.
.
สูทขาวและสูทดำถูกถอดทิ้งไว้ที่บ้านวิจิตรนิรันดร์ หลังจากผ่านการทำความสะอาดแล้วมันจะถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเคียงคู่กัน จนกว่าเจ้าของทั้งสองจะกลับมาที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง แน่ละ..พวกเขาจะเอาไปด้วยทำไม ห้องพักเล็ก ๆ ที่เหมาะกับผู้อยู่อาศัยเพียงหนึ่งคนแต่ต้องยัดเข้าไปถึงสองแทบไม่มีที่ให้เก็บของแล้ว
งานแต่งตอนเช้า...เข้าหอตอนบ่าย
หมายถึงหอพักน่ะ!เรียกงานแต่งก็ไม่ถูก แต่ก็ทำให้เขินที่สุดในชีวิตจนแทบเดินไม่เป็น ที่จริงเรียกงานสังสรรค์ของคนในบ้านอาจจะเหมาะกว่าเพราะมีเพียงสมาชิกที่อาศัยอยู่ในนั้น(เป็นอันว่ารู้กันหมดตั้งแต่เจ้าบ้านยันคนงานคนสวน) และรวมคิมหันต์ แขกกิตติมศักดิ์อีกคนซึ่งเจ้าตัวขอกลับไปก่อน บอกว่าค่อยเจอกันที่ร้านเค้กตอนบ่าย
ไม่มีแลกแหวนอะไรน่าขนลุกอย่างนั้น อาทิตย์มาเฉลยกับเขาทีหลังว่าตามสัญญาที่จะเก็บเงินซื้อมันด้วยตัวเอง อย่างที่เคยบอกไว้ตอนกัดนิ้วเขาเสียเป็นรอยฟันแต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจริงจังขนาดนี้ นึกถึงก็ยังเรียกความรู้สึกร้อนวาบตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงกลางอกได้ตลอดเวลา ดังนั้นเลยขอให้ช่วยรอก่อน ซึ่งเขาไม่บอกมันหรอกว่าถึงไม่มีแหวนก็ไม่รอแล้ว..
เทเกลี้ยงหมดใจตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ น่าแค้นจริงที่ยังไม่ได้เรียกแหวนแพง ๆ เผื่อเอาไปขายเลยหน้าที่ของแหวนถูกทดแทนด้วยสร้อยข้อมือแพลตตินัมจากอานนท์ที่หน้าตาเหมือนกันสองชิ้น ซึ่งตอนนี้ชิ้นหนึ่งอยู่บนข้อมืออาทิตย์ และอีกชิ้นอยู่ที่ข้อมือเขา ทั้งสองชิ้นสะท้อนแสงแดดยามบ่ายเป็นประกายซึ่งยิ่งเห็นก็ยิ่งคล้ายจะเป็นบ้าที่ไม่สามารถทำสีหน้าให้ชัดเจนระหว่างยิ้มกับร้องไห้ได้ ดังนั้นจึงไม่กล้ามองมันบ่อยนัก
พวกเขาขึ้นไปเก็บของเงียบ ๆ บนห้องเดิม ใช้บันไดทางที่ไม่ต้องผ่านร้านเค้ก ข้างในฝุ่นจับน่าดู เดี๋ยวคงต้องทำความสะอาดกันอีกยาว โยนกระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของไว้เพียงลวก ๆ ก่อนสาวเท้าลงจากบันไดพร้อมกับใจตึกตัก ตื่นเต้นกับบรรยากาศคุ้นเคยที่ห่างหายไปนาน พอเห็นประตูกระจกหน้าร้านแล้วจึงได้รู้ว่าเขาคิดถึงที่แห่งนี้ขนาดไหน
หลังประตูบานนั้น ลมเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศจะพัดเข้ากระทบใบหน้าพร้อมกับเสียงต้อนรับของโมบายกรุ๋งกริ๋ง มีเอมจิตยืนชงกาแฟหอมกรุ่นอยู่หลังเคาน์เตอร์ อุ่นใจแกะห่อช็อคโกแลตคิสแล้วโยนเข้าปากขณะที่เดินไปเอาของในครัว แวววันถือออร์เดอร์จากลูกค้ามาส่งพร้อมกับผิวปากทิ้งภาพพจน์กุลสตรีเหมือนจะจีบเจ้าของร้านรูปหล่อโดยมีหมีกริชยืนจืดจางอยู่ห่าง ๆ โต๊ะสักตัวคงมีหมอหนุ่มสวมแว่นจับจองที่นั่งจิบเอสเพรสโซ่หากไม่ติดอยู่เวร และถ้าโชคดีเขาอาจเห็นคิมหันต์เพื่อนรักนั่งขดอยู่บนโซฟาตัวโปรดตรงมุมร้านเฝ้าแล็ปท็อปของตัวเองที่โหลดการ์ตูนค้างไว้
อ้อ...แล้วก็อีกคนหนึ่ง เสียงฝีเท้าเดินตามมาข้างหลังไม่รีบร้อน ปิ่นหยกหันไปมอง หยุดยืนรอจนท่านชายหน้ามึนตัวต้นเหตุของชีวิตวุ่นวายมายืนอยู่เคียงข้าง ไม่ได้มีส่วนใดของร่างกายสัมผัสกันแม้แต่น้อย แต่นาทีนี้อยู่ ๆ ก็เกิดเขินขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ไม่รีบเข้าไปหรือครับ” เสียงทุ้มของอาทิตย์ก็ยังอ่อนโยนเช่นเดิม ยิ่งทำให้คิดว่าบ้าจริงที่จนป่านนี้ก็ยังใจสั่นกับโทนเสียงแบบนั้นอยู่เรื่อย
เขาไม่ได้ตอบ แต่ยกมือของตัวเองขึ้นช้า ๆ สร้อยข้อมือไหลลงมาอยู่กลางท้องแขน แล้วพลิกหงายขึ้นต่อหน้าอีกฝ่าย อาทิตย์เลิกคิ้วคล้ายไม่เข้าใจอยู่แวบหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนในวินาทีถัดมา
“น่ารัก” มือใหญ่ยกขึ้นวางซ้อนไว้บนมือเขา ประสานนิ้วกันไว้หลวม ๆ แล้วหย่อนลงแกว่งไปตามแรงเหวี่ยงเบา ๆ ขณะก้าวขาเดินผ่านพ้นประตูกระจกบานเดิมไปพร้อมกัน
เครื่องปรับอากาศส่งลมเย็นโชยเข้ามาดังคาด..อาจจะเย็นกว่าปกตินิดหน่อยคงเป็นเพราะนอกร้านยามบ่ายแก่วันอาทิตย์อากาศร้อนผ่าวไม่ปรานีพวกเขานักจึงเห็นความแตกต่างของอุณหภูมิค่อนข้างชัดเจน เสียงโมบายคุ้นหูกังวานกว่าที่เคยได้ยิน ไม่รู้เพราะคิดถึงมากหรืออย่างไร ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ไม่ได้ต่างจากภาพที่เขาจินตนาการเอาไว้เท่าไรนัก
“อ้าวปิ่น อาทิตย์”
“พี่ปิ่น..!! ..แล้ว....ไง...พี่’ทิตย์”
“ไอ้เด็กงก! ไอ้มึน อู้ไปนานเลยนะยะ!”
“ไม่น่ากลับมาเลยพวกนาย”
“.....”
“พวกแก! กว่าจะเสด็จกันมาได้!”
เป็นคำทักทายที่หลับตาฟังหรือต่อให้มาเป็นตัวหนังสือไม่ต้องฟังเสียงก็ยังรู้ว่าคนพูดเป็นใครบ้าง พวกเขายิ้มกว้าง นิ้วมือยังสอดประสานกันอยู่เช่นเดิม ไม่แน่นไป ไม่หลวมไป มันอบอุ่น แต่ไม่อึดอัด ชั่วขณะหนึ่งที่ต่างคนต่างหันมามองคนข้างกาย ส่งแววตารักใคร่โดยไม่ได้เอ่ยเป็นคำพูด
ได้รัก...ถูกรัก....และอยู่ท่ามกลางสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นของครอบครัวใหญ่ในหอพักแห่งนี้
แล้วเขาจะยังต้องการอะไรอีก เทพเจ้าแห่งเงินตราอาจกำลังจิบชาจีนยามบ่ายกับกิ่งเพชรและกิ่งพลอยบนสวรรค์เลยไม่มีเวลาส่งความซวยมาเยือนเขา ปิ่นหยกหวังว่าทั้งสามคนจะคุยกันถูกคอ ท่านเทพจะได้ไม่ว่างพอส่งตลกร้ายมาทดสอบกันบ่อยนัก เขาหลับตา บอกกับแม่ทั้งสองคนซึ่งอาจกำลังฟังอยู่ว่าเขาสบายดี..และจี้หยกก็เช่นกัน
“จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม” หญิงเหล็กหนึ่งเดียวของร้านเท้าเอว จ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้ามีเลศนัยพร้อมกับโคลงศีรษะน้อย ๆ “มัวแต่อู้จะยุให้พี่เอมหักเงินเดือน”
ไม่ใช่แค่แวววัน แต่ตอนนี้สายตาสมาชิกร้านเค้กทานตะวันทุกคนจับจ้องมาอย่างด้วยทีท่าน่าสงสัย ถ้าสังเกตดี ๆ อาจจะเห็นกระทั่งรอยยิ้มมุมปากของหมีกริชที่เกือบเลยฤดูหนาวแล้วยังไม่ยอมไปจำศีล ท่าทางแต่ละคนคล้ายกำลังรอให้พวกเขาพูดอะไรบางอย่าง
เด็กหนุ่มสองคนยิ้มกว้าง บรรยากาศอบอุ่นเจือกลิ่นวานิลลาหอมหวานหวนกลับมาอีกครั้ง หันกลับไปทักทายสมาชิกในครอบครัวใหญ่ซึ่งคล้ายเป็นแหล่งรวมตัวประหลาดที่พวกเขาแสนรักออกมาพร้อมกัน
“กลับมาแล้วครับ”
- The Beginning -
===========================
(บทส่งท้ายรีพลายถัดไปค่ะ)