Chapter 2 : “รัก...จนแทบคลั่ง”
“รัก...”
“รักมาก...”
“รักมากเหลือเกิน...”
“ผมรักคุณ...เจย์เดน”เมื่อลืมตาอีกครั้ง คำบอกรักมากมายราวความฝันนั้นก็ยังติดตรึง
ถูกรักจนแทบหลอมละลาย…
ให้ตายสิ ผมไม่เคยรู้สึกราวถูกเติมเต็มเท่านี้มาก่อน ราวกับตายแล้วฟื้นขึ้นมาอีกครั้งยังไงยังงั้น
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
เมื่อพลิกตัวไปด้านข้าง ก็พบกับเด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าทรงเสน่ห์ที่ยื่นหน้ามาจุ๊บเบาๆ บนริมฝีปาก ท่าทางแสดงความรักแบบเด็กๆ และรอยยิ้มเผล่เมื่อผมไม่ขัดขืนนั้นทำให้รู้สึกอุ่นวาบในอกอย่างพูดไม่ถูก...ผมไม่นึกรังเกียจ แม้ความเจ็บปลาบที่ด้านหลังและเศษซากกระดาษทิชชู่รวมทั้งถุงยางซึ่งกระจายเต็มพื้นนั้นเป็นหลักฐานอย่างดี ว่าเมื่อคืน...ผมมีอะไรกับเด็กหนุ่มที่อ่อนกว่าผมถึงเจ็ดปี แถมเขายังเป็นคนที่ผมช่วยชีวิตจากกองเพลิง!
ผมเผลอลูบรอยแผลไฟไหม้ที่ลากไล่จากข้างลำคอขวาของเขาจนถึงช่วงไหล่เลยไปด้านหลังกว่าครึ่ง สำหรับคนอื่นอาจรู้สึกว่ามันช่างน่ากลัว แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันช่างเซ็กซี่อย่างร้ายกาจ คงไม่ต่างกับเขาที่เมื่อคืนพร่ำจูบแผลเป็นบนต้นแขนของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มันผิดรึเปล่านะ...เสี้ยวหนึ่งในใจทักท้วง หากแต่เมื่อถูกคาร์เรย์รั้งเอวเข้าไปกอดแนบอก กระซิบเสียงเบาว่าให้นอนต่ออีกสักครึ่งชั่วโมง ผมก็หลับตาอย่างว่าง่ายพลางปัดความคิดนั้นทิ้งโดยไม่ไยดี
ช่างมันเถอะ
ช่างมัน...ในเมื่อคาร์เรย์รักผม จะเป็นยังไงก็ช่าง ผมแค่ต้องการความรักนั้น ไม่งั้นเจย์เดน เวอแกนคงไม่ต่างจากร่างไร้วิญญาณเช่นเดิม ผมทนมามากพอแล้ว
อย่าให้ผมตื่นจากฝันนี้เร็วเกินไปก็พอ
“มือเป็นอะไร”
ภาพน่ารักน่าเอ็นดูของคาร์เรย์ที่ทำหน้าบึ้งเมื่อผมปฏิเสธไม่ให้มาส่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานแล้วกระซิบว่าวันนี้จะทำข้าวเย็นให้ทานถูกแทนที่ด้วยหน้าดุๆ ของไอ้เด็กเวรเลียม
ทำเอาอารมณ์ดีๆ แบบนานทีปีหนของผมหายลับไปกับตา
“ไม่ใช่เรื่องของนาย” ผมว่าพลางโคลงศีรษะไปอีกทาง เอาขาสองข้างวางพาดกับโต๊ะ เอนหลังนั่งด้วยสีหน้าผ่อนคลายแสนสบาย แน่นอนว่าหากมีคนมาเห็นย่อมถูกตำหนิ แต่โต๊ะของผมอยู่ในสุด แถมยังมีฉากกั้นอีกต่อ นั่นหมายความว่าผมจะนั่งทำทุเรศแค่ไหนก็ได้ ตราบใดที่ไม่มีใครเดินเข้ามาเห็น...อย่างไอ้เด็กเลียม
ความจริงหมอนี่ห่างจากผมแค่สามปี แก่กว่าคาร์เรย์ซะอีก แต่ที่ผมชอบเรียกมันว่าได้เด็กเวร ก็เพราะนิสัยของมันทำให้ผมนึกถึงตัวเองสมัยก่อน และอดนึกไม่ได้ว่าหากถึงจุดที่ถูกผลักตกลงมา ไอ้เด็กนี่จะตั้งตัวยังไง
แต่ทุกครั้งที่นึกได้แบบนี้ ผมเป็นต้องหงุดหงิดงุ่นง่าน เพราะเลียมเป็นลูกชายของผู้บัญชาการในเมืองนี้ ย่อมไม่มีทางโดนป้ายสียามมีความผิด เป็นแพะรับบาปอย่างที่ผมและพ่อโดนอย่างสมัยก่อนหรอก
หึ มันช่าง ‘เวร’ ดีจริงๆ!
“...จะพูดดีๆ ด้วยกันสักครั้งไม่ได้รึไงนะ”
วันนี้มาแปลกแฮะ
ผมเลิกคิ้วอย่างยียวนเมื่อไอ้เด็กเวรถือวิสาสะลากเก้าอี้มานั่งข้างผม แล้วยังถือแฟ้มคดีของปาร์ตี้มั่วสุมเมื่อวานส่งให้อีกด้วย
“คุณได้รับการชื่นชมมากนะ เบื้องบนเองก็พอใจมาก”
ผมไม่แม้แต่จะเปิดดูรายละเอียด เสริมต่อในใจว่าคนที่เป็นแพะรับบาปชั่วชีวิตอย่างผม กับอีแค่เป็นนกต่อเล็กๆ น้อยๆ นะง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากซะอีก ที่สำคัญ...ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองมีเสน่ห์ชวนดึงดูดให้คนอื่นเข้าหา โดยเฉพาะกับคนเพศเดียวกัน ขนาดสภาพโทรมอย่างกับไม้เสียบผีแบบนี้แค่ยิ้มสักหน่อยก็มีคนยิ้มตอบกลับมาแล้ว เหมาะแก่การล้วงข้อมูลสุดๆ
และเมื่อวานก่อนที่ลิเดียจะเข้ามาให้ท่า ผมก็ไปติดต่อขอซื้อตัวอย่างยาจากเจ้าของห้อง รวมทั้งได้ข้อมูลผู้ค้ายารายอื่นๆ มาเพียบ แต่ไม่รู้ว่าไอ้การชื่นชมที่ว่า จะช่วยลดภาพลักษณ์ของผมที่ย่ำแย่สุดขีดของผมในตอนนี้ได้แค่ไหน
เพราะตอนย้ายมาประจำที่นี่ช่วงแรกๆ เสน่ห์ที่ว่าก็ทำให้ผมได้รับการดูแลอย่างดีจากพวกรุ่นพี่ ก่อนที่คนเหล่านั้นจะถูกผมปฏิบัติอย่างหยาบคายจนกลายเป็นเกลียดขี้หน้าไปเลย
ใช่...เกลียดน่ะดีแล้ว
แม้เมื่อวานจะโดนมอมเหล้าจนเมา เล่าอดีตของตัวเองให้คาร์เรย์ฟังซะเยอะ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมปิดปากเงียบ ราวจิตสำนึกสั่งให้เก็บกักในส่วนลึกที่สุด
เพราะเมื่อคืนไม่ใช่การมีอะไรกับผู้ชาย ‘ครั้งแรก’ ของผม
“...เขาเป็นใครเหรอ”
ผมเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ ไอ้เด็กเวรก็ถามลอยๆ เหมือนพูดกับอากาศ
“ผู้ชายคนเมื่อวาน...ที่จับมือคุณข้ามถนน เขาเป็นใคร”
หึ ไอ้เด็กนี่มันขยันทำให้ผมขำซะจริง!
“จะรู้ไปทำไม” ผมเอียงคอถามอย่างยียวน อันที่จริงท่านี้เมื่อบวกกับขอบตาคล้ำๆ แล้วจะน่าถีบมาก แต่เพราะเมื่อคืนผมนอนหลับเต็มตื่นในรอบหลายปี หน้าตาจึงดูสดชื่นกว่าเดิมเยอะ ทำให้ไอ้เด็กเลียมไม่ค่อยรู้สึกรู้สาเท่าไหร่
“คุณ...ดูสนิทสนมกับเขามาก”
“แน่ล่ะ” ผมพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “ก็เขาเป็น ‘คนรัก’ ฉันนี่”
“!!!”
ไอ้เด็กเวรลุกพรวด ก่อนจะเดินหนีไปโดยไม่หยิบแฟ้มคดีไปด้วย เห็นแล้วผมก็กลั้นขำแทบตาย หึ! เด็กเอ๋ยเด็กน้อย คิดว่าผมไม่รู้รึไงว่าการที่พยายามชวนคุยและชักชวนให้ผมทำคดีใหญ่เพื่อช่วยสร้างผลงานนั้นเพราะอะไร คงไม่มีคนโง่คนไหนซื่อบื้อขนาดไม่รู้ว่าการที่มีคนเข้าหาเกินจำเป็นทั้งที่มีคนเกลียดเป็นร้อยนั้น...คิดกับเขามากกว่าเพื่อนร่วมงาน!!
แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจเลียมหรอกนะ อย่างน้อยก็เพราะมีเขาอยู่นี่ล่ะ ผมถึงยังนั่งถอนหายใจทิ้งไปวันๆ แบบนี้ได้โดยไม่ถูกไล่ออกไปสักที
ทว่าเมื่อเทียบกับคาร์เรย์แล้ว...ฝ่ายหลังมีค่าทางจิตใจผมมากกว่า ถึงผมจะไม่รักเขา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีที่เขารักผม ฉะนั้นจึงไม่ลังเลเมื่อต้องยืนยันความสัมพันธ์
แล้วอีแบบนี้จะโดนเตะโด่งมั้ยนะ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมได้เลียมช่วยพูดกับเบื้องบนให้ แต่ไม่รู้ว่าหลังจากไอ้เด็กเวรโดนหักอกโดยสิ้นเชิง จะแค้นแล้วหาเรื่องเด้งผมออกรึเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นจะทำยังไงดีนะ อืม...ผมทำอะไรไม่เป็นซะด้วยสิ หากเปลี่ยนไปนั่งถอนหายใจทิ้งที่บ้านของคาร์เรย์ คนรักของผมจะว่ามั้ยนะ
คาร์เรย์คงพูดเป็นเชิง ‘ดีเลยครับ ผมจะได้มีเวลากับคุณเต็มที่’ แหงๆ!
ขนาดจะมาทำงานเมื่อเช้า หมอนั่นยังเซ้าซี้แทบตายเหมือนห่างกันไม่กี่ชั่วโมงจะขาดใจอย่างนั้นล่ะ ตอนนั่งกินข้าวด้วยกันคาร์เรย์เล่าคร่าวๆ ว่าญาติที่รับเขาไปอยู่ด้วยนั้นมีฐานะดี ทำให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ นั้นกำลังฝึกงานเพื่อรับช่วงตำแหน่งประธานคนต่อไป...ไม่สิ ครอบครัวของหมอนี่ฐานะดีอยู่แล้วต่างหาก ที่โดนฆ่าทิ้งก็เพราะผลประโยชน์เรื่องทรัพย์สิน จนป่านนี้ก็ยังจับฆาตกรไม่ได้ เป็นคดีที่ค้างคาในใจผมมาตลอด
แต่มันก็ผ่านไปตั้งเจ็ดปีแล้ว
ผมโคลงศีรษะอย่างขอไปที ก่อนจะหยิบแฟ้มของเลียมว่าจะเดินไปให้สักหน่อย เพราะในเร็ววันนี้ไอ้เด็กเวรคงไม่กล้าโผล่หน้ามาหาเรื่องผมอีกแน่
แต่แล้วผมก็ต้องชะงัก...เพิ่งสังเกตว่าไอ้เด็กเวรถือหนังสือพิมพ์ของเช้าวันนี้ติดมือมาด้วย
หน้าแรกนั้นพาดหัวข่าวตัวโตจนแทบแยงตา
แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่ากับภาพผู้ตายตอนมีชีวิตในกรอบเล็กๆ ข้างกับศพไหม้เกรียม
‘พิสูจน์แล้ว! ศพซึ่งถูกมัดและเผาทั้งเป็นเมื่อวันก่อนคือสารวัตรใหญ่xxx คาดว่าโดนฆ่าปิดปากเพื่อปกปิดรูปคดี อ่านต่อได้ที่...’
...เขาคือเพื่อนรักของพ่อที่ผมเพิ่งเล่าให้คาร์เรย์ฟังเมื่อคืน!!
“ถือซะว่าเขาชดใช้กับสิ่งที่ทำกับของพ่อของคุณไงครับ เจย์เดน”
คนรักแสนดีที่เพิ่งเจอหน้ากันแค่หนึ่งวันก็ตกลงปลงใจถือสปาเกตตี้คาโบนาร่าสองจานออกจากห้องครัว กลิ่นหอมโชยทำให้ผมพลอยหิวไปด้วย แต่นั่นไม่ทำให้ผมเผลอยิ้มเท่ากับภาพคาร์เรย์สวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำเงินเข้ม ท่าทางทะมัดทะแมง ไม่เหมือนชายหนุ่มสวมสูทผูกเนคไทค์เมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“อย่าสิ” ผมว่าอย่างไม่จริงจังนักเมื่ออีกฝ่ายถือโอกาสหอมแก้มระหว่างเสิรฟ์จานบนโต๊ะ คาร์เรย์หัวเราะรวน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“เหมือนฝันเลย” คนรักเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “คุณไม่รู้หรอกว่าผมตามหาคุณมานานแค่ไหน ผมรีบปรับตัวให้เข้ากับแม่บุญธรรมก็เพื่อจะได้มีเวลาหาคุณ รีบตั้งใจเรียนให้จบก็เพื่อจะได้มาใช้ชีวิตกับคุณ แต่ไม่ว่าจะหาที่ไหนก็ไม่พบ...ถ้าไม่จ้างนักสืบก็ไม่รู้ว่าชั่วชีวิตนี้จะได้เจออีกมั้ย”
คาร์เรย์พูดเป็นครั้งที่สิบ นับตั้งแต่ตอนเช้าที่เขาพร่ำบอกว่ารักผมมากมาย แม้จะผ่านไปเจ็ดปี แต่เขายังคงจดจำทุกอย่างของผม ไม่ว่าจะเป็นมือที่ช่วยอุ้มเขาจากกองเพลิง น้ำเสียงที่ช่วยปลอบประโลม หน้าตา ท่าทาง รอยยิ้ม หรือกระทั่งดวงตาที่จับจ้องเขาด้วยความห่วงใย ทุกอย่างล้วนหล่อหลอมให้คาร์เรย์ไม่อาจสลัดผมหลุดจากใจ และยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อแยกจาก
รู้ตัวอีกทีเขาก็ไม่อาจมองใครได้ลึกซึ้งเท่ามองผมอีกแล้ว
“แม่บุญธรรมของนายไม่ว่ารึไง”
ผมถามพลางใช้ส้อมม้วนเส้นสปาเกตตี้แก้เขิน ความรู้สึกของคาร์เรย์ท้วมท้นเกินกว่าจะรับไว้ แต่ผมก็ยินดีจะรับมาทั้งหมด ไม่มีใครทุ่มเทให้ผมเท่าเขาอีกแล้ว...กระทั่งพ่อแท้ๆ ยังไม่รักผมเท่าเขาด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นจะทิ้งผมไปได้ยังไง
“คุณแม่ไม่ว่าอะไรหรอกครับ” วูบหนึ่ง ราวดวงตาของคาร์เรย์แอบเก็บซ่อนความลับบางอย่าง ไม่ใช่ว่าแอบทะเลาะกันไปยกหนึ่งหรอกนะ “คุณไม่ต้องห่วงหรอก...ผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นคงไม่มีหน้ามาพบคุณ”
“หึ” ผมแค่นยิ้มขื่น ใครกันแน่ที่ไม่มีหน้ามาพบ จนตอนนี้ผมก็ยังอดสมเพชสภาพตัวเองไม่ได้ “นายคงผิดหวังเมื่อเจอฉัน”
“ผมดีใจต่างหาก” คาร์เรย์ยิ้มพลางใช้ส้อมจิ้มเบค่อนมาจ่อที่ปากของผม “คุณยังน่าหลงใหลเหมือนเดิม...เป็นเจย์เดน เวอแกนของผมคนเดียว”
...ช่างเป็นประโยคที่แสดงความเป็นเจ้าของจนผมรู้สึกอึดอัด
ไม่เพราะคนพูดคือคาร์เรย์ แต่เพราะประโยคนั้นทำให้ผมนึกถึงอดีตบางอย่าง
“คุณคงไม่รู้หรอก” เมื่อผมไม่ยอมกิน คาร์เรย์ก็ยิ้มอย่างไม่ถือสาก่อนจะวกส้อมเข้าปากตัวเอง “ไม่เคยรู้...ว่าผมน่ะรักคุณมากแค่ไหน”
ดวงตาสีเขียวอมเทานั้นประกายวาวระยับ แม้จะกำลังเคี้ยวด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ แต่รอยยิ้มมุมปากบนดวงหน้าหล่อเหลากลับชวนให้รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งตัว
“ผมรักคุณ
รัก...จนแทบคลั่ง!”
มีบางอย่างผิดปกติ
ผมลืมตามองเพดาน อากาศหนาวจากภายนอกไม่อาจทำอะไรผมที่อยู่ในอ้อมกอดอุ่นของคาร์เรย์ได้ ทั้งๆ ที่เมื่อวานหลับสนิทไปในอ้อมกอดนี้แท้ๆ แต่คืนนี้ผมกลับนอนไม่หลับ...ไม่ว่าจะข่มตาหลับแค่ไหนก็ไม่หลับ จนได้แต่เหม่อมองรอบข้าง คาร์เรย์หายใจเป็นสม่ำเสมอ มุมปากประดับรอยยิ้มจางแสนสุข
‘คุณไม่ต้องห่วงหรอก...ผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นคงไม่มีหน้ามาพบคุณ’เขาทำตามที่พูดจริงๆ เช้าวันนี้ผมนึกว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ที่เขาจะมีเสื้อผ้าขนาดของผมเก็บเอาไว้ แต่ในวันนี้ตอนคาร์เรย์อาบน้ำ ผมก็รู้ว่าไม่ใช่...ตู้เสื้อผ้ากว่าครึ่งมีสำหรับของเขา...และของผม ของทุกอย่างล้วนมีเป็นคู่ แก้วน้ำ จานชาม แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว ขนาดชั้นในก็ยังมีแยกไว้ราวกับเตรียมพร้อมเพื่อให้อยู่ด้วยกัน
เขายังไม่พูดออกมา แต่จากการกระทำในตอนนี้ก็เชื่อว่าผมคงไม่สามารถกลับไปห้องพักเก่าๆ ในเร็ววันนี้แน่
ผมควรรู้สึกยังไงดีนะ ควรจะดีใจรึเปล่าที่เขาทำให้ผมถึงขนาดนี้ แสดงความมุ่งมั่นว่าเขาจะไม่มีวันทรยศผม และพร้อมที่จะใช้ชีวิตด้วยกันไปตราบนานเท่านาน
ผมควรจะดีใจ
แต่ว่า...ท่าทางของเขาในช่วงมื้อเย็น กลับทำให้สัญชาตญานบางอย่างร้องเตือน!
ยิ่งได้อ่านข่าวซึ่งบอกถึงการตายของของเพื่อนรักพ่อ...การถูกเผาทั้งเป็น...ผมก็ยิ่งรู้สึกเย็นยะเยือกจนไม่อาจพูดคำใด...ก่อนจะขอใช้คอมพิวเตอร์ของเขาโดยอ้างว่าเล่นอินเตอร์เน็ตแก้เซ็ง แต่ความจริงสืบหาถึงคนรู้จักที่สังหรณ์ใจไม่ดีเอาซะเลย และก็จริงเสียด้วย ดูเหมือนว่าช่วงหนึ่งเดือนก่อนที่คาร์เรย์จะมาพบผม...นายตำรวจที่เคยร่วมงานด้วยในสมัยก่อนต่างตายราวใบไม้ร่วง ไม่ว่าจะเป็นที่ที่ผมย้ายไปประจำแค่ไม่กี่เดือน หรือกระทั่งคนที่เคยลวนลามผมแค่ไม่กี่ครั้ง ต่างก็ถูกฆ่าตายด้วยสาเหตุหลากหลาย บ้างเป็นอุบัติเหตุ บ้างเป็นการการปล้นชิง บ้างก็โดนลูกหลง ทุกเหตุการณ์ล้วนแตกต่างทั้งที่ทางและความเกี่ยวเนื่อง หากไม่ใช่ผม...ก็คงไม่มีใครรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!
‘ผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว’
มันน่าเหลือเชื่อเกินไปว่าจะเป็นฝีมือของคาร์เรย์เพียงคนเดียว!
การที่เมื่อคืนวานเขามอมเหล้าผมก็เหมือนกัน...ตอนแรกผมนึกว่าเขาเพียงต้องการรู้เรื่องในอดีตของผมเพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้น แต่มานึกดูดีๆ...เมื่อคืนเขาถามราวรู้เรื่องราวทั้งหมดอยู่แล้ว เสียแต่ต้องการคำยืนยันจากผม คล้ายกำลังประมวลว่า ‘จัดการ’ ครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่
ผมนึกดีใจเป็นครั้งแรกที่ไม่เผลอพูด ‘เรื่องนั้น’ ออกมา
เพราะท่ามกลางความตายนับสิบราย ผมไม่มีความเสียใจแม้แต่น้อย เหลือเพียงความเวทนาที่ต้องมาตายด้วยวิธีการโหดร้าย แต่หากเป็นคนคนนั้น...ผมคงไม่ยอมง่ายๆ แบบนี้
ควรจะทำยังไงดีนะ
ผมควรจะถามเขาตรงๆ หรือจะยอมเก็บเงียบไว้แบบนี้ เพราะไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ทุกอย่างก็ล้วนเป็นผลดีกับผมทั้งนั้น
ความเคียดแค้นในใจถูกบรรเทาลง...บ่งบอกว่าผมเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย
และผมเองก็ไม่อยากปล่อยมือจากความรักที่กองแทบเท้าเสียด้วย
ไม่เป็นไรหรอก...
ผมพยายามปลอบตัวเอง อย่างไรเสียทุกอย่างก็ผ่านไปแล้ว ผมไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ และไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าถ้าย้อนกลับไป ผมจะห้ามไม่ให้คาร์เรย์ลงมือรึเปล่า
ไม่เป็นไร...
ผมพยายามข่มตา ซุกหน้ากับอ้อมกอดอุ่นที่ไม่มีวันทำร้ายตัวเอง
ใช่...ตราบใดที่เขารักผม ก็ไม่เป็นไรหรอก...
-----------------------
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ อ่านคอมเม้นแล้วดีใจ เพิ่งลงนิยายในเล้าครั้งแรกเลย
เรื่องนี้มีชายหนุ่มหล่อๆ ให้เลือกสองคนค่ะ
หล่อใสกวนตีนยุติธรรมอย่าง "เลียม"
กับหล่อยันฯรักมั่นแต่โหดแท้ อย่าง "คาร์เรย์"
แต่ไม่ว่าจะเลือกใครเจย์เดนก็ได้กินหญ้าอ่อนอยู่ดี น่าอิจฉาแต้ๆ
สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่านเรื่องนี้นะคะ มาร่วมกันฝ่าฟันไปพร้อมกับหนุ่มๆ ทั้งสามกันเถอะ! ย่ะ!!