เสื้อกาวน์เก่าๆ.......กับเราสองคน
ตอนที่ 176
แต่งงาน งานแต่งช่วงเช้าวันเสาร์ผมต้องตื่นมาในตอนเช้าตรู่เพราะวันนี้มีงานสำคัญคือพาเจ้าตัวเล็กไปส่งบ้านเพื่อนที่รังสิต
หลังจากที่ผมอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินลงมาหาอาหารเช้าที่ครัวด้านล่าง
ไม่นานหมอติ๊บก็ลากกระเป๋าที่จัดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนลงมาจากบนบ้านพร้อมกับเจ้าของที่อยู่ในชุดที่ดูแปลกตา
วันนี้หมอติ๊บอยู่ในชุดกางเกงยีนส์สีขาวและเสื้อเชิร์ตสีขาวสบายตา ดูสะอาดสะอ้านและดูสมวัยมากกว่าเสื้อกาวน์ที่ดูเคร่งขรึมที่ผมเห็นจนชินตา ชั่วอึดใจผมก็ขับรถพาหมอติ๊บมุ่งหน้าไปยังรังสิตตามที่ตกลงกัน
" เพื่อนของติ๊บคนนี้เขาทำงานที่ไหนอะ " ผมเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อพยายามนึกถึงหน้าเพื่อนคนนี้ของหมอติ๊บที่พยายามบอกรูปพรรณสัณฐานให้ผมคิดหน้าเพื่อนคนนี้ออก
" เขาก็ทำงานที่อุตรดิตถ์โน่นแน่ะ แต่ว่าเขาติดแฟนมากก็เลยกลับเข้ากรุงเทพมาหาแฟนทุกเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดเลยละ " หมอติ๊บเอ่ย
" โห ทำไมดูมีความพยายามมากมายจังเลยเนอะ " ผมเอ่ยชมขึ้นมา
" ก็เขาก็รักของเขาเนอะ แต่เท่าที่ติ๊บรู้คือเพิ่งจะคบกันเองนะแต่ก็คงรักกันมากน่าดูไม่งั้นไม่ยอมขับรถเข้ากรุงทุกวันหยุดหรอกนะ " หมอติ๊บเอ่ยขึ้น
" แต่จะว่าไปก็เขารักของเขานะ ก็คงเหมือนเราที่อยากเห็นหน้ากันทุกวันอยากอยู่ใกล้คนที่เรารักจนลืมไปแล้วละว่าระยะทางมันใกล้หรือไกลแค่ไหน " ผมตอบแบบหยอดๆไปหนึ่งทีก่อนจะกุมมือหมอติ๊บกระชับแน่น
" แล้วถ้าเป็นพี่ไม้ พี่ไม้จะยอกขับรถจากอุตรดิตถ์มาหาติ๊บที่กรุงเทพบ่อยๆแบบนี้มั้ย " หมอติ๊บเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับหันมาจ้องผมอย่างอยากรู้คำตอบ
" ถ้าถามว่าคิดถึงมั้ยพี่ก็คงตอบได้ว่าคิดถึงอยากอยู่ใกล้อยากเห็นหน้า แต่พี่ก็คงต้องดูความพร้อมหลายๆอย่างด้วย ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมของร่างกาย พี่จะขับรถไปกลับบ่อยๆไหวมั้ย ขับรถไกลๆแล้วพี่จะกลับไปทำงานไหวมั้ย งานพี่ว่างมากพอมั้ย เป็นต้น พี่ว่าความรักมันทำให้คนเรายอมทำเพื่อมันได้ทุกอย่างแหละ ต่อไปแม้ว่าติ๊บจะไปอยู่ไกลแค่ไหนแต่ถ้าเรายังรักกันอยู่เชื่อเหอะว่ามันไม่ไกลเกินไปกว่าที่เราจะพบกัน " ผมกำมือนั้นแน่นขึ้นราวกับจะย้ำให้เจ้าตัวมั่นใจ
เดินทางมาเกือบชั่วโมงหลังจากพากันหลงทางเข้าตรอกซอกซอยอยู่เป็นนานสองนานจึงมาถึงยังบ้านแฟนของเพื่อนหมอติ๊บเป็นที่เรียบร้อย
ผมจอดรถที่รั้วหน้าบ้านก่อนจะเดินถือกระเป๋าใบเขื่องของหมอติ๊บเดินตามเข้าไปในบ้านที่มีเพื่อนรอกันอยู่ก่อนหน้าแล้วสี่ห้าคน
เด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกับหมอติ๊บที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาเมื่อก่อน ตอนนี้เป็นคุณหมอผู้เคร่งขรึมมีสง่าราศีกันทุกคน ตลอดจนดูคล้ายกับว่าพวกเขาจบและทำงานมาแล้วหลายปีเสียอย่างนั้น ไม่รู้ว่าผมคิดเข้าข้างแฟนตัวเองมากไปหรือเปล่าที่ผมคิดว่าหมอติ๊บยังดูเด็กและอ่อนวัยกว่าเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันอยู่มาก
ตอนนี้ในบ้านแฟนของเพื่อนหมอติ๊บ มีบุคคลที่ผมตั้งใจสังเกตการณ์อยู่เพียงสองคนคือเพื่อนของหมอติ๊บแล้วก็แฟนของเขาซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน ตอนนี้คนที่เป็นเพื่อนหมอติ๊บที่ผมพอจะรู้จักมักจี่อยู่บ้าง จึงพอจะพูดจาปราศัยกันโดยไม่ติดขัดเคอะเขินและน้องคนนี้ผมรู้จักดีเพราะหมอติ๊บเล่าให้ผมฟังบ่อยๆว่าเป็นคนที่หน้าตาดีที่สุดในรุ่นเพราะผมก็สังเกตุเห็นอย่างนั้นเช่นกันด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งชัดเจน และหน้าตาที่ออกไปแนวเกาหลีสมัยใหม่ หมอติ๊บเคยบอกว่าเพื่อนๆลงความเห็นว่าเขาคือลีจุนกิ ซึ่งจนทุกวันนี้ผมเองก็ยังไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า ลีจุนกิ หน้าตาเป็นเช่นใด แต่เรื่องรูปร่างหน้าตาและการศึกษาไม่ได้เป็นประเด็นให้ผมสนใจมากไปกว่า แฟนของน้องคนนี้ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านอีกต่างหาก เพิ่งจะเด็กปีหนึ่งปีสองยังเด็กอยู่มากทั้งหน้าตาและนิสัยที่ดูไม่พอใจอะไรขึ้นมาก็ปั้นหน้าบึ้งตึงโดยไม่ได้สนใจคนรอบข้าง
จะว่าไปตอนนี้ผมก็หันไปมองหมอติ๊บแล้วยิ้มในใจเพียงลำพั ง ผมไม่ได้เข้าข้างแฟนตัวเองนะในตอนนี้ เพราะตอนที่ผมคบกับหมอติ๊บจริงจังนั้น ตอนนั้นหมอติ๊บเองก็ยังอยู่ปีหนึ่งและผมก็จบทันตะแล้วเรียบร้อยอายุห่างกันมากกว่าคู่นี้ แต่ผมกลับรู้สึกว่าหมอติ๊บรู้จักวางตัว รู้จักมองโลก รู้จักให้เกียรติคนอื่นและตนเองในสถานการณ์ต่างๆ ผิดกับแฟนของเพื่อนหมอติ๊บที่ตอนนี้ปั้นหน้านิ่วคิ้วขมวดจนหลายคนที่นั่งสนทนากันอยู่นั้นเริ่มออกอาการอึดอัดกับท่าทางที่ไม่เป็นมิตรของเจ้าของบ้านอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเพื่อนของหมอติ๊บก็เริ่มแสดงความอึดอัดและวางตัวลำบากให้คนอื่นๆได้เห็นอย่างชัดเจนเช่นกัน ผมจึงพาเจ้าตัวเล็กเดินออกมานั่งรอที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านซึ่งระหว่างรอเพื่อนอีกกลุ่มที่จะตามมาสมทบกันในภายหลัง
หลายคนก็เริ่มเดินตามพวกผมออกมาปล่อยให้เพื่อนหมอติ๊บและแฟนได้พูดคุยปรับความเข้าใจ
" ฉันบอกแล้วแกอย่ามีแฟนเด็ก มั นพูดกับเราเข้าใจที่ไหนละอะไรไม่พอใจมันก็เหวี่ยงไม่มีเหตุผลไม่มีสัมมาคารวะแบบนี้จะไปกันรอดมั้ยนี่คู่นี่ " คุณหมอผู้หญิงเพื่อนของติ๊บเอ่ยขึ้นกับเพื่อนในกลุ่มหลังจากเดินออกมาพ้นระยะของสองคนที่กำลังคุยกันอยู่ในบ้าน
" ก็เขารักของเขา เพื่อนเราก็รักของมันมันก็คงยอมรับกันได้แหละแกไม่งั้นมันไม่หอบขับรถไปกลับเป็นพันกินกิโลมาทุกวันหยุดหรอก " เพื่อนอีกคนสนับสนุน
" พี่ไม้แล้วนี่พี่ไม้จะไปกับเราด้วยหรือเปล่าคะ " เพื่อนผู้หญิงคนนั้นของติ๊บหันมาถามผมหลังจากส่ายหัวเอือมระอากับเพื่อนของเธอ
" ไม่ได้ไปอะครับพี่ว่าให้พวกเราไปกันเองคงจะสะดวกสนุกสนานกันมากกว่า คนแก่อย่างพี่ไปด้วยเดี๋ยวอดสนุกกันพอดี " ผมตอบไปและเรียกคำคัดค้านจากเพื่อนผู้หญิงคนนั้นของติ๊บในทันที
" ไม่หมดสนุกหรอกคะ พี่ไม้ไปด้วยกันจะได้มีผู้ใหญ่ไปด้วย อุ่นใจดีอีกอย่างไอ้ติ๊บก็อุ่นใจนี่พวกหนูนัดกับเพื่อนๆที่โน่นไว้ว่าให้พาแฟนของแต่ละคนไปเปิดตัวกันด้วยแต่พอดีหนูไม่มีแฟน ยังหาไม่ได้ก็เลยต้องไปกะไอ้พวกนี้แหละ "
เพื่อนผู้หญิงของติ๊บคนเดิมสาธยายถึงแผนการณ์งานวิวาห์คราวนี้ให้ผมฟังแบบละเอียดถี่ยิบราวกับเป็นงาน ของเธอเองก็ไม่ปานจนจบเธอจึงออกอาการถอนหายใจยาว
" เฮ้อออ พูดแล้วก็อิจฉาคนมีคู่ป่านนี้ฉันก็ยังหาคู่ไม่ได้เลย " เธอหันมาเกาะแขนเพื่อนผู้ชายที่ออกอาการจะไม่เป็นชายแท้เท่าใดนักแทนการปลอบใจ
" อยู่คนเดียวก็ดีแล้วแหละแก ไม่ต้องวุ่นวายกับใครอยู่คนเดียวสบายใจดีออก แกดูง่ายๆนะมองเข้าไปในบ้านนั่นไงเป็นตัวอย่างของการอยู่คนเดียวดีกว่า " หมอติ๊บเอ่นแทรกขึ้นมาบ้าง
" อ้าวถ้าอยู่คนเดียวแล้วสบายใจกว่าแล้วแกรีบมีแฟนทำไมตั้งแต่ตอนปีหนึ่งปีสองละติ๊บจนวันนี้ก็ลากแฟนมาด้วยแล้วมาบอกไม่มีดีกว่ามันขัดกันวะ" เพื่อนผู้หญิงของติ๊บกัดมาหนึ่งดอกเล่นเอาผมขำกับคำถามของเธอด้วยไม่ได้
" อันนี้มีไว้หลายอย่างยะ All in one วันนี้ไม่ได้มาในฐานะแฟนมาในฐานะคนขับรถแล้วก็ผู้ปกครองมาส่งฉันไปกับพวกเธอนี่แหละ " หมอติ๊บตอบแบบไม่มองหน้าผมที่นั่งหน้าจ๋อยกับคำตอบของหมอติ๊บอยู่ไม่ห่างกันนี่เลย
" แล้วแกคิดว่าเราจะได้ไปกันเหรอแกดูท่ามันจะต้องเคลียร์กันยาวมั้ยชั้นว่า " เพื่อนผู้ชายอีกคนของหมอติ๊บเอ่ยเสริมขึ้นมาบ้างหลังจากเหตุการณ์ในบ้านเริ่มออกอาการตึงเครียดมากขึ้น
" นี่ถ้าพี่ไม้ไปกับเราด้วยก็ดีซินะ จะได้ไม่ต้องอึดอักแล้วก็ลำบากใจที่จะต้องมานั่งรอในบ้านเขา ใช้รถเขาแล้วยังใช้แฟนของเขาเป็นคนขับรถอีก " เพื่อนหมอติ๊บพูดพร้อมกับหันหน้าเข้าไปในบ้านด้วยท่าทีที่ไม่สบอารมณ์นัก ในชั่วโมงถ้าเป็นผมก็คงไม่มานั่งรอในบ้านที่เจ้าของกำลังทะเลาะกันแบบนี้แน่นอน
หลังจากที่ผมละสายตาจากภายในบ้านออกมาหากลุ่มคุณหมอทั้งสามคน ก็ปรากฎมีสายตาคู่หนึ่งที่ผมคุ้นเคยกับมันดีว่าแววตาที่ส่งมายังผมนั้นเป็นแววตาของการขอร้องและแน่นอน มันเป็นการขอร้องและบังคับเบ็ดเสร็จภายในตัวที่ผมเองไม่สามารถปฏิเสธหรือหลีกหนีมันได้พ้นแม้แต่ครั้งเดียว
ตกลงผมต้องขับรถไปเมืองน่านเหรอนี่ ไม่มีคำสั่ง ไม่มีคำร้องขอ ไม่มีคำอ้อนวอน
มีแต่แววตาที่บอกผมอย่างชัดเจนว่า ผมต้องทำ …