วันนี้สุทธิรักษ์ทำงานอย่างเป็นสุขแม้จะต้องเข้าเวรที่ห้องการเงินของโรงพยาบาลจนถึงสามทุ่มก็ตาม เพราะเมื่อเช้าเป็นครั้งแรกที่เขาเจอหมอกวินก่อนมาทำงาน ร่างสูงอยู่ในชุดแปลกตากว่าที่เคยเห็น เสื้อยืดตัวหลวมกับกางเกงวอร์มขายาวดูสบายๆ ทรงผมที่เคยจัดทรงเรียบร้อยก็ดูยุ่งเหยิงน่ามองไปอีกแบบ เจ้าตัวคล้ายจะตกใจเล็กน้อยที่เห็นเขาแต่แค่เสี้ยววินาทีหลังจากนั้นรอยยิ้มสดใสก็แตะแต้มใบหน้าเช่นทุกที
ส่วนเขาที่กำลังเก็บจักรยานเข้าที่จอดทำยังไงน่ะหรือ? ก็ได้แต่ฉีกยิ้มเกร็งๆ ให้แล้วรีบเผ่นจากไปน่ะสิ
แม้จะเจ็บใจกับปฏิกิริยาส่วนตัว แต่การบังเอิญพบคนที่แอบชอบในตอนเช้ามันก็ทำให้วันทั้งวันนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ต่อให้เจอผู้คนร้อยพ่อพันแม่สักแค่ไหนเขาก็รับมือด้วยรอยยิ้ม จนเพื่อนร่วมงานคงคิดว่าเขาบ้าไปแล้วก็ได้
“กลับยังไงเรา?” เสียงทักทายจากช่องกระจกบานเลื่อนเบื้องหน้าเรียกสายตาของคนที่กำลังจัดเก็บของให้หันไปมอง สุทธิรักษ์ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้าเขย่าพวกกุญแจรถในมือคล้ายเชื้อเชิญ
“ถ้าไม่เป็นการรบกวนก็อยากจะติดรถกลับไปด้วยครับ”
“ถ้ารบกวนล่ะก็ พี่คงเผ่นแนบไปก่อนแล้ว” อั๋น หรืออันดา เภสัชกรที่ขึ้นเวรยังห้องใกล้เคียงกันเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “รีบเก็บของเร็วเข้า พี่หิวข้าวด้วย”
สั่งความเสร็จก็พาร่างมานั่งลงที่เก้าอี้ยาวหน้าห้อง สุทธิรักษ์อมยิ้มมองคนรอที่กำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลาก่อนจะรีบกลับไปเก็บของต่อจนเสร็จเรียบร้อย ใช้เวลาไม่นานคนทั้งคู่ก็เดินก้าวฉับๆ ไปยังที่จอดรถของเจ้าหน้าที่ พากันขึ้นมอเตอร์ไซค์คันเก่งของอันดาแล้วมุ่งหน้าออกจากโรงพยาบาลไปตามทาง
อันดาเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันแต่บ้านอยู่ห่างออกไปหลายซอย วันไหนที่ขึ้นเวรตรงกันก็มักใจดีพาเขากลับบ้านด้วยเสมอ เพราะรู้กันดีว่ารถประจำทางที่จะวิ่งผ่านหน้าหมู่บ้านในยามดึกเช่นนี้มีน้อยมาก ต้องรอกันนานเลยทีเดียวกว่าจะมาสักคัน ยังดีที่ในหนึ่งเดือนมีขึ้นเวรประจำห้องการเงินไม่เท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นสุทธิรักษ์คงได้ดิ้นรนหาซื้อรถเข้าให้จริงๆ
หลังจากแวะเติมพลังรอบดึกจากร้านบะหมี่เกี๊ยวปูแถวบ้าน อันดาก็พาเขามาหย่อนไว้ตรงที่จอดจักรยานบริเวณหน้าหมู่บ้านแล้วบอกลาเขาด้วยสีหน้าแช่มชื่น
สุทธิรักษ์เดินมาปลดล็อกจักรยานท่ามกลางความเงียบ เวลาเกือบห้าทุ่มเช่นนี้ร้านรวงต่างๆ ก็พากันปิดเงียบเชียบ จะเหลือก็แต่ร้านสะดวกซื้อ 24 ชม. แต่บรรยากาศก็ยังพาให้วังเวงไม่หยอก ชายหนุ่มวางชุดสายคล้องในตะกร้าหน้าแล้วจึงเคลื่อนรถออกมาเพื่อตั้งทิศทางให้พร้อม แต่ความหนืดของการเคลื่อนที่ทำให้เขาต้องก้มลงไปดูสาเหตุ
“โหย~ แบนได้ไงล่ะเนี่ย” เสียงโอดครวญดังฝ่าความเงียบเมื่อพบว่าล้อทั้งสองของจักรยานคู่ใจนั้นแบนเสียจนติดพื้นทั้งที่เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งจะเติมลมไป ไม่มีทางที่เขาจะฝืนปั่นไปมาได้เป็นแน่ สุทธิรักษ์จำต้องตัดใจล็อกจักรยานไว้กับที่ตามเดิมแล้วเปลี่ยนเป้าหมายเป็นการเดินเท้ากลับบ้านที่ห่างกันเป็นกิโลแทน
ชายหนุ่มหยุดยืนมองร้านคลินิกรักษาสัตว์ที่ปิดไฟมืดสนิทแล้วอดคิดถึงคุณหมอเจ้าของร้านไม่ได้ ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะนอนหลับฝันดีไปหรือยัง? ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะโชคดีได้เจอกันอีกหรือเปล่า? จะมีโอกาสได้แอบถ่ายรูปหมอเก็บไว้ได้บ้างไหม? หากขณะที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นเสียงเปิดรั้วก็ดังแว่วมาจากทางด้านข้าง เขาหันไปมองทางต้นเสียงเพื่อให้ตัวเองคลายกังวลแล้วก็พบกับเงาตะคุ่มของใครสักคนกำลังเดินออกมา
บ้านหลังที่ติดกับคลินิกนี้คงไม่ใช่...
“อ้าว! คุณรัก”
อะไรมันจะโชคดีขนาดนี้นะสุทธิรักษ์!!
“ส...สวัสดีครับคุณหมอ” คนตอบรับพยายามเหลือเกินที่จะรักษาระดับเสียงให้เป็นปกติ ใจหนึ่งก็อยากจะออกวิ่งหนีไปอย่างทุกที แต่ก็กลัวว่าคุณหมอจะมองว่าเขาเป็นคนไม่มีมารยาทจนพาลไม่มองหน้ากัน
สุทธิรักษ์สูดหายใจเข้าออกยาวๆ ขณะรออีกฝ่ายที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาด้วยฝีเท้าที่เร็วกว่าปกติ เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาข้างกายก็ปรากฏร่างสูงยืนเคียงคู่กัน หัวใจเขานั้นเต้นตุบๆ อย่างบ้าคลั่ง ทั้งใบหน้าก็เห่อร้อนอย่างห้ามไม่อยู่ยามมองรอยยิ้มสวยๆ ที่ส่งมาให้
“กลับดึกจังเลยครับ”
“คือ...วันนี้ผมขึ้นเวรน่ะครับ” สุทธิรักษ์อ้อมแอ้มตอบ พยายามอย่างยิ่งที่จะหลบสายตาคู่คมที่มองมา
“ขอละลาบละล้วงนะครับ คุณรักทำงานอะไรหรือครับ”
“ผมทำแผนกธุรการในโรงพยาบาลครับ บางวันก็มีขึ้นเวรที่ห้องการเงินด้วย” หมอกวินพยักหน้าอย่างเข้าใจ สายตายังคงจับจ้องคล้ายกับจะมีคำถามบางอย่างเพิ่มเติมหากมีเพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่แย้มพรายออกมา
“เอ่อ...คุณหมอกำลังจะไปไหนรึเปล่าครับ?”
“อ๋อ ผมกะจะไปซื้อของใช้สักหน่อย” คุณหมอว่าพลางชี้ไปยังร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงฝั่งตรงกันข้าม “แล้วคุณรักทำไมถึงจะเดินกลับล่ะครับ เมื่อเช้าคุณปั่นจักรยานมานี่”
“ยางมันแบนทั้งสองล้อน่ะครับ”
“แย่จัง” คุณหมอหนุ่มเอ่ยเห็นใจทว่ามุมปากจุดรอยยิ้มอ่อนบางเกินกว่าที่ใครอีกคนจะทันสังเกตเห็น
สุทธิรักษ์ทั้งตื่นเต้นทั้งกดดัน เขาอยากจะยืนอยู่ด้วยอย่างนี้ไปอีกสักพักแต่เกรงว่าคนพูดไม่เก่งอย่างเขาจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดซะเปล่าๆ การพูดคุยทักทายแบบผิวเผินมันอาจจะดีกว่าการสนิทสนมกับคนน่าเบื่อแบบเขาก็ได้ คิดได้ดังนั้นก็ไม่นึกเสียใจ สุทธิรักษ์จำใจต้องบอกลาชายหนุ่มผู้เลอค่าในความรู้สึกแต่เพียงเท่านี้ เขาจะรีบกลับไปนอนเผื่อเช้าพรุ่งนี้จะมีโอกาสได้บังเอิญพบกันอีก
“...งั้นผม--”
“ผมไปส่งนะครับ”
คำกล่าวลาถูกเสียงนุ่มสบายหูขัดกลางประโยคเสียก่อน สุทธิรักษ์เก็บกลืนเสียงตัวเองลงคอด้วยความไม่แน่ใจ เมื่อกี้คนตรงหน้าได้เอ่ยคำพูดบางอย่างออกมาจริงๆ ใช่ไหม? คุณหมอกวินบอกว่าจะไปส่งเขาอย่างนั้นหรือ? ไปส่งเขาจริงๆ ไม่ใช่เพราะเขาหูฝาดไปใช่ไหม? ชายหนุ่มที่ชักจะไม่เชื่อความสามารถในการฟังของตัวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะขอคำยืนยัน
“ให้ผมไปส่งนะครับคุณรัก” หมอกวินบอกอีกครั้งราวกับเข้าใจความหมายของสายตาที่เขาสื่อออกไป สุทธิรักษ์มองรอยยิ้มของคุณหมอด้วยใบหน้าเห่อร้อน หัวใจทำงานหนักด้วยความตื่นเต้น มันพองโตจนแทบจะทะลุออกมานอกอกแล้ว
“คือ...”
“อย่าปฏิเสธเลยครับ ยังไงก็คนหมู่บ้านเดียวกัน”
คำพูดจากคนยิ้มสวยเหมือนเข็มแหลมที่เจาะหัวใจอันอาจหาญของคนฟังให้เหี่ยวแฟ่บลง
สุทธิรักษ์แสร้งยิ้มตอบรับทั้งที่ในอกปวดแปลบๆ เขายืนรอคุณหมอหนุ่มที่รีบวิ่งกลับเข้าบ้านเพื่อไปเอาจักรยานท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด ความเงียบนั้นทำให้เขาต่อว่าความรู้สึกเหิมเกริมของตัวเองได้ดี ...หน้าจะแดงจะร้อนแล้วยังไง หัวใจมันจะโป่งพองจนแตกออกมาแล้วจะทำไม เขาไม่มีสิทธิ์ใช้ความใจดีเล็กๆ น้อยๆ ของใครอีกคนมาให้ความหวังตัวเอง ผู้ชายทุกคนไม่ใช่เกย์ และคนที่ใจดีกับอีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องทำเพราะกำลังมีความรักให้
เฮ้อ~ เกือบไปแล้วไหมเล่าสุทธิรักษ์ ดีแค่ไหนแล้วที่ได้คำพูดคุณหมอเตือนสติ
เขาเป็นแค่คนหมู่บ้านเดียวกัน และเป็นได้แค่นั้นนั่นแหละ
“คุณรัก ไปกันครับ”
คุณหมอกวินยิ้มร่ามาพร้อมกับจักรยานแม่บ้านคันเดิม เขายิ้มให้แล้วเดินไปขึ้นนั่งซ้อนท้าย อมยิ้มกับคำแซวให้เขาจับแน่นๆ เพื่อเตรียมซิ่งจากอีกฝ่าย แต่ในความเป็นจริงคือการปั่นเอื่อยๆ รับลมสายเย็นๆ ยามค่ำคืน คุณหมอถีบจักรยานได้เชื่องช้ามากเสียจนเขากังวลเรื่องน้ำหนักตัวเอง แต่เมื่อคิดว่าก่อนหน้านี้ที่พาเจ้าแมวไปคลินิกคุณหมอยังปั่นได้รวดเร็วยิ่งกว่านี้ไม่รู้กี่เท่าก็ให้ถอนหายใจ...คุณหมออาจจะเหนื่อยแล้วก็เริ่มง่วงขึ้นมาก็ได้
“เจ้าเหมียวหายแล้วนะครับ” เสียงของคุณหมอลอยมาตามลม เพราะรอบข้างเงียบสงัดจึงทำให้ได้ยินเสียงทุ้มนุ่มนั้นชัดเจน “คุณรักอยากไปเยี่ยมมันไหมครับ?”
สุทธิรักษ์สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามหยุดหัวใจที่คล้ายจะลิงโลดขึ้นมาอีกครั้ง “อย่าเลยครับ ผมไม่ค่อยถูกกับสัตว์เท่าไหร่”
“...เหรอครับ”
“คุณหมอยังหาเจ้าของไม่เจอหรือครับ”
“ใช่ครับ ผมลองประกาศหาที่เพจของคลินิกกับที่กระดานประกาศของหมู่บ้านแล้วแต่ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามาเลย”
“ขอโทษนะครับ ผมเลยทำให้คุณหมอลำบากไปด้วย”
“ไม่ลำบากอะไรเลยครับ” คุณหมอหนุ่มหัวเราะเบาๆ “เจ้าเหมียวนั่นนับว่าเลี้ยงง่ายมากครับ ดูจะเข้าใจคำพูดของคนเก่งกว่าแมวตัวอื่น แต่ติดตรงที่หัวสูงไปหน่อย”
สุทธิรักษ์ได้แต่ยิ้มตาม เขาไม่เข้าใจว่าแมวหัวสูงเป็นอย่างไหร่แต่ก็ไม่ทันได้ถามเพราะคุณหมอยังคงเจื้อยแจ้วเรื่องแมวตัวเดิมไปเรื่อย เขาเองก็รับฟังเสียงนั้นแล้วยิ้มออกมาราวกับคนบ้า แต่เวลาแห่งความสุขมันต้องมีจุดสิ้นสุดของมัน เมื่อคุณหมอเลี้ยวเข้ามาในซอยเล็กขนาดรถสวนกันพอได้ สองข้างทางมีเพียงแสงจากเสาไฟข้างทาง ไม่กี่วินาทีต่อมาจักรยานแม่บ้านคันใหญ่ก็จอดเทียบรั้วระแนงสีเข้มที่สูงเท่าอก
“ขอบคุณนะครับ” ชายหนุ่มลงจากรถก่อนจะเอ่ยขอบคุณ แต่บางอย่างมันดูจะผิดปกติไปสักหน่อย เขาเงยหน้ามองคนใจดีตรงหน้าด้วยความสับสน คิ้วเรียวขมวดมุ่นเพราะกำลังนึกถึงบางอย่างที่ไม่ใคร่จะถูกต้องนัก
“หืม? อะไรครับ?” สุทธิรักษ์หลบตาฉับเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย
“คือ..ผมยังไม่ทันได้บอกทางมาบ้านเลยนี่?” เพราะเขามัวแต่ฟังเสียงเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ของคุณหมอมาตลอดทาง
“อะ! เอ่อ...ที่จริงแล้ว...”คุณหมอหนุ่มมีสีหน้าเขินอายระคนรู้สึกผิดเล็กน้อย “บ้านเพื่อนสนิทผมอยู่หลังโน้นครับ ก็เลยได้เห็นคุณรักบ่อยๆ” เขามองตามปลายนิ้วของคนพูดที่ไปตกยังบ้านหลังตรงข้าม
“เห็นบ่อยเหรอครับ” คนฟังทวนคำสีหน้ากังวล
“ใช่ครับ ก็เห็นว่าคุณรักมีรถแฟนมารับมาส่งบ่อยๆ”
“หา! ผมไม่มีแฟนนี่ครับ” สุทธิรักษ์สับสนหนักยิ่งกว่าเดิม
“ฮะๆ ผมล้อเล่นหรอกครับ” หมอกวินหัวเราะจนตาปิดทิ้งร่องรอยเสน่ห์ไว้ที่ลักยิ้มอีกเช่นเคย “ผมเห็นคุณชอบมานั่งตรงชานบ้านแล้วมองแมวกินข้าว ถึงได้เข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเหมียวนั่นเป็นของคุณในตอนแรกไง”
“คือ...ผมแค่วางอาหารทิ้งไว้เฉยๆ”
“อาหารสำหรับแมวจรสามสี่ตัวไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะครับ ถ้าคุณไม่ได้รักสัตว์คงทำแบบนี้ทุกวันไม่ได้”
“ผมไม่ได้ชอบ--” สุทธิรักษ์พยายามแย้ง แต่เป็นอีกครั้งที่คำพูดของเขาถูกขัดจากคนยิ้มสวย
“คุณอาจจะไม่ชอบแต่คุณไม่ได้เกลียดแน่นอน เพราะคนที่เกลียดสัตว์ไม่มีทางใจดีแบบนี้หรอกครับ”
เขาว่ากันว่า การทำดีสุดท้ายแล้วจะได้ผลตอบแทน สำหรับสุทธิรักษ์แล้วนั้นคงจะเป็นรอยยิ้มของคุณหมอคนนี้เป็นแน่ คำชมกับลักยิ้มน่ารัก... มันช่างเป็นผลตอบแทนเล็กน้อยที่อุ่นหัวใจเหลือเกิน
“พรุ่งนี้คุณรักยังกลับดึกแบบนี้อยู่รึเปล่า?”
“ครับ ผมอยู่เวรอีกสามวัน”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอกุญแจล็อกจักรยานของคุณรักไว้นะครับ พรุ่งนี้จะได้เข็นไปร้านซ่อมให้”
ความใจดีของคุณหมอทำเขาใจบางอีกแล้ว“อย่าเลยครับ ผมไม่อยากรบกวน” สุทธิรักษ์รีบปฏิเสธ แต่เขาไม่รู้เลยว่าคุณหมอคนนี้กลับมีความดื้อดึงที่เกินคาด ใบหน้าหล่อเหลาง้ำลงเป็นการปฏิเสธเช่นกัน
“แล้วคุณรักจะเดินกลับบ้านทุกคืนหรือครับ แบบนั้นมันอันตรายไม่ใช่หรือไงกัน”
“เอ่อ...”
“ถึงหมู่บ้านเราจะดูสงบสุขดี แต่ก็ยังมีพวกเด็กวัยรุ่นซ่าๆ อยู่นะครับ อย่างพวกที่ทำร้ายเจ้าเหมียวนั่นไง”
“คือ...”
“อีกอย่างร้านซ่อมก็อยู่ใกล้ๆ กับคลินิก ผมเลยไม่เห็นเป็นเรื่องลำบาก”
“แต่...”
“ผมเต็มใจนะครับ ...หรือว่าคุณรักรังเกียจผม”
“
ผมชอบต่างหากล่ะครับ!!”
สุทธิรักษ์หวังใช้เสียงที่ดังกว่าปกติโต้ตอบเพื่อหยุดการสาธยายอันยาวเหยียดของคนใจดี เพราะฉะนั้นท่ามกลางความเงียบรอบตัวเสียงของเขาจึงดังราวกับตะโกนออกมา
แต่...
เมื่อกี้เขาพูดอะไรออกไป!!“ผมหมายถึงว่าผมไม่ได้รังเกียจคุณหมอน่ะครับ ค...คุณหมอเป็นคนใจดีแบบนี้ใครๆ ก็ชอบใช่มั้ยครับ” ชายหนุ่มก้มหน้าอธิบายแก้ต่างให้กับความน่าอับอายของตน และเขาหวังว่าคุณหมอจะเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันด้วยกลัวว่าความเงียบที่คุณหมอสร้างขึ้นตอนนี้จะเกิดเพราะการรังเกียจ
“ถ้าอย่างนั้นก็เอากุญแจมาให้ผมสิครับ”
สุทธิรักษ์ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเสียงที่อีกฝ่ายพูดกับเขานั้นยังคงนุ่มนวลเหมือนเดิม เขารีบหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋าส่งให้คนตัวสูง แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดที่อีกคนต้องการ
“โทรศัพท์ด้วยครับ”
แม้จะงุนงงแต่สุทธิรักษ์ก็ยังหยิบแล้วยื่นส่งให้อีกฝ่ายง่ายๆ ชายหนุ่มจำต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ คุณหมอไม่ตอบอะไรแต่กลับยื่นโทรศัพท์มาให้เขาปลดล็อกจากนั้นก็ชักกลับไปปัดๆ กดๆ หน้าจอด้วยความรวดเร็ว เขายืนรอด้วยความสงสัยอยู่เกือบห้านาทีคุณหมอถึงจะยอมคืนมือถือให้
“ผมเพิ่มเบอร์โทรไว้แล้ว พรุ่งนี้กลับมาถึงเมื่อไหร่ก็ติดต่อมานะครับ” คราวนี้คุณหมอล้วงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเล่นบ้าง ครู่เดียวเท่านั้นก็เก็บลงกระเป๋ากางเกงแล้วเผยรอยยิ้มที่พาให้คนละลายได้ เสี้ยววินาทีต่อมาก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นจากโทรศัพท์ในมือ สุทธิรักษ์ปัดหน้าจอแล้วพบกับข้อความแจ้งเตือนจากระบบ
[Kawin Pawapirom เพิ่มคุณเป็นเพื่อนบน Facebook]
[คุณเพิ่ม WIN_KaWIN เป็นเพื่อนด้วย LINE ID]
“หืม!!” สุทธิรักษ์มองสลับของในมือกับเจ้าของชื่อให้วุ่น เขาคิดว่าหมอกวินเพียงบันทึกเบอร์โทรเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าช่อทางการติดต่อทุกอย่างก็ยังถูก...
“คุณรักจะได้เลือกได้ไงครับว่าจะติดต่อผมช่องทางไหนดี” คนพูดยิ้มกริ่ม ไม่สนใจอาการสับสนของคนฟังสักนิดแม้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะเรียกว่าพลการและค่อนไปทางเสียมารยาท
“ผมไปก่อนนะครับ” ยังไม่ทันที่คำพูดจะหลุดออกมาจากปากเขา ชายหนุ่มร่างสูงก็บังคับหมุนจักรยานแล้วขับออกไปยังทางเดิมทันที
สุทธิรักษ์มองตามเงาร่างนั้นจนหายลับไป
ต่อให้ถูกเข็มแหลมเจาะทิ่มสักแค่ไหน แต่เขาก็อดที่จะปะติดหัวใจจนมันกลับมาพองฟูได้ดั่งเดิมเสมอ
ชายหนุ่มเดินกลับเข้าบ้านด้วยรอยยิ้มที่ไม่เลือนหายจากใบหน้า เขาเตรียมอาหารและน้ำให้แมวจรทั้งสี่ตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ อาบน้ำ อ่านหนังสือที่ค้างไว้สักเล็กน้อย เขาทำทุกอย่างตามกิจวัต แต่วันนี้มันกลับพิเศษกว่าที่เคย อาจจะเพราะรอยยิ้มที่ยังไม่จางหาย อาจเพราะรอยยิ้มและการกระทำของใครบางคนยังคงทำให้หัวใจอิ่มเอิบ
กระทั่งถึงเวลาที่จะต้องนอน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อตั้งปลุกอย่างทุกที แต่คราวนี้ที่หน้าจอกลับแสดงบางอย่างที่ต่างไปจากเดิม มีข้อความส่งมาหาเขา...จากคนที่เพิ่งจะได้เป็นเพื่อนกัน
WIN_KaWIN [เลิกงานแล้วติดต่อมานะครับ]
WIN_KaWIN [แล้วก็...]
WIN_KaWIN [ฝันดีครับ]
ดีใจที่ตอนนี้มีเพียงตัวเองเท่านั้นในห้องนี้ สุทธิรักษ์เก็บคำกรีดร้องลงคอแล้วเปลี่ยนความตื่นเต้นเป็นการดิ้นไปมาบนที่นอนหลังใหญ่ กลิ้งไปมาจนพอใจแล้วจึงกลับมาตั้งสติกับสิ่งที่อยู่ในมือ สองตาเรียวยาวมองหน้าจอนิ่งนาน ซึมซับคำอวยพรให้ตราตรึงถึงห้วงฝัน
มันคงเป็นการบอกฝันดีตามมารยาททั่วไป แต่เขาก็ยังคงดีใจและยินดีเหลือเกินที่ได้รับมัน ชายหนุ่มมองเวลากำกับข้างข้อความแล้วให้กังวลเล็กน้อย ดูท่าว่าคุณหมอคงส่งข้อความมาทันทีที่ถึงบ้านมันจึงห่างจากเวลาในตอนนี้เกือบสองชั่วโมง เขาควรจะโต้ตอบกลับไปหรือปล่อยไว้แบบนี้ดี
คิดไปทั้งที่มือเริ่มพิมพ์ตัวอักษร พิมพ์แล้วลบ พิมพ์แล้วลบนับหลายนาทีจนกระทั่งได้คำง่ายๆ ที่ดูไม่มีนัยอะไรสำคัญให้คิดต่อ แต่กระนั้นก็ยังลังเลที่จะส่งกลับไป
เอาเลยสิ! นี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะได้พูดคำนี้ก็ได้นะ! ความกล้าหาญที่พอจะมีอยู่บ้างบอกกับเขาแบบนั้น และในเมื่อความคิดที่ว่ามันอาจเป็นเพียงครั้งเดียวมีอิทธิพลกับใจมากกว่า นิ้วจึงถูกสมองสั่งให้กดลงไปเบาๆ ยังหน้าจอ
[ครับ...ฝันดีเช่นกันครับ]
เขามองข้อความบ้านๆ ที่เด้งขึ้นไปอย่างพอใจ เท่านี้เขาก็ฝันดีไปอีกหลายคืนแล้ว
หากขณะที่กำลังจะปิดโปรแกรมบางอย่างบนหน้าจอก็พลันเปลี่ยนแปลง ข้อความเขามีคำว่า ‘อ่านแล้ว’ กำกับอยู่ ใจคนมองเต้นระส่ำอีกรอบ อย่างนี้ก็หมายความว่าคุณหมอเห็นแล้วน่ะสิ!
WIN_KaWIN [ขอบคุณครับ]
ไม่กี่วินาทีเท่านั้นเองนะ...ย...อย่างนี้ที่หน้าจอของคุณหมอก็ต้องรู้สิว่าเขากำลังอ่านอยู่ มันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม คุณหมอจะไม่มองเขาไม่ดีใช่ไหม
WIN_KaWIN [บางทีคืนนี้...]
คนอ่านกลืนน้ำลายลงคอรอคอยข้อความต่อไปที่น่าจะมีต่อ และก็เป็นอย่างที่คิดไว้
WIN_KaWIN [ผมคงฝันดีกว่าที่เคย]
สุทธิรักษ์กำโทรศัพท์กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงอีกรอบ แต่ครั้งนี้เขาไม่รู้ว่าจะโต้ตอบข้อความนั้นอย่างไรไม่ให้อีกฝ่ายระแวง คุณหมอก็ช่างไม่รู้เลยว่าคำพูดหวานๆ แบบนี้ไม่ควรส่งมาให้คนที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน คงไม่คิดเลยสินะว่าจะทำให้ใครหัวใจพองจนแน่นอกบ้าง
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ตอบข้อความกลับ ทำเพียงจัดการตั้งปลุกตามที่ตั้งใจแล้วปิดไฟเพื่อเข้านอนทันที
และเขาก็ฝันดี...
ฝันดีกว่าที่ครั้งไหนจะเทียบได้ • • • • • • • • • • • • • โปรดติดตามต่อ•วันอังคารหน้า • • • • • • • • • • • • •
ขอบคุณสำหรับความสงสัยค่ะ 555
คุณหมอกวินเป็นพระเอกนะคะทุกคน
แต่ความทาสนี่จะเกี่ยวกับคุณหมอหรือไม่
น้องแมวจะเกี่ยวข้องอย่างไร
ที่รักจะเป็นทาสหรือว่าจะเป็นใคร?
รออ่านตอนต่อไปเน่อ กิ๊วกิ้ว--*
ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านจ้า
เจอกันวัน
อังคารสีชมพู