Chapter 2 คืนส่งตัว
เรื่องราวของสะใภ้คนใหม่ที่ถูกครอบครัวบังคับให้แต่งงานในละครไทยนั้นมักจะแบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ ...หนึ่งครอบครัวพระเอกรักปานจะกลืนกินยัดเหยียดให้ได้เสียกันมันแทบทุกตอน กลุ่มนี้ตัวร้ายจะกลายเป็นตัวอันตรายไม่มีใครต้อนรับ ถ้าเอายาฆ่าแมลงมาฉีดได้ก็คงทำไปแล้ว ...สอง ครอบครัวพระเอกโดยเฉพาะคุณแม่ผัวรังเกียจเดียจฉันหาทางกำจัดแทบทุกวิถีทาง กลุ่มนี้ตัวร้ายจะกลายเป็นเทพมาจุติและถูกรักจากคนในบ้านแทบทุกตอน ...ยกเว้นตอนจบ
ส่วนเรื่องราวละครชีวิตจริงของผม ก็คงจะพอเดากันออกใช่มั้ยล่ะครับว่ามันคือเคสแรกอย่างไม่ต้องลังเล เพราะฉะนั้นในกรณีที่ผมจัดอยู่ในคนกลุ่มนี้ ถ้าผมเปิดเผยตัวตนออกไปตรง ๆ มีหวังถูกเนรเทศเฉดหัวออกจากบ้านตั้งแต่เริ่มเรื่องแน่
"มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง! ทางออแกไนซ์ว่ายังไงยัยต้า" คุณโสมถามน้องต้าด้วยเสียงเครียด ขณะที่คุณอาบวรได้แต่นั่งเงียบถอนหายใจยาว ๆ เวลานี้ห้องนั่งเล่นของบ้านหลังใหญ่ได้กลายเป็นห้องประชุมเครียดของคนในครอบครัวแล้วก็รวมเด็กเหลือขออย่างผมเข้าไปอีกหนึ่ง ดูเหมือนพรีเซนเทชั่นที่ผมทำให้จะถูกใจทุกคนไม่เบาถึงได้พูดถึงกันอย่างต่อเนื่องไม่หยุดมาสามชั่วโมงติดแบบนี้
ส่วนเจ้าบ่าวเจ้าสาวคงสุขสมอารมณ์หมายไม่สนใจห่าอะไรอยู่ในห้องหอล่ะมั้ง
"เขาบอกว่ามีคนไปขอแจ้งเปลี่ยนห้านาทีก่อนเปิดค่ะคุณแม่ เขาก็ขอโทษมาเหมือนกันที่ไม่ได้เช็คก่อน"
"บ้าที่สุด ฉันอายจนไม่รู้จะสู้หน้าคนอื่นยังไงแล้ว"
"แต่ในคลิปนั่น มันก็จริงไม่ใช่หรอคะ" ...ใช่ ความจริงที่ว่าผู้หญิงคนนึงยอมแต่งงานกับผู้ชายที่เคยเจอหน้ากันมาก่อนเพื่อแลกกับเงินก้อนโต ...หรือว่ามีใครจะเถียง
"ยัยต้า!! "
"เอาน่าคุณ ขึ้นเสียงกับลูกไปแล้วมันจะได้อะไร เรื่องนี้ช่างมันไปเถอะ แค่เรารู้ก็พอว่าความจริงมันเป็นยังไง"
"ไม่ได้หรอกค่ะ เราต้องตามหาไอ้ตัวการนั่นให้ได้ มันจะมีซักกี่คนที่รู้เรื่องนี้ ยิ่งทางฝั่งครอบครัวหนูเอมเขาไม่พูดให้ลูกตัวเองเสียแน่ ๆ " ถึงผมจะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปสบตาใคร หางตาผมมันก็ยังเห็นสายตาคุณโสมที่จ้องมาเหมือนกำลังจำผิดอยู่ดี
ว้า...โดนจับได้ซะล่ะ ไม่สนุกเลย
"ทำไมจ้องตาพอชแบบนั้นคุณ"
"ก็มันจะมีใครล่ะ นอกจากครอบครัวเรา ก็มีมัน" โอ้โห...คิดดูสิครับ อยู่บ้านเดียวกันมาเป็นสิบปียังไม่มีน้ำใจนับไอ้พอชเป็นครอบครัวเลย ...หึ
"เอ่อ ...คุณโสมครับ ผมไม่..." ผมเงยหน้าขึ้นจากจอมองหน้าสามคนพ่อแม่ลูกสลับกันไปมาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
"คุณจะบ้าหรอโสม เราก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าตอนเกิดเรื่องตาพอชหลับพักอยู่ในห้อง คุณนี่มัน..."
"นั่นสิคะคุณแม่ อีกอย่างมันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่พี่พอชต้องทำแบบนั้น"
นี่ล่ะนะ ผลจากการเป็นคนดี ทุกคนก็เลยต้องรักใคร่แบบนี้
"ใครจะไปรู้ล่ะ!! มันอาจจะเป็นประเภทรู้หน้าไม่รู้ใจก็ได้!! " คุณโสมกระแทกเสียงทิ้งท้าย ก่อนจะเดินปึงปังออกไปโดยทิ้งให้ผมตีหน้าเศร้าดึงคะแนนความสงสารอยู่คนเดียว
"ไม่คิดมากนะคะพี่พอช เดี๋ยวไม่หล่อนร้าาาา"
"อาขอโทษนะพอช..."
"อย่าขอโทษผมเลยครับคุณอา ผมรู้ว่าคุณโสมเธอรู้สึกยังไง อีกอย่างผมก็คงชินแล้วมั้งครับ" ผมส่งยิ้มบาง ๆ ให้สองคนพ่อลูก เรื่องที่ผมชินนี่เป็นเรื่องจริงที่สุด เพราะทางเลือกที่มีไม่มากนักมันบีบให้ผมต้องทนอยู่ที่นี่ เคยคิดเหมือนกันนะว่าถ้าที่นี่ไม่มีคุณโสมซักคนผมก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้
แต่นี่มันชีวิตจริง ไม่ใช่เกมเดอะซิมส์ที่ผมจะเลือกบ้านหรือลบใครออกไปจากชีวิตก็ได้
"เห้อ งั้นไปนอนเถอะ พวกเราเหนื่อยกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว" คุณอาบวรตบบ่าผมเบา ๆ ก่อนที่จะเดินนำออกไปและมีน้องต้าติดตามไปติด ๆ โดยที่ยังไม่ลืมที่จะหันมาส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้กำลังใจผม
คราวนี้ถึงตาที่ผมจะลุกขึ้นบ้าง ผมเดินขึ้นบันไดชั้นสองก่อนจะหยุดยืนมองประตูของห้อง ๆ นึง คืนวันเข้าหอเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็คงจะไม่ออกมาเลยทั้งคืน คิดแล้วสมองมันก็แยกฝั่งทะเลาะกันเอง ฟากนึงมันก็อยากจะปล่อยให้คนทั้งคู่มีความสุขปลอม ๆ ไปซักสิบชั่วโมง ส่วนอีกฟากมันก็ทั้งหวง ทั้งหึง และเสียใจไปพร้อม ๆ กัน
ผมห้ามตัวเองไม่ให้มองนานมากไปกว่านี้ ก่อนจะพาตัวเองขึ้นมาบนชั้นสามของบ้านซึ่งเป็นที่พำนักประจำของผม ที่ชั้นสามมีผมพักอยู่คนเดียวครับ มันเป็นชั้นที่มีไว้รับรองแขก นั่นก็หมายความว่าทั้งชั้นนี่ผมยึดครอง ...แต่นี่แหละที่ทำให้ผมเกลียด เพราะว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นแฮรี่พอร์ตเตอร์ที่อยู่ในห้องใต้บันได
ความเงียบที่ปกคลุมทั่วทั้งชั้นทำให้ผมต้องหัวเราะหึหึกับตัวเอง คิดถึงในวัยเด็กที่ครอบครัวผมยังสมบูรณ์เหลือเกิน มีพ่อ มีแม่ มีผม และพี่ชายอีกหนึ่งคน ในตอนนั้นครอบครัวเราดูจะเป็นที่อิจฉาของคนอื่น ๆ แต่ชื่อเสียงเงินทองมันไม่เคยจีรัง ทุกอย่างจบลงเพียงชั่วข้ามคืน... คืนนั้นที่ทำให้ผมจำฝังใจไปตลอดการณ์
ปีพ.ศ.2547 พ่อถูกถอนจากตำแหน่งประธานบริษัทโดยผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ หลังจากนั้นไม่นานบ้านเราก็ถูกฟ้องล้มละลาย แต่พ่อก็ยังพยายามประคองมันมาเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่บ้านเรากำลังจะกลายเป็นของคนอื่น ...สุดท้ายแม่แท้ ๆ ของผมคว้าปืนขึ้นมายิงกลางแสกหน้าพ่อต่อหน้าเด็กอายุสิบกว่าขวบอย่างผม ผมไม่เคยเข้าใจมันเลยตลอดชีวิตที่ผ่านมา เหตุผลอะไรที่แม่ต้องทำให้ผมกลายเป็นเด็กที่ต้องตายทั้งเป็นเพราะครอบครัวของพังนินาศ แม่ถูกศาลตัดสินให้จำคุกหลายสิบปี พี่ชายของผมที่ตอนนั้นอายุเพียง 18 ปีก็ปฏิเสธการรับเลี้ยงดูจากอาบวรและทิ้งผมไว้โดยไม่กลับมาอีกเลย
นอกจากอัฐิที่วัดของพ่อ ผมก็ไม่เคยรู้ถึงความเป็นไปของใคร...
ผมเดินมายังระเบียงของห้องให้ลมตีหน้าเพื่อคลายความรู้สึกเจ็บปวดในอดีตที่ไม่เคยลืม บ้านหลังใหญ่นี่ไม่เคยให้ความอบอุ่นได้จริง ๆ ซักครั้ง ผมมักจะอิจฉาทุกกิจกรรมที่ครอบครัวนี้ทำด้วยกัน อิจฉาทุกอ้อมกอดที่พ่อแม่มีให้ลูก อิจฉาความรักและการปกป้องของพี่ชายที่มีให้น้อง สิ่งเดียวที่เคยทำให้ผมมีความสุขที่นี่นอกจากความใจดีของอาบวรก็คงจะมีแค่เต็ม ผมไม่รู้ว่าควรจะเลิกรักมันยังไงเพราะฉะนั้นทางเดียวที่จะทำให้ชีวิตผมยังคงอยู่ต่อไปก็คือแย่งมันมา
ครื้นนนน ครื้นนนน
เสียงฟ้าร้องเบา ๆ ทำให้ผมผงะถอดกรูดเข้าไปในตัวห้อง มือที่เริ่มสั่นขึ้นปิดล็อคประตูระเบียงและผ้าม่านอย่างลนลาน ...มันกลับมาอีกแล้ว ความทรมานที่ฝังไว้ในหัวและทำให้ผมเจ็บปวดทุกครั้ง สองมือผมกำแน่นจิกเนื้อตัวเองราวกับไม่รู้สึกเจ็บใด ๆ สองขายังหยุดยืนอยู่กลางห้องเพื่อดูท่าทีปีศาจนั่น ...นี่ไม่ใช่เรื่องตลก ...คืนนั้นเป็นคืนที่ฝนตก สิ่งที่ผมกลัวมันไม่ใช่สายฝนแต่คือเสียงของมันของมันต่างหาก เสียงของมันที่ดังมาพร้อมการลั่นไกปืนที่สนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบ้าน ผมกลายเป็นคนที่กลัวเสียงปังทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่เสียงปิดประตูดัง ๆ
มันคือนรกสำหรับผม
ครื้นนนนนนนนนนนนนนนน
ผมถอยรูดสุดตัวจนกวาดเอากรอบรูปที่อยู่บนโต๊ะล่วงกราวลงไปกับพื้นพรม เสียงที่ดังขึ้นอีกระดับทำให้ร่างกายมันทรุดลงไปกับพื้นและหันหน้าเข้ามุมห้องเพราะคิดว่ามันน่าจะปลอดภัยที่สุด ผมกอดสองขาตัวเองไว้แน่นเพื่อบอกตัวเองว่าตอนนี้ต้องมีสติถึงแม้น้ำตามันจะเริ่มไหลออกมาเป็นสายแล้วก็ตามที ไม่อยากอยู่คนเดียว ยิ่งคิด ใจมันก็ยิ่งพาลนึกไปถึงใครบางคนที่คืนนี้เขาคงไม่สนใจผมแน่ ๆ ความฟุ้งซ่านตอนนี้ทำให้คนแข็งกระด้างอย่างผมร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างที่อั้นเอาไว้ไม่อยู่ เสียงฝนที่เทลงมากระทบหลังคายิ่งทำให้ผมกระชับกอดตัวเองแน่นขึ้น ...ได้โปรด อย่าทำให้ชีวิตกูมันน่าสมเพชมากไปกว่านี้เลย
เปรี้ยงงงงงงงงง!!
เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงใหญ่มันดึงสติผมจนขาดผึ่ง ผมโยกหัวกระแทกกับผนังหนังซ้ำ ๆ และแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว สองมือที่กอดตัวเองไว้เมื่อครู่เริ่มจิกที่ต้นแขนสองข้างของตัวเองแรงขึ้นอย่างไม่รู้เจ็บ ดวงตาที่หลับแน่นกำลังรับมือกับภาพนึงที่ไม่อยากจำ แต่มันดันแล่นเข้าหัวโดยฉับพลัน
"พ่อ...ไม่เอา ...ไม่เอา ...พอชไม่เอาแบบนี้ ...ฮึก..." ภาพของพ่อที่ล้มลงไปจมกองเลือดมันชัดเจนในความทรงจำ เสียงฟ้าร้องที่ยังดังต่อเนื่องไม่มีหยุดมันทำให้ผมสั่นเท่าไปทั้งตัวจนรู้สึกว่ากำลังจะตาย ทุกการกระทำของผมตอนนี้มันเหนือการควบคุมไปหมดแล้ว ความรู้สึกเจ็บที่เอาหัวกระแทกกับกำแพงตอนนี้มันก็ไม่มีซักนิด
ทำไมต้องเป็นคืนนี้วะ คืนที่เต็มมันไม่อยู่ตรงนี้ คืนที่มันไม่มีวันมาอยู่ตรงนี้
"มึงนี่เอาอีกละนะ" ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเสียงที่คุ้นเคยนี่เกิดจากจิตใต้สำนึกหรือความฝัน แต่ลำแขนที่ดึงผมเข้าไปกอดทั้งตัวนั่นก็ทำให้อบอุ่นหัวใจได้อย่างบอกไม่ถูก ผมกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาเพราะกลัวว่าอ้อมกอดอุ่น ๆ นี่มันจะหายไป สองมือที่จิกเอาไว้กับแขนตัวเองค่อย ๆ ถูกคลายออกแล้วแทนที่ด้วยการกระชับฝ่ามือของใครอีกคน
ครืดดดด!!
เสียงความไม่ปราณีจากฟ้าทำให้ผมเด้งตัวเข้าซุกอกเจ้าของอ้อมกอดโดยอัตโนมัติ มือหนาลูบไปมาบนเส้นผมที่เคยเซ็ตไว้เป็นทรง ถึงแม้ว่าตัวผมมันยังคงสั่นอยู่เหมือนเดิมแต่ก็ใช่ว่าจะไม่คลายความกังวลลงเลย เสียงฟ้าฝนดูจะไม่สงบลงง่าย ๆ เหมือนแกล้งกัน ยิ่งคิดยิ่งกลัวมันก็ยิ่งร้องไห้ออกมาไม่ต่างกับฝนข้างนอกนั่น แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมก็รู้สึกว่ามีใครอีกคน ...ที่บางทีเขาอาจจะไม่ได้อยู่ตรงนี้จริง ๆ
“ฮึก.....ฮือออออ พ่ออออ”
“ไอ้พอช! หยุด! มึงตั้งสติสิวะ!” แรงตบเบา ๆ กระทบที่หน้าผมแต่นั่นก็ยังไม่ทำให้ผมหยุดร้องไห้แล้วลืมตาขึ้นมาได้
“เป็นแผลเลย ไอ้โง่เอ๊ยยยย!!” อ้อมกอดนั่นกระชับแน่นกว่าเดิมพร้อมกับลมหายใจแผ่วเบาที่เป่ามาโดนบริเวณหน้าผาก สติน้อยนิดที่กลับมาวินาทีนั้นมันบอกให้ผมกอดอีกฝ่ายกลับไปอย่างไม่รีรอใด ๆ
ถ้ามันเป็นความฝัน ...กูจะถือว่าเป็นฝันดี
ถ้ามันเป็นความจริง ...กูจะถือว่ามึงให้ความหวังกูแล้วนะเต็ม
“หลับซะนะมึง... หลับซะ...”
.
.
.
60%
แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าลอดม่านเข้ามาทำให้ผมลืมตาตื่นได้ไม่ยากนัก ร่างกายบิดขี้เกียจอยู่พักใหญ่ก่อนจะลากสังขารเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย ผมมองตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำระหว่างแปรงฟันอย่างใช้ความคิด รอยแผลเล็ก ๆ แถว ๆ ไรผมนี่น่าจะมาจากอาการขาดสติของผมเอง ส่วนไอ้ขอบตาคล้ำเล็ก ๆ นี่ก็มาจากการร้องไห้ลืมโลกอย่างไม่ต้องเดา แต่ยังมีอีกเรื่องที่ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ
เมื่อคืนมันออกจากห้องหอเพื่อมาหาผมใช่มั้ย...
ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อยก่อนจะลงมาจากชั้นสามด้วยชุดไปรเวทที่แสนจะธรรมดา โดยไม่ลืมปล่อยผมลงมาเพื่อปิดรอยแผลเล็ก ๆ นั่นด้วย ก่อนจะถึงบันไดขั้นสุดท้ายขาของผมก็หยุดชะงักลงเล็ก ๆ เมื่อสายตามันไปปะทะกับทุกคนบนโต๊ะอาหารกลางบ้านที่เอาแต่จ้องผมเป็นตาเดียว ...เกิดมาไม่เคยเห็นคนหรือไงวะ ...ออแล้วนั่นก็พร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครอบครัวกันดีอยู่แล้วนี่
“ตาพอช มากินข้าวเร็ว วันนี้หนูเอมเขาโชว์ฝีมือข้าวต้มปลาเองเลยนะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณอา เดี๋ยวผมไปกินในครัวเหมือนทุกทีดีกว่า” ผมเหลือบตามองลูกชายคนโตของบ้านอย่างมีความหวัง แต่เห็นท่าทางอิ่มเอมกับข้าวต้มปลานั่นแล้วผมก็อาจจะอาเจียนออกมาเป็นปลาทั้งโอเชี่ยนเวิร์ล หรือสุดท้ายแล้วอ้อมกอดเมื่อคืนมันจะเป็นแค่ความฝันจริง ๆ ...
“นอนกินบ้านเป็นเมือง” สาบานว่าที่ทำอยู่นั่นคือพูดคนเดียวนะครับคุณผู้หญิง แหม่ ผมนี่ได้ยินไปถึงอนุสาวรีย์ชัยกันเลยทีเดียว
“คุณโสม! ....ตาพอชมานั่งข้างยัยต้าเร็ว”
“ผมไม่....” ไม่อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น
“พอช... ถือว่าอาสั่ง จะได้มาคุยกับหนูเอมเขาให้มาก ๆ ” ทำไมจะต้องคุยให้มาก ๆ วะ ไม่ใช่เมียกูซะหน่อย
“ครับคุณอา” สุดท้ายผมก็ต้องแพ้อำนาจสายตาของคุณอาบวรอยู่ดี สายตาผมตอนนี้มันเอาแต่จ้องมองผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสลับกับไอ้เต็มที่ไม่คิดจะเงยหน้าออกมาจากชามข้าวต้ม คงจะอร่อยกว่าโจ๊กซองที่ผมเคยต้มให้กินอยู่มากโขสินะ
“หนูเอม ตาพอชนี่เขาจบเกียรตินิยมกลับมาเลยนะ เก่งกว่าเจ้าเต็มตั้งเยอะ รายนี้ได้มาแค่เกรดนิยมก็ลำบากแทบแย่ นี่ไม่รู้ว่าถ้าตาพอชไม่ไปเรียนด้วยจะเข็นตัวเองจนจบรึเปล่า”
“คุณพ่อครับ” เต็มเหลือบตามามองเอมเล็ก ๆ ก่อนจะหันไปปรามพ่อตัวเองที่กำลังเผาลูกให้เจ้าสาวหมาด ๆ ฟัง …ทำไมมึงดูเหมือนคนมีความสุขจังวะเต็ม ...เออ แล้วนี่กูมานั่งเหี้ยอะไรตรงนี้
“เก่งจังเลยอ่ะพอช อนาคตไกลแบบนี้สาว ๆ ติดตรึมแน่เลย” โอ้โห... ทั้งสีหน้า ทั้งน้ำเสียง รังสีความแอ๊บแบ๊วลอยคละคลุ้งเต็มไปหมด นี่ตกลงแม่คุณยังหายใจด้วยอ็อกซิเจนอยู่ใช่มั้ย ไม่ใช่ก๊าซตอแหลเนอะ
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ จริง ๆ เต็มต่างหากที่ช่วยดูแลผม ถ้าไม่มีมันก็ไม่มีผมเหมือนกัน ส่วนเรื่องสาว ๆ ...ถ้าไม่มีใครไล่จับมาแต่งงาน ...ก็คงไม่มีหรอกครับ” ผมว่าแล้วตักข้าวต้มในชามเข้าปากตามมารยาท รสชาติไม่ได้ต่างอะไรกับข้าวต้มรสเข็นหน้าปากซอย จะอร่อยอะไรกันนักหนาวะ
โอ๊ะโอ้วววว เมื่อกี้ผมพูดอะไรผิดไปหรอ ทำไมทุกคนทำหน้าแบบนั้นล่ะ ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย
“หึ ก็คงจริงอย่างตาพอชเขาว่านะหนูเอม เพราะคนแบบนี้ใครเขาอยากจะมาคบค้าสมาคม” คุณหญิงโสมรภีครับ ...นี่อยากจะกินข้าวต้มฝีมือลูกสะใภ้ดี ๆ หรืออยากกินผ่านทางหนังศรีษะครับคุณหญิง ไอ้พอชจะได้ช่วยกรุณา
“เอาอีกแล้ว นี่จะไม่ทะเลาะกันให้ฉันปวดหัวซักวันได้มั้ยห่ะ! เกรงใจหนูเอมเขาบ้างเถอะคุณโสม” ขอเถอะ จังหวะนี้ขอเวลาซักครึ่งวินาทีให้ไอ้พอชคนนี้ได้แอบเบ้ปากแรงแบบนางร้าย
“ผมขอโทษครับคุณอา ถ้าผมพูดอะไรที่ไม่ได้ตั้งใจออกไป”
“หึ ปากไม่มีหูรูด”
“คุณแม่คะ พี่พอช ทุกคนคะ เราทานกันต่อเถอะเนอะ เดี๋ยวเย็นแล้วมันจะไม่อร่อย” น้องต้าพยายามฉีกยิ้มทำลายบรรยากาศตึงเครียดรอบโต๊ะ ผมพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะกล้ำกลืนเอาข้าวต้มผสมน้ำล้างตีนนี่ลงคอ ...เห็นหน้าคนทำแล้วมันกระเดือกไม่ลง ...ยิ่งเห็นหน้าคล้ายจะอิ่มเอมของผู้ชายข้าง ๆ คนทำยิ่งอยากจะเขวี้ยงชามทิ้ง
“เออ เมื่อคืนนอนได้รึเปล่าพอช อาเห็นฝนตกหนักเลย” ช้อนที่คนอยู่ในชามข้าวต้มหยุดชะงักแบบฉับพลัน ผมช้อนสายจากจากชามข้าวขึ้นมองหน้าของคนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง เต็มมองเหลือบตามามองผมในจังหวะนั้นเช่นกัน จากที่ยังไม่ค่อยแน่ใจก็กลายเป็นว่าตอนนี้ผมกระตุกยิ้มเบา ๆ ได้อย่างผู้ชนะ...
สายตาที่มันมองผม มันคือสายตาที่สั่งไม่ให้ผมพูด ...นั่นแปลว่ามันยอมทิ้งคืนแรกในห้องหอเพื่อมาหาผม
แล้วมึงจะบอกให้กูลืมมึงเพื่ออะไรวะ
“ก็โอเคครับอา ตอนแรกก็หนักเอาการอยู่ แต่โชคดีที่...... ผมหลับไปซะก่อน” หึ สายตาแบบนั้นกลัวกูจะพูดอะไรออกไปหรอเต็ม
“มีอะไรกันหรอคะคุณพ่อ”
“พอดีพอชเขากลัวฟ้าร้องน่ะ สมัยก่อนหน้าฝนนี่เจ้าเต็มต้องไปนอนด้วยทุกคืนเลย” ผมแอบสังเกตเห็นสีหน้าแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับเอม เธอหันไปมองหน้าผู้ชายข้าง ๆ แวบหนึ่งก่อนจะหันมาพยักหน้ายิ้มเบา ๆ กับคุณอา ...กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ใช่มั้ยล่ะเอม ดีใจด้วยนะที่บางสิ่งที่เธอกำลังคิดมันอาจจะจริง
“นี่ดีนะคะเนี่ยพี่พอช ที่อาการดีขึ้นแล้วอ่ะ พี่เต็มแต่งงานไปแล้วแบบนี้ไม่มีใครมากอดปลอบตอนร้องไห้ขี้มูกโป่งกลัวฟ้าผ่าแล้วนะ”
“เดี๋ยวเหอะต้า” ผมโยกหัวน้องต้าเบา ๆ แต่สายตายังหยุดนิ่งที่สายตาอีกคู่ที่กำลังมองมาเช่นกัน ทีแรกกูก็คิดแบบนั้นที่น้องต้าว่าแหละเต็ม แต่ถ้าการกลัวของกูมันจะทำให้มึงไม่ไปไหนกูก็จะขออยู่กับมันแบบนี้ไปจนตาย ไม่ว่าเมื่อคืนมึงจะทำเพราะสงสารหรือสมเพช กูก็จะมีความสุขกับมัน
“เอาจริง เมื่อคืนพี่เต็มไม่ได้แอบไปอยู่เป็นเพื่อนใช่ป่ะ” ใจเย็นว่ะเต็ม มึงไม่ต้องจ้องกูนิ่งขนาดนั้นก็ได้ แต่ถ้าน้องมึงปูมากูก็คงต้องเล่น...
“จะบ้าหรอต้า เมื่อคืนมันคืนส่งตัวเข้าหอ เจ้าบ่าวจะหนีเจ้าสาวออกมาจากห้องให้มันเป็นอัปมงคลในชีวิตคู่ทำไม ...จริงมั้ย ...เอม” แววตาสั่นระริกของหญิงสาวกำลังหลบสายตาเย้ยหยันจากผม เธอเอาแต่ก้มหน้าสูดลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะตีหน้าใสซื่อขึ้นมาอีกครั้ง ...ให้ตายเถอะ นี่คนทั้งโต๊ะมองห่าอะไรไม่ออกเลยหรอ เรื่องเชี่ยอะไรก็จะให้กูมองออกอยู่คนเดียวใช่ป่ะ
“จ...จริงค่ะ” ผมยิ้มเย็น ๆ อย่างพอใจ ก่อนอาหารมื้อนี้ของผมจะจบลงในทันทีด้วยการลุกออกจากเก้าอี้แบบไม่สนใจใครทั้งนั้น คนจะเป็นตัวร้ายอะไรมันก็เอื้ออำนวยไปหมดแบบนี้สินะ ขนาดความกลัวที่เป็นจุดอ่อนของตัวเองยังได้เอามาใช้ประโยชน์ ...แต่จริง ๆ แล้วถ้าเรื่องแค่นี้อย่าเรียกว่าผมร้ายเลย มันก็แค่การแนะนำตัวต่อสะใภ้คนใหม่ของบ้านนี้อย่างเป็นทางการก็เท่านั้น
“พี่พอชอิ่มแล้วหรอคะ”
“พี่ไม่กินแล้วค่ะต้า ...มันคาว”
TBC
มาอัพแล้วค่าาาาาา ไม่รู้ว่าเรื่องสไตล์นี้จะถูกใจคนอ่านกันมั้ย ฝากไว้ด้วยนร้าาาาาาาา
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกกำลังใจค่ะ