CHAPTER 22
KIM’ s TALKแววตาของกาลตอนที่ถูกผมถามว่าแม่ของเขาเป็นจิตรกรใช่หรือเปล่า
ทำเอาผมใจสลายผมต้องรีบเบี่ยงเบนประเด็นไปพูดชื่นชมถึงความใจกว้างของกำนันแสง รวมถึงงานเลี้ยงฉลองต้อนรับหลานชาย ว่าจะมีเหล้ายาปลาปิ้งชั้นยอดขนาดไหน
คุณชายอนันตกาลกลับมายิ้มได้นิดนึง ก่อนจะพูดปิดท้ายว่า
“ตากูคอแข็ง นายอย่าคิดลองของก็แล้วกัน”
เราหลับนอนกันยาวตั้งแต่สายจนถึงเที่ยง เฮ้ย โทษที ผมใช้คำผิด พวกเราเพียงแค่นอนหลับบนเตียงคิงไซส์จนถึงทานข้าวเที่ยง เป็นเพราะผมอดหลับอดนอนทำงานร้านเฮียเจตก็อย่างหนึ่ง แถมมิสเตอร์คลานยังปลุกผมมาบ้านกำนันแสงแต่เช้าตรู่อีก พอผมตื่นขึ้นมาก็พบว่ากาลตื่นก่อนแล้ว บนโต๊ะมุมห้องมีจานอาหารกลางวันสไตล์ลูกทุ่งวางไว้อยู่รอเสิร์ฟ
“ทานข้าวมั๊ย?”
ผมขยี้หัวปลุกสติตัวเอง ทำไมท่านอนผมมันอุจาดตาแบบนี้วะ ถ่างขาอ้าซ่าไม่พอ ชายเสื้อยืดยังเลิกขึ้นมาเกือบถึงคอ จนโชว์จุกหัวนมให้ชาวประชารู้เห็นกันทั่ว นายกาลคงมองดูจนสาแก่ใจไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้ยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนั้น ผมดึงเสื้อลงมาปิดสัดส่วนท่อนบนแล้วขยับขาเป็นรูปตัวไอ
“ไม่ทันแล้วมั้ง”
ผมกระแอมเหมือนมีส้นเท้าติดคอ ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดอีกฝ่าย พอดีกับมีสายเรียกเข้าโทรศัพท์ของผมดังขึ้นเป็นสัญญาณช่วยชีวิต
“ว่าไงไอ้ฝรั่ง”
ผมเดินเกาพุงออกมายังนอกระเบียง ปลายสายไม่ใช่มีเพียงเสียงเดียว ผมสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชาวแก๊งร่วมก๊วนทั้งสี่พระหน่อ
ว่าแต่พวกมันไปรวมตัวกันทำอะไรวันเสาร์วะ
“เหี้ยคิมมาถึงหรือยัง” ไอ้ฝรั่งแช่บ๊วยฟรานถามกวนส้นเท้ามาก
“มาถึงไหน อะไรยังไงวะ” ผมถามด้วยท่าทีสับสน
“ถามแบบนี้มึงเบี้ยวนัดพวกกูอีกแล้วใช่ไหม ไอ้คิมหวย” ฉายานี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมในหมู่พวกเพื่อนผมมาสักระยะแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ไอ้ฟรานมันเคยเรียกก็ดูเหมือนว่าจะเป็นวันที่ผมมัวแต่ซ้อมกีฬาจนลืมไปงานเลี้ยงวันเกิดไอ้น้ำฝนเมื่อปีที่แล้ว
“กูขอโทษ คุณฟรานเก้านิ้ว”
“เออ ๆ กูรู้หรอกน่า” พอพูดฉายาประจำตัวไอ้ฝรั่งเข้าหน่อย ทำเป็นเสียงอ่อนเสียงหวานเลยนะ ไอ้นิ้วพิการ สัด “ว่าแต่มึงไปไหนไม่ทราบ”
“กูขอโทษจริง ๆ มารับงานนอกว่ะ”
“งานคู่เดตนั่นอ่ะเหรอวะ” ไอ้ฟรานเริ่มลดเสียงลง
“เออ” ผมพูดตรง ๆ ไปเลยดีกว่า ขี้เกียจไถสีข้างละ
“กับคุณชายของมึงอ่ะนะ”
“เออ” ผมยอมรับให้จบ ๆ ไป
“มึงคงลีลาเด็ดสุดยอดจริง ๆ ว่ะ เพื่อน ถึงกับขนาดทำให้ผู้ชายมาดแมนแอนด์แฮนซั่ม ยอมให้มึงซั่มจนติดอกติดใจไม่ยอมให้ห่างตัวขนาดนี้ ถามจริง มึงไปได้ของดีมาจากไหน บอกกูหน่อยดิ กูจะเอาไปใช้กับน้องมะขามหวานของกูบ้าง”
“มีก็เหี้ยละ เค้ากับกูยังไม่มีอะไรกัน เออ แล้วน้องมะขามหวานของมึงเนี่ย ไม่คิดจะพามาแนะนำให้เพื่อน ๆ รู้จักเลยหรือไง” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ไอ้ฟรานเงี่ยน เอ๊ย เงียบไปพักนึงก่อนจะพูดว่าไว้จะพามาแนะนำ ก่อนจะบอกว่ามันเคยส่งข้อความมาบอกผม เรื่องนัดทำรายงานวิชาแคมป์วันนี้ ก็ไหงคุณชายอนันตกาลบอกว่ามึงสั่งให้มันแยกมาทำกับกูสองคนไงวะ งงในงง ไม่รู้ใครโกหกใครกันแน่ สงสัยต้องไปถามเจ้าตัวในห้องให้ได้ความซะแล้ว
พอผมกลับเข้าไปในห้อง มิสเตอร์คลานก็กำลังเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋า เขาเหลียวมองผมชั่วครู่แล้วพูดเสียงนิ่ง ๆ ว่า
“ต้องรีบกลับ นายจะทานอาหารกลางวันก่อนก็ได้นะ”
ผมงงยิ่งกว่าเดิม ก็ไหนว่าจะอยู่ค้างคืนตามคำเชิญของกำนันแสงไงล่ะ คุณชาย
“ไม่ว่ะ” ผมปฏิเสธ ไม่ได้หิวจัดขนาดนั้น “แล้วนี่จะบอกตามึงว่ายังไง”
“พราวประดับมาขอคืนดีกับผม”
ประโยคไขคำตอบทำเอาผมเหมือนล้มทั้งยืน ไม่ใช่ว่าผมเป็นแฟนคลับเพจเทพสามฤดู หรือติดตามไอจีคุณชายอนันตกาล แต่ผมก็พอจะรู้ว่าคนตรงหน้าเคยมีแฟนสาวสุดสวย เคยได้ยินทั้งไอ้ฝรั่งเก้านิ้วเคยพูดว่าเธอคนนั้นเหมาะสมกันราวกับดาวคู่เดือน ยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยก เธอคือคนที่ทำร้ายกาลจนเขาต้องใช้บริการผมเป็นคู่เดตเพื่อย้อมใจ เธอคนนั้นยังใจร้ายกับกาลไม่พอ ตอนนี้ยังมาทำร้ายหัวใจผมซ้ำเติมไปอีก
กาลมีสีหน้ากึ่งดีใจกึ่งตื่นเต้นตลอดเวลาที่ขับรถกลับสู่ใจกลางเมือง ส่วนผมเหมือนคนกึ่งใจสลายกึ่งตายไปแล้วทั้งตัวและหัวใจ
คืนนั้นผมโทรเรียกกลุ่มเพื่อนทั้งสี่คนมากินฟรีที่ร้านสวรรค์ชั้นเจต ผมขอลางานกับเฮียเจตเพื่อใช้น้ำเมารักษาแผลหัวใจตัวเอง เฮียแกไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแค่พูดสั้น ๆ ว่า
‘กฎสำคัญของงานบริการที่มึงควรรู้ไว้ ไอ้คิม… ห้ามหลงรักลูกค้าเป็นอันขาด’
ผมรู้ว่าเฮียเจตรู้ว่าผมรับงานอย่างว่า และผมควรจะรู้มาตั้งนานแล้วว่าผมควรตัดใจจากกาลก่อนที่เหตุการณ์วันนี้จะมาถึง หรือผมหวังลึก ๆ ว่ากาลจะหันมามองผมไม่ใช่ในฐานะคนขนของหรือคนปรนเปรอสวมหน้ากาก แต่เป็นผมที่มีฐานะต่ำกว่าเขาในทุกด้าน ตอนผมรู้ว่าเขากำพร้าทั้งพ่อและแม่ ทำให้ผมเข้าใจกาลมากขึ้นไปอีก ผมเองก็กำพร้าพ่อเช่นเดียวกัน
กิจและก้านจับตามองผมราวกับอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังในใจผมเสียให้ได้ ผมบอกทั้งฟรานและน้ำฝนรวมถึงคู่หูตัวกอว่า ผมดวงดีถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ในความเป็นจริงแล้วผมถูกคุณชายอนันตกาลกัดกินหัวใจดวงน้อยจนแทบไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว ผมควรจะทำใจกับเรื่องพวกนี้ ผมเองก็เคยหักอกสาว ๆ หนุ่ม ๆ มานักต่อนัก พอโดนเข้ากับตัวถึงได้รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกโคตรบัดซบ แม้แต่น้ำเมาก็ไม่อาจทำให้ผมลืมใบหน้าดีใจของกาลที่จะได้กลับไปคืนดีกับผู้หญิงคนได้
“ไอ้เหี้ยนี่ตัวหนักอย่างกับช้าง” ก้านกับน้ำฝนต่างพยายามหิ้วปีกผมกลับไปยังรถแท็กซี่ ส่วนกิจมันอาสาพาไอ้ฟรานไปส่งหาน้องมะขามหวานของมัน ทุกคนเมาหัวราน้ำไม่ต่างกัน ยกเว้นที่ผมน่าจะเป็นคนที่เมาหนักมากที่สุด ผมเพิ่งมารู้วันนี้นี่เองว่า น้องมะขามหวานของไอ้ฟรานก็คือไอ้ขาม น้องในชมรมกีฬาของผมนั่นเอง ขามมันตามจีบผมมาเกือบปี สุดท้ายก็ไปสะดุดตาไอ้เก้านิ้วอย่างเสี่ยฟรานจนได้ ผมว่าน้องมันโชคดีแล้วที่ไอ้ฟรานชอบ ฝ่ายนั้นทั้งหล่อทั้งรวย หากมะขามมันยังจมปลักอยู่กับผม ไม่พ้นต้องทำงานใช้หยาดเหงื่อแลกเงินไปจนตาย จะว่าไปผมเองนั่นแหละที่ปฏิเสธมะขาม
สุดท้ายผมก็มีสภาพจิตใจไม่ต่างจากคนที่ผมเคยทำร้ายไป
โลกนี้ทำไมถึงต้องมีการแบ่งแยก มีขาวมีดำ มีจนมีรวย มีสวยมีหล่อ หากฐานะทางบ้านผมเทียบเท่ากับกาลก็คงดีหรอก ผมคงทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้กาลกลับไปหาผู้หญิงคนนั้น ผมคงมีอะไร ๆ ไปสู้เธอได้บ้าง
“ขอโทษนะครับ เดี๋ยวผมดูแลเค้าเอง”
เสียงเสียงหนึ่งพูดขัดความคิดผม ก้านกับน้ำฝนเหมือนถูกหยุดไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว
“มึงจะพาไอ้คิมไปไหน” น้ำฝนถามกลับ
“เขาชื่อเล่นว่า ‘คิม’ เหรอครับ” ผมจำเสียงของ ‘เขา’ ได้ แม้ไม่ต้องลืมตามอง
ฝ่ายก้านเหมือนกับรู้ว่าต้องแก้ตัวให้ผมก็รีบบอกอนันตกาลไปว่า “มันชื่อจริงว่าคิมหันต์ กูก็เรียกมันสั้น ๆ ว่า คิม มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ว่าแต่พวกกูดูแลมันได้ ไม่ต้องให้มึงดูแลหรอก”
ผมอยากขัดขืนคำพูดก้านแต่ก็ไม่เหลือสติหรือเรี่ยวแรงใด ๆ นอกจากอาการโลกหมุนเท่านั้น
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับเขา”
“ไม่จำเป็น” ก้านตอบโต้เด็ดขาด คำพูดมันเหมือนโกรธแทนผมอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่ผมไม่เคยเล่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับกาลให้มันฟังสักครั้ง
“ผมจำเป็นต้องดูแลคิมหันต์”
“ในฐานะเด็กเสิร์ฟของร้านเหรอ ถ้าใช่ก็คงไม่จำเป็น วันนี้ไอ้คิมมันลางาน” ก้านเดินหน้าสู้ต่อไป ผมอยากให้ไอ้น้ำฝนมันเรียกรถแท็กซี่ได้เร็ว ๆ เสียที ใจหนึ่งผมอยากไปกับกาล แต่อีกใจที่แหลกสลายอยากหายตัวไปจากสถานการณ์ตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“มึงทำมันเสียใจขนาดนี้ยังจะโผล่หน้ามาให้มันเห็นอีกทำไม ไอ้สัด”
เสียงหมัดกระทบสันกรามดังชัดเจนจนผมต้องรีบลืมตามองมุมปากกาลที่ปรากฏรอยช้ำ ไอ้ก้านกำหมัดแน่นอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
“มึงไสหัวไปไกล ๆ จากเพื่อนกู”
อนันตกาลไม่คิดตอบโต้ เขาเอาแต่จ้องมองมาที่ผม
สุดท้ายผมใช้สติที่หลงเหลืออยู่ดึงแขนก้านให้ถอยออกมา แล้วพูดว่า
“ไปกันเถอะ”