑิตหลิวไม่เป็นตัวเอง แต่ก็พอเข้าใจได้ สถานการณ์บ้านเมืองในยามนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้คน

“กระหม่อม…”

“เอาเถิด เราไม่ถือสา”เจี่ยผิงกล่าวซ้ำ มองเห็นสีหน้าตื่นตกใจของบัณฑิตหลิวก็มุ่นคิ้ว คนผู้นี้เคยทำสีหน้าเช่นนี้ด้วยหรือ เหตุใดถึงคุ้นตานัก?

“ฝ่าบาท!”ร่างของเส้ากงกงปรี่มาหา

“เกิดอะไรขึ้น”เจี่ยผิงกังวลถึงรัชทายาทที่อยู่ด้านในทันที

“กองกำลังของช่างอิ่นถอนทัพกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”สิ้นเสียงของขันทีใหญ่ก็เกิดความเงียบ จื่อฟางนิ่งงันไปอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าเจี่ยอี้คนนั้นจะยอมถอยทัพ แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่าคนผู้นั้นไม่มีทางวางมือโดยง่าย ในเมื่อยามนี้ไม่เห็นหนทางชนะย่อมต้องกลับไปตั้งหลัก หากดื้อดึงจุดจบคงไม่สวยงาม ฮ่องเต้เจี่ยผิงได้แต่แหงนหน้ามองท้องฟ้ากระจ่างพร้อมหัวเราะเบา ๆ

“ดูเหมือนช่างอิ่นจะยอมผ่อนปรน เขายืดหยุ่นกว่าแต่ก่อนนัก”ชายหนุ่มเอ่ยพึมพำ ขันทีใหญ่ค้อมกายส่งสารน์ให้กับร่างเบื้องหน้าด้วยความนอบน้อม

“นี่เป็นสารน์จากรองแม่ทัพไป๋พ่ะย่ะค่ะ”คำพูดนั้นเรียกความสนใจจากจื่อฟาง พยายามไม่แสดงสีหน้าใดออกมาฮ่องเต้เจี่ยผิงกวาดสายตาอ่านสารน์ในมือด้วยสีหน้าสงบเนื้อความบอกว่ารองแม่ทัพไป๋ปราบกบฏที่เมืองเสียนหยางได้หมดสิ้น หลิวอ๋องเจี่ยซินตายแล้ว ชายหนุ่มจ้องมองสารน์อยู่ครู่หนึ่งความรู้สึกบางอย่างก่อตัวอยู่ในอก เจี่ยซินไปแล้วจากนี้ก็เหลือเพียงแค่ช่างอิ่น ฮ่องเต้หยักยิ้มไร้ความรู้สึกพับจดหมายเก็บอย่างประณีต

“เช่นนั้นให้กองทัพปักหลักอยู่นอกกำแพงเมืองอีกหนึ่งเดือนเพื่อดูท่าทีว่าช่างอิ่นถอยทัพจริงหรือไม่ จากนั้นค่อยเรียกทัพกลับมา”เจี่ยผิงรับรู้ อาการหนักอึ้งที่แยกรับไว้เบาลง แม้ช่างอิ่นจะยอมถอยในตอนนี้ แต่ในภายภาคหน้าคนผู้นั้นย่อมกลับมาเอาคืน การศึกที่นอกกำแพง ช่างอิ่นไม่ได้เป็นผู้นำทัพด้วยซ้ำ

‘เจี่ยอี้ เหตุใดท่านตายยากตายเย็นนัก’



--------------------------------

ตอนหน้าจบแล้วนะคะ แล้วก็ลงตอนพิเศษ :กอด1: เรื่องของทางไป๋อี้เสวี่ยจะกล่าวถึงเล็กๆน้อย ๆ
แล้วค่อยไปเจอกันที่พาร์ทสอง(จะไม่วุ่นวายเท่านี้แล้ววว)

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-02-2019 22:05:04 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พาร์ทแรกจะจบแล้ว ยิ่งใกล้จบยิ่งลุ้นไปอีก รอตอนหน้าค่ะ จะขยันเริ่มเก็บเงินรอเล่มแล้ว  :z2:

ออฟไลน์ ikou

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
สนุกและลุ้นทุกบรรทัดเลยยยย ชอบมากขึ้นไปอีกกก ตอนนี้คุณไป๋ไม่ได้ออกมาเลย จ่ายค่าตัวให้สำหรับตอนหน้าได้ไหมคะ คิดถึงงง ดีใจที่จื่อฟางกลับมาแล้ว ส่วนบัณฑิตหลิวน่าจะไปอยู่ในร่างนู้นคู่กับไป๋อีกคนหรือเปล่านะ ลุ้นมากค่ะ ตื่นเต้นนน  :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2019 01:23:20 โดย Snowermyhae »

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
คืดถึงท่านรองแม่ทัพ
รอตอนหน้าค่ะ

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
อ๋อออออ   แบบนี้นี่เอง โอ้ยคุณนักเขียน

ออฟไลน์ ciaiw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 57
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กลับมาเร็วๆนะท่อนไม้ไป๋
คิดถึงมาก

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อยากใก้ถึงตอนหน้าไวๆ  :hao3:

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พาร์ทแรกจะจบแล้ว ยิ่งใกล้จบยิ่งลุ้นไปอีก รอตอนหน้าค่ะ จะขยันเริ่มเก็บเงินรอเล่มแล้ว  :z2:

ออฟไลน์ Ramnoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
กรี๊ดดดด เดาถูกด้วย จื่อฟางสลับร่างกับหลิวเซียนฟาง

ท่อนไม้ไป๋รีบมาเร็วๆ หยางชวีด้วย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sasa

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1008
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
รอเขาสองคนเจอกัน ภรรยากลับมาแล้ว!!!

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ลุ้นนนนน............ ให้จดหมายถึงมือไป๋ไวๆ   :z3:
ให้จื่อฟาง เจอไป๋ ซักที   :-[
ไป๋ผูอวี้  จื่อฟาง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4:  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Chaiyabut26

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกแบบมันหยุดอ่านไม่ได้เลยค่ะ อ่านรวดเดียวถึงตอนล่าสุดละ ลุ้นมากตอนจื่อฟางกลับมาเป็นท่าบัณฑิตหลิว คนเขียนแบบเก่งอ่ะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:เนื้อเรื่องสำหรับเราลวตัวไปหมดลง ไม่ขัดใจวักตอนเลยคิดดู แม้กระทั่งคำผิดยังน้อยมาก แงง เป็นกำลังใจให้น้าา :กอด1:

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4

บทยี่สิบแปด:สู่บทเริ่มต้น(2)





จื่อฟางยังมีเรื่องของหลิวเซียนฟางที่ต้องจัดการ จึงกลับไปอาศัยอยู่ที่เรือนของบัณฑิตหลิว เขาได้ซื้อตัวบ่าวไพร่มาสิบสามคนเป็นสาวใช้ห้าคนไว้คอยดูแลงานบ้าน คนหนึ่งเป็นพ่อบ้านแซ่เฟิงไว้ทำอาหาร คนรับใช้ข้างกายชื่ออาฉีและสือโม่ ผ่านมาสามวันยังไม่ได้ข่าวคราวจากไป๋ผูอวี้ เขาไม่รู้ว่าที่ปรึกษาเกาให้คนเอาจดหมายไปส่งหรือยัง แต่มีข่าวจากในวังหลวงว่าองค์รัชทายาทพระอาการดีขึ้นตามลำดับเพราะยาของซูเหลียนฮวา เขายังไม่มีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมเพราะกลัวว่าฮ่องเต้จะยังมีโทสะเรื่องที่ไม่ดูแลฮองเฮาและรัชทายาท บทบัณฑิตหลิวจึงไม่ค่อยได้เล่นนักเพราะช่วงเดือนที่ผ่านมาเขาเก็บตัวอยู่ในเรือน นำข้ออ้างเรื่องสุขภาพมาใช้จึงไม่ต้องไปร่วมถกปัญหากับสภาบัณฑิตที่กำลังเคร่งเครียด

วันเวลาเอ้อระเหยของจื่อฟางหมดลงเพราะวันรุ่งขึ้นฮ่องเต้เจี่ยผิงเรียกเขาเข้าเฝ้า ความจริงมิใช่แค่เขาแต่มีที่ปรึกษาเกาและบรรดาสมาชิกบัณฑิตบางส่วนคาดว่าต้องการถกเรื่องการสอบเคอจวี จื่อฟางจึงเปลี่ยนสวมชุดสีเทาเข้ม สวมหมวกบัณฑิต ใช้พัดนกกระเรียนสร้างภาพสุขุมน่าเชื่อถือให้กับตนเอง ออกมาขึ้นเกี้ยวที่รออยู่นอกประตู สือโม่เป็นบ่าวทำหน้าที่ติดตามเข้าไปในวังหลวง

ระหว่างนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าท้องพระโรง จื่อฟางก็นึกไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ฉางอันเริ่มเข้าร่องเข้ารอย ฮ่องเต้เริ่มทำการล้างไพ่ราชสำนัก ยุบตำแหน่งอัครเสานาบดี เหลือเพียงสามฝ่าย หกกรม เสนาบดีทั้งหกขึ้นตรงต่อองค์ฮ่องเต้ เหตุการณ์กบฏทำให้อ๋องครองแคว้นไม่สามารถคุมกำลังทหารโดยตรงได้อีกแต่ยังสามารถปกครองเมืองในแคว้นได้โดยที่อำนาจขึ้นกับราชสำนักส่วนกลาง

ส่วนสกุลหลี่ถูกตัดสินประหารชีวิตทั้งหมด ยกเว้นหลี่ฮุ่ยจือที่ได้รับการยกเว้น คุณชายหื่นกามผู้นั้นถูกส่งไปใช้แรงงานที่เมืองห่างไกลชื่อเวินโจว จื่อฟางได้แต่สงสารเห็นใจ ไม่รู้ว่าจะออกปากช่วยอย่างไร ฐานะของเขาในตอนนี้คงไม่สามารถทำได้ แม้ว่าจะเป็นปั๋วซื่อ แต่รัชทายาทยังเจ็บป่วยก็ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะพอใจตนนัก ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เขาไม่อยากเป็นอาจารย์สอนเจี่ยอิงต้า ไม่อยากไปเข้าใกล้คนสกุลเจี่ยอีก

เกี้ยวหยุดลงเมื่อถึงทางเข้าประตูข้าง มาถึงท้องพระโรงถือป้ายหยกที่บอกตำแหน่งอย่างนอบน้อม ยืนรวมกับที่ปรึกษาเกาและสมาชิกบัณฑิตอีกยี่สิบกว่าคน นอกจากนั้นยังมีเหล่าเสนาบดีทั้งหลาย ไม่นานหลังจากนั้นฮ่องเต้เจี่ยผิงก็ก้าวขึ้นบัลลังก์สายตากวาดมองขุนนางและบัณฑิตน้อยใหญ่ผ่านม่านมาลาบนหมวกว่าราชการ เหล่าขุนนางยืนอยู่คนละฝั่งกับสภาบัณฑิตที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมบ่อยนัก เพราะคณะบัณฑิตมีเกาจวีถังเข้าร่วมท้องพระโรงอยู่แล้ว แต่ยามนี้สีหน้าไม่พอใจปรากฏอยู่ทั้งสองฝ่าย  เจี่ยผิงขมวดคิ้วอย่างนึกรำคาญกับการโต้วาจาอย่างสุภาพแต่แฝงแววจิกกัดของเหล่าบัณฑิต สายตาของฮ่องเต้หนุ่มตกอยู่ที่บัณฑิตหลิวที่ดูคล้ายเหมือนคนง่วงนอนและไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยเท่าไหร่นัก

“ฝ่าบาท ยามนี้การศึกยังไม่แน่นอน ยังจัดการกับพวกชนเผ่านอกด่านไม่หมด กระหม่อมคิดว่าควรเร่งสนับสนุนกองทัพมากกว่าเรื่องการสอบเคอจวี่ กระหม่อมคิดว่ายามนี้ราชสำนักต้องการทหารมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ”ขุนนางผู้หนึ่งถือป้ายงาช้างค้อมกายเอ่ยขึ้น ที่ปรึกษาเกาได้ยินแล้วก็ปรายตามองอย่างไม่พอใจนัก

“ครั้งก่อนท่านก็พูดเช่นนี้ อิดออดนักหรือพวกท่านกลัวว่าจะเสียผลประโยชน์”เกาจวีถังเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว รู้สึกรำคาญกับการกล่าววาจาอ้อมค้อมของพวกขุนนางเช่นกัน

“ที่ปรึกษาเกา ระวังวาจาด้วย”เสนาบดีฉินกรมขุนนางกล่าวเสียงเข้ม จื่อฟางกวาดตามองเหล่าขุนนางขั้นสองไปถึงขั้นสี่ที่เข้าร่วมประชุม มองไปที่เสิ่นมู่หยางโดยไม่ตั้งใจ คนผู้นั้นร่างกายผ่ายผอมกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นและดูเหมือนจะยืนไม่ค่อยถนัด เหมือนจะจำได้ว่าเสนาบดีผู้นี้ได้รับบาดเจ็บที่ขา ร่างของขุนนางใหญ่ขยับชายเสื้อราวกับรับรู้ถึงสายตาจ้องมองของเด็กหนุ่ม จึงตวัดมองจื่อฟางด้วยสายตากดดัน

“บัณฑิตหลิวมีความคิดเห็นอย่างไรหรือ”เสิ่นมู่หยางเอ่ยถามบ้าง ลอบมองไปยังทางบัลลังก์มังกรเมื่อเห็นว่าฮ่องเต้มิได้คัดค้านที่ตนกล่าวแทรกก็เบาใจ

“กระหม่อมเห็นด้วยว่าการทหารสำคัญ”เด็กหนุ่มเอ่ยทำให้บัณฑิตที่เหลือมองอย่างไม่ยากเชื่อหู เขาจึงยกยิ้ม “แต่ที่เราพูดกันอยู่คือเรื่องการแก้ระบอบการสอบ บัณฑิตก็สำคัญเช่นกัน ขุนนางอย่างเราๆต่างก็ต้องผ่านการสอบเคอจวีกันทุกคน แต่ไม่น่าแปลกใจหรือเหตุใดราชสำนักถึงเป็นเช่นนี้ บัณฑิตบางส่วนที่มีความรู้บางคนไม่สามารถผ่านการสอบเข้ามาได้เพราะการทุจริตเล่นเส้นสายของขุนนางกังฉิน การรื้อแก้ปรับระบบตั้งแต่ต้นถือเป็นเรื่องดี

ตามที่กระหม่อมเห็นมีบรรดาขุนนางที่ใช้เส้นสายเพื่อให้บุตรธิดาเครือญาติสอบผ่าน หากสอบบัณฑิตยังมีการคดโกงตั้งแต่เริ่ม แล้วจะเป็นขุนนางที่ดีได้อย่างไร หากขุนนางไม่ดีราชสำนักย่อมไม่ดี เช่นนี้ก็รับใช้องค์ฮ่องเต้มิได้แล้ว หากไม่เริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตอนนี้ อีกกี่ปีจะได้เริ่มต้นเล่า”จื่อฟางค้อมกายอย่างสุภาพ กล่าวไปอย่างที่ใจคิดแต่เพียงใช้น้ำเสียงสภาพน่าเชื่อถือ เขาไม่รู้เรื่องราวพวกนี้มากนักแต่คิดว่าคงทำไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดถึงอย่างไรก็มีขุนนางที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้

“ทูลฝ่าบาทกระหม่อมคิดว่าควรรีบเร่งแก้ปัญหาส่วนนี้ ไม่เช่นนั้นราชสำนักของเราจะวนเวียนอยู่เช่นนี้ พระองค์อยากได้ขุนนางแบบใด กระหม่อมคิดว่าหากยังไม่สามารถปรับได้ทั้งหมดก็ค่อยเป็นค่อยไปพ่ะย่ะค่ะ”บัณฑิตหลิวที่มักจะไม่ค่อยออกโรงกล่าวขึ้น ที่ปรึกษาเกาหยักยิ้ม แม้แปลกใจแต่ก็กล่าวเสริมสหาย

“กระหม่อมเห็นด้วยกับที่บัณฑิตหลิวกล่าวทุกประการ ฝ่าบาทไตร่ตรองให้ดีเถิดพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อหัวหน้าคณะบัณฑิตส่งเสียงสนับสนุน สมาชิกบัณฑิตที่เหลือก็ร่วมส่งเสียงด้วย ขุนนางอีกฝั่งรีบส่งเสียงแย้งเป็นที่วุ่นวาย ฮ่องเต้เจี่ยผิงนั่งตัวตรง คิ้วขมวดมุ่น

“เงียบ”ชายหนุ่มกล่าวเสียงดังรู้สึกว่าอ่อนเพลียยิ่ง พักนี้...ไม่สิต้องบอกว่าตั้งแต่เกิดเรื่องเสิ่นจิ้งเฟยและการศึกเขาก็ไม่เคยนอนหลับได้สบายนัก

“เราเห็นด้วยกับบัณฑิตหลิว จัดการตามนั้น”เดิมทีเขาก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ยังมีขุนนางที่ไม่สนับสนุน เหตุผลล้วนเดาง่าย หากปรับการสอบเคอจวีให้ตรวจสอบได้ย่อมทำให้ขุนนางที่ต้องการผลักดันบุตรหลานโดยใช้เส้นสายตกที่นั่งลำบาก

“หัวหน้าคณะบัณฑิตเการ่างหนังสือปรับแก้ข้อการสอบเคอจวีมาให้เราพิจารณาแต่หากทำไม่ได้จริง ก็ย่อมต้องพักไว้ก่อน พวกท่านทั้งหลายคงทราบดีว่าไม่สามารถทำได้โดยง่าย”ฮ่องเต้กล่าวช้า ๆ เรื่องนี้อย่างไรย่อมมีผู้ที่ไม่ต้องการให้ขุดคุ้ย ชายหนุ่มทำได้เพียงลอบส่งสายตาเตือนให้เกาจวีถังและบัณฑิตหลิว แม้จะยังขุ่นเคืองหลิวเซียนฟางแต่รัชทายาทอาการดีขึ้นมากจึงไม่อยากเก็บมาใส่ใจ

เจี่ยผิงรู้สึกว่าเหนื่อย หรือว่าตนจะเริ่มแก่เสียแล้ว

“จบการหารือเพียงเท่านี้”ชายหนุ่มถอนหายใจ ไม่รอช้ารีบก้าวลงจากราชบัลลังก์ออกทางประตูข้างทันที เหล่าขุนนางและบัณฑิตต่างก็พากันหมอบถวายบังคม เมื่อเงาร่างของเจ้าแผ่นดินพ้นสายตาก็พากันออกมาจากราชสำนัก

ฮ่องเต้เจี่ยผิงเดินไปตามเฉลียงทางเดิน เห็นว่าเฮ่อเจ๋อและองครักษ์ลับคนใหม่ก้าวตามาเงียบๆ ชายหนุ่มปรายตามอง ส่งเสียงถามเบาๆ

“สืบทราบหรือยังว่าเสิ่นจิ้งเฟยไปที่ใด”

“จากการตรวจสอบเส้นทางรถม้าศึก น่าจะมุ่งหน้าไปยังเขตภูเขา...กระหม่อมไม่แน่ใจนัก”เฮ่อเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ในใจหวาดหวั่นว่าจะถูกเจ้าแผ่นดินบันดาลโทะ ชายหนุ่มคงทำเช่นนั้นแต่ก้าวเดินต่อได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกวิงเวียน หากไม่ได้องครักษ์เข้ามาพยุงร่างก็คงล้มลงแล้ว

“ฝ่าบาท!”องครักษ์คนสนิทตั้งใจจะร้องเรียกหาหมอหลวงแต่บุรุษหนุ่มรีบยกมือห้าม ใช้สายตาราบเรียบมองเส้ากงกง

“อย่าแตกตื่น เส้ากงกงตามหมอหลวงมาเงียบ ๆอย่าให้ผู้ใดทราบเด็ดขาด”แม้ยามนี้สถานการณ์ในราชสำนักจะไม่ดุเดือดดั่งสนามรบ กำจัดพวกที่คิดล้มบัลลังก์เขาไปได้หมดสิ้นแต่เจี่ยผิงยังไม่วางใจ จึงไม่อยากให้มีผู้ใดนำเรื่องสุขภาพของตนมาเป็นช่องเล่นงาน

“พ่ะย่ะค่ะ”เส้ากงกงค้อมกายออกไปด้วยสีหน้ากังวลแต่ก็รีบซ่อนไว้ราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เจี่ยผิงไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพียงก้าวเดินต่อ คิดกับตนเองว่าเพราะนอนไม่ค่อยหลับจากความเครียดร่างกายจึงเป็นเช่นนี้ บางทีเขาควรปล่อยวางเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟย แต่ความคิดนี้กลับทำให้หายใจไม่สะดวก เขาไม่ต้องการนำตัวเสิ่นจิ้งเฟยกลับมา หากทำเช่นนั้นเสิ่นจิ้งเฟยก็คงไม่อยากพบหน้าเขาไปทั้งชีวิต กระทั้งตอนนี้ เพียงแค่รู้ว่าคนผู้นั้นยังมีชีวิตเขาก็ดีใจ แต่ชายหนุ่มอยากไปพบหน้าสักครั้ง

“พวกเจ้าเคยจับผีเสื้อใส่ขวดหรือไม่ เพราะมันสวยงามมากจึงไม่อาจตัดใจปล่อยไป แรกๆมันก็บินไปที่ใดไม่ได้ จากนั้นไม่นานมันก็ใกล้ตาย เราจึงปล่อยมัน แต่ในใจยังห่วงหายิ่งนัก หากเป็นพวกเจ้าจะทำเช่นไร”เจี่ยผิงเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงเอื่อยเชื่อย  เฮ่อเจ๋อไม่ได้ตอบกล่าวเพียงแค่ก้มหน้าเดินตามเจ้าแผ่นดินเงียบ ๆ รู้ดีว่าฝ่าบาทเอ่ยถึงผู้ใด แต่องครักษ์ลับหน้าใหม่กลับเอ่ยตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าไม่ควรจับมันมาแต่แรก”

ฮ่องเต้เจี่ยผิงหยุดชะงัก “นั้นสินะ แต่หากไม่จับ มันก็บินไปที่อื่นสิ”เขายังมีใจถามต่อ

“ผีเสื้อไม่ใช่สัตว์เลี้ยง กระหม่อมเชื่อว่าสิ่งใดที่มิใช่ของเราย่อมไม่ใช่ แต่หากว่าสิ่งนั้นใช่ อย่างไรก็ต้องกลับมาหาพ่ะย่ะค่ะ”

“อย่างนั้นรึ เจ้าคิดง่ายนัก”เจี่ยผิงไม่ได้เอ่ยถามต่อ ก้าวขึ้นราชรถกลับไปยังตำหนักของตน                                                                                                   

~•~


คำสั่งของฮ่องเต้เจี่ยผิงถูกป่าวประกาศไปทั้งกองทัพ พลทหารจึงปักหลักอยู่ที่นอกกำแพงเมืองฉางอันเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้น แม้ว่าทัพชนเผ่านอกด่านของช่างอิ่นจะถอยทัพกลับไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ขุนพลทหารสบายใจแม้แต่น้อย พวกเขาต่างรู้ดีว่าเป็นเพียงการถอยไปตั้งหลักเท่านั้น เขตแดนชาวหูอยู่นอกชายแดนการบุกไปยังแถบนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเพราะในตอนนี้มีกำลังทหารได้รับบาดเจ็บ ฮ่องเต้เจี่ยผิงจึงประกาศราชโองการคัดเลือกทหารเพื่อรับการศึก

ไป๋ผูอวี้นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ด้วยท่าทางสงบ เสียงขลุ่ยเป็นทำนองบาดลึกดังก้องไปทั่วบริเวณค่ายทหาร จิตใจของผู้เป่าล่องลอยไปหาคนที่อยู่ห่างไกลออกไป ห่างจนไม่สามารถได้ยินบทเพลงนี้ ไป๋ผูอวี้สวมใส่ชุดตัวยาวสีน้ำตาลเข้ม ท่วงท่าของคุณชายไป๋ผู้สุขุมไม่หลงเหลืออยู่ เสียงเป่าขลุ่ยที่ดังลอยมาตามสายลมต่างก็สร้างความแปลกใจให้แก่เหล่าพลทหารยิ่งนัก ยามไม่มีการศึก พวกเขาอยู่ว่างๆก็ยิงธนู ปาเป้า ไม่มีพลทหารผู้ใดเล่นดนตรี แต่เดิมพวกเขาก็ไม่ได้มาจากชนชั้นที่ใช้ความรู้ พอเจอกับรองแม่ทัพไป๋ที่ถนัดศิลปะชงชาและการดนตรีก็ลอบชื่นชมแม้จะมีบางส่วนจะไม่ชอบใจกับตำแหน่งรองแม่ทัพของไป๋ผูอวี้ ยิ่งสกุลไป๋นำกำลังเข้าช่วยเหลือเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองหลวงกระแสข่าวลือ‘คนโปรด’ของฮ่องเต้ก็แพร่สะพัดมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่รองแม่ทัพกลับทำหูทวนลม ไม่สนใจกับข่าวลือใด

ไป๋ผูอวี้ลืมตา ลดขลุ่ยลงเมื่อได้ยินเสียงควบม้าดังแว่วมาตามสายลม ชายหนุ่มหรี่ตามองผ่านแสงแดดแรงจ้ามองเห็นร่างของทหารนายหนึ่งควบอาชามาหยุดอยู่ที่หน้าค่าย ทหารผู้นั้นรีบพลิกกายลงจากหลังม้า สาวเท้าตรงมาหาไป๋ผูอวี้ ชายหนุ่มจึงยืนขึ้น คิดว่าสงสัยว่ามีเรื่องใดอีก เมื่อสามวันก่อนมีสารน์ด่วนจากองค์ฮ่องเต้มีคำสั่งให้นำตัวซูเหลียนฮวากลับไปในเมืองหลวงเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของรัชทายาทเจี่ยอิงต้า

 “ท่านรองแม่ทัพ มีจดหมายจากเมืองหลวงขอรับ”ทหารตรงหน้านำจดหมายส่งให้ชายหนุ่ม เขารับมาถือ หากเป็นจดหมายธรรมดาย่อมไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ฝามือหนาชะงักระหว่างที่กำลังคลี่จดหมาย เขาตวัดสายตาคมดุมองทหารที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าบอกกลายๆว่าให้ออกไป นายทหารรีบทำความเคารพหมุนตัวออกมาจากใต้ร่มไม้ด้วยใจที่เต้นผิดจังหวะสายตาของรองแม่ทัพไป๋ช่างชวนหนาวสั่นไปถึงกระดูก ไป๋ผูอวี้ยกยิ้ม ส่ายศีรษะ กลับมาสนใจจดหมายที่ได้รับ จดหมายดังกล่าวถูกพับมาสองชั้น ชายหนุ่มได้แต่เลิกคิ้วสงสัยว่าผู้ใดส่งมา

เมื่อคลี่เปิดออกก็มองเห็นตัวอักษรเรียงรายตรงหน้า เป็นตัวอักษรอันคุ้นตา ท่วงจังหวะการเขียนลื่นไหล กวาดตาอ่านจนจบชายหนุ่มก็ต้องใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ในการประมวลผล จดหมายจากจื่อฟาง...เป็นไปได้หรือ?ในอกบีบรัดไปด้วยความหวัง ไป๋ผูอวี้มองเห็นภาพวาดด้วยลายเส้นแปลกตาและตัวอักษรประหลาดลากเลื้อยที่ตนเคยเห็นมาก่อน เขาจึงรีบหยิบพัดกระดาษที่ห้อยอยู่ข้างเอวออกมาคลี่เปิดเพื่อเทียบตัวอักษร มือสั่นเล็กน้อยเมื่อพบว่าเป็นอักษรชุดเดียวกัน

ตึกตัก ตึกตัก

ใจของเขาเต้นแรงเสียจนคิดว่าจะกระเด็นออกมา จากจื่อฟางภรรยาที่กลับมาแล้วของท่าน ถ้อยคำบนจดหมายทำให้เขาท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกที่กักกั้นมานานหลายเดือน จื่อฟางกลับมาแล้ว? กลับมาแล้วจริง ๆน่ะเหรอ เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เป็นไปได้จริงๆน่ะหรือ เสิ่นจิ้งเฟยบอกว่าจื่อฟางกลับไปยังบ้านเกิด ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นแล้วจะกลับมาได้อย่างไร เขาอ่านทวนจดหมายอยู่หลายรอบ ถ้อยคำในจดหมายเอ่ยถึงเรื่องราวเก่าๆ ลูกไหน ท่อนไม้ไป๋ ไป๋ผูอวี้พับจดหมายเก็บทอดสายตามองไปยังกำแพงเมืองฉางอันที่เห็นอยู่ไกล ๆ ถ้าหากว่านี่เป็นเรื่องจริง จื่อฟางอยู่ที่เบื้องหลังกำแพงนั่น

เว่ยหลงนั่งสนทนาพาทีกับขุนพลด้านนอกมองเห็นคุณชายไป๋ยืนเหม่อมองไปทางกำแพงเมืองด้วยสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน สีหน้าเช่นนั้นของคุณชายทำให้ผู้ติดตามลุกเดินเข้าไปหาทันที

“รองแม่ทัพไป๋...”ชายหนุ่มเอ่ยเรียกพร้อมกับก้าวเข้าไปใกล้อย่างนึกเป็นห่วง คุณชายของเขาเป็นอะไรไปอีกแล้ว?

“เว่ยหลง ข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการในเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน เจ้าตรวจตราความเรียบร้อยอยู่ที่นี่ แล้วข้าจะรีบกลับ”คำพูดของไป๋ผูอวี้ออกมาคล้ายคนเลื่อนลอย ใจส่วนหนึ่งอยู่ที่อีกฝั่งของกำแพงเมืองเรียบร้อยแล้ว เขารู้ดีว่าตนเป็นรองแม่ทัพไม่ควรทำเรื่องที่ไร้ความรับผิดชอบ แต่ความต้องการพบจื่อฟางมีมากเสียจนห้ามไม่ได้ เขาต้องไปดูให้เห็นด้วยตาถึงจะเชื่อว่าคือจื่อฟางจริง จื่อฟางของเขาที่มีร่างกายเป็นของตัวเอง ภาพวาดผืนนั้นคล้ายกับเด่นชัดอยู่ในใจ

“ว่าอะไรนะขอรับ ไยต้องไปเมืองหลวง เกิดเรื่องใดกับสกุลไป๋งั้นหรือ”เว่ยหลงยังคงมึนงง รีบเดินตามร่างสูงของคุณชายตรงหน้า ในเมืองหลวงมีเรื่องด่วนใดต้องจัดการอีก ไป๋ผูอวี้ไม่มีเวลาอธิบาย นำร่างแกร่งไปที่โรงม้าเมื่อมาถึงก็ลูบอาชาสีดำเข้มเป็นการทักทายก่อนที่ร่างของรองแม่ทัพจะพลิกกายขึ้นนั่งบนหลังอาชาอย่างคล่องแคล่ว

“ท่านรองแม่ทัพจะไปที่ใด”เว่ยหลงอ้าปากค้าง ไม่เคยเห็นคุณชายไป๋เป็นเช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่จื่อฟางไม่อยู่คุณชายก็กลายเป็นคนไม่กระตือรือรือร้นจะทำเรื่องใดนอกจากการศึก

“เมืองหลวง ฝากเจ้าบอกแม่ทัพเมิ่งด้วย หากเขามีปัญหาค่อยคุยกับข้าทีหลัง”ชายหนุ่มกล่าวจบก็เอาเท้ากระทุ้งไปที่ท้องม้าให้ออกวิ่งทันที

“คุณชาย…”เว่ยหลงได้แต่มองตามอย่างอับจนคำพูด ขุนพลที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน รองแม่ทัพพูดน้อยคำผู้นั้นเร่งรีบไปในเมืองหลวงด้วยเหตุผลใดกัน ทั้งยังไม่บอกกล่าวกับแม่ทัพเมิ่งก่อนอีก คนผู้นั้นเสียสติไปแล้วหรือ? ฝุ่นควันตลบฟุ้งมองเห็นเพียงแผ่นหลังแกร่งบนหลังอาชาเท่านั้น ไป๋ผูอวี้ควบอาชาไปตามเส้นทางอย่างเร่งร้อน รับรู้ถึงแรงสะเทือนไปทั้งร่างเมื่ออาชาเร่งฝีเท้าอย่างคึกคัก สายลมแรงปะทะเข้าใบหน้าทำให้เส้นผมสีเข้มที่มวยอยู่กลางศีรษะหลุดลุ่ยบางส่วน มองเห็นป่าไม้รอบตัวเป็นภาพมัว เขาคิดทบทวนเมื่อมองเห็นกำแพงเมืองฉางอันเข้าใกล้ทุกขณะ ในจดหมายของจื่อฟางไม่ได้บอกว่ารออยู่ที่ใด เขาจะหาตัวคนผู้นั้นได้อย่างไรเล่า

“หยุดก่อน”ทหารเฝ้าหน้าประตูส่งเสียงเรียกเมื่อร่างบนหลังม้าเข้าใกล้จนอยู่ในระยะได้ยิน ทหารผู้นั้นไม่ทันได้เอ่ยซักถาม ไป๋ผูอวี้ก็ดึงสายบังเหียนม้าสั่งให้หยุดก่อนยกป้ายคำสั่งของฮ่องเต้ยื่นใส่ตรงหน้าของอีกฝ่าย

“ผะ ผ่านเข้าไปได้”นายทหารรีบส่งเสียงร้องบอก สั่งให้ทหารเปิดบานประตูให้ท่านรองแม่ทัพไป๋เข้าไปในเมืองฉางอัน ชายหนุ่มควบม้าไปตามเส้นทางสายหลัก ชาวบ้านในเมืองยังคงหวาดหวั่นกับการศึกที่ผ่านมาจึงไม่ได้ออกมาเดินวุ่นวาย ถนนหนทางจึงค่อนข้างเงียบ ไป๋ผูอวี้หยุดม้า ครุ่นคิดว่าจะหาตัวจื่อฟางได้จากที่ใด คฤหาสน์สกุลไป๋?ก็ไม่น่าใช่ หรือว่าจะเป็น…เขากระตุ้นให้อาชาควบเดินมุ่งหน้าไปยังตรอกซีหมาน สถานที่หนึ่งเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ โรงน้ำชาหลิวซื่อ

ไป๋ผูอวี้ควบม้ามาถึงโรงน้ำชาหลิวซื่อภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ตรอกซีหมานมีผู้คนเดินผ่านบางตาแต่โรงน้ำชาสกุลไป๋ยังคงเนื่องแน่น เขาไม่ได้มาที่แห่งนี้เป็นเวลานานหลายเดือนก็พาให้รู้สึกคิดถึง ชายหนุ่มพลิกกายลงจากหลังอาชา เด็กรับใช้เข้ามาต้อนรับชะงักไปเล็กน้อยเมื่อมองเห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มผิวกายคล้ำแดด สวมชุดอาภรณ์เนื้อหยาบ เส้นผมเป็นมวยกลางศีรษะหลุดลุ่ยชวนให้ไม่น่าเข้าใกล้ ใบหน้าหล่อเหลามีนวดเคราขึ้นเป็นไร ร่างนั้นกวาดตามองไปทั่วร้านพลางจัดแต่งเส้นผมให้เรียบร้อยราวกับรู้ตัวว่าสารรูปดูไม่ได้

มองไปแล้วคนผู้นี้ก็ให้ความรู้สึกคุ้นตา ชาวบ้านที่นั่งดื่มชาอยู่ด้านในต่างก็จับจ้องด้วยสายตาระแวดระวัง คนพวกนี้คงไม่คิดว่าบุตรชายสกุลไป๋เช่นเขาเป็นโจรผู้ร้ายหรอกกระมัง นึกไปถึงคำพูดของเว่ยหลงที่บอกว่าเขาไม่เหมาะกับนวดเคราก็มุ่นคิ้ว

“คุณชายไป๋?”เด็กรับใช้เอ่ยเรียกเมื่อจ้องมองอยู่นานจนแน่ใจ สืบเท้าเข้ามาใกล้ กวาดสายตามองขึ้นลงอยู่หลายครั้งเพราะภาพลักษณ์ที่ไม่ชินตา คุณชายไป๋ผู้สุภาพสุขุมผู้นั้นคงถูกทิ้งไว้กลางสนามรบแล้ว

“ที่แท้ก็เป็นท่าน ข้าตกใจหมด….”เด็กรับใช้ถอนหายใจอย่างโล่งอกตั้งใจเชื่อเชิญคุณชายเข้าไปในห้องดื่มชาส่วนตัว แต่ไป๋ผูอวี้ไม่มีเวลาเอ่ยทัก เขาไม่ได้มาตรวจกิจการแต่มาหาคนผู้หนึ่ง ชายหนุ่มเดินผ่านเด็กรับใช้ที่อ้าปากค้างไม่ทันได้เอ่ยวาจาใดไปยังขั้นบันไดที่ทอดสู่ชั้นสอง เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วก้าวฉับมาถึงห้องดื่มชาห้องเดิมที่เต็มไปด้วยความทรงจำ ในอกก็พลันเต้นเป็นจังหวะถี่รัว เขาเดินอย่างเชื่องช้าหยุดอยู่หน้าม่านลูกปัด ได้กลิ่นชาผู่เอ่อร์ที่มักดื่มดับร้อนลอยแตะจมูก ไป๋ผูอวี้แหวกม่านลูกปัดเคลื่อนกายเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ พบร่างของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมสีเขียวน้ำทะเลสีสันสบายตา เจ้าของร่างนั้นนั่งหันหลังให้เขา มือเคลื่อนไหวตวัดพู่กันลงบนผืนผ้าไหมสำหรับวาดภาพอย่างคล่องแคล่ว 

ไป๋ผูอวี้เดินเข้าไปหา คล้ายกับมองไม่เห็นสิ่งใด “เจ้าคือ…”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง แผ่นหลังตรงหน้าสะดุ้งด้วยความตกใจจนทำพู่กันหล่นกระทบพื้นเสียงดังแกร๊ก อีกฝ่ายหมุนกายมองดวงตาเบิกกว้างก่อนจะกระพริบตา ความยินดีแผ่กระจายอยู่ทั่วใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไป๋ผูอวี้สาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็วจนร่างนั้นไม่มีโอกาสได้ขยับตัว เขายกฝามือกอบกุมใบหน้าเล็กไว้ในอุ้งมือ

“ไป๋ผูอวี้”จื่อฟางเอ่ยเรียก รับรู้ถึงความอุ่นร้อนที่สองแก้ม ยินดีจนพูดไม่ออกจึงได้เงยหน้าสบตามองร่างสูงใหญ่ที่เปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าคุณชายไป๋คนเดิม ชายตรงหน้าคุกเข่านั่งลงอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน

“เป็นเจ้าจริง ๆเหรอ”ไป๋ผูอวี้กระซิบถาม ใช้นิ้วมือเกลี่ยข้างแก้มของจื่อฟาง สัมผัสอ่อนนุ่มย้ำเตือนว่าร่างตรงหน้ามีอยู่จริง เขาใช้นิ้วโป้งเลื่อนปิดไฝที่เหนือริมฝีปากของอีกฝ่าย ไล่สายตามองเค้าโครงใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นคิ้ว จมูก ดวงตา ริมฝีปากทุกอย่างเหมือนกับคนในม้วนภาพวาดที่ตนเฝ้าฝันถึงมานานหลายเดือน ไม่ผิดแน่ ใบหน้าเช่นนี้…

“อืม ข้ากลับมาหาเจ้าแล้ว”จื่อฟางตอบกลับมองชายหนุ่มตรงหน้าไม่วางตา ไป๋ผูอวี้จึงโน้มใบหน้าเข้าใกล้ประกบริมฝีปากลงกับเรียวปากอิ่มอย่างโหยหา ขบเม้มอย่างไม่ออมแรง ฝามือหนาเลื่อนมาจับกุมอยู่ที่ต้นคอ กึ่งบังคับให้จื่อฟางต้องเอียงใบหน้าในมุมที่ถูกดูดเม้มจนเจ็บแสบ ทำได้แค่ตอบรับจูบรุนแรงของร่างใหญ่ ส่งเสียงร้องเตือนอยู่ในลำคอเมื่ออีกฝ่ายขบฟันลงบนริมฝีปากจนเจ็บแปลบ ไป๋ผูอวี้ผละมามองหน้าเขาครู่หนึ่ง

“ข้าคิดถึงเจ้ามาก”ชายหนุ่มเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่เหมือนถูกบีบเค้น จื่อฟางพยักหน้าไม่ทันได้โต้ตอบก็ถูกริมฝีปากของนั้นไล่ต้อนจนต้องเปิดรับเรียวลิ้นที่สอดเข้ามา คนทั้งสองจุมพิตอยู่ครู่ใหญ่ให้สมกับความคิดถึง ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ ลูบใบหน้าของจื่อฟาง ยังรู้สึกว่าเหมือนเป็นความฝัน

“ข้าดีใจที่ได้กลับมาอยู่กับเจ้า”จื่อฟางเอ่ยบอกก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้ามาจูบอีก เขาบีบหลังมือของอีกคนเบาๆ

ไป๋ผูอวี้จ้องมองเขานิ่ง “ห้ามเจ้าจากไปอีก ไม่มีเจ้าแล้วน่าเบื่อนัก”ชายหนุ่มพูดจบก็สวมกอดร่างตรงหน้า อ้อมแขนแข็งแรงโอบรอบตัวของอีกฝ่ายจนแทบจมไปทั้งตัว

“ข้าไม่ไปที่ไหนอีกแล้ว”จื่อฟางพูดตามที่ใจคิด กดจมูกลงบนผิวกายที่จับต้องได้ กลิ่นอายของคนชิดใกล้ทำให้เขาหวนถึงเรื่องเก่า ๆ จึงผุดยิ้มออกมา ที่ผ่านมามีเวลาอยู่ร่วมกันเพียงเล็กน้อยแต่เขาก็ยังจดจำได้ทุกสัมผัส

“เจ้าสัญญาแล้ว หากผิดคำพูด ต่อให้ลงปรโลกข้าก็จะตามไปลงโทษเจ้า”ชายหนุ่มทำสีหน้าดุดันก่อนออกแรงกอดร่างในอ้อมแขน ซุกจมูกที่ลำคอของเด็กหนุ่มแต่ร่างนั้นย่นคอส่งเสียงค้านเบาๆเพราะไรหนวดที่ชวนให้จั๊กจี้ ไป๋ผูอวี้จึงแกล้งซุกไซร้มากกว่าเก่า คนในอ้อมกอดจึงคล้ายกับอ่อนปวกเปียกไปครู่หนึ่ง ซุกกอดกันอยู่นานจนร่างของจื่อฟางรู้สึกชาไปทั้งตัวจึงขยับแข้งขาแต่ไป๋ผูอวี้ยังไม่ยอมปล่อยมือออกจากรอบเอว ใบหน้าจึงอยู่ห่างกันเพียงคืบ

“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดอยู่ ๆเจ้าก็กลับไปยังบ้านเกิด…ทิ้งให้ข้าอยู่คนเดียว”ผู้เป็นรองแม่ทัพมิวายกล่าวถึงเรื่องนี้อีก เขาจะพูดซ้ำ ๆจนอีกฝ่ายไม่กล้าทิ้งให้เขาอยู่คนเดียว จื่อฟางเพียงยกมือลูบใบหน้าของชายอีกคน รู้ดีว่าเหตุการณ์ทางฝั่งไป๋ผูอวี้นักหนากว่าเขามาก

“ข้าก็ไม่แน่ใจ…”เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ เขาจะพูดออกไปอย่างไรดี เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในห้องหนังสือเพราะความเจ็บปวดหรือเปล่าที่ฉุดดึงเขาออกจากร่าง แต่เสิ่นจิ้งเฟยแค่ถูกกรีดใบหน้าเท่านั้น หรือเพราะร่างกายอันอ่อนแอจะมีส่วน

“ช่างมันเถอะ รู้แค่ว่าต่อจากนี้ข้าจะไม่ไปไหนอีก”ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามต่อคิดว่าคงเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนเสียจนพูดไม่ได้ จื่อฟางจับมือของไป๋ผูอวี้มาดู ฝามือนั้นหยาบกร้านและมีรอยบาดแผล เจ้านี่ปล่อยให้ร่างกายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ไม่แน่ใจว่าเพราะเรื่องของตนหรือเพราะถูกการศึกเคี่ยวกรำจนไป๋ผูอวี้เปลี่ยนไปกันแน่

“เกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง”เขาเอ่ยถาม ชายตรงหน้าถอนหายใจก่อนเล่าเรื่องราวตั้งแต่เกิดเหตุเพลิงไหม้ในจวนสกุลเสิ่นจนถึงเรื่องราวการศึกนอกกำแพงเมือง เมื่อรู้ว่าหยางชวีตัดสินใจพาเสิ่นจิ้งเฟยตัวจริงไปยังเหลียวตงเขาก็โล่งอก ในเมื่อตอนนี้เขามีร่างเป็นของตัวเอง จื่อฟางไม่ต้องการให้เจ้าคนหน้าตายนั่นยึดอยู่กับเขา เขาไม่ใช่คุณชายหรือเป็นบุตรเสนาบดีไม่จำเป็นต้องมีผู้ติดตาม หากมีวาสนาต่อกันย่อมได้เจอกันอีก ส่วนจางต้าหลังจากที่เหตุการณ์ในฉางอันสงบก็ออกเดินทางไปกับเจียงฉวี่ต้าคนสนิทที่ฟู่เทียนสือทิ้งไว้ เขายินดีที่เจ้าเด็กนั่นตัดสินใจติดตามรับใช้เจ้านายตัวจริง ถึงแม้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะชอบแกล้งบ่าวคนสนิทแต่ความผูกพันที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เล็กย่อมไม่เสื่อมหายโดยง่าย เขารับรู้ได้ว่าเสิ่นจิ้งเฟยก็มีความห่วงไยเจ้านั่นอยู่บ้าง
 

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 

“หากบ้านเมืองยังไม่สงบ ฮ่องเต้เจี่ยผิงคงไม่มีทางปล่อยให้ข้าเป็นอิสระ”ไป๋ผูอวี้กล่าวขึ้น แต่แรกเขาเข้าร่วมการศึกก็เพราะจื่อฟางส่วนหนึ่ง แต่ในยามนี้เขาเพียงทำตามหน้าที่ของรองแม่ทัพเท่านั้น

นั่นสินะ...จื่อฟางน่าจะรู้ว่าฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยคนสกุลไป๋ไปโดยง่าย “หมายความว่าหากกำจัดองค์ชายใหญ่ได้ ข้ากับเจ้าถึงจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขหรือ”เขาพึมพำ ชายหนุ่มอีกคนไม่เอ่ยตอบเพียงสบตาเขาเงียบ ๆ

เขาถอนหายใจ“ร่างนี้ชื่อบัณฑิตหลิวเซียนฟาง ข้าคิดไว้ว่าจะวางแผนลาออกจากราชสำนัก”อีกทั้งบัณฑิตหลิวยังมีภาระให้ต้องจัดการ ลาออกราชสำนักมีข้ออ้างง่ายๆที่น่าเชื่อถือ ใช้เรื่องสุขภาพของคนผู้นี้มาอ้างเท่านี้ก็คงไม่มีผู้ใดสงสัย

ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้ว เมื่อคิดว่าเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน “บัณฑิตหลิว…หลิวเซียนฟางที่เป็นปั๋วซื่อน่ะรึ”

“เจ้ารู้จัก?”

“อืม ข้าเคยได้ยินชื่อนี้ผ่านจากที่ปรึกษาเกาจวีถังเท่านั้น ไม่คิดว่าบัณฑิตชั้นสูงผู้นั้นจะมีใบหน้าเหมือนเจ้า”ไป๋ผูอวี้ไม่ละสายตาไปจากดวงหน้าเกลี้ยงเกลา มุ่นคิ้วอย่างใคร่ครวญ

“ฟางเอ๋อร์ ข้าว่าสภาบัณฑิตไม่น่ายอมให้เจ้าลาออกโดยง่าย ลืมไปแล้วหรือว่าคณะบัณฑิตกำลังผลักดันเรื่องการเปลี่ยนระบบการสอบ เจ้าเองก็มีส่วนร่วม”รองแม่ทัพกล่าวเตือน นึกถึงเรื่องที่เคยหารือกับเหล่าบัณฑิตที่สวนลู่ จื่อฟางส่งเสียงดังอา ยอมรับว่าลืมไปเสียสนิท แต่เมื่อคิดว่าต้องอยู่เผชิญกับฮ่องเต้ก็รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาทันที ไม่ง่ายเลยจริง ๆทั้งเขาและไป๋ผูอวี้ต่างก็ยังมีเรื่องราวที่ต้องสะสาง

“ออกไปข้างนอกเถิด ข้ามีเรื่องอยากเล่าให้เจ้าฟังอีกเยอะ”ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มเอ่ยชวนเมื่อเห็นจื่อฟางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ชายหนุ่มกระตุกแขนดึงให้ร่างตรงหน้ายืนขึ้น ระยะห่างของทั้งสองคนยิ่งชิดใกล้ ลมหายใจหนักร้อนของเขาเป่ารดใบหน้าของอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้ไม่อยากทำตัวเช่นคนหื่นกาม แต่กลับห้ามความรู้สึกที่อยากจับต้องสัมผัสคนตรงหน้าไม่ได้ จึงเอื้อมมือช้อนปลายคางของร่างเล็กโน้มจุมพิตลงบนกลีบปากอย่างบังคับใจตัวเองไม่อยู่ อีกมือหนึ่งสัมผัสแผ่นหลังบางโอบกอดจนร่างแนบชิด กดย้ำจูบรุกรานเอาแต่ใจมากขึ้นจนจื่อฟางเริ่มหายใจติดขัด แต่ก็ไม่ยอมแพ้ให้แก่ชายหนุ่มตรงหน้า

จุมพิตเริ่มลึกซึ้งจนร่างกายร้อนวูบวาบ ปลายลิ้นยั่วเย้าของอีกคนทำให้ต้องส่งเสียงในลำคอเบาๆ ฝามือหนาเลื่อนต่ำลงจนวางอยู่ที่สะโพก ร่างกายแข็งแกร่งตรงหน้าเบียดความอุ่นร้อนที่เปิดเผยชัดเจนว่าต้องการสิ่งใดเข้าใกล้ จื่อฟางถึงได้สติว่าอยู่ในห้องดื่มชา ด้านนอกยังมีชาวบ้านที่จับเจ่าคุยกัน เด็กหนุ่มจึงละริมฝีปากออกห่างแต่ร่างตรงหน้าขบกัดอย่างอ้อยอิ่งจนริมฝีปากชาหนึบ ดวงตาดำลึกของคนร่างสูงมีประกายหยอกล้อที่ไม่ได้เห็นมานาน เขากลืนน้ำลาย ใจเต้นเร็วขึ้น กระแอมเบา ๆขยับถอยห่างจากไป๋ผูอวี้ที่ยามนี้คล้ายกับหมาป่าที่โหยหากระต่ายตัวจ้อย จื่อฟางพบว่าตัวเองขาสั่นเล็กน้อยจึงแสร้งจัดชายเสื้อให้เรียบร้อย

“ข้าได้ยินเรื่องของเจ้ากับเสิ่นจิ้งเฟยลือกันในวงเหล้า บอกว่าเป็นความรักต้องห้ามที่ชวนให้ปวดใจยิ่งนัก”เขายกยิ้มเมื่อนึกถึง หยิบม้วนภาพวาดมาเก็บอย่างเบามือ เป็นภาพเงาร่างของคนสองคนยืนอยู่บนกำแพงเมือง รับรู้ได้ว่าสายตาของอีกฝ่ายยังจับจ้องไม่ห่าง

“เจ้ามาหาข้าเช่นนี้ไม่กลัวคนจะเอาไปลือหรือ”เขาเอ่ยจนจบประโยคเก็บซ่อนอาการประหม่าไว้ ไป๋ผูอวี้คงไม่เห็นมือที่สั่นน้อยๆของเขาหรอกกระมัง เด็กหนุ่มชายตามองอีกคนที่หยักยิ้มจ้องมองอยู่ จื่อฟางยังกังวลเรื่องของสกุลเสิ่นเล็กน้อยเพราะเสิ่นมู่หยางดูจะยอมเปิดใจให้แก่ไป๋ผูอวี้ ถ้าหากรู้เข้าว่ารองแม่ทัพไป๋ที่เคยอาลัยอาวรณ์บุตรชายเปลี่ยนใจไปมีคนใหม่จะว่าอย่างไร

“เหตุใดต้องใส่ใจ ข้าไม่กังวลเรื่องใดทั้งนั้น เสนาบดีเสิ่นจะคิดอย่างไรก็ช่าง”ชายหนุ่มล่วงรู้ความคิดของร่างเล็กตรงหน้า “แต่เดิมข้ากับเขาก็ไม่ได้ญาติดีกัน หากจะมีเรื่องบาดหมางข้องใจกันอีกก็คงไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ หากไม่มีเจ้าเข้ามาระหว่างข้าและเสิ่นจิ้งเฟยก็เป็นได้เพียงคนไม่ชอบหน้าเท่านั้น เป็นเช่นนี้ถือว่าดีแล้ว”ไป๋ผูอวี้กล่าวอย่างสงบ ใบหน้าที่มีไรหนวดเผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ดูแล้วขัดหูขัดตาพิกล จื่อฟางหรี่ตามอง ไม่กล้าเข้าไปแตะต้องอีกฝ่ายในยามนี้เพราะเกรงว่าจะไปจุดประกายไฟในร่างของท่อนไม้เข้า

“เจ้าโกนหนวดไม่ได้หรือ”

“เจ้าไม่ชอบ?”ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เลื่อนมือลูบไรหนวดของตัวเอง ในเมื่อยามนี้เขาเป็นรองแม่ทัพก็ต้องสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามเสียหน่อย

“ข้าว่าไม่เหมาะกับเจ้า”เด็กหนุ่มทำเสียงดื้อรั้น รู้ดีว่าหากเรื่องของช่างอิ่นยังไม่คลี่คลาย อีกฝ่ายก็ออกจากตำแหน่งรองแม่ทัพไม่ได้ คงยากที่จะได้ไป๋ผูอวี้ผู้สุขุมนุ่มลึกคนเดิมกลับคืนมา

“อย่างนั้นหรือ ข้าคิดว่าเจ้าชอบเสียอีก”กล่าวจบก็สืบเท้าเข้าใกล้โน้มเอาใบหน้าที่มีไรหนวดมาถูไถบริเวณซอกคอของร่างตรงหน้า จื่อฟางได้แต่กัดริมฝีปากกลั้นใจไม่ส่งเสียงใดออกมา พยายามไม่ให้ร่างอ่อนปวกเปียกน่าอาย เขาดันร่างของชายร่างใหญ่ออกตวัดสายตามองอย่างขุ่นเคืองแต่ร่างนั้นกลับหัวเราะลั่นเอื้อมมาหยิกจมูกเขาเบา ๆ

“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบ”ไป๋ผูอวี้หยักยิ้ม สายตาเป็นประกาย เด็กหนุ่มขึงตาใส่กระแอมกระไอเรียกสติกลับคืนมา

“ข้าจะรอเจ้าที่หน้าโรงน้ำชาก็แล้วกัน”พูดจบก็หมุนกายออกจากห้องดื่มชา ยังคงท่าทีอย่างบัณฑิตผู้คร่ำเคร่งไว้ได้ ชาวบ้านที่นั่งจิบชาพูดคุยอยู่ที่โต๊ะด้านนอกหันมองอย่างสนใจเพราะได้ยินเสียงหัวเราะมีชีวิตชีวาของไป๋ผูอวี้ก็เกิดสงสัยว่าเป็นผู้ใดที่ทำให้รองแม่ทัพผู้ไม่สนใจโลกหัวเราะได้เช่นนั้น เด็กหนุ่มไม่ได้ใส่ใจนัก รีบลงไปที่ชั้นล่างจ่ายเงินให้กับพ่อบ้านแซ่กวงที่โต๊ะด้านหน้า

จื่อฟางออกมานอกโรงน้ำชา ช่วงบ่ายของวันนี้ท้องฟ้ากระจ่าง อากาศร้อน สายลมนิ่งเอื่อย เขาจึงคลี่พัดกระดาษลวดลายดอกเหมยออกมากระพือ ออกเดินช้าๆไปตามเส้นทางเพราะคิดว่าไป๋ผูอวี้น่าจะอยากอยู่คุยกับพ่อบ้านและเด็กรับใช้สกุลไป๋ก่อนออกมา เวลานี้ตรอกซีหมานมีผู้คนบางตา มีเพียงรถม้าที่นำชายชราผู้หนึ่งวิ่งไปตามถนน เมื่อหลายวันก่อนฮ่องเต้เจี่ยผิงได้มีการนำเสบียงมาแจกจ่ายราษฎรที่เดือดร้อนและยังยอมมอบที่ดินส่วนหนึ่งให้ชนชั้นชาวนาเพาะปลูกทำการเกษตร ที่พระองค์ยินยอมก็เป็นเพราะพระอาการของรัชทายาทเจี่ยอิงต้าดีขึ้นสามารถฟื้นสติได้แล้ว ยาสมุนไพรของซูเหลียนฮวามีส่วนช่วยอย่างมาก ผู้คนจึงมาเอาอกเอาใจสกุลไป๋โดยเฉพาะที่โรงน้ำชาหลิวซื่อ ข่าวลือที่ว่าไป๋ผูอวี้เป็นทหารคนโปรดของฮ่องเต้จึงเลื่องลือออกไป

จื่อฟางย่างกรายมาถึงพื้นที่ก่อสร้างที่เดิมทีเป็นร้านของเถ้าแก่ชวี มองเห็นเป็นร้านค้าสูงสามชั้นที่เกือบแล้วเสร็จ เป็นร้านที่เขาอยากทำ เด็กหนุ่มกวาดตามองอย่างละเอียด พบว่าทำได้ออกมาตามแบบที่เขาต้องการ ไป๋ผูอวี้บอกว่าเป็นคนรับมาสานต่อ แสดงว่าเขาก็มีสิทธิ์ในร้านค้าแห่งนี้ เงินของสามีย่อมเป็นของภรรยาเช่นกัน เขาเคาะพัดกับมืออย่างเห็นด้วยกับความคิดของตน

“ฟางเอ๋อร์”ไป๋ผูอวี้เอ่ยเรียกจากบนหลังอาชาเมื่อมองเห็นว่าจื่อฟางมองร้านค้าที่เขารับช่วงต่อ ชายหนุ่มหยุดอยู่ข้างร่างในชุดสบายตา

“ร้านของเจ้า อยากทำต่อหรือไม่”

“ทำสิ”เขาพยักหน้า รู้สึกอุ่นวาบในอกที่คิดว่าอีกฝ่ายยังสานต่อความต้องการของเขาแม้ว่าตอนนั้นตัวเขาจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว

“หากมีข่าวออกไปว่าเป็นร้านของบัณฑิตหลิว ข้าอยากเห็นสีหน้าของเสนาดีเสิ่นยิ่งนัก”แม้ไป๋ผูอวี้จะบอกว่าไม่สนใจ แต่ก็กลัวว่าเสิ่นมู่หยางจะยกเลิกไม่ให้มีการสร้าง แต่คนผู้นั้นเป็นขุนนางย่อมรู้ดีว่าในตอนนี้เขาไม่ใช่บุตรชายสกุลไป๋ที่สามารถมาเบ่งอำนาจข่มกันได้อีกแล้ว

“เสิ่นจิ้งเฟยไม่คิดจะกลับมาสะสางปัญหาหน่อยหรือ”จื่อฟางพึมพำออกมาอย่างอดไม่ไหว จะว่าไปก็อยากมีเรื่องพูดคุยกับเจ้านั่น

“ช่างเถอะ”เขาปัดความคิดกวนใจทิ้ง หันมองไป๋ผูอวี้ที่อยู่บนหลังอาชา ร่างนั้นยื่นมือมาให้เป็นการเชื้อเชิญ เขาแสร้งทำสีหน้าไม่พอใจ

“ตั้งแต่เป็นรองแม่ทัพ เจ้าก็เอาแต่ใจตัวเองยิ่งนัก”เขาเหลียวมองรอบกายกลัวว่าจะมีคนเห็นแต่อีกฝ่ายกลับลงจากหลังม้า อุ้มยกร่างของจื่อฟางขึ้นไปบนหลังอาชาอย่างว่องไวจนเขาร้องลั่น เจ้าบ้านี่ทำแบบนี้อีกแล้ว จื่อฟางได้แต่เม้มปากพยายามไม่ตื่นตกใจรักษาหน้าตัวเอง ไป๋ผูอวี้หัวเราะออกมาดังๆรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตชีวาอย่างบอกไม่ถูก เป็นฝ่ายกระตุ้นให้ม้าออกเดินช้า ๆ ร่างที่อยู่บนหลังอาชาจับสายบังเหียนเพื่อพยุงตัว

“รองแม่ทัพไป๋ ได้รับจดหมายของข้าก็คงรีบเร่งมาเลยกระมัง”เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น จับจ้องไปยังร่างสูงใหญ่ที่เดินอยู่ใกล้ ๆ ผู้คนที่เดินจับจ่ายซื้อของต่างก็มองอย่างสนใจ

“ข้ารีบมาก็เพราะต้องการพิสูจน์ว่าเจ้าใช่ภรรยาตัวจริงของข้ารึเปล่า”ไป๋ผูอวี้แสร้งใช้สายตาที่อยากกลืนกินมองร่างของอีกคน ใบหน้าของจื่อฟางไม่นับว่าโดดเด่น แต่คนผู้นี้มีดวงตากระจ่างมีชีวิตชีวาชวนมองยิ่ง

“เจ้าเป็นรองแม่ทัพทิ้งค่ายทหารมาแบบนี้ดีแล้วหรือ”เขากล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิระหว่างที่อาชาใต้ร่างพาเดินออกมาจากตรอกซีหมานช้า ๆ ไป๋ผูอวี้หยุดเดินเมื่อออกมาจากตรอกได้พักใหญ่ เมื่อมองไม่เห็นผู้ใดก็พลิกกายขึ้นนั่งซ้อนหลังร่างเล็ก ใช้เท้ากระทุ้งท้องม้าเบาๆ จนอาชาออกวิ่งไปยังตรอกอีกฝั่ง ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวร่างตรงหน้ารู้สึกว่าเต็มไม้เต็มมือกว่ามาก

“ข้ามิได้ทิ้ง เรื่องแผ่นดินสำคัญก็จริง แต่เรื่องครอบครัวสำคัญกว่า”ไป๋ผูอวี้เอาคางเกยไหล่อีกฝ่ายก่อนกระซิบบอก ระหว่างทางก็เล่าถึงเรื่องราวในค่ายทหารที่ค่ายซินเฉิงและเมืองเสียนหยาง รวมไปถึงเรื่องที่เว่ยหลงหวาดกลัววิญญาณของจื่อฟาง เด็กหนุ่มนั่งฟังเงียบ ๆเมื่อไป๋ผูอวี้เล่าจบ จื่อฟางก็เล่าถึงชีวิตเรื่อยเปื่อยของตนเองบ้าง อาชาก้าวเหยาะไปตามเส้นทางที่คุ้นตา ผู้คนในตรอกมีน้อยนิดแต่เมื่อเห็นบุรุษสองคนอยู่บนหลังม้าตัวเดียวกันทั้งยังสนิทแนบชิดถึงเพียงนั้นย่อมทำให้ถูกจ้องมอง แต่คนทั้งสองกลับไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่

“ข้าพบคนผู้หนึ่ง…”จื่อฟางเริ่มเล่าเรื่องของไป๋อี้เสวี่ยให้อีกฝ่ายฟัง ข้ามรายละเอียดเรื่องโลกนิยายทิ้ง ชายหนุ่มด้านหลังได้ยินก็หรี่ตาลง ไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไรเมื่อรู้ว่ามีบุรุษที่หน้าตาคล้ายกับตัวเองอยู่ในโลกของจื่อฟาง…

“เจ้าชอบไป๋อี้เสวี่ยไหม”

“ไม่ได้ชอบ แม้ว่าเขาจะหน้าตาเหมือนเจ้า เขาเป็นเพียงสหายของข้าเท่านั้น”ร่างเล็กเอ่ยตอบทันที ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว ไม่รู้ว่าว่านั่นใช่ตัวเขาในอีกภพหนึ่งหรือเปล่า แต่จื่อฟางเป็นภรรยาของเขาเพียงคนเดียว ย่อมไม่อยากให้คนหน้าเหมือนหรือผู้ใดเข้าใกล้

จื่อฟางรู้สึกว่าคนด้านหลังเงียบไปจึงใช้ศอกกระทุ้งเบา ๆ “เป็นไรไปแล้ว เจ้าหึง?”

“เจ้าแต่งงานกับข้าเพียงคนเดียว ข้าย่อมอยากให้เจ้าอยู่กับข้า”ไป๋ผูอวี้เอ่ยหนักแน่นกระตุกบังเหียนไปทางซ้ายมือเพื่อบังคับให้อาชาเลี้ยวเข้าไปในตรอกที่จะถึง

“เจ้าคงรู้ว่าข้าพามาที่ใดกระมัง”

“อือ”เขาพยักหน้าหงึกหงักเส้นทางนี้คือบ้านหลังเล็กของไป๋ผูอวี้ บ้านที่จัดพิธีแต่งงานอย่างเร่งด่วน

“ข้าอยากจุดโคมไฟคืนเข้าหอให้ครบสามวัน”ไป๋ผูอวี้กล่าวพร้อมกับหยุดม้าเมื่อมาถึงประตูบ้านอันคุ้นตา ร่างด้านหลังลงจากหลังม้าด้วยการเคลื่อนไหวนุ่มนวลก่อนจะอุ้มร่างของจื่อฟางพาดบ่าพาเข้าไปในบ้านอย่างไม่มีพิธีรีตอง เด็กหนุ่มไม่ได้ร้องโวยวายเพียงแค่ทิ้งตัวเหมือนคนไร้กระดูก กระตุกดึงเส้นผมที่หลุดลุ่ยของไป๋ผูอวี้เล่น ภายในบ้านเงียบสนิท แม้กระทั่งผ้าแพรแดงก็ยังไม่ได้ดึงออก เนื่องจากผ่านเวลามาเนิ่นนานจึงดูเก่าจางไปถนัดตา จื่อฟางกวาดตามองไปรอบลานบ้านด้วยใจเต้นแรง

“เจ้าอยู่กับข้าได้กี่วันหรือ”เขาเอ่ยถามระหว่างที่ถูกร่างสูงใหญ่พามาที่เรือนนอนด้านหน้า เดี๋ยวนะ...นี่มันยังกลางวันแสกๆอยู่เลย ไป๋ผูอวี้คิดจะ...

“ห้าวัน”ร่างนั้นตอบสั้นห้วน เลื่อนฝามือมาลูบคลำบั้นท้ายของเขาอย่างไม่อายฟ้าดิน

“เจ้าไม่กลัวโดนลงโทษหรือ”เขาพูดตะกุกตะกัก ถึงอย่างไรเจ้านี่ก็เป็นรองแม่ทัพยังต้องเกรงใจแม่ทัพใหญ่ ไป๋ผูอวี้ไม่ได้ตอบทันทีเดินมาถึงประตูห้องที่มีอักษรมงคลแปะติดอยู่ตัวอักษรจางลงเล็กน้อย ชายหนุ่มใช้เท้าเตะประตูเปิดออก

“ถ้าแม่ทัพเมิ่งอยากลงโทษข้าก็ยอมรับ แต่ในตอนนี้ข้าอยากทำเรื่องพิธีเข้าหอให้สมบูรณ์ ข้ากับเจ้าเพิ่งจุดโคมได้วันเดียวเอง ข้าจะเข้าห้องหอใหม่กับร่างจริงของเจ้า”ประตูปิดตามหลังดังกึก ไป๋ผูอวี้ยังคงไม่ปล่อยร่างเขาลง แต่เดินไปจุดโคมที่หัวเตียง ภายในห้องไม่ได้ทำความสะอาดจึงมีฝุ่นจางๆลอยอยู่ในอากาศยามที่ร่างกายแข็งแรงเดินผ่าน จื่อฟางตระหนกเล็กน้อย

“ไป๋ผูอวี้”เด็กหนุ่มร้องเรียกเมื่ออีกฝ่ายวางร่างเขาลงบนเตียง “ตอนนี้เลยหรือ รอให้ค่ำก่อนดีกว่าไหม”

“รอทำไม เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่ากลัวลูกไหนบูดเน่า”ไม่พูดเปล่ากับดึงเชือกคาดเอวของตัวเองออก เสื้อผ้าที่สวมไม่กี่ชั้นเปิดออกเผยให้เห็นร่างกายกำยำแข็งแรงอย่างคนที่ใช้กำลังตลอดเวลา จื่อฟางกวาดตามองอย่างสนใจ เปลี่ยนมายันตัวนั่ง ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกบ้างจนเหลือเพียงชั้นในบางเบา ไป๋ผูอวี้มองดูเงียบ ๆ สายตานั้นคล้ายกับแผดเผาไปทุกอณูทำให้รู้สึกว่าอากาศในห้องยิ่งอบอ้าว เมื่อร่างกายเปลือยเปล่า ชายหนุ่มอีกคนก็โถมร่างเข้ามาโอบกอดแล้วพรมจูบไปทั่วแก้มและซอกคอ ไรหนวดถูกผิวกายจนคันยุบยิบได้แต่เอียงคอหนี แต่ไป๋ผูอวี้กดร่างของอีกฝ่ายไม่ให้ขยับหลบ กดริมฝีปากครอบครองอย่างอุกอาจ จูบย้ำลงบนกลีบปากเพื่อให้ร่างนั้นเผยอรับปลายลิ้น

จื่อฟางได้แต่ควบคุมลมหายใจจูบตอบแผ่วเบาก่อนจะเปลี่ยนมาขบเม้มหนักหน่วงเมื่อถูกฝามือหยาบกร้านลูบไล้ไปตามเนื้อตัว ฝามือนั้นหยุดลงตรงรอยแผลกลางหน้าอก จึงละริมฝีปากมาพรมจูบแผ่วเบา จื่อฟางหลับตาครางเสียงแผ่วเลือดในกายเดือดพล่านไปด้วยแรงอารมณ์ ไป๋ผูอวี้เลื่อนมือลูบซอกขาด้านใน ขยับแยกออกก่อนจะทาบทับมาทั้งร่าง ผิวกายสัมผัสบดเบียดก่อให้เกิดอารมณ์หวาบหวิว เขาลูบมือผ่านแผ่นอกแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของคนด้านบน เลื่อนมือกอบกุมความแข็งแกร่งของไป๋ผูอวี้ เจ้าตัวหายใจถี่กระชั้นก้มมาทาบทับริมฝีปากทันที

เป็นการเข้าหอกลางวันแสก ๆและไม่ง่ายนักเพราะท่อนไม้ติดไฟแล้วก็ดับยากทั้งยังไม่ยั้งคิด พยายามเบียดแทรกกายเข้ามาอย่างไม่ยอมแพ้แม้ว่าร่างของเขาจะกรีดร้องไม่ยอมรับสิ่งที่รุกรานเข้ามา

“เจ้าเจ็บหรือไม่”คนด้านบนเอ่ยถาม เหงื่อไหลหยดลงบนหน้าอกของเด็กหนุ่มอีกคน

“ทำไมเพิ่งมาถามเอาตอนนี้”จื่อฟางข่มกลั้นความเจ็บแปลบที่เหมือนถูกฉีกกระชาก มาได้ครึ่งทางแล้วจะให้ถอยกลับก็ลำบากใจกันทั้งคู่

“ข้าขอโทษที่เร่งร้อน ข้าคิดถึงเจ้าจริงๆ”แม้ว่าจะพูดเช่นนั้นแต่ร่างด้านบนก็ยังขยับกายเข้ามาช้า ๆ เด็กหนุ่มได้แต่ผ่อนลมหายใจ ดึงฝามือหนาของอีกฝ่ายมากอบกุมส่วนนั้น ชายหนุ่มจึงขยับมืออย่างรู้หน้าที่ อารมณ์เร่าร้อนเริ่มจุดติดอีกครั้ง จื่อฟางจึงเริ่มขยับสะโพกเป็นฝ่ายดูดกลืนตัวตนของไป๋ผูอวี้เข้ามา คนด้านบนครางต่ำกดแทรกกายเข้าหาความคับแน่นเต็มแรง ร่างกายเริ่มขยับเคลื่อนไหวตามแรงปรารถนา เขาเปิดเผยความรู้สึกทุกอย่าง ต้องการให้คนใต้ร่างรับรู้ถึงตัวตนของกันและกันได้ชัดเจน

“ไป๋ผูอวี้”จื่อฟางร้องเรียกร้อนผ่าวไปทั้งร่าง อารมณ์ไต่สูงเมื่อถูกจังหวะหนักแน่นเน้นย้ำที่จุดเดิม ชายหนุ่มก้มมองลูบฝามือไปที่ท้องน้อยของอีกคนก่อนจะกระทั้นกายฝังความต้องการไปจนสุดจนได้ยินเสียงหอบครางดังมาจากริมฝีปากอิ่ม ไป๋ผูอวี้โน้มกายก้มขบกัดที่ยอดอกเด่นชัดตรงหน้า ขยับสะโพกเข้าออกจนความรู้สึกคุ้นเคยก่อตัวในท้องน้อย เขาละริมฝีปากมาขบจูบเร่งเร้าระหว่างที่เร่งจังหวะรักจนร่างเล็กเบียดกายเข้าหาอย่างต้องการ ร้องครางเมื่อธารอารมณ์พังทลาย ไป๋ผูอวี้ควบคุมลมหายใจยังคงต้องการอยู่แม้ว่าจะปลดปล่อยไปแล้ว อีกฝ่ายคล้ายกับรับรู้จึงโน้มร่างมาขบเม้มที่ริมฝีปาก กระซิบเบาๆที่ข้างหู

“ข้าต้องการเจ้า”จื่อฟางมองเห็นแววตาดั่งหมาป่าของอีกฝ่ายก็รีบพลิกกายหันหลังให้ ขยับท่อนขาแยกออก รับรู้ว่าใบหน้าร้อนผ่าวเอื้อมมือกอบกุมส่วนนั้นของคนด้านหลัง ไป๋ผูอวี้ผ่อนลมหายใจที่สั่นเครือ โน้มกายแนบชิดก่อนประทับจูบไปทั่วแผ่นหลังบาง ลากปลายลิ้นไปตามลำคอ ไล่มาตามไหปลาร้า ใช้ฟันขบกัดอย่างหมั่นเขี้ยว กดจมูกซุกไซร้ที่ลำคอแดงเถือกของร่างนั้น จื่อฟางตัวสั่นน้อยๆกับความรู้สึกสุขสมที่แผ่กระจายไปทั่วร่าง มือหนาลูบคลำสะโพกเนียนก่อนจะฝังความแข็งแกร่งเข้าหาช่องทางอุ่นร้อนที่เปิดรับอย่างยินยอม คนด้านหลังกอดรัดช่วงเอว ออกแรงขยับกระทั้นกายเชื่องช้า ฝามือข้างหนึ่งเลื่อนมากอบกุมความต้องการของจื่อฟางขยับขึ้นลงระหว่างที่บดบั้นเอวใส่หนทางอุ่นร้อน

“ข้าต้องการเจ้ามากกว่า รู้สึกหรือไม่”ชายหนุ่มกระซิบถาม จื่อฟางได้แต่หลับตาปล่อยเสียงครางเครือเมื่อรับรู้ว่าความแข็งแกร่งของชายอีกคนขยับสอดแทรกไปถึงส่วนลึก ร่างแกร่งโน้มตัวจูบที่ริมฝีปาก เรียวลิ้นพัวพันกันอย่างเร่าร้อนตามแรงอารมณ์ที่ไต่สูง จื่อฟางพยายามทรงตัวขยับสะโพกสอดรับตามบทรักแม้ว่าจะเจ็บหัวเข่ามากก็ตาม  ไป๋ผูอวี้กดสะโพกเข้าออกจนสร้างความรู้สึกหวาบหวิว เด็กหนุ่มจึงนอนราบไปกับเตียงปล่อยให้คนด้านหลังกระทำตามใจชอบ รับรู้ว่าสะโพกถูกบีบเค้น ร่างกำยำด้านหลังกระทั้นกายครั้งสุดท้ายเมื่อห้วงอารมณ์ถูกปลดปล่อย ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงพอใจเบาๆก้มมากดจูบลงที่ข้างแก้ม ค่อนถอนกายออกก่อนล้มตัวนอนโอบกอดหลวมๆ แต่จื่อฟางเหนอะหนะไปทั้งตัวอีกทั้งอากาศในห้องค่อนข้างอบอ้าว

“ข้าร้อน”เขาพึมพำบอก ชายอีกคนตอบรับในลำคอเลื่อนมือบีบนวดเฟ้นไปตามเรือนร่างเปล่าเปลือยของจื่อฟาง ยังคงคลอเคลียอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะลงจากเตียงด้วยร่างกายที่ไม่สวมใส่เสื้อผ้า เดินไปเปิดบานประตูให้อากาศระบายเข้ามาในห้อง

“เดี๋ยวก็มีคนเห็นหรอก”จื่อฟางหน้าร้อนวูบให้กับการกระทำอุกอาจนั้น แต่ก็กวาดตาตามองตามกล้ามเนื้อที่ขยับบนร่างสูงใหญ่

“จะมีผู้ใดเล่า นอกจากเจ้ากับข้า”อีกฝ่ายกล่าวอย่างไม่เหนียมอาย กลับมานั่งลงที่ข้างเตียง

“ดื่มน้ำหรือไม่”คำถามธรรมดาแต่กลับทำให้จื่อฟางคิดไปไกล ชายหนุ่มตรงหน้าถามด้วยสีหน้าปกติ แต่เขากลับคิดไปถึงเรื่องใต้สะดือ จึงกระแอมเบา ๆ

“อืม เจ้าก็สวมใส่เสื้อผ้าก่อน”เด็กหนุ่มพึมพำ ไป๋ผูอวี้หัวเราะโน้มตัวเอาใบหน้าที่มีไรหนวดนั่นมาซุกซอกคอจนเจ็บก่อนจะจงใจสวมใส่เสื้อคลุมอย่างเชื่องช้า สายตาตกอยู่ที่ใบหน้าของเขา จื่อฟางเลิกคิ้ว กวาดตามองร่างกายของชายหนุ่มขึ้นลง ในเมื่ออยากโชว์เขาก็จะมอง ไป๋ผูอวี้มัดผ้าคาดเอวหลวมๆ ก่อนที่เงาร่างนั้นจะหายไปจากห้อง ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับกาน้ำ

“ข้าจะไปเตรียมน้ำอาบให้เจ้า”

“ข้าหิว”เขาเอ่ยหลังจากที่ดื่มน้ำไปจนหมดจอก ลูบท้องน้อยแห้งๆที่ยังไม่มีอะไรตกตั้งแต่เช้าไปด้วย ไป๋ผูอวี้ได้ยินก็หยักยกมุมปากเล็กน้อย เผยแววเจ้าเล่ห์ ดวงตาจับนิ่งไปที่คนบนเตียง

“เมื่อครู่ยังไม่อิ่มหรือ ข้าก็เหมือนกัน”เขากล่าวหยอกเท่านั้นเพราะยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกห้าวันจะเคี่ยวกรำจนอีกฝ่ายหมดแรงก็ยังได้

“ข้าหมายถึงหิวข้าว!”เด็กหนุ่มทำเสียงดัง ไม่คิดว่าเจ้านี่จะคิดลามก ชายอีกคนหัวเราะ

“รอสักครู่ ข้าจะไปหามาให้”แม้เป็นรองแม่ทัพออกคำสั่งแก่ทหารนับหมื่นก็ยังต้องยอมให้กับคนๆเดียว จื่อฟางคว้าเสื้อตัวยาวมาสวม นั่งรอไป๋ผูอวี้ยกถังน้ำเข้ามาในห้องเมื่อฝ่ายนั้นยกเทน้ำจนเต็มถังเขาก็ออกปากเอ่ยชวนคนที่เหงื่อไหลเต็มหน้าผากมาอาบน้ำด้วยกัน แต่ไป๋ผูอวี้ปฏิเสธบอกว่าจะไปหาซื้ออาหารมาให้ ท่อนไม้ไป๋นำอาชาออกไปหาซื้อกับข้าวที่ตรอกใกล้เคียง ส่วนจื่อฟางก็ชำระตัวอย่างสบายอารมณ์ ดีว่าที่แห่งนี้ยังมีเสื้อผ้าของไป๋ผูอวี้ติดตู้อยู่สองสามตัว เด็กหนุ่มแต่งกายจนเสร็จ ผ่านไปสองเค่อไป๋ผูอวี้ถึงได้กลับมาพร้อมกับกระต่ายและปลาตัวหนึ่ง

เขานั่งมองร่างสูงใหญ่หยิบจับนู่นนี่อยู่ในห้องครัวอย่างทะมัดทะแมง ปากก็เล่าให้เขาฟังว่าตอนที่อยู่ในค่ายทหารเคยออกไปล่าสัตว์ต่าง ๆนาๆ จื่อฟางได้แต่เท้าคางฟัง เคลิ้มหลับเป็นช่วง ๆจนกระทั่งได้กลิ่นเนื้อกระต่ายย่างหอม ๆ กลิ่นน้ำแกงและกลิ่นปลานึ่ง ไป๋ผูอวี้ตักข้าวที่ควันขึ้นฉุยใส่ถ้วยให้ รู้สึกแย่เล็กน้อยที่ต้องให้อีกฝ่ายจัดเตรียมให้ทุกอย่าง

“ข้าขอโทษที่ช่วยงานครัวไม่ได้”เขาเอ่ยถามระหว่างที่คีบเนื้อปลาใส่จานให้ไป๋ผูอวี้ไปครึ่งซีก

“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ”ชายหนุ่มตอบอย่างไม่คิดติดใจ มองร่างเล็กใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากด้วยความหิวก็ยกยิ้มจาง แปลกจริงเรื่องเท่านี้ก็ทำให้เขามีความสุขได้แล้ว มื้ออาหารเย็นผ่านไปอย่างเงียบ ๆ แต่ไม่ได้มีความกระอักกระอ่วนใด จื่อฟางคอยคีบกับข้าวให้อย่างเอาใจ

เมื่อท้องอิ่มจื่อฟางก็อยากทำตัวมีประโยชน์บ้าง “ข้าเก็บเอง เจ้าไปอาบน้ำเถอะ”เขาเอ่ยขัดขึ้นเมื่อชายตรงหน้าจะเก็บถ้วยจานบนโต๊ะกลม ไป๋ผูอวี้มองหน้าเขาแต่ก็ยอมปล่อยให้ทำอย่างว่าง่าย ร่างนั้นจึงปลีกตัวไปอาบน้ำชำระตัว

ตกเย็นจื่อฟางนำโต๊ะเขียนหนังสือออกมาตั้งที่ลานบ้าน วาดรูปบอกเล่าเรื่องราวถึงสิ่งทันสมัยในโลกปัจจุบันให้ไป๋ผูอวี้ดู ร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ใกล้ๆ เป่าขลุ่ยเป็นบทเพลงคุ้นหู เขาจำได้ว่าเป็นบทเพลงของชนเผ่าที่ฟู่เทียนสือเป็นคนสอน เขาเคยเป่าให้อีกคนฟังเพียงครั้งเดียว ไม่คิดว่าจะสามารถจดจำได้ จึงเผลอจ้องมองใบหน้าคมอยู่นาน

“มีอะไรหรือ ฟางเอ๋อร์”เจ้าของร่างเอ่ยถาม ยังคงเป่าขลุ่ย แต่สายตากวาดมองทั่วใบหน้าของเด็กหนุ่มอีกคน

“ข้าแค่คิดว่าโชคดีนักที่มีเจ้า”

เป็นคืนที่เงียบสงบในช่วงคิมหันต์ฤดูแต่ห่างไกลออกไปจากเมืองหลวงมุ่งสู้เส้นทางคดเคี้ยวในเขตป่าทึบ เด็กหนุ่มในชุดเสื้อเนื้อหยาบนอนซุกอยู่ในรถม้า ใบหน้าแดงก่ำเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ไหสุราสองไหกลิ้งอยู่บนพื้น คนที่นั่งทำตาขวางอยู่ด้านนอกคือชายวัยสามสิบกว่าๆ เส้นผมถูกรวบตึงเป็นหางม้า เอ่ยตวาดขึ้นคำหนึ่ง

“เจ้าหุบปากได้หรือไม่”อา ไอ้เด็กนี่มันหนวกหูนัก!

“ก็เจ้า...ฮึก เจ้าขโมยความบริสุทธิ์ของข้า!”จางต้าไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องพบเจอเรื่องเช่นนี้ เขาเพียงต้องการเดินทางไปหาคุณชายเสิ่นที่เหลียวตงเท่านั้น!

“ข้าบอกว่าไม่ได้ทำอะไรเจ้าอย่างไร”เจียงฉวี่ต้าตวาด กำมือเป็นกำปั้นต่อยใส่อากาศระบายอารมณ์หงุดหงิด

“จะไม่ได้ทำได้อย่างไร!ข้าเจ็บก้น แถมที่คอของข้าก็มีรอยจ้ำแดง ข้าเคยเห็นรอยแบบนี้มาก่อน”จางต้าตวาดกลับเช่นกัน เขาเคยเห็นคุณชายเสิ่นมีอาการเช่นนี้หลังจากถูกไป๋ผูอวี้รังแก เด็กหนุ่มเกาต้นคอที่มีรอยแดงเป็นจ้ำเล็กแกรกๆ แถมเขาก็ยังปวดระบมที่บั้นท้ายด้วย

“เจ้าถูกยุงป่ากัด แถมยังเมาสุราจนตกรถม้า จะไม่ให้เจ็บได้อย่างไร ข้าจะบอกอีกทีว่าข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้า”เจียงฉวี่ต้าขู่ นึกก่นด่าคุณชายฟู่ที่ทำให้ตนต้องมีชะตาเช่นนี้

“ตะ แต่ว่า...ฮือ ๆ”จางต้าไม่เชื่อนัก

“หากยังแหกปากร้องข้าจะโยนเจ้าทิ้งกลางทางแน่”คำขู่นั้นทำให้บ่าวรับใช้หุบปากฉับ แต่ก็ยังส่งเสียงสะอึกสะอื้นทำลายความเงียบเชียบในคืนเดือนกระจ่าง เมื่อคิดว่าต้องรับมือกับเจ้าเซ่อซ่านี่ไปอีกครึ่งเดือนเจียงฉวี่ต้าก็ปวดขมับ อยากโยนเจ้าเด็กนี่ลงรถม้าให้รู้แล้วรู้รอด

คุณชายฟู่ ข้าทำเวรทำกรรมใดมาหรือ!

…………..




ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อครบห้าวันไป๋ผูอวี้ก็กลับไปประจำค่ายที่นอกกำแพงเมืองตามเดิม เขากับอีกฝ่ายตกลงกันแล้วว่าจะเขียนจดหมายติดต่อจนกว่าจะนำทัพกลับ เว่ยหลงกลายเป็นสารถีส่งจดหมายให้แก่เขาและไป๋ผูอวี้ไปเสียแล้ว ทุกสามวันยามเหม่า(05.00 น. - 06.59 น.)สือโม่จะไปส่งจดหมายที่ประตูเมือง  เว่ยหลงจะรอนำจดหมายกลับไปที่ค่ายทหาร วันแรกที่สือโม่นำจดหมายกลับมา ผู้ติดตามนั่นฝากข้อความมาถึงเขาด้วย

‘คุณชายไป๋อยู่ในช่วงสติไม่คงที่ เขาเห็นท่านเป็นเพียงตัวแทนของคนรักเพราะบัณฑิตหลิวมีใบหน้าเหมือนคนรักเก่าของคุณชาย ข้าไม่อยากให้ท่านเสียใจ เลิกติดต่อคุณชายข้าเถอะ ถือว่าข้าเตือนแล้ว’

ตอนที่เขาอ่านข้อความนั่นก็หัวเราะลั่น สงสัยว่าไป๋ผูอวี้บอกกับเว่ยหลงว่าอย่างไร อีกทั้งยังบอกเล่าอีกว่ามีทหารผู้หนึ่งพยายามนำเรื่องที่ไป๋ผูอวี้มาเมืองหลวงไปฟ้องแม่ทัพเมิ่ง แต่ท่านแม่ทัพทำเพียงกล่าวตักเตือนเท่านั้น อ่านจบจื่อฟางก็พับจดหมายเก็บ ยกยิ้มเล็กน้อยดูเหมือนว่าสกุลไป๋จะมีความสำคัญอย่างมาก เวลานี้มีแต่ผู้คนสอพลอ แม้จะหวาดหวั่นอยู่ลึกๆแต่เขาเชื่อว่าฮ่องเต้เจี่ยผิงเข้าใจจิตใจของไป๋ผูอวี้ดี

“นายท่าน หลิวฮูหยินมาพบขอรับ”อาฉีรายงานอยู่นอกประตูระหว่างที่จื่อฟางใช้เวลาวาดภาพชุนกงฮว่า(ภาพอีโรติค)คนที่อยู่ในภาพในท่วงท่าชวนให้เขินอายคือเขากับไป๋ผูอวี้ เขาตั้งใจวาดส่งให้อีกฝ่ายเป็นการเย้าแหย่เท่านั้น ไม่อยากให้ท่านรองแม่ทัพต้องเปล่าเปลี่ยว จื่อฟางได้ยินบ่าวรายงานก็รีบเก็บภาพวาด จัดเสื้อผ้าสีสันลายตาที่ค่อนข้างไม่ตรงลักษณะนิสัยของหลิวเซียนฟางอย่างเป็นกังวล แต่ช่างเถอะ เด็กหนุ่มปั้นท่าทีอย่างบัณฑิตเดินออกไปพบท่านแม่ด้วยจิตใจสงบ

เฉิงเค่อลี่รออยู่ที่ห้องรับรองปีกข้าง นางดื่มชาคลายร้อน เมื่อจื่อฟางเข้ามาในห้องก็ยกจอกชาค้างอยู่เช่นนั้นสายตากวาดมองขึ้นลง

“ท่านแม่”เขาเอ่ยเรียกระหว่างที่นั่งลงข้างกายอีกฝ่าย นางเฉิงยังคงมองบุตรชายไม่วางตา

“เหตุใดเจ้าถึงเก็บตัวเงียบเช่นนี้อาการป่วยไม่ดีขึ้นหรือ พ่อเจ้าบ่นข้าเสียจนหูชา แต่ก็ไม่ยอมมาดูเจ้าด้วยตัวเอง”นางเฉิงเอื้อมมาจับใบหน้าของเขา เด็กหนุ่มกลั้นอารมณ์วูบไหวไว้ในส่วนลึก

“ข้าสบายดี แค่อยากพักสักเล็กน้อย”เฉิงเค่อลี่พยักหน้ารับรู้ ใจจริงมีเรื่องที่อยากถามเพราะผู้คนในตรอกซีหมานต่างก็ซุบซิบถึงเรื่องนี้ ดีว่าที่หลิวชุนซิงยังไม่ได้ยิน ไม่เช่นนั้นคงแล่นมาหาหลิวเซียนฟางถึงเรือนก่อนนางเป็นแน่

“ลูกหลิว”นางเอ่ยเปรย คว้ามือของบุตรชายมาตบที่หลังมือเบา ๆ “แม่ได้ยินผู้คนในโรงน้ำชาหลิวซื่อพูดกันว่าเจ้ากับ...รองแม่ทัพไป๋มีสัมพันธ์ลับกัน”จื่อฟางได้ยินก็กระพริบตา ไม่คิดว่าข่าวลือจะเร็วถึงเพียงนี้ เขายังไม่ทันได้คิดว่าจะตอบอย่างไรนางก็เอ่ยเสริม

“ตัวข้าไม่ได้มีปัญหาเท่าไหร่ เจ้าเองก็เป็นถึงบัณฑิตปั๋วซื่อ ดูแลตนเองได้แล้ว แต่ท่านพ่อเจ้าเนี่ยสิคงไม่ยอมรับโดยง่าย”นางเฉิงกล่าวเบา ๆ ความจริงเรื่องที่บุตรชายของนางรักชอบบุรุษก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ แม้แต่เจ้าแผ่นดินยังหลงไหลชายงาม บุตรชายของนางจะชมชอบบุรุษจะมีคนว่าได้อีกหรือ หลิวฮูหยินพอจะเดาได้เพราะในวัยเยาว์หลิวเซียนฟางชอบไปขลุกอยู่กับท่านอาจารย์บ่อยเสียจนนางเป็นกังวล ดีว่าอาจารย์ที่ว่าย้ายไปอำเภออื่นแล้ว 

“ท่านแม่...”จื่อฟางเม้มปาก ความรู้สึกอุ่นวาบแผ่ซ่านในอก หญิงผู้นี้เหมือนกับแม่ของเขาจริงๆ บทสนทนานี้ทำให้นึกย้อนไปถึงเมื่อตอนที่คุยกันเรื่องของไป๋อี้เสวี่ย

“ข้านำตำราที่เจ้าต้องการมาให้”นางไม่อยากให้มีบรรยากาศแปลกๆจึงเปลี่ยนหัวข้อคุย นำห่อตำราส่งให้บัณฑิตหลิว

“ขอบคุณท่านแม่มาก”เขาเอ่ยตอบยังคงดูเหม่อลอย นางเฉิงอยู่สนทนาไม่นานจากนั้นก็ขอตัวกลับทิ้งให้จื่อฟางจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เด็กหนุ่มกลับไปในห้องเพื่อวาดภาพต่อแต่ก็พบว่าสือโม่เข้ามาตรวจตราความเรียบร้อยในห้อง ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นั้นดูเก้อกระดาก ใบหน้าแดงน้อย ๆมาคิดๆดูแล้วเจ้านี่น่าจะอายุราว ๆสิบแปดปีเท่านั้น

“อีกสองวันค่อยเอาไปส่งที่เดิม”เขาเอ่ยบอก ภาพวาดชุนกงฮว่าหลายสิบแผ่นเสร็จเรียบร้อย สือโม่พยักหน้า เข้าใจได้ในทันที แม้จะรู้เรื่องราวระหว่างรองแม่ทัพและบัณฑิตหลิวแต่ก็ไม่ได้ออกความเห็นหรือเอาไปพูดนินทาบ่าวข้างกายไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของเจ้านาย 

หลังจากนั้นจื่อฟางก็ต้องวุ่นกับเรื่องปรับระบอบการสอบ ไม่คิดว่าฮ่องเต้จะตัดสินใจเร็วถึงเพียงนี้ แต่ก็ถือว่าดีแล้วที่ไม่ได้แสดงท่าทีมีพิรุธออกไป การประชุมท้องพระโรงเขาก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างกว่าจะประชุมเสร็จก็ผ่านไปหลายชั่วยาม เด็กหนุ่มออกมาจากท้องพระโรงด้วยความรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวต้องมายืนหลายชั่วยามเป็นการทรมานกันดีๆอย่างหนึ่ง บัณฑิตสองสามคนเข้ามาเอ่ยวาจาสำบัดสำนวนด้วยประปราย เขาทำเพียงยิ้มรับด้วยท่าทางสุภาพ ร่างในชุดบัณฑิตก้าวไปตามทาง เกาจวีถังรายล้อมไปด้วยบัณฑิตผู้เลื่อมใส รูปร่างสง่าใบหน้าที่คล้ายกับคนไม่สนใจสิ่งใดให้ความรู้สึกเหมือนคุณชายจ้าวเซียวชิงผู้นั้น จื่อฟางไม่ได้เอ่ยสนทนากับผู้ใดมากนัก ก้มหน้าก้มตาเดินออกไปเงยหน้ามองเห็นร่างของขุนนางใหญ่ของเสิ่นมู่หยางเดินเข้ามาใกล้ 

“เสนาบดีเสิ่น”เขาเอ่ยทัก พยักหน้าทักทายเล็กน้อย

“บัณฑิตหลิว ข้ามีเรื่องที่อยากคุยซักเล็กน้อย เชิญทางนี้ได้หรือไม่”เสนาบดีเสิ่นกล่าวด้วยเสียงราบเรียบสีหน้าไม่ปรากฏอารมณ์แต่สายตาที่จ้องมองร่างของบัณฑิตหลิวกลับทำให้รู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย   

“ท่านเสนาบดีมีเรื่องใดหรือ”เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อร่างตรงหน้าหยุดลงที่จุดห่างออกมาจากกลุ่มทหารและบัณฑิตขุนนางผู้อื่นที่ทยอยออกมาจากท้องพระโรง เกาจวีถังมองมาด้วยสายตาใครรู้ก่อนจะออกไปพร้อมสภาบัณฑิต 

“อะแฮ่ม ข้าแค่มีเรื่องอยากถาม พักนี้มีข่าวลือจากทหารเฝ้าประตูเมือง...”พออีกฝ่ายเกริ่นเช่นนี้ จื่อฟางก็รู้ได้ทันทีว่าหมายถึงเรื่องใด คงไม่พ้นเรื่องของไป๋ผูอวี้กระมัง

“ทหารพวกนั้นบอกว่าเจ้าส่งจดหมายโต้ตอบกับรองแม่ทัพไป๋”เสิ่นมู่หยางไม่สะดวกใจนักที่เอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยเรื่องนี้ แต่การกระทำของไป๋ผูอวี้ทำให้เขาไม่เข้าใจ เขายังจำสีหน้าของอีกฝ่ายยามนำร่างไร้ชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยออกมาจากกองเพลิงได้ดี ไหนจะยังมาขอเรื่องร้านค้าแปลกประหลาดนั่นอีก คนในตรอกทางฝั่งทิศตะวันตกบอกว่าเห็นหลิวเซียนฟางสนิทแนบชิดกับไป๋ผูอวี้ ตอนแรกเขาไม่อยากเชื่อนักเพราะไป๋ผูอวี้ดูเศร้าเสียใจกับการตายของเสิ่นจิ้งเฟย

จื่อฟางยังคงตีสีหน้าเช่นเดิม พยายามนึกหาคำพูดดีๆมาใช้ แต่เมื่อคิดว่ายังไงอีกฝ่ายก็ต้องรู้จึงตัดสินใจเอ่ยบอกไปตามตรง

“เสนาบดีเสิ่น ข้าจะบอกท่านตามตรงเลยก็แล้วกัน ถึงอย่างไรท่านก็ต้องทราบอยู่ดี สิ่งที่ท่านถามเป็นความจริง ข้ากับรองแม่ทัพไป๋มีความรู้สึกดี ๆต่อกัน ไป๋ผูอวี้ไม่ได้ทำผิดต่อเสิ่นจิ้งเฟย คนที่มีชีวิตอยู่ต้องก้าวเดินต่อไปไม่ใช่หรือ เสนาบดีเสิ่นคงทราบดีเพราะท่านก็ทำอย่างเขา”เด็กหนุ่มหมายถึงเรื่องของโหยวหลันมารดาที่จากไปของเสิ่นจิ้งเฟย จึงไม่แปลกใจนักที่เห็นเสิ่นมู่หยางมีสีหน้าโกรธเคืองที่เขาหยิบยกเรื่องนี้มากล่าว

“บัณฑิตหลิว...”

“ข้าขอตัว”เขายิ้มเมื่อเห็นสีหน้าอันคุ้นเคยของอีกฝ่าย ค้อมกายให้ท่านเสนาบดีก่อนจะหมุนกายก้าวออกไปยังประตูทางออกด้านข้าง อาฉียืนรออยู่ข้างเกี้ยว จื่อฟางถอนหายใจก้าวเข้าไปนั่งในเกี้ยว คิดว่าอีกไม่นานข่าวลือเรื่องของเขาและไป๋ผูอวี้คงกระจายออกไป รองแม่ทัพไป๋จะถูกกล่าวถึงเช่นไรนะ?ไหนจะบัณฑิตหลิวเซียนฟางผู้คร่ำครึ คิดถึงเรื่องนี้ก็หัวเราะออกมาดังๆ                                                                                                   

กว่าจะกลับมาถึงเรือนเวลาก็ล่วงเลยเกือบบ่าย พ่อบ้านแซ่เฟิงเตรียมอาหารไว้ได้ทันเวลา จื่อฟางจึงจัดการในเวลาไม่ถึงก้านธูปเมื่อผ่านพ้นมื้ออาหาร เด็กหนุ่มก็มานั่งงีบในสวนเล็ก ๆ ดื่มชาคลายร้อน สาวใช้ร่างน้อยอวบอิ่มโบกพัดให้ผู้เป็นนาย เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าหนังตาปรือ ระหว่างที่เกือบเคลิ้มหลับนั้นก็รับรู้ว่ามีลมแรงพัดมาวูบหนึ่งจนทำให้เศษฝุ่นและใบไม้กระจาย ข้ารับใช้ต่างก็พากันส่งเสียงร้องอย่างตกใจ เมื่อลืมตามองก็พบร่างของหญิงงามแสนคุ้นตา กลิ่นหอมอวลอยู่ในอาการ เขายกยิ้มเป็นการทักทาย

“แม่นางซู เหตุใดไม่เข้าทางประตูหน้าเล่า”จื่อฟางขยับตัวนั่งหลังตรง โบกมือไล่ข้ารับใช้

“พวกเจ้าออกไปก่อนนางเป็นคนรู้จักข้า”เมื่อกล่าวเช่นนี้อาฉีและสือโม่ก็พากันนำสาวใช้ออกไปจากลานบ้าน  ซูเหลียนฮวาไม่เอ่ยมากความก้าวฉับๆมาหาผู้ที่สวมชุดบางเบาสบายตาการแต่งกายเช่นนี้ให้ความรู้สึกว่าคุ้นชิน นางเอื้อมมือช้อนปลายคางของอีกฝ่ายเอียงไปมา สายตาคมกริบกวาดมองไปทั่วใบหน้าเกลี้ยงเกลา หน้าตาธรรมดาๆเช่นนี้…นางเคยเห็นมาก่อน จากม้วนภาพวาดของคุณชายไป๋

“หน้าเหมือนคุณชายจื่ออย่างที่ศิษย์พี่รองว่า ต่างกันตรงที่เจ้ามีไฝ อีกคนไม่มี”ซูเหลียนฮวาพึมพำ ใช้นิ้วสะกิดไฝบนหน้าของเด็กหนุ่มจนสะดุ้งโหยง ชายร่างเล็กปัดมือของนางออก

“ไฝบนหน้าข้าเป็นของจริง ว่าแต่ใครคือคุณชายจื่อ?ท่านหมายถึงคนรักของไป๋ผูอวี้น่ะหรือ”จื่อฟางกล่าว จิ้มซีกแตงโมเข้าปากด้วยท่าทางสบายอารมณ์ หญิงงามตรงหน้ากวาดสายตามองเขาไม่วางตา เดินวนอยู่สองสามรอบ เด็กหนุ่มได้แต่มองอย่างนึกสงสัยคิดว่านางเกิดเพี้ยนอะไรอีก

“แปลกจริง ๆ ข้ารู้จักคุณชายไป๋ดี เขาไม่มีทางเปลี่ยนใจจากผู้ใดโดยง่าย”หญิงที่ได้ฉายาว่านางมารหมื่นพิษขมวดคิ้วแน่น บัณฑิตท่านนี้หน้าตาไม่โดดเด่นพอให้คุณชายเปลี่ยนใจ แต่นางรู้ว่าคุณชายไม่ใช่พวกที่มองคนจากรูปลักษณ์ หรือจะเป็นที่นิสัย?

“หรือคุณชายไป๋เห็นบัณฑิตท่านนี้หน้าเหมือนคุณชายจื่อ...”นางมารหมื่นพิษพึมพำกับตัวเองแต่นางก็คิดว่าไม่ใช่ ไป๋ผูอวี้เป็นคนที่แยกแยะได้ ไม่มีทางเอาผู้อื่นมาแทนที่คุณชายจื่ออย่างแน่นอน

“ข้าคือจื่อฟาง”ร่างตรงหน้าเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง แต่สีหน้าคล้ายกับหงุดหงิด ซูเหลียนฮวาทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้กลมตรงข้ามกับอีกร่าง หัวเราะเบาๆในลำคอ กลิ่นกายหอมเป็นเอกลักษณ์ลอยของนางคงต้องจมูกของอีกฝ่ายเข้า

“ท่านล้อเล่นแล้ว”

“ข้าเจอเจ้าครั้งแรกที่หอคณิกาชั้นสูง อา ชื่อว่าอะไรนะ จำไม่ได้แล้ว แต่เจ้าช่วยข้าจากหลี่ฮุ่ยจือ ด้วยการทำให้เขาสลบ”จื่อฟางเล่าเรื่องเก่าๆด้วยรอยยิ้ม มองปฏิกิริยาของหญิงงามด้วยสายตาขบขัน เขาไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มาก่อน นางมารหมื่นพิษเบิกตาตื่นตะลึง คล้ายไม่อยากเชื่อหู ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่านางจะได้สติ ที่อีกฝ่ายพูดมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานแล้ว และไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกจากผู้อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งมีเพียงนาง คุณชายไป๋ เสิ่นจิ้งเฟยไม่สิวิญญาณของคุณชายจื่อและหยางชวีเท่านั้น 

“ท่านคือคุณชายจื่อ…เป็นไปได้อย่างไร”นางไม่รู้ว่าสมควรกลัวจื่อฟางดีหรือไม่ เหตุใดถึงได้มาอยู่ในร่างคนอื่นอีกแล้วเล่า ทั้งเรื่องเล่าจากเสิ่นจิ้งเฟยและบัณฑิตท่านนี้ ไม่แปลกใจหากเว่ยหลงจะหวาดกลัว

“นี่เป็นร่างที่เหมือนกับข้าใช่หรือไม่ ในโลกที่ข้าอยู่ ข้าก็มีหน้าตาเช่นนี้ ยกเว้นที่ไฝ”ร่างในคราบบัณฑิตยกยิ้มอย่างนึกขัน ซูเหลียนฮวาเริ่มตั้งสติได้   

“ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อนัก มิน่าเล่าคุณชายไป๋ถึงขั้นหลบหนีกลับมาที่เมืองหลวง หากไม่ใช่คุณชายจื่อ คนผู้นั้นก็ไม่มีทางทำเรื่องแหกกฎแน่”นางรำพึง สายตายังคงจับจ้องไปที่ร่างของบัณฑิตตรงหน้าก่อนเอ่ยถาม

“คุณชายเป็นเทพเซียนรึ?”ซูเหลียนฮวาสมองหมุนติ้วไปหมด เหตุใดถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น?

“เทพเซียน?เจ้าล้อเล่นแล้ว ข้าหน้าตาธรรมดาเช่นนี้จะเป็นเทพเซียนไปได้อย่างไร”จื่อฟางก็คิดว่าเรื่องวิญญาณเข้าร่างเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับคนยุคโบราณไม่แปลกที่เว่ยหลงจะคิดว่าเขาคือผีสิงร่าง แม้แต่ซูเหลียนฮวาก็ยังมีท่าทีไม่เป็นตัวเอง น้อยครั้งนักที่หญิงสาวนางนี้จะทำสีหน้าโง่งม

“คุณชายไป๋คงชอบอะไรจืดๆ แต่จากท่าทีกระฉับกระเฉงของคุณชาย ข้าว่าเจ้าคงไม่จืดชืดอย่างที่ตาเห็นหรอกกระมัง”นางทำสายตาแพรวพราว นึกอยากเอ่ยหยอกเรื่องนี้กับไป๋ผูอวี้นัก เมื่อนึกถึงเรื่องเก่าๆคุณชายบอกว่าไม่ชอบลูกไหนไม่ใช่หรือ  ตอนนี้ก็มาแอบกินอย่างที่นางเคยว่าไว้ด้วย

“ไป๋ผูอวี้ต่างหากที่ไม่เป็นอย่างที่เห็น”เด็กหนุ่มพึมพำให้ตัวเองได้ยินเพียงคนเดียว

“คุณชายจื่อฟาง ข้าดีใจที่ท่านกลับมาแล้ว ยามไม่มีท่านคุณชายของข้าไร้ชีวิตชีวา ข้าไม่อยากเห็นคุณชายไป๋เป็นอย่างตอนนั้นอีก”ซูเหลียนฮวายกยิ้มกล่าวจากใจจริง นึกถึงเจ้าคนหน้าตายที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องของจื่อฟางเช่นกันก็ลดรอยยิ้มลง   

“คุณชายไม่คิดอยากเจอหยางชวีอีกหรือ เจ้าหน้าตายนั่นคงดีใจหากรู้ว่าท่านกลับมา”นางไม่รู้ว่าป่านนี้หยางชวีจะเป็นอย่างไรแล้วบ้าง รับใช้เสิ่นจิ้งเฟยไม่ใช่เรื่องง่าย

“ไม่ดีกว่า หากได้เจอก็คงเจอเอง”เขาส่ายหน้าก่อนเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “อาการขององค์รัชทายาทดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่”

“ข้ารักษาเท่าที่ทำได้ แม้ตอนนี้จะพ้นอันตรายแล้วแต่หมอหลวงก็ต้องตรวจดูตลอดเวลา”นางเอ่ยตอบ คิดว่าถึงเวลาที่ตนต้องกลับวังหลวงแล้วเช่นกัน แม้ว่าจะเบื่อหน่ายแต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของเจ้าแผ่นดินก็ปฏิเสธไม่ได้ ยังดีว่าได้ประมือแก้เซ็งกับเฮ่อเจ๋อ หญิงงามยกยิ้มเมื่อนึกถึงช่วงเวลาสนุกกับองครักษ์ผู้นั้น

“ข้าขอตัวก่อน บัณฑิตหลิว”ร่างนั้นจงใจเอ่ยหยอกก่อนจะหมุนกายจากไปทางกำแพงจวน จื่อฟางได้แต่มองตาม ครุ่นคิดว่าหนึ่งในวิชาของสกุลไป๋รวมการปีนกำแพงบ้านผู้อื่นด้วยหรือเปล่า
~•~

อีกฝากฝั่งของเส้นทางที่เรียกว่าเหลียวตง ท่ามกลางป่าเขามีบริเวณลานกว้างมีหมู่บ้านเล็ก ๆแห่งหนึ่งปรากฏอยู่ เวทีขนาดกลางปรากฏร่างคุณชายรูปงามมีไฝเสน่ห์ใต้ดวงตาคม ร่างนั้นดีดบรรเลงกู่เจิงด้วยท่วงท่าสะกดสายตาผู้ชม แม้จะมีนางรำร่างอ่อนช้อยสี่คนเคลื่อนไหวร่างกายงดงามดุดัน แต่ส่วนใหญ่ผู้ชมจะเป็นหญิงวัยขบเผาะต่างก็จ้องไปที่คุณชายฟู่ ชายหนุ่มชายตามองทีหนึ่งหญิงพวกนั้นก็เขินอายจนหน้าแดง เบื้องหลังเวทีมีกระโจมใหญ่ตั้งอยู่ ภายในมีผู้ติดตามหน้าตายคนหนึ่งผู้มีคิ้วขมวดมุ่นและคุณชายผู้มีใบหน้างดงามแต่ที่แก้มข้างซ้ายกับมีรอยแผลเป็นยาวปรากฏอยู่ แต่ร่างนั้นหาได้ใส่ใจหาสิ่งใดปกปิด กลับมวยผมสูง เผยดวงหน้ายาวกระจ่างตา

“คุณชายเสิ่น ข้าน้อยทำไม่ได้”

“ทำไมจะไม่ได้ เจ้าเองก็อยากลองมิใช่รึ”เสียงนั้นแฝงแววหยอกล้อแต่ก็เจือความเยาะหยันอยู่ในที

“…ข้าไม่มีฝีมือ”

“วางหมากเร็วๆเข้า”เสิ่นจิ้งเฟยตวัดสายตามองอย่างไม่สบอารมณ์นักเมื่อผู้ติดตามผู้นี้ยังคงลีลาชักช้า กะอีแค่วางหมากมันยากตรงที่ใด เล่นกับจางต้าบ่าวเซ่อซ่านั่นยังสนุกกว่านักอย่างน้อยก็ยังมีปฏิกิริยาที่น่าหัวร่อ ที่คั่นกลางระหว่างทั้งสองคนคือกระดานหมาก

“ขอรับ”หยางชวีตอบเสียงเรียบ ในใจก่นด่าคุณชายเสิ่น มิน่าเล่าจางต้าถึงได้เอาแต่บ่นถึงท่านให้ข้าได้ยิน ตั้งแต่ได้ร่วมเดินทางมายังเหลียวตงกับคุณชายผู้นี้ ชายหนุ่มก็ได้เรียนรู้เรื่องราวหลายอย่าง เช่นว่าจะตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกมิได้ การติดตามคุณชายเสิ่นไม่ได้แย่อย่างที่ตัวเขาจินตนาการไว้ แม้ว่าคนผู้นี้จะชอบทำเหมือนไม่เห็นหัวผู้อื่นแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่เขาทนได้

“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะโง่งมเช่นนี้ เห็นทำสีหน้าสุขุมก็น่าจะมีไม้ตายบ้างสิ”เสียงของคุณชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามดังแว่วมาทำให้ผู้ติดตามนึกอยากเปลี่ยนความคิดเมื่อครู่

“เจ้าคงด่าข้าอยู่กระมัง”เสิ่นจิ้งเฟยยกยิ้มอย่างนึกขัน

“ข้าน้อยมิกล้า”คนผู้นี้ไม่เหมือนคุณชายจื่อเลยสักนิด…ร่างของเขาเกร็งชะงักไปเมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ แน่ล่ะจะเหมือนได้อย่างไรมิใช่คนเดียวกันย่อมไม่เหมือนอยู่แล้ว ยกเว้นนิสัยบางอย่างที่ทำให้เขานึกถึงคุณชายที่อยู่ห่างไกลออกไป

“คงไม่ได้นึกถึงจื่อฟางอยู่หรอกกระมัง”เสิ่นจิ้งเฟยใช้สายตาสำรวจร่างของผู้ติดตาม คนผู้นี้แม้จะทำเป็นไร้ความรู้สึกแต่ภายในกลับซ่อนเอาไว้มากมาย ใช่ว่าเด็กหนุ่มไม่สังเกตหากว่าเขาทำเรื่องใดที่คล้ายกับจื่อฟาง หยางชวีจะชะงักไปเสียทุกครั้ง

“…”ผู้ติดตามไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงแค่วางหมากสีขาวลงลนกระดานเงียบๆ เสิ่นจิ้งเฟยกวาดตามองตัวหมากที่ถูกวางในตำแหน่งที่จับกินได้โดยง่าย นอกจากไป๋ผูอวี้ที่สามารถเล่นได้อย่างสูสีแล้วก็มีเพียงคนผู้หนึ่งที่ทำให้เขาครุ่นคิดอย่างจริงจัง นึกไปถึงเรื่องหนึ่งที่เคยถูกถามเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในร่างของเจาเฟิง

‘จิ้งเฟย เจ้ารู้จักข้ามานาน ไม่รู้สึกชมชอบข้าบ้างเลยหรือ’เป็นคำถามใดกัน เขาเพียงปรายตามองอย่างเฉยชา

‘เหตุใดข้าต้องชมชอบท่านด้วย ท่านมีสนมชายงามมากมาย ข้าไม่จำเป็นต้องชอบท่านหรอกกระมัง’เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนักก้มหน้าอ่านตำราในมือ

‘หากข้าปลดชายงาม เจ้าจะยอมพูดดีๆกับข้าสักครั้งได้หรือไม่’ผู้เป็นเจ้าแผ่นดินเอ่ยถามอย่างไม่จริงจังนักสายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของเขา เป็นสายตาที่ทำให้ขนอ่อนที่ลำคอลุกชัน

‘ท่านอยากให้ข้าพูดดีด้วย?ง่ายนักแค่ยอมปล่อยข้าไปก็พอ…’ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว เขาเห็นเพียงความต้องการอยากได้ครอบครองของอีกฝ่ายเท่านั้น ยามที่คนผู้นั้นเป็นฮ่องเต้เจี่ยผิงเขาไม่รับรู้ความอบอุ่นอ่อนโยนอย่างที่ฟู่จวิ้นมี ท่านใช่คนเดียวกันแน่หรือ?

ร่างนั้นหยุดชะงักไปกับคำพูดของเขา ‘หากข้าปล่อย เจ้าจะคุยดีกับข้าได้อย่างไร ถึงเวลานั้นเจ้าคงหนีข้าไปไกลแล้วกระมัง’


“คุณชายเสิ่น!”หยางชวีเอ่ยเรียกอยู่หลายครั้งเมื่อเห็นเสิ่นจิ้งเฟยเอาแต่จ้องตัวหมากอย่างเหม่อลอย

“ว่าอย่างไร”เด็กหนุ่มกระพริบตา เสียงกู่เจิงด้านนอกเงียบลงแล้ว เมื่อเงยมองไปที่ปากกระโจมก็พบว่าร่างสง่าของฟู่เทียนสือปรากฎอยู่ จังหวะการเต้นในอกของเขาผิดจังหวะไปเล็กน้อย ยังคงมีความรู้สึกวูบไหวอยู่บางประการ บางทีเขาอาจมองคนแซ่ฟู่เป็นดั่งรักแรกพบ?เสิ่นจิ้งเฟยย่นคิ้ว ไม่รู้ว่าคืออะไรแต่ความรู้สึกยามที่ได้พบหน้าของฟู่เทียนสือมีเพียงความยินดี ยินดีที่ได้พบเจอกันอีกครั้ง แต่เด็กหนุ่มไม่ได้อยากเข้าไปโอบกอด ไม่เหมือนยามที่ต้องจากร่างของเจาเฟิง ในตอนนั้นมีความคิดบางอย่างที่ไม่อยากยอมรับวาบเข้ามา

‘เจ้ารักเจี่ยผิงหรือ’เสียงหนึ่งเอ่ยถาม

‘ไม่ได้รัก...’เขาไม่ได้รัก บางทีคนเช่นเขาคงรักผู้ใดไม่ได้ แม้แต่ร่างกายตัวเองเขาก็ยังเกลียด แต่หากถามว่ารู้สึกใดกับคนผู้นั้นหรือไม่ ตอนที่อยู่ด้วยก็มีเพียงความรู้สึก...เกลียดชัง?เขารู้สึกเกลียดคนผู้นั้นที่มักมาก เกลียดที่หลอกลวง เกลียดที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเสิ่นจิ้งเฟยมากถึงเพียงนี้ ในความทรงจำเกือบทั้งหมดก็มีแต่คนผู้นั้น ตั้งแต่ตอนเด็ก ยันตอนอยู่ที่วังหลวง

“น้องเสิ่น เจ้าเหม่อลอยอีกแล้ว”ฟู่เทียนสือก้าวเข้ามาในกระโจม สายตาปราดมองกระดานหมาก ดูท่าหยางชวีจะแพ้ เขาเบนสายตามองเสิ่นจิ้งเฟย จะว่าไปคุณชายเสิ่นยามนี้ค่อยคล้ายกับคนที่เขาเคยรู้จัก ชายหนุ่มก้มมองจดหมายที่ถืออยู่ในมือ คิดว่าจะแกะอ่านคราวหลังแต่ทั้งเสิ่นจิ้งเฟยและหยางชวีต่างก็มองเป็นตาเดียว คุณชายสกุลฟู่จึงจำต้องคลี่เปิดอ่าน สีหน้าตกใจครู่หนึ่งแต่ก็เปลี่ยนเป็นคงเดิม

“เกิดอะไรขึ้น”เสิ่นจิ้งเฟยถาม อยากรู้ว่าเกิดเรื่องใดบ้างหลังจากเกิดเรื่องกบฏ เขาเห็นกำลังของเจี่ยอี้บุกเสียนหยาง แน่นอนว่าต้องบุกเมืองหลวงด้วย

“จดหมายตกค้างของเมื่อเดือนก่อน บอกว่ากองทัพชาวหูและชนเผ่านอกด่านบุกถึงกำแพงเมืองฉางอันแล้ว ฮ่องเต้เจี่ยผิงเตรียมรับศึก”ฟู่เทียนสือกล่าว มองเห็นสีหน้าตื่นตระหนกปรากฏอยู่บนใบหน้าของเสิ่นจิ้งเฟย ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องกำลังชนเผ่าที่ถึงประตูเมืองหรือเรื่องของฮ่องเต้เจี่ยผิง เขาได้ยินข่าวลือมากมาย แต่ก็ไม่อยากเอ่ยถามคุณชายท่านนี้ รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องที่ตนเข้าไปแตะต้องได้ แต่หากเสิ่นจิ้งเฟยพร้อมบอกเมื่อใดเขาก็ยินดีรับฟัง

“ข้าตัดสินใจแล้ว”หยางชวีเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ในใจหวนคิดไปถึงนายท่านใหญ่และศิษย์พี่ “หากจางต้าเดินทางมาถึง ข้าจะกลับฉางอัน”

“เจ้าก็รู้ว่าการเดินทางค่อนข้างไกล ไม่ร่วมเดินทางไปกับคณะสกุลฟู่เล่า”ฟู่เทียนสือใช้เวลาการเดินทางเกือบสองเดือนเพราะมากับคณะร้องรำของสกุลฟู่ เขามีแผนจะพำนักอยู่ที่เหลียวตงเพียงเดือนเดียวเท่านั้นก่อนจะออกเดินทางเลียบแม่น้ำไปยังพื้นที่ตอนใต้แล้วค่อยกลับเมืองหลวง ส่วนเสิ่นจิ้งเฟยจะพักอยู่ที่นี่หรือเดินทางไปกับเขา เจ้าตัวยังไม่ได้ตัดสินใจ หยางชวีเร่งเดินทางจากเมืองเสียนหยางมาถึงเหลียวตงภายในเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆระยะที่นานถึงเพียงนั้นกว่าจะไปถึงเมืองหลวงเหตุการณ์ฝั่งนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างแล้วไม่มีทางรู้ได้

แต่จากการที่คลุกคลีอยู่กับชนเผ่าเซียนปี้ พวกชาวหูเก่งกาจด้านฆ่าฟัน หากได้แม่ทัพดีก็มีความเป็นไปได้ในการโจมตีฉางอัน เขาได้ยินว่าช่างอิ่นองค์ชายใหญ่ผู้ถูกปลดผู้นั้นไม่ได้นำทัพเองเพียงแค่ติดตามไปดูกำลังของทหารทัพเจี่ย เขาได้ส่งสารน์ไปกับขบวนสิ้นค้าที่เข้าเมืองหลวงเพื่อบอกข่าวกับเสนาบดีเสิ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใด

“ถึงอย่างไรข้าก็อยากกลับไปดูว่าไม่มีเรื่องร้ายแรงใด”หยางชวีตอบอย่างหนักแน่น หันมองไปทางคุณชายเสิ่น

“คุณชาย ท่านคงไม่ว่ากระมัง”

“การตัดสินใจของเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้า”เสิ่นจิ้งเฟยตอบเพียงเท่านี้ ก่อนจะกลับมาสนใจกระดานหมากอีกครั้ง

“แต่ท่านก็ควรสนใจผู้อื่นบ้าง”หยางชวีเผลอตัวเอ่ยออกไปอย่างไม่ทันคิด เสิ่นจิ้งเฟยชะงักมือ สีหน้าเดาไม่ถูก ฟู่เทียนสือไม่อยากให้มีเรื่องยุ่งจึงกระแอมเบาๆ

“ข้าน้อยขออภัย”ผู้ติดตามเอ่ยเสียงนิ่ง

“ช่างเถอะ”คุณชายเสิ่นถอนหายใจ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก นึกไปถึงเรื่องจดหมายของคนแซ่ฟู่ ลึกๆแล้วเขาก็ยังเป็นห่วงเสิ่นมู่หยาง ยามนี้คงอยู่กับหานตง แม้จะยังโกรธเคืองแต่เขาก็ไม่ได้อยากเห็นบิดาของตนตกอยู่ในอันตราย ได้แต่สงสัยว่าท่านพ่อแต่งตั้งอนุนางนั้นหรือยัง

“น้องเสิ่นเล่า อยากกลับไปกับหยางชวีหรือไม่”ฟู่เทียนสือเพียงถามหยอกล้อเท่านั้น และก็ได้ผล ร่างผอมบางตวัดสายตาคมกริบมอง

“ข้าจะอยู่เหลียวตง”เสิ่นจิ้งเฟยตอบสั้น ๆ แผนการเดิมของเขาคือเมืองเวินโจวบ้านเกิดของคนแซ่ฟู่ แต่ยามนี้ในเมื่อมาถึงเหลียวตงก็ไม่อยากเดินทางบ่อยครั้ง เด็กหนุ่มคิดจะอยู่ที่นี่ครึ่งปี แล้วค่อยเดินทางท่องเที่ยวอย่างที่อยากทำ ลังเลใจเล็กน้อยว่าควรฝากจดหมายไปกับหยางชวีดีหรือไม่ คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัว

บางคำถามก็ไม่มีคำตอบ บางคำตอบก็รู้ได้โดยที่ไม่ต้องเอ่ยถาม



ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
 
~•~

เป็นวันฟ้ากระจ่าง อากาศร้อนเริ่มจางหายสารทฤดูกำลังมาเยือน จื่อฟางสั่งให้บ่าวส่วนหนึ่งไปทำความสะอาดที่เรือนเล็กของไป๋ผูอวี้เพราะใกล้จะครบหนึ่งเดือนแล้วเหลือเพียงพ่อบ้าน อาฉีและสือโม่คอยดูแล ช่วงสายๆเขาจึงนั่งอยู่ในลานบ้านกำลังคัดลอกกฎใหม่สำหรับการสอบ แต่บรรยากาศแบบนี้มักทำให้เคลิ้มหลับได้ง่าย จื่อฟางรู้สึกว่ามีลมเย็นพัดเข้ามาวูบหนึ่ง ความรู้สึกที่คล้ายกับถูกจ้องมองทำให้ต้องเปิดเลือกตาขึ้นแต่พอลืมตาก็พบกับร่างสูงใหญ่ของคนที่สมควรจะอยู่ที่ค่ายทหารนอกกำแพง

“ไป๋ผูอวี้”เขายืดตัวขึ้น ใจเต้นเร็วอย่างไม่เอาไหนแค่เพียงเห็นหน้าก็ทำให้เป็นเช่นนี้แล้ว เด็กหนุ่มก้าวไปหาร่างสูงโอบกอดอย่างคิดถึง ไป๋ผูอวี้หัวเราะเบา ๆ มองเห็นบ่าวในเรือนเมียงมองมาแต่เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดก็พากันหลบหลีกอย่างรู้หน้าที่ ชายหนุ่มตบแผ่นหลังของจื่อฟางเบา ๆ

“ท่านรองแม่ทัพแอบมาหาข้าอีกแล้วหรือ”เขาผละออกมาจากอ้อมกอดของอีกคน

“ข้ามาเข้าเฝ้าฮ่องเต้”ไป๋ผูอวี้ตอบ อันที่จริงการเข้าเฝ้าก็ไม่มีอะไรให้พูดถึงมากนัก ส่วนใหญ่แม่ทัพเมิ่งเป็นคนรายงาน ไม่ได้เจอฮ่องเต้เจี่ยผิงตั้งแต่นำทัพไปที่เสียนหยางพบว่าคนผู้นั้นผ่ายผอมไปจากเดิมไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยหรือเรื่องปัญหาบ้านเมือง ชายหนุ่มได้เจอซูเหลียนฮวานางดูจะมีความสุขดีแม้ว่าจะมีท่าทางเบื่อหน่ายแต่นางยังคงต้องเฝ้าดูอาการของรัชทายาทอย่างใกล้ชิด

“เรียบร้อยดีหรือไม่”จื่อฟางเอ่ยถามกลัวว่าฮ่องเต้จะสั่งเพิ่มการเฝ้าระวังทำให้การพบเจอกับไป๋ผูอวี้ยืดออกไป

“เรียบร้อยดี อันที่จริงข้าอยากเจอหน้าเจ้ามากกว่า”อีกฝ่ายเอ่ย ก้มมองด้วงดวงตาวิบวับจึงต้องกระแอมเบาๆ แก้อาการเก้อกระดาก

“เจ้าส่งภาพวาดใดมาให้ข้าหรือ ฟางเอ๋อร์”ไป๋ผูอวี้ก้มมองศีรษะเล็ก ๆของอีกฝ่าย รู้สึกว่าหมั่นเขี้ยวยิ่งนัก ภาพวาดนั้นสวยงามจนไม่สามารถมองเป็นภาพโป๊เปลือยแต่เว่ยหลงที่ผ่านมาเห็นไม่ได้คิดเช่นนั้น บอกว่าน่าเกลียดแต่ก็จับจ้องตาถลนอย่างใคร่รู้ทำให้เขาพานคิดว่าเว่ยหลงอายุเท่าใดแล้ว มีแม่นางน้อยในใจหรือยัง

“ข้ากลัวว่ารองแม่ทัพไป๋จะเปล่าเปลี่ยว”จื่อฟางพึมพำบอกฝังหน้าลงกับหน้าอกแกร่งแต่ริมฝีปากผุดเป็นรอยยิ้ม

“อืม…”อีกฝ่ายลากเสียงในลำคอจนเขาเดาความคิดไม่ออกจึงเงยหน้ามอง ชายหนุ่มจึงก้มจุมพิตที่หน้าผากของเขาเบา ๆตั้งแต่เกิดเรื่องกับจื่อฟาง คนผู้นี้ก็ยิ่งเปิดเผยจนเป็นอันตรายต่อใจเขานัก ทันใดนั้นเองเกิดเสียงดังขึ้นที่หน้าประตูบ้าน กลุ่มคนท่าทางเหมือนอันธพาลใช้ไม้พองพังประตูเข้ามาอย่างอุกอาจ จื่อฟางขมวดคิ้ว อาฉีและสือโม่รีบออกมาดู คราแรกก็ตื่นตระหนกที่มีคนท่าทางเหมือนพวกอันธพาลบุกเข้ามาถึงเรือน แต่เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของรองแม่ทัพไป๋ก็คลายใจ ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ไป๋ผูอวี้หมุนกายมองกลุ่มคนอันธพาลที่เข้ามาถึงในลานบ้านก็ขมวดคิ้ว คนพวกนี้คิดอย่างลองดีกับตนอย่างนั้นหรือ

“พวกเจ้าต้องการสิ่งใด”ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ปรากฏอารมณ์ จื่อฟางได้แต่มองเงียบๆ ไม่ได้หวาดหวั่นเพราะรู้ดีว่าไป๋ผูอวี้รับมือได้เพียงแค่กลัวจะเกิดเรื่องวุ่นวาย

“เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปมาหาสู่บัณฑิตหลิวเช่นนี้”ลูกน้องคนหนึ่งโพล่งออกมา จื่อฟางจ้องมองกลุ่มคนตรงหน้าพูดจาเช่นนี้ย่อมต้องเป็นคนรู้จักของร่างนี้ เขาครุ่นคิดอยู่นานก็รู้สึกว่าคนพวกนี้หน้าตาคุ้นนัก

“เขาเป็นภรรยาข้า”เสียงพูดของไป๋ผูอวี้คล้ายกับจ่ออยู่ที่ใบหู ใบหน้าของจื่อฟางร้อนวูบวาบ  คำพูดของรองแม่ทัพไป๋สร้างความตื่นตระหนกให้แก่กลุ่มอันธพาลยิ่งนักรวมไปถึงภรรยาที่ถูกเอ่ยถึงด้วย

“เจ้าบ้ารึ”เขาหันไปขึงตาใส่ “ใช่เรื่องมาพูดตอนนี้ไหมเล่า”

“ผายลมแล้ว!บัณฑิตหลิวไม่ใช่ภรรยาเจ้า”คนอันธพาลหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย บัณฑิตหลิวเป็นชายจะเป็นภรรยาได้อย่างไร

“พวกเจ้าจะทำอะไร”จื่อฟางเอ่ยออกไปเพื่อดูท่าทีของคนอันธพาล หนึ่งในนั้นหยุดชะงัก เหลือบมองไปทางด้านหลัง

“บัณฑิตหลิว เหตุใดท่านถึงทำตัวเช่นนี้”

“เจ้ารู้จักคนพวกนี้?”ชายหนุ่มผู้เป็นรองแม่ทัพเอ่ยถามคนที่ยืนอยู่ข้างกาย ก่อนปราดมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างไม่จริงจังนัก ต่อให้เขาไม่ได้เป็นรองแม่ทัพ อันธพาลพวกนี้จะเอาสิ่งใดมาสู้กับบุตรชายสกุลไป๋ผู้เป็นวรยุทธ์

“ข้าไม่รู้จัก แต่…”เด็กหนุ่มประสานสายตาสื่อความนัยไปให้รู้ว่าน่าจะเป็นเรื่องของหลิวเซียนฟาง

“ไม่รู้จัก!?บัณฑิตหลิวท่านถือตัวจนไม่อยากนับพี่น้องกับเราแล้วหรือ”หนึ่งในนั้นกระชากเสียงตอบ จื่อฟางอ้าปากงุนงง พยายามเค้นความทรงจำถึงคนพวกนี้ ปรากฏภาพลางๆของเหลาสุราแห่งหนึ่ง …เหลาสุรา เขาพลันใจเต้นแรง รับรู้ว่าไป๋ผูอวี้ก้าวไปด้านหน้า

“ข้ากับพวกท่านพูดคุยกันดีๆได้หรือไม่”ถึงอย่างไรชายหนุ่มก็ไม่อยากสร้างเรื่อง

“ถ้าจะพูดคุยก็ต้องพูดคุยกับข้าเท่านั้น”ร่างหนึ่งปรากฏกายให้เห็น คนผู้นั้นเดินเอามือไพล่หลังเข้ามา จื่อฟางใจกระตุกเพราะใบหน้าคุ้นตานั้น จึงได้แต่ลอบกลืนน้ำลาย

“ท่านพ่อ?”เขาเอ่ยเรียก ยามนี้คงต้องเป็นหลิวชุนซิงมิใช่จื่อชุนซิง ผู้ถูกเรียกชื่อใช้สายตาดุดันน่ากลัวจ้องมอง เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากอย่างเป็นกังวล หากคนๆนี้นิสัยเหมือนพ่อของเขาในโลกปัจจุบันล่ะก็…จบไม่ดีแน่

ไป๋ผูอวี้สังเกตการณ์อยู่จึงเข้าใจเรื่องราวได้ทันที ชายวัยกลางคนตรงหน้ามีร่างกายผอมแห้ง เค้าใบหน้าบางส่วนไม่มีสิ่งใดน่าจดจำ มีเพียงกลิ่นสุราอ่อนจางจากร่าง บิดาของบัณฑิตหลิวเซียนฟางสินะ

“เถ้าแก่หลิว”พวกคนท่าทางอันธพาลรีบเข้าไปหานายจ้างทันที จื่อฟางรับรู้ถึงสายตาโกรธเคืองจากหลิวชุนซิงก็หวาดกลัวขึ้นมารีบก้าวหลบอยู่ด้านหลังไป๋ผูอวี้ สายตาแบบนี้เหมือนเวลาที่พ่อของเขาโกรธ

“บัณฑิตหลิว เจ้ากระทำไม่เหมาะสมเช่นนี้ไม่ละอายแก่ใจบ้างเลยรึ”หลิวชุนซิงกล่าวขึ้นยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองที่บุตรชายมาข้องเกี่ยวกับรองแม่ทัพไป๋ เขาคิดว่าเคยเข้าใจเรื่องรักชอบบุรุษ ในเหลาสุราก็พบเจอนายบำเรอมากหน้าหลายตาเข้ามาออเซาะลูกค้า แต่เมื่อมาเกิดขึ้นกับหลิวเซียนฟางก็ทำใจยอมรับได้ยาก เขาได้ยินเสียงผู้คนกระซิบเล่าลือว่าพบเห็นไป๋ผูอวี้และบัณฑิตหลิวที่ตรอกซีหมานทั้งยังสนิทแนบชิดยิ่ง คราแรกก็ไม่อยากเชื่อจนมาเห็นด้วยตาตนเอง จะให้หลิวชุนซิงทำใจยอมรับได้อย่างไร บุตรชายของตนเป็นถึงบัณฑิตปั๋วซื่อ สอนหนังสือให้แก่รัชทายาทเจี่ยอิงต้าไปไหนมาไหนผู้คนยังต้องเกรงใจ หรือเป็นเพราะคลุกคลีกับเจ้าแผ่นดินมากเกินไป?

“ข้าไม่มีเรื่องใดต้องละอาย”จื่อฟางกลั้นใจตอบ   

“หลิวเซียนฟาง ข้าคิดว่าเจ้ามีหัวคิดมากกว่านี้เสียอีก เจ้าเป็นบัณฑิตร่ำเรียนคำสอนจากขงจื๊อย่อมรู้ดีว่ากำลังทำเรื่องผิดศีลธรรม”เขาสั่งสอนบุตรชายประหนึ่งได้ร่ำเรียนมาด้วย

“ขงจื๊อไม่ได้พูดถูกไปเสียทุกอย่าง”จื่อฟางโพล่งออกมาอย่างอึดอัด ไป๋ผูอวี้ไม่อยากให้มีการโต้เถียงบาดหมางเกิดขึ้นจึงก้าวไปเบื้องหน้าค้อมกายให้แก่หลิวชุนซิงอย่างมีมารยาท

หลิวชุนซิงเห็นแล้วก็หงุดหงิดงุ่นงานใจ “ท่านรองแม่ทัพ!เหตุใดท่านถึงมายุ่งเกี่ยวกับบุตรชายข้า”เถ้าแก่หลิวตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจนัก เขาไม่เคยได้ยินหลิวเซียนฟางกล่าววาจายอกย้อนตนมาก่อน แล้วทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้

“หรือท่านล่อลวงเจ้าเซียนฟาง”คำพูดของเถ้าแก่หลิวทำให้ไป๋ผูอวี้หัวเราะเบาๆ เพิ่งเคยโดนต่อว่าเช่นนี้ ปกติผู้คนมองเห็นเขาเป็นเพียงบุตรชายสกุลไป๋ผู้สุภาพรักสงบเท่านั้น

“ข้ามิได้ล่อลวงผู้ใด ข้ากับบุตรชายของท่านมีใจรักต่อกัน”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่คิดปิดบังถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องเปิดเผย ในเมื่อจื่อฟางมีร่างเป็นของตน เขาก็ไม่อยากหลบซ่อน เพราะคิดว่าความรักของเขาไม่ใช่เรื่องผิด

“มีใจรัก?กับคุณชายเสิ่นท่านคงบอกเช่นนี้เหมือนกันกระมัง”หลิวชุนซิงหยิบยกเรื่องนี้มาพูด เขายังเคยได้ยินเรื่องราวของไป๋ผูอวี้ เหตุการณ์เพลิงไหม้จวนสกุลเสิ่นทำให้คนผู้นี้อาลัยอาวรณ์จนเปลี่ยนเป็นคนละคน  คำพูดนี้ของเขาทำให้หลิวเซียนฟางขยับตัวอย่างไม่สบายใจ

“คุณชายเสิ่นจากไปแล้ว ชีวิตคนย่อมก้าวต่อ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยตอบเรียบ ๆแม้ว่าก่อนหน้านี้การกระทำของตนจะขัดกับคำพูด ตอนที่เขารู้ว่าจื่อฟางไม่อยู่ เขาก็ไม่รู้สึกอยากทำสิ่งใด

“ท่านพ่อ ข้ารักไป๋ผูอวี้”จื่อฟางตัดสินใจเอ่ยออกมา แม้ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่พิลึกพิลั่นก็ตาม ลูกน้องที่ถือไม้พองได้ยินก็ส่งเสียงฮึ่มๆ

“บัณฑิตหลิว ท่านหลงผิดไปไกลแล้ว”

หลิวชุนซิงได้ยินก็เลือดขึ้นหน้า อยากเข้าไปทุบตีบุตรชายนัก แต่เพราะร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามของไป๋ผูอวี้บดบังอยู่เสมือนโล่ชั้นดีจึงทำได้เพียงจ้องมองด้วยสายตาดุดันเท่านั้น

“เถ้าแก่ โปรดให้อภัยแต่ข้ามิได้คิดล้อเล่นกับบัณฑิตหลิว”ไป๋ผูอวี้กล่าวอย่างใจเย็นรู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้อาจจะทำให้คนเป็นบิดาทำใจได้ยาก เห็นแบบนี้ก็นึกถึงไป๋อู่เหยียน ท่านพ่อของตนก็ยังไม่หายเคือง

“คิดว่าเป็นรองแม่ทัพแล้วจะทำได้ตามใจชอบหรือ บุตรชายของข้าเป็นถึงบัณฑิตการศึกษาสูงส่ง…”เถ้าแก่หลิวแค่นเสียง ความจริงก็อยากหัวร่อนักเดิมทีเขาเป็นพวกแบกหามเท่านั้นหากบุตรชายไม่ได้เป็นบัณฑิตก็คงลำบาก จึงไม่อยากจะพูดเรื่องการศึกษาให้มันเข้าตัว   

“ข้าไม่ได้ถือตนว่ามีตำแหน่งใดทั้งนั้น เถ้าแก่หลิวโปรดอย่าขัดขวางข้ากับหลิวเซียนฟางเลย ข้าสัญญาว่าจะดูแลปกป้องเขาด้วยชีวิต”ไป๋ผูอวี้คุกเข่าตรงหน้าชายอีกคนอย่างไม่คิดลังเล

“ไป๋ผูอวี้”จื่อฟางเรียกอย่างตกใจแต่ก็รีบนั่งคุกเข่าขอร้องด้วยเช่นกัน เถ้าแก่หลิวและลูกน้องที่เหลือต่างก็ทำสีหน้าไม่ถูก ไป๋ผูอวี้เป็นรองแม่ทัพไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมกับพ่อค้าเหลาสุราเช่นเขา

“ท่านพ่อ ข้ารู้ตัวว่าเป็นบุตรไม่ดี แม้ว่าข้าจะมีหลานให้ท่านไม่ได้แต่กระนั้นข้าก็ไม่คิดอกกตัญญู”จื่อฟางเอ่ยเสียงอ่อน

“พวกเจ้า…”หลิวชุนซิงรู้สึกอยากร้องตะโกนยิ่งนัก จึงก้าวเดินไปมาอย่างงุ่นง่านใจ “พวกเจ้าเป็นบุรุษรักกันไม่อับอายหรือ”

“ข้าไม่อับอาย”จื่อฟางตอบกลับโดยไม่ต้องคิด

 “เถ้าแก่หลิว ข้าแค่รักกับบุตรชายท่าน ไม่ได้ฆ่าคนตาย”ไป๋ผูอวี้เอ่ยช้าๆแฝงแววจิกกัดอยู่ในที เด็กหนุ่มได้ยินคนข้างกายพูดก็ตวัดสายตามอง ใช่เวลามาพูดเช่นนี้รึ

“ดีๆ เช่นนั้นท่านรองแม่ทัพไป๋ก็มาวัดกับข้าสักตั้ง หากเอาชนะข้าได้ ข้ายอมให้เจ้ารักกัน!”ดูซิทันจะกล้าทำร้ายข้าหรือไม่ หลิวชุนซิงคิดอย่างโกรธแค้น คว้าไม้พองมาจากคนงานใกล้ตัว

“เถ้าแก่หลิว..”ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ คนผู้นี้เปรียบเสมือนท่านพ่อตาของตนจะให้ลงมือได้อย่างไร?แต่บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มจาง

“ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรออกมา”จื่อฟางกำมือแน่น ไป๋ผูอวี้ไม่มีทางทำร้ายคนที่ข้องเกี่ยวกับตัวเขา แม้คนที่ว่าจะเป็นข้องเกี่ยวกับหลิวเซียนฟางก็ตาม อีกทั้งหลิวชุนซิงก็มีอายุ ในขณะที่กำลังครุ่นคิดหาทางออกก็เห็นร่างของไป๋ผูอวี้เคลื่อนกายอย่างรวดเร็วพริบตาเดียวก็สามารถใช้ฝามือกระแทกเข้าที่หน้าท้องของเถ้าแก่หลิว เพียงหมัดเดียวก็ทำร่างนั้นล้มตึง

“ไป๋ผูอวี้…”จื่อฟางอ้าปากค้าง รีบเข้าไปดูร่างที่นอนไม่ได้สติทันที เจ้าคนต้นเรื่องยังคงยืนเอามือไพล่หลังเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น พวกคนงานที่เหลาสุรารีบกรูมาอยู่ข้างเจ้านายทันที

“เถ้าแก่หลิว!”

“อย่าเพิ่งตายนะขอรับ ข้ายังไม่ได้ค่าจ้างเลย”

“เถ้าแก่ยืนหยัดจนวินาทีสุดท้าย!”

เสียงโวยวายยังคงดังอยู่ครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มเข้าไปผลักพวกคนโวยวายออกไปให้พ้นทางพร้อมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ มองเห็นอาฉีและสือโม่ทำสีหน้าไม่ถูก

“นี่ เจ้ามาดูซิ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”จื่อฟางทั้งอยากดุด่าและอยากหัวเราะออกมาพร้อม ๆกันนัก ไป๋ผูอวี้เคลื่อนกายมานั่งข้างเถ้าแก่หลิวอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มปรากฏอยู่ เขากวาดตามองสำรวจชายที่นอนสลบก่อนยกมือตรวจจับชีพจร

“บิดาของท่านเพียงหมดสติไปเท่านั้น”ชายหนุ่มตอบ มองหน้าของอีกฝ่ายที่ยังคงจ้องมองตนด้วยสีหน้าตื่นๆ จึงเอื้อมมือไปหยิกดึงแก้มเบาๆ

“วางใจเถอะ”

“วางใจอะไรเล่า ข้าว่าเขายิ่งไม่ชอบหน้าเจ้า”แต่เด็กหนุ่มก็ยกยิ้มอย่างนึกขัน

“เจ้าคนชั่ว”ชายคนหนึ่งส่งเสียง แต่เมื่อถูกสายตาของไป๋ผูอวี้จ้องมองก็รีบถอยห่าง

“พวกท่านคนไหนมีปัญหาอีกหรือไม่”ชายหนุ่มแย้มยิ้มด้วยท่าทางสุภาพ เมื่อไม่มีผู้ใดเอ่ยก็ยืดกายขึ้น

เหตุการณ์วุ่นวายสงบลงเมื่อนำร่างของหลิวชุนซิเข้าไปในเรือน ลูกน้องของเถ้าแก่หลิวติดตามมาด้วย ทำให้ภายในห้องคับแคบไปถนัดตาพวกเขายังคงทำท่าฮึ่มๆใส่ไป๋ผูอวี้แต่ก็ยอมนั่งรออย่างสงบเสงี่ยม ส่วนหลิวชุนซิงยังคงนอนไม่ได้สติอยู่ที่ตั่งยาวในห้องรับรอง

“เจ้าคงไม่ได้ลงมือรุนแรงหรอกกระมัง”จื่อฟางถามระหว่างที่มองไป๋ผูอวี้ทายาแก้ฟกช้ำตรงบริเวณหน้าท้องของท่านพ่อ

“ข้าออมแรงไปตั้งเยอะ ไม่ต้องห่วงหรอก เขาไม่เป็นอะไร”ชายหนุ่มตอบ แกล้งออกแรงกดที่รอยช้ำเบาๆ รู้ดีว่าเถ้าแก่ผู้นี้ได้สติแล้ว

“โอย…”เสียงครวญครางดังขึ้น ร่างในชุดสีสันสดใสจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้พร้อมเอ่ยเรียกเบาๆ

“ท่านพ่อ”

“เจ้า!”เก้าแก่หลิวลืมตาเห็นบุตรชายก็ถลึงตาใส่ รีบยันร่างลุกนั่งทันที แต่ก็ร้องโอดโอย มองเห็นร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามของรองแม่ทัพไป๋อารมณ์ขุ่นเคืองก็ยิ่งมากขึ้น

 “เจ้า…ถึงกับกล้าลงมือกับข้าเชียวหรือ”

“หากท่านรักษาคำพูดข้าก็ยอมทำ”เคยเสียคนรักไปครั้งหนึ่ง เขาจะไม่ยอมให้มีผู้ใดมาขัดขวางอีก

“ต่อให้ฆ่าข้าน่ะรึ!”เถ้าแก่หลิวได้แต่เดือดดาลอยู่ในอก ไป๋ผูอวี้ช่างน่ากลัวเสียจริง ผู้ใดว่าคนผู้นี้สุขุมสุภาพกัน

“เถ้าแก่หลิวก็ไม่ได้ตายเสียหน่อย”ชายหนุ่มยกยิ้ม ส่งมอบยาแก้ฟกช้ำให้กับอีกร่าง จื่อฟางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงแค่นั่งมองเงียบๆ  หลิวชุนซิงกวาดตามองบุตรชายและคนข้างกายก็ยิ่งมีโทสะ ก้าวลงจากตั่งยาวออกไปจากห้องพร้อมความขุ่นเคือง

“เด็ก ๆกลับร้าน”กล่าวเท่านั้น พวกเขาก็พากันออกไป ภายในไม่กี่ก้านธูปความสงบก็กลับมาดั่งเดิม จื่อฟางถอนหายใจชายตามองร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในห้อง เรื่องเถ้าแก่หลิว เขาไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะยอมรามือโดยง่าย คงต้องรับมือกับคนผู้นั้นอีก ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มเหมือนคาดเดาความคิดออก เอาเถิด เขาพร้อมรับมือเสมอ   

“หิวหรือไม่”จื่อฟางเอ่ยถาม คิดว่าพ่อบ้านเฟิงน่าจะมีอาหารจำพวกน้ำแกง ผัดผักและเนื้อเหลืออยู่แต่ป่านนี้อาหารคงเย็นชืดหมดแล้ว ไป๋ผูอวี้เพียงโน้มกายมาจุมพิตที่ริมฝีปากของอีกร่างแผ่วเบา สองมือจับใบหน้าบดจูบลึกซึ้งมากขึ้น จื่อฟางคิดว่าหากเป็นเช่นนี้คงไม่ได้กินข้าวจริงๆแน่จึงรีบผละออกมา

“ข้าจะอุ่นอาหารให้”กล่าวจบก็ขยับตัวเดินไปที่บริเวณทำครัว พ่อบ้านเฟิงรีบเข้ามาช่วยแต่เขาไล่ออกไปบอกว่าจะทำเองอย่างน้อยเขาก็อยากทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง จื่อฟางจุดไฟในเตาอย่างไม่ชินมือแต่ก็สามารถผ่านไปได้ เขาสั่งให้ไป๋ผูอวี้นั่งรอด้านนอก แต่ชายอีกคนไม่ฟัง ยืนกอดอกมองเขาหยิบจับนู่นนี่ สายตาจับจ้องของอีกฝ่ายทำให้เขาประหม่าอย่างบอกไม่ถูก ลอบมองร่างที่ยืนอยู่ด้านหลังแต่ก็สะดุ้งตกใจเมื่อร่างนั้นโผล่มาอยู่ใกล้ๆ เขาจึงเทแกงเนื้อตุ๋นหกเลอะออกมานอกหม้อไปครึ่งหนึ่ง เสียงหัวเราะของไป๋ผูอวี้ดังอยู่ใกล้ ๆ

“ทำไมเจ้ากวนใจข้านัก”จื่อฟางขมวดคิ้ว ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ ภายในโรงครัวเริ่มร้อนอบอ้าว

“เจ้าส่งภาพวาดมาแกล้งข้าก่อน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยตอบ ดวงตาเป็นประกายแม้ว่าภาพวาดพวกนั้นจะสวยงามแต่เขาก็พิจารณาอย่างละเอียด รู้สึกว่าจื่อฟางของเขามีฝีมือวาดภาพมาก บางท่วงท่าเขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ชายหนุ่มกระแอมล้วงที่อกเสื้อ ยกยิ้มเมื่อเห็นสายตาของอีกคนมองตาม เขาจึงดึงม้วนภาพออกมา

“ข้าแปลกใจ เจ้าวาดได้ละเอียดจนข้าสงสัยว่าเจ้าเอาเวลาใดไปสังเกตหรือ”ร่างของอีกฝ่ายชะงักไปเมื่อได้ยินคำถามของเขา เขาไม่ได้คิดเกินเลยใดแค่สงสัยใคร่รู้

“ข้า…”ข้าไม่ได้เห็นของเจ้าคนเดียวเสียหน่อย “ข้ามีความสามารถ”จื่อฟางตอบสั้นห้วนเพื่อตัดปัญหา ความร้อนอบอ้าวทำให้รู้สึกงุ่นงานใจ คิดหมุนตัวหยิบถ้วยแต่ร่างสูงๆของอีกฝ่ายก็ขวางทางไปหมด

“ส่งถ้วยมาให้ข้าหน่อย”ไป๋ผูอวี้เอี้ยวตัวหยิบถ้วยใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะส่งให้อีกคนที่ดูจะหงุดหงิด เขาจึงไม่ได้เอ่ยแกล้งอีก แต่ยังคงยืนมองร่างนั้นอุ่นอาหารไม่วางตา ผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อถึงจัดเตรียมโต๊ะอาหารเสร็จ จื่อฟางใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดหน้าที่เป็นมันบ่นอยู่ในใจว่าแค่อุ่นอาหารยังใช้เวลานานถึงเพียงนี้เป็นเพราะไป๋ผูอวี้คนเดียวที่มายืนขวางทางเต็มพื้นที่คับแคบจนหยิบจับลำบาก

“เจ้าไม่หิวหรือ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายจับตะเกียบ ทำเพียงยกถ้วยแกงดื่มเท่านั้น ร่างนั้นส่ายหน้าตอบรู้สึกว่าความหิวสลายไปแล้ว

“ไม่ได้เด็ดขาด เดี๋ยวข้าป้อนเจ้าเอง”ชายหนุ่มไม่รอช้า คีบผักในจานจ่อไปที่ริมฝีปากของอีกคนก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งบังคับ

“กิน”จื่อฟางไม่กล้าเถียงได้แต่อ้าปากกลืนผักลงคออย่างไร้รสชาติ ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มอย่างพอใจ คีบอาหารเข้าปากตัวเองคำหนึ่ง ป้อนภรรยาคำหนึ่งจนหมด หลังจากท้องอิ่มบ่าวไพร่ก็มาเก็บจาน พอฟ้ามืดไป๋ผูอวี้ก็เอาแต่ซักถามถึงเรื่องภาพวาด สงสัยนู่นนี่นั่นมากมายอย่างเช่นว่าทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือ จื่อฟางขี้เกียจอธิบายมากความจึงถือโอกาสแสดงให้ดูอย่างละเอียด


~•~

เวลาผันผ่านจากคิมหันต์เข้าสู่สารทฤดูผู้คนในเมืองฉางอันยังคงใช้ชีวิตเฉกเช่นเดิม ในส่วนลึกยังคงหวาดหวั่นเรื่องการรุกรานของชนเผ่านอกด่าน แต่ไม่นานก็ถูกลบเลือน ทัพจากนอกกำแพงฉางอันได้เคลื่อนกลับมา แต่ยังมีกำลังทหารวางกำลังคุ้มกันอยู่โดยรอบมิได้ผ่อนปรน ในวังหลวงก็ยังเฉกเช่นเดิม  ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังคงแวะเวียนมาที่ตำหนักหยุนเอี้ยน ตำหนักเก่าร้างของชายงามเจาเฟิง ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยแย้ง ปัญหาสุขภาพของฮ่องเต้หนุ่มไม่หนักหนานักแต่ก็กัดกินร่างกายจนผ่ายผอมไปหลายส่วน เขายืนมองใบไม้เปลี่ยนสีอยู่ในศาลา

เสียงกู่เจิงแผ่วเบาของหญิงงามดังแว่วให้ได้ยิน ซูเหลียนฮวามีฝีมือด้านดนตรี แต่ให้ไพเราะเช่นไรก็เทียบฝีมือของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้ ชายหนุ่มปรายตามองร่างของหญิงที่ได้ฉายาว่านางมารหมื่นพิษ นางดีดกู่เจิงอยู่ที่ศาลาลมเล็กๆห่างออกไป ข้างกายมีเฮ่อเจ๋อนั่งโง่งมจับจ้องอยู่ ใช่ว่าเจี่ยผิงไม่สังเกตว่านางเข้าได้ดีกับเฮ่อเจ๋อ บางทีอาจจะตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาสั่งให้ไปสืบเรื่องของสกุลไป๋ เจี่ยผิงหยักยิ้มบาง เอาเถิด เขาก็ไม่ได้อยากให้องครักษ์คนสนิทของตนต้องแห้งเหี่ยวเช่นเดียวกับตน อีกทั้งยังทำให้สกุลไป๋อยู่ในสายตาของเขา ลมเย็นพัดเข้ามาต้องใบหน้า ม่านผ้าแพรวูบไหวตามแรงลมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกเย็นสบายแต่จิตใจของเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น

“ทูลฝ่าบาท”เส้ากงกงค้อมกายอยู่นอกศาลา บุรุษหนุ่มเหลียวมองเพียงนิด “มีจดหมายพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เจี่ยผิงเลิกคิ้วสงสัยอยู่ในใจว่าจดหมายจากผู้ใดอีก เขารับจดหมายมาจากขันทีใหญ่ รอให้ร่างนั้นถอยห่างออกไป ชายหนุ่มถึงได้คลี่จดหมายอ่าน ตัวอักษรงดงามปรากฏให้เห็นคล้ายได้กลิ่นหอมอ่อนๆมาจากกระดาษในมือ เจี่ยผิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆนึกไปถึงบทสนทนาหนึ่ง 

‘เจ้าจะยอมพูดดีๆกับข้าสักครั้งได้หรือไม่’

‘ท่านอยากให้ข้าพูดดีด้วย?ง่ายนักแแค่ยอมปล่อยข้าไปก็พอ’


ชายหนุ่มกวาดตามองตัวอักษร เป็นเพียงคำสั้น ๆ แต่สั่นไหวจิตใจของเขาจนต้องทิ้งร่างนั่งลงบนตั่งช้า ๆ

‘เป็นอย่างไร’

เป็นอย่างไรงั้นหรือ?

“ข้ายังไม่ตาย”เขาพึมพำ ลูบตัวอักษรบนกระดาษเบาๆ ผู้เป็นฮ่องเต้หลับตานึกวาดภาพคนผู้นี้จรดพู่กันอยู่ในห้วงความคิด องครักษ์ของตนยังสืบไม่พบว่าเสิ่นจิ้งเฟยหลบหนีไปที่ใด มือของเขาจับกระดาษแผ่นนั้นแรงเสียจนเป็นรอยยับย่น ปีนี้รัชทายาทจะมีชันษาครบสิบสอง เรื่องของช่างอิ่นยังไม่ได้จัดการ ยามนี้เขาเหนื่อยยิ่งนักแต่เจี่ยผิงก็ยังไม่สามารถวางใจได้ ความเคร่งเครียดรบกวนการนอนหลับกระทั่งยามตื่นเขาก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่หวาดระแวง เจี่ยผิงได้แต่เอ่ยถามซ้ำ ๆอยู่ในหัว

‘หากข้าเป็นฟู่จวิ้น เจ้าจะยังรอข้าหรือไม่’


~•~


“ขอทางหน่อยๆ”ร่างสมส่วนที่ดูเล็กไปบ้างเบียดแทรกผู้คนที่รายล้อมอยู่หน้ากำแพงเมืองอย่างยากลำบาก ร่างนั้นสวมชุดสีเขียวสดใส ลวดลายดอกไม้วาดอย่างประณีตมองปราดเดียวก็รับรู้ว่าเป็นผ้าเนื้อดี เจ้าของร่างมีใบหน้าเกลี้ยงเกลาและไฝเม็ดเล็กๆเหนือริมฝีปาก เขาเบียดผู้คนมาอยู่ด้านหน้าสุด คลี่พัดปกปิดรอยยิ้มกว้างที่แผ่กระจายอยู่บนใบหน้า

หนึ่งเดือนแล้ว ทัพทหารที่ปักหลักอยู่นอกกำแพงเมืองได้เวลาเคลื่อนขบวนกลับ เป็นอีกครั้งที่จื่อฟางมารอไป๋ผูอวี้ที่หน้าประตูเมืองแบบนี้ ความทรงจำจากครั้งก่อนวูบไหวเข้ามาในห้วงความคิด ครั้งนี้เขาอยู่ในร่างของตัวเอง ร่างที่เป็นของเขา ยืนอย่างเปิดเผยไม่หลบซ่อนจากสายตาของผู้คน เด็กหนุ่มจดจ่อไปที่ขบวนทัพม้าศึกที่เรียงรายเข้ามาไม่ขาดสาย  ไม่ต้องกวาดตามองซ้ำเขาก็จำไป๋ผูอวี้ได้ภายในพริบตาเดียว

ชายหนุ่มบนหลังอาชาสวมอาภรณ์สีขาวกระจ่างตา ใบหน้าหล่อเหลายังคงมีไรหนวดขึ้นแต่ตอนนี้เข้มกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นมาก จื่อฟางได้แต่มุ่นคิ้ว คิดว่าถึงเวลาบังคับให้เจ้าท่อนไม้เชื่อฟังคำพูดของตนบ้างแล้ว ร่างนั้นยิ่งคล้ำแดด กำยำอีกหลายส่วน สายลมเย็นพัดพาให้ปกเสื้อเปิด มองเห็นหน้าอกแกร่งวับๆแวม ๆแม่นางน้อยที่มารอรับต่างก็มองเป็นตาเดียว  ไป๋ผูอวี้มีรอยยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้าควบอาชาเข้าไปใกล้ร่างของจื่อฟาง ร่างนั้นเงยหน้าประสานสายตากระจ่างใสจ้องมอง

“กลับบ้านเรากันเถอะ”ชายร่างสูงกล่าวพร้อมยื่นมือมาให้ ราวกับเห็นภาพซ้ำร่างของเขาถูกดึงขึ้นบนหลังม้า แต่ครั้งนี้จื่อฟางไม่ได้ร้องตกใจเพราะคาดเดาไว้อยู่แล้ว เด็กหนุ่มเพียงนั่งพิงแผ่นอกแกร่ง มือหนาของคนด้านหลังจับเอวเขาไว้หลวมๆ เขาส่งสายตาวิบวับไปให้แม่หญิงที่มองตาค้างทั้งหลาย รู้สึกว่าน่าขันนัก คนนี้สามีข้าต่างหากเล่า!

“ฉางอันคงได้บทละครบทใหม่แล้วกระมัง”เสียงของเว่ยหลงแว่วมาจากเบื้องหลัง ไป๋ผูอวี้เพียงหัวเราะในลำคอ กระชับอ้อมแขน สูดดมกลิ่นหอมจากร่างเบื้องหน้า ระหว่างที่อาชาควบเยาะไปตามเส้นทางคุ้นเคย แม้ว่าเรื่องขององค์ชายใหญ่กับชนเผ่านอกด่านยังไม่คลี่คลายแต่หากได้ตายอยู่ข้างคนรักเขาก็ไม่หวาดกลัว




-จบภาคต้น-



ในที่สุดดดดดดดด เจอกันตอนพิเศษค่ะ ท่อนไม้ไป๋กลับบ้านที่หลานโจว

เจอกันที่ภาคปลายนะคะ เรื่องราวของน้องจื่อพี่ไป๋ยังมีให้เขียนอีกเยอะ

เรื่องของตัวละครบางตัวจะขยายในภาคนั้น ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด :กอด1:









« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-02-2019 10:46:42 โดย DuenTwinBII »

ออฟไลน์ Chobreadyaoi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เอาจริงแอบอยากรู้ว่าคุณหลิวไปเจอกับไป๋อี๋เสวี่ยในโลกผัจจุบันรึเปล่าน้า อยากมห้มีภาคต่อจัง55555555 สนุกมากๆค่ะ ขอบคุณมากนะคะ

ออฟไลน์ sasa

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1008
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
ยิ้มได้อย่างมีความสุขสักที หลังจากที่หม่นเศร้าไปหลายตอน :L2:

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุก  ๆค่ะ

รอติดตามภาคต่อไปนะคะ

 :L2: :L2:


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด