~•~
เป็นวันฟ้ากระจ่าง อากาศร้อนเริ่มจางหายสารทฤดูกำลังมาเยือน จื่อฟางสั่งให้บ่าวส่วนหนึ่งไปทำความสะอาดที่เรือนเล็กของไป๋ผูอวี้เพราะใกล้จะครบหนึ่งเดือนแล้วเหลือเพียงพ่อบ้าน อาฉีและสือโม่คอยดูแล ช่วงสายๆเขาจึงนั่งอยู่ในลานบ้านกำลังคัดลอกกฎใหม่สำหรับการสอบ แต่บรรยากาศแบบนี้มักทำให้เคลิ้มหลับได้ง่าย จื่อฟางรู้สึกว่ามีลมเย็นพัดเข้ามาวูบหนึ่ง ความรู้สึกที่คล้ายกับถูกจ้องมองทำให้ต้องเปิดเลือกตาขึ้นแต่พอลืมตาก็พบกับร่างสูงใหญ่ของคนที่สมควรจะอยู่ที่ค่ายทหารนอกกำแพง
“ไป๋ผูอวี้”เขายืดตัวขึ้น ใจเต้นเร็วอย่างไม่เอาไหนแค่เพียงเห็นหน้าก็ทำให้เป็นเช่นนี้แล้ว เด็กหนุ่มก้าวไปหาร่างสูงโอบกอดอย่างคิดถึง ไป๋ผูอวี้หัวเราะเบา ๆ มองเห็นบ่าวในเรือนเมียงมองมาแต่เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดก็พากันหลบหลีกอย่างรู้หน้าที่ ชายหนุ่มตบแผ่นหลังของจื่อฟางเบา ๆ
“ท่านรองแม่ทัพแอบมาหาข้าอีกแล้วหรือ”เขาผละออกมาจากอ้อมกอดของอีกคน
“ข้ามาเข้าเฝ้าฮ่องเต้”ไป๋ผูอวี้ตอบ อันที่จริงการเข้าเฝ้าก็ไม่มีอะไรให้พูดถึงมากนัก ส่วนใหญ่แม่ทัพเมิ่งเป็นคนรายงาน ไม่ได้เจอฮ่องเต้เจี่ยผิงตั้งแต่นำทัพไปที่เสียนหยางพบว่าคนผู้นั้นผ่ายผอมไปจากเดิมไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องของเสิ่นจิ้งเฟยหรือเรื่องปัญหาบ้านเมือง ชายหนุ่มได้เจอซูเหลียนฮวานางดูจะมีความสุขดีแม้ว่าจะมีท่าทางเบื่อหน่ายแต่นางยังคงต้องเฝ้าดูอาการของรัชทายาทอย่างใกล้ชิด
“เรียบร้อยดีหรือไม่”จื่อฟางเอ่ยถามกลัวว่าฮ่องเต้จะสั่งเพิ่มการเฝ้าระวังทำให้การพบเจอกับไป๋ผูอวี้ยืดออกไป
“เรียบร้อยดี อันที่จริงข้าอยากเจอหน้าเจ้ามากกว่า”อีกฝ่ายเอ่ย ก้มมองด้วงดวงตาวิบวับจึงต้องกระแอมเบาๆ แก้อาการเก้อกระดาก
“เจ้าส่งภาพวาดใดมาให้ข้าหรือ ฟางเอ๋อร์”ไป๋ผูอวี้ก้มมองศีรษะเล็ก ๆของอีกฝ่าย รู้สึกว่าหมั่นเขี้ยวยิ่งนัก ภาพวาดนั้นสวยงามจนไม่สามารถมองเป็นภาพโป๊เปลือยแต่เว่ยหลงที่ผ่านมาเห็นไม่ได้คิดเช่นนั้น บอกว่าน่าเกลียดแต่ก็จับจ้องตาถลนอย่างใคร่รู้ทำให้เขาพานคิดว่าเว่ยหลงอายุเท่าใดแล้ว มีแม่นางน้อยในใจหรือยัง
“ข้ากลัวว่ารองแม่ทัพไป๋จะเปล่าเปลี่ยว”จื่อฟางพึมพำบอกฝังหน้าลงกับหน้าอกแกร่งแต่ริมฝีปากผุดเป็นรอยยิ้ม
“อืม…”อีกฝ่ายลากเสียงในลำคอจนเขาเดาความคิดไม่ออกจึงเงยหน้ามอง ชายหนุ่มจึงก้มจุมพิตที่หน้าผากของเขาเบา ๆตั้งแต่เกิดเรื่องกับจื่อฟาง คนผู้นี้ก็ยิ่งเปิดเผยจนเป็นอันตรายต่อใจเขานัก ทันใดนั้นเองเกิดเสียงดังขึ้นที่หน้าประตูบ้าน กลุ่มคนท่าทางเหมือนอันธพาลใช้ไม้พองพังประตูเข้ามาอย่างอุกอาจ จื่อฟางขมวดคิ้ว อาฉีและสือโม่รีบออกมาดู คราแรกก็ตื่นตระหนกที่มีคนท่าทางเหมือนพวกอันธพาลบุกเข้ามาถึงเรือน แต่เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของรองแม่ทัพไป๋ก็คลายใจ ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ไป๋ผูอวี้หมุนกายมองกลุ่มคนอันธพาลที่เข้ามาถึงในลานบ้านก็ขมวดคิ้ว คนพวกนี้คิดอย่างลองดีกับตนอย่างนั้นหรือ
“พวกเจ้าต้องการสิ่งใด”ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ปรากฏอารมณ์ จื่อฟางได้แต่มองเงียบๆ ไม่ได้หวาดหวั่นเพราะรู้ดีว่าไป๋ผูอวี้รับมือได้เพียงแค่กลัวจะเกิดเรื่องวุ่นวาย
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปมาหาสู่บัณฑิตหลิวเช่นนี้”ลูกน้องคนหนึ่งโพล่งออกมา จื่อฟางจ้องมองกลุ่มคนตรงหน้าพูดจาเช่นนี้ย่อมต้องเป็นคนรู้จักของร่างนี้ เขาครุ่นคิดอยู่นานก็รู้สึกว่าคนพวกนี้หน้าตาคุ้นนัก
“เขาเป็นภรรยาข้า”เสียงพูดของไป๋ผูอวี้คล้ายกับจ่ออยู่ที่ใบหู ใบหน้าของจื่อฟางร้อนวูบวาบ คำพูดของรองแม่ทัพไป๋สร้างความตื่นตระหนกให้แก่กลุ่มอันธพาลยิ่งนักรวมไปถึงภรรยาที่ถูกเอ่ยถึงด้วย
“เจ้าบ้ารึ”เขาหันไปขึงตาใส่ “ใช่เรื่องมาพูดตอนนี้ไหมเล่า”
“ผายลมแล้ว!บัณฑิตหลิวไม่ใช่ภรรยาเจ้า”คนอันธพาลหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย บัณฑิตหลิวเป็นชายจะเป็นภรรยาได้อย่างไร
“พวกเจ้าจะทำอะไร”จื่อฟางเอ่ยออกไปเพื่อดูท่าทีของคนอันธพาล หนึ่งในนั้นหยุดชะงัก เหลือบมองไปทางด้านหลัง
“บัณฑิตหลิว เหตุใดท่านถึงทำตัวเช่นนี้”
“เจ้ารู้จักคนพวกนี้?”ชายหนุ่มผู้เป็นรองแม่ทัพเอ่ยถามคนที่ยืนอยู่ข้างกาย ก่อนปราดมองกลุ่มคนตรงหน้าอย่างไม่จริงจังนัก ต่อให้เขาไม่ได้เป็นรองแม่ทัพ อันธพาลพวกนี้จะเอาสิ่งใดมาสู้กับบุตรชายสกุลไป๋ผู้เป็นวรยุทธ์
“ข้าไม่รู้จัก แต่…”เด็กหนุ่มประสานสายตาสื่อความนัยไปให้รู้ว่าน่าจะเป็นเรื่องของหลิวเซียนฟาง
“ไม่รู้จัก!?บัณฑิตหลิวท่านถือตัวจนไม่อยากนับพี่น้องกับเราแล้วหรือ”หนึ่งในนั้นกระชากเสียงตอบ จื่อฟางอ้าปากงุนงง พยายามเค้นความทรงจำถึงคนพวกนี้ ปรากฏภาพลางๆของเหลาสุราแห่งหนึ่ง …เหลาสุรา เขาพลันใจเต้นแรง รับรู้ว่าไป๋ผูอวี้ก้าวไปด้านหน้า
“ข้ากับพวกท่านพูดคุยกันดีๆได้หรือไม่”ถึงอย่างไรชายหนุ่มก็ไม่อยากสร้างเรื่อง
“ถ้าจะพูดคุยก็ต้องพูดคุยกับข้าเท่านั้น”ร่างหนึ่งปรากฏกายให้เห็น คนผู้นั้นเดินเอามือไพล่หลังเข้ามา จื่อฟางใจกระตุกเพราะใบหน้าคุ้นตานั้น จึงได้แต่ลอบกลืนน้ำลาย
“ท่านพ่อ?”เขาเอ่ยเรียก ยามนี้คงต้องเป็นหลิวชุนซิงมิใช่จื่อชุนซิง ผู้ถูกเรียกชื่อใช้สายตาดุดันน่ากลัวจ้องมอง เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากอย่างเป็นกังวล หากคนๆนี้นิสัยเหมือนพ่อของเขาในโลกปัจจุบันล่ะก็…จบไม่ดีแน่
ไป๋ผูอวี้สังเกตการณ์อยู่จึงเข้าใจเรื่องราวได้ทันที ชายวัยกลางคนตรงหน้ามีร่างกายผอมแห้ง เค้าใบหน้าบางส่วนไม่มีสิ่งใดน่าจดจำ มีเพียงกลิ่นสุราอ่อนจางจากร่าง บิดาของบัณฑิตหลิวเซียนฟางสินะ
“เถ้าแก่หลิว”พวกคนท่าทางอันธพาลรีบเข้าไปหานายจ้างทันที จื่อฟางรับรู้ถึงสายตาโกรธเคืองจากหลิวชุนซิงก็หวาดกลัวขึ้นมารีบก้าวหลบอยู่ด้านหลังไป๋ผูอวี้ สายตาแบบนี้เหมือนเวลาที่พ่อของเขาโกรธ
“บัณฑิตหลิว เจ้ากระทำไม่เหมาะสมเช่นนี้ไม่ละอายแก่ใจบ้างเลยรึ”หลิวชุนซิงกล่าวขึ้นยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองที่บุตรชายมาข้องเกี่ยวกับรองแม่ทัพไป๋ เขาคิดว่าเคยเข้าใจเรื่องรักชอบบุรุษ ในเหลาสุราก็พบเจอนายบำเรอมากหน้าหลายตาเข้ามาออเซาะลูกค้า แต่เมื่อมาเกิดขึ้นกับหลิวเซียนฟางก็ทำใจยอมรับได้ยาก เขาได้ยินเสียงผู้คนกระซิบเล่าลือว่าพบเห็นไป๋ผูอวี้และบัณฑิตหลิวที่ตรอกซีหมานทั้งยังสนิทแนบชิดยิ่ง คราแรกก็ไม่อยากเชื่อจนมาเห็นด้วยตาตนเอง จะให้หลิวชุนซิงทำใจยอมรับได้อย่างไร บุตรชายของตนเป็นถึงบัณฑิตปั๋วซื่อ สอนหนังสือให้แก่รัชทายาทเจี่ยอิงต้าไปไหนมาไหนผู้คนยังต้องเกรงใจ หรือเป็นเพราะคลุกคลีกับเจ้าแผ่นดินมากเกินไป?
“ข้าไม่มีเรื่องใดต้องละอาย”จื่อฟางกลั้นใจตอบ
“หลิวเซียนฟาง ข้าคิดว่าเจ้ามีหัวคิดมากกว่านี้เสียอีก เจ้าเป็นบัณฑิตร่ำเรียนคำสอนจากขงจื๊อย่อมรู้ดีว่ากำลังทำเรื่องผิดศีลธรรม”เขาสั่งสอนบุตรชายประหนึ่งได้ร่ำเรียนมาด้วย
“ขงจื๊อไม่ได้พูดถูกไปเสียทุกอย่าง”จื่อฟางโพล่งออกมาอย่างอึดอัด ไป๋ผูอวี้ไม่อยากให้มีการโต้เถียงบาดหมางเกิดขึ้นจึงก้าวไปเบื้องหน้าค้อมกายให้แก่หลิวชุนซิงอย่างมีมารยาท
หลิวชุนซิงเห็นแล้วก็หงุดหงิดงุ่นงานใจ “ท่านรองแม่ทัพ!เหตุใดท่านถึงมายุ่งเกี่ยวกับบุตรชายข้า”เถ้าแก่หลิวตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจนัก เขาไม่เคยได้ยินหลิวเซียนฟางกล่าววาจายอกย้อนตนมาก่อน แล้วทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้
“หรือท่านล่อลวงเจ้าเซียนฟาง”คำพูดของเถ้าแก่หลิวทำให้ไป๋ผูอวี้หัวเราะเบาๆ เพิ่งเคยโดนต่อว่าเช่นนี้ ปกติผู้คนมองเห็นเขาเป็นเพียงบุตรชายสกุลไป๋ผู้สุภาพรักสงบเท่านั้น
“ข้ามิได้ล่อลวงผู้ใด ข้ากับบุตรชายของท่านมีใจรักต่อกัน”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่คิดปิดบังถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องเปิดเผย ในเมื่อจื่อฟางมีร่างเป็นของตน เขาก็ไม่อยากหลบซ่อน เพราะคิดว่าความรักของเขาไม่ใช่เรื่องผิด
“มีใจรัก?กับคุณชายเสิ่นท่านคงบอกเช่นนี้เหมือนกันกระมัง”หลิวชุนซิงหยิบยกเรื่องนี้มาพูด เขายังเคยได้ยินเรื่องราวของไป๋ผูอวี้ เหตุการณ์เพลิงไหม้จวนสกุลเสิ่นทำให้คนผู้นี้อาลัยอาวรณ์จนเปลี่ยนเป็นคนละคน คำพูดนี้ของเขาทำให้หลิวเซียนฟางขยับตัวอย่างไม่สบายใจ
“คุณชายเสิ่นจากไปแล้ว ชีวิตคนย่อมก้าวต่อ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยตอบเรียบ ๆแม้ว่าก่อนหน้านี้การกระทำของตนจะขัดกับคำพูด ตอนที่เขารู้ว่าจื่อฟางไม่อยู่ เขาก็ไม่รู้สึกอยากทำสิ่งใด
“ท่านพ่อ ข้ารักไป๋ผูอวี้”จื่อฟางตัดสินใจเอ่ยออกมา แม้ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่พิลึกพิลั่นก็ตาม ลูกน้องที่ถือไม้พองได้ยินก็ส่งเสียงฮึ่มๆ
“บัณฑิตหลิว ท่านหลงผิดไปไกลแล้ว”
หลิวชุนซิงได้ยินก็เลือดขึ้นหน้า อยากเข้าไปทุบตีบุตรชายนัก แต่เพราะร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามของไป๋ผูอวี้บดบังอยู่เสมือนโล่ชั้นดีจึงทำได้เพียงจ้องมองด้วยสายตาดุดันเท่านั้น
“เถ้าแก่ โปรดให้อภัยแต่ข้ามิได้คิดล้อเล่นกับบัณฑิตหลิว”ไป๋ผูอวี้กล่าวอย่างใจเย็นรู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้อาจจะทำให้คนเป็นบิดาทำใจได้ยาก เห็นแบบนี้ก็นึกถึงไป๋อู่เหยียน ท่านพ่อของตนก็ยังไม่หายเคือง
“คิดว่าเป็นรองแม่ทัพแล้วจะทำได้ตามใจชอบหรือ บุตรชายของข้าเป็นถึงบัณฑิตการศึกษาสูงส่ง…”เถ้าแก่หลิวแค่นเสียง ความจริงก็อยากหัวร่อนักเดิมทีเขาเป็นพวกแบกหามเท่านั้นหากบุตรชายไม่ได้เป็นบัณฑิตก็คงลำบาก จึงไม่อยากจะพูดเรื่องการศึกษาให้มันเข้าตัว
“ข้าไม่ได้ถือตนว่ามีตำแหน่งใดทั้งนั้น เถ้าแก่หลิวโปรดอย่าขัดขวางข้ากับหลิวเซียนฟางเลย ข้าสัญญาว่าจะดูแลปกป้องเขาด้วยชีวิต”ไป๋ผูอวี้คุกเข่าตรงหน้าชายอีกคนอย่างไม่คิดลังเล
“ไป๋ผูอวี้”จื่อฟางเรียกอย่างตกใจแต่ก็รีบนั่งคุกเข่าขอร้องด้วยเช่นกัน เถ้าแก่หลิวและลูกน้องที่เหลือต่างก็ทำสีหน้าไม่ถูก ไป๋ผูอวี้เป็นรองแม่ทัพไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมกับพ่อค้าเหลาสุราเช่นเขา
“ท่านพ่อ ข้ารู้ตัวว่าเป็นบุตรไม่ดี แม้ว่าข้าจะมีหลานให้ท่านไม่ได้แต่กระนั้นข้าก็ไม่คิดอกกตัญญู”จื่อฟางเอ่ยเสียงอ่อน
“พวกเจ้า…”หลิวชุนซิงรู้สึกอยากร้องตะโกนยิ่งนัก จึงก้าวเดินไปมาอย่างงุ่นง่านใจ “พวกเจ้าเป็นบุรุษรักกันไม่อับอายหรือ”
“ข้าไม่อับอาย”จื่อฟางตอบกลับโดยไม่ต้องคิด
“เถ้าแก่หลิว ข้าแค่รักกับบุตรชายท่าน ไม่ได้ฆ่าคนตาย”ไป๋ผูอวี้เอ่ยช้าๆแฝงแววจิกกัดอยู่ในที เด็กหนุ่มได้ยินคนข้างกายพูดก็ตวัดสายตามอง ใช่เวลามาพูดเช่นนี้รึ
“ดีๆ เช่นนั้นท่านรองแม่ทัพไป๋ก็มาวัดกับข้าสักตั้ง หากเอาชนะข้าได้ ข้ายอมให้เจ้ารักกัน!”ดูซิทันจะกล้าทำร้ายข้าหรือไม่ หลิวชุนซิงคิดอย่างโกรธแค้น คว้าไม้พองมาจากคนงานใกล้ตัว
“เถ้าแก่หลิว..”ไป๋ผูอวี้ถอนหายใจ คนผู้นี้เปรียบเสมือนท่านพ่อตาของตนจะให้ลงมือได้อย่างไร?แต่บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มจาง
“ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรออกมา”จื่อฟางกำมือแน่น ไป๋ผูอวี้ไม่มีทางทำร้ายคนที่ข้องเกี่ยวกับตัวเขา แม้คนที่ว่าจะเป็นข้องเกี่ยวกับหลิวเซียนฟางก็ตาม อีกทั้งหลิวชุนซิงก็มีอายุ ในขณะที่กำลังครุ่นคิดหาทางออกก็เห็นร่างของไป๋ผูอวี้เคลื่อนกายอย่างรวดเร็วพริบตาเดียวก็สามารถใช้ฝามือกระแทกเข้าที่หน้าท้องของเถ้าแก่หลิว เพียงหมัดเดียวก็ทำร่างนั้นล้มตึง
“ไป๋ผูอวี้…”จื่อฟางอ้าปากค้าง รีบเข้าไปดูร่างที่นอนไม่ได้สติทันที เจ้าคนต้นเรื่องยังคงยืนเอามือไพล่หลังเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น พวกคนงานที่เหลาสุรารีบกรูมาอยู่ข้างเจ้านายทันที
“เถ้าแก่หลิว!”
“อย่าเพิ่งตายนะขอรับ ข้ายังไม่ได้ค่าจ้างเลย”
“เถ้าแก่ยืนหยัดจนวินาทีสุดท้าย!”
เสียงโวยวายยังคงดังอยู่ครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มเข้าไปผลักพวกคนโวยวายออกไปให้พ้นทางพร้อมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ มองเห็นอาฉีและสือโม่ทำสีหน้าไม่ถูก
“นี่ เจ้ามาดูซิ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”จื่อฟางทั้งอยากดุด่าและอยากหัวเราะออกมาพร้อม ๆกันนัก ไป๋ผูอวี้เคลื่อนกายมานั่งข้างเถ้าแก่หลิวอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มปรากฏอยู่ เขากวาดตามองสำรวจชายที่นอนสลบก่อนยกมือตรวจจับชีพจร
“บิดาของท่านเพียงหมดสติไปเท่านั้น”ชายหนุ่มตอบ มองหน้าของอีกฝ่ายที่ยังคงจ้องมองตนด้วยสีหน้าตื่นๆ จึงเอื้อมมือไปหยิกดึงแก้มเบาๆ
“วางใจเถอะ”
“วางใจอะไรเล่า ข้าว่าเขายิ่งไม่ชอบหน้าเจ้า”แต่เด็กหนุ่มก็ยกยิ้มอย่างนึกขัน
“เจ้าคนชั่ว”ชายคนหนึ่งส่งเสียง แต่เมื่อถูกสายตาของไป๋ผูอวี้จ้องมองก็รีบถอยห่าง
“พวกท่านคนไหนมีปัญหาอีกหรือไม่”ชายหนุ่มแย้มยิ้มด้วยท่าทางสุภาพ เมื่อไม่มีผู้ใดเอ่ยก็ยืดกายขึ้น
เหตุการณ์วุ่นวายสงบลงเมื่อนำร่างของหลิวชุนซิเข้าไปในเรือน ลูกน้องของเถ้าแก่หลิวติดตามมาด้วย ทำให้ภายในห้องคับแคบไปถนัดตาพวกเขายังคงทำท่าฮึ่มๆใส่ไป๋ผูอวี้แต่ก็ยอมนั่งรออย่างสงบเสงี่ยม ส่วนหลิวชุนซิงยังคงนอนไม่ได้สติอยู่ที่ตั่งยาวในห้องรับรอง
“เจ้าคงไม่ได้ลงมือรุนแรงหรอกกระมัง”จื่อฟางถามระหว่างที่มองไป๋ผูอวี้ทายาแก้ฟกช้ำตรงบริเวณหน้าท้องของท่านพ่อ
“ข้าออมแรงไปตั้งเยอะ ไม่ต้องห่วงหรอก เขาไม่เป็นอะไร”ชายหนุ่มตอบ แกล้งออกแรงกดที่รอยช้ำเบาๆ รู้ดีว่าเถ้าแก่ผู้นี้ได้สติแล้ว
“โอย…”เสียงครวญครางดังขึ้น ร่างในชุดสีสันสดใสจึงโน้มตัวเข้าไปใกล้พร้อมเอ่ยเรียกเบาๆ
“ท่านพ่อ”
“เจ้า!”เก้าแก่หลิวลืมตาเห็นบุตรชายก็ถลึงตาใส่ รีบยันร่างลุกนั่งทันที แต่ก็ร้องโอดโอย มองเห็นร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามของรองแม่ทัพไป๋อารมณ์ขุ่นเคืองก็ยิ่งมากขึ้น
“เจ้า…ถึงกับกล้าลงมือกับข้าเชียวหรือ”
“หากท่านรักษาคำพูดข้าก็ยอมทำ”เคยเสียคนรักไปครั้งหนึ่ง เขาจะไม่ยอมให้มีผู้ใดมาขัดขวางอีก
“ต่อให้ฆ่าข้าน่ะรึ!”เถ้าแก่หลิวได้แต่เดือดดาลอยู่ในอก ไป๋ผูอวี้ช่างน่ากลัวเสียจริง ผู้ใดว่าคนผู้นี้สุขุมสุภาพกัน
“เถ้าแก่หลิวก็ไม่ได้ตายเสียหน่อย”ชายหนุ่มยกยิ้ม ส่งมอบยาแก้ฟกช้ำให้กับอีกร่าง จื่อฟางไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงแค่นั่งมองเงียบๆ หลิวชุนซิงกวาดตามองบุตรชายและคนข้างกายก็ยิ่งมีโทสะ ก้าวลงจากตั่งยาวออกไปจากห้องพร้อมความขุ่นเคือง
“เด็ก ๆกลับร้าน”กล่าวเท่านั้น พวกเขาก็พากันออกไป ภายในไม่กี่ก้านธูปความสงบก็กลับมาดั่งเดิม จื่อฟางถอนหายใจชายตามองร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในห้อง เรื่องเถ้าแก่หลิว เขาไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะยอมรามือโดยง่าย คงต้องรับมือกับคนผู้นั้นอีก ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มเหมือนคาดเดาความคิดออก เอาเถิด เขาพร้อมรับมือเสมอ
“หิวหรือไม่”จื่อฟางเอ่ยถาม คิดว่าพ่อบ้านเฟิงน่าจะมีอาหารจำพวกน้ำแกง ผัดผักและเนื้อเหลืออยู่แต่ป่านนี้อาหารคงเย็นชืดหมดแล้ว ไป๋ผูอวี้เพียงโน้มกายมาจุมพิตที่ริมฝีปากของอีกร่างแผ่วเบา สองมือจับใบหน้าบดจูบลึกซึ้งมากขึ้น จื่อฟางคิดว่าหากเป็นเช่นนี้คงไม่ได้กินข้าวจริงๆแน่จึงรีบผละออกมา
“ข้าจะอุ่นอาหารให้”กล่าวจบก็ขยับตัวเดินไปที่บริเวณทำครัว พ่อบ้านเฟิงรีบเข้ามาช่วยแต่เขาไล่ออกไปบอกว่าจะทำเองอย่างน้อยเขาก็อยากทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง จื่อฟางจุดไฟในเตาอย่างไม่ชินมือแต่ก็สามารถผ่านไปได้ เขาสั่งให้ไป๋ผูอวี้นั่งรอด้านนอก แต่ชายอีกคนไม่ฟัง ยืนกอดอกมองเขาหยิบจับนู่นนี่ สายตาจับจ้องของอีกฝ่ายทำให้เขาประหม่าอย่างบอกไม่ถูก ลอบมองร่างที่ยืนอยู่ด้านหลังแต่ก็สะดุ้งตกใจเมื่อร่างนั้นโผล่มาอยู่ใกล้ๆ เขาจึงเทแกงเนื้อตุ๋นหกเลอะออกมานอกหม้อไปครึ่งหนึ่ง เสียงหัวเราะของไป๋ผูอวี้ดังอยู่ใกล้ ๆ
“ทำไมเจ้ากวนใจข้านัก”จื่อฟางขมวดคิ้ว ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ ภายในโรงครัวเริ่มร้อนอบอ้าว
“เจ้าส่งภาพวาดมาแกล้งข้าก่อน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยตอบ ดวงตาเป็นประกายแม้ว่าภาพวาดพวกนั้นจะสวยงามแต่เขาก็พิจารณาอย่างละเอียด รู้สึกว่าจื่อฟางของเขามีฝีมือวาดภาพมาก บางท่วงท่าเขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ชายหนุ่มกระแอมล้วงที่อกเสื้อ ยกยิ้มเมื่อเห็นสายตาของอีกคนมองตาม เขาจึงดึงม้วนภาพออกมา
“ข้าแปลกใจ เจ้าวาดได้ละเอียดจนข้าสงสัยว่าเจ้าเอาเวลาใดไปสังเกตหรือ”ร่างของอีกฝ่ายชะงักไปเมื่อได้ยินคำถามของเขา เขาไม่ได้คิดเกินเลยใดแค่สงสัยใคร่รู้
“ข้า…”ข้าไม่ได้เห็นของเจ้าคนเดียวเสียหน่อย “ข้ามีความสามารถ”จื่อฟางตอบสั้นห้วนเพื่อตัดปัญหา ความร้อนอบอ้าวทำให้รู้สึกงุ่นงานใจ คิดหมุนตัวหยิบถ้วยแต่ร่างสูงๆของอีกฝ่ายก็ขวางทางไปหมด
“ส่งถ้วยมาให้ข้าหน่อย”ไป๋ผูอวี้เอี้ยวตัวหยิบถ้วยใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะส่งให้อีกคนที่ดูจะหงุดหงิด เขาจึงไม่ได้เอ่ยแกล้งอีก แต่ยังคงยืนมองร่างนั้นอุ่นอาหารไม่วางตา ผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อถึงจัดเตรียมโต๊ะอาหารเสร็จ จื่อฟางใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดหน้าที่เป็นมันบ่นอยู่ในใจว่าแค่อุ่นอาหารยังใช้เวลานานถึงเพียงนี้เป็นเพราะไป๋ผูอวี้คนเดียวที่มายืนขวางทางเต็มพื้นที่คับแคบจนหยิบจับลำบาก
“เจ้าไม่หิวหรือ”ไป๋ผูอวี้เอ่ยถามเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายจับตะเกียบ ทำเพียงยกถ้วยแกงดื่มเท่านั้น ร่างนั้นส่ายหน้าตอบรู้สึกว่าความหิวสลายไปแล้ว
“ไม่ได้เด็ดขาด เดี๋ยวข้าป้อนเจ้าเอง”ชายหนุ่มไม่รอช้า คีบผักในจานจ่อไปที่ริมฝีปากของอีกคนก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งบังคับ
“กิน”จื่อฟางไม่กล้าเถียงได้แต่อ้าปากกลืนผักลงคออย่างไร้รสชาติ ไป๋ผูอวี้ยกยิ้มอย่างพอใจ คีบอาหารเข้าปากตัวเองคำหนึ่ง ป้อนภรรยาคำหนึ่งจนหมด หลังจากท้องอิ่มบ่าวไพร่ก็มาเก็บจาน พอฟ้ามืดไป๋ผูอวี้ก็เอาแต่ซักถามถึงเรื่องภาพวาด สงสัยนู่นนี่นั่นมากมายอย่างเช่นว่าทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือ จื่อฟางขี้เกียจอธิบายมากความจึงถือโอกาสแสดงให้ดูอย่างละเอียด
~•~
เวลาผันผ่านจากคิมหันต์เข้าสู่สารทฤดูผู้คนในเมืองฉางอันยังคงใช้ชีวิตเฉกเช่นเดิม ในส่วนลึกยังคงหวาดหวั่นเรื่องการรุกรานของชนเผ่านอกด่าน แต่ไม่นานก็ถูกลบเลือน ทัพจากนอกกำแพงฉางอันได้เคลื่อนกลับมา แต่ยังมีกำลังทหารวางกำลังคุ้มกันอยู่โดยรอบมิได้ผ่อนปรน ในวังหลวงก็ยังเฉกเช่นเดิม ฮ่องเต้เจี่ยผิงยังคงแวะเวียนมาที่ตำหนักหยุนเอี้ยน ตำหนักเก่าร้างของชายงามเจาเฟิง ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยแย้ง ปัญหาสุขภาพของฮ่องเต้หนุ่มไม่หนักหนานักแต่ก็กัดกินร่างกายจนผ่ายผอมไปหลายส่วน เขายืนมองใบไม้เปลี่ยนสีอยู่ในศาลา
เสียงกู่เจิงแผ่วเบาของหญิงงามดังแว่วให้ได้ยิน ซูเหลียนฮวามีฝีมือด้านดนตรี แต่ให้ไพเราะเช่นไรก็เทียบฝีมือของเสิ่นจิ้งเฟยไม่ได้ ชายหนุ่มปรายตามองร่างของหญิงที่ได้ฉายาว่านางมารหมื่นพิษ นางดีดกู่เจิงอยู่ที่ศาลาลมเล็กๆห่างออกไป ข้างกายมีเฮ่อเจ๋อนั่งโง่งมจับจ้องอยู่ ใช่ว่าเจี่ยผิงไม่สังเกตว่านางเข้าได้ดีกับเฮ่อเจ๋อ บางทีอาจจะตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาสั่งให้ไปสืบเรื่องของสกุลไป๋ เจี่ยผิงหยักยิ้มบาง เอาเถิด เขาก็ไม่ได้อยากให้องครักษ์คนสนิทของตนต้องแห้งเหี่ยวเช่นเดียวกับตน อีกทั้งยังทำให้สกุลไป๋อยู่ในสายตาของเขา ลมเย็นพัดเข้ามาต้องใบหน้า ม่านผ้าแพรวูบไหวตามแรงลมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกเย็นสบายแต่จิตใจของเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“ทูลฝ่าบาท”เส้ากงกงค้อมกายอยู่นอกศาลา บุรุษหนุ่มเหลียวมองเพียงนิด “มีจดหมายพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เจี่ยผิงเลิกคิ้วสงสัยอยู่ในใจว่าจดหมายจากผู้ใดอีก เขารับจดหมายมาจากขันทีใหญ่ รอให้ร่างนั้นถอยห่างออกไป ชายหนุ่มถึงได้คลี่จดหมายอ่าน ตัวอักษรงดงามปรากฏให้เห็นคล้ายได้กลิ่นหอมอ่อนๆมาจากกระดาษในมือ เจี่ยผิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆนึกไปถึงบทสนทนาหนึ่ง
‘เจ้าจะยอมพูดดีๆกับข้าสักครั้งได้หรือไม่’
‘ท่านอยากให้ข้าพูดดีด้วย?ง่ายนักแแค่ยอมปล่อยข้าไปก็พอ’ชายหนุ่มกวาดตามองตัวอักษร เป็นเพียงคำสั้น ๆ แต่สั่นไหวจิตใจของเขาจนต้องทิ้งร่างนั่งลงบนตั่งช้า ๆ
‘เป็นอย่างไร’
เป็นอย่างไรงั้นหรือ?
“ข้ายังไม่ตาย”เขาพึมพำ ลูบตัวอักษรบนกระดาษเบาๆ ผู้เป็นฮ่องเต้หลับตานึกวาดภาพคนผู้นี้จรดพู่กันอยู่ในห้วงความคิด องครักษ์ของตนยังสืบไม่พบว่าเสิ่นจิ้งเฟยหลบหนีไปที่ใด มือของเขาจับกระดาษแผ่นนั้นแรงเสียจนเป็นรอยยับย่น ปีนี้รัชทายาทจะมีชันษาครบสิบสอง เรื่องของช่างอิ่นยังไม่ได้จัดการ ยามนี้เขาเหนื่อยยิ่งนักแต่เจี่ยผิงก็ยังไม่สามารถวางใจได้ ความเคร่งเครียดรบกวนการนอนหลับกระทั่งยามตื่นเขาก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่หวาดระแวง เจี่ยผิงได้แต่เอ่ยถามซ้ำ ๆอยู่ในหัว
‘หากข้าเป็นฟู่จวิ้น เจ้าจะยังรอข้าหรือไม่’
~•~
“ขอทางหน่อยๆ”ร่างสมส่วนที่ดูเล็กไปบ้างเบียดแทรกผู้คนที่รายล้อมอยู่หน้ากำแพงเมืองอย่างยากลำบาก ร่างนั้นสวมชุดสีเขียวสดใส ลวดลายดอกไม้วาดอย่างประณีตมองปราดเดียวก็รับรู้ว่าเป็นผ้าเนื้อดี เจ้าของร่างมีใบหน้าเกลี้ยงเกลาและไฝเม็ดเล็กๆเหนือริมฝีปาก เขาเบียดผู้คนมาอยู่ด้านหน้าสุด คลี่พัดปกปิดรอยยิ้มกว้างที่แผ่กระจายอยู่บนใบหน้า
หนึ่งเดือนแล้ว ทัพทหารที่ปักหลักอยู่นอกกำแพงเมืองได้เวลาเคลื่อนขบวนกลับ เป็นอีกครั้งที่จื่อฟางมารอไป๋ผูอวี้ที่หน้าประตูเมืองแบบนี้ ความทรงจำจากครั้งก่อนวูบไหวเข้ามาในห้วงความคิด ครั้งนี้เขาอยู่ในร่างของตัวเอง ร่างที่เป็นของเขา ยืนอย่างเปิดเผยไม่หลบซ่อนจากสายตาของผู้คน เด็กหนุ่มจดจ่อไปที่ขบวนทัพม้าศึกที่เรียงรายเข้ามาไม่ขาดสาย ไม่ต้องกวาดตามองซ้ำเขาก็จำไป๋ผูอวี้ได้ภายในพริบตาเดียว
ชายหนุ่มบนหลังอาชาสวมอาภรณ์สีขาวกระจ่างตา ใบหน้าหล่อเหลายังคงมีไรหนวดขึ้นแต่ตอนนี้เข้มกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นมาก จื่อฟางได้แต่มุ่นคิ้ว คิดว่าถึงเวลาบังคับให้เจ้าท่อนไม้เชื่อฟังคำพูดของตนบ้างแล้ว ร่างนั้นยิ่งคล้ำแดด กำยำอีกหลายส่วน สายลมเย็นพัดพาให้ปกเสื้อเปิด มองเห็นหน้าอกแกร่งวับๆแวม ๆแม่นางน้อยที่มารอรับต่างก็มองเป็นตาเดียว ไป๋ผูอวี้มีรอยยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้าควบอาชาเข้าไปใกล้ร่างของจื่อฟาง ร่างนั้นเงยหน้าประสานสายตากระจ่างใสจ้องมอง
“กลับบ้านเรากันเถอะ”ชายร่างสูงกล่าวพร้อมยื่นมือมาให้ ราวกับเห็นภาพซ้ำร่างของเขาถูกดึงขึ้นบนหลังม้า แต่ครั้งนี้จื่อฟางไม่ได้ร้องตกใจเพราะคาดเดาไว้อยู่แล้ว เด็กหนุ่มเพียงนั่งพิงแผ่นอกแกร่ง มือหนาของคนด้านหลังจับเอวเขาไว้หลวมๆ เขาส่งสายตาวิบวับไปให้แม่หญิงที่มองตาค้างทั้งหลาย รู้สึกว่าน่าขันนัก คนนี้สามีข้าต่างหากเล่า!
“ฉางอันคงได้บทละครบทใหม่แล้วกระมัง”เสียงของเว่ยหลงแว่วมาจากเบื้องหลัง ไป๋ผูอวี้เพียงหัวเราะในลำคอ กระชับอ้อมแขน สูดดมกลิ่นหอมจากร่างเบื้องหน้า ระหว่างที่อาชาควบเยาะไปตามเส้นทางคุ้นเคย แม้ว่าเรื่องขององค์ชายใหญ่กับชนเผ่านอกด่านยังไม่คลี่คลายแต่หากได้ตายอยู่ข้างคนรักเขาก็ไม่หวาดกลัว
-จบภาคต้น-ในที่สุดดดดดดดด เจอกันตอนพิเศษค่ะ ท่อนไม้ไป๋กลับบ้านที่หลานโจว
เจอกันที่ภาคปลายนะคะ เรื่องราวของน้องจื่อพี่ไป๋ยังมีให้เขียนอีกเยอะ
เรื่องของตัวละครบางตัวจะขยายในภาคนั้น ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอด