[จบแล้วครับ]- - - คืนฤดูร้อนที่ยาวนาน - - - CHAPTER 26 [END] [2/8/64] P.2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้วครับ]- - - คืนฤดูร้อนที่ยาวนาน - - - CHAPTER 26 [END] [2/8/64] P.2  (อ่าน 26647 ครั้ง)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ยังไม่ได้ดีกันสักที พอรุ้ความจริงทะเลาะกันชัว เตรียมหม้อต้มน้ำหลายๆใบได้เลย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 18



KIM’s Talk


ตรงข้ามร้านสวรรค์ชั้นเจตคนละฝั่งถนน มีร้านกาแฟน่านั่งอยู่ร้านหนึ่ง กาลพาผมเข้ามาคุยพร้อมกับสั่งเครื่องดื่มตามเมนูที่พนักงานสาวสวยแนะนำ เห็นได้ชัดว่าเธอแสดงออกอยากได้เบอร์โทรกาลมากกว่าจะเป็นแผ่นกระดาษเช็กลิสต์รายการอาหาร  ออร่าความหล่อและรวยของกาลกลบสารรูปผมจนเธอแทบไม่ชายตาแล นึกแล้วก็ได้แต่ขำคุณเธออยู่ในใจ หรือที่ถูกผมสมควรหัวเราะเยาะตัวเองมากกว่าใครทั้งหมด
 
ผมนายคิมหันต์ คนที่สวมหน้ากากไปหากาลทุกครั้งยามเขาเรียกหา ไม่น่าขำมากกว่าใครในโลกนี้หรือ

“...”

ดวงตากาลที่จ้องมองผมหลังจากพนักงานสาวเดินจากไปแล้วทำเอาผมต้องเสหลบมองบรรยากาศในร้านกลบเกลื่อน ผมไม่รู้จะเริ่มต้นพูดว่าอะไร ในเมื่อผมทำผิดต่อเขาหลายเรื่อง ตั้งแต่เผลอไปจูบเขาตอนไปช่วยขนของ หรือเรื่องใหญ่สุดก็คือการสวมหน้ากากไปหากาลนั่นล่ะที่ปิดปากผมชนิดที่ว่าเหมือนมีกำปั้นอุดไว้

“เฮียเจตบอกว่า...”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นอ่ะ”

“...” กาลสร้างบรรยากาศกดดันได้ราวกับเนรมิตเพียงแค่ทำหน้าเฉยชา

“กูขอไปทำงานก่อนละกัน” ผมเตรียมตัวจะลุกยืน แต่สีหน้ากาลกลับทำให้ผมต้องแสร้งเป็นยืนปัดกางเกงก่อนจะรีบหย่อนตัวนั่งตามเดิม

“ขอโทษ”

ผมยกคิ้วประหลาดใจ นี่ผมหูฝาดไปหรือว่ามีโต๊ะไหนกำลังมีคู่รักง้อขอคืนดีกันอยู่หรือเปล่า

“เรื่องคืนนั้น กูขอโทษที่ทำเหมือนโกรธ แต่จริงๆแล้วกูไม่ได้โกรธ เข้าใจนะ”

ผมเห็นสีหน้ากาลปรับเปลี่ยนเป็นขาดความมั่นใจ หลุดมาดคุณชายอนันตกาลแบบนั้นก็ทำให้ผมอยากจะเอาคืนสักหน่อย โทษฐานที่คืนนั้นไม่ยอมจูบตอบผม ไม่งั้นอะไรๆก็คงง่ายกว่าตอนนี้ ผมเลยทำเป็นขมวดคิ้วแล้วถามกลับ

“กูจำไม่ได้ว่าทำอะไรให้มึงโกรธ”

หนึ่งหมัดน็อค คุณชายอนันตกาลหน้าชาอย่างเห็นได้ชัด เขาลบสีหน้ากระตุกวูบนั้นแล้วแสร้งยิ้มนิดหน่อย

“อันที่จริงกูไม่จำเป็นต้องมาขอโทษมึงด้วยซ้ำ”

เขาลุกขึ้นยืนแล้ววางบัตรเครดิตลงบนโต๊ะ หยิบแว่นกันแดดที่แขวนอยู่บนรอยแหวกคอเสื้อขึ้นสวม ผมต้องรีบร้องโวยวายว่า

“เออๆ กูก็ต้องขอโทษมึงเหมือนกันแหละ นั่งก่อนดิวะ”

กาลทำเป็นเล่นตัวนิดหน่อยแล้วยอมนั่งตามคำขอของผม ก็พอดีกับของที่สั่งถูกนำมาเสิร์ฟ รอยแหวกของคอเสื้อเชิ้ตซึ่งกาลคงตั้งใจปลดกระดุมสองสามเม็ดทำให้เห็นไปถึงไหนต่อไหน มีหรือที่สาวพนักงานเสิร์ฟผู้โน้มตัวเข้ามาใกล้ๆจะไม่ทันสังเกตเห็น คุณเธอหน้าแดงแล้วอมยิ้มน้อยๆ

จู่ๆผมก็รู้สึกหวงเนื้อหวงตัวกาลราวกับตัวเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของซะอย่างนั้น จึงกระแอมเหมือนมีส้นเท้าติดอยู่ในลำคอ

“แค่กๆ”

ผมเริ่มสำลักน้ำลายตัวเองจนไอไม่หยุด เป็นผลให้กาลต้องขยับตัวมาลูบหลังผมพร้อมทั้งร้องขอแก้วน้ำเปล่าจากพนักงานสาว

“ค่อยๆหายใจ”

เสียงนุ่มในระยะประชิดแบบนี้ทำเอาผมหวนนึกไปถึงคืนก่อน

ผมใกล้เสร็จแล้วแต่ดูเหมือนกาลยังไม่ถึงฝั่งง่ายๆ ผมจึงคิดใช้มือช่วยอีกฝ่ายให้เสร็จพร้อมกัน แต่กาลกลับปัดมือผมออก ถึงแม้เขาจะหลับตาแต่ห้วงจังหวะหายใจผสมคำพูดแหบต่ำในระยะประชิด ทำเอาผมมือไม้อ่อนทันควัน

“ปล่อยให้เสร็จเอง นะ นายช่วย...ขยับจนกว่า... จะได้หรือเปล่า”

ผมไม่ตอบแต่ก็ยินยอมทำตามที่กาลร้องขอ อันที่จริงผมต้องฝึกควบคุมการปลดปล่อยของผมให้หนักขึ้นเมื่อต้องรับใช้กาล ชายหนุ่มผู้มีหุ่นเชิญชวนให้เรือล่มปากอ่าวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ผมศึกษาตามคำแนะนำต่างๆในเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ ไม่ลองคิดใช้ยาชะลอการหลั่งเป็นตัวช่วย แต่หากจำเป็นต้องใช้จริงๆ ผมคงเลี่ยงไม่ได้ ก็เพราะใบหน้ากาลใต้ร่างผมกระตุ้นน้องชายจนเกือบเสร็จก่อนเขามาหลายครั้งหลายหนแล้วด้วย

กาลค่อยๆหายใจ ราวกับพยายามจะกดอารมณ์จุดสุดยอดไว้ ผมได้แต่เปลี่ยนท่วงท่าเพื่อกำหนดระยะเวลาเสร็จให้ยืดยาวออกไป ผิวขาวๆของกาลทำเอาผมอยากทำเครื่องหมายความเป็นเจ้าของไว้สักที่ใดที่หนึ่งแต่ก็ไม่กล้า ข้อแรกผมไม่อยากให้ผิวของเขาต้องมีรอย ข้อสองอาชีพแบบผมไม่ควรกระทำเกินกว่าสิ่งที่แขกร้องขอ ข้อสุดท้ายผมไม่ควรฝากสิ่งใดไว้กับกาลอีกแล้ว เพียงแค่ใจผมที่เขาได้ไว้ก็มากเกินพอแล้ว

“น้ำค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

กาลยกแก้วน้ำประคองให้ผมดื่ม อาการสำลักน้ำลายจึงค่อยดีขึ้นตามลำดับ เมื่อเห็นว่าผมดีขึ้นก็ดูเหมือนว่ากาลเพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอแสดงอาการเป็นห่วงเป็นใยชัดเจน ทำให้เขารีบย้ายร่างกลับไปนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามทันที ผมไม่คิดถามเซ้าซี้ บางทีเราทั้งคู่คงผิดพอๆกันในคืนที่ผมรับงานว่าจ้างไปขนของ หากรวมเรื่องที่ผมสวมหน้ากากไปหาเขา ความผิดของผมก็ดูจะสูงลิบมากกว่าด้วยซ้ำ

“กูรับคำขอโทษ ถือว่าหายกัน กูไปทำงานต่อได้หรือยัง” ผมไม่คิดแตะกาแฟหรือเค้กสักนิด เตรียมตัวจะกลับไปร้านสวรรค์ชั้นเจต กาลก็พูดมาคำหนึ่งว่า

“เลิกงานกี่โมง”

ผมนี่หูฝาดติดกันสองหนหรือสมองเบลอผิดปกติกันแน่ จึงจำเป็นต้องยกคิ้วเป็นเชิงถามกาลกลับ

“ถามว่านายเลิกงานกี่โมง ร้านปิดตีหนึ่ง แล้วนายต้องเคลียร์งานต่อ คงจะเสร็จสักตีสองใช่หรือเปล่า” กาลถามราวกับกำลังวิเคราะห์ภาระงานของพนักงานเสิร์ฟไปในตัว คงหวังไม่ให้ผมตอบเป็นอื่นไปได้

“ประมาณนั้น มึงมีอะไรหรือเปล่า หรือจะจ้างไปขนของตอนตีสอง”

“ได้หรือเปล่าล่ะ” กาลถามกลับหน้านิ่ง ดูเอาจริงเอาจัง นี่มึงพูดเล่นหรือเปล่า “ล้อเล่นหรอก มีงานให้ช่วยนิดหน่อยพรุ่งนี้ จำรูปภาพที่ไปช่วยขนที่บ้านใหญ่ได้หรือเปล่า พอดีมีคนสนใจซื้อต่อ จะให้ช่วยขนไปส่งลูกค้าสักหน่อย ก็เลย...”

นั่นกาลกำลังอายหรือเขินใช่หรือเปล่า อาการใช้มือเกาหลังคอแบบนั้น

“จะรับมานอนค้างด้วยกัน พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องรีบ”

“กูไปหามึงเองได้ ว่าแต่กี่โมงวะ” ผมปฏิเสธที่จะไปนอนกับกาลรวดเร็ว

“สิบโมง”

“เออ...”

“เรื่องงานวิชาแคมป์” กาลเหมือนนึกขึ้นได้ก็รีบพูดทันที ผมกำลังจะลุกยืนก็ต้องนั่งต่อ “ไอ้ฟรานมันบอกให้กูคู่กับมึงช่วยหาหัวข้อประวัติความเป็นมาของการตั้งแคมป์”

“หะ ไม่เห็นรู้เรื่อง” ผมจำได้ว่ายังไม่มีการแบ่งงานใดๆทั้งสิ้น แล้วอีกอย่างรายงานกลุ่มก็ส่งอีกสองสัปดาห์โน่นแน่ะ คุณชาย

“รีบๆทำดีกว่า กูเรียนหนัก ไม่ค่อยมีเวลาว่าง” กาลคีบลุคคุณชายอย่างเคย จนผมไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดแอบแฝงก็ได้แต่เออออตามน้ำ

“มึงไม่ต้องมารับกู แล้วเจอกันสิบโมง” คราวนี้ผมไม่ได้ยินถ้อยคำใดๆรั้งผมไว้อีก ได้แต่เดินตัวปลิวออกมาจากร้านกาแฟอย่างโล่งอก
   

คืนนี้ดูเหมือนทุกคนเต็มใจออกมาเที่ยวกลางคืน ผมเดินจนขาแทบพันกันเป็นเลขแปด หลังจากเก็บกวาดเช็ดโต๊ะในร้านและโบกมือลาเฮียเจต พี่กวาง และเพื่อนร่วมงานแล้วก็ออกมายังรถจักรยานยนต์คู่ใจ วันนี้มะขามมันลางาน บอกว่าป่วย นานๆทีจะเห็นมันป่วยเหมือนคนปกติทั่วไป ผมได้แต่โทรไปบอกให้มันกินยาแล้วรีบนอนจะได้หายไวๆ

เชี่ย ใครมาปล่อยลมยางรถผมวะ

ล้อรถหลังแบนติดดิน ถ้าไม่รั่วก็คงมีใครจงใจปล่อย
 
“...”

คนที่สวมเสื้อเชิ้ตขาว กางเกงขายาวสีดำ สวมแว่นกันแดดตอนตีสอง ก้าวลงมาจากรถยนต์ที่จอดอยู่ในลานจอดรถทำเอาผมได้แต่คิดว่าคงง่วงแล้วก็เหนื่อยแน่ๆถึงได้เผลอคิดไปว่าเป็นกาล กระทั่งคนคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วถอดแว่นกันแดดออก แสงไฟที่ส่องสว่างท่ามกลางคืนฤดูร้อนก็ทำให้ดวงตาผมพร่ามัวชั่วขณะ

“เผอิญแวะมาดูร้าน อ้าว รถนายยางแบนนี่นา”

โอ้โห โคตรไม่เนียนเลยคุณชาย พนันด้วยน้ำเชื้อของผมทั้งหมดที่มีอยู่ในสต็อกเลยว่า สาเหตุที่ยางรถผมแบนติดดินขนาดนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกาลแน่ๆ หากไม่ใช่ก็ขอให้น้ำเชื้อของผมมีอันหลั่งเร็วกว่าปกติเลยคอยดู สาธุ


TBC.


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
   
พูดคุย

:pig4:
 :3123:
:pig4: :impress3:

ยังไม่ได้ดีกันสักที พอรุ้ความจริงทะเลาะกันชัว เตรียมหม้อต้มน้ำหลายๆใบได้เลย
สักกี่หม้อดีครับ ฮ่าๆ

:L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2:



 o13
ขอบคุณคราบๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-12-2019 17:14:47 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
กาลฟอร์มเยอะจริงๆ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 19


KALN’s Talk

   

คิมหันต์ตามผมขึ้นรถมาโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง เพราะร้านซ่อมรถส่วนใหญ่ปิดไปหมดแล้ว อีกอย่างหนึ่งผมยกเหตุผลปนเกลี้ยกล่อมว่า ไหนๆสิบโมงพรุ่งนี้เขาจะต้องเป็นพนักงานขนของช่วยผมขนรูปไปส่งลูกค้าอยู่แล้ว จะต้องวุ่นวายกลับไปนอนที่ห้องตัวเองเพื่ออะไร เมื่อขามพยายามโต้แย้ง ผมก็ชกหมัดเด็ดด้วยประโยคที่ว่า หรือนายกลัวเผลอใจหวั่นไหวกับผมอยู่ลึกๆ ถึงได้เล่นบทปฏิเสธแบบหัวชนฝาเช่นนี้ นั่นจึงทำให้คิมหันต์รับปากเออออตกลงทันทีว่าจะตามไปนอนที่ห้องของผม
   
ผมคงต้องสารภาพผิดว่า ผมเป็นผู้จ้างวานให้พนักงานหนุ่มหน้าซื่อๆคนหนึ่งไปปล่อยลมยางรถนายคิมหันต์ ทั้งจ้างวานด้วยสินทรัพย์ พ่วงบารมีฐานะหุ้นส่วนร้านคนสำคัญเข้าไปอีก จึงทำให้เด็กหนุ่มหน้าซื่อคนนั้นยินยอมตกปากรับคำ ผมกลับไปห้องก่อนจะวนรถกลับมาที่ร้านอีกครั้ง นั่งรอจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน ก่อนจะเห็นขามออกมาจากร้านเพื่อพบกับยางรถที่แบนติดดินจนไม่สามารถขี่ไปไหนได้
   
ทำไมผมต้องวางแผนทำถึงขนาดนี้ด้วย
   
คำตอบของคำถามตกตะกอนอยู่ในความคิดผม จนกระทั่งสมองสั่งการให้ทำทุกวิถีทางเพื่อจะพิสูจน์ว่า หัวใจที่ผมเกิดเต้นระรัวในคืนที่ขามจูบผม ณ บ้านใหญ่ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญหรือตื่นเต้นเกินเหตุ ผมต้องการพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้มีอิทธิพลต่อใจหรือความคิดผม ทุกสิ่งอย่างเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นตามประสาวัยรุ่น อย่างเช่นเกิดกับนายคิมหันต์อีกคน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
   
แต่ผมคิดผิด
   
ทันทีที่นายคิมหันต์คนนี้เหยียบเท้าลงบนพื้นห้องผมก็ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต เผยสัดส่วนท่อนบนเปลือยเปล่า พร้อมบ่นว่าร้อนอยากอาบน้ำทันที นั่นทำให้สีหน้าซึ่งผมฉาบไว้ราวกับหน้ากากพลันร้อนวูบ
   
“ผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนอยู่ในห้องแต่งตัว นายใช้ได้เลย”
   
ผมพูดพร้อมกับหันตัวไปจัดระเบียบสิ่งมีชีวิตภายใต้กางเกงให้สงบ
   
“กูไม่เกรงใจละกันนะ ไหนๆมึงก็เป็นคนเซ้าซี้ให้กูมานอนด้วย อีกอย่างมึงก็ผู้ชาย กูก็ผู้ชาย ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงนี้ละกัน”
   
ไม่ทันขาดคำ เขาก็พูดจริงทำจริงอย่างที่พูดทุกอย่าง พอปลดหัวเข็มขัดได้ก็ถลกกางเกงยีนลงไปกองที่พื้น เผยกางเกงชั้นในสีดำแนบเนื้อปกปิดของสำคัญไว้เพียงส่วนเดียว ผิวภายนอกร่มผ้าแม้จะเข้มกว่าผิวใต้ร่มผ้า แต่ก็ดูออกว่าเนื้อผิวดั้งเดิมคือแบบไหน ทั้งกล้ามเนื้อมัดแขน หน้าท้องหรือน่องขา ล้วนแสดงว่านายคิมออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ เขาอ้าปากถามบางอย่าง เป็นเพราะผมมัวแต่จดจ้องรูปร่างเขา กระทั่งอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้แล้วขมวดคิ้วถามว่า
   
“มึงมองกูแบบนี้ เดี๋ยวกูก็จูบให้ลุกไม่ขึ้นซะเลย”
   
“หะ”
   
ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คิมหันต์ขมวดคิ้วใส่แทบประชิดใบหน้า ห่างกันไม่เกินหนึ่งไม้บรรทัด
   
ตลอดชีวิตนับแต่ผมเติบโตมาภายใต้ชื่อ อนันตกาล ศิวาณิชย์ ไม่เคยสักครั้งที่จะมีใครกล้าพูดกับผมด้วยคำพูดประโยคเมื่อครู่ อาจเป็นเพราะนามสกุลผมบ่งบอกฐานะทางสังคมว่าเป็นลูกหลานเจ้าสัวนักธุรกิจรายใหญ่ หรืออาจเป็นเพราะใบหน้าเฉยชา ปิดกั้นผู้คนออกจากตัวผมในระดับหนึ่ง ทำให้ใครต่อใครมีแต่จะเข้าหาผมด้วยวาจาสุภาพเป็นมิตร ยกเว้นเหมและวัส รวมถึงไอ้ฝรั่งฟราน ที่มักจะหลุดสรรพนามกูมึงบ้างในฐานะเพื่อนสนิท แต่ถ้อยคำแสดงเจตนาชัดเจนว่า อยากจูบผมให้ลุกไม่ขึ้น ชาตินี้ทั้งชาติไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้าพูด กระทั่งได้ยินซึ่งหน้าตนเอง
   
คิมหันต์ยักคิ้วท้าทาย ถ้านายไม่ดื่มเหล้าหรือเบียร์ที่บรรดาแขกเชื้อเชิญให้ดื่มระหว่างปฏิบัติงาน ก็นับว่ากล้าหาญพอตัว แต่มาคิดๆดู นายขามก็มีลักษณะนิสัยแบบนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากไม่ใช่เขา หากว่าเป็นคนอื่น ผมน่าจะชกกลับคืนเอาเลือดมาล้างคำพูดหมิ่นเหม่เมื่อครู่ไปแล้ว ไม่ใช่ให้อีกฝ่ายมายืนยิ้มกวนบาทาได้หน้าระรื่นแบบนี้แน่ๆ
   
“ตามสบายแล้วกัน”
   
ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนที่จะผละออกไปรับลมนอกระเบียง
   
ชั้นที่ผมอยู่มีสายลมคืนฤดูร้อนพัดพาดผ่านมาเป็นระยะๆ ช่วยบรรเทาอาการเหงื่อซึมมุมขมับจากเหตุการณ์เมื่อครู่ได้เป็นอย่างดี ผมควรจะจัดการปัญหาต่างๆได้อย่างที่ควรจะเป็นเช่นทุกครั้ง แต่ตัวปัญหาครั้งนี้ทำเอาผมเสียอาการไปหลายครั้งเลยทีเดียว ผมต้องใจเย็น ผมเพิ่งขอโทษเขาในเหตุการณ์ ณ บ้านใหญ่ ไม่ควรที่จะสร้างรอยร้าวขึ้นใหม่อีก มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยที่จะต้องมองหน้ากันไม่ติดซ้ำซาก
   
คืนนั้นเราต่างคนต่างนอนคนละฝั่งของเตียง โดยไม่ได้มีการสนทนาใดๆอีก พอผมกลับเข้าไป นายขามก็อาบน้ำเสร็จพอดี หลังจากผมอาบน้ำเสร็จออกมา ขามก็นอนหลับไปแล้ว ผมเปลี่ยนชุดแล้วล้มตัวลงนอนเช่นเดียวกัน เปิดเครื่องปรับอากาศให้เย็นสบายแล้วหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงเหมือนคนทำอาหารอยู่ในห้องครัว เวลาเจ็ดโมงครึ่งไม่ใช่เวลาที่ผมจะตื่นโดยธรรมชาติของชีวิตนักศึกษาปีสอง
   
ผมสวมแว่นแล้วลุกเดินไปทางห้องครัว เห็นนายขามกำลังยกกระทะด้วยมือหนึ่ง อีกมือก็กำตะหลิวไว้ ข้าวผัดที่อยู่ในกระทะหมุนวนตามจังหวะแรงสะบัด พร้อมพัดพากลิ่นหอมของข้าวผัดไข่โชยมาอีกระลอก
   
“นายทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ”
   
“อืม”
   
ขามหันมายักคิ้วหน้านิ่ง เขาสวมผ้ากันเปื้อนไว้ด้านหน้า ดูน่ารักไม่ใช่เล่น
   
เดี๋ยวก่อน ผมใช่คนที่จะชมใครว่า น่ารัก พร่ำเพรื่อ ตัวอย่างล่าสุดก็คือพิมพ์พลอยสาวมนุษย์ปีสองข้างห้องที่ผมจัดเธออยู่ในขอบข่ายน่ารัก แล้วจู่ๆผมก็ผุดคำน่ารักมอบให้นายขาม หนุ่มตัวสูง หล่อล่ำ ผิวแทน ทำไมมาตรฐานของผมมันผิดเพี้ยนได้ขนาดนี้
   
เขาอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผมเรียบร้อยแล้ว แม้จะฟิตไม่พอดีไปซะหน่อยแต่ไซส์เราสองคนก็ใกล้เคียงกัน แขนเสื้อโปโลสีดำที่ขามใส่จึงรัดต้นแขนอีกฝ่าย เป็นการอวดหุ่นนักกีฬาไปในตัว
   
จานอาหารสีขาวสองจานถูกวางไว้คนละฝั่งโต๊ะอาหาร บนนั้นมีแตงกวาและมะเขือเทศหั่นเป็นแว่น ใบกรีนโอ๊กและแครอตหันฝอยจัดวางไว้ขอบจาน เมื่อข้าวผัดไข่สุกพอได้ที่แล้วเขาก็ตักอาหารลงบนจานทั้งสอง โยนกระทะลงในอ่างล้างจานพร้อมกับปลดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้บนตะขอ ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งแล้วหยิบช้อนส้อมตักอาหารใส่ปาก
   
“มึงจะยืนหล่ออีกนานไหม ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วมากินดิวะ”
   
ผมเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวก็หมุนตัวไปจัดการตัวเองตามคำแนะนำ แล้วกลับมานั่งทานข้าวผัดไข่ฝีมือนายขามอย่างว่านอนสอนง่าย คำแรกที่ผมทาน ราวกับวันวานเมื่อในอดีตผมได้กินข้าวผัดไข่รสชาติแบบนี้มาก่อน จนผมต้องรีบดื่มน้ำตามแล้วถามนายขามกลับว่า
   
“นะ นายเคยผัดข้าวแบบนี้ให้ใครทานมาก่อนหรือเปล่า”
   
สีหน้าและคำพูดผมคงร้อนรนแบบแปลกๆ แต่ขามก็ทำเป็นไม่สนใจก่อนจะจัดการข้าวคำสุดแล้วดื่มน้ำตาม ก่อนจะพูดพร้อมกับจ้องหน้าผมว่า
   
“มึงไม่ใช่คนแรกที่กูทำให้กิน”
   
แววตาของคิมหันต์บอกว่าเขาพูดจริง ทำให้ผมซึ่งบังเกิดความคิดหนึ่งจุดวาบขึ้นมาถูกดับฝันในทันที ผมวางช้อนส้อมลงแล้วดื่มน้ำซ้ำ กำลังจะลุกขึ้นยืนก็ถูกคำพูดสะกดไว้
   
“น้องกูมันก็เคยกินเหมือนกัน”
   
ผมจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อจะได้เตรียมตัวขนภาพวาดไปส่งลูกค้าคนสำคัญ แต่คิมหันต์ก็ไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ เขาพูดต่อไปราวกับจะลบล้างบางอย่างที่ฝังใจผมไปแล้ว
   
“แม่กูก็เคยทาน”
   
“ฝากเก็บจานแล้วก็ล้างกระทะให้ด้วยละกัน บางทีเราน่าจะไปส่งรูปก่อนกำหนดเวลาได้ คนบ้านนั้นตื่นเช้าอยู่แล้ว นายจะได้กลับไปทำธุระของตัวเอง” ผมยิ้มเนือยๆ เมื่อนึกได้ว่าหลงลืมเหตุการณ์ ณ สวนพฤกษศาสตร์ นายขามอาจจะไม่ได้ตัวคนเดียว แล้วผมเหนี่ยวรั้งเขาไว้ด้วยเหตุผลโง่ๆ แฟนหนุ่มคนนั้นของเขาคงรอคอยอยู่ที่ห้องและบางทีคนที่สมควรได้ทานข้าวผัดไข่จานนี้ควรเป็นของคนๆนั้นต่างหาก
   
“มึงเป็นเพศผู้คนแรกที่กูทำให้กิน ยกเว้นไอ้น้องชายตัวแสบ”
   

TBC.
   

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -  - -

พูดคุย

:3123: :pig4: :3123:
ขอบคุณฮะ

กาลฟอร์มเยอะจริงๆ
คุณชายของเราคงมีแบบฟอร์มเก็บไว้ในแฟ้มเยอะ 55+



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2020 18:15:32 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 20





KIM’ s Talk
 
ผมเคยทำข้าวผัดไข่เลี้ยงไอ้สารทเป็นประจำตอนแม่ต้องออกไปซื้อวัตถุดิบมาทำขนมนาน ๆ เพราะฉะนั้นคุณชายขี้งอลจึงเป็นผู้ชายหนึ่งในสองคนที่ได้ชิมรสมือทำกับข้าวของผม

ไม่สิ ยังมีไอ้เด็กปากแดงนั่นอีกคนที่เคยกิน

ข้าวผัดไข่มื้อนั้นเป็นเมนูอาหารที่ผมไม่มีวันลืม หลังจากผมทำแผลบนนิ้วชี้ซึ่งถูกแก้วบาดของมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว และหมอนั่นยอมเลิกร้องไห้ ผมถามว่ามันจะกินข้าวต้มเลยมั๊ย เพราะต้องกินยาลดไข้ มันทำหน้าเหมือนเหม็นเบื่อข้าวต้มเต็มที นับตั้งแต่ป่วย แม่ก็ต้มข้าวต้มให้มันทานทุกมื้อ

“หรือมึงอยากกินอะไร ถ้ากูทำได้กูจะทำให้” ผมเสนอตัว ไม่อยากขัดใจ เกิดมันร้องไห้ขึ้นมาอีก ผมก็ไม่รู้จะหาวิธีไหนมาหยุดมันได้

“สปาเก็ตตี้”

“ตี้พ่อง” ผมสบถอย่างหัวเสีย ไอ้ปากแดงเริ่มตาแดงอีกครั้ง “เออ ๆ โทษที มึงมีอย่างอื่นที่อยากกินหรือเปล่า บ้านกูไม่ใช่โรงแรมหรูหราห้าดาวนะเว้ย”

มันสั่นหน้า เวรแล้วไง กูจะเอาความสามารถไหนไปทำสปาเก็ตตี้ให้ไอ้เด็กบ้านรวยนี่กินได้วะ

“เอางี้ มึงนั่งรอแป๊บ”

ผมปิ๊งไอเดียแล้วยกเก้าอี้ให้มันนั่งรอ ระหว่างนั้นก็จัดเตรียมวัตถุดิบเพื่อเนรมิตเมนูขั้นเทพ ระดับหมอนั่นแล้วตั้งแต่เกิดมาคงไม่เคยกินมาก่อนแน่ ๆ ผมเปิดเตาแก๊ส วางกระทะบนเตา ใส่น้ำมันเล็กน้อย พอไฟแรงก็ตอกไข่แล้วยีด้วยตะหลิว จากนั้นใส่ข้าวสวยลงไปผสม บดบี้ขยี้ขยำจนหนำใจ ผิวปากไปด้วยอย่างอารมณ์ดี พอร่วนซุยแล้วปรุงรสด้วยซอสปรุงรส คลุกเคล้าให้เข้ากัน กระทั่งสีข้าวเริ่มเปลี่ยน ไข่กับข้าวเข้ากันดีแล้วก็ใส่ต้นหอมคลุกอีกครั้ง เสร็จแล้วโว้ย

ผมวางจานข้าวผัดไข่ตรงหน้าไอ้ปากแดง ตกแต่งด้วยแตงกวาฝานเป็นชิ้นบางๆ พร้อมช้อนส้อมและแก้วน้ำเปล่า เชฟขั้นเทพอย่างผมทำตั้งแต่ปรุงอาหารจนกระทั่งพนักงานเสิร์ฟเลยหรือวะ เอาวะ ๆ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวหรอกน่า

ผมนั่งลงบนเก้าอี้มองแขกไม่ได้รับเชิญซึ่งเอาแต่จ้องมองข้าวผัดไข่ฝีมือผม

“กินได้แน่เหรอ”

ขึ้นเลยครับ ขึ้นเลย ผมตบโต๊ะดังฉาด พอเห็นตามันสั่น ๆ ก็ลดตัวลงนั่งแล้วพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นเครื่องหมายว่า แดก ๆ ไปเหอะ กูจะได้ไปทำงานบ้านอื่น

หมอนั่นใช้จมูกดมฟุดฟิด เหลือบตามองผม ปากมันแห้งแต่ก็แดงระเรื่อน่าจุ๊บฉิบหาย

เฮ้ย ไม่ใช่ น่าหาลิปออยมาให้มันทาต่างหาก

ไอ้ปากแดงจับช้อนส้อมแล้วค่อยตักเข้าปากครึ่งคำ มันเคี้ยวงึบ ๆ แล้วรีบคว้าแก้วน้ำไปดื่มทันที ผมหลับตาลง กูว่ากูชิบรสชาติกลมกล่อมดีแล้วนะ

“อร่อย”

“หะ”

“อร่อยมาก ๆ เลย” ไอ้ปากแดงชูนิ้วโป้งทั้งสองนิ้วของมัน หลังจากนั้นก็ตั้งใจกินข้าวผัดไข่ผม เอ้ย ไข่ไก่ จนผมต้องบอกมันค่อยๆ กิน ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น กูควรจะดีใจสินะที่มึงชอบฝีมือทำกับข้าวกูขนาดนี้ โตไปผมไปเรียนเป็นเชฟทำอาหารจะดีมั๊ยวะ ฮ่า ๆ

มันกินไปถึงสองจานเต็ม ๆ กินเสร็จผมก็ไล่มันกลับขึ้นไปบนห้อง แล้วผมจะเอายากับน้ำไปให้ทีหลัง ผมใช้เวลาล้างจานกับกระทะอยู่พักหนึ่ง ถ้าไม่ล้างให้เรียบร้อยแม่กลับมาเจอหลักฐานคาหนังคาเขา มีหวังกลายเป็นหนังเรื่องยาวแน่

ผมขึ้นไปถึงห้องนอนชั้นบน อันที่จริงห้องนี้ก็คือห้องไอ้สารทกับผมนั่นแหละ แต่พอแม่รับไอ้ปากแดงมาก็ถีบหัวลูกชายคนโตมากลางมุ้งนอนชั้นล่างด้านหน้าทีวี

โถ นี่ผมเป็นลูกเก็บมาเลี้ยงของแม่หรือเปล่ากันแน่เนี่ย

ไอ้ปากแดงกำลังเช็ดตัวลดไข้อยู่ มันคงพอมีแรงขึ้นหลังจากได้กินข้าวอิ่ม ๆ ไปสองจาน ข้าวต้มเละ ๆ จะไปอิ่มท้อง มีแรงได้ยังไง พอได้ข้าวผัดไข่ผมไป เอ่อ ข้าวผัดไข่ไก่ของผมไปก็ฟื้นร่างกายทันที

“กูวางยาไว้ตรงนี้นะ” ผมวางยากับน้ำไว้บนโต๊ะกำลังจะออกไปทำงานบ้านต่อ

“ช่วยเช็ดหลังที”

ผิวมันขาวราวกับกระดาษ ผมจ้องเนื้อตัวมันอยู่นาน กระทั่งอีกฝ่ายเรียกซ้ำ ผมก็รับผ้าชุบน้ำแล้วลูบบนหลังไอ้ลูกคุณหนู ตอนแรกเหมือนลงแรกหนักไปหน่อย จนผิวขาว ๆ ของหมอนั่นขึ้นรอยแดง แทนที่มันจะบอกให้เบามือ แต่ก็ปิดปากไว้นิ่ง มันน่าหาอะไรมางัดปากแดง ๆ นั่น ซะจริง ๆ เลย

“ปกติไอ้สารทมันเป็นคนเช็ดให้มึง กูไม่รู้ว่าต้องออกแรงขนาดไหน เจ็บก็บอกกูด้วยละกัน มือตีนกูหนักแบบนี้แหละ”

“อืม”

มันพูดตอบรับเบา ๆ ทำเอาผมรู้สึกขัดใจ ทั้งที่ผมเช็ดแรงขนาดนี้มันจะบอกให้หยุดก็ได้ ผิวมึงแดงไปหมดแล้วเนี่ย สาด ผมเลิกแกล้งมันแล้ววางผ้าเช็ดตัวลงในอ่างอย่างอารมณ์เสีย คนรวยเค้าไม่ค่อยแสดงความรู้สึก ไม่มีปากมีเสียงกันหรือไงวะ ทั้งที่โดนผมแกล้งไปขนาดนี้ยังไม่ร้องห้าม

“ขอบใจ”

“อะไรอีก” ผมตะคอกกลับ

“ขอบใจที่เช็ดตัวให้ แล้วก็ข้าวผัดไข่”

ผมหัวเสียอย่างสุด ๆ ผมควรจะโกรธมันที่กลายเป็นภาระให้แม่ผมกับน้อง ผมควรจะต้องโกรธมันต่อไปจนกว่ามันจะไปให้พ้น ๆ บ้านของเรา แล้วไหงตอนนี้ผมถึงรู้สึกว่าแววตาและริมฝีปากแดงก่ำ ทำลายความโกรธผมจนสิ้นซาก รวมถึงรูปลักษณ์ใบหน้าของมันยังกระตุ้นอารมณ์บางอย่างที่ผมไม่ได้ปลดปล่อยมานานหลายวันแล้ว ผมจึงรีบลุกขึ้นตรงไปยังห้องน้ำชั้นล่างทันที

ผมถอดเสื้อกล้ามสีหม่นออกทางหัว ตั้งใจจะทำให้เสร็จ ๆ ไปด้วยความเร็ว ถลกกางเกงบ็อกเซอร์แล้วถุยน้ำลายใส่มือ ละเลงน้ำบ่อน้อยเข้าหาอวัยวะส่วนกึ่งกลางที่ขยายตัวรออยู่แล้ว ผมหลับตานึกถึงพี่สาว ม.ปลายคนสวยดาวโรงเรียนที่มีหน้าอกและหุ่นเพรียวสวย ผสานจังหวะดึงเข้าดึงออก หากผมจินตนาการให้รุ่นพี่สาวไม่ได้สวมชุดล่ะ ผิวขาว ๆ เนียน ๆ หากถูกมือผมลูบขึ้นลูบลงคงเกิดรอยแดงเหมือนผิวไอ้หมอนั่นแน่ ๆ จู่ ๆ ความรู้สึกผมก็เหมือนใกล้เสร็จ เพียงนึกถึงแผ่นหลังขาว ๆ ของคนบนห้อง

ประตูห้องน้ำเปิดออกรวดเร็ว

ไอ้ปากแดงตัวจริงยืนถือขันน้ำกับผ้าเช็ดตัวจ้องมองผมไม่วางตา

เหี้ย

ผมดึงกางเกงบ็อกเซอร์ที่คาอยู่ตรงหัวเข้าขึ้นปกปิดส่วนล่าง มันสวมกางเกงตัวเดียวเช่นกัน แต่รีบหันหลังไปอีกด้านหนึ่งทันที

“ขอโทษ”

มันใช่เวลาไหมเนี่ย

“มึงรีบขึ้นไปรอบนห้องเลย” ผมตะโกนสั่งหน้าดำหน้าแดง ไม่รู้ว่าอายหรือโกรธมากกว่ากัน มันวางอุปกรณ์ไว้บนโต๊ะหน้าห้องน้ำแล้ววิ่งแจ้นกลับชั้นบนทันที

ผมปิดประตูห้องน้ำดังปัง คงดังไปถึงชั้นบน ผมจ้องนาฬิกาบนฝาผนัง ไอ้สารทมันชอบหาเรื่องอ้อนแม่ให้ซื้อโน่นนี่เป็นประจำ ทำให้การไปส่งขนมไม่ใช่จะรีบไปรีบกลับได้ หัวใจผมเต้นโครมครามแปลก ๆ ผมรู้ว่าผมกำลังคิดทำอะไร ผมเดินขึ้นไปชั้นบน ผลักประตูห้องไอ้สารท พบไอ้ปากแดงนั่งอยู่ริมขอบเตียง ทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดที่เข้าไปขัดขวางกิจกรรมเล่นกีฬาทางอากาศกลางวันแสก ๆ

“ขอโทษ”

ผมก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ค่อย ๆ ปิดประตูแล้วล็อคลูกบิด

หากมันปฏิเสธ ผมจะปลดล็อคลูกบิดทันทีแล้วจัดการตัวเองด้วยแม่นางทั้งห้าแทน

ดวงตาสั่น ๆ รวมกันเนื้อตัวขาว ๆ แวววาวจนเกือบสะท้อนแสงทำเอาใจผมสั่นแปลก ๆ อีก

“ช่วยกู” ผมพูดเบา ๆ ไม่ใช่คำสั่ง แต่คล้ายประโยคขอร้องมากกว่า “นะ”

ผมรู้ว่ามันเพิ่งฟื้นไข้ ผมไม่ควรข้อร้องมันแบบนี้ ผมกำลังตัดสินใจยุติความคิดทั้งหมด ก็พอดีกับหมอนั่นตอบมาเพียงว่า

“อืม”

มันค่อยปลดกางเกงออกด้วยมือสั่น ๆ แล้วนอนคว่ำอยู่บนเตียง

ผมควรสั่งให้มันใส่เสื้อผ้า แต่ทว่าผมกลับทำสิ่งตรงกันข้าม ไอ้ลูกชายผมมันตื่นตัวเต็มที่แล้ว และปัจจัยทั้งหมดก็มาจากไอ้ปากแดงนั่นคนเดียว ผมปลดบ็อกเซอร์ อากาศร้อนจนผิวของเราสองคนผุดหยดเหงื่อเต็มไปหมด ผมนั่งคล่อมตัวหมอนั่น ผมจัดการแยกขาเขาออก เนินก้นดูหน้าค้นหาอย่างประหลาด มีหรือที่ผมจะยับยั้งชั่งใจได้ ก็กดตัวนำอวัยวะแข็งแกร่งและร้อนแรงถูไถร่องเนิ่นน่าค้นหานั้น นานพอดูกว่าผมจะสบถร้องมองเห็นสวรรค์อยู่รำไร
 
 
“ถึงแล้ว” เสียงกาลบอกผมให้ตื่นจากภวังค์

รถยนต์แล่นเข้ามาจอดเบื้องหน้าเรือนไทยประยุกต์หลังหนึ่ง ผมมองบรรยากาศสดชื่นร่มรื่น ไกลออกไปเป็นทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา ผมก็เลยเดาว่าลูกค้าซื้อภาพของคุณชายอนันตกาลคงอยู่นอกเมืองแน่ ๆ วิวทิวทัศน์แบบนี้ไม่ใช่จะหาได้ง่าย ๆ ในตัวเมือง ผมก้าวลงจากรถ กาลเปิดท้ายรถสำรวจภาพวาดว่ายังคงปกติดี เขาถอดแว่นสีดำจับจ้องมองผมนิ่ง ๆ

“นี่บ้านตาของกูเอง”

“มึงหายโกรธกูหรือยัง” ผมถามกลับไม่ตรงประเด็น

“อืม”


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พูดคุย

:pig4:
 :3123:
 o13
ขอบคุณครับ



ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
คิม...​ถอดหน้ากากเองเลย จะได้รู้กันไป
ว่านายคลานจะยังเรียกใช้บริการอยู่อีกมั้ย :hao6:

รอตอนต่อไปนะคะ  :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 21



KALN’s TALK

   
ผมมีสิทธิ์จะโกรธเขาอย่างงั้นหรือ
   
ทั้งผมและคิมหันต์ไม่ได้มีความสัมพันธ์อื่นใดนอกจากนายจ้างกับลูกจ้างเท่านั้น เขาจะไปทำข้าวผัดไข่ให้ใครทานก็เป็นเรื่องส่วนตัว ผมมีสิทธิ์จะทักท้วงห้ามปรามไม่ให้ทำได้เหรอ ที่ผมมีอารมณ์ฉุนเฉียวตอนนี้ไม่ใช่สาเหตุว่าใครเคยกินนายคิมหันต์มาแล้วบ้าง ไม่ใช่สิ ผมรีบร้อนไปหน่อยเลยตกหล่นคำว่า ‘ฝีมือ’

หรืออันที่จริงลึก ๆ ในใจ ผมอยากกินเขามากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด รู้สึกว่ายิ่งคิดยิ่งปวดหัว

“นี่ไม่คิดจะกลับมาบ้านนี้เลยรึ ไอ้กาล”

ชายมากอายุผมดำแซมขาว ไว้หนวดเหมือนนายจันหนวดเขี้ยวในหนังเรื่องบางระจัน แต่รูปร่างค่อนข้างใหญ่ ดู กระฉับกระเฉง ออกมายืนร้องเรียกบริเวณหัวบันได มือหนึ่งถือไม้ตะพด อีกมือก็สะบัดผ้าขาวม้าไล่แมลงวันรบกวนแล้วพาดไว้บนบ่า ท่อนบนเปลือยกล้ามอกชัดอย่างคนทำการทำงานแข็งขัน

“สวัสดีครับ คุณตา” ผมยกมือไหว้ท่านทันที แล้วพยักหน้าให้คิมหันต์ทำตาม ขามจ้องดูคุณตาของผมด้วยอาการเกร็ง ๆ รีบทำความเคารพตามมารยาท

“ขึ้นมา”

คุณตาของผมเป็นกำนันตำบลแห่งหนึ่งชื่อว่า แสง ในละแวกนี้หากถามหาบ้านกำนันแสง ชาวบ้านทุกคนย่อมรู้จัก ไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็ก ๆ ห้าหกขวบ จนกระทั่งผู้สูงอายุวัยชราแปดสิบเก้าสิบปี ทุกคนล้วนรู้จักกำนันแสงทั้งสิ้น ชื่อเสียงความร่ำรวยนั้นก็ส่วนหนึ่ง เห็นได้จากบ้านเรือนที่อยู่อาศัยใหญ่โต มีเรือกสวนไร่นาหลายร้อยไร่ ปล่อยให้เช่าก็อีกมากมาย ทำกินเองก็อีกเยอะ  ส่วนชื่อเสียงความยำเกรงนั้นก็ไม่ได้น้อยหน้า ว่ากันว่าสมัยหนุ่ม ๆ คุณตาของผมเป็นลูกเศรษฐีประจำตำบล มีเรื่องชกต่อยกับนักเลงหัวไม้ตามงานวัดต่าง ๆ แทบจะทุกเทศกาล ฝีไม้ลายมือเด่นดังพอ ๆ กับฐานะร่ำรวยเลยทีเดียว

คุณตาแสงเป็นคนหน้าตาดี เรียกได้ว่าหล่อ หัวกระไดไม่แห้งมาตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น เพราะฉะนั้นลูกสาวบ้านไหนต่างก็อยากเป็นลูกสะใภ้บ้านนี้ทั้งสิ้น แต่ก็มีหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่ผูกใจคุณตาของผมได้สำเร็จ เมื่อสร้างครอบครัวร่วมกันจนกระทั่งมีลูกชายหญิงทั้งสิ้นสามคน แม่ของผมเป็นลูกสาวคนโต มีอาชายคนรอง และอาหญิงคนเล็ก ที่ต่างก็แยกตัวออกไปสร้างครอบครัวจนหมด ยายของผมจากไปตอนผมยังจำความไม่ได้ ตอนนี้กำนันแสงจึงอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว ทำให้ประโยคทักทายเมื่อครู่ ไม่ผิดไปจากผมคาดการณ์ไว้มากนัก

“ผมเรียนหนักครับ”

ผมตอบคำถามท่านที่ค้างคาไว้

กำนันแสงเรียกสาวใช้ให้ยกน้ำมาเสิร์ฟ แล้วเจ้าตัวจึงนั่งลงบริเวณชานเรือนรับแขก

“ถ้ากูไม่ขอซื้อภาพวาดของแม่มึง มึงก็คงไม่คิดโผล่หัวมาให้เห็นหน้าแน่ ๆ” เอากันเข้าไปใหญ่ ผมได้แต่ยิ้มรับ “แล้วนี่ใครวะ กูไม่เคยเห็นมึงพาใครมาบ้านกูสักที”

สรรพนามกู-มึงนี้ ผมชินเสียแล้ว อันที่จริงตาผมก็พูดแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่ขัดหูสักเท่าไหร่ แต่นายคิมหันต์มองหน้ากำนันแสงแล้วเกิดทำหน้ากลัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อจู่ ๆ เขาถูกกล่าวถึงในบทสนทนา

“เพื่อนครับ ชื่อคิมหันต์” ผมตอบแทนเจ้าตัว แล้วชวนเขานั่งลงข้าง ๆ กัน “ตาแสงบอกว่าจะซื้อภาพวาดทั้งหมด ผมจึงต้องจ้างคนมาช่วยขน แม่วาดทิ้งไว้เยอะมาก”

“คนบ้านนั้นไม่คิดเก็บไว้เลยเรอะ” กำนันแสงกระแทกไม้ตะพดลงบนพื้นแล้วเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์ “กูไม่น่ายอมให้แม่มึงแต่งเข้าบ้านนั้น”

“เรื่องมันผ่านไปแล้วครับ” ผมพยายามหยุดอารมณ์ร้อนของท่าน “อีกอย่างผมก็ย้ายของจากบ้านใหญ่มาอยู่คอนโดแล้วด้วย”

“ประเสริฐแล้ว ไอ้หลานรัก กูรออยู่ว่าเมื่อไหร่มึงจะออกมาเสียที บ้านนั้นมีคนดีเพียงคนเดียวคือคุณหญิงท่าน นอกนั้นมีแต่พวกเสือสิงห์กระทิงโฉด มึงไม่ต้องไปร้องขอเอาอะไรอีก หากเงินขาดมือก็มาขอจากกู”

“ครับ”

“นอนนี่สักคืนสองคืน” กำนันแสงพูดคล้ายออกคำสั่งแกมบังคับมากกว่าจะขอร้อง “มหา’ลัยเค้าไม่เปิดสอนวันเสาร์อาทิตย์แน่ ๆ อย่าคิดปฏิเสธ”

“แต่ว่าผมมากับเพื่อน แล้วมันก็มีงานต้องทำ” ผมคิดใช้คิมหันต์เอาตัวรอด แต่ดูเหมือนตาผมจะรู้ว่าสาเหตุของไอ้เพื่อนหนุ่มหน้าเข้มของเจ้าหลานชายถูกพามาด้วยนี้ คงไม่ใช่เพื่อมาช่วยขนของ แต่คงจะเอาไว้เป็นใบเบิกทางกลับแน่ กำนันแสงจึงให้ไปพูดกับคิมหันต์โดยตรง

“ไงมึง ไอ้คิมหันต์ มึงจะยอมร่วมมือกับกูดี ๆ หรือว่ามึงจะอยู่ข้างไอ้กาล” ถ้าผมเป็นขามแล้วเจอคุณตาผมถามด้วยคำถามเลือกฝักฝ่ายแบบนี้ ผมคงจะรีบตอบโดยเร็วว่า

“นอนครับนอน” นั่นไง ผิดไปจากที่ผมคิดไว้เสียที่ไหน

ไม่ใช่ว่าผมจะไม่มีแผนสำรอง จึงตอบท่านไปว่า

“ผมมีนัดทำรายงานครับ” ผมพูดยิ้ม ๆ ไม่ให้มีพิรุธ

“เดี๋ยวกูโอนเงินให้มึงห้าแสน เลิกหาข้ออ้างได้หรือยัง” นิสัยเสี่ยใจป๋าแบบนี้ผมคงได้มาจากกำนันแสงนี่เอง “รวมกับค่าภาพวาดของแม่มึงอีกเป็นสี่ล้านห้าแสน”

คิมหันต์สำลักน้ำดื่ม ไอโขลก ๆ ไม่หยุด จนผมต้องลูบหลังให้เขาบรรเทาอาการ

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า” เขาไอจนน้ำตาไหล จมูกแดง ตาก็แดงอยู่พักนึง อาการจึงสงบลง

พอเห็นว่าผมไม่มีท่าทีตกปากรับคำ กำนันแสงก็กวักมือเรียกชายหนุ่มวัยกลางคน แต่งตัวสุภาพสะอาดสะอ้าน สวมแว่นตาเข้ามา ผมจำได้ว่าเป็นคุณดิน เลขานุการหนุ่มของคุณตา จึงยกมือไหว้ทักทาย อีกฝ่ายยกมือรับไหว้

“มีอะไรให้ช่วยหรือครับ”

“ไอ้ดิน มึงโอนเงินเข้าบัญชีไอ้กาลสี่ล้านห้าแสน ตอนนี้เลย”

“ได้ครับ” เลขาฯหนุ่มของคุณตาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ผมจะร้องห้าม คุณเอกบดินทร์ก็ชูหน้าจอโทรศัพท์ให้ผมดูว่าธุรกรรมการเงินสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
 
กำนันแสงลุกขึ้นยืนอย่างอารมณ์ดีที่ได้เสียตัง ชายวัยห้าสิบกว่าสั่งเลขาฯคนสนิทให้เตรียมอาหารเลี้ยงฉลองต้อนรับหลานชายให้เต็มที่ เครื่องดื่มมึนเมาอย่าให้ขาดตก

“กูอยากจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้มึงคอยังแข็งอยู่หรือเปล่า ลูกหลานบ้านนี้ไม่เคยเมาหัวราน้ำ ไป ๆ ไปนอนพักผ่อนเอาแรงก่อน เย็น ๆ ค่อยออกมา”


ตาแสงยังคงดูแลให้คนเข้ามาทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูห้องของแม่ผมจนแทบไม่เห็นฝุ่นจับ ห้องนอนของแม่อยู่ทางปีกเรือนไทยด้านขวาติดกับคูคลองรั้วบ้าน สภาพของตกแต่งไม่พ้นภาพวาดสีน้ำแสดงบรรยากาศท้องทุ่งนาเขียวขจี ของทุกสิ่งยังคงอยู่ที่เดิม นับแต่วันที่แม่ออกจากบ้านนี้ไปอยู่บ้านใหญ่ ตาแสงไม่เคยขยับเคลื่อนย้ายข้าวของไปที่ใด

“แม่มึงเป็นจิตรกรหรือวะ”

คิมหันต์ถามผม ดูตื่นตาตื่นใจเมื่อเห็นภาพวาดใส่กรอบหลุยส์ประดับอยู่ตามผนังห้อง

“กูว่าจะถามตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว แต่ก็...นะ ลืมว่ะ”

“อืม” ผมพยักหน้าตอบเพียงสั้น ๆ

จินดารา ชื่อจริงของแม่ผม บุตรสาวคนโตที่คุณตารักมากที่สุดกว่าลูกคนไหน เพราะฉะนั้นผมจึงกลายเป็นหลานรักไปโดยปริยาย ท่านแสดงสีหน้าเจ็บปวดทุกครั้งที่เอ่ยถึงแม่ผม ตาแสงมักจะโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุให้แม่ผมตรอมใจตาย เป็นความผิดท่านที่ไม่คิดยับยั้งให้จินดาราแต่งงานเข้าบ้านใหญ่

จริงสิ พวกคุณคงยังไม่ทราบความขัดแย้งของสองตระกูลนี้ ระหว่าง ศิวาณิชย์ และ พิชยะนันต์ รวมถึงท่าทีและถ้อยคำของคุณตาที่ใช้เรียกบ้านศิวาณิชย์ว่า บ้านนั้น

ผมไม่ใช่สายเลือดของศิวาณิชย์

ผมเป็นเพียงลูกติดแม่จินดารา ก่อนที่เธอจะแต่งงานเข้าบ้านศิวาณิชย์

พ่อไม่เคยบอกผม จนกระทั่งคืนหนึ่งหลังจากแม่ผมเสียไปไม่กี่เดือน ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี เขากลับมาด้วยอาการมึนเมา และพูดความจริงที่ปิดบังไว้ว่า

“มึงไม่ใช่ลูกกู”

สายฟ้าซึ่งผ่าลง ณ ที่ใดที่หนึ่งจากภายนอกสว่างวาบพ่วงเสียงคำรนคำราม ผมในขณะนั้นได้แต่เฝ้าคิดว่าท่านพูดโกหกเพราะเมาสุรา แต่ทว่าเช้าต่อมา คนที่ผมเรียกว่าพ่อมาตลอดตั้งแต่จำความได้พูดกลางโต๊ะรับประทานอาหารที่มีคุณย่าระเบียบรัตน์รวมอยู่ด้วย

“ผมยินดีจะรับกาลเป็นลูกบุญธรรม หากคุณแม่ยกหุ้นส่วนทั้งหมดในบริษัทให้ผมดูแล”



---------------------------------------------------

พูดคุย

คิม...​ถอดหน้ากากเองเลย จะได้รู้กันไป
ว่านายคลานจะยังเรียกใช้บริการอยู่อีกมั้ย :hao6:

รอตอนต่อไปนะคะ  :3123:
ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ ถ้าคิมถอดหน้ากากเรื่องก็จบกันพอดีสิครับ 55+ เอาเป็นว่าเมื่อไหร่คิมจะบอกความจริงมิสเตอร์คลาน แล้วกาลจะรู้สึกยังไง นั่นและฉากที่ยาก และต้องมีแน่ ๆ



ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ

CHAPTER 22





KIM’ s TALK


แววตาของกาลตอนที่ถูกผมถามว่าแม่ของเขาเป็นจิตรกรใช่หรือเปล่า ทำเอาผมใจสลาย

ผมต้องรีบเบี่ยงเบนประเด็นไปพูดชื่นชมถึงความใจกว้างของกำนันแสง รวมถึงงานเลี้ยงฉลองต้อนรับหลานชาย ว่าจะมีเหล้ายาปลาปิ้งชั้นยอดขนาดไหน

คุณชายอนันตกาลกลับมายิ้มได้นิดนึง ก่อนจะพูดปิดท้ายว่า

“ตากูคอแข็ง นายอย่าคิดลองของก็แล้วกัน”

 

เราหลับนอนกันยาวตั้งแต่สายจนถึงเที่ยง เฮ้ย โทษที ผมใช้คำผิด พวกเราเพียงแค่นอนหลับบนเตียงคิงไซส์จนถึงทานข้าวเที่ยง เป็นเพราะผมอดหลับอดนอนทำงานร้านเฮียเจตก็อย่างหนึ่ง แถมมิสเตอร์คลานยังปลุกผมมาบ้านกำนันแสงแต่เช้าตรู่อีก พอผมตื่นขึ้นมาก็พบว่ากาลตื่นก่อนแล้ว บนโต๊ะมุมห้องมีจานอาหารกลางวันสไตล์ลูกทุ่งวางไว้อยู่รอเสิร์ฟ

“ทานข้าวมั๊ย?”

ผมขยี้หัวปลุกสติตัวเอง ทำไมท่านอนผมมันอุจาดตาแบบนี้วะ ถ่างขาอ้าซ่าไม่พอ ชายเสื้อยืดยังเลิกขึ้นมาเกือบถึงคอ จนโชว์จุกหัวนมให้ชาวประชารู้เห็นกันทั่ว นายกาลคงมองดูจนสาแก่ใจไปแล้วแน่ ๆ ถึงได้ยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนั้น ผมดึงเสื้อลงมาปิดสัดส่วนท่อนบนแล้วขยับขาเป็นรูปตัวไอ

“ไม่ทันแล้วมั้ง”

ผมกระแอมเหมือนมีส้นเท้าติดคอ ทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดอีกฝ่าย พอดีกับมีสายเรียกเข้าโทรศัพท์ของผมดังขึ้นเป็นสัญญาณช่วยชีวิต

“ว่าไงไอ้ฝรั่ง”

ผมเดินเกาพุงออกมายังนอกระเบียง ปลายสายไม่ใช่มีเพียงเสียงเดียว ผมสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชาวแก๊งร่วมก๊วนทั้งสี่พระหน่อ

ว่าแต่พวกมันไปรวมตัวกันทำอะไรวันเสาร์วะ

“เหี้ยคิมมาถึงหรือยัง” ไอ้ฝรั่งแช่บ๊วยฟรานถามกวนส้นเท้ามาก

“มาถึงไหน อะไรยังไงวะ” ผมถามด้วยท่าทีสับสน

“ถามแบบนี้มึงเบี้ยวนัดพวกกูอีกแล้วใช่ไหม ไอ้คิมหวย” ฉายานี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมในหมู่พวกเพื่อนผมมาสักระยะแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ไอ้ฟรานมันเคยเรียกก็ดูเหมือนว่าจะเป็นวันที่ผมมัวแต่ซ้อมกีฬาจนลืมไปงานเลี้ยงวันเกิดไอ้น้ำฝนเมื่อปีที่แล้ว

“กูขอโทษ คุณฟรานเก้านิ้ว”

“เออ ๆ กูรู้หรอกน่า” พอพูดฉายาประจำตัวไอ้ฝรั่งเข้าหน่อย ทำเป็นเสียงอ่อนเสียงหวานเลยนะ ไอ้นิ้วพิการ สัด “ว่าแต่มึงไปไหนไม่ทราบ”

“กูขอโทษจริง ๆ มารับงานนอกว่ะ”

“งานคู่เดตนั่นอ่ะเหรอวะ” ไอ้ฟรานเริ่มลดเสียงลง

“เออ” ผมพูดตรง ๆ ไปเลยดีกว่า ขี้เกียจไถสีข้างละ

“กับคุณชายของมึงอ่ะนะ”

“เออ” ผมยอมรับให้จบ ๆ ไป

“มึงคงลีลาเด็ดสุดยอดจริง ๆ ว่ะ เพื่อน ถึงกับขนาดทำให้ผู้ชายมาดแมนแอนด์แฮนซั่ม ยอมให้มึงซั่มจนติดอกติดใจไม่ยอมให้ห่างตัวขนาดนี้ ถามจริง มึงไปได้ของดีมาจากไหน บอกกูหน่อยดิ กูจะเอาไปใช้กับน้องมะขามหวานของกูบ้าง”

“มีก็เหี้ยละ เค้ากับกูยังไม่มีอะไรกัน เออ แล้วน้องมะขามหวานของมึงเนี่ย ไม่คิดจะพามาแนะนำให้เพื่อน ๆ รู้จักเลยหรือไง” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน ไอ้ฟรานเงี่ยน เอ๊ย เงียบไปพักนึงก่อนจะพูดว่าไว้จะพามาแนะนำ ก่อนจะบอกว่ามันเคยส่งข้อความมาบอกผม เรื่องนัดทำรายงานวิชาแคมป์วันนี้ ก็ไหงคุณชายอนันตกาลบอกว่ามึงสั่งให้มันแยกมาทำกับกูสองคนไงวะ งงในงง ไม่รู้ใครโกหกใครกันแน่ สงสัยต้องไปถามเจ้าตัวในห้องให้ได้ความซะแล้ว

พอผมกลับเข้าไปในห้อง มิสเตอร์คลานก็กำลังเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวใส่กระเป๋า เขาเหลียวมองผมชั่วครู่แล้วพูดเสียงนิ่ง ๆ ว่า

“ต้องรีบกลับ นายจะทานอาหารกลางวันก่อนก็ได้นะ”

ผมงงยิ่งกว่าเดิม ก็ไหนว่าจะอยู่ค้างคืนตามคำเชิญของกำนันแสงไงล่ะ คุณชาย

“ไม่ว่ะ” ผมปฏิเสธ ไม่ได้หิวจัดขนาดนั้น “แล้วนี่จะบอกตามึงว่ายังไง”

“พราวประดับมาขอคืนดีกับผม”

ประโยคไขคำตอบทำเอาผมเหมือนล้มทั้งยืน ไม่ใช่ว่าผมเป็นแฟนคลับเพจเทพสามฤดู หรือติดตามไอจีคุณชายอนันตกาล แต่ผมก็พอจะรู้ว่าคนตรงหน้าเคยมีแฟนสาวสุดสวย เคยได้ยินทั้งไอ้ฝรั่งเก้านิ้วเคยพูดว่าเธอคนนั้นเหมาะสมกันราวกับดาวคู่เดือน ยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยก เธอคือคนที่ทำร้ายกาลจนเขาต้องใช้บริการผมเป็นคู่เดตเพื่อย้อมใจ เธอคนนั้นยังใจร้ายกับกาลไม่พอ ตอนนี้ยังมาทำร้ายหัวใจผมซ้ำเติมไปอีก

กาลมีสีหน้ากึ่งดีใจกึ่งตื่นเต้นตลอดเวลาที่ขับรถกลับสู่ใจกลางเมือง ส่วนผมเหมือนคนกึ่งใจสลายกึ่งตายไปแล้วทั้งตัวและหัวใจ

 

คืนนั้นผมโทรเรียกกลุ่มเพื่อนทั้งสี่คนมากินฟรีที่ร้านสวรรค์ชั้นเจต ผมขอลางานกับเฮียเจตเพื่อใช้น้ำเมารักษาแผลหัวใจตัวเอง เฮียแกไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแค่พูดสั้น ๆ ว่า

‘กฎสำคัญของงานบริการที่มึงควรรู้ไว้ ไอ้คิม… ห้ามหลงรักลูกค้าเป็นอันขาด’

ผมรู้ว่าเฮียเจตรู้ว่าผมรับงานอย่างว่า และผมควรจะรู้มาตั้งนานแล้วว่าผมควรตัดใจจากกาลก่อนที่เหตุการณ์วันนี้จะมาถึง หรือผมหวังลึก ๆ ว่ากาลจะหันมามองผมไม่ใช่ในฐานะคนขนของหรือคนปรนเปรอสวมหน้ากาก แต่เป็นผมที่มีฐานะต่ำกว่าเขาในทุกด้าน ตอนผมรู้ว่าเขากำพร้าทั้งพ่อและแม่ ทำให้ผมเข้าใจกาลมากขึ้นไปอีก ผมเองก็กำพร้าพ่อเช่นเดียวกัน

กิจและก้านจับตามองผมราวกับอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังในใจผมเสียให้ได้ ผมบอกทั้งฟรานและน้ำฝนรวมถึงคู่หูตัวกอว่า ผมดวงดีถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ในความเป็นจริงแล้วผมถูกคุณชายอนันตกาลกัดกินหัวใจดวงน้อยจนแทบไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว ผมควรจะทำใจกับเรื่องพวกนี้ ผมเองก็เคยหักอกสาว ๆ หนุ่ม ๆ มานักต่อนัก พอโดนเข้ากับตัวถึงได้รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกโคตรบัดซบ แม้แต่น้ำเมาก็ไม่อาจทำให้ผมลืมใบหน้าดีใจของกาลที่จะได้กลับไปคืนดีกับผู้หญิงคนได้

“ไอ้เหี้ยนี่ตัวหนักอย่างกับช้าง” ก้านกับน้ำฝนต่างพยายามหิ้วปีกผมกลับไปยังรถแท็กซี่ ส่วนกิจมันอาสาพาไอ้ฟรานไปส่งหาน้องมะขามหวานของมัน ทุกคนเมาหัวราน้ำไม่ต่างกัน ยกเว้นที่ผมน่าจะเป็นคนที่เมาหนักมากที่สุด ผมเพิ่งมารู้วันนี้นี่เองว่า น้องมะขามหวานของไอ้ฟรานก็คือไอ้ขาม น้องในชมรมกีฬาของผมนั่นเอง ขามมันตามจีบผมมาเกือบปี สุดท้ายก็ไปสะดุดตาไอ้เก้านิ้วอย่างเสี่ยฟรานจนได้ ผมว่าน้องมันโชคดีแล้วที่ไอ้ฟรานชอบ ฝ่ายนั้นทั้งหล่อทั้งรวย หากมะขามมันยังจมปลักอยู่กับผม ไม่พ้นต้องทำงานใช้หยาดเหงื่อแลกเงินไปจนตาย จะว่าไปผมเองนั่นแหละที่ปฏิเสธมะขาม

สุดท้ายผมก็มีสภาพจิตใจไม่ต่างจากคนที่ผมเคยทำร้ายไป

โลกนี้ทำไมถึงต้องมีการแบ่งแยก มีขาวมีดำ มีจนมีรวย มีสวยมีหล่อ หากฐานะทางบ้านผมเทียบเท่ากับกาลก็คงดีหรอก ผมคงทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้กาลกลับไปหาผู้หญิงคนนั้น ผมคงมีอะไร ๆ ไปสู้เธอได้บ้าง

“ขอโทษนะครับ เดี๋ยวผมดูแลเค้าเอง”

เสียงเสียงหนึ่งพูดขัดความคิดผม ก้านกับน้ำฝนเหมือนถูกหยุดไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว

“มึงจะพาไอ้คิมไปไหน” น้ำฝนถามกลับ

“เขาชื่อเล่นว่า ‘คิม’ เหรอครับ” ผมจำเสียงของ ‘เขา’ ได้ แม้ไม่ต้องลืมตามอง

ฝ่ายก้านเหมือนกับรู้ว่าต้องแก้ตัวให้ผมก็รีบบอกอนันตกาลไปว่า “มันชื่อจริงว่าคิมหันต์ กูก็เรียกมันสั้น ๆ ว่า คิม มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ว่าแต่พวกกูดูแลมันได้ ไม่ต้องให้มึงดูแลหรอก”

ผมอยากขัดขืนคำพูดก้านแต่ก็ไม่เหลือสติหรือเรี่ยวแรงใด ๆ นอกจากอาการโลกหมุนเท่านั้น

“ผมมีเรื่องต้องคุยกับเขา”

“ไม่จำเป็น” ก้านตอบโต้เด็ดขาด คำพูดมันเหมือนโกรธแทนผมอย่างไรอย่างนั้น ทั้งที่ผมไม่เคยเล่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับกาลให้มันฟังสักครั้ง

“ผมจำเป็นต้องดูแลคิมหันต์”

“ในฐานะเด็กเสิร์ฟของร้านเหรอ ถ้าใช่ก็คงไม่จำเป็น วันนี้ไอ้คิมมันลางาน” ก้านเดินหน้าสู้ต่อไป ผมอยากให้ไอ้น้ำฝนมันเรียกรถแท็กซี่ได้เร็ว ๆ เสียที ใจหนึ่งผมอยากไปกับกาล แต่อีกใจที่แหลกสลายอยากหายตัวไปจากสถานการณ์ตรงนี้ให้เร็วที่สุด

“มึงทำมันเสียใจขนาดนี้ยังจะโผล่หน้ามาให้มันเห็นอีกทำไม ไอ้สัด”

เสียงหมัดกระทบสันกรามดังชัดเจนจนผมต้องรีบลืมตามองมุมปากกาลที่ปรากฏรอยช้ำ ไอ้ก้านกำหมัดแน่นอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่

“มึงไสหัวไปไกล ๆ จากเพื่อนกู”

อนันตกาลไม่คิดตอบโต้ เขาเอาแต่จ้องมองมาที่ผม

สุดท้ายผมใช้สติที่หลงเหลืออยู่ดึงแขนก้านให้ถอยออกมา แล้วพูดว่า

“ไปกันเถอะ”




ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ความลับจะแตกเพราะความเมานี่ละนะ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 23



KALN’s TALK
   


ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เปลี่ยนไประหว่างผมกับพราวประดับ

ผมเคยรักพราวราวกับครึ่งหนึ่งชีวิตของผม พอเธอบอกเลิกความสัมพันธ์ ผมถึงได้รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองแตกสลาย ความรู้สึกอยากตายเกิดขึ้นในความคิดชั่วแล่น โลกที่ปราศจากพราวประดับผมมองไม่เห็นอนาคตเลยนอกจากความเจ็บปวดที่รอคอยอยู่

ผมเคยคิดว่าผมเจอเรื่องเลวร้ายมามากพอที่จะทนอยู่กับความรู้สึกเจ็บปวดซึ่งไร้พราวประดับเคียงข้างกายได้ แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมลืมความเจ็บปวดจากพราวไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ในอดีต ทว่าเป็นคิมหันต์คนที่สวมหน้ากากคนนั้นรวมถึงคิมหันต์อีกคนที่ผมเพิ่งปล่อยเขาทิ้งไว้หน้าร้านเฮียเจตเพื่อที่จะได้รีบมาหาพราวประดับ

รตีทำหน้าที่เพื่อนสาวคนสนิทได้อย่างดี เธอเป็นคนโทรมาบอกผมว่าพราวเลิกกับหนุ่มนักบาสคนนั้นแล้ว และขอให้ผมรีบมาหาพราวโดยเร็ว ความรู้สึกตอนนั้นผมพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำว่าดีใจ แต่ที่ทำไปเพราะรู้สึกสงสารมากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด พราวทั้งสวยทั้งเพอร์เฟคท์ ไม่ควรจะมีไอ้นักบาสหน้าโง่คนไหนทำให้เธอเสียใจ ไม่ควรมี

ผมควรจะขับรถไปหาหมอนั่นเป็นอันดับแรกแล้วชกหน้ามันให้หายแค้น พราวประดับไม่ใช่ของไร้ค่าที่มันพร้อมจะทิ้งขว้างเมื่อไหร่ก็ได้ รตีทำได้เพียงปล่อยผมไว้กับพราวประดับสองต่อสองในร้านคาเฟ่หรูหราแห่งหนึ่ง ผู้หญิงที่เป็นรักแรกของผมในช่วงวัยมหา’ลัยกำลังอธิบายสาเหตุทั้งหลายที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ทั้งน้ำตา ผมราวกับจ้องมองกระจกที่สะท้อนสภาพผมหลังจากได้ยินคำบอกเลิกของคนตรงหน้า

ผมไม่ควรซ้ำเติมอีกฝ่ายเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านพ้นไปนานแล้ว

“ไอซ์ขอโทษ กาล”

เป็นคำขอโทษที่ผมไม่อาจนับได้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ ผมอยากให้เธอแทนตัวเองว่าชื่อจริงมากกว่า หากจะมีสิ่งใดที่หลงเหลืออยู่ของคนตรงหน้าที่ทำให้ผมชอบมากที่สุดก็คือชื่อจริงของเธอ พราวประดับ

เวลาสามทุ่ม ผมขับรถพาพราวไปส่งที่คอนโดแล้ววนรถกลับไปที่ร้านสวรรค์ชั้นเจต ยังไม่ทันที่ผมจะหาตัวคิมหันต์เจอก็เห็นเฮียเจตยืนเรียกผมด้วยสีหน้าเมินเฉยมาแต่ไกล ผมจำเป็นต้องเดินไปหาเฮียแกอย่างเสียไม่ได้

เฮียเจตวางแก้วเหล้าแล้วรินบรั่นดีลงไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ก่อนจะผลักแก้วมาทางผมพร้อมพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ยกดื่ม ผมไม่เข้าใจเจตนาของเฮียแกแต่ก็ยกดื่มตามคำสั่ง

เมื่อเห็นว่าผมดื่มหมดแล้วเฮียเจตก็เติมให้ผมอีกราวกับผมได้สิทธิพิเศษโปรโมชั่นดื่มเหล้าไม่อั้นโดยไม่รู้ตัว จนผมจำเป็นต้องเอ่ยคำถามขึ้นมาก่อน

“เฮียมีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่าครับ”

“กูไม่มี” พี่เจตตอบคำถามสั้นกระชับได้ใจความ อาการแบบนี้แสดงว่าอีกฝ่ายไม่พอใจอะไรบางอย่าง แต่ที่ยังไม่ยอมพูดก็เพราะอยากให้ผมสารภาพออกมาเอง

“พี่อยากรู้อะไรหรือเปล่า” ผมถามกลับพร้อมยกเหล้าดื่มต่อ

สุดท้ายเฮียเจตก็เหมือนคนหมดความอดทน เมื่อผมทำหน้าตีมึน

“เด็กที่มึงพาไปช่วยขนของวันนั้น มันชื่อว่า คิม ไม่ใช่ ขาม” เฮียเจตพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้ผมต้องขมวดหัวคิ้ว

“เขาโกหกเรื่องชื่อทำไมครับ” ผมถามกลับ ใบหน้าซื่อ ๆ ของคิมหันต์ไม่น่าจะมีอุปนิสัยแบบนี้ แต่คงมีเหตุผลความจำเป็นบางอย่าง

เมื่อเห็นว่าผมยังไม่ยกบรั่นดีขึ้นดื่ม เฮียเจตก็ดันแก้วส่งมาให้ผมเป็นสัญญาณ ผมจำเป็นต้องกรอกน้ำสีเข้มเข้าร่างกายเพื่อรอคำตอบ

“ไอ้คิมมันเป็นคนซื่อ เรื่องโกหกชื่อ ถ้าให้กูเดา มันคงไม่อยากข้องแวะกับมึงมั้ง” คำพูดและสายตาเฮียเจตเหมือนใบมีดคมกริบ พร้อมที่จะฟาดฟันคู่สนทนาได้ตลอดเวลา แววตาแบบนี้ผมเคยเห็นพี่กวางแฟนเฮียแกมักแสดงออกตลอดเวลาเมื่อแฟนหนุ่มกล้าลองดี

คำว่า ไม่อยากข้องแวะ ทำเอาผมพูดต่อไม่ออก บุคคลิกของผมไม่น่าไว้วางใจขนาดนั้นเลยเหรอ
 
“กูฝากให้มึงช่วยเหลือมัน เพราะที่บ้านมันเดือดร้อนเรื่องเงิน แต่ไม่นึกว่ามึงจะทำให้มันต้องเสียใจขนาดนี้”

เฮียเจตชี้ไปยังโต๊ะมุมหนึ่ง ถัดจากโซนวีไอพี มีกลุ่มชายหนุ่มยืนรุมล้อมบุคคลที่ผมมาตามหาไว้ เขาเมาแล้ว เรียกว่าอาการหนักเลยทีเดียว เสียงเพลงบรรเลงท่วงทำนองผ่อนคลาย บ่งบอกว่าร้านสวรรค์ชั้นเจตใกล้จะปิดในอีกไม่กี่นาที

“ผม...”

“มึงกับไอ้คิม ต่างคนต่างอยู่จะดีกว่า กูได้ยินว่าแฟนเก่ามึงกลับมาง้อขอคืนดีแล้วใช่ไหม ไอ้กาล” ตอนนี้เฮียเจตเก็บขวดบรั่นดีพร้อมแก้วคืน ราวกับบอกเป็นนัยให้ผมกลับบ้านได้

“อีกวางมันเคยชอบพูดว่า กูกับมันอยู่ด้วยกันได้ทุกวันนี้ คงเป็นเพราะเวรกรรมไม่ใช่เนื้อคู่ กูยอมรับว่ากูเองไม่ได้เป็นคนดีมีศีลเสมอกัน แต่กูก็มีความรักมอบให้ไม่มีวันเปลี่ยน... อีกวางมันรักไอ้คิมเหมือนพี่เหมือนน้อง มึงทำให้ไอ้คิมมีสภาพแบบนี้ได้ เมียกูไม่ออกมาตบหน้ามึงก็ถือว่ารอดตัวไปนะ ไอ้คุณชาย มึงกลับไปก่อนเถอะว่ะ”

ผมไม่เพียงไม่ทำตามคำขอของเฮียเจต ยังฝืนดันทุรังพาคิมหันต์กลับไปดูแลที่ห้องเพื่อเคลียร์เรื่องราวภายในใจ รอยศอกหมัดบนหน้าผมจากฝีมือของเพื่อนคิมหันต์รอยนี้ ผมสมควรได้รับ หากพี่กวางมาให้เห็นคงจะสาแก่ใจไม่น้อยแม้เธอไม่ได้ลงมือตบหน้าผมเองก็ตาม โทษฐานทำให้เด็กในสังกัดของเธอต้องเสียใจ

ผมกลับถึงห้องแล้วกวาดเบียร์ในตู้มาเปิดดื่มกระป๋องแล้วกระป๋องเล่า เหล้าทุกยี่ห้อไม่เคยเอาชนะผมได้ มีเพียงเบียร์เท่านั้นที่ทำให้ผมหมดสภาพ ผมกำลังลงโทษตัวเอง ทั้งที่ผมควรรู้ใจตัวเองมาตั้งนานแล้วว่า

คนที่เก็บกระเป๋าตังมาคืนให้ผม ณ ลานจอดรถหน้าร้านสวรรค์ชั้นเจตวันนั้นได้ขโมยหัวใจผมไปแล้วทีละนิดทีละน้อย...คิมหันต์


เสียงเคาะประตูห้องปลุกผมให้ตื่นจากนิทรา

ผมอยากให้เป็นคน ๆ เดียวเท่านั้น เขารู้ที่อยู่ห้องผม จริงสิ เขาควรต้องแวะมาเอาค่าจ้างช่วยขนรูปวาดของแม่ผมไปส่งที่บ้านกำนันแสง เมื่อคิดได้แบบนั้น ผมก็รีบลุกจากเตียงนอนไปเปิดประตูด้วยสภาพผมชี้โด่เด่และนุ่งเพียงกางเกงยีนตัวเดียว

“คุณชาย ทำไมมึงมีสภาพแบบนี้วะ” เหมร้องทัก ส่วนวัสมองไล่ผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะส่ายหน้าอย่างรับสภาพไม่ได้

“รีบวิ่งมาเปิดประตูสภาพนี้ ไม่น่าจะใช่นิสัยปกติของมึงนะ กาล คิดว่าพวกกูสองคนเป็นใคร หรือคิดว่าเป็นไอซ์” คำพูดวัสทำเอาผมหน้าสลด ก่อนจะหันหลังกลับเข้าห้องแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง

เหมนั่งโซฟาเคียงข้างกับวัส เขาสองคนแต่งตัวอยู่ในชุดนักศึกษา พร้อมที่จะไปเรียนต่อในตอนบ่าย เห็นทีผมคงต้องฝากใบลาไปให้อาจารย์ประจำวิชา รู้สึกหนักหัวแล้วก็ตัวร้อนรุ่ม ๆ เหมือนจะเป็นไข้

“มีคนถ่ายภาพมึงกับไอซ์ได้ที่ร้านกาแฟ ถ้าเดาไม่ผิดไอซ์คงกลับมาขอคืนดีแล้วใช่ไหม” เหมเอ่ยปากถาม

“อืม” ผมตอบเพียงสั้น ๆ

“คุณชาย มึงช่วยพูดอธิบายมากกว่านี้ได้ไหมวะ กูสองคนยังเป็นเพื่อนสนิทมึงอยู่หรือเปล่า” วัสเริ่มขึ้นเสียง สีหน้าดูโกรธเคือง

“แล้วยังมีมือดีถ่ายภาพมึงถูกชกหน้าร้านเหล้าไปลงเพจอีก คำถามคือ ทำไมมึงได้ไปฉุดเพื่อนไอ้ฟรานที่ชื่อคิมหันต์ถึงหน้าร้านเหล้า ทั้งที่ในวันเดียวกันก็มีข่าวว่ามึงคืนดีกับไอซ์แล้ว” เหมซัดหมัดเด็ดไม่ต่างจากเพื่อนนายคิมหันต์และผมคิดว่ามันซ้ำรอยเดิมบนใบหน้าของผมเลยทีเดียว

“กูชอบคิมหันต์”

สีหน้าของเหมและวัสตกตะลึงไม่แพ้กันเมื่อเพื่อนตัวดีสารภาพความในใจออกมา
   

- - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พูดคุย

ความลับจะแตกเพราะความเมานี่ละนะ
ที่แน่ ๆ คุณชายกาลของเรา แตก 1 จ้า ได้แผลมาเลย


ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 24



KIM’s TALK

   ผมควรเลิกหาเงินด้วยการนัดพบกับมิสเตอร์คลาน ตัดความสัมพันธ์ที่ผ่านมาในช่วงเวลาไม่กี่วันทิ้งไป แล้วเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ก่อนที่จะเจอ เขา มุ่งมั่นทำงานสุจริตที่ร้านเฮียเจตอย่างตั้งใจเต็มร้อย เพื่อหาเงินรักษาน้องชายด้วยหยาดเหงื่อแรงกายจะดีกว่า

   ผมควรเลิกชอบเขา อนันตกาล ศิวาณิชย์

   หลังจากเหตุการณ์หน้าร้านเฮียเจตคืนนั้น ถึงผมจะเมาหนักมาก แต่ก็พอจะจดจำได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น กาลมาหาผม หัวใจผมตอนนั้นอยากได้เขาปลอบโยนอย่างเต็มกำลัง แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า คนที่เขาต้องการอาจไม่ใช่ผม อาจเป็นนายคิมหันต์ผู้สวมหน้ากากที่ไปหาเขาทุกครั้งคนนั้นต่างหาก ทำให้ผมปฏิเสธและให้พวกเพื่อน ๆ พากลับห้อง

   พอตื่นเช้ามา ผมกลับรู้สึกเสียใจที่ตัดสินใจแบบนั้น ผมควรไปกับกาล แววตาเจ็บปวดยามถูกไอ้ก้านชกมุมปาก ทำเอาผมอยากพยาบาลรักษาดูแลรอยแผลนั้นอย่างจริงจัง วันนี้วันหยุด ผมควรจะไปหาเขาอย่างที่คิดเอาไว้ โดยอ้างว่ายังไม่ได้ค่าจ้างขนรูปภาพไปส่งบ้านกำนันแสง

   หากผมมีความกล้ามากกว่านี้คงจะรีบลุกจากเตียงแล้วแต่งตัวไปทำตามที่คิดวางแผนไว้ แต่เปล่าเลย ผมยังคงนอนจมอยู่บนเตียง ไม่มีหน้าจะให้กาลพบเห็นอีก เขาจะกลับไปคืนดีกับแฟนสาว แล้วผมจะกลับไปหาเขาด้วยฐานะอะไร

   ช่วงบ่ายผมเข้าไปเตรียมของที่ร้านสวรรค์ชั้นเจต พี่กวางผู้จัดการสาวพอเห็นหน้าผมก็กวักมือเรียกเข้าไปหา ไร้วี่แววแฟนหนุ่มตัวดีเจ้าของชื่อร้าน

   “เป็นไงบ้าง คิม พี่ได้ยินว่าเมื่อคืนมีผู้ชายมาฉุดหน้าร้านไม่ใช่เหรอ” ประโยคทักทายพร้อมรอยยิ้มของพี่กวางทำเอาผมได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ “พี่ล้อเล่นหรอก แต่จะว่าไปนะก็ซะใจอยู่เหมือนกัน ผู้ชายพรรค์นั้นอย่าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย”

   สรรพนามเรียก ผู้ชายพรรค์นั้น ของพี่กวางคงไม่พ้นคุณชายอนันตกาล

   ผมไม่แน่ใจว่า พี่กวางรู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบางมากแค่ไหนจึงไม่ได้พูดตอบโต้ แล้วจึงขอตัวไปจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านหลังร้าน พบกับมะขามพอดี มันกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ พอเห็นว่าผมเข้ามายังล็อกเกอร์ก็ร่ำลาปลายสายแล้วเดินเข้ามาหาผม

   “พี่กลับมาทำงานแล้วเหรอ” มะขามถาม มึงก็ซักฟอกกูซะอย่างกับเป็นเมียคนที่สองเลยนะ ผมพยักหน้าตอบมัน

   “พี่คิม วันนี้ผมว่าพี่กลับไปพักเถอะ สภาพพี่ดูไม่ได้เลย ผมจะบอกพี่กวางกับพี่เจตเอง” ขามปิดประตูล็อกเกอร์แล้วดันผมกลับไปที่ประตู

   “สภาพกูเป็นยังไงวะ” ผมถามกลับรวดเร็ว

   “เหมือนโดนเมียทิ้ง”

   ประโยคเด็ดเมื่อครู่ทำเอาผมหน้าชาวาบ

   “แถมหน้าตาเหมือนคนนอนไม่หลับ ผมเผ้าดูไม่ได้ ถ้าพี่ฟืนทำงานคืนนี้ผมว่าพี่ต้องน็อคเข้าโรงพยาบาลแน่” นี่มึงมีแฟนเป็นหมอดูตั้งแต่เมื่อไหร่ พอผมจะย้อนกวนส้นทีน มะขามมันก็จูงมือผมเดินออกไปนอกร้าน ริมถนนมีรถยนต์ลักษณะคุ้นตาจอดอยู่ ยังไม่ทันที่ผมจะประมวลผลว่ารถยนต์คันนี้เป็นของใคร มะขามก็เปิดประตูข้างคนขับแล้วผลักผมเข้าไปนั่งอย่างว่านอนสอนง่าย

   “ฝากไปส่งทีนะครับ” ขามตะโกนบอกคนขับแล้วกระแทกประตูใส่หน้าผม พอผมหันไปมองโชเฟอร์ก็รีบหันมาง้างประตูจะเปิดออก เสียงล็อกประตูดังคลิก ผมหันไปสบสายตากับกาลแล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง

   “จะไปห้องกูหรือห้องมึง” กาลถามผมเสียงนิ่ง

   “ไม่ไปโว้ย” ผมกระซิบตอบชัดเจน

   “ถ้างั้นแวะโรงแรมแถวนี้ก็คงได้สินะ” มิสเตอร์คลานสรุปรวบรัดทันที ทำเอาผมเสียอาการต้องรีบปฏิเสธว่า ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่โรงแรมแถวนี้

   
   คำว่าไปไหนก็ได้ในสารบบความคิดของคุณชายอนันตกาล ศิวาณิชย์คงจะเป็นคนละความหมายของผม กาลขับรถพาผมออกนอกเมือง ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะขับรถไปบ้านกำนันแสง คุณตาผู้ร่ำรวย มีหนวดยาวโค้ง แต่เปล่า กาลพาผมไปไหนก็ได้ไกลกว่านั้นมาก หลังจากผ่านเส้นทางถนนที่นับว่ามีโค้งเยอะมากที่สุดในประเทศแล้ว สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็ปรากฏให้เห็นตอนใกล้ตะวันตกดิน

   “เชี่ย มึงจะพากูมาปายทำไมวะเนี่ย พรุ่งนี้กูมีเรียนนะ” ผมร้องโวยวายพอเป็นพิธี อันที่จริงผมรู้ชะตากรรมตัวเองแล้วว่าพรุ่งนี้ต้องโดดเรียนแน่ ๆ จึงส่งข้อความไปบอกไอ้ก้านเป็นที่เรียบร้อยให้ช่วยเขียนใบลาให้หน่อย พอกาลเห็นผมเริ่มมีปากเสียงโวยวายอีกครั้ง เขาก็จอดรถแล้วจูงมือผมข้ามไปยังสะพานข้ามแม่น้ำปาย มีนักท่องเที่ยวอยู่บ้างเล็กน้อย

   “กูเห็นว่ามึงฝากเพื่อนให้ลาเรียนแล้ว” กาลพูดโดยไม่ได้มองหน้าผม แล้วยื่นกล้องโปรสำหรับถ่ายรูปมาให้ “ถ่ายรูปให้หน่อยสิ”

   “หน่อยไหน แถวนี้มีใครชื่อหน่อยหรือวะ” ผมแกล้งตีเนียน ไม่อยากทำตามคำขอของอีกฝ่าย ผมก็ไม่ใช่คนใจง่ายนะครับ

   กาลยกมุมปากแล้วหยิบแว่นกันแดดยี่ห้อแพงมาสวม ประกอบกับทรงผมที่เซตเสยขึ้นอย่างดี มีเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวปลดกระดุมด้านบนไว้สองเม็ด สวมกางเกงสแล็กเรียบหรูดูดีมีชาติตระกูล เหมือนเขาเป็นนายแบบรูปหล่อชื่อดัง ส่วนผมเป็นตากล้องโนเนมมาถ่ายแบบยังไงยังงั้น

   “จ้างให้กูก็ไม่ถ่าย” ผมอิจฉานิด ๆ ที่เขาแทบไม่ต้องทำอะไรก็ดูหล่อไปทุกซอกทุกมุม หลักฐานคาตาก็บรรดาสาว ๆ หนุ่ม ๆ ที่แอบมองอยู่บริเวณใกล้เคียงนั่นเอง

   “ถ้าจ้างเป็นเงินนายก็คงไม่เอาถูกไหม” กาลมองสบตาผม เขาย่อมรู้อยู่แล้วว่าเงินไม่สามารถซื้อตัวผมได้ ถ้าไม่มากพอ ฮ่า ๆ ผมยืนนิ่งไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ กาลจึงก้าวเดินมาหาผมแล้วกระซิบข้างหูผมว่า

   “ถ้าเป็นเรื่องบนเตียงล่ะ พอจะใช้จ้างนายได้หรือเปล่า”

   ผมผู้ควรจะปฏิเสธหัวชนฝา ไม่หลงใหลในคารมและเสน่หาอันแพรวพราวของคุณชายอนันตกาล กลับถูกคำพูดนั้นชักชวนให้ยินยอมทำตาม

   “กูถ่ายให้ก็ได้ ไม่ใช่เพราะเรื่องอย่างว่านะ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง หากผมไม่ยอมเป็นตากล้องให้อีกฝ่าย ไม่รู้กาลจะคิดใช้วิธีไหนมาร้องขอผมอีก เอาเป็นว่าผมไม่ได้แพ้ทางนะ ผมแค่ตัดไฟแต่ต้นลมเท่านั้น

   “ขอบคุณครับ” กาลยิ้มพอใจ

   หลังจากสลับกันถ่ายภาพ ณ สะพานประวัติศาสตร์ท่าปายจนพอใจแล้ว กาลก็ขับรถพาผมเข้าไปในตัวอำเภอปาย เพื่อหาที่พัก โชคดีบ้านไม้เก่าหลังหนึ่งบริเวณมุมถนน บรรยากาศร่มรื่น หน้าร้านเปิดเป็นร้านอาหาร เจ้าของร้านถูกชะตากับคุณชายกาลที่สั่งอาหารราวกับเลี้ยงคนเป็นสิบ เฮียเจ้าของร้านจึงบอกว่า ด้านหลังมีห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยวว่างอยู่ห้องหนึ่ง ให้คุณชายกับเพื่อนพักได้โดยไม่คิดค่าเช่า พอกาลปฏิเสธว่ายินดีจะจ่าย เฮียเจ้าของร้านก็พูดว่า

   “คนมาปายช่วงนี้ไม่เพราะมีความรักก็อกหัก แต่เฮียดูแล้ว หนุ่มน่าจะเป็นข้อแรกมากกว่า การช่วยคนให้รักกันก็เป็นความสุขของคนแก่อย่างหนึ่ง พักฟรี ๆ อย่าคิดมาก พรุ่งนี้ค่อยมาเหมาอาหารเช้าที่ร้านแล้วกัน อาหมวยพาอาหนุ่มสองคนนี้ไปห้องพักได้แล้ว”

   ลูกสาวเจ้าของร้านยิ้มกริ่มแล้วเดินพาพวกผมไปยังห้องพัก ก่อนจากน้องหมวยยังแอบกระซิบถามผมว่า

   “พี่สองคนเป็นแฟนกันใช่ไหมคะ หนูเป็นสาววายค่ะ”

   ผมได้แต่ยิ้มแห้งตอบกลับไป ผมจะเอาคำไหนตอบน้องหมวยได้ สถานะความสัมพันธ์ของผมกับกาลในตอนนี้จะเรียกว่านายกับบ่าว หรือเพื่อนกับเพื่อน หรือคนขนของกับนายจ้าง ผมเองก็ไม่อยากจะคิด มีอย่างหนึ่งที่ผมรู้แน่ ๆ ก็คือ ระหว่างเดินทางมาอำเภอปาย ผมถูกชายหนุ่มมาดคุณชายที่เดินอยู่ด้านหน้านี้ขโมยหัวใจไปโดยที่เหยื่อแทบไม่รู้เนื้อรู้ตัวสักนิด

   กาลหันมามองหน้าผมและถามไถ่ เมื่อ จู่ ๆ ผมก็หยุดเดิน

   “เป็นอะไรหรือเปล่า”

   เป็นผัวมึงไง ผมอยากจะพูดคำนี้โต้ตอบ แต่หัวใจที่อีกถูกอีกฝ่ายกำไว้ซะแน่นขนาดนั้นทำให้ผมได้แต่หลบตา ตอบไปสั้น ๆ ว่า “กูนอนโซเตียงนะ เอ๊ย โซฟา”

   ทำไมลิ้นผมมันพันกันแบบนี้ นี่ขนาดยังไม่ได้ดื่มน้ำเมาเข้าปากนะเนี่ย

   กาลยกยิ้มร้ายกาจ แล้วพูดทิ้งท้ายว่า “บางที...นายอาจจะไม่มีโอกาสได้นอนก็ได้นะ คืนนี้น่ะ”
   
   
   
   

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 25


KALN’s TALK

   “มึงจะชอบใคร ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกกู คุณชาย” คำพูดเหมดังซ้ำจากความทรงจำ

   “แต่คนที่มึงควรจะแคร์ก็คือเค้าคนนั้นต่างหาก ทำให้มันชัดเจน ไอ้กาล” ประโยคหมัดเด็ดจากวัสกระตุ้นบางอย่างในความคิดผม

   นั่นทำให้ผมรีบอาบน้ำแต่งตัว ไม่ควรจมอยู่กับความรู้สึกผิดพลาดในอดีต คนเราสามารถทำพลาดกันได้ แต่ก็มีโอกาสให้เริ่มต้นใหม่เสมอ ผมคว้ากุญแจรถเพื่อจะขับไปหาคิมหันต์ ครั้นเปิดประตูก็พบว่า พราวประดับยืนรออยู่หน้าห้อง พวกเหมกับวัสจึงขอตัวกลับไปโดยมีสายตาคาดโทษของเพื่อนทั้งสองฝากไว้

   ผมขับรถพาพราวประดับในชุดเดรสสีขาวปักลายเกล็ดหิมะไปยังร้านอาหารชื่อดัง เพราะเธอกล่าวเริ่มต้นประโยคแรกว่า อยากทานข้าวเช้าร่วมกับผม

   พราวประดับยังคงสวยในแบบหญิงสาวที่ผู้ชายทั้งหลายใฝ่ฝันอยากเป็นคู่ชีวิต เธอแต่งหน้าเพียงเล็กน้อย ผมสีดำยาวถึงกลางหลังนั้นให้ความรู้สึกเหมือนคลื่นทะเลในเวลากลางคืน ดวงตากลมใสที่เคยสุกสกาวกว่านี้ยังคงพยายามยิ้มให้เข้ากับริมฝีปากสีชมพูอ่อน

   เมื่อพนักงานเสิร์ฟยกจานอาหารมาวางตรงหน้าเราสองคน พราวยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณอีกครั้ง เธอจิบน้ำจากแก้ว แล้วจับช้อนส้อมตักอาหารรับประทาน ผมเอาแต่จ้องการกระทำของคนตรงหน้าจนหลงลืมรับประทานอาหาร พราวหัวเราะออกมาเล็กน้อยกับกิริยาเหม่อลอยของผม เราสองคนแทบไม่ได้พูดคุยเป็นเรื่องเป็นราว อาศัยสื่อสารทุกอย่างผ่านแววตา ผมรู้ว่าพราวเพิ่งผ่านความเจ็บปวดมา เพราะคำพูดที่พรั่งพรูไม่หยุดเมื่อวานทำให้ผมได้รู้ทุกเรื่องราวชีวิตหลังจากพราวบอกเลิกผม โดยไม่จำเป็นต้องถามเซ้าซี้อีก

   พราววางช้อนส้อมลงเมื่อรับประทานอาหารตรงหน้าจนอิ่ม จิบน้ำเปล่าแล้วยิ้มให้ผม

   “ขอบใจนะ กาล”

   “ยินดีครับ” ผมตอบรับ พร้อมส่งยิ้มให้พราวประดับ

   “รตีเคยบอกว่า ไอซ์โชคดีที่มีกาลเป็นแฟน ตอนนั้นไอซ์ได้แต่ยิ้มรับคำชมของเพื่อน ไม่ได้ตระหนักรู้ถึงความโชคดีของตัวเองขนาดนั้น จนกระทั่งวินาทีนี้ไอซ์ถึงได้รู้ความหมายที่แท้จริง แต่ก็สายไปเสียแล้ว” พราวประดับกล่าว ผมเคยชอบผู้หญิงคนนี้ คิดวางแผนถึงอนาคตจนกระทั่งมีครอบครัว ภาพในหัวที่มีพราวประดับอุ้มเจ้าตัวเล็ก ประคับประคองเด็กน้อยอย่างทะนุถนอม เป็นภาพฝันที่สมบูรณ์แบบ ก่อนทุกอย่างจะพังทลายลง หากจะโทษพราวผิด ผมคงพูดได้ไม่เต็มปาก ผมคงบกพร่องคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด จนกระทั่งพราวต้องทอดทิ้งผมไปในตอนนั้นแน่ ๆ ทว่าตอนนี้ผมไม่ต้องการอยากรู้คำตอบอีกแล้ว

   “ช่วงที่เราคบกัน ผมไม่เคยเสียดายเวลาที่อยู่กับพราวเลย” ผมพูดจากใจจริง

   พราวประดับขยับมุมปากสีชมพูอ่อน ๆ ขนตาซึ่งยาวตามธรรมชาติขับเน้นให้ดวงตาของเธอกลมโตและคมเข้มอย่างไม่ต้องบรรจงแต่งแต้ม

   “ไอซ์มาขอพบกาลอีกครั้งวันนี้ ...เป็นครั้งสุดท้าย” พราวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเล็ก ๆ

   ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจในเจตนาของคู่สนทนา อีกฝ่ายเมื่อเห็นหัวคิ้วผมขยับชนกันก็รีบเสริมว่า

   “พอจบซัมเมอร์ ไอซ์จะย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศ คงไม่มีโอกาสได้พบกาลอีก”

   ความรู้สึกผมไม่อาจบรรยายเป็นถ้อยคำใด ๆ ได้ ผมกับพราวรู้จักและคบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงช่วงซัมเมอร์ของปีสอง ระยะเวลาเกือบสองปี สายใยความสัมพันธ์ต่าง ๆ ย่อมมีมากมายจนไม่สามารถบรรยายได้หมด ทุกช่วงเวลาตลอดสองปี ผมลืมความเจ็บปวดจากพ่อบุญธรรมที่ไม่เคยสนใจไยดีผมได้ เพราะผู้หญิงตรงหน้านี้ช่วยคลายความทุกข์ในใจ พราวยื่นมือมาในช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอเหลือเกิน ไม่ต่างจากหยดน้ำแข็งท่ามกลางฤดูร้อน

   ผมเอื้อมมือทั้งสองกอบกุมมือของพราวประดับไว้ ถ่ายทอดความรู้สึกและถ้อยคำมากมายผ่านไออุ่นสัมผัสทางกาย ผมอยากจะสรรหาคำพูดมากล่าวลามากกว่านี้ ผมควรจะโต้ตอบหญิงสาวที่อยู่เคียงข้างผมตลอดสองปีให้มากกว่านี้ แต่เราทั้งสองต่างรู้ดีว่า ความรู้สึกในอดีตจะเป็นของขวัญล้ำค่าทุกครั้งยามที่หวนนึกถึง

   ผมบอกคิมหันต์ให้อาบน้ำก่อน เพราะตั้งใจจะออกไปถามอาหมวยลูกสาวเฮียเจ้าของที่พักว่า มีเสื้อผ้ากับกางเกงขายหรือเปล่า เขาทำทีเหมือนไม่ไว้วางใจผมแต่ก็ยอมปฏิบัติตามคำสั่งโดยดี เด็กสาววัยมัธยมต้นบอกว่า ที่นี่มีเสื้อยืดกับกางสามส่วนขาย โดยเธอแอบกระซิบ ถ้าพวกพี่ซื้อเป็นเซตคู่จะมีส่วนลดพิเศษให้อีกต่างหาก พอผมบอกว่าตกลง ก็ได้ชุดเสื้อยืดสีขาวสกรีนรูปสะพานประวัติศาสตร์ท่าปายกับกางเกงสีน้ำตาลมาสองตัว ขนาดตัวผมกับคิมหันต์ไม่ได้ต่างกันมากจึงเลือกไซซ์มาเหมือนกัน  พอผมจะจ่ายเงินเต็มจำนวนตามราคาบนชุด อาหมวยผู้ออกตัวเป็นสาววายก็ปฏิเสธ เธอว่าได้ลั่นปากแล้วจะมีส่วนลดสำหรับซื้อเซตคู่ ผมจึงพยักหน้าแบบเลยตามเลย

   ครั้นกลับมาถึงห้องพักก็พบคิมหันต์ยืนพันผ้าขนหนูสีขาวทำหน้านิ่วอยู่

   “กูออกไปหาชุดมาเปลี่ยนให้” ผมวางชุดเซตคู่ลงบนเตียง ผมลืมบอกไปว่าห้องนี้ไม่มีโซฟาแต่อย่างใด นอกจากเตียงขนาดใหญ่แล้ว นอกระเบียงมีเพียงโต๊ะเอาไว้นั่งชมวิวริมแม่น้ำปายเท่านั้น “ใส่สิ...คิม”

   นายคิมหันต์คงไม่คิดว่าผมรู้ชื่อเล่นที่ถูกต้องแล้วจากเฮียเจต อีกฝ่ายมีท่าทีผงะเล็กน้อย ก่อนจะคว้าเสื้อมาสวมพร้อมกับนุ่งกางเกง ผมลืมไปว่าคิมหันต์เป็นนักกีฬามหา’ลัย ขนาดร่างกายจึงใหญ่กว่าผมเล็กน้อย เสื้อยืดสีขาวจึงรัดสัดส่วนจนขับผิวสีออกแทนให้ดูชัดเจนกว่าปกติ ยิ่งจุดที่ไม่ควรโผล่อย่างเช่นหัวนมก็ปรากฏให้เห็นจนผมต้องรีบเบี่ยงสายตามองบริเวณอื่น

   “ถ้ามึงอยากดู ทำไมไม่ขอดูดี ๆ จะแอบมองนมกูทำไม” คิมหันต์พูดกวนประสาทผมชัดเจน

   “ฮึ ถ้านายคิดจะเปลี่ยนเรื่องไม่ยอมบอกว่า ทำไมถึงโกหกชื่อเล่นตอนเจอกันครั้งแรกก็แล้วแต่ งั้นขอไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมคว้าผ้าขนหนูกำลังเตรียมเข้าห้องน้ำ

   คำพูดผมเหมือนเหยียบหางล่องหนของนายคิมเข้าอย่างจัง เจ้าตัวฉุดข้อมือผมไว้แล้วกล่าวด้วยหน้าตาไม่พอใจ

   “วันนั้นมึงพากูออกจากร้านเฮียเจตไม่ยอมพูดจา ถ้าเกิดมึงพาไปทำอนาจาร แล้วกูสู้กลับ มึงก็ตามมาเล่นงานกูได้ถึงคณะดิวะ ถ้าไม่บอกชื่อปลอม”

   คำอธิบายของคิมหันต์สร้างยิ้มให้ผมหนึ่งยิ้ม ดีกว่าคำอธิบายของเฮียเจตเป็นไหน ๆ ที่ว่า คิมหันต์ไม่อยากข้องแวะกับผมเสียอีก

   “เรื่องชื่ออ่ะ ไม่เท่าไหร่ แต่ตอนกูไปรับเมื่อคืนวาน ทำไมไม่ยอมมาด้วยกัน” ผมถามกลับหน้าตาจริงจัง

   ประโยคคำถามนี้เหมือนหมัดเด็ดปิดปากคิมหันต์ราวกับนักมวยน็อกคู่ต่อสู้ คิมปล่อยข้อมือผม ขมวดคิ้วครุ่นคิดนักเอาการ เหมือนพยายามตัดสินใจหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ก็เลือกที่จะยอมถอยห่างและส่ายหน้า

   “กูเมา ตอนนั้นจำอะไรไม่ค่อยได้”

   “ขอโทษ” ผมกล่าวชัดถ้อยชัดคำ จนอีกฝ่ายจำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมองสบตาผมทันที คงไม่คิดว่าจะได้ยินคำคำนี้จากปากผมสินะ ผมจึงพูดอธิบายต่อว่า “ตั้งแต่ได้รู้จักนายวันที่บอกชื่อปลอม ไม่สิ ผมเจอนายก่อนหน้านั้น จำได้หรือเปล่าว่าตอนไหน คิม”

   คิมหันต์สั่นศีรษะทันที คนอะไรความจำสั้นแต่ไอ้นั่นคงจะยาวแน่ ๆ ผมยิ้มกับความคิดแผลง ๆ ของตัวเองแล้วแกล้งหยิบกระเป๋าตังออกจากขอบกางเกงก่อนจะพลั้งมือทำหล่น คิมหันต์ซึ่งนั่งอยู่ขอบเตียงและใกล้กว่าก็ยื่นมือหยิบเอามาคืนให้ผม ทันทีที่เขาทำแบบนั้น ดูเหมือนว่าความทรงจำ ณ ลานจอดรถหน้าร้านสวรรค์ชั้นเจตเมื่อสองปีก่อนก็หวนกลับมา เขาขยับปากแต่ไร้คำพูด

   “ขอโทษ แล้วก็ขอบใจมาก คิมหันต์” ผมจับข้อมือเขาแล้วดึงให้ลุกยืน ตอบแทนความมีน้ำใจหนนั้นและครั้งถัดมา ที่ไม่ยอมรับเงินค่าจ้างเกินกว่าปกไว้ด้วยริมฝีปากของผม ซึ่งประกบปิดปากนายคิมหันต์ไว้เป็นของรางวัล

   ผมถอนจูบออก

   “พราวประดับกับผม เราไม่ได้กลับไปคบกัน งั้นคิมสนใจจะเป็นแฟนผมหรือเปล่าล่ะ” ผมคิดว่าจังหวะนี้ต้องรีบเอ่ยปากขอให้หนักแน่นสมกับไอ้เพื่อนตัวดีสองคนบอกไว้

   คิมหันต์เหมือนสติหลุดออกจากร่าง ผมต้องเขย่าแขนเขาให้รู้สึกตัว

   “เอ่อ กู...เป็นแฟนมึง ได้หรือวะ”

   คำถามของคิมหันต์ทำให้ผมรีบพยักหน้าตอบ

   “คนจน ๆ แบบกูเนี่ยน่ะ คนที่ไม่มีอะไรเลย ต้องทำงานส่งทางบ้าน ส่งตัวเองเรียน กูมีสิทธิ์จะเป็นแฟนมึงหรือวะ ไอ้คุณชาย” คิมหันต์เหมือนไม่พอใจในหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ผมก็ยังคงพยักหน้ายืนยันหนักแน่น

   “ถ้างั้นกูมีความลับอย่างหนึ่งที่มึงควรจะรู้” คิมหันต์พูดด้วยดวงตาสั่นไหว

   “อะไรล่ะ” ผมถาม

   “มึงจำหนุ่มปริศนาที่ชื่อ คิมหันต์ ในแอปนัดเดตหรือเปล่า”

   ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย สำรวจใบหน้ารวมถึงรูปร่างของนายคิมอย่างละเอียด

   “ไอ้คนที่สวมหน้ากากไปหามึง แล้วก็มีอะไรกับมึงทุกครั้งน่ะ คือกูเอง แบบนี้แล้วมึงจะอยากเป็นแฟนกับกูอีกหรือเปล่า อนันตกาล ศิวาณิชย์”
   

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
CHAPTER 26 [END]


KIM & KALN’s TALK

   

กาลขอผมเป็นแฟน ฝันแน่ ๆ ไอ้คิม มึงตื่นเสียทีเถอะ

   คนอย่างอนันตกาล หนุ่มหล่อบ้านรวย เป็นถึงเดือนคณะบริหารฯ จะลดตัวมาขอคบกับผม ไม่ใช่เรื่องจริงแน่ ๆ

   ทว่าแววตามั่นคงของกาลยืนยันหนักแน่นในคำพูดของตัวเอง ถ้าแบบนั้นผมควรจะยินดีตอบรับทันทีไม่ใช่หรือ แล้วทำไมความรู้สึกผิดจึงก่อเกิดท่วมท้นในใจผมขนาดนี้ คงเป็นเพราะผมโกหกเขา เรื่องที่ผมสวมหน้ากากไปหาเขาทุกครั้งที่เรียกหา ผมอาจจะคิดปิดบังไปจนวันตายก็ได้ แต่ทว่าแววตาใสบริสุทธิ์ของกาลขณะรอคำตอบรับคบหา ทำให้ผมละอายใจเกินกว่าจะปกปิดเอาไว้กับตัวได้อีก ผมหัวเราะอย่างสมเพชตัวเอง โอกาสที่รอคอยมาถึงแล้ว แต่ไม่อาจไขว่คว้าไว้ได้ นี่คงเป็นผลกรรมจากการกระทำหลอกลวงคนอื่น หัวใจผมถึงได้เจ็บปวดสาหัสขนาดนี้

   “มึงจำหนุ่มปริศนาที่ชื่อ คิมหันต์ ในแอปนัดเดตหรือเปล่า”

   “ไอ้คนที่สวมหน้ากากไปหามึง แล้วก็มีอะไรกับมึงทุกครั้งน่ะ คือกูเอง แบบนี้แล้วมึงจะอยากเป็นแฟนกับกูอีกหรือเปล่า อนันตกาล ศิวาณิชย์”

   ผมพูดไปแล้ว หลับตาระงับความเจ็บปวด ไม่อยากสบตาอีกฝ่ายที่เงียบงันพอกัน

   “ผมรู้ว่าเป็นนาย ไม่งั้นไม่ยอมมีอะไรด้วยหรอก”
   

   ผมส่งรอยยิ้มบางเบาให้คิมหันต์ เอื้อมจับมือเขาให้ลืมตาขึ้นมามองหน้ากัน นายคิมยอมเปิดเปลือกตา นัยน์ตาแฝงความสงสัยไว้มากมาย ผมจำเป็นต้องอธิบายให้เขาล่วงรู้

   “รอยแผลเป็นบนนิ้วชี้ขวาของนายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำไมผมจะจำคนที่ทำข้าวผัดไข่ให้ทานตอนนั้นไม่ได้ล่ะ”

   ผมรู้มาสักพักแล้วว่า คิมหันต์คือเด็กคนนั้น ผมให้คุณกฤษดนัยเลขาฯของพ่อเลี้ยง ช่วยสืบหาครอบครัวผู้มีบุญคุณมาตลอดเวลา จนกระทั่งผมเริ่มสงสัยรอยแผลเป็นบนนิ้วชี้ขวาของคิมหันต์ที่สวมหน้ากาก ประจวบเหมาะกับที่นายคิมหันต์คนนี้ก็มีแผลเป็นอย่างเดียวกัน เมื่อเริ่มสังเกตรูปร่างและน้ำเสียงอย่างละเอียดลออ ผมก็ได้แต่ยิ้มยินดี เมื่อผมเอาหลักฐานหลาย ๆ อย่างนี้ให้เลขาฯคุณตาแสง คือ คุณเอกบดินทร์ ช่วยสืบอีกทางหนึ่ง จึงพบว่า ครอบครัวของนายคิมเป็นคนที่ช่วยเหลือผมตอนที่ถูกลักพาตัวตอนเด็กจริง ๆ คุณดินบอกว่าตอนนี้น้องชายนายคิมที่ชื่อ สารท ประสบอุบัติเหตุรถล้ม ต้องนอนพักโรงพยาบาล ผมเพิ่งทราบเรื่องราวชัดเจนทั้งหมดไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง ระหว่างที่นั่งฟังพราวประดับพร่ำคำขอโทษนั้น ข้อความว่า คิมหันต์คือใคร และรายละเอียดครอบครัวของเขาทั้งหมด เพิ่งถูกส่งมาให้ผมตอนนั้นเอง

   ผมกลับไปตามคิมหันต์ที่ร้านสวรรค์ชั้นเจตเพื่อพากลับห้อง หวังจะเล่าเรื่องที่รู้มาให้เจ้าตัวทราบ ว่าผมคือเด็กที่ครอบครัวเขาเคยช่วยชีวิตไว้ แต่ก็ไม่ได้พูดอย่างที่ตั้งใจไว้

   หลังจากนั้นผมจึงโทรนัดแนะไอ้ฝรั่งฟรานซิส ให้บอกเด็กของมันที่ชื่อ มะขาม ช่วยจับตาดูคิมหันต์ ถ้าเจ้าตัวโผล่มาทำงานก็จับตัวมาส่งให้ผมทันที ภารกิจลักพาตัวนายคิมเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ผมต้องพาเขาออกมาเพื่อหาที่สงบ ผมจะได้อธิบายเรื่องราวความจริงทั้งหมดให้เขาได้ล่วงรู้ และไม่มีทางหนีผมไปไหนได้อีก

   ผมเล่าทุกอย่างให้คิมหันต์ฟังทุกอย่าง เขาเอาแต่จับจ้องมองผม ไม่มีคัดค้านหรือถามกลับ ได้แต่พยักหน้าบ้างเป็นบางครั้ง นายก็นับว่าเป็นผู้ฟังที่ดีอยู่เหมือนกันนะ

   “ผมได้เบอร์โทรศัพท์ของแม่นาย จากการตามสืบของคุณดิน จึงตัดสินใจโทรกลับไป” ผมกล่าว “น้ำเสียงคุณป้ายังเหมือนเดิมไม่ต่างจากสมัยก่อนแม้แต่น้อย พอคุณป้ารู้ว่าผมคือใคร...”

   “แม่กูบ่นถึงมึงตลอดเช้าสายบ่ายเย็น หลังจากมึงถูกคนที่บ้านพากลับไป กูแอบเห็นแม่นั่งร้องไห้ทุกเย็น บ่นว่ามึงชอบกินข้าวต้มฝีมือตัวเองอย่างนั้นอย่างนี้ ไอ้สารทก็ไม่ต่างกัน มันบ่นว่าไม่ได้เช็ดตัวมึงแล้วเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง ทีการบ้านไม่เคยคิดทำได้แบบนี้บ้าง ส่วนกู...”

   “นายคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า” ผมถามย้ำ

   คิมหันต์ตาเริ่มแดง แล้วจู่ ๆ ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น ผมต้องคว้าตัวเขาเข้ามากอดไว้ พลางลูบหลังให้คลายโศก

   “คิดถึงทุกวัน”

   “ผมก็เหมือนกัน งั้นเราตกลงเป็นแฟนกันนะ คิมหันต์”

   “ก็แล้วแต่มึงดิ”

   “ไหนลองเรียกชื่อเต็มผมสิครับ”

   “อนันตกาล”

   “คิมหันต์อนันตกาล พูดใหม่สิครับ”

   “ไม่พูดแล้วโว้ย”

   ผมและคิมต่างยิ้มหัวเราะไปด้วยกัน ท่ามกลางบรรยากาศของ คืนฤดูร้อนที่ยาวนาน...


-จบแล้วครับ-
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2021 12:28:44 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด