ตอนจบมาแล้วครับ อาจจะไม่หวานเท่าไหร่น้า
ตอน หกสิบหก
เวลาที่เรา มีความสุขทำไมมันผ่านไปรวดเร็วนัก ต้นเดือนพฤศจิกายนแล้ว แต่ละวันที่ผ่านมาหลังจากเหตุการณ์เฉียดตาย ผมมีความสุขทุกวัน ทุกวินาทีทุกคนที่แวดล้อมก็มีความสุข เริ่มจากแม่ที่ตอนนี้มีเพื่อนไปนั่งวิปัสนาคนใหม่นอกจากน้าสาแล้วคืออาจารย์ ปริศนานั่นเอง อาจารย์ปริศนาดูเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับผมไปโดยสิ้นเชิง เพราะจะมองผมเป็นลูกไปอีกคนหนึ่งไม่ได้รังเกียจเหมือนตอนที่รู้ว่าเราคบกัน แถมยังมาบ้านเกือบทุกวัน มานั่งคุยกับแม่ฝึกทำอาหารกับแม่ สนทนาธรรมกันโดยมีน้าสาเป็นสมาชิกอีกคน ส่วนน้องโอตอนนี้กลายเป็นนักกีฬาเยาวชนทีมชาติและได้ย้ายไปเรียนอยู่ โรงเรียนกีฬาที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นครั้งแรกที่โอออกจากอกอาจารย์ปริศนาแต่ดูเหมือนอาจารย์ปริศนาจะปลงปล่อย วางอะไรหลายอย่างจึงไม่ได้ฟูมฟายรั้งไว้ บอกว่าเพื่ออนาคตของโอเอง แต่เราก็จะไปเยี่ยมน้องโอทุกอาทิตย์ บางทีแม่ไปกับอาจารย์ปริศนาสองคน บางทีผมก็ไปกับแม่และอาจารย์ปริศนา สลับสับเปลี่ยนกันไป ถือเป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์ ไม่รู้สึกเบื่อ กำลังใจที่มีให้กันไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อแต่อย่างใด แต่มันคือความสุขที่ได้เห็นคนที่เรารักและห่วงใยมีความสุข
ส่วน เอกลายเป็นสมาชิกของบ้านไปแล้ว ช่วงนี้เออ่านหนังสือดึกทุกวันเพราะกำลังไล่ล่าสอบและเตรียมตัวที่จะสอบโอ เน็ทเอเน็ท เพื่อสิ่งที่ตั้งเป้าเอาไว้ การเรียนของเอดีขึ้นอย่างน่าประหลาด ทั้งบอมและบ๊อบเองก็พลอยกระเตื้องไปด้วย เด็กทั้งสองมาขลุกอยู่ที่บ้านทุกอาทิตย์ ทุกคนดูแจ่มใสร่าเริงกว่าเดิม นับจากที่เราจับมือกันผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกันจนถึงวันนี้ ไม่เคยมีวันไหนที่จะทะเลาะผิดใจกันเลย เราประคับประคองรักให้มันเป็นไปอย่างราบรื่นสงบสุข จากที่ผมสังเกตุเอดูรักผมมากขึ้นกว่าเดิม ว่านอนสอนง่ายบอกใช้อะไรไม่เคยลังเลที่จะทำ ส่วนผมเองก็ไม่เคยเบื่อมันเหมือนกัน รู้สึกรักมากขึ้น ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งรักมันมากขึ้นกว่าเดิม
พลเองก็คบกับบอมไปแล้ว แม้ปากจะบอกไม่ใช่ ไม่มีทาง แต่การปฏิบัติต่อกันระหว่างพลกับบอมหลอกใครไม่ได้เลย แม้เจ้าตัวทั้งสองจะปากแข็งว่าไม่มีทางเป็นไปไม่ได้ จนเราไม่ได้ใส่ใจที่จะจิกกัดมันอีก พลเองก็มาที่บ้านเกือบทุกวันเช่นกัน มันไม่ค่อยเที่ยวกลางคืนแล้ว เห็นบอกเบื่อ
ส่วนจ๋าเองก็มีกำหนด คลอดกลางเดือนนี้ ตอนนี้จ๋าท้องโตขึ้นมาก ไปอัลตาซาวด์ดูรู้ว่าเป็นลูกผู้หญิง จ๋าดีใจมาก พี่ป้อมเองก็ดีใจที่จะได้เป็นพ่อคน ประคบประหงมกัน ส่วนป๊าจ๋าเองก็เห่อหลาน ผิดกับที่คาดไว้ว่าจะเอ็ดมันที่รู้ว่าท้องก่อนแต่ง กลับเป็นฟูมฟักไปหาชื่อเตรียมไว้หลายชื่อ ซื้อของใช้เด็กเตรียมไว้แล้ว เดือนนี้เรารอคอยที่จะเห็นหน้าหลานคนแรกและอาจจะเป็นคนเดียวที่สามารถจะมี ลูกได้ กบกับกายก็เที่ยวเตร่ตามปกติ แต่ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยเหมือนแต่ก่อนแล้ว
หลังจากที่จ๋าคลอดลูก เป็นเด็กผู้หญิงน่ารักน่าชัง ชื่อน้องจ๋อม เพราะเอาชื่อของพ่อกับแม่มารวมกัน เราทั้งกลุ่มก็เห่อหลานกันใหญ่ ไปเยี่ยมจ๋าเกือบทุกวันจนออกจากโรงพยาบาล
"ตัวเอง อยากมีลูกไหม"
เอ ถามขึ้นตอนกลับจากบ้านจ๋า
"หือ ทำไมล่ะ เอจะไปแต่งงานเหรอ"
ผม ไม่เข้าใจในสิ่งที่มันถาม ถ้าถามว่าอยากมีลูกไหม ผมไม่เคยคิดในหัวเลยด้วยองค์ประกอบกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ จึงไม่ทันคิดไป พอเอถามขึ้นมาจึงไม่เข้าใจ
"บ้าดิ เค้าคิดว่า พอทำงานแล้วเค้าอยากจะไปขอเด็กมาเลี้ยง เป็นลูกเราไง"
สายตาเอดูจริง จังกว่าที่จะพูดเพราะคะนองปาก ผมมองหน้ามันแล้วอดที่จะยิ้มไม่ได้ รู้สึกอุ่นไปถึงหัวใจ
"อย่าเพิ่งคิดเลยพ่อคุณ สอบให้ได้ก่อนเถอะ พ่อวิศวะหนุ่มในอนาคต"
ผมล้อเลียน เอก้มลงหอมแก้มทันที
"ตัว เองเค้าอยากจะไปเที่ยวอ่ะ ปิดเทอมเล็กพาเค้าไปหน่อยน้า"
ผมพยักหน้า คิดเอาไว้แล้วว่าจะไปไหน
"ไปกันสองคนเราเนอะ"
"อืม ไปเขาค้อกันเนอะ ฉันโทรถามลุงใหญ่แล้ว แกมีเพื่อนเป็นปลัดอยู่ที่เขาค้อ อยากไปลุงใหญ่เดี๋ยวให้ปลัดจัดการให้"
ผมศึกษาข้อมูลล่วงหน้าหลาย เดือนแล้ว เห็นในรูปสวยจับใจ อยากจะไปสักหน ถ้าไปจริงคงขับรถไป เพราะตอนนี้แม่กับอาจารย์ปริศนาไปไหนไปด้วยกันจึงเหลือรถอีกคัน เอมันก็ขับรถเป็นเพียงแต่ยังไม่มีใบขับขี่เพราะยังไม่ถึงสิบแปด ที่จริงอีกเดือนหน้าก็จะสิบแปดแล้ว
ถึงวันเดินทางเราออกจากบ้านแต่ เช้าเตรียมเสบียงขนมขบเคี้ยวไปด้วยเต็มคันรถ อากาศในกรุงเทพฯยังร้อนอบอ้าว แต่ดูจากข่าวอากาศที่เพชรบูรณ์เริ่มลดลงแล้ว ผมเตรียมเอาเสื้อผ้าไปอย่างเพียงพอ เพราะเกรงจะหนาวไป เราขับรถไปเรื่อยๆเหนื่อยก็แวะพัก ซื้อนั่นซื้อนี่ เอเอากล้องไปด้วยมันชอบถ่ายรูปตั้งแต่ตอนไหนไม่ยักรู้แต่พอเจออะไรสวยๆข้าง ทางก็เก็บภาพไว้ตลอด ผมไม่คิดว่าการเดินทางไปเพชรบูรณ์มันยาวไกลเลย การได้เดินทางกับคนที่รักไม่ว่าจะไปไหน ทำไมหนทางมันดูสั้นนัก ทุกวินาทีที่อยู่ด้วยกันมันดูมีความสุข ผมไม่รู้สึกง่วงหรือเบื่อเลย เอเองก็ไม่เห็นอาการแบบนั้นสื่อออกมาเลย พอผมขับรถเหนื่อยเอก็มาขับแต่ให้เอขับในระยะสั้นเพราะกลัวว่าจะโดนด่านดัก จับเอา แต่นับว่าเป็นโชคเราไม่เจอด่านเลย พอถึงเพชรบูรณ์ก็เกือบสามทุ่มแล้ว เพราะเราขับรถไม่เร็ว กว่าจะหาที่พักเจอก็เกือบสี่ทุ่ม แต่ถนนที่นี่ขับลำบากเพราะเป็นหนทางคดเคี้ยวเป็นเหวเสียส่วนใหญ่ ความง่วงจึงไม่โผล่มาเลยเพราะผมเองก็กลัวขับอย่างระมัดระวัง ทางเข้าที่พักยังเป็นถนนลูกรังมีฝุ่นคลุ้งอยู่ มองไม่เห็นทัศนียภาพเพราะมืดมากแล้ว ถามทางมาตลอดเพราะเป็นที่พักเปิดใหม่ พอถึงก็โทรศัพท์หาคนที่ลุงใหญ่ให้เบอร์ไว้ ลุงมีเป็นเจ้าของแกมาคอยต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว ที่พักเป็นบ้านสองชั้นเพิ่งสร้างเสร็จเป็นที่กว้างเพราะมองไม่เห็นแสงไฟใน ระยะใกล้เคียง ผมจะจ่ายค่าที่พักแต่ลุงมีบอกว่าไม่ต้องปลัดจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ผมจึงโทรศัพท์ไปขอบคุณลุงใหญ่ฝากขอบคุณคุณปลัดเพื่อนลุงใหญ่ด้วย แกบอกว่าเป็นของขวัญให้ในโอกาสที่ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ผมได้แต่ปลื้มใจ แต่ผมก็จ่ายค่าทำความสะอาดให้ลุงมี บังคับให้แกเอาเพราะถือเป็นสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆ พอเข้าที่พักเราก็เก็บของ แล้วออกไปหาอะไรกินเพราะยังไม่ได้กินอะไรตอนค่ำเลย
หลังจากถามลุงมี ว่าแถวระแวกที่พักมีร้านอาหารง่ายๆที่พอให้ประทังหิวบ้างไหม ลุงมีก็บอกให้ขับรถขึ้นไปอีกหน่อยจะมีร้านขายข้าวอยู่เราจึงออกไปตามที่ลุง มีบอก พอกินข้าวเสร็จก็กลับมาที่พัก อาบน้ำ อากาศที่นี่แตกต่างจากกรุงเทพฯอย่างสิ้นเชิง เพราะอากาศหนาวเย็นมากแต่โชคดีที่ที่พักมีน้ำอุ่นอาบ นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้อาบน้ำด้วยกัน ผมยังคิดถึงตอนที่ไปเสม็ดด้วยกัน
"เอ ไปอาบน้ำจะได้มานอน"
ผมชวนหลังจากที่เข้าที่พักแล้ว แต่เอกลับขึ้นไปซุกตัวอยู่บนผ้าห่ม
"หนาวอ่ะตัวเอง ไม่อาบได้ป่ะ"
"ไม่ อาบก็ไม่ต้องมานอนกอด"
"อ่า คร้าบ ที่รัก"
มันกระเด้งตัวออก มาจากที่นอนแล้วเข้ามากอดผม แต่ผมก็ผลักมันออกเพราะต้องเข้าไปเปิดน้ำอุ่นรอไว้
"อาบด้วยกันนะคะ"
ผม ไม่ตอบแต่พยักหน้า มันดูลิงโลดขึ้นมาทันที กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็มือเหี่ยวพอดีเพราะพ่อตัวดีมันคอยละลาบละล้วงอยู่ตลอด เวลา ต้องบอกว่าคืนนี้ค่อยทำมันถึงยอมหยุด พออาบน้ำเสร็จผมก็เช็ดตัวทาครีมให้มันตามปกติ เราใส่เสื้อผ้าหนากว่าปกติเพราะอากาศที่หนาวเหน็บพออาบน้ำเสร็จก็ค่อยยัง ชั่ว
"ตัวเอง รออยู่ตรงนี้แป๊บนึงน้า เค้ามีอะไรจะอวด"
"หือ อะไร"
"น่านะ รอแป๊บ"
เอพูดจบก็ออกไปตรงระเบียง ที่พักมีระเบียงอยู่ชั้นสอง มีโต๊ะไม้อันใหญ่วางอยู่ ผมก็จัดของรอในห้อง
"ตัว เองลมแรงอ่ะ ทำไม่ได้"
มันเดินเข้ามาบอกท่าทางหัวเสีย
"จะทำ อะไรล่ะคุณชาย"
"เค้าจะจุดเทียนอ่ะ"
"ไม่ต้องก็ได้ ลมแรงอันตราย"
"ว้า ว่าจะโรแมนติกซะหน่อย ไม่เป็นใจเลยอากาศ"
"มอง เห็นดาวไหม"
ผมถามเพราะอยากจะดูดาว
"ไม่ค่อยเห็นอ่ะตัวเอง"
ผม เดินออกไประเบียงบ้าง ไปแหงนมองดูท้องฟ้าสีเทามืด เห็นดาวน้อยมาก คงเป็นเพราะลมแรง หรือมีหมอกเมฆ ไม่แน่ใจเพราะมองอะไรไม่เห็นเลย แย่จัง เอเดินออกมาหอบผ้านวมออกมา
"ตัวเองมานี่"
มันนั่งลงที่ม้า นั่งอันใหญ่ ผมเดินอมยิ้มเข้าไปซุกตัวข้างๆมัน
"กอดหน่อย คิดถึง"
มัน กอดรัดผมแน่นผมก็กอดมันตอบ
"หนาวไหมคะ"
ผมพยักหน้า มันก็รัดวงแขนแน่นขึ้น
"เค้ามีความสุขที่สุดเลย เรานั่งอยู่ตรงนี้สักพักเนอะ"
"ฉันก็มีความสุข อยากจะอยู่แบบนี้นานๆ"
ผมซุกหน้าเข้าไปตรงซอกคอของเอ สูดกลิ่นกายที่ผมรักเข้าเต็มปอด เรานั่งปล่อยให้ความเงียบกับเสียงลมพาไป ร่างกายก็กอดเบียดกันอยู่ให้คลายหนาว หัวใจก็สานสัมพันธ์รักแน่นแฟ้นขึ้นกว่าเดิม
พอเช้าด้วยกากาศที่เย็น จัด แม้จะอยู่ในห้องมิดชิดแต่ความเย็นภายนอกมันก็แผ่เข้ามาในห้อง ผมเบียดกายเข้าหาเอที่กอดผมอยู่ เมื่อคืนหลังจากที่นั่งอยู่ตรงระเบียงสักพักเราก็เข้านอน พอถึงเตียงเอก็ไม่ยอมทำอย่างอื่นมันบอกว่าผมสัญญาไว้แล้ว ผมก็เลยต้องยอมตามใจมัน ตอนนี้ร่างกายเราเปล่าเปลือยมีเพียงผ้านวมสองผืนทับร่างอยู่ พอรู้สึกตัวผมก็แกะมือเอออกแล้วใส่เสื้อผ้าเดินออกมานอกระเบียง สิ่งที่ผมเห็นมันคือม่านหมอกขาวโพลนไปทั่วมองอะไรไม่เห็นเลย ด้วยความที่เกิดมายังไม่เคยเจอหมอกเยอะขนาดนี้
"เอๆ มาดูอะไรนี่มา"
ผม เข้าไปเขย่าตัวเอ
"หือ อะไรคะ"
"หมอก หมอกเต็มเลย"
"อ่า ตัวเอง อ่า แค่หมอกเค้านอนแป๊บนึงน้า"
ผมได้แต่ส่ายหัว ไม่สนใจจะปลุกมันแล้ว ผมจึงเดินไปเสียบกาน้ำร้อนกะจะชงโกโก้กินเพราะเอามาจากบ้าน ผมเดินออกไปนอกระเบียงนั่งมองหมอกอยู่เนิ่นนาน สักพักจึงเข้าไปชงโกโก้มาสองแก้ว เพราะพ่อตัวดีลุกมาแล้วกำลังควานหาเสื้อผ้าใส่
"โห อะไรนี่"
เอ อุทานเมื่อเห็นหมอก"
"ขาวไปหมดเลยอ่ะ เดี๋ยวไปเอากล้องมาถ่ายรูปไว้ดีกว่า"
ว่าแล้วเอก็วิ่งเข้าไปในห้อง กลับออกมาพร้อมกล้อง มันถ่ายรูปอย่างเพลิดเพลิน ผมเองก็นั่งจิบโกโก้ร้อนมองดูอยู่อย่างสุขใจพอตะวันขึ้นแม้จะมองไม่เห็น เพราะหมอกที่ปกคลุมอยู่แต่ความอุ่นที่แผ่มาทำให้หมอกเริ่มจาง ผมไล่เอให้ไปล้างหน้าล้างตาก่อนผม พอเสร็จผมจึงไปเข้าห้องน้ำบ้าง พอออกมาก็ยืนตะลึงกับสิ่งที่เห็น เพราะที่พักที่เราอยู่เป็นเหมือนที่ราบลุ่มแอ่งกระทะ ข้างๆที่พักมีบึงที่หมอกยังปกคลุมอยู่ เวิ้งกว้างมองขึ้นไปเป็นภูเขาที่ดูขาวโพลน สวยงามที่สุด
"เอ"
ผม อุทานอ้าปากค้าง เอหันมาชักภาพถ่ายรูป แล้วเดินยิ้มเข้ามากอด
"สวย ไหมคะ สวยมากเลยใช่ไหม"
ผมได้แต่พยักหน้า ยังตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ลมนิ่งสงบลงแล้ว หมอกเริ่มจางทำให้ภาพวิวทิวทัศน์แจ่มชัดขึ้นมา
"สวยมาก สวยที่สุด"
ผม ไม่ได้พูดเกินจริงเพราะสิ่งที่เห็นมันงดงามเสียจริงไม่อยากจะเชื่อว่ามีที่ แห่งนี้อยู่ในประเทศไทย บึงน้ำที่อยู่ไม่ไกลนักกระทบแสงแดดกระเพื่อมเล่นแสงราวอัญมณีระยิบระยับ หมอกที่ปกคลุมอยู่เบื้องบนทำให้บึงดูทั้งสวยทั้งลึกลับไปในคราวเดียวกัน บ้านพักอยู่บนเนินเตี้ยๆมองออกไปมีภูเขาล้อมรอบ สุขอิ่มไปถึงใจ
เอ ยืนกอดผมอยู่แต่มือก็กดชัตเตอร์ถ่ายรูปอยู่ ผมยืมโอบกอดเออย่างเป็นสุข ขอบคุณทุกสิ่งที่ทำให้ผมมีวันนี้ ที่ทำให้ผมได้เป็นสุขใจได้มากมายถึงเพียงนี้ ด้วยแรงแห่งรักด้วยแรงแห่งใจทำให้เรามีวันนี้
"เค้ารักตัวเองน้า"
ผม ไม่เคยเบื่อที่จะฟังคำนี้ ไม่เคยเบื่อ ได้ยินทีไรหัวใจก็เต้นแรงมีความสุข
"ฉัน ก็รักเธอมากนะ"
ผมไม่รีรอที่จะตอบกลับ เสียงมันออกมาจากหัวใจ ผมรู้สึกอย่างนี้ผมก็ควรจะพูดแบบนี้
สำหรับผมความรักมันเกิดขึ้นได้ ทุกที่ทุกเวลา ทุกเพศทุกวัยไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นกับใคร ทั้งหญิงชาย หรือเกย์ เราควรจะจับมือกันไว้ประคับประคองให้รักมันนำทางให้เราไปถึงในที่หมาย ไม่ว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคไปมากสักเท่าใด ถ้าหากรักแล้วไม่มีอุปสรรคเราก็จะไม่เห็นค่าของรักนั้น ถึงแม้มีอุปสรรคใช่ว่าจะทำให้เราท้อถอย จับมือกันไว้ เดินไปด้วยกัน แลกใจด้วยใจ ผมเชื่อเสมอว่ารักมันย่อมให้ผล ให้ใจได้ลิ้มรสกับคำว่ารักสักวัน
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน แม้จะรันทดไปบ้าง อย่างน้อยก็สื่อให้เห็นว่ารักมันมีหลายแง่มุม รักมันออกแบบไม่ได้ บังคับไม่ได้ ถ้าหากว่ารักใครสักคนแล้ว มันก็คือรักไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร มาจากไหน แต่เราก็เรียกเขาว่าคนที่เรารัก ความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอสำหรับผม อย่างน้อยมันก็ทำให้บางเวลาของโลกอันมืดมิดให้สว่างใส อิอิ
ขอบคุณอีกครั้ง ที่ติดตามอ่านนะครับ
ขอให้มุกคนมีสุข สมหวังในรัก
เขียนโดย eiky