PLEASE♥ ขอรักได้ไหมครับ 2 (จบ)
สายลมพัดกระพือแรงจนร่างของนักศึกษาหนุ่มที่เดินอยู่บนริมถนนฟุตบาทแทบปลิวลอยไปกับแรงลมที่ซัดสาดใส่เขาอย่างไม่ออมกำลัง ปัณณ์พาร่างอันเปียกปอนของตัวเองเข้าไปยืนหลบหน้าเซเว่นหน้าถนนก่อนถึงทางเข้ามหาวิทยาลัยที่ยังพอมีพื้นที่ว่างให้เขาได้พักพิงชั่วคราว
นักศึกษาชายห้าคนที่ยืนออหลบฝนเช่นเดียวกัน ต่างซุบซิบกันเบาๆแล้วมองมายังเขาด้วยสายตาแปลกๆจนเด็กหนุ่มรู้สึกประหม่า ถอยห่างจากคนกลุ่มนั้นออกมา เดินย่ำเท้าฝ่าเม็ดฝนมหาศาลเข้าไปหลบอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะไม่ไกลจากเซเว่นนัก ก้มมองดูสภาพเปียกชื้นของตัวเองแล้วพร่างพรูลมหายใจอย่างยอมรับสภาพที่ดูไม่จืดของตัวเอง
สภาพอากาศแปรปรวนไม่เหมาะที่จะออกมานอกบ้านเสียเลย นี่คงเป็นเช้าวันจันทร์ที่แสนทุลักทุเลสำหรับเขาไม่น้อย มาเรียนวันแรกในเทอมสองของชั้นปีที่สองคณะคหกรรมศาสตร์ก็เจอเรื่องให้ต้องหงุดหงิดกับฝนที่ตกลงมาเหมือนแกล้งจะให้เขาหนาวตาย เด็กหนุ่มสะบัดผมจนหยดน้ำกระจายไปกระทบกับกระจกที่โอบล้อมร่างของเขาไว้รอบด้าน
สายตาลอบมองนักศึกษาห้าคนที่วิ่งขึ้นรถเก๋งคันดำที่มาจอดรับแล้วเคลื่อนเข้าไปในรั้วมหาลัยจนหายไปจากสายตา เขารู้สึกหงุดหงิดกับสายตาที่มองมาอย่างน่าเกลียดเหล่านั้น สายตาอันจาบจ้วง ละลาบละล้วงจนเขาอึดอัด
ไม่คิดว่าการที่เขาเป็นเกย์จะถูกมองออกได้ง่ายขนาดนี้ เขาไม่ใช่ผู้ชายตุ้งติ้ง ออกจะเหมือนผู้ชายปกติทั่วไป ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากผู้ชายเหล่านั้นเลย แต่ดูเหมือนว่าหลังจากที่เขา...
เด็กหนุ่มส่ายหัวราวกับไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้น
เรื่องที่เขาควรจะลืมไปตั้งนานแล้ว...แต่มันไม่ง่ายเลย
หึ...มันจะลืมกันได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?
ไม่มีทางเป็นไปได้...ก็ในเมื่อเขายังจดจำถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะผ่านมาหนึ่งปีแล้วก็ตาม
หนึ่งปี...ที่ผู้ชายคนนั้นหายไปจากชีวิตเขา พร้อมกับมีคนมากมายเข้ามารู้จักและต้องการสานสัมพันธ์กับเขา
แต่มันไม่ง่าย...เขาไม่อาจจะรับความรักจากใครได้ มันทำใจยากเกินไป...
ก่อนที่ปัณณ์จะกลับบ้านไปกับพี่สาวเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เขาให้เบอร์มือถือไปกับผู้ชายคนนั้น
เขาดูเหมือนคนโง่ ที่ได้แต่รอคอยผู้ชายคนนั้นให้ติดต่อกลับมา ไม่ต้องมาหาแค่โทรมาให้ได้ยินเสียงบ้างก็ยังดี
แต่มันกลับเงียบกริบ...ราวกับใครคนนั้นหายตัวได้
หึ...เขาไม่เคยลืม แต่ไม่รู้จะจำไปทำไม ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าในตอนนั้นถึงได้ทำตัวเหมือนคนโง่ที่ได้แต่รอ รอแล้วรอเล่า รอจนเวลาล่วงเลยมาหนึ่งปี
แต่ไม่มีอะไรเลย...เท่ากับที่รอมามันเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
พี่อันน์เล่าให้ฟังว่า ผู้ชายคนนั้น ได้เข้ามาบอกเธอในเช้าก่อนวันที่เขาจะกลับว่า พี่กฤษสั่งให้ผู้ชายคนนั้นพาตัวเขามาให้ บอกอีกว่ากฤษอยากได้เขามาตลอด และพี่กฤษไม่เคยซื่อสัตย์กับพี่อันน์เลย หลักฐานที่เอามาให้ดูคือคลิปของพี่กฤษกับสาวๆและเด็กหนุ่มอีกหลายรายที่เปิดให้กดโหลดซื้อมาดู
พี่อันน์เสียใจมาก บอกตัดขาดกับพี่กฤษในทันที ส่วนผู้ชายคนนั้นก็โดนพี่กฤษทำร้ายร่างกาย แต่ก็ไม่ได้โต้ตอบกลับ ยอมให้พี่กฤษซ้อมจนพอใจ แล้วความเป็นเพื่อนก็สะบั้นลงภายในวันนั้น พี่อันน์ได้ยินว่าผู้ชายคนนั้นติดหนี้พี่กฤษไว้มากอยู่พอควร แต่ไม่รู้รายละเอียดมากนัก
นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เขาไม่เคยต้องระแวงเกี่ยวกับพี่กฤษอีกแล้ว แต่เขากลับโหยหาคนไร้หัวใจคนนั้น
เขามันใจง่ายเอง ที่รักคนที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงสองวัน
เขามันใจง่ายที่เสนอตัวเองให้คนเย็นชา
เขามันคนใจง่าย...ทั้งที่ประณามตัวเองแบบนั้น แต่เขาหาได้รู้สึกเสียใจไม่
ให้คิดเสียว่ามันคือบทเรียนราคาแพงที่เขาจะไม่ทำซ้ำให้ต้องเจ็บปวดอีกอย่างแน่นอน
อยากจะหายไป ก็อย่ามาให้เห็นหน้าอีก เพราะเขาจะไม่ทน
เขาจะไม่ทน...และจะไม่ปล่อยให้ไปไหนอีกแล้ว
อย่าให้เจออีก...เพราะเขาจะพันธนาการพี่พันไว้ด้วยหัวใจของเขา
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเคยทอดทิ้งเขาไปอย่างไม่ใยดีก็ตาม
เสียงเคาะกระจกจากบุคคลหนี่งซึ่งเขามองเห็นหน้าไม่ชัดดังขึ้น ไอความเย็นขึ้นเป็นฝ้าขาวถูกถูออกด้วยฝ่ามือบาง ปรากฏภาพข้างนอกตู้โทรศัพท์เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่สูงระดับเดียวกันกับเขา
ร่างนั้นถือร่มสีดำไว้ ทอดมองมาด้วยสายตาที่เขาก็ไม่อาจจะอ่านความหมายได้ ความเงียบเกิดขึ้นราวชั่วกัปชั่วกัลป์ เด็กหนุ่มไม่ได้ขยับตัวไปทางไหน ได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ที่เริ่มจะหลอมละลายเมื่อโดนไฟจากดวงตาคมที่มองอย่างแผดเผา ราวกับว่าเขากำลังทำเรื่องที่ไม่สบอารมณ์จนอีกฝ่ายต้องโกรธ
โกรธ?
เขาต้องเป็นฝ่ายที่รู้สึกแบบนั้นไม่ใช่เหรอ? คนนิสัยไม่ดีแบบนั้นมีสิทธิ์อะไรมาโกรธเขา
เด็กหนุ่มก้าวพรวดออกจากที่พักพัง มายืนประจันหน้ากับผู้ชายที่แต่งตัวธรรมดาไม่เหลือเค้าหนุ่มเจ้าสำอางที่เขาเคยเจอมาก่อน ผิวที่เคยขาวดูกร้านแดด ดูเป็นชายหนุ่มดิบเถื่อน เพราะเหนือริมฝีปากนั้นปกคลุมไปด้วยหนวดครึ้ม ปากหนาของอีกฝ่ายไร้รอยยิ้ม
สิ่งที่ปัณณ์คิดได้ในตอนนี้คือ เขาจะทำยังไงดี กับผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ชายที่เขาคิดถึงมาตลอด
ผลัวะ
กำปั้นหนักๆกระแทกเข้าแก้มซ้ายพันอย่างจัง จนเขาล้มลงไปกองกับพื้น ร่มหลุดมือปลิวห่างออกไปตามกระแสลม รสเลือดในปากบอกเขาได้ดีว่าคนที่ยืนหน้าซีดตัวสั่นโกรธเขามากแค่ไหน
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากทั้งสองฝ่าย พวกเขาต่างจ้องตากันท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เม็ดฝนที่พร่างพรมบดบังความรู้สึกมากมายที่ออกมาจากแววตา น้ำที่รินไหลไม่อาจแยกได้ว่าอันไหนน้ำตาอันไหนน้ำฝน ปัณณ์ร้องไห้เงียบๆ ดวงตาแดงก่ำ ก้อนสะอื้นจุกที่อก เขาปวดแปลบ ราวกับใจมันโดนชำแหละด้วยสายตาที่ว่างเปล่านั้น เด็กหนุ่มทรุดนั่งลงกับพื้นเมื่อรู้สึกว่าเขาไม่มีแรงที่จะยืนได้อีกต่อไป
พันตกใจเมื่อเห็นคนที่ฝากหมัดไว้ที่เขาทรุดนั่ง ร่างนั้นนั่งนิ่ง เขาเข้าไปพยุงร่างของเด็กหนุ่มขึ้น แต่ปัณณ์กลับสะบัดมือเขาออกราวรังเกียจ แล้วลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง สายตาตัดพ้อและเสียใจของอีกฝ่ายทิ่มแทงทำให้เขารู้สึกผิด
ไม่รู้จะพูดคำไหนดี ให้ไม่เหมือนเป็นการแก้ตัว แต่เป็นการอธิบาย
พันยืนลังเล ในขณะที่ปัณณ์กลับยิ่งเสียใจในท่าทางนิ่งเฉยที่ดูเย็นชานั่น
เป็นเขาคนเดียวใช่ไหมที่ดีใจ
เป็นเขาคนเดียวใช่ไหมที่คิดถึง
“ปัณณ์” เสียงที่เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางสายฝน ไม่อาจทำให้คนที่กำลังเศร้าซึมสนใจ ปัณณ์หันหลังให้อีกฝ่าย แล้วก้าวเดินออกมาจากตรงนั้นทันที
“ปัณณ์” พันวิ่งตามมาคว้าแขนที่ดูจะเล็กกว่าตอนที่เขาเคยจับ เอวของอีกฝ่ายไม่บางเหมือนตอนนี้....ผอมลงขนาดนี้เลยเหรอ?
“ปล่อย” ปัณณ์ควบคุมน้ำเสียงสั่นๆของตัวเองไว้ไม่ได้ เขาสะอื้นออกมาเบาๆ เขาคงจะเพี้ยนไปแล้วที่ดีใจกับการที่อีกฝ่ายโอบกอดเขาไว้ ไม่แคร์สายตาคนอื่น ราวกับมีกันอยู่แค่สองคน แรงรัดจากอ้อมแขนแกร่งทำให้ปัณณ์ปล่อยโฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ขอโทษ” พันพูดคำนั้นซ้ำไปซ้ำมา จนแม้กระทั่งยามที่เขาพาอีกฝ่ายเข้ามาในรถของตัวเอง รถเก๋งคันเดิมที่เขาเคยใช้ถูกเปลี่ยนเป็นรถกระบะมือสองกลางเก่ากลางใหม่แต่ยังใช้การได้ดีอยู่
ทั้งคู่นั่งเงียบตลอดเส้นทาง สายตาของพันคอยลอบมองคนที่เคยชอบชวนเขาคุยด้วย แต่อีกฝ่ายกลับรูดซิบปากเงียบกริบ เขาถอนใจอย่างยอมรับความจริง
เป็นใครก็คงจะโกรธที่โดนทิ้ง
จะว่าแบบนั้นก็คงไม่ผิด เขาทิ้งอีกฝ่ายจริงๆนั่นแหล่ะ
หนี้สินที่เขาติดกฤษนั้นมันมากมายนักจนเขาต้องขายคอนโด และขายบ้านไม้ที่เป็นเรือนไทยเพื่อไปใช้หนี้จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกัน รู้ดีว่าเขามันไม่แมนนักที่เอาความลับไม่ดีของเพื่อนไปบอกกับแฟนสาวของกฤษ แต่มันคงจะเป็นหนทางเดียวที่กฤษจะเลิกยุ่งกับปัณณ์ได้ ถ้าพี่สาวได้เลิกรากับกฤษเสีย
เขาดูเป็นคนเลวในสายตาของทุกคน ที่เอาตัวเองไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ทำให้พวกเขาต้องเลิกรากัน เขาก็ยอมรับแต่โดยดี ก็คนที่เคยเหลวแหลกจะมีความคิดที่ดีกว่านี้ได้อย่างไร
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ออกจากงานประจำแล้วย้ายกลับไปอยู่บ้านนอกกับพ่อแม่ ทำไร่ทำสวน จนไม่มีเวลา...
พันหัวเราะเบาๆ เขายังจะแก้ตัวอะไรอีก ไม่ใช่ไม่มีเวลา แต่เพราะเขายังไม่พร้อมจะติดต่อมาหาเด็กหนุ่ม เขายังไม่พร้อมที่จะยอมรับความรู้สึกผิดที่มันกัดกินใจจนแกว่ง
เขารู้สึกผิดที่ไม่อาจจะรับผิดชอบสิ่งที่เขาทำไว้กับปัณณ์ได้ เขามันแทบไม่เหลืออะไรสักอย่าง ถ้าเขาไม่เหลวแหลก ติดหนี้พนันบอล ชีวิตเขาคงจะดีกว่านี้ และคงจะรับผิดชอบดูแลชีวิตใครสักคนได้
วันเวลาที่ผ่านมาหนึ่งปีเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าเขาก็ไม่เคยลืมเด็กหนุ่มคนนี้เลย
คนที่มอบความบริสุทธิ์ของตัวเองให้ผู้ชายอย่างเขา...ผู้ชายที่อาจจะดูเลวที่สุดในสายตาของปัณณ์
“ปัณณ์ บ้านอยู่ที่เดิมหรือเปล่า” พันถามทำลายความเงียบ
“เพราะอะไร? พี่ถึงกลับมา” ปัณณ์ก้มหน้านิ่งร้องถามเสียงเพ้อ
“......”
“ทำไมไม่ตอบ” น้ำตาที่รินไหลอาบแก้มปรากฏต่อสายตาเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น
“เดี๋ยวพี่โทรให้พี่สาวปัณณ์มารับกลับบ้านแล้วกัน” ร่างสูงว่า หยิบมือถือตรงคอนโซนรถมาถือไว้แต่ยังไม่โทรออก
“พี่มีเบอร์พี่อันน์?”
“อืม” พันยอมรับ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาสอบถามเกี่ยวกับตัวปัณณ์ทางพี่สาวเท่านั้น ถึงได้ความเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มเป็นอย่างดี โดยที่เขาขอร้องอันน์ว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับปัณณ์ เพราะเขายังไม่แน่ใจ
เขาไม่เคยแน่ใจหรือมั่นใจในเรื่องของความรักเลย เขากลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายเสียใจ ในคืนที่ได้อยู่ด้วยกัน เขาก็รู้แล้วว่าปัณณ์คิดกับเขามากกว่าคนแปลกหน้า ความรักแบบไร้เดียงสาปรากฏในแววตาของเด็กหนุ่มตลอดการที่เขาพาอีกฝ่ายขยับก้าวย่างอย่างเชื่องช้าและร้อนแรง มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข...ที่แค่เพียงครั้งเดียวแต่เขากลับจำไม่รู้ลืม
“พี่ติดต่อกันมาตลอดเลยเหรอ? ระหว่างที่ผมเหมือนคนบ้าที่เฝ้าแต่คิดถึงและรอโทรศัพท์จากพี่ แต่พี่ก็ไม่เคยสนใจเลยสักนิด กลับไปทำอะไรลับหลังผมใช่ไหม” น้ำตาพร่างพรู สายตาตัดพ้อนั้นแดงก่ำ
“ปัณณ์เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว พี่ไม่เคยทำอะไรที่เราคิดเลยนะ” พันละล่ำลักบอก
“แล้วทำไมพี่ไม่เคยติดต่อมาหาผมบ้างเลย พี่ลืมผมแล้วใช่ไหม? ทำไมล่ะ กลับมาทำไม?” ปัณณ์แทบตะโกนถามด้วยความอัดอั้น เขาร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่คิดว่าเขาจะสามารถร้องไห้ได้มากขนาดนี้มาก่อน
“เฮ้อ...พี่จะไปส่งปัณณ์ที่บ้านก็แล้วกัน หยุดร้องไห้ได้แล้ว” พันบอกตัดบท เขาโยนมือถือไว้ที่เดิมอย่างควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่
น้ำตามากมายของอีกฝ่ายเหมือนน้ำกรดที่สาดใส่เขาไม่ยั้ง มันทั้งเจ็บปวดและทรมานจนเขาแทบอยากจะตายๆไปซะ เขาทำให้คนที่เขารักต้องเจ็บปวดมากขนาดนี้ได้ยังไง เขาปล่อยทิ้งให้อีกฝ่ายต้องเสียใจมากขนาดนี้เพราะความไม่แน่ใจของตัวเองเพียงคนเดียวได้อย่างไร
หวังว่ายังไม่สายเกินไปถ้าเขาจะขอ โอกาสอีกสักครั้ง...
“เราขึ้นบ้านไปได้แล้ว อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็กินยานอนพักสักวันแล้วพรุ่งนี้ก็ค่อยบอกอาจารย์ว่าไม่สบายก็แล้วกัน” พันพูดขึ้นเมื่อเขาจอดรถหน้าบ้านของเด็กหนุ่ม แม้จะมีสิ่งเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่นี่มากมายแต่เขากลับจำเส้นทางมาบ้านของเด็กหนุ่มได้ดี...
“พี่ก็ควรไปอาบน้ำเหมือนกัน” ปัณณ์ว่า สายตาจับจ้องไปที่บ้านจัดสรรสองชั้นที่เขาอยู่กับพี่สาวสองคนตั้งแต่จำความได้ราวกับคิดถึงมันนักหนา
“ปัณณ์ก็ลงไปสิ พี่จะได้กลับไปอาบน้ำบ้างเหมือนกัน”
“เข้าบ้าน”
“หืม?”
“อาบที่นี่แหล่ะ แล้วพี่ค่อยไป”
“แต่เสื้อผ้าพี่อยู่ที่...”
“กลัวปัณณ์ปล้ำพี่หรือไง” ปัณณ์คงจะไม่รู้ตัวว่าเขานั้นทำหน้าตาอย่างไร พันมองคนที่ทำหน้ามุ่ย ปากยื่นอย่างเอาแต่ใจอย่างยอมแพ้
“แล้วปัณณ์ไม่กลัวพี่ปล้ำหรือไง”
“ถ้าพี่อยาก ปัณณ์ไม่ขัดขืนหรอก เพราะปัณณ์ก็ชอบเรื่องอย่างว่ามากซะด้วยสิ” ปัณณ์หย่อนระเบิดลูกใหญ่ทิ้งไว้ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วลงไป วิ่งฝ่าสายฝนที่ยังตกไม่ขาดสายปิดประตูบ้านอย่างไม่สนใจว่าอีกคนจะตามมาหรือไม่
พันกัดฟันกรอด เขาโมโหจนควันแทบออกหู เขาคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่าปัณณ์รักเขา และคงไม่ยอมปล่อยใจให้ใครง่ายๆ แต่ฟังจากคำพูดชวนคิดนั้น เขาก็ชักจะไม่มั่นใจเสียแล้ว
ร่างสูงวิ่งตามคนที่เดินเข้าไปในบ้านแล้วกระชากแขนบางเข้ามาบีบแน่น เค้นเสียงถามอย่างโกรธจัด
“ที่พูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง? บอกพี่มาเดี๋ยวนี้”
ปัณณ์เลิกคิ้วขึ้นอย่างกวนๆ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ก็หมายความตามนั้นนั่นแหล่ะ พี่จะสนไปทำไม ว่าผมจะเคยเอากับใครมาบ้าง เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย...อ้อ! ก็แค่เคยเอากันหนนึง”
ประโยคนั้นเหมือนน้ำมันที่ราดลงบนไฟที่กำลังลุกท่วมใจของพันให้ลุกโชน ชายหนุ่มบีบแขนคนปากดีแรงขึ้นอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
“พูดมาได้ยังไงว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วใครกันล่ะที่อยากได้พี่มากจนยอมให้พี่แทงเอาๆ”
“พี่!!!” ปัณณ์อึ้งไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดจาร้ายกาจขนาดนี้
“พี่เป็นผัวปัณณ์แล้ว ไม่ว่าปัณณ์จะผ่านใครมา ก็หนีความจริงข้อนี้ไปไม่ได้หรอก” ว่าจบร่างสูงก็โน้มหน้าลงจูบปากสีสดที่อ้าค้างนั้นทันที
ปัณณ์ยืนนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายลงโทษเขาอย่างไม่ขัดขืน ทำไมถ้อยคำร้ายกาจนั่นถึงไม่ทำให้เขาโกรธเลยสักนิดนะ อาจจะเป็นเพราะคำพูดนั้น คำที่เหมือนบอกความสัมพันธ์ของเขากับพี่พัน
พันถอนปากออกเมื่อลงโทษคนปากดีจนพอใจ
“เห็นทีว่าพี่คงต้องทบทวนความทรงจำสักหน่อยแล้วว่าปัณณ์น่ะเมียใคร จะทำให้ลุกไปเอาคนอื่นไม่ได้เลย”ว่าจบพันก็จัดการถอดแทบกระชากเสื้อนักศึกษานั้นจนหลุดติดมากับมือ เขาใช้เวลาไม่นานในการปลดเปลื้องร่างกายให้เด็กหนุ่มจนเปลือยเปล่า โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากปัณณ์
เพราะรักหรอกจึงยอมทุกอย่าง
“ทำตรงนี้ไม่ได้” ปัณณ์ร้องบอกเมื่อพันทำท่าจะถอดเสื้อ
พันชะงักมือเมื่อปัณณ์จูงมือเขาขึ้นบันไดไปชั้นสองเปิดห้องนอน หยดน้ำจากร่างกายของเขาพวกหยดตามทางแต่ทั้งสองก็หาสนใจไม่
พันผลักปัณณ์เข้ากับผนังห้องบดจูบลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างหนักหน่วง มือหนาเค้นคลึงร่างกายเปลือยนั้นอย่างหยาบโลน เขาละปากออกมาถอดเสื้อผ้าออกจนหมด แล้วจัดการผลักปัณณ์ลงบนที่นอนก่อนจะขึ้นคร่อมไว้
“พี่รักปัณณ์บ้างไหม?” จู่ๆปัณณ์ก็อยากรู้ เขาอยากให้เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเพราะความรัก ไม่ใช่เพราะแค่อยากเอาหรืออยากสั่งสอนเขาที่พูดจาไม่ดี
พันชะงัก เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะโน้มหน้าลงซุกไซ้ซอกคอขาวผ่องราวกับกระหาย แต่แล้วคนที่เคยให้ความร่วมมือกลับขัดขืน ปัณณ์จับมือที่ลูบไล้กายเขาไว้ จนพันต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความไม่เข้าใจ
“ปัณณ์ถามว่าพี่รักปัณณ์ไหม?”
“มันสำคัญนักเหรอ ไอ้คำว่ารักน่ะ”
“สำคัญสิ บอกมาว่ารักหรือเปล่า บอกมาสิ!” เด็กหนุ่มเริ่มโกรธ
“เราเพิ่งเจอกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน คิดว่ามันเป็นความรักไหมล่ะ กับไอ้สิ่งที่เราจะทำกันน่ะ”
“ปัณณ์แค่ถามว่ารักไหม มันพูดยากมากหรือไง!”
“ไม่ยาก! แต่รู้ไปแล้วมันจะมีอะไรดีขึ้นมาหรือไง”
“พี่มันคนไม่มีหัวใจ!” ปัณณ์ว่าทั้งน้ำตาคลอ
พันเงยหน้าถอนหายใจ มันไม่ยากอะไรหรอกกับแค่คำว่ารัก ถ้าเขาพูดไปว่า”รัก” อีกฝ่ายจะเชื่อเขาเหรอ
ฟันแล้วทิ้ง
นั่นคงจะเป็นนิยามที่ปัณณ์มอบให้เขาแน่ๆ
“เราอยากได้ยินมากเลยเหรอ คำว่ารักน่ะ” พันถามเสียงอ่อน
“พี่คิดว่าเราอยากได้ยินคำว่ารักจากคนที่เรารักไหมล่ะ”
“ก็คงงั้นมั้ง...แล้วปัณณ์รักพี่หรือไงถึงได้อยากรู้นัก”
แก้มร้อนผ่าวเมื่อพันยิงคำถามนั้นมา แต่เขาก็เป็นคนที่ยอมรับความจริงอยู่แล้ว
“ใช่! ปัณณ์รักพี่ อาจจะฟังเหมือนใจง่ายนะ แต่ปัณณ์รักผู้ชายที่เคยเอากันเมื่อปีที่แล้ว เข้าใจไหม อื้อ!”
พันก้มลงจูบคนด้านล่างอย่างดีใจ ปากของเขายิ้มแม้จะยังบดจูบซ้ำๆบนปากของปัณณ์อย่างไม่รู้เบื่อ
“ถ้าพี่พูดไป เรายังจะเชื่อพี่เหรอ? พี่เคยฟันแล้วทิ้งเรานะ ปัณณ์ไม่เกลียดพี่เหรอ?”
ปัณณ์ส่ายหัวจนผมกระจาย
“ถ้าปัณณ์เกลียดพี่ ปัณณ์จะไม่แค่ต่อยหน้า แต่ปัณณ์จะไม่มองหน้าพี่อีกเลย ปัณณ์จะลืม ทำเหมือนพี่ไม่มีตัวตนอีกต่อไป”
“ใจร้ายจังนะ”
“คำนั้นเหมาะกับพี่มากกว่า”
“พี่ขอโทษ”
“ปัณณ์ไม่ได้อยากได้ยินคำนี้”
พันถอนหายใจ เขาคิดว่าไม่ควรจะทำสิ่งที่บั่นทอนความรักให้มันป่นปี้ให้มากกว่านี้อีกต่อไปแล้ว
“รัก”
“หืม?”
“พี่รักปัณณ์”
ปัณณ์ค่อยๆยิ้มทั้งน้ำตากับคำพูดเบาๆนั้น แต่มันกลับดังก้องในใจของเขา
“งั้นก็รักปัณณ์นานๆนะ” จบคำนั้นปัณณ์ก็ชะโงกหน้าขึ้นไปจูบพัน
ไม่ว่าชายหนุ่มจะพูดจริงหรือเปล่า แต่เขาก็เชื่อไปทั้งหัวใจแล้ว
ทำไมจะต้องคิดอะไรมากด้วย ในเมื่อเขาก็รักอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย
แล้วทำไมพี่พันจะรักเขาได้อย่างง่ายๆไม่ได้
จะถือซะว่าที่ผ่านมาเป็นการทดสอบของจิตใจก็แล้วกัน
...หากจะเจ็บอีกสักครั้ง ก็ขอให้มันเจ็บไป ในเมื่อใจมันอยากง่ายเอง...
หลังจากชั่วโมงอันร้อนแรงจบลงทั้งคู่ก็กอดกันกลมอยู่บนเตียง ปัณณ์แนบแก้มกับอกหนาแล้วหลับตาถาม
“พี่ไปอยู่ที่ไหนมา ปัณณ์ไปหาที่บ้านแล้วเจอคนแปลกหน้า เขาบอกว่าพี่ขายบ้าน?”
ไม่อยากจะเล่าเลย แต่ถ้าเป็นคนรักกันแล้วก็ควรบอกเล่าให้กันฟังบ้างก็ยังดี
“ใช่ พี่ขายบ้านเอาไปใช้หนี้กฤษจนหมด แล้วกลับระยองไปช่วยพ่อแม่ทำสวนผลไม้
“พี่กะจะหายไปจากชีวิตปัณณ์เลยสินะ...ปัณณ์เสียใจมากรู้ไหมที่พี่ทำเหมือนลืมกัน ทิ้งกันอย่างเยือกเย็นแบบนั้น”
“พี่ขอโทษ”
“ปัณณ์ไม่อยากได้ยินคำขอโทษจากพี่อีก ขอแค่อย่าทิ้งให้ห่างกันไปอีก ทำได้ไหม?”
“พี่ทำไม่ได้”
ปัณณ์ลืมตาแล้วผละออกจากอ้อมกอดนั้นทันที เขาลุกขึ้นนั่ง น้ำตาที่แห้งไปแล้วกลับคลอหน่วยอีกครั้ง จ้องคนที่นอนตาปริบอย่างตัดพ้อ
“พี่จะไปอีกแล้วใช่ไหม...จะหายไปอีกแล้วใช่ไหม” ปัณณ์กลืนก้อนสะอื้นลงคอ ยิ้มออกมาน้อยๆอย่างสมน้ำหน้าตัวเอง...เห็นไหมล่ะว่าสุดท้ายก็คงเป็นเขาคนเดียวที่เจ็บปวด
พันเห็นท่าทางแบบนั้นของคนรักก็ลุกขึ้นดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมกอด ปัณณ์ดิ้นขัดขืนอย่างไม่พอใจ
“หยุดดิ้นสักทีสิ จะไม่ฟังกันพูดให้จบใช่ไหม”
“ยังจะพูดอะไรอีกล่ะ ที่บอกเมื่อกี้ปัณณ์ก็เข้าใจหมดแล้ว”
“คิดไปเองน่ะสิ”
“ก็มันจริงนี่”
“ปัณณ์ฟังพี่นะ ที่พี่บอกว่าทำไม่ได้เพราะพี่ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้าน”
คำนั้นทำให้ปัณณ์หยุดดิ้นรนแต่โดยดี
“พี่ไม่ได้จะทิ้งปัณณ์?” ปัณณ์เงยหน้าถาม พันยิ้มอย่างเพลียใจ...ให้ตัวเองหรอกนะ ไม่ใช่ปัณณ์
“อืม...เอาไว้เสาร์นี้พี่จะมารับเราไปบ้านพี่ดีไหม”
“จริงเหรอ? พี่จะพาปัณณ์ไปบ้านพี่จริงๆเหรอ”
“อืม”
“แล้วพี่จะบอกพ่อแม่พี่ว่าปัณณ์เป็นใคร?”
พันกรอกตาอย่างครุ่นคิด สีหน้าเครียด หัวใจปัณณ์ห่อเหี่ยวเมื่อเห็นดังนั้น แต่แล้วพี่พันกลับยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็จะบอกว่าปัณณ์เป็นเมียสิครับ”
ปัณณ์ยิ้มเขิน พุ่งตัวเข้ากอดอีกฝ่ายจนล้มลงไปนอนด้วยกัน
“อย่าลืมล่ะว่าปัณณ์เป็นเมียพี่”
“ไม่ลืมแน่ครับ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนจะเริ่มทำหน้าที่ผัวเมีย...บอกรักกันไม่ขาดปากจนกระทั่งพากันหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
สวัสดีจ้า กลับมาแล้วกับตอนจบ หลายท่านอาจคาใจว่าบางฉากมันหายไปไหน
อิอิ ขอยกยอดฉากรักไปตอนพิเศษนะคะ
แล้วพบกันตอนพิเศษจ้า...