NOTE : เป็นเรื่องดัดแปลงมาจากฟิกของตัวเองอีกที ถ้ามีตรงไหนขัดๆหรือแทนที่ชื่อไม่หมดก็ขอให้โทษ MS Word...
...
ยังคงเป็นอีกหนึ่งคืนที่ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยสีดำมืดสนิท สายฝนโปรยปรายลงมาเล็กน้อย บรรยากาศที่โอบล้อมเย็นชื้นแลดูไร้ชีวิตชีวา
เสียงนาฬิกาที่ติดบนฝาผนังยังคงส่งเสียงรบกวนเข้ามาในโสตประสาท เวลาของมันยังคงล่วงเลยไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึก ตอนนี้เข็มสั้นกำลังชี้ไปที่เลขห้า
กฤตภาส นอนขดตัวตะแคงข้างใต้ผ้าห่มผืนหนา ประสาทสัมผัสทั้งห้ายังคงทำงานแบบปกติ รวมทั้งความคิดที่เกิดจากการปรุงแต่งยังคงหลั่งไหลเข้ามาในหัวโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
จนกระทั่งบานประตูที่ปิดเงียบมาตลอดถูกเปิดเข้ามา
แอ๊ด...
เสียงนั้นบางเบา หากแต่คนที่ยังไม่ได้นอนกลับได้ยินมันชัดเจน
รู้สึกถึงฟูกนอนที่ยวบตัวลงด้านข้าง ได้ยินเสียงพลิกกายที่คงจะหันไปอีกทาง
บรรยากาศเงียบเชียบคืบคลานเข้ามาอีกครา ความรู้สึกหนาวกายยังไม่เท่ากับหนาวใจในตอนนี้
เรายังคงเป็นเหมือนเมื่อวาน เหมือนอาทิตย์ที่แล้ว เหมือนเดือนที่แล้ว
...ในความเป็นเราที่ไม่ใช่เรา...
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในตอนเจ็ดนาฬิกา แขนเรียวเอื้อมไปปิดเสียงดังกล่าวก่อนจะพลิกกายหันมาอีกด้าน งัวเงียได้ไม่นานดวงตาที่ลืมไม่ถึงครึ่งก็เผชิญเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
ลมหายใจของอีกฝ่ายเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
จุมพิตร้อนแนบประทับลงบนหน้าผากเรียบเนียน จ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มร่วมห้องอีกสักพักก่อนจะตวัดผ้าห่มแล้วลุกออกจากเตียง ต่อให้อยากอยู่แบบนี้นานแค่ไหนแต่เวลาในช่วงเช้าดันมีอย่างจำกัด ได้เวลาที่เขาต้องออกไปทำงาน
ยังคงเป็นอีกวัน วันที่เหมือนกับเมื่อวาน วันที่เหมือนกับปีที่ผ่านมา
กฤตภาสในวัยสามสิบห้ากับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบัญชีที่เงินเดือนสูงลิ่วกำลังทำงานอยู่หลังโต๊ะภายในห้องทำงานประจำตำแหน่ง
แอร์คอนดิชั่นถูกเปิดให้เย็นเฉียบ กาแฟในแก้วใบหนึ่งเย็นชืดเหมือนบรรยากาศในตอนกลางคืน
แก้วใบนั้นมีขอบเปรอะ
เห็นแล้วพาลนึกถึงตอนที่เขาขี้เกียจล้างแก้วจนต้องใช้ใบเดิมด้วยคราบแบบเดียวกันนั้น
" ล้างแก้วก่อนสิ "
" ก็ขี้เกียจ "
" เรียกผมสิ ผมจะได้ทำให้ "
เมื่อไหร่กันที่พวกเขาไม่ได้มีช่วงเวลาเหล่านั้นร่วมกันอีก
เริ่มงานแปดโมงครึ่ง เลิกงานตอนห้าโมงเย็น
ภาสไม่เคยกลับบ้านตรงเวลา เขาทำตัวเหมือนมีความสุขกับการทำงานด้วยการเลิกห้าโมงครึ่งเป็นอย่างต่ำ เขานั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานในท่าเดิม รอคอยใครบางคนเหมือนเช่นทุกวัน
ก๊อกๆ
เสียงเคาะดังขึ้นเบาๆก่อนประตูจะถูกเปิดเข้ามา หัวใจที่ควรอบอุ่นกลับเย็นชืด เขาไม่ได้รู้สึกแบบเดิมมานานเท่าไหร่แล้ว?
"ผมจะไปกินเลี้ยงกับเพื่อนที่แผนก กลับดึกหน่อยนะครับ"
เบื้องหน้าของเขาคือภคิน แฟนหนุ่มที่คบหากันมาได้สองปีเศษ ร่างสูงโปร่งดูดีขยับกายเข้ามาหาเขาเชื่องช้า ภาสเงยหน้าขึ้นมอง ขยับเรียวปากของตนให้ดูเหมือนยิ้มให้มากที่สุด
"อืม งั้นผมกลับก่อนแล้วกัน"
"เมื่อเช้าคุณออกมาโดยไม่รอผม" อีกฝ่ายพูดขึ้น ภาสชะงักมือที่กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ไม่รู้จะอธิบายเรื่องเมื่อเช้าว่าอย่างไร
เขาแค่อยากเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่เคยมีร่วมกันมาตลอดด้วยการลองอยู่คนเดียวก็เท่านั้น
ภาสไม่ได้ตอบ ไม่อยากโกหกและไม่อยากพูดไปตามที่คิด ได้ยินเสียงถอนหายใจดังขึ้นแผ่วเบา เขาทำเรื่องให้อีกฝ่ายรู้สึกเบื่อหน่ายอีกตามเคย
"ผมไปก่อนแล้วกัน"
"ถ้าไม่ไหวก็โทรมาล่ะ"
อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้ ดูเหมือนฝืนยิ้มไม่ต่างจากเขาเสียเท่าไหร่
เราจบสนทนากันเพียงเท่านั้น
ภาสอาศัยอยู่กับภคินที่คอนโดของเขาเอง เขาซื้อมันด้วยเงินสด เงินที่เขาตรากตรำเก็บออมมาสิบปี นอกจากงานประจำเขาก็เอาเงินไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ได้เงินปันผลจากหุ้นที่ซื้อเก็บ ขายบ้าง ซื้อบ้าง เขากลายเป็นคนมีฐานะที่อยู่ในขั้นที่เรียกว่ามีอันจะกิน เป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั่วไป เขาสามารถดึงความเป็นอยู่ของครอบครัวให้ดีขึ้นมาได้ พ่อแม่ภูมิใจในตัวเขา ชีวิตที่เรียบง่ายหากแต่มีอุปสรรคมากมายที่ต้องฝ่าฟันทำให้เขาเดินทางมาจนถึงจุดนี้
การคบหากับภคินถือเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในแผนผังชีวิตที่เขาวางเอาไว้ ทั้งที่คิดว่าคงจะครองโสดไปจนถึงอายุสี่สิบกลายเป็นเขาได้แฟนที่มีเพศเดียวกันทั้งอายุยังต่างกันถึงสิบปี ภคินเพิ่งเรียนจบได้ไม่นานและเข้ามาทำงานในบริษัทแต่อยู่กันคนละแผนก เขาถูกอีกฝ่ายตามจีบอยู่สามเดือน จนสุดท้ายเขาก็ตกลงคบเพราะไม่รู้จะเล่นตัวไปทำไม
อายุก็ขนาดนี้แล้ว เป็นที่สนใจของเด็กมันด้วย คบกับอีกฝ่ายดูหน่อยจะเป็นไรไป
ภาสมีความสุขดี บางทีที่คิดว่าตัวเองเป็นคนเย็นชาจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้คงเป็นการอนุมานไปเอง ภคินบอกว่าเขาเป็นคนมีเสน่ห์น่าค้นหา เขาที่ไม่เคยมีคนพูดแบบนี้ด้วยกลายเป็นไอ้บื้อไปชั่วขณะ
กฤตภาสที่อายุสามสิบกว่ายังคงโดนเด็กมันจีบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากตกลงคบกันจนกระทั่งเห็นควรที่จะให้ย้ายมาอยู่ด้วยในหัวของเขาแทบไม่ได้คิดอะไร การเริ่มต้นใช้ชีวิตที่มีคนใช้ชีวิตร่วมเป็นอะไรที่เขาอยากลองมีมานานแล้ว ในตอนนั้นเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ทางกายด้วยซ้ำ คอนโดของเขามีสองห้อง เขายกห้องนอนให้อีกฝ่ายไป จนผ่านมาร่วมเดือนนั่นแหละเจ้าเด็กนั่นถึงได้พูดอะไรแปลกๆ
"ผมอยากกอดคุณ"
"กอด?"
ภาสไม่เข้าใจในคำพูดนั้นเท่าไหร่ แต่ก็เป็นฝ่ายสวมกอดก่อนพลางลูบแผ่นหลังกว้างเบาๆ
"แบบนี้?"
"คุณนี่ใจร้ายจังแฮะ"
จนผ่านไปสองวันนั่นแหละเขาถึงได้เข้าใจคำว่ากอดของอีกฝ่าย
"เขาอยากมีเซ็กส์กับมึงไงภาส"
เขาเอาเรื่องนี้มาปรึกษากับเพื่อนสนิทอย่างชลดา
ปกติไม่เคยคิดจะเล่าให้ใครฟังว่ามีแฟนแล้ว แต่คำพูดในวันนั้นพร้อมหน้าตาที่ดูเหมือนถูกงอน? ใช่ เขาคิดว่าเป็นอย่างนั้น อีกฝ่ายเดินหนีเขาเข้าไปในห้องนอน ทั้งไม่ยอมคุยด้วยจนเขาเริ่มรู้สึกอึดอัด
"ทำไมเขาต้องอยากมีเซ็กส์กับกู?"
"คนรักกันเขาก็อยากลึกซึ้งกันไง นี่มึงอายุขนาดนี้ทำไมคิดไม่ได้วะ"
จะไปคิดได้ยังไง ตลอดอายุสามสิบห้าปีมานี้ภคินคือแฟนคนแรกของเขา…
ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาไม่มีคนมาจีบ ทุกวันนี้ยังมีคนคอยจีบเขาอยู่เรื่อยๆ หญิงสาวลูกน้องที่อยู่แผนกเดียวกันอย่างรตียังคงทอดสะพานให้เขาอยู่ตลอด แอบนับถือในความพยายามของเจ้าหล่อนอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายเขากลับมาตกลงปลงใจกับผู้ชายด้วยกันถ้าเธอรู้เข้าคงได้ตัดพ้อกับเขา
นอกจากนั้นเขาก็เคยถูกรุ่นพี่ผู้ชายตอนสมัยเรียนจีบ แต่ต้องเลิกคุยกันไปก่อนเพราะอีกฝ่ายทำผู้หญิงท้องทั้งที่ยังเรียนไม่จบ เขามั่นใจเลยว่านั่นคือรักแรกของตัวเอง ภาสเคยเห็นในละครเรื่องหนึ่งตอนที่เผลอเปิดไปดูนางเอกบอกกับพระเอกว่ารักแรกมักไม่สมหวัง และก็จริงสำหรับเขา รักแรกของเขาไม่สมหวัง
นับแต่นั้นมาภาสก็รู้สึกว่าตัวเขาคงชอบผู้ชาย เขาคิดว่าตัวเองคงเป็นเกย์เพราะรู้สึกสนใจในเพศเดียวกันมากกว่าเพศตรงข้าม
พอรู้สาเหตุที่ถูกคนรักงอนเขาก็ต้องกลับมาคิดว่าเซ็กส์นั้นจำเป็นต่อการใช้ชีวิตคู่หรือไม่ ในใจลึกๆแล้วเขารู้สึกว่าสิ่งนั้นไม่จำเป็นเลยสักนิดเดียว แต่ถ้าคนรักของเขาต้องการล่ะ เขาควรที่จะตอบสนองให้อีกฝ่ายอย่างนั้นหรือเปล่า?
ที่น่าหนักใจตามมาคือเขาทำมันไม่เป็น ภาสไม่เคยเสพสื่อลามก ไม่เคยมีอะไรกับใครไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ไม่เคยดึงดูดใครด้วยเรื่องอย่างว่า เขาเลยไม่รู้ว่าเซ็กส์นั้นต้องทำกันแบบไหน
แต่เขาก็ยังเชื่อว่าความไม่รู้นั้นไม่มีจริง ทุกคนบนโลกย่อมมีครั้งแรกเสมอ ไม่มีใครเป็นมาตั้งแต่แรกเริ่ม งั้นแสดงว่าถ้าหากเกิดอารมณ์อย่างว่าขึ้นมาคนๆนั้นจะสามารถทำการร่วมรักกันได้แม้ว่าจะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
ถึงแม้เขาจะรู้จักอารมณ์อย่างว่า แต่เขาก็ไม่เคยช่วยตัวเอง
บางทีถ้าเป็นตอนเมาเขาอาจจะมีอะไรกับผู้ชายได้ เอาจริงๆแล้วส่วนลึกของจิตใจหนึ่งเขารู้สึกว่าการมีอะไรกันของผู้ชายมันเป็นเรื่องแปลกประหลาด มันไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ เพราะพระเจ้าสร้างอดัมกับอีฟขึ้นมาซึ่งเป็นการแสดงสัญลักษณ์ทางเพศอย่างหนึ่งที่ว่าผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชาย ถึงเขาจะไม่ใช่พวกเคร่งศาสนาแต่ก็รู้สึกว่าเขาทำมันไม่ได้อยู่ดี เขาอาจจะรู้สึกขนลุกตอนกำลังทำมันอยู่ และมันคงไม่สนุกแน่หากภคินจะรู้สึกว่าเซ็กส์ของเขามันไม่ได้ทำให้เกิดความอยากในรสทางเพศ
นอกเหนือจากนั้นแล้ว เขาไม่รู้ว่าควรจะเป็นฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับ ถ้าถามตามความต้องการส่วนตัวแล้วเขาอยากเป็นฝ่ายทำมากกว่าถูกกระทำ แต่หากอยากทำทั้งที่ภคินไม่อยากเป็นฝ่ายถูกกระทำก็คงต้องหยุดเซ็กส์กลางคันเป็นแน่ เขาไม่อยากให้ใครรุกล้ำเข้ามาในร่างกาย แต่ถ้าความจริงแล้วภคินชอบที่จะเป็นฝ่ายรับพวกเขาทั้งสองก็คงอยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัว
แต่มันก็ไปติดปัญหาที่เรื่องก่อนหน้าอีกอยู่ดีกว่าจะถึงขั้นตอนเปลื้องผ้า
พอคิดไปคิดมาหลายตลบ สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะลืมเลือนปัญหานี้แล้วใช้ชีวิตอย่างปกติ เขาพยายามเอาใจคนรักด้วยจูบลึกซึ้ง แต่เคยมีครั้งหนึ่งที่พวกเขาเกือบเลยเถิดกันไปไกลเหมือนกัน ภคินก้มลงซุกไซ้จนเขารู้สึกวาบหวามขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกแปลกประหลาด ทว่าให้ความรู้สึกที่ดี หากแต่ในตอนที่เสื้อผ้าเริ่มไปกองอยู่บนพื้นเขากลับทำให้อีกฝ่ายเสียอารมณ์ด้วยการบอกว่าไม่อยาก
เพราะดันไปคิดถึงเหตุผลร้อยแปดที่ตัวเองเป็นคนคิดขึ้นมา
ภคินไม่เคยขัดใจเขาเลยสักครั้ง พอพูดแบบนั้นอีกฝ่ายก็ถอยหนีเข้าห้องนอนไปโดยไม่ได้พูดอะไร แอบเสียใจอยู่ไม่น้อยที่ตัดโอกาสไปแบบนั้นทั้งที่กว่าจะบิ้วให้เขามีอารมณ์ร่วมคงจะเหนื่อยพอสมควร
เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองน่ารำคาญขึ้นมานิดๆ ไม่รู้ว่าภคินจะรู้สึกแบบเดียวกันไหม แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะปกติดี แบบนั้นเลยยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด นับแต่นั้นมาภาสเลยพยายามดูแลภคินให้ดีเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ปรนเปรอให้เท่าที่ตัวเองจะสามารถ ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยล่วงเกินกันไปมากกว่านั้น
ภาสขับรถออกจากที่ทำงานจนมาถึงคอนโดหรูใจกลางเมือง เปิดประตูห้องเข้าไปก็พบกับกลิ่นหอมของอาหารชวนให้รู้สึกหิว เขาคิดว่าพี่ชายของเขาคงจะกลับมาจากที่ทำงานแล้วเป็นแน่ ภาสวางกระเป๋าลงบนโต๊ะห้องนั่งเล่นแล้วเดินเข้าไปในครัว
"กลับมาแล้วครับ"
"กลับมาแล้วเหรอ ทานข้าวเลยไหม?"
กรวิชญ์ส่งเสียงร่าเริงมาให้ ไม่รู้ว่าไปอารมณ์ดีมาจากไหน ภาสปฏิเสธพร้อมกับบอกว่าจะขอไปอาบน้ำก่อน อีกฝ่ายรับคำแต่ยังคงง่วนอยู่กับการหั่นต้นหอม
หลังจากใช้ชีวิตอยู่กับภคินมาได้สักพักก็มีสมาชิกอีกหนึ่งคนเข้ามาในบ้าน พี่ชายของเขาที่เพิ่งเปลี่ยนงานไม่นานมานี้ได้เข้ามาอาศัยอยู่ด้วยอีกคน เนื่องจากต้องเปลี่ยนงานกะทันหันทำให้หาที่อยู่ในระยะเวลาอันสั้นไม่ได้ พ่อกับแม่เลยขอให้เขาเป็นฝ่ายชวนให้พี่ชายมาอยู่ด้วยกันทั้งที่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาเลยสักนิด
ภาสตัดสินใจยกห้องนอนของตัวเองให้พี่ชายแล้วย้ายไปอยู่ห้องเดียวกับภคิน พี่ชายของเขาขอรบกวนด้วยหกเดือนจนกว่าบ้านใหม่ที่กำลังจะย้ายไปอยู่หมดสัญญากับคนเช่าคนปัจจุบัน ภาสไม่ได้ว่าอะไร เขาไม่ได้มีความเห็นอะไรมากนักกับพี่ชายของตน จริงๆแล้วพวกเขาไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก เพราะภาสเรียนในกรุงโซลตั้งแต่ชั้นมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย ในขณะที่พี่ชายของเขาเข้าเรียนในโรงเรียนแถวบ้านเพราะสอบเข้ามาเรียนในตัวเมืองหลวงไม่ได้และก็จบวิชาชีพที่วิทยาลัยไม่ไกลจากบ้านเช่นกัน
การใช้ชีวิตร่วมกันแรกๆก็ดูอึดอัดอยู่ไม่น้อย แต่เพราะกรวิชญ์เป็นคนร่าเริง คุยเก่งและเข้ากับคนง่าย ทำให้ตอนนี้ทั้งเขาและภคินสนิทกับอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว
ผิดกับเขาที่พอไม่ใช่เรื่องเงินเรื่องทองแล้วจะง้างปากพูดแต่ละทีก็แสนจะยากเย็น
แอบคิดไปว่าภคินทนเขาที่เป็นแบบนั้นมาได้ยังไง?
ภาสปล่อยให้สายน้ำชำระล้างเรือนกายอยู่เนิ่นนาน เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว มันร่วงโรยตามกาลเวลา เขาเริ่มเห็นเส้นเล็กๆบนร่องแก้ม ทั้งที่ไม่ค่อยได้ขยับหน้ามากเลยแท้ๆ เขาคิด แต่ก็ช่างมันประไร กลุ้มเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่ช่วยให้ชีวิตมีความสุขนักหรอก
ปกติแล้วเขามักจะไปฟิตเนสอาทิตย์ละสองสามครั้ง แต่ช่วงหลังมานี้เขาไม่ได้ไปไหน เขาไม่มีอารมณ์อยากทำกิจกรรมอะไร แค่อยากทำงานให้เสร็จแล้วกลับมาอยู่ในห้องจนวนเวียนแบบนี้มาร่วมหนึ่งเดือน
ภาสปิดฝักบัวก่อนจะพาร่างกายตัวเองมายืนอยู่หน้ากระจก ผิวกายของเขาเนียนลื่น ขาวและไร้รอยตำหนิใดๆ
ภคินไม่เคยได้เป็นเจ้าของร่างกายนี้เลย
วนกลับมาคิดถึงเรื่องเดิมอีกครั้ง ภคินเพิ่งจะอายุยี่สิบหก เขาในตอนที่อายุเท่ากันกำลังฝ่าฟันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าแผนกจัดซื้อกับเพื่อนร่วมงานอีกคน ดูเหมือนภคินจะไม่ได้เป็นเหมือนกับเขาในตอนนั้นเลย อีกฝ่ายใช้ชีวิตวัยรุ่นได้คุ้มเกินคุ้ม เป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนที่โหยหาเซ็กส์จากคนรัก ทำไมเขาไม่เคยเป็นแบบนั้นบ้าง
พอออกจากห้องน้ำเขาก็รับประทานอาหารฝีมือพี่ชาย พยายามลืมเลือนเรื่องเซ็กส์ออกไปจากหัวอีกครั้ง เขาละเลียดทานและรับรสถึงความอร่อย ภาสทำอาหารไม่เป็น ถ้าไม่มีกรวิชญ์ป่านนี้ห้องครัวของเขาคงไม่ได้ถูกใช้ มันคงเป็นได้แค่เครื่องประดับในห้องชุดต่อไป ภาสเป็นคนให้เงินกรวิชญ์สำหรับอาหารในทุกวันของพวกเขาทั้งสามคน เขารู้ว่ากรวิชญ์ยังคงลำบากเพราะงานใหม่ที่ไม่ลงตัว บางทีถ้าอีกฝ่ายขัดสนเขาก็หยิบยื่นให้อย่างไม่อินังขังขอบ
"เดี๋ยวพี่ไปห้างนะ"
ภาสเหลือบมองนาฬิกาบนฝาผนัง "เวลานี้เหรอ?"
"อื้อ ออกไปเดินเล่นด้วยน่ะ"
"ให้ผมขับไปส่งไหม?"
"ไม่เป็นไรๆ พี่นัดคนไว้ด้วย"
ภาสพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจ ก้มหน้าอ่านหนังสือ 7 habit ของ Stephen R. ฉบับภาษาอังกฤษ พอคล้อยหลังพี่ชายออกไปแล้วเขาก็อ่านหนังสือในมือต่ออีกสามย่อหน้า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาแล้วโทรออกไปหาคนรัก ถ้าคำนวณจากเวลาป่านนี้อีกฝ่ายน่าจะถึงที่ร้านเหล้าแล้ว
"ฮัลโหลครับ"
"จะกลับกี่โมง?"
เขาลอบฟังเสียงจากปลายสาย ได้ยินเหมือนเสียงรถราและผู้คนเดินพลุกพล่าน
"อาจจะห้าทุ่มนะครับ"
"ไปกินกับที่แผนกใช่ไหม?"
"ครับ ผมบอกไปแล้วนี่นา" อีกฝ่ายส่งเสียงกลับมาอย่างอารมณ์ดี ภาสลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ระเบียง ก้มหน้ามองเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยความวุ่นว่าย
รถยังคงติดเหมือนอย่างทุกวันทั้งที่สองทุ่มกว่าแล้ว
"งั้นเหรอ... คราวหน้าชวนผมไปด้วยสิ" เขาพูด มองคนสองคนที่กำลังเดินจับมือกันแล้วหายไปยังหัวมุมถนน
ทำไมไม่นึกเอะใจว่าร้านเหล้าที่แผนกของภคินชอบไปยังไม่เปิดในเวลานี้
"ได้สิครับ แค่นี้ก่อนนะ ผมต้องวางแล้ว"
ภาสส่งเสียงรับอือออ เผลอกำโทรศัพท์ในมือแน่นเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนตัดสายไปก่อน
แต่หลังจากหายใจเข้าปอดไปหลายครั้ง ความคุกรุ่นในใจก็เริ่มจาง มือข้างนั้นของเขาค่อยๆคลายแรงบีบลง จบด้วยการพ่นลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย
ไม่รู้เหมือนกันว่าจุดจบของเรื่องนี้มันจะอยู่ที่ตรงไหน
ยังคงเป็นอีกหนึ่งคืนที่ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยสีดำมืดสนิท สายฝนโรยตัวลงมาอย่างหนัก บรรยากาศที่โอบล้อมเย็นชื้นแลดูไร้ชีวิตชีวา
เขาปิดไฟทั่วห้องแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง ตอนนี้เข็มสั้นของนาฬิกากำลังชี้ไปที่เลขสิบสอง
ภาสคิดว่าทุกคนคงจะกลับมาแล้ว แต่เตียงของเขากลับยังดูกว้างขวางเหมือนเคย มีเพียงเขาที่นอนอยู่ภายใต้ความมืดมิดเพียงลำพัง
รู้สึกอยากให้ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้เปล่งแสงสว่างมากกว่าทุกคืน
แต่นี่เพิ่งจะแรมสิบห้าค่ำ
เขาเดินออกมาจากห้องนอนอย่างเงียบเชียบ เดินไปหยุดอยู่หน้าห้องนอนห้องหนึ่ง คอนโดที่เขาอยู่เก็บเสียงได้ดีเกินไป ดีจนไม่รู้ว่าคนข้างในกำลังทำอะไรถ้าไม่เอาหูไปแนบเข้ากับประตู
ใบหน้าของเขาค่อยๆแนบลงกับบานไม้ ฟังเสียงที่ดังเล็ดลอดออกมาอย่างเบาหวิว
เขาแทบไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ได้ยิน
ภาสคงได้คำตอบแล้วว่าภคินชอบเป็นฝ่ายกระทำมากกว่าถูกกระทำ เขาคิดภาพไม่ออกหากคนตัวเล็กน่ารักอย่างกรวิชญ์จะเป็นฝ่ายอยู่บน
ถอนหายใจทิ้งขว้างออกมาอีกครั้ง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าคืนนี้นึกครึ้มอะไรถึงได้มาแอบฟังคนทั้งสองมีอะไรกัน
คนที่เป็นแฟนของเขากับพี่ชายแท้ๆของเขาเอง
นับถือตัวเองอยู่ไม่น้อยที่กล้าเดินออกมาจากความขลาดเขลา ไม่ใช่ไม่รู้ถึงความเป็นไปที่เกิดขึ้นภายใต้บ้านหลังนี้ ต้องเรียกว่าทำตีมึนมาตลอดเสียมากกว่า
ภาสเดินไปนั่งอยู่บนโซฟา เอนพิงหลังด้วยความเมื่อยล้าจากการนั่งทำงานมาทั้งวัน
หากถามถึงความรู้สึกในตอนนี้ คงบอกได้เลยว่ามันว่างเปล่าไปหมด เขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไง จนคิดว่าคงต้องกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้งว่าแท้จริงแล้วเขารักภคินจริงๆหรือเปล่า?
หรือที่ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย...เป็นเพราะไม่ได้รักอีกฝ่ายกันแน่
ในคืนนั้นเขาตัดสินใจออกไปจากคอนโด มันเป็นคืนที่ฝนตกอย่างหนักขัดกับที่กรมอุตุนิยมคาดการณ์เอาไว้ ที่ปัดน้ำฝนหน้ารถทำงานแปรผันตามสายฝนที่เทกระหน่ำ เขาจอดรถอยู่หน้าบ้านหลังสีขาวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ สายฝนเริ่มทำให้เขารู้สึกถึงอากาศที่สร้างความหนาวกาย
แต่คงไม่เท่ากับหนาวใจ
“ภาส?”
เขากดกริ่งเรียกคนในบ้านในเวลาเกือบตีหนึ่ง เจ้าของบ้านเปิดประตูออกมาต้อนรับเหมือนว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้นอน ภาสเอ่ยขอบคุณเบาๆ เขาไม่ได้พกร่มมาด้วยตอนออกมาจากคอนโด พอเดินลงจากรถจึงมีสภาพเปียกปอนเป็นลูกหมาตกน้ำ
อีกฝ่ายยื่นผ้าขนหนูมาให้พร้อมถ้วยชาร้อนๆโดยที่ไม่ได้ร้องรอ อีกครั้งที่เขาเอ่ยขอบคุณ
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมาบ้านพี่เอาเวลานี้”
เขาอยากจะเอ่ยบอกไปว่าไม่มีอะไร แต่ก็ดูจะเป็นคำตอบที่ไร้สาระ ถ้าต้องให้อีกฝ่ายมาเปิดประตูต้อนรับกันในเวลานี้เขาก็ควรที่จะบอกถึงความเป็นไปของตัวเองอย่างไม่ปิดบัง
ตัดสินใจเพียงเสี้ยววิภาสก็เปิดปากเล่าว่าพบเจอกับอะไร บอกถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสาม เขาพูดถึงเนื้อความสำคัญโดยไม่เวิ่นเว้ออะไรให้มากความ และพอพูดจบทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความเงียบ
คนตรงหน้าไม่แม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ
“ภาส...” อีกฝ่ายครางเรียกชื่อเขา อัศวินเอื้อมมือมาจับมือทั้งสองของเขาแล้วกำไว้แน่น ไออุ่นจากฝ่ามือร้อนของอีกฝ่ายทำให้ความเย็นรอบนิ้วของเขาคลายตัวลง รู้สึกดีเหลือเกินที่ตัวเองเลือกเดินมาหาคนตรงหน้าในค่ำคืนนี้
“แล้วเราจะเอายังไงต่อ?”
“ผมไม่รู้...” เขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
เขาไม่คิดว่าพี่ชายตัวเองจะสนใจเพศเดียวกันจริงๆ ถึงท่าทางอีกฝ่ายจะดูออกว่าสนใจในผู้ชายแต่เขาก็ไม่คิดว่าหวยจะมาลงที่ภคิน แต่จะโทษพี่ชายตัวเองอยู่ฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูก ตบมือข้างเดียวมันไม่เคยดังอยู่แล้ว ถ้าคนรักของเขาไม่เล่นด้วยมีหรือเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้น
หรือหากจะโทษใครจริงๆเขาอาจต้องโทษตัวเองที่ให้ความสุขทางกายคนรักไม่ได้ เขาไม่เคยให้อะไรที่เกินกว่าการจูบหรือกอดกับภคินเลย ผู้ชายด้วยกันย่อมอยากระบายอารมณ์ทางเพศกับคนรัก มันควรจะเป็นอย่างนั้น เขาที่จืดชืดไร้ความรู้สึกอย่างว่าคงสนองความต้องการให้คนรักไม่ได้
ภคินจะมีอะไรกับพี่ชายของเขาดูไม่แปลกเลยสักนิด
ที่ดูจะแปลกก็คงเป็นเรื่องการลักกินขโมยกินของคนทั้งสอง...
ภคินทำลับหลังเขากับคนอื่นยังรู้สึกเจ็บน้อยกว่าการมีอะไรกับพี่ชายของเขาเอง
“นอนที่นี่สิ เดี๋ยวพี่บอกให้เจ้าตัวเล็กไปนอนในห้องกับพี่”
“อย่าดีกว่าครับ ไม่อยากรบกวนน้องซัน ผมนอนบนโซฟาก็ได้”
“งั้นก็ขึ้นไปนอนบนห้องกับพี่”
เขากำลังจะปฏิเสธ แต่พอคิดอีกที... ภาสก็ยอมตกลงอย่างง่ายดาย อัศวินจัดแจงที่นอนให้เขาขึ้นไปนอนบนเตียง ส่วนเจ้าตัวลากหมอนและผ้าห่มลงไปนอนบนพื้น เขาค้านเสียงแข็งและขอเป็นฝ่ายนอนด้านล่างแทน จนสุดท้ายก็ตกลงกันที่จะนอนเบียดอยู่บนเตียงนอนขนาดควีนไซส์
ภาสลืมตาอยู่ในความมืดมิด อัศวินหันหลังให้เขาและคาดว่าน่าจะหลับไปแล้ว ชั่ววูบของความคิดเขาอยากชวนอีกฝ่ายมีเซ็กส์ด้วยกัน อยากรู้ว่าผู้ชายด้วยกันมันมีอะไรกันได้จริงหรือ ถ้ามีอะไรกันแล้วเขาจะส่งเสียงครวญครางราวกับมีความสุขเหมือนกับพี่ชายของเขาหรือเปล่า แต่คิดไปคิดมามันคงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าพวกเขาจะมีอะไรกันในห้องที่เต็มไปด้วยความทรงจำของอัศวินและภรรยาที่เสียไปแล้วของอีกฝ่าย ไหนจะน้องซันลูกของอีกคนที่นอนอยู่ในห้องถัดจากกันอีก
พลิกตัวหันมาอีกด้านแล้วซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้าง เขากับอัศวินคงจะได้เป็นแฟนกันไปแล้วถ้าไม่มีน้องซันลืมตาดูโลกขึ้นมาก่อน ผู้ชายคนแรกที่เขารักและอกหักในเวลาต่อมา เขาไม่เคยขาดการติดต่อจากอีกคนเลย เราดูเหมือนจะยังคงมีความรู้สึกดีๆอยู่ร่วมกัน แต่ไม่มีใครสักคนที่กล้าจะข้ามผ่านกำแพงนั้นมาสักที
เราเลยเป็นได้แค่ที่พึ่งทางใจของกันและกัน
กว่าจะข่มตาให้หลับก็ยากพอควร เขาตื่นขึ้นมาอีกทีตอนที่เสียงนาฬิกาปลุกของอีกฝ่ายดังขึ้น อัศวินมีงานแต่เช้าทำให้ตื่นตอนเวลาห้านาฬิกา เป็นเวลาเดียวกันกับที่ภคินมักจะย้ายกลับไปนอนในห้องของเรา…
เรางั้นเหรอ?
บางทีคำว่าเราอาจจะไม่เคยมีมาตั้งแต่ต้น
สักพักโทรศัพท์ของเขาก็แผดเสียงดังขึ้น ภาสมองไปยังห้องน้ำที่อัศวินหายเข้าไปก่อนจะลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปคุยโทรศัพท์ตรงระเบียง เขากดรับสาย ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายที่ส่งเสียงออกมาอย่างร้อนรน
“คุณหายไปไหน?”
“ผมออกมาทำงานแล้ว” เขาโกหกคำโต ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายคงจะคิดได้ว่าการตามหาเขาในเวลานี้เท่ากับว่าไม่ได้กลับมาบ้านภายในห้าทุ่มตามเวลา
หรือทั้งที่กลับมาตรงเวลา แต่หายไปนอนในอีกห้องหนึ่ง
“ผมขอโทษที่กลับเอาป่านนี้”
อีกฝ่ายเองก็เลือกที่จะโกหกไหลไปตามน้ำ
ภาสลอบถอนหายใจ ดูเหมือนถ้าเขาจะกลับคอนโดไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าคงจะไม่เนียนเอาเสียแล้ว
“ไม่เป็นไร”
เขาเอ่ยเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจ น่าแปลกที่เขายังทำดีกับคนที่ทรยศหักหลังกันได้ลงคอ ปลายสายบอกว่าจะรีบไปหาที่บริษัท ถามเขาเหมือนกันว่าทำไมถึงออกไปเช้านัก เขาโกหกไปอีกว่ามีงานที่ต้องเคลียร์ก่อนแปดโมงเช้า
เขาคิดว่าคำโกหกของเขามันไม่เนียน บริษัทยังไม่เปิดในเวลานี้แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้เอะใจอะไร พอวางสายไปแล้วเขาก็ต้องกลับมาคิดว่าจะจัดการกับตัวเองอย่างไร คงกลับไปเปลี่ยนชุดที่คอนโดไม่ได้แล้ว
“พี่วิน”
เขาส่งเสียงเรียกใครอีกคน พอดีกับที่ประตูห้องน้ำเปิดออก หยดน้ำเกาะพราวบนผิวกายสีแทนทำให้อีกฝ่ายดูดีไม่หยอก อัศวินยังคงดูแลตัวเองและรักษาหุ่นเป็นอย่างดี แม้จะอายุเกือบเข้าใกล้เลขสี่แต่ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายดูดีน้อยลงแต่อย่างใด
“ผมขอยืมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คได้ไหมครับ คิดว่าคงไม่ได้กลับไปที่คอนโด”
“เอาสิ แต่พี่ไม่รู้ว่าเราจะใส่ได้ไหมนะ”
คนตรงหน้ามองรูปร่างของเขาแล้วตอบออกมาอย่างที่คิด อัศวินให้เขาเลือกจากตู้เสื้อผ้าได้ตามใจ ภาสหยิบออกมาจากตู้แล้วลองสวมใส่สองสามชุด แม้มันจะดูหลวมโพลกทุกตัวไปเสียหน่อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ใส่อะไรเลย
“เข็มขัดหน่อยไหม?”
เขารับเข็มขัดมาจากอีกฝ่าย อัศวินมองเขาทุกการกระทำแบบนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกขัดเขิน
พอสวมเสื้อผ้าเสร็จเขาก็ออกไปทานอาหารเช้ากับเจ้าของบ้าน อัศวินต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปส่งน้องซันที่โรงเรียน เด็กน้อยเดินทำหน้าตางัวเงียมายังโต๊ะอาหาร
“สวัสดีอาเขาสิ”
“อ๊ะ สวัสดีครับ”
เด็กชายโค้งศีรษะลง เขายื่นมือออกไปหยิกแก้มย้วยของหนูน้อยตรงหน้าเบาๆ ก่อนจะเริ่มต้นทานอาหารที่เจ้าของบ้านเป็นคนทำในเวลาเกือบหกโมงเช้า
“ไม่สนใจเป็นแม่ให้น้องซันเหรอ?”
พรืด
ภาสเผลอพ่นกาแฟออกมาในขณะที่กำลังยกขึ้นดื่ม อัศวินส่งเสียงหัวเราะเบาๆพลางยื่นมือมาเช็ดมุมปากให้กับเขา
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงหรือพูดเล่น ภาสดื่มต่อไปเงียบๆโดยไม่ได้พูดอะไร พอพวกเขาเดินออกมาจากบ้านเขาก็ขอตัวลาอีกฝ่ายไป เอ่ยขอบคุณอย่างสุดซึ้งแล้วก้มลงหอมแก้มน้องซันไปฟอดใหญ่ เด็กชายจ้ำม่ำแสดงท่าทีเขินอายก่อนจะวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของบิดา ภาสรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย นึกขอบคุณตัวเองที่ยังคงรักษากัลยาณมิตรแบบนี้ในตอนที่ตัวเลขของอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
(ต่อด้านล่าง)