สวัสดีครับ โทษทีนะครับเมื่อวานไม่ได้มาโพส วันศกร์เมือวานนี้โดนเรื่องงานซะเละ แทบตาย ในใจคิดว่า ออกเป็นออกวะ แต่ครั้นดินไปลานจอดรถ เห็นรถตัวเองแล้วก็บอกว่า อดทนอีกหน่อยๆๆๆ แล้วเพื่อนที่เดินมาเจอกันก็รีบเข้ามาุคุย (สงสัยเข้ามาถามเพราะอยากรู้เรื่อง) แล้วเตือนว่า ไล่ออกไม่ได้รับเิงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยชีพนะ ผมก็เลยเซโซกลับบ้าน ก่อนกลับตบะแตก แวะกิน Sukishi จนท้องแทบแตก
แปลกนะ เวลาคนเราสติแตกนี่ทำไมมันรู้สึกแ่ต่อยากจะกินๆๆๆๆ ให้ท้องแตกตายไปเลย
ก็ ในที่สุด ก็เริ่มสติกลับมาแล้วครับ ก็เลยมาโพสตอนต่อไป
เมตตาคนเีขียนหน่อยนะครับ ขอกำลังใจนิด วันนี้เปราะบาง กรุณาอย่า
และ
เย็นนี้ไปเซ็นทรัลเวิลล์กินต่อ เย็นวันอาิทิตก็กินๆๆๆ เช้าวันจันทร์ไปสู้ต่อ
บทที่ 23
อธิคมใช้เวลาไม่นานก็ย้ายตัวเองไปช่วยราชาการที่แพร่ได้ งานนี้เขาใช้เส้นสายพอสมควรทั้งที่ไม่อยากทำ พ่อเขาบ่นยกใหญ่ว่าเขาคิดอะไรไม่เข้าท่า แต่คชานนท์น้องชายคนเก่งของเขาคงไปโน้วน้าวพ่อเขาไว้เรียบร้อยแล้วเลยโดนเทศน์ไปเพียงกัณฑ์สองกัณฑ์
คชานนท์ พูดอะไรพ่อก็เชื่อ...ลูกพ่อจริงๆ
"พี่จะไปชั่วคราวหรืออยู่ตลอด" คชานนท์ถาม มือยกกระเป๋าส่งให้อธิคมรับไปวางไว้บนกระบะท้ายรถโตโยต้า Vigo โฟร์วีลด์สีดำ
"ตลอด แกก็รู้ว่าพี่คิดจะย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด เคยคิดไว้กับคุณนุ"
"อ๋อเหรอ ผมนึกว่าพี่พูดเล่น ไม่ได้คิดจะจริงจัง" คชานนท์เลิกคิ้ว ทำเหมือนเพิ่งเข้าใจสิ่งที่อธิคมพูด
"จริงจังสิวะ แกคิดว่าพี่พูดๆ ไปยังงั้นหรือ"
"ไม่รู้สึก ก็เห็นทุกที..."
"ไอ้นนท์ อย่ามาวอนหาเรื่องโดนเตะ" อธิคมขึ้นเสียง แล้วยกเท้าทำท่าทะเตะจริงๆ
"อ๊ะ อ๊ะ อย่านะพี่ ผมโตแล้ว อะไรกัน เอะอะก็ใช้กำลัง ผมนี่ประธานบริษัทบริหารหลักทรัพย์ระดับนานาชาตินะครับ"
"แกมันไอ้นนท์จอมกวดประสาทคนเดิม" อธิคมชี้หน้าน้องชาย แล้วชี้ไปที่กระเป๋า เป็นสัญญาณให้ยกส่งให้ "คุณนุนี่ล่ะตัวจริง พี่อาจจะเคยลอยไปลอยมา แต่ว่าพอมีคุณนุ พี่ก็เปลี่ยนไปแล้ว คิดเอาไว้ว่าจะไปอยู่ต่างจังหวัดกัน มีบ้านหลังเล็กๆ ที่มองเห็นวิวสวยๆ คุณนุเคยบอกว่าจะไปสร้างบ้านที่เชียงใหม่ แต่พี่แย้งว่าให้ไปอยู่บ้านเดิมที่อยุธยา แต่คุณนุจะเอาวิวที่มองเห็นกว้างๆ โล่ง มองออกไปจนสุดสายตา ท้องฟ้าสีคราม อากาศสบายๆ"
อธิคมเล่าถึงคนรักด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ สายตาอ่อนโยน ฉายแววคิดถึงอย่างชัดเจน
"แล้วพี่ก็นึกไม่ออกว่าคุณนุเคยไปซื้อที่ดินไว้ที่แพร่ แล้วอาจไปอยู่ที่โน่น สมแล้วที่เป็นสารวัตรสืบสวน เอ๊ะ พี่เป็นสารวัตรมือปราบนี่ ถนัดแต่ยิงปืนโป้งป้างวิ่งไล่เตะผู้ร้าย ไม่ถนัดคิดสืบสวนหาหลักฐาน" คชานนท์ทำเสียงราบเรียบเหมือนกำลังบรรยายสรุปในการประชุม
"ไอ้นนท์" อธิคมหันมาทำตาขวางเพราะโดนหลอกด่าว่าไม่ใช้สมอง "ตอนนั้นมันมัวแต่เสียใจนี่หว่า แกลองมาเป็นพี่บ้างสิจะรู้สึก คนเรามันเสียใจมากๆ คิดอะไรแบบที่เคยคิดตอนดีๆ ไม่ออกหรอก นี่ถ้าไม่ได้ธงรบ พี่ก็คงไม่รู้ว่าคุณนุอยู่ที่โน่น"
...พี่วุธต่างหากละพี่คมเอ๊ย พี่ธงมาบอกให้ผมช่วยแปลความหมายที่พี่วุธบอกใบ้ให้หรอกถึงคิดออก ตอนนันพี่ธงบ่นเสียยกใหญ่ว่าสารวัตรอาวุธไม่รู้จักหัดพูดอะไรที่มันเข้าใจได้ง่ายๆ เหมือนมนุษย์ธรรมดาพูด...
คชานนท์อมยิ้ม แล้วตอบพี่ชายว่า "ทีนี้พี่ก็เลิกดุพี่ธงได้แล้วว่าเป็นต้นเหตุ พี่ธงเขาช่วยพี่เต็มที่แล้ว"
"เออ ถือว่ามันทำความดีทดแทนความระยำ" อธิมคมกรอกตา "แล้วขอบใจด้วยที่ช่วยพี่"
"จะมีน้องชายไว้ทำไมล่ะ ว่าไหม" คชานนท์ยิ้ม ยกมือขึ้นตบไหล่อธิคม อีกฝ่ายยิ้มตอบก่อนจะยืนนิ่งชั่วครู่แล้วถามน้องชายว่า
"นนท์ แกคิดว่าคุณนุจะยอมคืนดีกับพี่หรือเปล่าวะ"
"คืนดีสิครับ" คชานนท์ให้กำลังใจ "คุณนุเขารักพี่ก็ต้องคืนดีกับพี่ แต่ว่าพี่ต้องแสดงให้เขาเห็น ทำให้มั่นใจได้ว่าเขาจะไม่เสียใจเพราะพี่อีก"
"แต่นี่ยังไม่ถึงสามเดือนเลย คุณนุขู่ไว้ว่า ให้ห่างกันสามเดือน" อธิคมสีหน้ากังวล
"พี่คม อีกเดี๋ยวเดียว พี่รออีกซักหน่อย ถ้าคิดถึงจนทนไม่ไหวพี่ก็ขับรถไปแอบซุ่มดู หรือทำทีเป็นพบโดยบังเอิญก็ได้ หรือไม่ก็ทำให้คุณนุเห็นพี่แวบๆ เขาจะได้สงสัยว่าพี่มาทำไมที่แพร่ ทีนี้เขาก็จะสับสน ทุรนทุรายในใจ แล้วถามตัวเองว่าจะทำอย่างไรดี"
"เผื่อคุณนุถามตัวเองแล้วได้คำตอบผิดๆ ล่ะวะ" อธิคมยังกังวลใจ
"ฮื่อ อย่าเพิ่งคิดไปไกลขนาดนั้นสิ คิดแต่ทางบวกไว้ก่อน ถ้าพี่คิด positive มันจะสะท้อนถึงพฤติกรรมของเราให้ทำในสิ่งที่ positive"
"แกชักพูดเหมือนอาวุธเข้าไปทุกที เป็นน้องมันหรือเป็นน้องข้าก็ไม่รู้" อธิคมแทรก
"น้องพี่สิ ทั้งที่ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ใช่" คชานนท์ตอบ
"แกหลอกด่าพี่อีกหรือเปล่าวะ" อธิคมขมวด
"พี่คม จำไว้นะ คิดแต่ทางบวกไว้ก่อน พี่จะได้สบายใจ ปัญหาทุกอย่างมันแก้ไขได้ เชื่อผมสิ อีกไม่กี่วันพี่ธงก็จะตามไปเป็นกำลังใจ" คชานนท์ให้กำลังใจ
"พี่กลัวว่ามันจะตามไปช่วยทำให้พี่ซวยซ้ำซ้อนอีกล่ะสิ" อธิคมบ่น ยังรู้สึกหวาดๆ ธงรบอยู่เหมือนกัน
"ผมคุยกับพี่ธงแล้ว" คชานนท์พูดยิ้มๆ
...คุยกับธงรบ หรือสั่งสอนธงรบกันแน่...
อธิคมขึ้นนั่งบนรถ เตรียมตัวออกเดินทาง คชานนท์เตือนพี่ชายให้ขับรถดีๆ ง่วงก็แวะพัก อย่าฝืน ถึงรู้สึกใจร้อนอยากให้ถึงแพร่ไวๆ แต่ก็อย่าลืมว่าเรื่องรถรานั้นต้องปลอดภัยไว้ก่อน
"เข้าใจแล้วครับคุณพ่อ แกนี่ทำให้พี่รู้สึกเหมือนคุณอดิศัยมายืนอยู่ตรงหน้าเลยนะเนี่ย" อธคมกระทบกระเทียบน้องชายหน้าขาวที่ถอดแบบบิดามาแทบทุกอย่าง
"พ่อบอกให้ผมดูแลพี่"
"ควบคุมละไม่ว่า" อธิคมยักไหล่ "แกดูแลพ่อด้วยล่ะ อย่าให้ทำงานหนักเกินไป"
คชานนท์ไม่ตอบ ไม่พยักหน้ารับคำ มือล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างยิ้มบางๆ ให้พี่ชาย...บุคลิกที่เขาเห็นว่า ดูยังไงก็เป็นน้องชายอาวุธ สมัยที่เรียนนายร้อย อาวุธเข้ากับคชานนท์ได้ดียิ่งกว่าเขาที่เป็นพี่ชายแท้ๆ และหากไปไหนมาไหนกันสี่คน คชานนท์จะติดหนึบอยู่กับอาวุธ คุยเรื่องอะไรกันก็ไม่รู้ที่เขากับธงรบไม่ค่อยเข้าใจ จนธงรบล้อว่า "ระวังนะ ไอ้วุธมันจะขโมยไอ้นนท์ไปเป็นน้องมัน" อธิคมก็จะตอบว่า "ให้มันเอาไปเลย ไม่เคยคิดเสียดายน้องกวนประสาทแบบนี้"
อธิคมพยักหน้าให้น้องชายที่ยืนอยู่ข้างรถแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเคลื่อนรถออกเดินทาง ในใจอัดแน่นไปด้วยความคิดถึงคนที่เขากำลังเดินทางไปหา
นายตำรวจหนุ่มพร่ำบอกตัวเองวา แม้ไม่ได้พบตัวแต่อย่าง้อยเขาก็มีความสุขที่จะได้อยู่ใกล้ และเห็นด้วยกับที่คชานนท์บอกว่า หากทนคิดถึงไม่ไหวจริงๆ ก็ไปแอบซุ่มดูอนุภาพก็พอแล้ว
...แต่เขาก็หวั่นใจเหลือเกิน กลัวว่าตัวเองจะทนไม่ได้ ทันทีที่เห็นชายหนุ่ม เขากลัวว่าตัวเองจะวิ่งเข้าไปกอด ไปออดอ้อนให้อนุภาพยกโทษให้และกลับมาคืนดีกับเขา ที่รอๆ มาเกือบสามเดือนก็จบกัน
ความรักมันทรมานเช่นนี้เอง เขาไม่เคยรู้รสของความรักมาก่อน จวบจนอายุสามสิบเศษๆ จึงได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งเป็นครั้งแรก แล้วก็ได้พบว่ามันมีอานุภาพมากเหลือเกิน...
อนุภาพเดินออกมาจากสำนักงานที่ดินจังหวัดแพร่ หยุดยืนอยู่หน้าอาคารชั่วครู่แล้วแหงนมองท้องฟ้าสีเป็นสีครามสวยสดใสเหลือเกิน ในใจอดนึกถึงอธิคมไม่ได้ อธิคมเป็นคนร่าเริง รอยยิ้มของอธิคมสดชื่น สว่างไสวเหมือนแสงอาทิตย์สว่างจ้าตอนกลางวัน โลกสดใสจนทำให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกสดชื่นไปด้วย
แม้อาทิตย์ที่ผ่านมาเขามัวแต่ยุ่ง แต่ความคิดถึงอธิคมก็ไม่ลดลงไปเลย อีกเพียงอาทิตย์กว่าๆ ก็จะครบเวลาสามเดือนที่เขายื่นคำขาดให้อธิคมแล้ว อนุภาพอดคิดไม่ได้ว่า อธิคมก็คงกำลังนั่งเฝ้ารอเวลาอยู่เหมือนกัน
...นี่เราคิดถึงหรือคิดถูกที่ตัดสินใจไปแบบนั้น...
อนุภาพเดินออกจากประตูรั้วของสำนักงานที่ดิน แล้วเลี้ยวซ้ายเดินเอื่อยๆ ไปตามทางเดินเท้า ตั้งใจว่าจะแวะธนาคารเพื่อเอาไปถอนเงินแต่ก็เปลี่ยนใจ ท้องเริ่มหิว เขาจึงคิดว่าน่าจะหาอะไรอร่อยๆ ทานก่อนจะดีกว่า ตั้งแต่มาอยู่ที่แพร่ เขาทานอาหารมากกว่าเดิม แต่เขาก็ออกกำลังกายมากกว่าเดิม การวิ่งวันละสิบกิโลเมตรช่วยเผาพลาญพลังงานไปได้เยอะมาก
เมื่อเดินผ่านธนาคาร อนุภาพเหลือบตามองไปยังประตูทางเข้า นึกถึงคำเชิญชวนของผู้จัดการธนาคารที่เสนอขายที่ดินที่ติดกับที่ของเขา แต่ราคาสูงเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้จึงปฏิเสธไป หากตอนนี้กลับคิดเสียดายเพราะที่ดินผืนนั้นเมือดูดีๆ แล้วสวยมาก มีโค้งน้ำสองโค้ง ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ดูไปก็คล้ายจะเป็นเกาะส่วนตัวเล็กๆ
อนุภาพมองเห็นร้านข้าวซอย แวะเข้าไป ยังไม่ทันได้นั่ง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขารู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาคือตั้ม...สายสืบของสมบัติ
เสียงตั้งยังฟังดูงัวเงีย คล้ายจะเพิ่งตื่น เขาพอจะนึกภาพออกว่าสมบัติคงไปปลุกแฟนให้ลุกขึ้นมาโทรศัพท์หาเขา แล้วตัวเองก็คงนั่งอยู่ข้างๆ
"พี่นุ สบายดีใช่ไหมครับ"
"สบายดี แล้วตั้มล่ะ ทำไมรีบตื่นแต่เช้าโทรมาถามสารทุกข์สุขดิบพี่ รอบ่ายๆ ก่อนก็ได้นี่นา" อนุภาพพูดกลั้วเสียงหัวเราะ ก่อนจะพูดว่า "พี่บั้ดบังคับหรือไง"
"เปล่าๆ ครับ ผมก็..." ตั้มชะงักไปชั่วครู่ อนุภาพยิ่งมั่นใจ จึงไม่เปิดโอกาสให้ตั้มพูดต่อ
"ทำไมพี่บั้ดไม่โทรเอง ตกลงนี่มีเรื่องอะไร"
"คือว่า ผมก็ เอ่อ พี่บั้ดไม่ว่างครับ ก็อยากจะรู้ว่าพี่นุเป็นไงบ้าง มีอะไรยังไงหรือเปล่า" ตั้มพูดเสียงเบา นึกขอบคุณอยู่ว่าเป็นการพูดโทรศัพท์ ไม่ได้เป็นการพูดหน้าต่อหน้า ไม่เช่นนั้นเขาก็คงทำให้อนุภาพจับได้ว่าต้องการรู้เรื่องอะไรบางอย่าง หลังจากที่อธิคมย้ายไปที่แพร่ได้อาทิตย์กว่าแล้ว แม้จะเป็นนักแสดง แต่หากไม่ได้อยู่หน้ากล้อง เขาก็เสแสร้งแกล้งทำไม่ค่อยเป็น
"ก็อะไรๆ ก็ดี ไม่มีอะไร พี่ก็สบายๆ ฝากสวัสดีพี่บั้ดด้วย แต่ไอ้ยังไงๆ นี่พี่ไม่รู้จะตอบยังไง" อนุภาพเล่นลิ้น หันไปสั่งอาหารแล้วพูดโทรศัพท์ต่อ "ตั้มรู้ไหม ที่นี่ตั้มดังใหญ่แล้วนะ พี่เห็นเด็กสาวๆ บางคนยืนกรี๊ดรูปตั้มอยู่หน้าโปสเตอร์ตั้มด้วยล่ะ"
"หรือครับ" ตั้มหัวเราะเบาๆ แล้วพยายามจะคุยเพื่อ "ถาม" สารทุกข์สุขดิบของอนุภาพต่อ แต่อนุภาพบอกให้ไปนอน
"พี่สบายดีตั้ม ขอบใจนะที่เป็นห่วง" อนุภาพพูดเสียงหนักแน่น "ฝากดูแลพี่บั้ดด้วย"
...ฝากดูแลอธิคมด้วย...
อนุภาพรู้ว่าสมบัติคงเข้าใจที่เขาพูด พอวางสายโทรศัพท์ ตั้มก็ต้องรายงานทุกอย่างให้สมบัติฟัง แล้วสมบัติก็คงรายงานให้อธิคมฟัง
...อธิคม...แนวร่วมเยอะนัก...
อธิคมเดินขึ้นมาบนธนาคารเพื่อซื้อแคชเชียร์เช็ค พอพนักงานเห็นจำนวนเงินที่ต้องการจึ่งรีบเชิญเขาไปพบผู้จัดการสาขาเพื่อให้บริการพิเศษ อธิคมมาถึงแพร่ได้กว่าสองอาทิตย์แล้ว เขาต้องควบคุมตัวเองอย่างมากที่จะไม่วิ่งไปหาอนุภาพและพร่ำรำพันว่าคิดถึง เขาแอบไปจอดรถมองบ้านของชายหนุ่มสองสามครั้ง และหวังว่าจะเจอหน้าชายหนุ่มบ้างแต่ก็ไม่เข้าข้าง ทุกครั้งที่ไปถึงอำเภอสอง เขาไม่เห็นอนุภาพเลย ตอนนั้นเขาเกือบคิดจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ดักซุ่มดูและใช้กลยุทธ์สืบสวนสอบสวนหาตัวอนุภาพแล้ว แต่ก็ยั้งใจไว้ได้ บอกตัวเองว่า ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า ออกเวรแล้วหากทนไม่ไหวจริงๆ ก็ขับรถขึ้นเหนือไปอำเภอสอง แล้วขับผ่านบ้านของอนุภาพดูบ้าง ไม่ได้เห็นตัว ขอให้เห็นบ้านก็พอใจแล้ว คชานนท์กับธงรบและสมบัติก็คอยโทรศัพท์มาให้กำลังใจซึ่งทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาพอสมควร
ผู้จัดการธนาคารเดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับยื่นแคชเชียร์เช็คให้สารวัตรหนุ่มรูปหล่อด้วยท่าทางนอบน้อมและใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมเชิญชวนให้เขาลงทุน ตอนนี้เธอรู้แล้วว่านายตำรวจคนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาประจำอยู่ที่จังหวัดแพร่นั้นฐานะดีไม่ใช่น้อย
"มีอะไรให้เบ็ญรับใช้ สารวัตรไม่ต้องเกรงใจนะคะ ถ้าตัดสินใจอะไรได้แล้ว โทรมาหาเบ็ญได้เลย เบ็จจะได้ไปหาที่โรงพัก เตรียมเอกสารทุกอย่างไปให้เซ็นถึงที่ ไม่ต้องลำบากมาเอง"
"ครับผม ของคุณคุณเบญจวรรณมากนะครับ" อธิคมรรับคำยิ้มๆ ก่อนจะลาผู้จัดการสาขาของธนาคารใหญ่ประจำจังหวัดแล้วเดินออกมานอกห้องทำงาน
เบญจงรรณเดินตามออกมาส่งลูกค้ารายใหญ่ที่ประตูห้อง พลันมองเห็นชายหนุ่มหน้าขาวนัยน์ตาเรียวเล็กที่ยืนรออยู่หน้าห้องจึงแนะนำให้อธิคมรู้จัก
"น้องชายเบ็ยเองค่ะ รายนี้สนิทกับ ส.ส. สุชาติ ถ้าสารวัตรอยากซื้อที่เพิ่ม ให้บดิณทร์ช่วยคุยก็ได้นะคะ ท่านสุชาติลดราคาให้แน่นอน ที่ดินท่านติดกับที่ของสารวัตร"
"สามไร่นี่ก็ไม่ใช่น้อยแล้วครับ" อธิคมพูดยิ้มๆ โบกเช็คในมือ ก่อนจะกล่าวขอบคุณเบญจววรรณอีกครั้ง แล้วหันไปก้มศรีษะให้น้องชายของผู้จัดการธนาคาร แล้วขอตัวเดินจากไป ทิ้งให้สองพี่น้องมองตามด้วยสายตาชื่นชม
"สารวัตรใหม่หรือพี่เบ็ญ" บดิณทร์ถามพี่สาวคนโต ตายังมองตามร่างสูงใหญ่กำยำในชุดเครื่องแบบสีกากีของอธิคมที่กำลังจะดินออกประตูธนาคาร
"เพิ่งย้ายมาได้อาทิตย์กว่าๆ มาถึงก็ซื้อที่ดินเลย เงินสดๆ"
"รวยละสิ" บดิณทร์เดินเข้ามาในห้องทำงานของพี่สาว ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ ตายังมองไปยังประตูด้านหน้าของธนาคารทั้งที่นายตำรวจหนุ่มรูปหล่อลับตาไปแล้ว"
"รวยมาก" เบญวรรณพูด
"หล่อร้ายกาจ" บดิณทร์พึมพำ
"เห็นเงินในบัญชีแล้วพี่อึ้ง นี่พี่กำลังจีบให้เขาย้ายบัญชีมาที่สาขาเรา แล้วก็ชวนให้ลงทุน"
"โอ้โห ถ้าสำเร็จ พี่ก็ได้ลูกค้ารายใหญ่เพิ่มอีกคน" บดิณทร์หันหน้ากลับมามองพี่สาว "เพิ่มยอดเงินฝาก กลายมาเป็นผู้จัดการที่หาลูกค้าได้เก่งที่สุดในรอบปี"
"ก็ยังไม่แน่หรอกนะ เขาบอกว่าบัญชีของเขาน้องชายดูแลอยู่ น้องชายเป็นเจ้าของบริษัทบริหารหลักทรัพย์ที่ใหญ่พอสมควร พอได้ยินชื่อบริษัทก็หนักใจ เขาอาจไม่ยอมปล่อยให้บัญชีมาอยู่สาขาต่างจังหวัดไกลๆ แบบนี้"
"เงินมันไหลตามสายโทรศัพท์ไม่ใช่หรือพี่ ถึงเงินมาอยู่นี่มันก็ไม่ล้นตู้เซฟธนาคารหรอกน่า พี่จีบเขาให้สำเร็จก็แล้วกัน ผมจะได้..."
"ปิ๊งละสิท่า" เบญจวรรณ์เย้าบดิณทร์ รู้ทันน้องชายที่สายตาวิบวับตั้งแต่เห็นสารวัตรอธิคม "เธอคิดว่าเป็นหรือ แมนๆ ห้าวๆ ขนาดนั้น"
"ก็ไม่รู้สิ แต่ตาดูแปลกๆ ถ้าให้คลุกคลีซักหน่อย ผมก็มองออก ผมมีความสามารถพิเศษ" บดิณทร์อมยิ้ม
"จริงหรือ ว้า พี่ก็แห้วไปเลยสิ" เบญจวรรณทำท่าผิดหวัง
"นี่เจ๊ อายุเท่าไหร่แล้ว ยังคิดอะไรแบบนี้อยู่หรือ" บดิณทร์ล้อพี่สาว
"ฉันยังสวยอยู่นะยะ สี่สิบยังแจ๋ว" เบญจวรรณชูสี่นิ้ว
"สี่สิบห้าครับพี่สาว" บดิณทร์เย้า
"เธอก็จะสามสิบเดือนหน้าแล้วเหมือนกัน ทำพูดไปเถอะ ต้องรีบหาเมียให้เตี่ยชื่นใจ" เบญจวรรณหัวเราะร่าเมื่อได้เย้าน้องชายคืนบ้าง
"หาสามีสิไม่ว่า เฮ้อ เตี่ยนี่ก็ไม่รู้อะไรนักหนา จนป่านนี้แล้วทำไมไม่ทำใจซะที" บดิณทร์ถอนหายใจ "คิดยังกะว่ามันจะเปลี่ยนกันได้งายๆ ยังงั้นล่ะ ผมก็ไม่แสดงออกให้แกขายหน้าที่ไหนเล่า ผมก็ดูเป็นผู้ชายของผมอยู่ไม่หเห็นจะต้องมากังวลอะไรเลย"
"เตี่ยอยากอุ้มหลาน เธอก็รู้"
"เจ๊ก็แต่งไปสิ อายุขนาดนี้แล้ว" บดิณทร์โบ๊ยให้พี่สาวคนโตเป็นคนรับภาระผลิตหลานให้เตี่ยเชยชม
"ทำไมจะไม่อยากแต่ง แต่มันหาใครไม่ได้นี่นา" เบญจวรรณ์ยิ้มระรื่นขัดกับคำพูด
"ฝันไปเถอะ ยังไงเตี่ยก็ไม่ได้อุ้มหลานที่ผลิดโดยลูกชายหรอก" บดิณทร์ตาเป็นประกาย "โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผมเกิดปิ๊งใครบางคนแบบที่ไม่เคยปิ๊งมาก่อนแบบนี้"
"เอาจริงหรือ" เบญจวรรณยื่นหน้าเข้ามาถามน้องชาย
บดินทร์พยักหน้า ท่าทางมุ่งมั่น แล้วพูดพึมพำเสียงเบาว่า "จริงสิพี่ เกรดเอขนาดนี้ เจอได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ ตั้งแต่อยู่แพร่มา ร้อยวันพันปีพี่เคยเห็นเทพบุตรหลงมาแบบนี้หรือเปล่าล่ะ ถ้ามีโอกาสผมก็อยากลอง คนเรามันต้องฟังเสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเองสิ ถ้าหัวใจบอกว่าใช่ เราต้องรีรอ ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไป ต้องคว้ามันไว้"
[attachment deleted by admin]