C h a p t e r 2 3ฤดูร้อนปีนี้อากาศร้อนและแห้งกว่าปกติ แสงแดดสว่างจ้าจนผมต้องปรับการตั้งค่าของกล้องใหม่ ร้านอาหารริมทะเลประดับด้วยกระจกโดยรอบ สะท้อนแสงเข้ามาจนต้องหยีตาเมื่อหมุนเลนส์ไปยังบางส่วนของร้าน ผมจัดแสง ให้สัญลักษณ์คนถือรีเฟล็กต์ กว่าจะตัดสินใจลั่นชัตเตอร์แต่ละทีก็ใช้เวลาพอสมควร
"ทานอะไรเย็นๆ หน่อยไหมพี่แซค"
นักศึกษาฝึกงานตัวจ้อยเดินเข้ามาในร้าน มันออกไปซื้อน้ำปั่นเข้ามาให้ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของทีมงานผุดพราย นับตั้งแต่เปิดตัวเป็นข่าวกับนิธานโดยไม่มีข้อโต้แย้งเมื่อปีที่แล้ว สาวๆ ของผมหายหมด ที่เข้ามากลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มเสียส่วนมาก
ไอ้เด็กนี่ก็เหมือนกัน
"ทะเลสวยมากเลยพี่แซค น่าจะค้างกันสักคืน"
"จันทบุรีกับกรุงเทพฯ ห่างกันแค่นี้ ขืนค้างพี่จิ๊บได้แหกอกตาย"
"โห ก็นานๆ ได้เที่ยวทีไง"
ผมหัวเราะ ไม่ตอบแต่กดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ คนชวนย่นหน้า ปีนเก้าอี้บาร์ขึ้นนั่งมองผมทำงานอย่างสงบเสงี่ยม
"น้องมันอุตส่าห์ชวน ตอบเอาใจว่าเดี๋ยวมากันสองคนอะไรแบบนี้ก็ได้" ไอ้พี่ดลตัวชงหันมายักคิ้วใส่ ผมหัวเราะในลำคอ ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ ปูนเข้ามาฝึกงานที่บริษัทราวเดือนที่แล้ว กำหนดเวลาสองเดือน มันจู่โจมผมตั้งแต่สองวันแรกด้วยซ้ำ
“แต่พี่ว่าเสียเวลาว่ะปูน ไอ้แซคมันจะบวชแล้ว รู้หรือเปล่า”
“จริงเหรอ ให้ผมถือหมอนนะ”
“เดี๋ยวกูเตะไปโน่น” บ่นทั้งคนถือรีเฟล็กต์ ทั้งเด็กที่นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อใกล้ๆ อันที่จริงงานมันน่ะงานเอกสาร แต่พี่จิ๊บเห็นน้องเบื่อๆ เลยไล่ให้ออกมาด้วยกัน นั่นก็เหมือนช่วยชงอีกคน ตั้งแต่นิธานไม่อยู่แล้วผมแทบไม่ต้องทำอะไร เพื่อนที่ทำงานสลับกันเอาเด็กหน้าใหม่ๆ มาเสนอราวกับกลัวว่าเสือไม่ได้ลับเล็บแล้วจะใช้การไม่ได้
“อย่าอู้ๆ พี่ข้าวฟ่างพร้อมหรือยังครับ”
“ขอเข้าห้องน้ำแป๊บ แซค พี่สวยหรือยัง”
“โอเคแล้วครับ งั้นผมขอพักห้านาทีนะ ได้สคริปต์แล้วใช่ไหมพี่”
“ได้แล้ว ยังตื่นเต้นอยู่เลย”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้ถ่ายทอดสด เดี๋ยวผมตัดเอาคำดีๆ ไปจัดคอนเทนต์” ผมยักคิ้วให้กำลังใจเจ้าของร้านอาหารเปิดใหม่ย่านชายทะเลด้วยท่าทีสบายๆ รับน้ำปั่นมาจากไอ้ปูนที่นั่งเท้าคางมองตาใส
“พี่แซคโคตรเท่เลย”
“เออ”
“วันนี้ไม่ค้างจริงอ่ะ อุตส่าห์ได้ออกมาต่างจังหวัด”
“นับหัวคนดิ๊ ไอ้ปูน ต้องเปิดกี่ห้อง”
“ผมนอนห้องเดียวกับพี่ไง” ผมหัวเราะแต่ไม่ตอบ เด็กก๋ากั่นแบบนี้ให้ทายว่านึกถึงใคร ไม่ทันได้เฉลยโทรศัพท์ก็สั่น เบอร์โทรเข้าเป็นเบอร์คุ้นเคยที่ตามติดเกือบทุกวัน
“กลับกี่โมง”
“ไม่รู้ว่ะ ค่ำๆ ฝาก...”
“เอาข้าวไปให้เหลือหน่อย ให้ตาย แซค ยูจะวานใครควรจะโทรบอกเขาล่วงหน้า นี่ถ้าผมไม่โทรมาก่อนต้องวนไปวนมาอีกไหม หลายวันแล้วนะเว้ย”
“โทษที” ผมว่า กลั้วหัวเราะไปด้วย เจเรมี่สบถยืดยาวร้อยแปดพันเก้า สุดท้ายมันก็ไม่ปฏิเสธที่จะช่วยเรื่องบุญเหลือ ช่วงนี้ผมงานหนัก จะพูดให้ถูก นับตั้งแต่วันที่ไปส่งนิธานที่สนามบินก็โหมงานหนักมาตลอดเลยมากกว่า
“เดี๋ยวซื้อทุเรียนทอดไปฝากน่า เลิกบ่นได้ยัง ทำเป็นเมียตามผัวกลับบ้าน”
“อย่ามายกตำแหน่งให้แต่ลมปากหน่อยเลย” เผลอเป็นไม่ได้ เจเรมี่พูดเสียงกระทั้น “นี่อยู่กับเด็กนั่นหรือเปล่า”
“อืม”
“ถ้าจะเปิดใจให้คนอื่นขอเลยว่ะ ช่วยหันมามองผมเหอะพี่แซค รับไม่ได้จริงๆ ถ้ารอบนี้ไปฟันเด็กที่แม่งไม่มีอะไรดีกว่าผมเลย”
“รู้ได้ไงว่าไม่มี”
“รู้แล้วกัน นี่ใคร พี่สาวผมเป็นหัวหน้าพี่นะ”
“ใช้เส้นสาย” ผมตอบยิ้มๆ ไม่ใส่ใจคำขู่ของเจ้าตัวนัก “มึงก็รู้ว่ากูคิดอะไร”
ปลายสายผิวปากหวือ เลิกต่อล้อต่อคำ มันตัดสายไปก่อนหลังจากนั้นผมก็ซ่อนเครื่องมือสื่อสารลงที่เดิม เด็กหนุ่มอีกคนนั่งมองมาตลอด ผมไม่เก้อเขิน ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ราวกับว่าหนึ่งหัวใจที่มีได้ฝากไว้กับใครบางคนแม้ไม่มีวันได้กลับคืนก็ยังยืนยันที่จะมอบไป
“ใครอ่ะพี่”
“น้องพี่จิ๊บไง ที่เล่าให้ฟังบ่อยๆ”
ปูนทำหน้ากระเง้ากระงอด ไม่บอกก็รู้ว่าคิดว่าผมกับเจเรมี่ต้องมีซัมธิงรอง ขี้เกียจอธิบาย ยังไงเสียเด็กฝึกงานนี่ก็ไม่ได้มีผลกับชีวิตของผมสักเท่าไหร่อยู่แล้ว
“นึกว่าเลิกกับธามแล้วจะยังไม่มีใครเสียอีก”
“ไม่ได้เลิก” ผมตอบเสียงเรียบ หยิบกล้องมาดูรูปที่ถ่ายไว้ก่อนหน้านี้
“แค่ห่างกันสักพักเท่านั้นเอง”พระอาทิตย์ตกดินที่หาดเจ้าหลาว รถตู้ที่ขับมาถ่ายงานขับออกจากจันทบุรีอย่างนุ่มนวล ผมเอนตัวพิงกระจก มองสรรพสิ่งที่เปลี่ยนไปเหมือนทุกวัน เช้าวันใหม่ของผมมีค่ามากกว่าการตื่นไปทำงาน มันคือโอกาสการเฝ้ารอใครสักคนให้กลับมาหาต่างหาก
“พี่แซค”
เสียงทุ้มกระซิบเมื่อความมืดเข้าคลุม ปูนห่มตัวเองด้วยเสื้อกันหนาวของผมเมื่ออุณหภูมิลดต่ำแล้วเบียดกายเข้าชิด เอนหัวข้างหนึ่งซบบ่า ผมครางรับในลำคอ คนในรถหลับกันหมด มีผมกับเด็กหนุ่มเพียงสองคนที่นั่งด้านหลัง
“คืนนี้ไปค้างด้วยได้หรือเปล่า”
“ไม่กลับหอล่ะ”
“ดึกแล้วอ่ะ ทางเข้าหอปูนมันเปลี่ยว”
“เดี๋ยวรถตู้ก็ไปส่ง”
ปูนทำเสียงฮึดฮัด ยังคงเบียดผมชิดฟากหนึ่งของรถแม้จะมีพื้นที่อีกแถบสำหรับนั่งได้สบายๆ ผมไม่บ่น ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจอยากเพราะแน่ชัดว่าไม่มีผลอะไรกับความรู้สึก ไม่รู้ว่าควรนิยามเพศตัวเองว่าอย่างไร แต่แปลกที่นอกจากนิธานแล้วผมก็ไม่เคยหวั่นไหวกับใครอีกเลย
ผมกดโทรศัพท์เพื่อดูนาฬิกา แสงสว่างวาบ เห็นหน้าจอเป็นเสี้ยวหน้าของใครบางคนที่ถ่ายเก็บไว้ตั้งแต่ช่วงแรกที่เจอกัน เลิกเปลี่ยนโทรศัพท์มาหลายปีแล้ว ถึงต่อให้เปลี่ยนก็คงยังใช้หน้าจอเป็นคนคนเดิม
“ทำไมพี่แซคถึงชอบถ่ายรูปอ่ะ”
“เพราะภาพมันสื่อความหมายได้มากกว่าคำพูดล่ะมั้ง”
“ภาพนี้ให้ชื่อว่าอะไร รักเดียวเหรอ ตั้งแต่เลิก...เอ้ย ห่างกับพี่ธามไป เคยคิดจะมีคนใหม่บ้างหรือเปล่า”
“ทำไมต้องมีล่ะ เดี๋ยวพี่ธามก็กลับมา”
“เขาไปเป็นปีแล้วไม่ใช่เหรอ หรือยังติดต่อกันอยู่ พี่ธามจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ไม่ได้คุยแล้ว” ผมตอบตามความจริง นิธานหลีกเลี่ยงการติดต่อกับผมทุกรูปแบบ มีเพียงข่าวคราวจากเมธัสนานๆ ครั้งว่าฝ่ายนั้นยังสบายดี “ไม่รู้ด้วยว่าจะกลับมาตอนไหน ถึงต้องตั้งใจรอมากๆ นอกใจไม่ได้เลย เดี๋ยวโดนแหก”
“มีเซ็กซ์กับคนอื่นบ้างหรือเปล่า ผมไม่ได้อะไรนะพี่ แต่อย่างเราน่ะ พี่ไม่เห็นต้องคิดให้มากเลย ชีวิตมีแค่ชีวิตเดียวนะ จะจมกับรักที่จับต้องไม่ได้ทำไมกัน”
ผมยีหัวมัน ปูนเป็นเด็กรุ่นใหม่ในแบบที่เหมือนผมสมัยวัยรุ่นทุกกระเบียดนิ้ว ร่าเริง รักสนุก อยากได้ใครก็เอาตัวเข้าไปพัวพัน เผลอๆ พอเบื่อแล้วก็จะถีบหัวส่งอย่างไม่ไยดี ทั้งหมดนี้เมื่อเติบโตขึ้น เมื่อใช้หัวใจเพื่อรักใครสักคนมันจะเป็นพฤติกรรมที่สิ้นสลายลงโดยอัตโนมัติ แม้แต่ตัวเองก็ไม่อยากเชื่อว่าจะผันเปลี่ยนได้ขนาดนี้
น้ำเน่าชะมัด แต่เพราะคนคนเดียว
เพราะคำแค่คำเดียว
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในช่วงสายของวัน โชคดีที่ตรงกับวันหยุด ดังนั้นต่อให้เมื่อคืนกลับดึกและตื่นสายตะวันโด่งแค่ไหนก็มั่นใจได้ว่าคนที่โทรมาไม่ใช่เจ๊ใหญ่ของที่ทำงาน ผมบิดตัวอย่างเกียจคร้าน มองปฏิทินที่ปลายเท้าด้วยความเคยชิน หนึ่งปีกับอีกสองเดือน นับตั้งแต่ที่ผมไปส่งนิธานที่สนามบิน และมองแผ่นหลังนั่นถูกกลืนหายไปกับฝูงชน
โทรศัพท์ถูกหยิบมาหลังจากเงียบเสียงไปในรอบแรก ไม่เกินนาทีมันก็ดังอีกระลอก หน้าจอปรากฏชื่อของเมธัสที่หายไปเกือบสามวันเต็มๆ ผมไม่ทุกข์ร้อน บางทีก็มีข่าวนิธาน บางครั้งก็แค่ชวนคุยเล่นตามประสา
“ไง ได้ข่าวว่ารูปถ่ายได้รางวัลเหรอ”
“รูปไหน ยังไม่รู้เรื่องเลย”
“ของศิลปากรไง หัวข้อเย็น”“อ๋อ” ผมร้องคราง หน้าร้อนแบบนี้แต่กลับได้โจทย์ตรงกันข้ามกับบรรยากาศ ภาพที่ส่งเป็นวันที่พายุดีเปรสชันเข้ากรุงเทพฯ ฝนตกทุกหัวระแหง หัวข้อเย็นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกชุ่มฉ่ำกับเม็ดฝนที่โปรยปราย หากแต่ย้อนกลับไปยังวันที่ทุกอย่างผันเปลี่ยน ผมกับนิธานห่างกันในวันที่ช่องว่างเว้าแหว่งนั่นกัดกินหัวใจ
ฝนตกแบบนี้...จะมีอีกกี่คนที่หัวใจรู้สึกหนาวสั่นและใกล้พังทลายลงไปเมื่อถูกหยดน้ำซัดสาดเพียงแผ่วเบา
ภาพที่ถ่ายได้เป็นผู้หญิงคนหนึ่งใต้ร่มสีดำ ดูเปลี่ยวเหงา ท้อถอย เห็นได้ชัดถึงความหมายของคำว่าเย็นไม่ใช่เพียงแค่ทำให้สดชื่นเบิกบาน ไม่ได้มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความร่าเริงที่รู้สึกสบายตัว แต่มันเย็นจากหัวใจของผมและหัวใจหญิงสาวนิรนามคนนั้นต่างหาก
สองสามเดือนมานี้ผมได้รางวัลจากงานประกวดติดกันหลายงานมาก ถึงแม้ไม่ได้ที่หนึ่งบ่อยๆ แต่ก็เห็นได้ชัดจากงานที่นำเสนอว่ากำลังเดินหน้าสู่สายดาร์กเต็มกำลัง
“งานนั้นยังไม่ประกาศผลไม่ใช่เหรอพี่”
“สืบเอาก็ไม่ยากมั้ง แต่ไม่ได้ที่หนึ่งหรอกนะ”
“ว้า พลาดอีกละ”
“จัดงานนิทรรศการเมื่อไหร่ล่ะ”
“โห วงในขนาดสืบมาได้ว่าผมได้รางวัลกับเขาด้วยถึงกับไม่รู้เลยเหรอครับว่านิทรรศการแสดงภาพมีวันไหน”
ปลายสายหัวเราะ ผมรู้ว่าเมธัสรู้อยู่แล้ว
“อาจจะตรงกันกับที่จะชวนไปบอสตันน่ะ เอาไง”ประโยคสั้นๆ ของอีกฝ่ายทำเอาผมแน่นิ่ง คำถามที่ถามตรงๆ แต่มีนัยเหมือนเป็นกระแสไฟฟ้าช็อตผ่ากลางใจ ผมได้ยินเสียงเต้นตุบของหัวใจตัวเองดังอื้ออึง ปลายสายถามย้ำอีกครั้ง และผมเข้าใจว่ามันหมายความว่ายังไง
“พี่ธามจะผ่าตัดแล้วเหรอครับ”
“อืม ผลตรวจสุขภาพล่าสุดพร้อมทุกอย่าง กำหนดประมาณอีกสามสัปดาห์ พี่ว่าจะบินไปสิ้นเดือน ไปคนเดียว จะไปด้วยไหม”
“พี่ธามรู้หรือเปล่าครับว่าผมจะไป”
“บอกมันก็ไม่ให้ไปหาสิ” เสียงเมธัสพูดกลั้วหัวเราะ “ถึงจะแทบไม่มีโอกาสผิดพลาดเลย แต่ก็ใช่ว่าจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ธามมันอยากกลับมาหาเราตอนที่หายเป็นปกติแล้ว”
“พี่ธามยังคิดเรื่องนั้นอีกเหรอครับ”
“ก็มันไปเพราะเรื่องนี้นี่”
“ถ้าอย่างนั้น...” ผมถอนหายใจยาว ปีกว่ามันเนิ่นนานมากพอแล้วสำหรับเรา สำหรับให้ผมพิสูจน์ว่าคนที่ผมต้องการมีแค่นิธาน และผมจะไม่เสียเวลาอีกต่อไป “...ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ผมจะพาพี่ธามกลับมาที่บ้านครับ”
เดือนพฤษภาคมที่บอสตันอากาศกำลังสบาย เมธัสกับผมและสัมภาระที่พกติดตัวมาแวะไปยังแมนชั่นที่นิธานเช่าไว้ก่อน เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดค่อนข้างกว้างขวาง เป็นระเบียบเรียบร้อย ขนาดกำลังดีสำหรับสองคนพัก นั่นหมายถึงนิธานและคนดูแล
“ธามอยู่ที่โรงพยาบาล เดี๋ยวเราหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยเข้าไป”
“พี่หม่อนมีกุญแจห้องพี่ธามได้ไงครับ”
“ทำไมล่ะ มาหามันสองเดือนครั้งได้” ได้ยินมาบ้างว่าเมธัสบินมาอยู่เป็นเพื่อนนิธานเป็นระยะ แต่ไม่คิดว่าจะบ่อยขนาดนี้ เมื่อเรื่องคลี่คลายลง ความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทและพี่น้องต่างมารดาของทั้งคู่ก็ดีขึ้นตามๆ กันมา
“ลุงแก้วอยู่ที่โรงพยาบาลกับพี่ธามด้วยเหรอครับ”
“คงอย่างนั้นแหละ ธามมันบอกให้พี่ใช้ห้องนอนส่วนตัวมันได้ เตียงคู่ เราจะได้ไม่ต้องเช่าโรงแรมกัน ฝั่งนี้ ทางนั้นห้องของลุงแก้ว”
“ราคาค่าเช่าต่อเดือนน่าจะสูงมากนะครับ”
“อืม แพงจนนายนึกไม่ถึงเลยล่ะ” เมธัสพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่ต้องห่วง คุณเมธีเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ”
“แล้วเขาไม่มาดูพี่ธามหน่อยเหรอพี่”
เมธัสยักยิ้มแต่ไม่ตอบ ซึ่งเราต่างเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรเลยต่างเลิกพูดกันไป ช่วงนี้มีข่าวเปลี่ยนขั้วทางการเมือง คุณเมธีงานยุ่งหัวหมุนแทบทุกวัน หรือต่อให้มีเวลา การมาพบลูกชายนอกสมรสถึงต่างประเทศให้หลุดพ้นสายตาคุณนายที่บ้านก็เป็นไปได้ยากอยู่ดี ความลับยังเป็นความลับต่อไปและดูเหมือนไม่มีใครต้องการจะแพร่งพรายมันออกมา
“ไปหาธามเลยไหม หรืออยากพักก่อน”
“ไปเลยก็ได้ครับ”
ขึ้นชื่อว่าโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลที่ไหนสำหรับผมก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกันนัก
โรงพยาบาลในบอสตันภายนอกแล้วดูเหมือนที่กรุงเทพฯ หรืออาจแตกต่างก็ไม่มากนัก แต่เมื่อเดินเข้ามา ภาพที่เห็นแตกต่างออกไปชัดเจน ไม่มีผู้คนรอคิวยาวเหยียด ไม่มีคนป่วยโรคหวัดหรืออะไรที่ไม่รู้สึกว่าไม่จำเป็นถึงขั้นคอขาดบาดตายนั่งเรียงราย แต่พยาบาลยังคงเดินขวักไขว่ กลิ่นของยาฉุนจมูก ถึงสะอาดแต่ก็รับรู้ได้ถึงละอองเชื้อโรคในอากาศ
เมธัสเดินนำผมมาที่ห้องพักของนิธาน อีกฝ่ายแจ้งตั้งแต่บนเครื่องแล้วว่านิธานเตรียมตัวมาก่อนหน้านี้ การผ่าตัดเริ่มต้นในช่วงบ่าย วันที่เดินทางมาถึงฉิวเฉียดเพราะกว่าจะเตรียมเอกสาร ขอยื่นวีซ่าเดินทางมาอเมริกาครั้งแรกของผมค่อนข้างยุ่งยากและกินเวลานาน
ผมนึกขอบคุณที่เมธัสยังรอมาพร้อมกัน
ห้องผู้ป่วยถูกเปิดออกอย่างเบามือ ภาพนิธานนั่งบนเตียงนอนในชุดสีฟ้าเหมือนเดจาวู ครั้งที่สามที่ผมเจอเขาอยู่ในสภาพนี้แต่ก็ไม่เคยชินเลยสักครั้ง ร่างกายผอมซูบลงไปอย่างเห็นได้ชัด เขามองออกไปนอกหน้าต่าง มีคุณลุงแก่ๆ นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เคียงข้าง และเมื่อเสียงปิดประตูดังขึ้นก็หันกลับมา ดวงตาข้างหนึ่งวูบไหว เรานิ่งงันราวกับถูกสตัฟฟ์ด้วยน้ำแข็งขั้วโลกแม้ถ้อยคำจะอัดแน่นอยู่ภายในนับล้าน เวลานี้เขาดูพร้อมสำหรับทุกอย่าง เหลือแค่เพียงรอเวลาเท่านั้น
“ผมมารับพี่กลับบ้าน”
“ฉัน...”
“เที่ยวเล่นมามากพอแล้วพี่ธาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าการผ่าตัดจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ กลับไปอยู่ด้วยกันได้แล้วนะ”
สังเกตว่ารอยแผลที่เคยมีหายไปแล้วแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เมื่อเดินเข้ามาใกล้ก็ยังคงเห็นรอยจางๆ บนใบหน้า นิธานเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง เขาไม่พูดอะไรสักอย่าง เมื่อถูกดึงเข้ามากอดก็สะอื้นฮักในอ้อมแขน
เนิ่นนานเท่าไหร่ที่เราต้องห่างกันแบบนี้
ทั้งๆ ที่ใจก็โหยหากันทั้งคู่แท้ๆ
“บางอย่าง คนเราก็ทำเพื่อคนอื่น แต่ลืมทำเพื่อตัวเอง” ผมพูดเสียงแผ่ว กระซิบให้ได้ยินเพียงเราสองคน “พี่ธาม ผมไม่ได้ต้องการคนที่สมบูรณ์แบบหรอก ผมเองก็ไม่สมบูรณ์ไปทุกอย่าง แต่ผมต้องการใครสักคนที่ยอมรับความไม่สมบูรณ์ของผมได้ พี่รับผมได้ไหม”
“เด็กโง่”
“ถ้าถามผม ผมรับพี่ได้ ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงก็ตาม ถ้าอยากให้ผมปรับอะไรพี่บอกผมได้เลย ทุกอย่าง ไม่มีอะไรยากไปกว่าการทำใจยอมรับว่าต้องตื่นมาโดยไม่มีพี่อีกแล้ว”
นิธานยกมือขึ้นกอดตอบ คำพูดใดๆ ก็ไร้ความหมาย ภาพตรงหน้า การสัมผัส ความจริงที่เราต่างลวงตัวเองมาตลอดว่าไม่เป็นไร แท้ที่จริงความเหงาและความอ้างว้างมันซุกซ่อนอยู่ในซอกลึกของจิตใจ ผมคิดถึงเขา คิดถึงเหลือเกิน
“จะได้ผ่าตัดแล้ว กลัวหรือเปล่า”
นิธานหัวเราะแต่ไม่ตอบ เขาเช็ดน้ำตาด้วยหลังมือ แล้วสูดน้ำมูกอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมาเช็ดน้ำตาให้กับผมบ้าง
ให้ตาย ร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นรู้เรื่องเลย
กลางเดือนมิถุนายน ฝนยังคงตกอย่างบ้าคลั่งเช่นเดียวกับช่วงต้นเดือน อากาศที่สนามบินเย็นจัดจนต้องซุกมือไว้ในกระเป๋ากางเกง ผมนั่งรออยู่หน้าเกตผู้โดยสารขาเข้า มองเข็มนาฬิกาที่เคลื่อนตัวผ่านไปอย่างเชื่องช้าด้วยหัวใจที่รอคอย
สภาพอากาศแบบนี้ ไฟลต์ดีเลย์ไปเกือบสองชั่วโมงแล้ว
หลังจากไปเจอนิธานอีกครั้งในรอบปีกว่าผมก็มีโอกาสใช้เวลาส่วนตัวกับเขาไม่นานนัก ผมยังมีงานมีการให้ทำ ถึงจะอยากอยู่จนกว่าอาการของเขาจะดีขึ้นแต่สุดท้ายก็ต้องบินกลับมาก่อน ผมขำแทบตายที่รู้ว่าหลังผ่าตัดพี่ธามต้องนอนคว่ำหน้าวันละสิบหกชั่วโมงเป็นอย่างน้อยหนึ่งเดือนเต็มๆ โชคดีที่คนป่วยเป็นนิธานที่มีความอดทนเป็นเลิศ ขืนเป็นผมคงขาดใจตาย
สัญลักษณ์เครื่องบินลงจอดฉายหน้าบอร์ดขนาดใหญ่หลังจากเดินวนเวียนอยู่หลายรอบ เมธัสติดประชุมที่สิงคโปร์ วันนี้เหลือเพียงแค่ผมตามลำพัง ภาพที่เห็นของนิธานจะเป็นยังไง ยังพร่ามัวมีแก๊สอยู่ในดวงตาเหมือนตอนแกะแผลออกใหม่ๆ ไหม โชคร้ายที่ไม่เหมือนในละครไปเสียทุกอย่าง เขาไม่อาจเห็นหน้าผมแจ่มชัดเป็นคนแรกหลังจากออกจากห้องผ่าตัด แต่ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นและชัดเจนเมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน
กระนั้น วันที่ผมบินกลับมา นิธานก็ยังไม่อาจเห็นหน้าผมเต็มๆ ได้อยู่ดี
เมื่อความคิดย้อนนึกไปถึงเมื่อราวเดือนก่อน หนึ่งสัปดาห์เต็มของผมที่บอสตันไม่นึกอยากเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษ การได้อยู่แมนชั่น ช่วยหยอดยา ทำแผล และดูแลคนป่วยนับเป็นความสุขที่สุด เคอะเขินเป็นบางครั้ง ราวกับเราได้กลับไปแรกเริ่มช่วงที่ทำความรู้จักกันใหม่ๆ หากแต่สิ่งที่อยู่ในใจของกันและกันถูกสื่อสารชัดเจนกว่าคราวนั้น เขาสนุกที่ได้ไล่ต้อน และผมก็ใจเต้นทุกทีที่เป็นฝ่ายถูกล่า รอยยิ้มมุมปากแกมโกง เสียงหัวเราะในลำคอ แทบจะไม่มีอะไรต่างออกไป แต่ผมกลับรู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนิธานแล้วจริงๆ
ภาพของใครคนนั้นที่เรียกความอุ่นซ่านในใจปรากฏท่ามกลางฝูงชน เขาเดินนำ ลากกระเป๋าสีดำของตัวเองมาติดๆ เคียงข้างกันเป็นคุณลุงที่ยังดูแข็งแรง ขึงขัง เขากวาดตามอง ครู่เดียวก็หยุดลงเมื่อเจอเป้าหมาย ขาเพรียวของเขากึ่งวิ่งกึ่งเดิน เมื่อใกล้มากพอก็โถมตัวเข้ากอดจนผมเสียหลักเซถอย ผมกระชับอ้อมแขน ในที่สุดก็คว้าถึงเสียที
“คิดถึงจัง”
นิธานครางรับพลางกอดรัดจนหายใจลำบากแต่ไม่มีใครนึกอยากคลายแรง กลิ่นของคนรัก รสสัมผัสเมื่อจมูกคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม ราวกับเวลาหยุดหมุน ราวกับหลุดไปในห้วงอวกาศ อบอวลไปด้วยความหอมหวาน คล้ายน้ำตาลหลังดื่มยาขม สุดแท้แต่จะพรรณนา ไม่ว่าอะไรก็ไม่อาจบรรยายความรู้สึกเมื่อได้คนที่รักคืนกลับมาสู่ใจอีกครั้ง
“เห็นผมชัดหรือยัง”
“ชัดแจ๋วเลย”
“ดีแล้ว” ผมลูบหัวอีกฝ่ายพร้อมหลับตาลง จูบข้างกกหูเพราะนิธานไม่ผละออกห่างจากผมเสียที “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ธาม”
ผมคลายอ้อมแขนออก แล้วสบตากันผ่านเลนส์แว่นสีชาของอดีตนายแบบ เขายิ้มกว้าง ยิ้มแบบที่ไม่ได้เห็นมาแสนนาน
“อืม จะไม่ทิ้งให้อยู่คนเดียวแล้ว”
“ถึงทิ้งก็ไม่อยู่ จะตามไปทุกที่เลย...คอยดู”
ท่ามกลางความพลุกพล่านของสนามบิน โลกของผมเล็กลงเหลือเพียงแค่เรา นิธานพูดความจริง เช่นเดียวกับผม แรกเริ่มปรารถนาจะรู้จักเพียงผิวเผิน เมื่อเวลาผ่านไปต่างซึมซาบซึ่งกันและกันเข้าสู่กลางใจ เรื่องราวมากมายระหว่างผมกับชายหนุ่มก่อตัวจากความนึกสนุกกระทั่งจริงจังโดยไม่รู้ตัว จากคนที่ขาดกลัวในความรักและคนผู้สิ้นซึ่งในศรัทธา เมื่อถลำตัวลงมาสู่ความรู้สึกที่วิเศษแล้วก็คล้ายถูกจองจำด้วยเวทมนตร์ที่ไร้ซึ่งคำถอดถอน
สองขาขยับก้าวเดินต่อ เมื่อปราศจากอุปสรรคแล้วมือที่เคยกุมไว้หลวมก็กระชับแน่นยิ่งขึ้น
หากพระเจ้าต้องการพิสูจน์ เราก็ผ่านพ้นข้อพิสูจน์มาทุกอย่าง
หากพระเจ้าทดสอบด้วยเวลา ก็รู้แจ้งว่าไม่อาจทำให้ความรู้สึกนี้คลายลง
“พี่ธาม”
เรียกชื่ออีกฝ่ายแผ่วเบา เดินสวนกับผู้คนนับร้อย ลานกว้างของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดแอร์จนเย็นเฉียบแต่กลับอุ่นซ่านลึกลงไป
“ผมรักพี่ว่ะ”
เจ้าของชื่อหัวเราะ โคลงหัวไปมาคล้ายได้ยินเรื่องตลก
“มาบอกอะไรตอนนี้” นิธานเย้าด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ก่อนตอบกลับด้วยสีหน้าอิ่มเอม “หัวใจของฉันรับรู้ความรู้สึกของนายมานานแล้วแซค”
“แล้วพี่ล่ะรู้สึกยังไง ถ้าตาไม่หายจะกลับมาหาผมไหม”
“ตั้งใจไว้ว่าจะไม่กลับมา แต่เห็นหน้านายวันนั้นแล้วทุกอย่างก็พัง”
“คิดถึงผมจนทนไม่ไหวเลยล่ะสิ”
เขาหัวเราะ
บีบมือผมแน่นแทนคำตอบที่ชัดเจน...อยู่ในใจ...
End.
บทสรุปของเรื่องนี้ค่ะ พี่ธามอาจไม่จี๋จ๋ามาก แต่ก็เรียบๆ สไตล์นิธานๆ ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันและแนะนำกันมาตลอด
ถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรขออถัยและขอปรับปรุงให้ดีขึ้นในเรื่องหน้าๆ นะคะ
ระหว่างนี้อ่านหลังม่านที่เราเขียนกับอาฟเตอร์เดย์รอก่อนได้ เพราะกว่าจะเปิดเรื่องเจเรมี่คงอีกพักใหญ่ ขอเก็บข้อมูล พักทบทวนตัวเองส้กหน่อย
ไว้เจอกันตอนพิเศษนะคะ : ) พี่ธามจะมาเล่าในมุมของพี่ธามหลังกลับมาอยู่ด้วยกันแล้วบ้าง
รักคนอ่านที่สุด ^ ^