ตอนที่ 3 ลักเล็ก ขโมยน้อย
ผมมาทำงานที่ร้านพี่นัทเป็นเวลา 1 อาทิตย์แล้ว ได้รับรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ชอบชอบหยอกไปเรื่อย ผมโดนพี่แกแกล้งตลอดทุกครั้งที่มีโอกาส แต่เก็ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ตอนกลางวันเจอกันที่ร้านแล้ว ตอนกลางคืนเราก็ยังคุยกันด้วย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ ผมก็แค่ส่งรูปให้พี่เขาตามที่ตกลงกันไว้แค่นั้นเอง
“หนึ่ง เดี๋ยวจัดแก้วเสร็จแล้วเข้ามาในครัวนะครับ จะให้ถ่ายภาพเค้ก” พี่นัทที่ใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูออกมาเรียกผมที่กำลังทำงานหน้าร้านอยู่
“ครับผม” ผมจัดแก้วเสร็จพอดีเลยเดินตามหลังพี่นัทเข้าไปในครัว
“รอก่อนนะ พี่ขอตกแต่งเพิ่มอีกนิด”
“ครับ”
ระหว่างรอผมก็เอากล้องขึ้นมาเช็ค แล้วก็ถ่ายภาพผลไม้และอื่นๆ ไปเรื่อยเปื่อย แต่อยู่ดีๆ เลนส์กล้องผมก็เปลี่ยนไปโฟกัสที่พี่นัทแทน เขาดูดีชะมัดจะมุมไหนก็ยังดูดี ผมกดชัตเตอร์เบาๆ เก็บทุกท่วงท่าของพี่นัทลงกล้องอย่างช้าๆ ไม่อยากให้เสียงชัตเตอร์ไปรบกวนเขา
ผมหลงเสน่ห์ท่าทางการเป็นปาติซิเย่ของพี่นัทมาก กระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว และสีหน้าที่แสดงถึงความความสุข ผ่อนคลายและตั้งใจ ใส่ใจทำทุกๆ ขั้นตอน ยิ่งมองผมก็ยิ่งชอบ ถ้าหากใครมาบอกว่าผู้ชายตัวใหญ่ๆ ไม่เข้ากับการใส่ผ้ากันเปื้อนทำเค้ก ผมจะยกพี่นัทไปเถียงจนขาดใจเลยอ่ะ แล้วยิ่งเป็นผู้ชายที่ใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูก็น่ารักมากๆ เหมือนกัน
“เรียบร้อยแล้วครับ มาถ่ายได้เลยคุณตากล้อง” พี่นัทเอาฟรุตเค้กมาวางในที่ที่ผมจัดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ผมเดินเข้าไปหมุนถาดหามุมเล็กน้อย แล้วก็ถ่ายไว้เลือกหลายๆ ภาพ หลายๆ มุม บรรดาเค้กที่อยู่ตรงหน้าผมนี่หน้าตาทรมานใจเหลือเกิน น่ากินจัง เห็นแล้วอยากจะหยิบทั้งก้อนมาเข้าปาก
ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ผมไม่เคยได้กินเค้กที่นี่เลย ตั้งใจจะขอซื้อหลังเลิกงานแต่ก็หมดก่อนตลอด จะขอซื้อเก็บไว้ก่อนที่ร้านจะเปิดก็ไม่กล้าขอพี่นัท
“เรียบร้อยแล้วครับ” ผมบอกพี่นัท แต่ตาก็ยังมองอยู่ที่เค้กๆ ทั้งหลาย ทำไมน่ากินอย่างนี้ อยากจะกิน อยากลองชิมอีก รสชาติของทาร์ตที่กินไปวันนั้นยังตึงใจผมไม่หาย ยิ่งเห็นเค้กหน้าตาน่ากินแบบนี้ทุกวันผมยิ่งทรมาน ผมมองเค้กเหล่านั้นที่พี่นัททยอยเอาออกมาเพื่อเตรียมจัดใส่ตู้ที่หน้าร้านแล้วก็กลืนน้ำลาย ก่อนจะพยายามตัดใจจากเค้กแล้วก็เอากล้องไปเก็บ
“หนึ่งช่วยเอานี่ไปวางไว้ที่ตู้เค้กนะ เดี๋ยวพี่ออกไปจัดเอง พี่ขอจัดการอะไรในนี้ก่อน”
“ครับ” ผมรับคำและยกเค้กมาไว้ที่ตู้หน้าร้านอย่างระมัดระวัง แต่ตาก็จ้องเค้กในมือไม่หยุด กลิ่นก็หอมหน้าตาก็น่ากิน ขอซักคำเถอะ หยิบไปซักก้อนพี่นัทจะรู้มั้ยนะ...
ผมคิดเล่นๆ ระหว่างที่วางเค้กไว้ในตู้ แล้วสายตาก็บังเอิญไปเห็นก้อนครีมเล็กๆ อยู่ตรงขอบถาด สงสัยพี่นัทเขาเช็ดออกไม่หมด ผมใช้นิ้วปาดออกมา กำลังจะเช็ดที่ผ้าคาดเอวแล้ว แต่ผมก็รู้สึกเสียดายครีมที่ปลายนิ้วชี้ผมขึ้นมา ผมมองซ้าย มองขวา แล้วก็มองไปทางครัว พอเห็นว่ายังไม่มีวี่แววที่พี่นัทจะออกมาก็เลย...
จ๊วบ!
เร็วกว่าสติจะคิดทัน ผมส่งนิ้วชี้เข้าปากดูดปลายนิ้วชิมรสครีมหอมหวานละมุน ถึงจะเล็กน้อยแต่เป็นพลังในการใช้ชีวิตมากเลยครับ
“น้องหนึ่งเป็นอะไรรึเปล่า ยืนดูดนิ้วตัวเองทำไมครับ” พี่นัทที่เดินออกมาพร้อมเค้กถาดที่เหลือ ผมสะดุ้งดึงนิ้วออกแทบไม่ทัน หันไปหาอีกฝ่านด้วยสีหน้าเลิ่กลักเพราะความผิดที่ติดตัว
“อ่อ เอ่อ...ผม ทำ…ประตูตู้เค้ก...หนีบนิ้วครับ” บอกออกไปตรงคงต้องโดนดุแน่ๆ ก็แถไป สีข้างนี่แทบถลอกขอโทษนะครับพี่นัท
“เอ้า ไหนเป็นอะไรมากมั้ย ขอพี่ดูหน่อย” พี่นัทรีบวางเค้กแล้วจับนิ้วผมไปเพ่งใกล้ๆ ใกล้ไจนผมกลัวว่าพี่เขาจะได้กลิ่นน้ำลายที่ปลายนิ้วผมเอาจึงต้องรีบชัดมือกลับ
“ไม่เป็นไรครับ หายเจ็บแล้วครับ เอ่อ…ผมเข้าไปล้างจานในครัวนะครับ” ผมรีบเดินเข้ามาในครัว แต่สายตาก็ยังจะหันกลับไปหน้ามองพี่นัทอีกครั้ง เขายืนยิ้มเหมือนกับว่าแกจับพิรุธผมได้ แต่ไม่หรอกมั้ง...เขาไม่น่าจะเห็นว่าผมปาดครีมมาชิม ถ้าเห็นก็คงโดนพี่เขาดุไปแล้วสิ
พอเข้ามาหลังร้านได้ ผมเก็บอุปกรณ์ที่ใช้แล้วไปไว้ที่อ่าง เตรียมที่จะล้างแต่เจอเค้กชิ้นๆ เล็ก เป็นแค่ครีมและขนมปังแค่นั้น มันเป็นเศษเนื้อเค้กที่พี่นัทตัดออกให้สวยงาม
ผมมองเศษเค้กเหล่านั้นแล้วก็มีความคิดขึ้นมาว่า...ถ้าผมกินจะเป็นไรหรอก ก็พี่นัทจะทิ้งแล้วนี่นา ผมกินไปก็ไม่น่าจะผิดหรอกมั้ง แต่...ถึงพี่นัทจะทิ้งแล้ว เราก็ควรจะขออนุญาตก่อนป่ะ ถ้ากินเลยก็เหมือนขโมยอ่ะดิ
ตอนนี้ฝ่ายดีฝ่ายชั่วของผมตีกันในหัวให้วุ่น และในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้...ผมจะไม่กินเค้กนั้น บอกกับตัวเองในใจว่าจะขอชิมแค่คำเดียวก็พอ ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หันไปมองประตูแล้วเอื้อมมือไปหยิบส้อมก่อนจะจ้วงลงไปบนเค้กนั่น รีบเอาเข้าปากแล้วเคี้ยวหงับๆ ตาก็คอยเหลือบมองไปที่ประตูครัวอยู่ตลอด เพราะกลัวพี่นัทจะเดินเข้ามาไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียงแบบครั้งก่อน
อื้ม! นี่ขนาดกินแบบสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยังอร่อยได้ขนาดนี้ ผมจ้วงส้อมตักขึ้นมากินอีกคำแล้วก็อีกคำ ก่อนจะเกิดข้อสงสัยว่าพี่นัทเขาใส่กัญชาหรืออะไรลงในเค้กรึเปล่านะ กินแล้วหยุดไม่ได้แบบนี้เนี่ย ว่าแล้วก็ขออีกคำนึงแล้วกันนะครับ...ผมตักขึ้นมาอีกคำ ใหญ่กว่าก่อนหน้านี่นิดหน่อย แล้วก็ หงับ!...หย่อยมากเลยฮับ
“หนึ่ง พี่จะเปิดร้านแล้วนะครับ” พี่นัทตะโกนบอก พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามา ผมกลืนเค้กที่เพิ่งเคี้ยวไปได้ไม่เท่าไรลงไปทั้งก้อน รีบจัดกองเค้กให้ดูไม่แหว่งและดันจานไปไว้ที่เดิม ก่อนจะรีบไปประจำที่อยู่ที่หน้าอ่างล้างจาน ทำทีเป็นว่ากำลังเปิดน้ำล้างจานอยู่
“ล้างจานอยู่เหรอ? ถ้าล้างเสร็จแล้ว เอากล้องไปถ่ายเครื่องดื่มหน้าร้านด้วยนะครับ”
“ค...คะ...ครับ” ผมหันไปมองพี่นัท ก็เห็นพี่แกมองไปที่จานเค้กอยู่ ใจผมมันตุ๊มๆต่อมๆ เพราะกลัวพี่แกจะดูออกว่าผมแอบกินไปหน่อยนึงอ่า แต่ก็ไม่หรอกมั้ง ผมว่าผมเกลี่ยดีแล้ว ดูสิ! เค้กนั่นปกติเหมือนตอนแรกทุกอย่างเลยนะ
ผมมองไปไปที่พี่นัทอีกครั้งนึง ก็เห็นพี่แกดันแว่นขึ้นนิดหน่อย ยิ้มที่มุมปากดูไม่น่าไว้ใจ แล้วก็เดินไปหยิบจานเค้กขึ้นมามองอย่างพินิจพิจารณา ท่าทางแบบนั้นคือพี่เขารู้แล้วใช่มั้ย แต่ก็แค่เศษเค้กเองนี่ครับ พี่นัทคงไม่ว่าอะไรมากหรอกมั้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าขโมยกินแบบนี้มันไม่ดีแต่ก็ขอปลอบใจตัวเองหน่อยเถอะ
“หนึ่งครับ…”
พี่นัทเรียกแล้วเดินมาทางผมพร้อมกับรอยยิ้มเย็น...รอยยิ้มแบบนั้นของเขาทำให้ผมกลัวรู้สึกกลัว อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายที่ยังมีรสเค้กติดอยู่จางๆ ลงไป สมองก็คิดว่าไม่น่าเลย ไม่น่าแอบกินเลย
“...”
แต่แทนที่เขาจะว่าหรือดุอะไรผม พี่นัทดันเดินเลยตัวผมไปที่ถังขยะ...เฮ้ย! อย่าบอกนะว่า…ยังคิดไม่ทันจบ พี่นัทก็เทเค้กลงถังทันทีเลย ไม่นะ ทำไมพี่ทำแบบนั้น ตะเตือนใตผมมากเลย
“พี่ฝากล้างจานนี้ด้วยนะ”
ผมได้แต่เม้มปากและคร่ำครวญในใจมองเค้กที่หล่นอยู่ก้นถังขยะด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ แล้วก็มองจานว่างเปล่าที่พี่นัทส่งมาให้... ทำไมพี่ทำแบบนี้ล่ะครับ จานเปล่าผมไม่ต้องการ ผมต้องการจานที่มีเค้ก ฮือ
“พี่จะทิ้งเศษเค้กแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอครับ” ผมถามออกไปในขณะที่สายตาก็คงยังมองเค้กในถังขยะอยู่ นี่ถ้าผมรู้ว่าเขาจะทิ้งนะ ผมกินให้หมดไปเลยดีกว่า
“ก็ถ้าไม่ใช่เค้กสูตรใหม่ที่ต้องลองชิม พี่ก็ทิ้งครับ”
ตอบแบบนี้นี่แสดงว่าทิ้งมาหลายครั้งแล้วสินะ น่าเสียดาย
“ทำไมล่ะครับ” ผมต้องการเหตุผลครับ เอาเค้กผมไปทิ้งแบบนั้น ขอเหตุผลดีๆ ด้วยครับ ฮือๆ
“โห ให้กินทุกครั้งก็ไม่ไหวหรอกครับ อ้วนพอดีสิ ทิ้งๆ ไปเถอะครับ เก็บไว้เดี๋ยวก็มีแมวมาขโมยกิน”
แมวที่ไหนมันจะมากินแค้กครับ! ถ้าจะทิ้งแบบนั้นพี่ก็เอามาให้ผมกินสิครับ คิดซะว่าผมเป็นถังก็ขยะก็ได้นะ ผมอยากกิน ผมไม่กลัวอ้วน แต่ก็ได้แต่เถียงในใจ พอได้คำตอบของพี่เขาแล้วก็หันมาล้างจาน และความไม่พอใจที่เขาทิ้งเค้กนั่นยังคุกรุ่นอยู่ แต่จะไปลงที่พี่เขาไม่ได้ก็เลยมาลงที่หม้อ ผมขัดคราบไขมันที่ติดหม้อเสียจนน้ำกระจายไปเลย
“หึหึ ขัดแรงแบบนั้นเดี๋ยวหม้อพี่ก้นทะลุหมดนะ”
พี่นัทหัวเราะพลางขยี้หัวผมเล่น ผมทำหน้าบึ้งบุ้ยปากแล้วขยับหัวออกจากมือเขาเล็กน้อย...ไม่ต้องมาจับเลย ผมงอน!
“พี่ไม่ออกไปเฝ้าหน้าร้านเหรอครับ”
“กำลังจะไปครับ รีบๆ ตามมานะ...พี่เหงา”
ยังไม่วายมาทำหน้ามทะเล้นใส่ แล้วเขาจะไปเหงาอะไรหล่ะ เดี๋ยวก็มีลูกค้าเข้ามาเต็มร้านแล้วพี่ก็จะคุยกับคนอื่นไปทั่ว เฮอะ
ผมขัดอ่างผสมแป้งแรงๆ รู้สึกหมันไส้พี่นัทและเซ็งที่เขาทิ้งเค้ก ฮึ่ย คิดแล้วเสียดาย เค้กนั่นอร่อยมากเสียด้วย
ผมล้างอุปกรณ์เสร็จช้าไปหน่อยเพราะมัวแต่เสียดายเค้กในถังขยะ พอออกไปลูกค้าเยอะมาก ยืนรอที่เคาน์เตอร์ 5-6 คน แล้วโต๊ะก็เต็มทุกตัวเลยครับ ผมเห็นพี่นัทมือระวิงไปหมดเลยจึงต้องรีบวิ่งเข้าไปช่วย
“อ้าวหนึ่ง หยิบโรลนมสดกับฟรุตเค้กไปเสริฟโต๊ะสองให้พี่ที แล้วก็สองแก้วนั้นโต๊ะห้านะ”
ผมรีบไปช่วยพี่นัทหยิบเค้กกับเสริฟของ จากนั้นกลับมาช่วยหลังเคาน์เตอร์จนลูกค้าเริ่มน้อยลง พอไม่มีอะไรที่ต้องทำในช่วงนี้พี่นัทก็เดินเข้ามาคุยตอนที่ผมกำลังเช็ดโต๊ะอยู่
“เฮ้อ ชงกาแฟจนมือแทบเป็นตะคริวแหนะ ถ้าไม่ได้หนึ่งช่วยนะพี่แย่กว่านี้อีก”
“ครับ” ผมตอบรับแล้วก็ยกแก้วเดินเข้าครัวไป พี่นัทก็เดินตามเข้ามาอีก ผมมองเขาแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทำไมพี่ไม่ไปเฝ้าหน้าร้านล่ะ เดี๋ยวลูกค้าเข้ามาก็ไม่รู้หรอกครับ
“เก็บไว้ล้างทีเดียวตอนที่แก้วหมดก็ได้นะครับ ล้างบ่อยเดี๋ยวมือเปื่อยนะ”
“ครับ” ผมพยักหน้าทำตามที่เขาแนะนำโดยการหันไปปิดน้ำเช็ดมือแล้วเดินไปหน้าร้าน พี่นัทก็เดินตามมาอีก ผมเหล่อตามองเขาอย่างไม่เข้าใจ แล้วหยิบกล้องขึ้นมากะว่าจะถ่ายภาพเล่นซักหน่อย
“จริงสิ! พี่ลืมไปเลยว่าจะให้หนึ่งถ่ายรูปให้ รอแป๊ปนึงนะ”
“ครับ” พี่นัทหันไปชงเครื่องดื่ม หยิบโน่น เทนั้น อย่างคล่องแคล่ว ระหว่างนั้นผมก็ถ่ายภาพไปด้วย ไม่นานน้ำสีสวย ก็วางลงบนเคาน์เตอร์ให้ผมพร้อมถ่าย
“เสร็จแล้วครับ ไอซ์เบอร์รี่มิกซ์ เมนูใหม่ของร้าน” พี่นัทยิ้มแฉ่ง และท่าทางภูมิใจนำเสนอสุดๆ
“ผมถ่ายเลยนะครับ” ผมขยับแก้ว หามุม หาแสง แล้วก็ถ่ายไปหลายๆ ภาพ ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย
“ถ่ายเสร็จแล้วเหรอ ขอพี่ดูภาพหน่อยได้มั้ยครับ” พี่นัทขยับมายืนพิงเคาน์เตอร์ข้างๆ ผม แล้วก็ก้มลงมาคุยด้วย
“ครับ” ผมตอบเพียวแค่นนั้นแล้วส่งกล้องจะให้พี่นัทดูรูปแต่พี่แกไม่รับไปซักที จนผมต้องเลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถาม
“ก็พี่กลัวทำกล้องหลุดมือนี่ครับ ถ้าพี่ทำกล้องหนึ่งตกนี่ พี่ไม่มีปัญญาใช้คืนนะ หนึ่งกดให้พี่ดูอ่ะดีแล้ว” ไม่มีปัญญาใช้คืนอะไรล่ะ ผมว่าอย่างพี่น่าจะซื้อใหม่ได้ได้อีกหลายตัวเลยด้วย ดูของที่พี่ใช้ ชุดที่พี่ใส่สิ ของดีๆ ทั้งนั้นอ่ะ
แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรอกไป แค่ขยับตัวแล้วเอากล้องมากดเปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ ให้เขาดู
“หนึ่งถ่ายรูปสวยจัง พี่ชอบ”
“ขอบคุณครับ”
ผมบอกขอบคุณก่อนจะชะงักและหยุดกดภาพก่อนจะเงยหน้ามองเขา ผมว่าตอนแรกพี่นัทไม่ได้ยืนใกล้ผมขนาดนี้นะ ตอนนี้พี่นัทนั่งใกล้แนบชิดสนิทกับผมสุดๆ อ่ะ แถมมือพี่แกยังพาดอยู่ที่เคาน์เตอร์ข้างตัวผม จึงเหมือนกับว่าเขาโอบเอวผมไว้นิดๆ ด้วย
“มีอะไรครับ หน้าพี่มีอะไรติดเหรอ”
“พี่เขยิบออกไปหน่อยได้มั้ยครับ” ผมใช้ข้อศอกดันพี่นัทออกไปเบาๆ พร้อมกับขยับตัวเองออกมาด้วย
“ก็พี่มองเห็นไม่ชัดนี่ครับ สงสัยสายตาจะแย่ขึ้นอีกแล้วแหละมั้ง” พี่นัทพูดแล้วก็ใช้มือขยับแว่นตัวเองไปมา ผมเลยขยับไปยืนด้านหน้าเขา เอาสายกล้องคล้องคอพี่นัทแล้วก็ยื่นกล้องให้
“ทำแบบนี้กล้องก็ไม่หล่นแน่นอนครับ” พี่นัทรับกล้องไปแล้วมองหน้าผม เขายิ้มอยู่ตลอดนะแต่ซักพักก็ถอนหายใจออกมา จนผมคิดว่าเขากลัวทำกล้องผมพังขนาดนั้นเลยเหรอ
“น้ำนั่นอ่ะ หนึ่งกินได้เลยนะ ปล่อยไว้นานเดี๋ยวจะละลาย”
“ครับ ขอบคุณครับ” ได้ยินแบบนั้นผมก็ตาวาว เดินไปหยิบแก้วมาพิจารณาหน้าตานิดหน่อย น้ำสีชมพูใสไล่ไปจนถึงสีแดงที่อยู่ก้นแก้ว ปากแก้วประดับด้วยลูกบลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่และเลมอนฝานบางๆ ผมจัดการหยิบลูกบลูเบอรี่เข้าปาก หรี่ตาลงเล็กน้อยเพราะรสเปรี้ยวของมัน
แชะ!
“อะ...อ้าว กล้องนี่ปิดเสียงได้มั้ยครับ? ฮ่าฮ่าฮ่า” พี่นัทลดกล้องในมือลงแล้วก็หัวเราะออกมา
“อย่าถ่ายเล่นสิครับ” พี่นัทพยักหน้าและยิ้มเหมือนเดิมแล้วก็ส่งกล้องคืนให้ เขายืนยิ้มมองผมนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วขยับเข้ามายืนใกล้ๆ
“น้ำเป็นไงบ้าง อร่อยมั้ย เปรี้ยวไปรึเปล่า”
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไร ไปเพราะยังไม่ได้ลองชิมน้ำเลยครับ กำลังจะชิมแต่เขาก็มาขัดจังหวะซะก่อน
“ไม่อร่อยเหรอครับ” พี่นัททำหน้าหงอย ไหล่ตกไปทันทีจนผมต้องรีบยกแก้วขึ้นดื่มเพื่อบอกเขาไป
“ก็ดีครับ”
“หืม ก็ดีเองเหรอ เฮ้อ~”
ผมขมวดคิ้วแล้วเอียงคอ รู้สึกว่าวันนี้พี่เขาจะถอนหายใจบ่อยจัง เดี๋ยวก็หน้าแก่หรอกครับ แต่แล้วอยู่ดีๆ พี่นัทก็จ้องผมกลับมาด้วยสายตาจริงจังจนผมรู้สึกอึดอัด เขาหันมองไปรอบร้านแล้วก็กลับมาจ้องผมใหม่ทำแบบนั้นอยู่สองรอบก็เดินออกไปหน้าร้าน
ผมว่าวันนี้พี่เขาแปลกๆ นะ แต่ก็ไม่ได้สนใจมาก เลือกที่จะไปไปเช็ดโต๊ะแทน แต่แล้วอยู่ดีๆ ก็มีดอกไม้สีชมพูยื่นมาตรงหน้าผม
“พี่ให้ครับ” พี่นัทยิ้มกว้างพลางยื่นดอกไม้ให้ผมทั้งสองมือแล้วก็แกว่งดอกไม้ไปมาอยู่ตรงหน้าผม
“พี่ไปเอาดอกไม้มาจากไหนครับ”
“ก็เพิ่งไปเด็ดมาจากหน้าร้านนั่นไง” พี่แกยิ้มแล้วก็ชี้ไปที่กระถางต้นไม้หน้าร้าน ผมอ้าปากและขมวดคิ้ว เพราะไม่เข้าใจว่าเขาจะไปเด็ดมาทำไม
“ให้ผมทำไมครับ ผมไม่ชอบดอกไม้” ผมพูดไปตามตรง ไม่ใช่ว่าไม่ชอบดอกไม้ แค่ไม่ชอบเห็นเวลามันเหี่ยวเลย จะทิ้งก็สงสาร แต่จะเก็บไว้ก็รกอีก
“อ้าว งั้นคงต้องทิ้ง” พี่นัทพูดเสียงเบาๆ ทำไหล่ตก หน้าเศร้า เหมือนคนเสียใจแต่ผมดูก็รู้ว่าไม่ได้รู้สึกจริงๆ ซักหน่อยเพราะแววตายังคงทะเล้นอยู่ พี่เขาเล่นอะไรของเขาเนี่ย...แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องรีบเดินไปดึงดอกไม้จากพี่นัทมาก็เพราะว่าเขาทำท่าจะทิ้งดอกไม้นั้นลงถังขยะจริงๆ
ผมมองคนตรงหน้าที่ยิ้มกว้าง ดีอกดีใจเมื่อผมรับดอกไม้มาก่อนจะเดินออกไปหน้าร้าน ซึ่งพี่แกก็ตามออกมาไม่ห่างเลย
“หนึ่งจะออกไปไหนครับ”
“ผมชอบดอกไม้ที่อยู่ในดินมากกว่าครับ” พูดแล้วก็ปักดอกไม้ลงไปในดินที่เดิม ผมว่ามันคงไม่ขึ้นมาใหม่แล้วล่ะแต่อย่างน้อยเวลาดอกไม้ดอกนี้เฉาตาย ก็จะเป็นปุ๋ยให้ต้นอื่นได้
เขามองผมไปซักพักนึงแล้วก็พยักหน้า พอดีกับที่มีลูกค้าเข้าร้านมาพอดี เราเลยต้องกลับไปทำงาน และหลังจากนั้นก็มีเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ได้หยุด
ตลอดวันนี้ พี่นัทชวนผมคุยมากกว่าปกติแต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรมากเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไร จนร้านปิดแล้ว ผมยืนล้างแก้วอยู่พี่นัทก็ยังคงวนเวียนอยู่รอบตัว ชวนผมคุยไม่มีหยุด
“พรุ่งนี้มาเช้าๆ ได้มั้ย พี่มีเรื่องอยากให้ช่วย”
“ครับ” ผมพูดแต่ไม่ได้มองหน้าพี่นัท เพราะกำลังระมัดระวังกับการคว่ำแก้วอยู่ ถ้าหากทำแก้วตกลงมาหมดนี่ ผมไม่มีปัญญาซื้อคืนจริงๆ
“แล้วก็พรุ่งนี้พี่ว่าจะเปิดร้านช้าหน่อยนะ”
“ครับ” ผมว่าผมก็ตอบตามปกติของผมนะ แต่เหมือนพี่นัทไม่พอใจ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะดึงผมไปยืนเผชิญหน้า จับไหล่ผมแล้วก็จ้องผมแบบจริงจังมากจนผมเกร็งขึ้นมาอีก
“ผมเกือบทำแก้วหล่นอ่ะพี่...”
“หนึ่งไม่อยากรู้เหรอว่าพี่ไปไหนอ่ะ ทำไมถึงเปิดร้านช้า ไม่คิดจะถามหน่อยเหรอครับ”
“...”
ผมส่ายหน้าช้าๆ เพระาคิดว่าเขาก็มีธุระของเขา ที่ไม่ได้ถามกลับไปก็เพราะผมไม่ได้อยากรู้เป็นพิเศษ แต่ถ้าพี่แกจะมีท่าทางอยากบอกผมขนาดนี้ก็บอกมาเลยก็ได้ ผมคิดว่าวันนี้พี่นัทดูแปลกไปจริงๆ
“เฮ้อ~” พี่นัทคอตก ถอนหายใจมาเฮือกใหญ่
“เอ่อ…” อันนี้สิที่ผมอยากจะถามว่าพี่มีเรื่องอะไรกลุ้มในชีวิตหรือเปล่า ทำไมถอนหายใจทั้งวันเลย
“ถ้าไม่ยอมพูดกันดีๆ พี่ก็จะใช้ไม้เเข็งแล้วนะครับ”
“หะ?” ผมขมวดคิ้วแล้วเอียงคอ มองคนตรงหน้าที่ดูขึงขังขึ้นมา แล้วก็ไม่เข้าใจไม้แข็งที่เขาพูดถึงด้วย
พี่นัทเลื่อนมือมาจับที่ต้นคอผมเบา อีกมือจับบริเวณกกหู สายตาใต้แว่นนั่นบอกว่า จริงจังสุดๆ เดี๋ยวนะ การจับแบบนี้ นี่มันเหมือนพี่เขาจะ…
จุ๊บ!
“เห้ย พี่!”
สัมผัสหนักๆ ประทับลงมาที่หน้าผาก ผมมองคนตรงหน้าที่ผละออกยิ้มกว้างแต่ยังไม่ปล่อยท้ายทอย ผมตกใจรีบดันพี่นัทออกแล้วก็โวยวายจนเสียงหลง รู้ตัวเลยว่าความร้อนวนเวียนอยู่พวงแก้ม ทั้งไม่พอใจและก็อายด้วย ผมพยายามดันตัวออกแต่พี่เขาจับผมแน่นมาก สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้เลยเป็นแค่การตีแขนและพยายามเบี่ยงหน้าหนีเท่านั้น
“หึหึ” เขาหัวเราะในลำคอ ก่อนจะรั้งคอผมเข้ามาจุ๊บหน้าผากอีกครั้ง
เขาจุ๊บผมอ่ะ มาจุ๊บหน้าผากผมทำไมอ่ะ
“พี่! ปล่อยผมก่อน พี่ปล่อยผม” โวยวายไปก็ตีไป พี่นัทเลยเปลี่ยนมาไพล่มือผมไปไว้ข้างหลังแล้วก็ดึงผมเข้าหาตัวแล้วกอดและรัดลำตัวผมแน่นมาก ผมกำลังจะอ้าปากงับใหล่พี่นัท แต่พี่นัทก็จุ๊บลงมาที่เดิมเป็นครั้งที่สามซะก่อน
จุ๊บ! จุ๊บ!
สี่ครั้งแล้วด้วย! ผมอ้าปากและมองอย่างไม่พอใจเท่าไร ผมว่าเกินไปแล้ว ถึงเนื้อถึงตัวเกินไปแล้ว
“หายโกรธพี่ได้ยังครับ”
“หะ! ผมไปโกรธพี่ตอนไหน” ผมเงยหน้ามองพี่นัทอย่างสงสัย พี่แกก้มหน้าลงมาจนจมูกแทบจะชนกัน ผมนี่เกร็งคอหนีจนขอแทบจะเป็นตะคริว ผมจะเริ่มโกรธเพราะเขามาทำแบบนี้กับผมนี่แหละ!
“ก็...ไม่รู้สิ วันนี้ทั้งวันพี่ถามอะไรไปหนึ่งก็ตอบแค่ครับๆ จนพี่ไม่รู้ว่าจะเอาใจหรือชวนคุยยังไงเลยเนี่ย” พี่นัทกระชับอ้อมกอด แล้วอุ้มตัวผมขึ้นทำให้ใบหน้าของหน้าของผมขึ้นมาอยู่ระดับเดียวดับพี่นัท ขาผมเลยลอยขึ้นตีอากาศไปมาและตอนนี้ผมไร้ทางหนีโดยสมบูรญ์แล้วครับ
“พี่นัทครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย”
“ไม่เชื่อ แค่ตอบมาก็พอว่าหายโกรธยัง”
“...”
จะให้ตอบอะไรล่ะครับ นอกจากเรื่องเมื่อครู่นี้ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปโกรธเขาตอนไหน ก็เลยเงียบใส่ พอเงียบนานเข้า พี่นัทก็จัดไปอีกดอกนึง
ฟอด~
ผมตาค้าง เพราะคราวนี้ไม่ใช่ที่หน้าผากแต่ลามลงมาที่แก้มผมแล้วเนี่ย
“พี่นัท!”
“ถ้าไม่ตอบมาตามตรง พี่จะจูบจริงล่ะนะ”
“แล้วถ้าผมไม่ตอบเลย” เพราไม่พอใจนิดหน่อยและคิดว่าเราค่อนข้างสนิทกันผมก็เลยต่อล้อต่อเถียง พี่นัทเลิกคิ้วขึ้นข้างนึง แล้วก็...
ฟอด~
ไปอีกข้างแล้วครับแก้มผม และก่อนที่จะเปลืองตัวไปมากกว่านี้ก็เลยรีบตะโกนตอบออกไป ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ก็เถอะว่าก่อนหน้านี้ผมไปโกรธเขาเรื่องอะไรกันแน่
“ผมไม่ได้โกรธพี่เลย”
“ไม่โกรธแล้วจริงๆ อ้ะ?” เขาถามซ้ำแถมยังทำน้ำเสียงหน้าตาทะเล้นซะเหลือเกิน แต่ตอนนี้ผมทำได้พยักหน้าหงึกหงักเท่านั้น ผมมองพี่นัทที่ยิ้มกว้างจนตาปิดแต่ก็ยังไม่วาย...
จุ๊บ!
อ๊าก! เขาจุ๊บผมที่ข้างปากอ่า โดนปากผมไปนิดนึงด้วย คราวนี้อารมณ์ผมมันปนเปไปหมด จะว่าไม่พอใจก็ไม่เชิง แต่การกระทำของเขาทำเอาใจผมสั่นอย่างบอกไม่ถูก จะว่าเขินก็เขินอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าชอบ แต่ก็ไม่ได้รังเกียจเช่นกัน...
พี่นัทปล่อยผมลงแล้วก็ลูบหัวพลางส่งยิ้มกว้างอวดฟันสวยมาให้แล้วก็พูดด้วยหน้าตาทะเล้นๆ นั่นอีก
“เมื่อกี้มัดจำไว้ก่อน เผื่อครั้งหน้าหนึ่งโกรธพี่อีก”
ความร้อนที่แก้มลามไปที่ใบหู ผมเม้มปากแล้วได้แต่คิดว่าหากครั้งหน้าผมโกรธพี่เขาขึ้นมาจริงๆ ผมจะไม่มีทางให้พี่แกได้รู้เด็ดขาดเลย!
ช่วงนี้ต๊อแต๊มากเลย ขอกำลังใจหน่อยนะคะ
ขอคนละเม้นเนอะ สติ๊กเกอร์ก็ได้ค่ะ อยากรู้ว่ามีคนรออ่านอยู่บ้างรึเปล่า แหะแหะ
#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie