Day 16: กลับบ้านใหญ่
นคินทร์เหลือบมองร่างที่นอนหลับคอพับไปกับเบาะรถข้างกายของตนเป็นระยะ เสี้ยวหน้าคมคายจุดยิ้มมุมปากอย่างเอ็นดูคนที่เหนื่อนจากการ ‘ปรนนิบัติรับใช้’ คุณชายใหญ่ของบ้านเสียจนหมดแรง มือใหญ่เอื้อมหามือเรียวที่วางนิ่งอยู่บนตักของชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้ง นิ้วเรียวยาวสอดประสานากับมือที่แม้จะเริ่มสากจากงานบ้านงานสวนที่อีกฝ่ายช่วยบิดามารดาทำแต่เล็กกลับมมิได้ทำให้เขาอยากจะกุมมันน้อยลงแต่อย่างใด
“อือ...คุณคิน...”
“นอนต่อเถอะ ถึงแล้วกูจะปลุก” เจ้าของชื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ภวัตที่สะลึมสะลืออยู่เมื่อได้ยินดังนั้นจึงปรือปิดเลือกตากลับลงไปแต่โดยดี ว่าง่ายเสียจนเขาอยากจะรังแกให้อีกฝ่ายสะอึกสะอื้นอย่างสุขสมใต้ร่างของอีกสักสิบรอบ
เพราะอย่างนี้ไงเขาถึงไม่อยากก้าวเท้าออกมาจากห้องของตัวเอง
นคินทร์เลี้ยวรถเข้ามาในคฤหาสน์ของเจ้าสัวนิวิฐก่อนเที่ยงวันเพียงไม่กี่นาที ภวัตที่นอนหลับอยู่เมื่อรู้สึกถึงยานพาหนะที่ชะลอ
ตัวจึงลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างง่วงงุน พยายามจะยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเองให้ตื่นเต็มตาทว่ามือของเขากลับถูกอะไรบางอย่างพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา
บางอย่างที่ว่าคือมือของนคินทร์ที่ยังคงไม่ยอมปล่อยแม้ว่าเขาจะออกแรงดึงเพียงใด
“คุณคิน ปล่อยเถอะครับ ถ้าใครมาเห็นเข้า...” ภวัตเริ่มแตกตื่น หากใครในบ้านให้มาเห็นเข้า คุณคินจะเดือดร้อนเอาได้
“รถติดฟิล์มมืดขนาดนี้ ต่อให้มึงกับกูทำมากกว่านี้...” ใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มหยอกเย้า “...ถ้ารถไม่โยกก็ไม่มีใครสังเกตหรอกน่า”
“คุณคินครับ!” ภวัตไม่เคยดูออกสักทีว่าคุณชายใหญ่ของบ้านกำลังพูดจริงหรือล้อเล่นอยู่กันแน่
“มึงนี่นะ จะแกล้งง่ายไปไหน” นคินทร์ถอยกลับออกมาพร้อมเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ปลดสายคาดเข็ดขัดของตัวเองออกพร้อมดับเครื่องยนต์ ภวัตรีบเปิดประตูลงจากรถ กุลีกุจอวิ่งอ้อมมาเปิดประตูให้ร่างสูง
ดวงตาของทุกคนจ้องมาที่นคินทร์ทันทีที่ร่างสูงก้าวเข้ามาในบ้านใหญ่ ทั้งท่วงท่าก้าวย่างดูองอาจ สีหน้าแววตาอ่อนโยนไม่ถือตัวทว่ายังคงสงวนท่าทีเช่นเดียวกับผู้เป็นเจ้านายของบ้านคนอื่นๆที่ภวัตไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักเริ่มทำให้ก้อนในอกของเขาเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“อ้าว คิน มาพอดีเลยลูก แม่กำลังจะให้คนจัดสำรับอยู่พอดี”
ภายในห้องรับแขก มีร่างของนายหญิงของบ้านในชุดผ้าไหมสีชมพูอ่อนสีโปรดของเจ้าตัวนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นคินทร์ยกมือไหว้มารดาของตน ก่อนที่คิ้วคมจะเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักในชุดกระโปรงพลิ้วสีขาวอ่อนหวานที่นั่งอยู่ข้างคุณนาราบนโซฟาตัวยาว
“สวัสดีครับคุณแม่ สวัสดีครับคุณปัทมา”
“แหม คุณปัทมาอะไรกัน เรียกน้องเขาซะห่างเหินเชียว เรียกน้องปัทม์สิจ๊ะคิน” คุณนารารีบแก้ เจตนาของหญิงสูงวัยชัดเจนจนคนตาบอดยังดูออกอย่างง่ายดาย “น้องปัทม์ จำพี่เขาได้มั้ยลูก ที่เจอกันในงานเลี้ยงบ่อยๆสมัยเด็กไงจ๊ะ”
“จำได้ค่ะคุณน้า” ปัทมาตอบพร้อมรอยยิ้ม ทว่าไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
“คิน อยู่คุยเป็นเพื่อนน้องแทนแม่ก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะไปดูในห้องอาหารซักหน่อย” คุณนารารีบลุกขึ้นเพื่อให้คนทั้งสองได้สนทนาทำความรู้จัก หันมาเห็นภวัตที่ด้านหลังของนคินทร์จึงเอ่ยขึ้น
“ภีม ไปหาพ่อกับแม่เราซะสิ ยายอิ่มบ่นคิดถึงเราจะแย่แล้ว”
“ขอบคุณครับคุณนารา”
ภวัตยกมือไหว้ลานายหญิงของบ้านแทบจะในทันทีที่ได้ยินคำอนุญาต แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่านคินทร์ไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่เขาก็ไม่อยากทนอยู่เห็นภาพบาดตาบาดใจ ถึงจะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากเขายังอยากยืนข้างกายของนคินทร์ต่อไป
ที่หางตา เขาเป็นนคินทร์พูดคุยกับหญิงสาวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบกายของตน
ได้เวลากลับไปอยู่ในที่ของเขาแล้ว
ภวัตโยนกรรไกรตัดหญ้าลงบนพื้นแล้วทรุดตัวลงนั่งบนสนามหญ้ากว้าง ใช้มือเปล่าถอนต้นวัชพืชออกทีละต้นอย่างตั้งอกตั้งใจ หลังจากที่เขาทักทายมารดาในครัว ร่างโปร่งจึงเดินออกมามองหาบิดาของตนที่ทำงานเป็นคนสวนในคฤหาสน์หลังนี้ เมื่อภวัตเห็นชายวับกลางคนผิวคล้ำแดดนั่งถอนวัชพืชท่ามกลางแสงแดดจ้ายามเที่ยงวันจึงรีบออกปากไล่พ่อให้ไปนั่งพักในร่มเงา แล้วรับหน้าที่นั้นต่อเสียเอง
เขาตัองการทำอะไรซักอย่างไม่ให้ตัวเองมีเวลาไปฟุ้งซ่านกับเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุม
”มึงนี่นะ ซนไปทั่วจริงๆ รออยู่ในครัวเย็นๆไม่ได้ใช่มั้ย”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นพร้อมกับร่มเงาบดบังแสงแดดที่สาดส่องลงมาทำให้ภวัตชะงัก ร่างโปร่งเงยหน้าขึ้นพบต้นเหตุของความฟุ้งซ่านทั้งมวลในชีวิตของเขากำลังยืนกางร่มคันใหญ่เพื่อบดบังร่างของพวกเขาทั้งคู่จากแสงอาทิตย์ ภวัตรีบหันซ้ายแลขวาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“คุณคิน? แล้วคุณปัทมาล่ะครับ?”
“กลับไปแล้ว กูคุยกับเขาถูกคอ คิดว่าน่าจะเหมาะกับไอ้แชมป์ เลยให้มันมารับน้องเขาไปเที่ยวซักหน่อย” คนที่ถูกมารดาหลอก
มาดูตัวยิ้มกริ่ม “มึงหาชุดงานแต่งไว้ให้กูเลย ไม่เกินท้ายปีแน่”
“ผมว่าคุณคินควรจะไปเปิดบริษัทหาคู่ดีกว่านะครับ” ภวัตกล่าวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ มีอย่างที่ไหนถูกแม่ส่งไปดูตัวทีไรกลับได้ภรรยาไปฝากเพื่อนเสียทุกที “แล้ว…ออกมาแบบนี้จะดีเหรอครับคุณคิน ถ้าใครมาเห็นเข้า…”
“มึงนี่คิดมากจังวะ คนอื่นเขาอยู่ในบ้านกันหมด ไม่มีใครมาเห็นหรอก” นคินทร์ไหวไหล่ ย่อลงนั่งยองข้างๆเขาแล้วดึงวัชพืชออกทีละต้น ภวัตลอบมองอย่างแตกตื่นด้วยกลัวว่ามือใหญ่ที่ไม่ชำนาญจะถูกเศษหญ้าบาดเสียก่อน“ต่อให้มีแล้วไง มึงกับกูก็ตัวติดกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร กูแค่มาคุยกับเพื่อนกู ผิดตรงไหน”
“ผมว่าคุณคินระวังตัวน้อยลงมากนะครับ” ภวัตตักเตือนอย่างหวั่นใจ แต่ดูคนฟังจะไม่ได้สะทกสะท้านเท่าไหร่นัก
“ภีม…”มือใหญ่ละจากวัชพืชมาเกาะกุมมือของเขาไว้หลวมๆ “กูไม่มีทางทำร้ายมึง เชื่อใจกูสิ”
“ตายแล้ว คุณคิน มาทำอะไรตรงนี้คะ”
เสียงของมารดาของภวัตทำให้เขาสะบัดมือออกจากการเกาะกุมอย่างไม่ทันคิด วูบหนึ่งร่างโปร่งรู้สึกเหมือนเห็นแววตาเจ็บปวดของอีกฝ่ายก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อแม่ของเขาเดินตรงมาทางนี้
“ผมเห็นภีมนั่งถอนหญ้าอยู่คนเดียวก็กลัวจะเหงาเลยมานั่งเป็นเพื่อนน่ะครับ” นคินทร์ตอบเสียงกลั้วหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ภวัตปัดมือของตัวเองกับขากางเกงแล้วลุกขึ้นตามผู้เป็นนาย “จะว่าไปแล้ว คนอื่นๆไปไหนกันหมดล่ะครับ”
ทั้งที่กล่าวด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม แววตำหนิติเนียนยังคงเจือในน้ำเสียงอย่างไม่ปิดบัง ป้าอิ่มยิ่มเจื่อน ก่อนจะตอบตามความเป็นจริง
“คนสวนหนุ่มๆมันก็โดดบ้างสายบ้างตามประสานั่นแหละจ้ะ ตาแช่มแกทนไม่ไหวเลยมาทำเอง พอเจ้าภีมมาเห็นเลยไล่พ่อเขา
ไปพักแล้วมานั่งทำเองนี่ล่ะจ้ะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ” สีหน้าของนคินทร์ยังคงเปื้อนรอยยิ้ม กระนั้นความคุกรุ่นที่อยู่ภายใต้ยังคงแผ่ออกมาจนสองแม่ลูกรู้สึกได้
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะคุยกับคุณแม่เรื่องคนงานให้นะครับ ลุงแช่มแกอายุมากแล้ว อุตส่าห์จ้างคนมาช่วยทั้งทียังเป็นแบบนี้ คงปล่อยไว้ไม่ได้”
“มะ…ไม่ต้องลำบากคุณคินหรอกค่ะ” ป้าอิ่มกล่าวอย่างเกรงใจ
“ไม่ลำบากหรอกครับ คนทำผิดก็ต้องว่าไปตามผิด” นคินทร์กล่าว “อีกอย่าง ลุงแช่มกับป้าอิ่มก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ของผม ถ้าใครมาเอาเปรียบคนใกล้ตัวผม ปมก็ไม่ยอมเหมือนกันครับ”
ภวัตไม่รู้ว่าทำไม แต่ประโยคนั้นของนคินทร์ทำให้เขารู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณคินเป็นธุระให้ด้วยนะคะ” ป้าอิ่มเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “แต่ป้าว่าคุณคินไปพักผ่อนเย็นๆในบ้านดีกว่านะคะ แดดแรงแบบนี้เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปจะแย่เอา เจ้าภีม มาช่วยแม่ในครัวมา”
“ครับแม่” ภวัตตอบรับอย่างว่าง่าย เหลือบมองเสี้ยวหน้าของผู้เป็นนายก่อนจะเดินตามมารดาเข้าไปในตัวบ้าน
กว่าเขาจะล้างจานชามในบ้านเสร็จก็ล่วงเลยไปบ่ายคล้อยจนเกือบเย็น ภวัตยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของตัวเองลวกๆ นึกอยากจะแอบหนีกลับห้องไปล้างเนื้อล้างตัวด้วยกลัวว่านคินทร์จะเหม็นกลิ่นเหงื่อไคล ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้อีกฝ่ายไม่ได้นอนห้องเดียวกับตน ซึ่งหากไม่นับวันเกิดของคุณนทีที่สุดท้ายแล้วเขาก็นอนค้างที่ห้องของอีกฝ่ายแล้วแอบย่องกลับตอนรุ่งสาง ภ
วัตก็ไม่คิดว่าตัวเองเคยเข้านอนโดยไม่มีร่างของนคินทร์อยู่เคียงข้าง
“ภีม มานี่ซิลูก”
ภวัตโผล่หน้าออกมาจากครัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกของมารดา ดวงเนตรเรียวเบิกกว้างอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นนายหญิงของบ้านนั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ชั่ววูบหนึ่งเขาคิดว่าเรื่องของเขากับนคินทร์ถูกอีกฝ่ายจับได้เสียแล้ว คำโกหกเพื่อช่วยคุณชายใหญ่ของบ้านติดอยู่ที่ริมฝีปาก
เมื่อคุณนาราถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“ภีม พอจะรู้มั้ยจ๊ะว่าคินเขาคบใครอยู่รึเปล่า?”
“อะ…อะไรนะครับคุณนารา”
มือไม้ของภวัตอ่อนเปลี้นยทันทีที่ได้ยินคำถาม เคราะห์ดีที่เขาไม่ได้ถืออะไรไว้ในมือ
“ก็คินน่ะ แม่หาใครมาให้แต่ละคนก็จับคู่ให้เพื่อนตัวเองซะหมด นี่เพื่อนจะลูกสองอยู่แล้ว คินยังไม่เคยพาใครมาที่บ้านด้วยซ้ำ”
คุณนาราถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เขาได้พาใครกลับมาที่ห้องบ้างมั้ย หรือมีคนที่คบด้วยอยู่ที่มหาวิทยาลัยรึเปล่า”
“ไม่มีครับคุณนารา” แม้จะรู้สึกผิด แต่ภวัตยังคงพยายามปลอบใจตัวเองว่าสิ่งที่เขากล่าวนั้นไม่ใช่คำโกหก
นอกจากเขา นคินทร์ไม่เคยพาใครขึ้นมาที่ห้อง
“แปลกจริง“ คุณนาราพึมพำอย่างไม่เข้าใจ ภวัตที่เห็นท่าไม่ค่อยดีนักจึงรีบเอ่ยเสริมอย่างร้อนรน
“คุณคินเรียนหนัก ทำกิจกรรมแทบทุกวัน แล้วก็มีงานที่บริษัท ผมว่าคุณเขาคงแค่ไม่อยากสนใจเรื่องอื่นในตอนนี้มากกว่าน่ะครับ”
“จริงด้วยสินะ เห็นทีไรคินก็ดูเหนื่อยดูเพลียอยู่ตลอดเลย” คุณนาราพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ภีม ฉันฝากคินด้วยแล้วกันนะ อย่าให้เขาหักโหมนัก เด็กคนนั้นชอบทำอะไรเกินตัวอยู่เรื่อย”
“ครับ คุณนารา” ภวัตรับคำอย่างหนักแน่น ร่างโปร่งตั้งท่าจะขอตัวกลับไปทำงานต่อเมื่อมารดาของเขาเอ่ยขึ้น
“เอ้อ ภีม ไหนๆก็ไหนๆแล้วเอายานวดขึ้นไปนวดขาให้คุณเขาหน่อยสิ เห็นบ่นปวดเมื่อยเนื้อตัวมาตั้งแต่บ่ายแล้ว”
“คะ…ครับแม่…” ภวัตแทบสำลักอากาศ ภาวนาให้สีผิวเข้มๆของตัวเองอำพรางสีเลือดฝาดบนแก้มเมื่อนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ถูกคุณ
คินสั่งให้นวดให้ เรียกได้ว่าคุณชายใหญ่ให้เขาทั้งนวดทั้งนาบเสียจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเดินไม่ตรงไปเป็นวัน
“เอาชาสมุนไพรขึ้นไปด้วย ด้วยซักหน่อยจะได้มีกำลัง” ไม่ว่าเปล่า มารดาของเขายังยกเอาถาดที่บรรจุกาน้ำชากับถ้วยชาใบเล็กออกมาให้พร้อมกับยานวดเสียด้วย ภวัตยิ้มแห้ง รับถาดกระเบื้องจากมารดามาแต่โดยดี
ร่างโปร่งก้าวขึ้นไปยังห้องที่ตนคุ้นเคยดี ประคองถาดใบโตไว้ด้วยหนึ่งมือและยกมืออีกข้างขึ้นเคาะประตูตามมารยาท ก่อนจะผลักประตูเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงอนุญาต
“คุณคิน…เอ๊ะ…”
ร่างโปร่งร้องออกมาอย่างประหลาดใจเมื่อไม่เห็นร่างของเจ้าของห้อง ภวัตวางถาดไว้บนโต๊ะไม้ข้างเตียง กำลังจะก้าวไปทางห้องน้ำของร่างสูงเมื่อถูกวงแขนแข็งแรงดึงเข้ามาในอ้อมกอดอย่างด้านหลังพร้อมกับจมูกโด่งที่ขโมยหอมฟอดใหญ่ไปจากแก้มนิ่ม
“เหงื่อท่วมเลยมึง โดนใช้งานหนักมากเหรอ”
ตัวคำถามนั้นเหมือนจะเป็นห่วงเป็นใย แต่ความหื่นกระหายในน้ำเสียงแหบพร่านั้นชัดเจนจนไม่อาจมองข้าม
“คุณคิน อย่าเข้าใกล้ผมเลยครับ ตอนนี้ตัวผมมีแต่เหงื่อ…” ภวัตพยายามดันร่างสูงออกทั้งที่รู้ว่าไม่เป็นผล ร่างโปร่งสะดุ้งเฮือก
เมื่อริมฝีปากได้รูปดูดดุนติ่งหูเย็นที่วันนี้ปราศจากต่างหู มีเพียงก้านพลาสติกใสเสียบไว้เท่านั้น มือใหญ่สอดใต้เสื้อแล้วลูบไล้ไปตามหน้าท้องแบนราบ เคลื่อนขึ้นมาสะกิดเขี่ยตุ่มไตที่ชูชันรับสัมผัสอย่างคุ้นชินอย่างเพลินมือ
“มึงเจาะตรงนี้ด้วยดีมั้ย” เสียงพร่าถามอย่างกระตือรือร้น ซุกไซ้หลังคอของเขาจนภวัตเผลอหลุดเสียน่าอายออกมาเป็นระยะ
ร่างโปร่งกัดริมฝีปาก แน่นอนว่าเขาไม่อยากทำ แค่เจาะหูภวัตก็ไม่เคยคิดอยากจะทำอยู่แล้ว
“เอาสิครับ” แต่ในเมื่อคุณคินดูตื่นเต้นถึงเพียงนี้กับร่างกายของเขาทั้งที่อีกฝ่ายครอบครองมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาก็จะยอมแลกกับความเจ็บปวดเพียงชั่วครู่นั้น
“ไว้กูจะติดต่อร้านที่เขาเจาะหูให้มึง” นคินทร์กดจูบหนักๆ บนขมับของเขาแล้วผละออกมาพร้อมรอยยิ้ม “มา มานอนนี่”
“นอน? คุณคินจะทำอะไรครับ อ๊ะ…”
เขาถูกดันให้นอนราบลงไปกับเตียงแล้วจับพลิกคว่ำ ยังไม่ทันจะได้ทักท้วงเรื่องคราบเหงื่อไคลบนร่างกายเสื้อผ้าของเขาก็ถูกลอกคราบออกไปอย่างชำนิชำนาญ
“คุณคิน ให้ผมอาบน้ำก่อนเถอะนะครับ” ภวัตแทบจะอ้อนวอนขอความเห็นใจ แต่ร่างสูงกลับกดร่างของเขาไว้ไม่ให้ขยับลุกขึ้นมา
“เสร็จแล้วค่อยอาบที่เดียวก็ได้” ของเหลวหนืดข้นถูกบีบลงบนแผ่นหลังนวลเนียนสีน้ำผึ้งภายใต้อุณหภูมิเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศ ภวัตขมวดคิ้วกับเนื้อสัมผัสที่ไม่เหมือนสารหล่อลื่นที่ร่างสูงใช้เป็นปกติ อีกทั้งความรู้สึกอุ่นๆกับกลิ่นยาจางๆยิ่งทำให้เขาไม่คุ้นเคย
ถึงอย่างนั้นร่างเพรียวยังคงหมอบราบลงไปกับเตียง ยกสะโพกกลมกลึงให้คนข้างหลังด้วยความเคยชิน เรียกเสียงหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่จากคุณชายใหญ่ของบ้าน
“นี่มึงอยากขนาดนั้นเลยเหรอวะภีม”
“เอ๊ะ…แต่ว่า…” คนถูกกล่าวหาหันกลับไปหาอีกฝ่ายอย่างสับสน นคินทร์อมยิ้ม ในมือยังคงถือหลอดยานวดที่ภวัตเป็นคนนำเข้ามา ดวงหน้าเนียนสีน้ำผึ้งซับสีเรื่อด้วยความอับอาย
“นอนลงไปดีๆ กูก็อยาก แต่มือกูเปื้อนยาแล้ว ทำตอนนี้เดี๋ยวจะแสบ” เสียงทุ้มแฝงแววหยอกเย้า ภวัตซุกหน้าลงกับหมอนอย่างอับอาย ไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไป
ทันทีที่มือใหญ่บีบนวดตามหัวไหล่เปลือยเปล่าแผ่นหลังที่แข็งเกร็งก็เริ่มผ่อนคลายลง ภวัตผ่อนลมหายใจออกมาอย่างมีความสุข นึกสงสัยว่าเจ้าของมือที่บีบนวดไปตามเส้นที่ตึงรั้งของตนนั้นไปร่ำเรียนวิชานวดนี้มาจากที่ใดกัน
“เสร็จแล้วมึงก็กินชาด้วยนะ จะได้ช่วยบำรุงด้วย” คนที่กดนวดสะโพกมนอยู่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ภวัตที่แทบจะเคลิ้มหลับไปกับสัมผัสนั้นส่งเสียงตอบรับในลำคออย่างผ่อนคลาย “ภีม คืนนี้มึงนอนนี่ไม่ได้เหรอ…”
“ไม่ได้หรอกครับ…งืม…เดี๋ยวแม่สงสัย…” คนที่กำลังเคลิ้มงึมงำเสียงยานคาง หลับตาพริ้มอย่างสุขสมจากบริการของผู้เป็นนาย
“กว่าจะเจอกันอีกทีก็เช้า คืนนี้กูปีนหน้าต่างเข้าห้องมึงได้มั้ยเนี่ย”เสียงทุ้มบ่นอุบเรียกรอยยิ้มจำคนฟังได้เป็นอย่างดี
หลังจากถูกบีบนวดจนแทบจะกลายเป็นของไหลจมลงไปกับเตียง ภวัตก็ถูกดึงขึ้นมานั่งพิงอกของคุณชายใหญ่ของบ้านที่ดึงมือของเขามาบีบนวดเช่นเดียวกับส่วนอื่นของร่างกาย นคินทร์ยกมือเรียวที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงขึ้นบรรจงจุมพิตทีละข้อนิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ภีม มือมึงหยาบกว่าแต่ก่อนเยอะเลยนะ”
เพียงเท่านั้นภวัตที่กำลังเคลิ้มรีบผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง ดึงมือออกจากการเกาะกะมของร่างสูงอย่างตกใจ เรียกแววตาตำหนิจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
“ขะ…ขอโทษครับ”
“กูไม่ได้โกรธ” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่น้ำเสียงและแววตาคุกรุ่นทำให้ภวัตรู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายยากจะเชื่อได้ลง “ถ้าจะโกรธ ก็เพราะมึงดึงมือออกไปมากกว่า”
“เอ๊ะ…มือ?” ร่างสูงดึงมือเรียวกลับเข้ามาในการเกาะกุม
“ห้ามปล่อยมือกู” เสียงของนคินทร์หนักแน่นและจริงจัง “มึงห้ามปล่อยมือกูแบบวันนี้อีก กูไม่ชอบ”
“แต่ว่า…” คำโต้แย้งถูกกลืนลงไปในลำคอเมื่อแววตารวดร้าวที่เขาไม่เข้าใจกลับมาอีกครั้ง ภวัตพยักหน้า “ครับ คุณคิน”
สีหน้าของนคินทร์ผ่อนคลายลงแทบจะในทันทีที่ได้ยินคำตอบรับจากปากของภวัต
“มือน่ะ ถ้าปล่อยไว้ไม่ดูแลแบบนี้ มันจะแตก เป็นแผลเลือดออก เสี่ยงติดเชื้อง่าย มึงเรียนสายสุขภาพไม่รู้รึไง”
“…” ภวัตทำได้เพียงยิ้มเจื่อน เรื่องบางเรื่องต่อให้รู้ ถ้าไม่ใส่ใจจะดูแลตัวเอง รู้ไปก็เหมือนไม่รู้
นคินทร์โน้มไปเปิดลิ้นชักหัวเตียงเพื่อหยิบแฮนด์ครีมราคาแพงที่เจ้าตัวชอบพกไว้ในที่ต่างๆหลายหลอดมาบีบลงบนมือแล้วบีบนวดมือเรียวของคนบนตักต่อ
“นอนซะ ถ้าถึงเวลาลงไปแล้วกูจะปลุก”
แม้จะไม่ค่อยเชื่อใจคำสัญญาของนคินทร์นักเปลือกตาที่หนักอึ้งของภวัตก็ทำให้ร่างโปร่งพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายแล้วหลับตาลง ปล่อยให้คุณชายใหญ่ของบ้านปรนนิบัติพัดวีตัวเองไม่ต่างจากคนรับใช้ส่วนตัว
อา…เขานี่เริ่มจะนิสัยเสียแล้วจริงๆสินะ
“ภีม พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมขึ้นไปเอาเสื้อผ้าคุณคินนะ ทิ้งไว้บ้านใหญ่นี่แหละเดี๋ยวแม่ซักรีดเก็บไว้ให้”
“ครับแม่”
ภวัตรับปากมารดาก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันเข้าห้องนอน เรือนคนรับใช้เดิมทีไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้ แม้จะไม่ได้เบียดเสียดกันแต่ภวัตยังคงนอนห้องเดียวกับพ่อแม่ของตัวเองมาโดยตลอด จนกระทั่งช่วงขึ้นมัธยมที่คุณนาราเห็นว่าเขาโตเกินกว่าจะนอน
รวมกับพ่อแม่แล้วจึงต่อเติมห้องให้เขาเป็นสัดส่วนพอให้ภวัตได้มีพื้นที่ส่วนตัว ความเมตตาของนายหญิงของบ้านยิ่งทำให้
ครอบครัวของเขารับใช้ตระกูลวิสุทธรากรอย่างยอมตายถวายหัว
ร่างโปร่งที่อาบน้ำแต่งตัวเตรียมเข้านอนแล้วก้าวเขามาในห้องของตนที่ในปีนี้เพิ่งได้นอนแค่วันสองวัน แอบนึกประหลาดใจอยู่พอสมควรที่นคินทร์ยินยอมให้เขากลับมานอนห้องตัวเองจริงๆ
เขาเหลือบมองเตียงของตัวเองก่อนจะก้าวไปเปิดโคมไฟแล้วนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบหนังสือนิยายที่อ่านค้างไว้มาอ่าน
ด้วยรู้ว่าวันนี้ตัวเองคงนอนไม่หลับง่ายๆ
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแอบอู้หลับไปในห้องของคุณนคินทร์ แต่ภวัตคิดว่าเหตุผลหลักๆน่าจะเป็นเพราะเขาไม่ชินกับการนอนคนเดียวเสียมากกว่า
ร่างโปร่งจมลงสู่โลกของนวนิยายแฟนตาซีที่เนื้อหากำลังเข้มข้น เพราะคุณนคินทร์ชอบนิยายแนวนี้มาก ถึงแม้เจ้าตัวจะอ่านแต่นิยายคลาสสิคต่างประเทศต่อหน้าคนอื่น เขาจึงอยากรู้ว่าสิ่งที่คุณคินชื่นชอบนั่นมีเนื้อหาแบบไหน
“…อื้อ! อื้อๆ!!!”
มือใหญ่ครอบปิดปากของเขาไว้ก่อนที่ภวัตจะได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ ถึงอย่างนั้นภวัตยังคงไม่ได้คิดจะดิ้นหนี เพราะมือใหญ่นี้เขาคุ้นเคยดีว่าเป็นของใคร
“อะไรวะ ไม่ขัดขืนกูหน่อยเหรอ”
นคินทร์ปล่อยมือจากปากของภวัตพร้อมถามด้วยน้ำเสียงยียวน คนถูกถามถอนหายใจ
“คุณคิน มาทำอะไรครับ”
“ก็กูบอกแล้วไงว่าจะปีนหน้าต่างห้องมานอนกอดมึง” ร่างสูงกอดอกตอบด้วยน้ำเสียงเป็นเหตุเป็นผล ราวกับนั่นเป็นสิ่งที่ภวัตควรจะรู้อยู่แล้ว “ดึกแล้ว ทำไมยังไม่นอน”
“ผม…นอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ” ภวัตตอบไปตามความเป้นจริง
“หึ คิดถึงกูก็บอก” นคินทร์รั้งร่างโปร่งเข้ามาในอ้อมกอด ซุกหน้าลงหอมกลุ่มผมนิ่มอย่างพึงพอใจ “นอนกัน”
“คุณคิน ผนังมันบางนะครับ” เจ้าของห้องรีบออกตัวอย่างแตกตื่น อีกอย่าง พ่อกับแม่เขานอนอยู่ข้างห้อง เรื่องบัดสีบัดเถลิงแบบนี้ภวัตทำใจไม่ได้จริงๆ
“ลามกขึ้นทุกวันนะมึงเนี่ย”
นคินทร์หัวเราะ ส่ายหน้ายิ้มๆ ปิดโคมไฟแล้วดึงให้อีกฝ่ายตามเขามาที่เตียงภายใต้แสงจันทร์สลัวจากหน้าต่าง
ภวัตที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดเซล้มลงไปบนเตียงเดี่ยวขนาดเล็กของตนพร้อมๆกับร่างสูงที่ยังไม่ยอมปล่อยเขาไปไหน นคินทร์ตวัดขาโอบรอบเอวบาง รั้งร่างของอีกฝ่ายเข้ามาแนบชิดเสียจนแทบไม่มีพื้นที่หายใจ
“คุณคิน…”
“ขอกูกอดมึงไว้แบบนี้ก็พอ” เสียงทุ้มดังขึ้นในความมืด ลมหายจะอุ่นระข้างแก้มเนียนเบาๆเป็นจังหวะ “เดี๋ยวกูค่อยปีนออกไปก่อนเช้า ตอนนี้กูอยากกอดมึง ไม่มีมึงข้างๆแล้วกูนอนไม่หลับ…”
ภวัตตัดสินใจที่จะไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดตอบกลับไป เพียงแต่ซุกกายเข้าซบกับแผงอกแกร่ง ฟังเสียงหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอของนคินทร์แล้วหลับตาลง
แย่แล้ว…
ชาตินี้ เขาคงหนีไปจากอ้อมกอดนี้ไม่ได้แล้วจริงๆ
-----------------