KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : ตอนจบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: KEY WORD รหัสปีนเกลียว (อาถรรพ์สายรหัสกินกันเอง) : ตอนจบ  (อ่าน 10336 ครั้ง)

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
           (ต่อ....)

            นี่มันเป็นเรื่องน่าอายที่สุดชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้

            แม้ว่าเขาจะเคยคบกับผู้ชาย แต่นั่นมันก็ไม่ได้นานพอที่จะทำให้เขาเคยสัมผัสกับแก่นกายของใครคนนั้น แม้จะผ่านกางเกงก็ตามเถอะ แล้วดูมันตอนนี้สิ สายตาหยาดเยิ้มที่กำลังมองมาทางเขาแบบนั้น เหมือนกำลังจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง

                “นะครับ ช่วยผม แค่ครั้งเดียว...ก็ยังดี” เสือร้ายส่งเสียงและสายตาออดอ้อนคนตรงหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะที่ในใจก็ได้แต่พยายามจะกัดฟันฝืนทนกับความอึดอัดภายใน แม้ว่าอยากจะลุกขึ้นมาขย้ำเหยื่อมากแค่ไหน แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่นั้น

                เพราะไม่อย่างนั้น ความลับเรื่องที่แขนของเขาไม่ได้เป็นอะไรได้แตกต่อหน้าฮ่องเต้แน่ อย่าลืมสิ ว่าตอนนี้แขนข้างขวาของเขายังเข้าเฝือกอยู่

                “พี่เต้...” โฟโต้เอ่ยเรียกคนที่หน้าแดง ตัวแดงอีกครั้ง พลางลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เพราะความน่ารักเสียจนเขาอยากจะลุกขึ้นไปฟัดตอนนี้เสียให้ได้

                ทน...ทนเอาไว้ ไอ้โฟโต้

                “ช่วย...ช่วยตัวเองดิวะ” ฮ่องเต้ร้องบอกและดึงมือออกไป พร้อมทั้งหันหน้าหนีด้วยความเขินอายและอาการร้อนผ่านในตัวที่แทบจะปะทุออกมา

                “แต่เพื่อนพี่เป็นคนทำให้ผมเป็นแบบนี้นะครับ พี่ไม่คิดที่จะรับผิดชอบหน่อยเหรอ” หนุ่มรุ่นน้องยังว่าเสียงอ่อย อย่างต้องการจะให้คนตรงหน้าคิดที่จะรับผิดชอบไอ้การที่เขาต้องเป็นแบบนี้บ้าง หากแต่ฮ่องเต้กลับขมวดคิ้วใส่

                “มะ...มึงหมายความว่าไงที่ว่า...ไอ้นิว...” ฮ่องเต้เอ่ยปากออกไปได้แค่นั้น เพราะยังไม่แน่ใจกับการสังหรณ์ใจของตัวเอง

                ผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งและโตพอที่จะรู้ว่าไอ้อาการที่มันเป็นอยู่คืออะไรหรอก

            “ผมไม่รู้ว่าพี่นิวเอาอะไรใส่ลงไปในเหล้า...” โฟโต้เว้นจังหวะ หอบหายใจด้วยความเหนื่อย “...รู้แต่ว่า มันทำให้ผมทนไม่ไหว มันปวด...ไปหมด”

                คนเจ้าเล่ห์แสร้งทำตัวน่าสงสารให้คนใจอ่อนต้องมองตามด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ แต่เพราะความที่ไม่เคยทำให้ใคร มันจึงทำให้คนที่โตกว่าลังเลใจ

                “มึง...มึงก็ไปห้องน้ำดิวะ” ว่าออกไปอย่างไม่อยากจะหันกลับมาสบสายตาคนเจ้าเล่ห์ จนสุดท้ายโฟโต้จึงต้องยอมปล่อยแต่โดยดี เพราะเขาเองก็ทนไม่ไหวกับความอึดอัดที่ชักจะมากเกินขีดจำกัดแล้วเช่นกัน

                “ถ้าอย่างนั้น พี่ช่วยพาผมไปห้องน้ำก็ได้ครับ” โฟโต้เสียงอ่อนลงไป หากแต่น้ำเสียงนั้นยังแฝงความรู้สึกเจ็บปวดแบบที่ฮ่องเต้ต้องเหลือบตากลับมามอง...ใบหน้าของคนเด็กกว่าที่กำลังน้ำตาคลอ

                อาจจะเพราะความทรมานจากการต้องอดกลั้น ดังนั้น เขาจึงใจอ่อน...

                “เออๆ” ตอบกลับไปพร้อมกับทำหงุดหงิดใส่อย่างตั้งใจจะกลบเกลื่อนความอายของตน

                ก่อนที่เขาจะช่วยพยุงโฟโต้ให้ลุกขึ้นมาและพาไปที่ห้องน้ำตามคำร้องขอ พร้อมทั้งปิดประตูและรีบผละออกมาเพราะเสียงหัวใจที่เต้นแรง

                ฮ่องเต้ยืนเอาหลังพิงประตูห้องน้ำ สังเกตว่าไม่ใช่เพียงแค่ลมหายใจของตนที่ดังถี่ขึ้น แต่อารมณ์ของเขา...ก็ขึ้น...เช่นกัน อย่างที่สายตาต้องเหลือบลงมามองที่ช่วงล่าง ซึ่งมีบางอย่างกำลังตื่นตัวขึ้นมาอย่างน่าอาย...

                นี่ผมมีอารมณ์กับไอ้เด็กนี่เหรอวะ

            คิดได้แบบนั้น จึงได้แต่หลับตาลงด้วยความระอาใจกับความรู้สึกของตนเองในเวลานี้ เขาหันซ้ายขวาอย่างกำลังจะหาตัวช่วย ก่อนจะเดินกลับไปสงบจิตสงบใจอยู่ที่ปลายเตียง กะจะอดกลั้นเอาไว้จนกว่าโฟโต้จะจัดการกับของตัวเองเสร็จแล้วปล่อยให้มันหลับไปเสียก่อน

                ขณะเดียวกัน...

                โฟโต้ได้แต่ยืนเท้ากับอ่างล้างหน้าอย่างพยายามจะอดกลั้น หลังจากจัดการถอดกางเกงตัวนอกออกจนเหลือเพียงแค่บ็อกเซอร์ เพราะเพิ่งจะมาสำเหนียกได้ว่าตนใส่เฝือกที่แขนข้างขวา ซึ่งเป็นข้างที่ถนัดที่สุด หากจะให้เขามาใช้มือข้างซ้ายทำ ยังไงมันก็ไม่เสร็จแน่ ยิ่งผนวกกับการที่เข้าโดนยาปลุกเซ็กส์เข้าไปแบบนี้ จะให้อะไรๆ มันสงบลงง่ายๆ  คงเป็นไปไม่ได้แน่

                แม้จะอยากทำพี่ฮ่องเต้แค่ไหน ผมก็ต้องอดทนเพื่อให้เขาเชื่อใจ

            หลังจากที่เฝ้าสังเกตท่าทางของฮ่องเต้มาได้สักพัก ประกอบกับได้ฟังคำพูดของนิว แม้ว่านิวจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เขาก็พอจะเดาออกว่าพี่ฮ่องเต้กำลังหวาดกลัวความรัก ดังนั้น คงยากที่จะทำให้พี่ฮ่องเต้ของเขายอมรับความรู้สึกและยอมเปิดใจที่จะเริ่มต้นใหม่กับเขา

                เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากจะคบกับรุ่นพี่ปีสี่คนนี้เล่นๆ  เหมือนกับเคยคบกับคนอื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา เพราะฉะนั้น วิธีการทุกอย่างมันก็ต้องเปลี่ยนไปจากที่เขาเคยทำ แม้มันจะยาก แต่เขาก็ต้องอดทน เพื่อให้ได้พี่ฮ่องเต้มาเป็นของเขา ไม่ใช่แค่คืนนี้ แต่จะเป็นทุกคืนและตลอดไป

            ที่สำคัญ เขาต้องการ หัวใจ ไม่ใช่เพียงแค่ ร่างกาย

            แต่กระนั้น มันก็ต้องเป็นไปในแบบฉบับของเสือร้ายอย่างเขา

                ก็คนมันถนัดแบบนั้นนี่ครับ

            โฟโต้มองซ้ายขวาอย่างหาตัวช่วย จนกระทั่ง ความคิดหนึ่งได้ผุดเข้ามาในหัว สายตาจึงเอาแต่จับจ้องไปยังข้าวของบนอ่างล้างหน้าและ...

                ไว้ค่อยซื้อคืนก็แล้วกัน

            ...จัดการกวาดของทุกอย่างลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังลั่น ก่อนที่เจ้าตัวจะร้องเสียงออกมาเสียงดังและทรุดลงไปนั่งกับพื้นทันที

                แบบที่หนุ่มรุ่นพี่ตกใจและรีบวิ่งมาทางห้องน้ำ ใช้มือเคาะประตูสองสามทีและตะโกนเข้าไป หากกลับได้ยินเพียงแค่เสียงโวยวายออกมาอย่างน่าเป็นห่วง

                เอาวะ มันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ

            ฮ่องเต้ข่มใจเอาไว้และตัดสินใจเปิดประตูพรวดเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะเบิกตากว้างกับภาพของข้าวของที่หล่นกระจายเต็มพื้น แต่เป็นอันต้องเบนหน้าหนีกับภาพของหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังนั่งเหยียดกายอยู่บนพื้นห้องน้ำพร้อมกับบางอย่างที่กำลังแข็งขืนอยู่ในมือ

                มันต้องขนาดนี้เลยเหรอวะ!

                “ฮืออออ พี่เต้...ช่วยผม...ฮึก” โฟโต้เริ่มสะอึกสะอื้น ร้องขอเสียงสั่น โดยที่ตาไม่แม้แต่จะลืมขึ้นมามองด้วยซ้ำ

                “ช่วยอะไรวะ มึงก็ช่วยตัวเองไปดิ” ฮ่องเต้ร้องบอกไปเช่นนั้น ก่อนจะค่อยหันมามองคนที่เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เอาหัวพิงกำแพงห้องน้ำอย่างเหนื่อยหอบ

                “ผมไม่ถนัดข้างซ้าย...” โฟโต้ว่าพลางค่อยลืมตาขึ้นมาสบกับสายตาของฮ่องเต้ พร้อมทั้งน้ำใสที่คลอตาซึ่งเริ่มจะแดงก่ำเพราะแรงอารมณ์

                เพียงเท่านั้น ฮ่องเต้ก็ถึงกับใจหายวาบและแสดงสีหน้าที่อ่อนลงมาอย่างเห็นได้ชัด จนโฟโต้ได้ใจและพูดเสริมทับ

                “...ช่วยผม...นะครับ”

                “มะ...มึงก็ใจเย็นดิวะ ค่อยๆ ทำไป มือข้างไหนมันก็เหมือนกันนั่นแหละวะ” เพราะคำปฏิเสธของฮ่องเต้ทำเอาหนุ่มรุ่นน้องต้องแสร้งดิ้นพล่านและใช้มือรูดแกนกายของตนขึ้นลงต่อหน้าหนุ่มรุ่นพี่

                “มันไม่เสร็จ...ยังไงมันก็ไม่เสร็จ ฮืออออ” โฟโต้ร้องโวยวายและดิ้นพลั่กๆ  อย่างจงใจจะแสดงให้เห็นว่าเขากำลังทุกข์ทรมานแค่ไหน จนฮ่องเต้ถึงกับใจกระตุกวูบ มองหนุ่มรุ่นน้องด้วยใจที่อ่อนยวบลงไปในพริบตา

                “มันไปไม่ถึง ฮึก ทำยังไง ผมต้องทำยังไง ให้มันเสร็จ ผมไม่ถนัด ฮือออ”

                “เฮ้ยยย หยุดเลยนะเว้ย!” ฮ่องเต้ร้องเสียงหลง เมื่อเห็นว่าคนที่เหยียดกายอยู่บนพื้นขยับแขนที่เข้าเฝือกของตนเข้ามายังแกนกาย “มึงจะใช้ข้างนั้นไม่ได้นะ”

                อาจจะเพราะเผลอตกใจมากไปหน่อย จึงทำให้ฮ่องเต้รีบปรี่เข้ามาหาหนุ่มรุ่นน้องอย่างลืมตัว

                พลันสายตาของโฟโต้ก็หันมาสบกับฮ่องเต้ “ผมทนไม่ได้ ผมไม่ไหวแล้ว ผม...”

                “เออๆ กูรู้แล้วน่า” ฮ่องเต้นิ่งเงียบไป อึดใจพร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำขึ้นมา ก่อนจะหันมาสบกับสายตาคนตรงหน้าอีกครั้ง “เดี๋ยว...กู...กูช่วย...ช่วยมึง...ก็ได้”

                “พี่เต้...” แม้จะดีใจแค่ไหน แต่โฟโต้ก็พูดออกไปเสียงอ่อน “...ถ้ามันฝืนความรู้สึก ก็อย่าเลยครับ”

                “แล้วจะให้กูปล่อยมึงเอาไว้แบบนี้เหรอวะ!” ฮ่องเต้สวนกลับอย่างเหลืออด เขาเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ทำไมจะไม่รู้ว่ามันทรมานแค่ไหนถ้าไม่ได้ปลดปล่อยออกมา

                “บางที ถ้าผมได้แช่น้ำเย็นมันอาจจะช่วยได้”

                “มึงอยากตายหรือไง!” ฮ่องเต้โพล่งออกไปอย่าลืมตัว เพราะถ้าเขาคิดที่จะช่วยโฟโต้ด้วยวิธีนี้ เขาจะมานั่งเขินอายทำซากอะไรล่ะ คงได้จับมันไปแช่น้ำตั้งนานแล้ว แต่เพราะว่าเขากลัวว่าโฟโต้จะไม่สบายต่างหาก ยิ่งแขนยังเข้าเฝือกอยู่แบบนี้  เขาก็ยิ่งทำแบบนั้นไม่ได้

                ทั้งเจ็บแขน ทั้งไม่สบาย เดี๋ยวก็ได้ตายห่ากันพอดี

                “แต่พี่เต้ครับ...”

                “มึงไม่ต้องพูด!” ฮ่องเต้เอ่ยปากปรามคนพูดมาก ก่อนจะก้มหน้างุด “ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว มึงอยู่เฉยๆ เหอะ”

                โฟโต้ลอบมองคนที่หน้าแดงแปร๊ดไปยันใบหูอย่างพออกพอใจ สายตาอดมองริมฝีปากแดงระเรื่อและแก้มขาวๆ นั้นอย่างเสียไม่ได้ อย่างที่อยากจะจับมาจูบสักทีสองทีให้หายหมั่นเขี้ยวในความน่ารัก น่าฟัดของคนตรงหน้า

                “ขอบคุณครับ” โฟโต้ว่าเสียงแผ่ว อย่างไม่ละสายตาไปจากใบหน้าเนียนใสของคนที่เอาแต่ก้มหน้างุดอย่างกำลังทำใจ ก่อนที่เขาจะกระตุกวูบเพราะสัมผัสบนแกนกายที่มาจาก...มือของหนุ่มรุ่นพี่

                “อื้ม...” โฟโต้เริ่มหลับตาพริ้ม ส่งเสียงครางออกมาอย่างพอใจในสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ ขณะที่ฮ่องเต้...

                แม้จะว่าเขินอายเพียงใด ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้และใช้นิ้วสัมผัสส่วนปลายแล้วค่อยขยี้เบาๆ ให้อีกฝ่ายได้เสียวจนตัวสั่น รอจนได้จังหวะแล้วค่อยรูดส่วนแกนขึ้นลงจนน้ำใสชโลมไปทั่ว จากเนิบนาบก็แปรเปลี่ยนเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น

                “อึก อ้า...พี่เต้...พี่เต้ครับ” จนอีกฝ่ายครางออกมาเสียงแหบพร่า อย่างที่คนทำถึงกับตื่นตัว

                “มะ...มึงอย่าพูดชื่อกูดิวะ” ฮ่องเต้ร้องบอกเพราะเสียงของหนุ่มรุ่นน้องที่เอ่ยชื่อของตนออกมาเช่นนั้น กำลังทำให้เขาแทบจะทนไม่ไหว จากไอ้ที่เริ่มจะสงบลงไปก่อนหน้า มันชักจะเริ่มตื่นตัวขึ้นมาและถ้าเป็นแบบนั้น เขาจะต้องทนไม่ไหว เผลอทำอะไรไปมากกว่านี้แน่

                “ขอ...ขอโทษครับ ฮาห์ๆ  แต่มันดี...ผมรู้สึกดีมาก”

                โฟโต้อดยอมรับไม่ได้ว่าการที่ทำให้คนอื่นเป็นฝ่ายทำให้มันยิ่งช่วยกระตุ้นความรู้สึกภายในมากขึ้น เสียจนเขาอดที่จะลืมตาเล็กน้อย มองไปทางฮ่องเต้ที่ตัวแดงไปทั่งร่างอย่างเสียไม่ได้ และนั่นยิ่งทำให้เสือร้ายในตัวยิ่งอยากจะกระโจนใส่เหยื่อมากขึ้นไปอีก

                “เงียบได้ไหมวะ” ฮ่องเต้ร้องบอกอย่างเขินๆ จนโฟโต้อดไม่ไหว กระเถิบเข้ามาใกล้เสียจนหนุ่มรุ่นพี่ถึงกับตกใจ

            “จะทำอะไร!?”

                “ผมแค่กลัวว่าพี่จะไม่ถนัด” หนุ่มรุ่นน้องแสร้งบอกด้วยความหวังดี หากแต่จงใจอยากจะใกล้ชิดอีกฝ่าย ตรงข้ามกับฮ่องเต้ที่ใจเต้นแรงเสียยิ่งกว่าเก่า

                กูกลัวว่ากูจะทนไม่ไหวมากกว่า

            และถ้าเป็นแบบนั้น เขาต้องขายหน้าไอ้โรคจิตปีหนึ่งแน่

                เขาจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาใช้มือรูดแกนกายของคนตรงหน้าต่อไป จนกระทั่ง...

                “ฮะ...ฮาห์ ผม...ใกล้แล้วครับ มันใกล้แล้ว”

                เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็เร่งจังหวะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนเสียงเฉอะแฉะดังก้องห้องน้ำอย่างต่อเนื่องและ...

                “ฮาห์...” ของเหลวสีขาวขุ่นก็ถูกปลดปล่อยออกมา อย่างที่มีมือของฮ่องเต้ช่วยสาวให้ออกมาจนหมด

                “ขอบคุณครับ” โฟโต้ว่าอย่างอ่อนแรง

                “พี่เต้...” เสียงร้องเรียกของโฟโต้ ทำเอาคนขี้อายต้องเงยหน้าสบตาแบบงงๆ “...ของพี่...มัน”

                เพียงเท่านั้น สายตาก็ก้มลงมองตามสายตาของหนุ่มรุ่นน้องพร้อมกับเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกทันที

                 

 

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 21 คำสารภาพ

                 “...ของพี่...มัน”

                ฮ่องเต้เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกทันทีที่สายตาสบเข้ากับบางอย่างที่กำลังดุนดันกางเกงของเขาออกมา

                “อย่ามองนะเว้ย!” ก่อนจะกระโจนเข้าปิดตาหนุ่มรุ่นน้องที่เอาแต่จับจ้องมายังช่วงล่าง แบบที่ทำให้เขารู้สึกขายขี้หน้าไปมากกว่าเก่า

            พี่เต้ มีอารมณ์กับเราเหรอวะ

            โฟโต้อดคิดเข้าข้างตัวเองอย่างเสียไม่ได้เพราะหลักฐานที่ตำตาอยู่ตรงหน้า มันออกจะชัดว่าพี่ฮ่องเต้ของเขากำลังรู้สึกยังไง จึงเอาฉวยโอกาสจับมือที่ปิดตาของเขาและดึงออกมากุมเอาไว้ พลางสบสายตากับอีกฝ่ายที่ดูเหมือนกำลังจะตายเพราะความอายที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง

                “ผมช่วยนะครับ” และพูดออกไปเสียงแผ่วพร้อมกับสายตาที่มองเข้าไปที่ร่างกายของคนที่กำลังสั่น อย่างที่ไม่อาจจะหักห้ามความรู้สึกทั้งหมดที่มีได้

                “ไม่ต้อง!!” จนฮ่องเต้ต้องแหวใส่เพราะสายตาคมที่กำลังมองมาอย่างต้องการให้เขายอมสิโรราบแต่โดยดี

                หากแต่เพราะ...

                เราไม่ได้เป็นอะไรกัน

            ทำให้ฮ่องเต้ลังเลใจ แม้ลึกๆ เขาจะไม่ได้รู้สึกรังเกียจกับสัมผัสจากอีกฝ่าย มันออกจะรู้สึกดีด้วยซ้ำกับช่วงเวลาแบบนี้ กับหนุ่มรุ่นน้องคนนี้

                “กูจัดการเองได้ มึงรีบล้างตัวแล้วออกก็ไปพักผ่อนเถอะ” ฮ่องเต้ร้องบอกออกไปพร้อมกับดึงมือของตัวเองออกมา กะจะรีบออกไปจากห้องน้ำโดยเร็วเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตน

                 หากแต่โฟโต้กลับไวทันพอจะคว้าแขนกลับมา...

                แบบที่ทำให้ฮ่องเต้เสียหลัก โผเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมาก จนใบหน้ากับเฉียดใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน ทำเอาคนที่โตกว่าถึงกับสะดุ้ง สองคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นด้วยความกังวล อย่างคนทำอะไรไม่ถูก

                “พี่เต้รู้ไหมครับ ว่าพี่น่ารักมากในสายตาของผม”

                เพราะจู่ๆ ก็ได้ยินคำพูดเช่นนั้น ทำให้ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรืออะไรกันแน่ จึงได้เพียงแค่สบตาอีกฝ่ายนิ่งราวกับถูกสะกดเอาไว้ อีกอย่าง เขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรรุนแรงออกไปเพราะยังเห็นว่าโฟโต้ใส่เฝือกอยู่ เกรงว่ามันจะกระทบกระเทือนเข้า

                “ผมขอจูบพี่ได้ไหมครับ” โฟโต้ทำทีเอ่ยปากขอ หากแต่ในใจคิดไว้ว่ายังไงก็จะต้องทำ จึงขยับศีรษะและเผยอริมฝีปากเข้าใกล้

                “มึงจะจูบกูทำไมวะ” และก็เป็นไปตามคาด เมื่อฮ่องเต้สวนกลับมาด้วยหัวใจที่เต้นแรงอย่างกับจะหลุดออกมาจากอก มันทำให้โฟโต้ต้องชะงัก แต่ก็เพียงแค่น้อยนิดและยกยิ้มที่มุมปาก เลื่อนสายตาขึ้นไปมองและจับจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตของคนด้านบน

                “ผมแค่อยากจูบ คนที่ผมรัก จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอครับ” เอ่ยออกไปเสียงหวาน มองด้วยแววตาเย้ายวนให้อีกฝ่ายได้เผลอไผล ก่อนจะเผยอปากและงับเข้าที่ริมฝีปากล่าง...

                ดูดดึงออกมาเพียงเล็กน้อยเพื่อสร้างความวาบหวามและบรรจงใช้ลิ้นร้อนสัมผัสไปทั่วทั้งริมฝีปากบนและล่าง ลิ้มชิมรสชาติหอมหวานภายนอก ขณะที่มือเลื่อนสัมผัสเส้นผมอ่อนนุ่มอย่างเบามือจนอีกฝ่ายเผลอ จึงฉวยโอกาสสอดลิ้นเข้าไปตักตวงน้ำหวานภายในเข้ามากักเก็บเอาไว้ที่ปากของตน และเว้นจังหวะ ผละออกมากลืนน้ำหวานเข้าไปอึกใหญ่และปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสพักหายใจ แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่...

                ก็ประกบปากเข้าหาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเป็นสัมผัสที่ร้อนแรงกว่าครั้งแรก ริมฝีปากของคนเด็กกว่าราวกับจะกลืนกินคนที่โตกว่าเสียให้ได้ ทั้งความเร่าร้อนและวาบหวามเกาะกุมหัวใจเอาไว้แน่น แบบที่ฮ่องเต้ต้องหลับตาพริ้มและขยับไปตามท่วงทำนองที่โฟโต้กำลังนำไป

                อดยอมรับไม่ได้ว่ามันทำให้ฮ่องเต้รู้สึกดี...

                อาจจะไม่ใช่จูบแรก แต่กลับเป็นจูบที่สามารถตราตรึงเขาเอาไว้ได้อย่างอยู่หมัด ทั้งจังหวะขยับริมฝีปากที่สร้างความร้อนแรงได้ทุกเสี้ยวนาที อีกทั้งลิ้นร้อนที่ตวัดเกี่ยวเข้ามาภายในอย่างต้องการจะหยอกล้อให้ใจเต้นเร็วและแรงขึ้น ทุกอย่างดูลงตัวไปเสียหมดจนฮ่องเต้เองก็แทบทนไม่ไหวกับสัมผัสนี้

                อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างที่วนเวียนอยู่ในใจ ทำให้เขาเผลอไผลไปกับหนุ่มรุ่นน้องอย่างง่ายดาย เช่นเดียวกับโฟโต้...เขาเองก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโอนอ่อนไปตามการลุกล้ำของเขาเช่นนี้ มันทำให้เขาอดยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้ แม้ว่าริมฝีปากจะประกบกับอีกฝ่ายและมอบสัมผัสที่เติมเต็มความรู้สึกของกันและกันมากขึ้นไปในที

                กระทั่ง พอจะจับทางได้ว่าฮ่องเต้กำลังไร้สติ มือข้างที่ว่างจึงค่อยเลื่อนสัมผัสไปทั่วแผ่นหลังของรุ่นพี่ แบบที่ฮ่องเต้ต้องเผลอส่งเสียงออกมาในลำคอเพราะความรู้สึกวาบหวิวจากมือหนาของหนุ่มรุ่นน้อง จนเริ่มจะชินกับการสัมผัสเช่นนั้น มือหนาจึงเลื่อนผ่านสีข้างมาด้านหน้าและซุกมือเข้าไปในเสื้อยืด ลูบไล้หน้าท้องอย่างเบามือและขยับขึ้นไปบนกล้ามเนื้อหน้าอกอย่างเชื่องช้า

                กระทั่ง...

                นิ้วหนึ่งสะกิดเข้าบนยอดอกซึ่งกำลังแข็งเป็นตุ่มไตด้วยแรงอารมณ์ที่เอ่อล้นออกมาเสียจนยากจะกักเก็บเอาไว้ มันทำให้ฮ่องเต้สะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลงขึ้นมามองและผละริมฝีปากออกจากหนุ่มรุ่นน้อง

                “ทำ...ทำอะไร” กระซิบถามเสียงแผ่วด้วยความตื่นตระหนก

                “ผมแค่อยากจะช่วย...” อีกฝ่ายตอบกลับไปเสียงเบาหวิว สายตาดูล่องลอยเป็นคนละคนเพราะกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้และใช้มือรั้งลำคออีกฝ่ายเอาไว้ แล้วจูบลงบนแก้มใสไปที...สองที เลื่อนลงมาที่ริมฝีปากและค่อยแปรเปลี่ยนเป็นลำขอขาวผ่อง

                อย่างที่ทำให้ฮ่องเต้...หายใจแรงขึ้น

                ไม่ไหวแล้ว...

            เขาพร่ำบ่นในใจซ้ำๆ กับสัมผัสที่เริ่มจะมากขึ้นไปทุกทีของหนุ่มรุ่นน้อง จึงได้แต่หลับตาพริ้มยอมรับสัมผัสนั้นแต่โดยดีเพราะเขาเองก็ไม่อาจจะต้านทานอะไรได้อีกต่อไป

                ครั้งเดียว...ขอแค่ครั้งเดียว

            ฮ่องเต้กลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่อย่างที่ไม่อาจจะต้านความต้องการของตัวเองได้ ใจของเขาก็ต้องการ...ต้องการหนุ่มรุ่นน้องคนนี้เช่นกัน 

                โฟโต้จึงได้ใจ ผละมือจากลำคอและเลื่อนมาลูบไล้ตรงต้นขาของฮ่องเต้ที่มีเพียงแค่กางเกงขาสั้นตัวบางสำหรับใส่นอน ที่ร่นขึ้นไปถึงโคนขาอ่อนปกปิดส่วนนั้นเอาไว้ ก่อนที่มือหนาจะขยับลึกเข้าไปด้วยจังหวะที่เร็วขึ้น...และรีบดึงมือออกมาเพื่อถอดกางเกงของคนตรงหน้าลงอย่างที่ไม่อาจจะอดทนได้อีกต่อไป

                จนเหลือเพียงแค่กางเกงชั้นในตัวบาง...

                มือของหนุ่มรุ่นน้องก็คว้าหมับเข้าที่ส่วนนั้นและปรนเปรออีกฝ่ายอย่างชำนาญ จนฮ่องเต้เริ่มส่งเสียงครางออกมาอย่างไม่ต้องการจะปกปิดความรู้สึกของตน เพราะความร้อนระอุภายในร่างกายมันไม่อาจจะเย็นลงได้ หากเขาจะหยุดในตอนนี้

                “อึก...โฟ...โฟโต้” ฮ่องเต้ส่งเสียงร้องเรียกชื่อ หลังจากที่หนุ่มรุ่นน้องงัดแกนกายของเขาออกมาให้สัมผัสกับอากาศภายนอก พร้อมทั้งความรู้สึกจากการถูกสัมผัสจากมือโดยตรง ทำให้ความเสียวซ่านยิ่งปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนเขาถึงกับตัวเกร็ง

                “ว่าไงครับ” โฟโต้เอ่ยเสียงหวานพลางยกยิ้มที่มุมปาก เมื่อมือหนึ่งจับเข้าที่แขนของเขาเพราะความเสียวซ่านจนแทบทนไม่ไหว แบบที่โฟโต้ต้องก้มลงไปกดจูบที่แก้มและจุ๊บเบาๆ ที่ริมฝีปากอีกฝ่าย

                ...พร้อมทั้งขยี้ส่วนหัวให้ตัวกระตุกและเลื่อนลงมารูดแกนกายขึ้นลงตามจังหวะเนิบช้า ก่อนจะค่อยเร็วขึ้นจนฮ่องเต้ส่งเสียงอื้ออึงออกมา

                ดี...มันดีเกินไปแล้ว

            และครวญครางอยู่ในใจเช่นนั้น อย่างพ่ายแต่ต่อการปรนเปรอจากหนุ่มรุ่นน้อง

                “น่ารักจัง...” โฟโต้แกล้งก้มลงไปกระซิบที่หูจนฮ่องเต้ขนลุกซู่ตาม “...เด็กดีของผม”

                แม้จะเป็นคำพูดที่ดูไม่ค่อยเหมาะกับคนที่อายุห่างกันถึงสามปี แต่มันก็ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกดีไม่ใช่น้อย จนอ่อนยวบลงไปตามแรงอารมณ์ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนได้รับความอบอุ่นจนน้ำตาแทบจะเอ่อล้นออกมา

                “อึก...ฮ่าห์” และมันก็ทำให้คนที่โตกว่ารู้สึกเหมือนตัวเล็กลงไป มันทั้งอบอุ่นและดีอย่างไม่น่าเชื่อ

                โฟโต้ก้มใบหน้าลงไปซุกไซร้ลำคอ เพิ่มความสุขซ่านไปทั่วร่างกายของหนุ่มรุ่นพี่ ลิ้นร้อนสัมผัสเลียเข้าคอขาวและลากลงมายังเนินอก...

                “อื้อ...อย่า...” ฮ่องเต้ร้องเสียงลงเมื่อลิ้นลากผ่านตุ่มไตสีหวาน ก่อนจะงับเบาๆ และดูดดึงจนชุ่ม จนมือบีบเข้าที่แขนของโฟโต้อย่างแรง ทว่าคนทำกลับยิ่งได้ใจ รัวลิ้นเลียรอบตุ่มจนอีกฝ่ายหายใจถี่ยิบ ขณะมือก็เร่งจังหวะสาวขึ้นลงเร็วเสียจนคนถูกกระทำแทบไม่ได้พักหายใจ

                อย่างที่กำลังลืมความเป็นจริงทุกอย่างหมดสิ้น...

            ...และส่งเสียงครางออกจาลำคออย่างไร้ข้อกังขาใดภายในหัวใจ

            ลืมแม้กระทั่งความคิดที่คอยย้ำเตือนตนอยู่เสมอว่าเขากับโฟโต้ควรจะเป็นแค่...รุ่นพี่รุ่นน้อง...

            “มัน...มัน...” เขาร้องเสียงหลงเมื่อความเสียวซ่านแล่นปราดขึ้นมาทั่วร่างจนร่างกายกระตุกตามอย่างไม่อาจจะห้ามได้ เผลอไผลขยับสะโพกตามแรงอารมณ์ กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายที่ร่างกายกระตุกเกร็งและปลดปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นออกมาจนหมดสิ้น...

                ฮ่องเต้หายใจเหนื่อยหอบ โน้มตัวไปข้างหน้าอย่างอ่อนแรง ขณะที่โฟโต้ได้แต่มองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น...


(มีต่อ.....)



ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
      (ต่อ.....)
               ฮ่องเต้คิดว่านั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน...

                เขาหลับตาพริ้มอย่างคนตกอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความสุข นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้...ความรู้สึกราวกับถูกโอบล้อมเอาไว้ด้วยไออุ่นจากใครสักคน

                “ผมแค่อยากจูบ คนที่ผมรัก จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอครับ”

                ...

                “...คนที่ผมรัก...”

                สั้นๆ แต่กลับทำให้รู้สึกดีเสียจนเกินกว่าจะพรรณนาสิ่งที่อยู่ภายในใจ เพราะหลงคิดไปว่าเป็นความฝัน จึงปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปไกล ไม่แม้แต่จะกักเก็บความรู้สึกดีๆ ที่เขามีต่ออีกฝ่ายเอาไว้...

                หากแต่เพราะแสงที่ลอดผ่านเข้ามา ทำให้เปลือกตาของหนุ่มรุ่นพี่ต้องลืมขึ้น พลันใบหน้าของคนข้างกายก็ปรากฏตรงหน้า...พร้อมกับดวงตาของฮ่องเต้ที่เบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตระหนก

                ร่างทั้งร่างลุกพรวดขึ้นมานั่งมองหนุ่มรุ่นน้องที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียงเดียวกันกับเขา...

                มันไม่ใช่ความฝัน ทั้งหมดคือความจริง...

                ความจริงที่ว่าเขากับเด็กคนนี้จูบกันและ...ทำเรื่องน่าอายลงไป

                พลันหน้าใสก็ระเรื่อไปด้วยเลือดฝาดจากความอาย แม้ร่างกายของทั้งคู่จะถูกปกปิดด้วยเสื้อผ้า หากแต่ภาพเมื่อคืนยังคงชัดเจนในความทรงจำของเขา ยิ่งไปกว่านั้น...เขาดันจำรายละเอียดทุกอย่างได้ดี แม้กระทั่งกับ...

                สายตาของฮ่องเต้เหลือบมองไปยังร่างกายช่วงล่างซึ่งถูกผ้าห่มปิดเอาไว้ของคนที่หลับใหลอย่าไม่รู้เรื่องรู้ราว

                เชี่ยยย นี่กูคิดอะไรอยู่วะ

                แล้วก็ส่ายหน้าไล่ภาพนั้นออกจากหัวทันที

                ไปว่ามันโรคจิต แต่ไอ้สิ่งที่เขาทำไป มันก็ดูโรคจิตพอกัน

            “พี่เต้...ตื่นแล้วเหรอครับ” เสียงอ้อแอ้ของคนข้างกายทำเอาฮ่องเต้เลิกลัก รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น

                “อะ...อืม” ว่าเสร็จก็พูดออกไปรัวๆ “ถะ...ถ้ามึงง่วงก็หลับต่อเถอะ กูไปอาบน้ำก่อน”

                “เดี๋ยวสิครับ” หากมือของรุ่นน้องกลับยื่นออกไปคว้าแขนของเขาเอาไว้ แต่เพราะเผลอผุดลุกขึ้นเร็วไปหน่อย เป็นเหตุให้คนที่แขนยังใส่เฝือกอยู่ต้องร้องออกมาเสียงดัง “โอ๊ยยยย”

                จนฮ่องเต้ต้องรีบกลับมาดูด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรหรือเปล่าวะ”

                โฟโต้ทำทีนิ่วหน้าใส่เพราะอาการบาดเจ็บตรงแขน...ที่แสร้งทำขึ้นมาเพื่อหลอกคนตรงหน้า

                “รู้สึกเจ็บนิดหน่อยครับ แต่ไม่เป็นไร” โฟโต้ว่าเสียงอ่อนพลางยิ้มบางๆ ให้

                “อย่าขยับมากดิวะ แขนมึงยังไม่หายดี” ฮ่องเต้พูดออกไปด้วยความเป็นห่วงอย่างลืมตัวและมันก็ทำให้อีกฝ่ายเริ่มใจชื้นขึ้นมาเพราะท่าทีที่ดูอ่อนลงไปของคนตรงหน้า

                “พี่เต้...หายโกรธผมแล้วเหรอครับ” จึงเอ่ยปากถามออกไปเสียงอ่อน แบบที่หนุ่มรุ่นพี่ถึงกับชะงักอย่างเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเขาเองก็มีเรื่องค้างคาใจกับรุ่นน้องคนนี้

                “กู...”

                “ผมขอโทษนะครับ ที่โกหกพี่...” โฟโต้แสร้งก้มหน้าก้มตาอย่างคนสำนึกผิด “...ตอนนั้น ผมคิดแค่ว่า...พี่กับนัทคงอยากจะไปด้วยกัน เลยไม่อยากไปเป็นส่วนเกิน”

                ฮ่องเต้ทำได้แต่นิ่งเงียบและฟังอีกฝ่ายพูดในสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมานาน ยอมรับว่ามันเป็นความจริงที่เขาไม่ชอบใจเอาเสียเลยและนั่น ก็ส่งผลให้บรรยากาศภายในห้องดูตึงเครียดขึ้นมาถนัดตา จนโฟโต้ต้องเหลือบตามองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเป็นระยะ

                “ผมไม่คิดว่ามันจะทำให้พี่โกรธ...จนไม่ยอมคุยกับผม” ก่อนที่มือจะเลื่อนมาจับมือของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนและออกแรงบีบเบาๆ

                “ผมไม่ได้ตั้งใจ ผม...ขอโทษนะครับ” และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ หากแต่มันกลับทำให้ฮ่องเต้ดึงมือกลับมา ก่อนสายตาตึงเครียดจะเงยขึ้นมาสบกับสายตาคนตรงหน้า

                “มึงจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ มึงก็โกหกกูไปแล้วหรือเปล่าวะ” และในที่สุดก็เอ่ยออกมาเสียงเรียบ           

                “พี่เต้...” โฟโต้เองก็แอบตกใจไม่ใช่น้อย เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโกรธเขามากขนาดนี้

                โดยเฉพาะกับร่างกายที่กำลังสั่นและแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก...น้อยใจ มันทำให้เขาใจหายวาบไปตามๆ กัน

                “มึงแคร์ความรู้สึกเพื่อนมึง อยากให้เพื่อนมึงกับกูได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองคน แล้วมึง...” ก่อนที่ฮ่องเต้จะกลืนไอ้ก้อนที่จุกอยู่ตรงลำคอของเขาและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงระคนความน้อยใจ “...มึงไม่คิดจะแคร์ความรู้สึกกูบ้างเลยเหรอวะ”

                ฮ่องเต้รู้เพียงแค่ว่า...นั่นเป็นสิ่งที่เขาอยากจะระบายออกไป หลังจากที่เอาแต่หมกมุ่นและคิดทบทวนเรื่องของเด็กปีหนึ่งที่เข้ามาวนเวียนในชีวิตของเขาในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองพูดออกไปด้วยอารมณ์ไหนด้วยซ้ำ ไม่รู้แม้กระทั่งว่ามันสมควรที่จะพูดออกไปในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง เหมือนอย่างที่เขาพยายามจะรักษาความสัมพันธ์นั้นไว้หรือเปล่า ขอแค่เพียงตอนนี้ ความอึดอัดและคับข้องใจในตอนนี้ ถูกระบายออกไปก็พอ

                เพราะเขาเองก็อยากกลับไปคุยกับรุ่นน้องคนนี้เช่นเดิม อยากให้มันเป็นเหมือนเดิม กวนประสาตและ ยิ้ม แบบที่มันยิ้มให้กับเขาเหมือนที่มันเคยทำ

                ผมแค่อยากเห็นรอยยิ้มนั้นบนใบหน้าของมัน ไม่ใช่สีหน้าอมทุกข์แบบนี้

            แม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายพยายามต่อต้านในทีแรก แต่พอมันถอยห่างเข้าจริงๆ มันกลับทำให้เขา...รู้สึกแย่

                ผมรู้แค่ว่ามันไม่มีความสุข ไม่เคยมีความสุขเลยสักครั้ง ที่มันกำลังตีตัวออกห่างจากชีวิตและผลักผมเข้าไปในชีวิตของคนอื่น

                ขณะที่โฟโต้เองก็ถึงกับต้องหันไปมองคนข้างๆ  ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดที่ทำให้เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่ทั้งน้ำเสียงและร่างกายที่กำลังสั่นระริกนั่นด้วย ที่ทำให้เขารับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่อยู่ในใจของฮ่องเต้

                เขาไม่รู้หรอกว่ารุ่นพี่ปีสี่ที่เขาหมายตาเอาไว้คนนี้ จะรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังแสดงท่าทีแบบไหนออกมา รวมถึงคำพูดนั้น ที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของพี่ฮ่องเต้เร็วขนาดนี้ แต่นั่น มันก็ทำให้เขาดีใจจนอดยิ้มออกมาไม่ได้ มันไม่ใช่รอยยิ้มอันแสนร้ายกาจ หากแต่มันเป็นรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นที่เขามักจะแสดงออกมาเพียงแค่เวลาที่เขามีความสุข...สุขที่เกิดจากหัวใจ แม้จะเพียงแค่เรื่องน้อยนิด แต่อย่างน้อยมันก็เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเขาแล้วไม่ใช่หรือ

                “พี่เต้...อยากให้ผมแคร์ความรู้สึกพี่ใช่ไหมครับ”

                คำถามที่เอื้อนเอ่ยออกไปจากปากของรุ่นน้อง ฉุดให้ฮ่องเต้ที่จมดิ่งอยู่กับความรู้สึกของตนเอง ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตนได้พูดอะไรออกไป เหมือนว่าเขากำลังให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้มากเสียจนอาจจะหลงลืมไปว่าเขากำลังตีกรอบให้ตนเองอยู่ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง

                และฐานะแบบนั้น สมควรแล้วหรือที่เขาพูดเช่นนี้ออกไป

                พอหันกลับมามองคนข้างๆ  เขาก็พบกับรอยยิ้มบางๆ  ที่ระบายบนใบหน้าของโฟโต้ เพียงเท่านั้น หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

                มันยิ้มแล้ว...

            แม้จะไม่ใช่รอยยิ้มสดใสเหมือนดังเช่นทุกครั้ง แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมาและความอึดอัดใจก็ถูกลบเลือนไปช้าๆ

                หรือความจริงแล้ว หัวใจของเขาต่างหาก ที่เป็นฝ่ายคิดอะไรมากกว่าไปกว่านั้น

            “ถ้าเป็นแบบนั้น ผมสัญญาว่าจะใส่ใจความรู้สึกของพี่เหมือนอย่างที่พี่ต้องการ”

                “มึง...คือกู...” คราวนี้ ฮ่องเต้กลับกลายเป็นฝ่ายอึกอักเพราะไม่รู้จะทำยังไงกับคำพูดของตัวเอง

                พูดออกไปแล้ว ใช่ว่าจะเอากลับคืนมาได้เสียเมื่อไหร่

            หรือบางทีเขาควรจะยอมรับความรู้สึกทั้งหมดที่มันกำลังก่อตัวขึ้นมาในใจกัน...

                “พี่เต้ครับ...” โฟโต้เอื้อมมือไปจับมือคนตรงหน้าอีกครั้ง หากคราวนี้กลับกระชับมือนั้นเอาไว้แน่นและมองสบสายตาอย่างจริงจัง “...พี่อาจจะยังไม่รู้ ว่าความจริงแล้ว...ผมชอบพี่”

                ร่างกายของคนที่โตกว่าชาวาบไปทั้งร่าง ทันทีที่ประโยคสั้นๆ หลุดออกมาจากปากของคนที่เด็กกว่า ก่อนที่ใจของเขาจะเต้นแรงขึ้นมาด้วยความรู้สึกดี หากแต่มันก็ยังมีความกังวลใจเข้ามาปะปนเสียจนเขาทำตัวไม่ถูก

                “ผมเองก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกแบบนั้น ผมรู้แค่ว่าตอนนี้ ใจของผม...มันมีแค่พี่ฮ่องเต้คนเดียว” โฟโต้ยังคงสารภาพทุกความรู้สึกทั้งหมดของตนออกไปอย่างหมดเปลือก “และที่เมื่อคืน...ที่ผมพูดออกไป มันคือความรู้สึกจริงๆ ของผมและที่ผมจูบพี่ก็เพราะผมอยากจะจูบไปตามความรู้สึกของคนที่รักพี่ ไม่ใช่เพียงแค่เพราะอารมณ์...แบบนั้น”

                ฮ่องเต้รู้สึกว่าหัวใจกำลังทำงานหนักพอๆ กับสมอง จนร่างกายชาวาบและปากหนักแบบที่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป

                “แต่ยังไง ผมก็ไม่เร่งเอาคำตอบจากพี่หรอกครับ ผมเข้าใจดีว่าระหว่างผู้ชายด้วยกัน...เอ่อ พี่เต้คงจะคิดไปว่ามัน...ไม่ควร”

                เพราะท้ายประโยคที่เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงแบบที่ทำให้คนฟังเจ็บปวดตาม ฮ่องเต้จึงอดเงยหน้าขึ้นมามองฝ่ายตรงข้ามที่กำลังก้มหน้างุดอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะหลบสายตา เมื่อหนุ่มรุ่นน้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

                “แต่ผมจริงจังกับเรื่องนี้มากนะครับ ผมอยากจะขอโอกาส...” โฟโต้เงียบไปอึดใจและมองปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้าม แล้วเอ่ยปากออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “...ให้ผมได้จีบพี่เต้นะครับ”

                และหัวใจของคนฟังก็ถึงกับกระตุก ราวกับร่างกายพลัดตกจากที่สูง ก่อนที่มันจะเต้นเร็วและแรงขึ้น

                “ผมไม่รู้หรอกครับ ว่าแผลในใจของพี่ ถูกใครทำร้ายมา แต่อย่างน้อยให้ผมได้เป็นคนรักษาแผลนั้นได้ไหม อย่างน้อยขอให้ผมได้ลองดูสักครั้ง ถ้ามันไม่หาย ผมสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างพี่ไปพร้อมกับบาดแผลนั้นตลอดชีวิตของผม”

                ฮ่องเต้ยังคงเงียบ...

                สมองของเขาเอาแต่ครุ่นคิดทุกคำพูดของโฟโต้และเรื่องราวต่างๆ ระหว่างพวกเขา ขณะที่หัวใจก็เอาแต่ส่งเสียงตามความรู้สึกที่มันปนเปกันไปหมด

                ทั้งรู้สึกดีที่อีกฝ่ายสารภาพว่าชอบ...

            ...แต่อีกใจกลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ครั้นนึกไปถึงเส้นทางของพวกเขาต่อจากนี้

            “นะครับ พี่เต้...” โฟโต้ส่งเสียงออดอ้อนอย่างต้องการให้อีกฝ่ายใจอ่อน จนฮ่องเต้ต้องหันขวับกลับไปมองอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้

                “แล้ว...กับเด็กปีหนึ่งที่ชื่อฝ้าย...”

                “ผมกับฝ้ายเป็นแค่เพื่อนกันครับ” โฟโต้ร้องบอกพร้อมกับส่งยิ้มออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้และส่งสายตาหยอกล้อ “นี่อย่าบอกนะครับ ว่าที่พี่หนีกลับก่อนวันนั้น...พี่หึงผม”

                “ไม่ใช่เว้ย!” ฮ่องเต้ร้องเสียงหลงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

                “แล้วทำไมพี่ถึงกลับก่อนล่ะครับ ทั้งๆ ที่พี่บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผม” โฟโต้ยังเท้าความไปถึงเรื่องวันนั้นต่อ จนคนที่ถูกสอบปากคำถึงกับหน้าขึ้นสี เลิกลักทางคำแก้ตัว

                “ก็กูไม่อยากให้เพื่อนมึงรอนาน”

                “แค่นั้นเองเหรอครับ” โฟโต้แสร้งทำหน้าหงอยใส่

                “เออ ก็แค่นั้นแหละ มึงจะอะไรนักหนาวะ” ขณะที่อีกฝ่ายก็ได้แต่ชักสีหน้าหงุดหงิดใส่เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายด้วยความเคยชิน

                “ผมก็แค่อยากให้พี่...” หนุ่มรุ่นน้องเว้นจังหวะและยื่นหน้าเข้าไปใกล้อย่างต้องการจะแกล้ง “...หึงผม”

                และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล จนฝ่ายตรงข้ามถึงกับชักสีหน้าหงุดหงิดเป็นเท่าตัวอย่างต้องการจะกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่เต้นแรง

                “แล้วสรุปว่าพี่จะตอบผมได้หรือยังครับ ว่าจะยอมให้ผมจีบหรือเปล่า”

                ฮ่องเต้หลุบตาลงต่ำและได้แต่ช่างใจอยู่สักพัก

                “ทำอย่างกับกูปฏิเสธแล้วมึงจะยอม” แม้ปากจะพูดกับคนตรงหน้า หากแต่สายตากลับเบนไปมองทางอื่น  จนคนรอคำตอบถึงกลับกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

                ทำไมน่ารักแบบนี้วะ

            “ถ้าอย่างนั้น จะถือว่าพี่ฮ่องเต้อนุญาตก็แล้วกันนะครับ” โฟโต้ฉีกยิ้มกว้างอย่างเด็กที่กำลังสมใจอยากกับการตามใจจากคนที่โตกว่า “เอาเป็นว่านับตั้งแต่นี้ไป ผมจะเดินหน้าจีบพี่ในแบบของผม จนกว่าพี่จะรู้สึกโอเคกับทุกอย่าง ถ้าวันนั้นมาถึง...ช่วยให้คำตอบกับผมด้วยนะครับ”

                ฮ่องเต้ที่กำลังจะหันกลับมาตอกกลับอะไรสักอย่างด้วยความหมั่นไส้ในความมั่นใจจนออกนอกหน้าของโฟโต้ ถึงกับต้องชะงักและท่าทีอ่อนลง เพราะดันไปสบเข้ากับแววตาที่กลับมาสดใสอีกครั้งและเพราะมันเต็มไปด้วยความหวัง ยิ่งทำให้เขาไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรออกไปมากกว่านี้

                “มึงนี่...ดื้อเหมือนกันนะ” เลยได้แต่ว่างออกไปพลางยิ้มน้อยๆ กับท่าทีที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ของอีกฝ่าย

                แต่อย่างน้อย มันก็ทำให้ผมสบายใจที่ได้กลับไปคุยกับมันแบบเดิม

            แม้ว่าเขาจะยังไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเองทั้งหมด แต่ความอึดอัดภายในใจ มันก็เบาบางลงไปบ้าง

                “ถ้าดื้อแล้วได้ใจพี่ ผมยอมเป็นเด็กดื้อในสายตาพี่ไปตลอดชีวิตเลยครับ ขออย่างเดียว พี่อย่าดื้อกับผมให้มากนักก็พอ...”

                “ทำไม มึงจะทำอะไรกู”

                “ผมบอกพี่ไปแล้วนี่ครับ ว่าผมจะจีบในแบบของผม นั่นก็หมายความว่า...ถ้าพี่ยิ่งดื้อกับผมมากเท่าไหร่ ผมก็ต้องใช้วิธี จีบ ที่เหมาะกับเด็กดื้อและเพิ่มระดับไปตามความดื้อของพี่นั่นแหละครับ”

                “ถอยออกไปเลยนะเว้ย!” ฮ่องเต้ร้องลั่นทันทีเพราะโฟโต้กระเถิบเข้ามาใกล้พร้อมกับยกยิ้มที่มุมปากอย่างเสือร้ายกำลังได้ใจ “แล้วก็เลิกทำหน้าเจ้าเล่ห์แบบนั้นสักที”

                ที่อยากเห็นมันยิ้ม ผมหมายถึงยิ้มแบบร่าเริงสดใส ไม่ใช่ยิ้มใส่เหมือนมันคิดไม่ซื่อกับผมตลอดเวลาแบบนี้สักหน่อยนี่ครับ

            “ดีใจจัง ที่พี่มองออกสักทีว่าผมเจ้าเล่ห์”

                “กูมองออกนานแล้วเถอะ”

                “จริงเหรอครับ!” โฟโต้ตาลุกวาวทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

                “มันใช่เรื่องน่าดีใจหรือไง!?” จนฮ่องเต้ได้แต่มองสีหน้าตื่นเต้นไม่เข้าท่าของคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

                “ทำไมจะไม่น่าดีใจล่ะครับ พี่บอกว่าพี่มองออกนานแล้ว มันก็แสดงว่าพี่เองก็มองผมมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นพี่จะรู้ได้ยังไงว่าผมเป็นแบบนั้น” ว่าแล้วก็ยิ้มแป้นแล้นใส่ อย่างภาคภูมิใจกับคำพูดของตัวเองเสียเต็มประดา

                ไอ้เด็กนี่ จินตนาการเก่งกว่าผู้หญิงอีก

            “เออ มึงจะคิดอะไรก็เรื่องของมึงเถอะ”

                ในเมื่อคนที่โตกว่าอย่างเขาทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

                “ถ้าอย่างนั้น ถือว่าพี่รับรู้แล้วนะครับ ว่าผมจะจีบ...” ว่าไปพลางโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ “...อย่าคิดหนีผมก็แล้วกัน”

                “คนอย่างกูไม่เคยคิดหนีใครอยู่แล้วเว้ย!”

                แต่ถ้ามันจำเป็นก็อีกเรื่องนะครับ

            “แล้วก็ถ้าอกหักขึ้นมาก็อย่ามาฟูมฟายทีหลังก็แล้วกัน”

                “ถ้าอย่างนั้น เรามาแข่งกันไหมครับ ว่าใครจะฟูมายก่อนกัน ระหว่างพี่กับผม...”

                คำท้าของโฟโต้ทำเอาฮ่องเต้ต้องขมวดคิ้วใส่ “ทำไมกูต้องฟูมฟายด้วย”

                “ก็เผื่อพี่แอบหึงผมไง”

                “ตื่นเหอะ มึงน่ะ” ฮ่องเต้โพล่งออกไปด้วยความเอือมระอากับความมั่นหน้าของหนุ่มรุ่นน้อง

                “พี่มาพนันกับผมไหมล่ะ ระหว่างที่ผมจีบพี่...ถ้าพี่ร้องไห้ก่อน ผมจะจูบพี่ แต่ถ้าผมร้องไห้ก่อน ผมยอมให้พี่จูบผมสิบทีเลยอ่ะ”

                “ไม่เว้ย! ถ้ามึงร้องไห้ก่อน กูจะลงโทษมึงด้วยวิธีของกู” อาจจะเป็นเพราะความอึดอัดใจก่อนหน้านั้นถูกยกออกไปจากอกจนบ้างแล้ว ฮ่องเต้จึงเผลอมองหน้ามันแบบกวนๆ อย่างไม่ทันได้คิดอะไร และนั่นก็ยิ่งเข้าทางโฟโต้ไปกันใหญ่

                “โอเคครับ ถือว่าพี่ยอมพนันกับผมแล้วนะ”

                “เออ...” และก็ตอบกลับไปสั้นๆ เพียงเท่านั้น ท่ามกลางเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย

               

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 22 มากกว่านั้น

                “กูไม่ว่าง” ฮ่องเต้พูดใส่มือถือไปพลางมือหนึ่งก็ค้นเสื้อผ้าในตู้ไปพลาง “เออ เอาไว้ตอนเย็นก็แล้วกัน แค่นี้นะเว้ย กูยุ่งอยู่”

                บอกออกไปและกดวางสายลูกพี่ลูกน้องของตนที่โทรมาตามตื๊อให้ไปกินข้าวเป็นเพื่อน แต่เขาก็ต้องปฏิเสธไปเพราะไม่อยากให้สีฝุ่นมาเห็นเขาอยู่กับโฟโต้ ไม่อย่างนั้น ได้ถูกซัก ไม่ก็ถูกล้อเป็นแน่

                ฮ่องเต้ปิดประตูตู้ หลังจากได้เสื้อผ้าตามที่ต้องการ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูห้องน้ำถูกเปิด เขาจึงชะงักฝีเท้าพร้อมกับสายตาที่เหลือบไปมองหนุ่มรุ่นน้องที่เดินออกมา

                เพียงเท่านั้น เขาก็ถึงกับต้องมองค้าง...

                เพราะคนตรงหน้าพันแค่ผ้าเช็ดตัวไว้เพียงแค่ท่อนล่าง เผยให้เห็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยหยดน้ำเกาะพราวระยับ ครั้นเมื่อแสงแดดลอดผ่านม่านเข้ามากระทบ สายตามองสำรวจไล่ตั้งแต่เส้นผมที่ชุ่มไปด้วยน้ำเสียจนหยดลงมาบนหน้าผาก...

                ...หยดน้ำนั้น ไหลลงมายังสันจมูก ผ่านริมฝีปากชุ่มชื้นกระทั่งมาถึงปลายคาง ก่อนจะหยดลงบนกล้ามเนื้อหน้าอก ผ่านกล้ามเนื้อหน้าท้องลงไปยัง...

                “หน้าแดงหมดแล้วครับ”

                ฮ่องเต้รีบเบนสายตาหนีทันที ครั้นหนุ่มรุ่นน้องเอ่ยปากแซว ก่อนจะกระแอมไอสองสามทีแก้เขิน อย่างที่โฟโต้แทบจะอดใจไม่ไหว

                คนบ้าอะไรวะ เขินแล้วน่าฟัดฉิบหาย

            คิดในใจพลางแอบเลียริมฝีปากเบาๆ และกลืนน้ำลายลงคออย่างต้องการจะแกล้งคนที่ลอบหันกลับมามองเขาเป็นระยะ ฮ่องเต้ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าสายตาของเขายังคงติดอยู่ที่หนุ่มรุ่นน้อง เพราะคิดไปว่าตนหันไปมองทางอื่น

                หากแต่คนแกล้งยังคงไม่พอใจ สองเท้าย่างเข้ามาประชิดกับหนุ่มรุ่นพี่ หากแต่พอฮ่องเต้จะขยับหนี แขนข้างซ้ายก็ยื่นออกไปรั้งเอวคนตรงหน้าเอาไว้ จนร่างทั้งสองแนบชิดกัน ชนิดที่จมูกของฮ่องเต้สามารถสัมผัสกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเส้นผมและผิวกายของหนุ่มรุ่นน้องได้อย่างง่ายดายและมันก็ทำเอาเลือดในร่างกายของเขาสูบฉีดเร็วขึ้น จนแก้มแต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อ อย่างที่โฟโต้พอใจ

                แม้จะเป็นกลิ่นหอมจากแชมพูและครีมอาบน้ำที่ฮ่องเต้ใช้ทุกวัน แต่พอมันมาอยู่บนเส้นผมสีน้ำตาลเข้มและผิวที่แม้จะไม่ขาวมาก แต่ก็แลดูสุขภาพดีของคนตรงหน้าแล้ว มันกลับส่งกลิ่นหอมยิ่งเสียกว่าตอนที่เขาใช้มันเสียอีก

                “ทำอะไรวะ...” ฮ่องเต้กระซิบถามออกไปพลางพยายามจะทำหน้าหงุดหงิดเพื่อกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่เต้นแรง แต่อาจจะเป็นเพราะความประหม่าที่มีมากกว่าก็เป็นได้ สีหน้าและท่าทางของเขาในตอนนี้ จึงแสดงออกมาให้เห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังทำตัวไม่ถูกมากกว่ากำลังไม่พอใจคนตรงหน้า

                “อย่าขยับสิครับ แขนผมยังเจ็บอยู่นะ” โฟโต้ว่าเสียงอ้อน ให้คนที่โตกว่าต้องมองลงไปยังเฝือกแขนด้านขวา

                “มึงก็ปล่อยสิวะ” ฮ่องเต้พยายามดึงตัวเองออกจากแขนของโฟโต้ หากแต่อีกฝ่ายกลับกระชับอ้อมแขนนั้นเอาไว้แน่น พร้อมทั้งมองหน้ารุ่นพี่ปีสี่ของตนอย่างเด็กกำลังอ้อนขอขนมหวาน

                “ขอผมอยู่ใกล้พี่แบบนี้อีกเดี๋ยวสิครับ...” เว้นจังหวะและโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูว่า “...ผมชอบเวลาที่เห็นพี่เขินผม”

                “กูไม่ได้เขิน” ปากก็โพล่งออกไปอย่างขัดกับอาการที่เป็นอยู่

                “ปากแข็งแบบนี้  ระวังนะครับ ว่าผมจะ...” โฟโต้ผละออกจากคนตรงหน้าและสบสายตาที่กำลังเลิกลัก แล้วค่อยเลื่อนลงมามองริมฝีปากที่เขาคิดว่ามันอร่อยที่สุดในโลก “...ใช้ปากของผมทำให้มันอ่อนลง”

                เพราะเสียงที่แหบพร่าพร้อมกับน้ำลายที่ถูกกลืนลงคออย่างเห็นได้ชัด ดวงตากลมโตจึงเบิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตระหนกและสองมือก็รีบยกขึ้นมาผลักคนตรงหน้าออกห่างทันที

                “โอ๊ยยยยย” แต่มีหรือที่เสือร้ายอย่างโฟโต้จะยอม จึงร้องโอดโอยอย่างกับแขนข้างที่ใส่เฝือกอยู่จะหัก ทำเอาเหยื่อที่เพิ่งจะตื่นกลัวเมื่อครู่ต้องรู้สึกผิดและปรี่เข้ามาดูอาการเสือร้าย

                “กะ...กูขอโทษ เป็นอะไรมากหรือเปล่าวะ” ฮ่องเต้หน้าเสียทันทีที่เห็นสีหน้าเจ็บปวดปางตายของคนที่เด็กกว่า หารู้ไม่ว่าภายใต้เฝือกอ่อนนั้น แขนของโฟโต้ไม่ได้มีแม้กระทั่งรอยขีดข่วน แถมยังใช้การได้ดีชนิดที่สามารถจับกดเขาได้ในพริบตาเลยด้วย

                “ผม...เจ็บ” หากแต่ยังตีเนียนแสร้งว่าแขนข้างที่ถนัดที่สุดเจ็บมากเสียเต็มประดา เจ็บถึงขั้นที่ว่าอดแสดงออกมาทางสีหน้าไม่ได้

                “ใครใช้ให้มึงทำแบบนั้น” จนคนที่คิดว่าเป็นต้นเหตุถึงกับเป็นห่วงในอาการ แต่ก็ยังคงรักษามาด พูดออกไปเสียงอ้อมแอ้มเช่นนั้น

                “แล้วใครใช้ให้พี่ทำน่ารักใส่ผมล่ะครับ” คนที่เด็กกว่าก็ยังคงหยอดไม่เลิก

                “ยังจะมาพูดเล่นอีก” จนอีกฝ่ายทำหน้าเครียดใส่ แม้น้ำเสียงจะไม่ได้ฟังดูน่ารักน่าชังเหมือนเด็กหรือผู้หญิง แต่มันกลับทำให้คนฟังหลงใหล กอปรกับการทำหน้ายู่เหมือนคนกำลังงอนที่ทำให้โฟโต้แทบจะสติแตกและสาบานกับตัวเองไว้ว่าชาตินี้ชาติไหนก็ไม่มีทางปล่อยเหยื่อคนนี้ไปให้ใครได้ฟัดเล่นเป็นแน่

                ก็เพราะว่าสไมโลดอนตัวนี้ จะเก็บลูกแมวตาโตตัวนี้เอาไว้ฟัดคนเดียวน่ะสิ

            “ไปใส่เสื้อผ้าได้แล้ว”

                เมื่อเอาแต่ถูกจ้องมองจนไม่เป็นอันทำอะไร ฮ่องเต้จึงว่าออกไปพร้อมกับยื่นเสื้อผ้าในมือไปตรงหน้า หากแต่คนที่เด็กกว่ากลับทำเพียงแค่มองและ...

                “พี่เต้...ช่วยใส่ให้ผมหน่อยสิครับ”

                “ใช่เรื่อง!” หากแต่ลูกแมวตาโตกลับแหวใส่อย่างเคยตัว “ทุกทีมึงก็ใส่เองได้”

                “แต่ไม่ใช่ตอนนี้นี่ครับ ที่เมื่อกี้พี่ผลัก แขนผมยังเจ็บอยู่เลยนะ” เรื่องอะไรที่เขาจะยอมแพ้ มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองทั้งที มีหรือจะยอมไม่ฉวยโอกาสกับคนตรงหน้า

                แล้วฮ่องเต้ก็ดันลังเลใจตามด้วยนี่สิ เป็นปัญหายิ่งเสียกว่าตอนทำข้อสอบไม่ได้เสียอีก เพราะอย่างน้อยในข้อสอบก็ยังเขียนมั่วๆ ให้รอดตัวไปได้ แต่มันไม่ใช่กับคนตรงหน้า ที่ให้ตายยังไง เขาก็สั่งให้หัวใจหยุดเต้นแรงไม่ได้ แถมอาการของเขายังหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะสายตาของฝ่ายตรงข้าม...กับความใจขี้อ่อนของเขา

                ถ้าเปรียบโฟโต้เป็นข้อสอบแล้วล่ะก็...คงเป็นข้อสอบที่หาคำตอบยากที่สุดในโลกสำหรับเขาแล้วล่ะ

                พูดอะไรมาแต่ละอย่าง ไม่สงสารคนขี้ใจอ่อนอย่างเขาบ้างเลย

            มันทำให้เขาต้องยกมือขึ้นมาเกาหลังคอแก้เก้อและเอามือเท้าสะเอวมองหน้าฝ่ายตรงข้าม สักพัก...

                “กูช่วยใส่แค่เสื้อนะเว้ย!”

                “กางเกงด้วยสิครับ พี่จะให้ผมล่อนจ้อนอยู่ในห้องพี่เหรอ”

                “ใส่เองไม่ได้หรือไงวะ”

                “ก็แขนผมเจ็บนี่ครับ”

                “...”       

                “แถมพี่ยังเป็นคนทำด้วย”

                “มึงนี่มัน...” สุดท้ายก็ได้แต่ชะงักปากอย่างคนพูดอะไรไม่ออก

                “ถ้าพี่ไม่ยอมใส่ ผมก็จะอยู่ในห้องกับพี่สภาพนี้นั่นแหละ”

                “ดื้อด้านจังวะ!!”

                “ถ้าดื้อแล้วได้ใจพี่ ผมยอม”

                “มึงเคยพูดไปแล้ว”

                “ครับ แต่กลัวว่าพี่จะลืม แต่ถ้าพี่ดื้อ...” โฟโต้เว้นจังหวะเข้ามาใกล้จนฮ่องเต้ผงะ ถอยหลังตาม “...ผมก็คงต้องลงโทษ”

                “หยุดเลยนะเว้ย กูกับมึงยังไม่ได้เป็นอะไรกัน อย่ามาทำรุ่มร่าม!” ฮ่องเต้ร้องเตือน ทำเอาคนตรงหน้าถึงกับชะงัก สีหน้าเปลี่ยนจนคนฝ่ายตรงข้ามสังเกตเห็นได้

                “ขอโทษครับ ผม...ลืมไป” ว่าออกไปพลางตีหน้าสลด ราวกับคำพูดของฮ่องเต้เป็นอะไรที่บาดใจตนแบบสุดๆ แล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มแบบฝืนๆ พร้อมกับสายที่แสดงให้เห็นถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ “...เดี๋ยวผมใส่เองก็ได้ครับ”

                ก่อนจะคว้าเสื้อผ้ามาแบบที่คนตรงหน้าต้องมองตามด้วยความหงุดหงิด...หงุดหงิดที่ตัวเองเอาแต่ใจอ่อนกับคนที่เด็กกว่าไม่เลิก และได้แต่มองตามคนที่เดินกลับเข้าห้องน้ำไป ก่อนจะปิดประตูใส่แบบไม่หันกลับมามองเขาอีกแหนะ

                แต่ไม่ได้!!

                เมื่อคืนก็ทีหนึ่งแล้ว เขาจะไม่ยอมปล่อยให้อะไรแบบนั้นมันเกิดขึ้นอีก ตราบใดที่เขากับไอ้โรคจิตปีหนึ่งยังอยู่ในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง...

                ถึงแม้ว่ามันเพิ่งบอกว่าจะจีบผมก็ถามเถอะ

            คิดแบบนั้น...แล้วทำไมในใจมันต้องรู้สึกหน่วงๆ กัน...

 

                หลังจากกินข้าวเสร็จ...ฮ่องเต้ก็ขับรถพาสายรหัสปีหนึ่งของตนมาส่งที่หอ...

                “ขอบคุณพี่เต้มากนะครับ สำหรับเมื่อวาน...” โฟโต้เอ่ยออกมาท่ามกลางความเงียบ แล้วทำทีเป็นจะเปิดประตูลงจากรถ

                “เดี๋ยวก่อน” และฮ่องเต้คงจะไม่รั้งเอาไว้ หากไม่ใช่เพราะคนที่เด็กกว่าเอาแต่ทำหน้าหงอย ไม่ยอมพูดยอมจากับเขามาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ร้านอาหารตามสั่งใต้หอของเขา จนกระทั่งขึ้นรถและขับพาคนข้างกายมาถึงหอพัก ก็เพิ่งจะมาได้ยินมันพูด แถมยังมาเป็นประโยคเชิงบอกลาเขาอีก แบบนี้จะไม่ให้รั้งเอาไว้ได้ยังไงกัน

                ขี้งอนจังวะ

            แม้จะหงุดหงิดกับอาการที่คนข้างกายของเขาเป็นอยู่ แต่เพราะความเป็นพี่ที่มีมากจนเคยชิน ทำให้เขาเคยชินกับการง้อและดูแลคนที่เด็กกว่า พอมีเรื่องอะไรที่อีกฝ่ายไม่สบายใจ เขาก็พร้อมที่จะเคลียร์ให้รู้เรื่องแบบที่รักษาน้ำใจกัน

                เช่นเดียวกันกับตอนนี้ ฮ่องเต้รู้ดีแก่ใจว่าคนข้างกายของเขากำลังงอนเรื่องที่เขาไม่ยอมช่วยใส่เสื้อผ้าให้ แม้มันจะดูเป็นเรื่องไร้สาระเอามากๆ สำหรับเขาในเวลาปกติ แต่พอมาเป็นเวลานี้กับคนๆ นี้แล้ว มันกลับสำคัญสำหรับเขาขึ้นมาทันตาเห็น จนเขาคิดที่จะต้องเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างออกไป

                “มึงงอนเหรอวะ” แม้จะเป็นคนปากแข็ง แต่พอต้องง้อใครแล้วกลับพูดจาอ้อมค้อม ตะล่อมใครไม่เป็น จึงโพล่งถามออกไปตรงๆ เช่นนั้น ตามสไตล์ของฮ่องเต้

                โฟโต้แอบแปลกใจเล็กน้อยกับคำถามนั้น แม้ตัวเองจะเป็นฝ่ายแสดงละครตบตาเพื่อให้อีกฝ่ายตามง้อ แต่เพราะไม่คิดว่าฮ่องเต้จะถามออกมาตรงๆ จนเขาถึงกับสตันไปสามวินาทีเต็มๆ  แต่มันก็ทำให้เขาพอใจกับท่าทีเช่นนี้

                “เอ่อ ผม...” ทว่าเขายังต้องรักษาท่าทีของรุ่นน้องผู้ใสซื่อต่อไป

                “เรื่องเสื้อผ้า...” จึงทำให้คนที่โตกว่าอย่างฮ่องเต้ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกไปเอง “...มึงงอนกู”

                แต่ก็เพียงแค่ทำเสียงอ้อมแอ้มออกไปก็เท่านั้น แต่นั่นมันก็มากพอสำหรับอีกฝ่าย

                “ขอบคุณนะครับ” จนต้องหันไปบอกพร้อมกับรอยยิ้มสดใส ชนิดที่ทำให้ฮ่องเต้ถึงกับงงในท่าที

                “มึงขอบคุณกูทำไม”           

                ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคนข้างกายของเขาต้องการสื่ออะไร ทั้งที่ก่อนหน้านี้เหมือนจะงอนเขาเอาเป็นเอาตาย แต่ไหงกลับยอมยิ้มให้เขาง่ายดายขนาดนั้น

                “ก็ขอบคุณที่พี่เต้ใส่ใจความรู้สึกของผม”

                “หะ?” ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ กับไอ้รอยยิ้มและแววตาที่กำลังมองมาทางเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ จึงได้แต่สงสายตางงงวยกลับไปอย่างจะต้องการสื่อว่า กูไปใส่ใจอะไรมึงตอนไหนวะ

            “ไม่อย่างนั้น พี่คงจะถามว่าผมงอนหรอก...ใช่หรือเปล่าครับ” ท้ายประโยคยื่นหน้าเข้าไปใกล้อย่างจงใจจะสะกดสายตาของอีกฝ่าย จนฮ่องเต้ต้องเอามือดันตัวรุ่นน้องให้ถอยห่างเพราะสายตาที่มองมามันทำเอาเขาใจสั่นอีกแล้ว

                ก่อนหน้านี้ เขาก็ไม่ได้มองว่ามันหล่อหรืออะไร แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาขนาดนี้ ไม่ว่ามันจะพูดหรือทำอะไร ก็ดูเหมือนจะดึงดูดความสนใจจากเขาได้อย่างง่ายดาย...

                หรือเป็นเขากัน ที่ใจง่ายกับฝ่ายตรงข้าม

            “ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องสะลักสำคัญอะไร แต่พี่ก็ยังถามเพราะพี่ห่วงความรู้สึกของผม รู้ไหมครับ ว่านั่นมันหมายความว่ายังไง...” โฟโต้ยังคงขยับเข้าไปใกล้อย่างไม่สนใจมือสองข้างที่กำลังดันตัวเขาออก พร้อมกับสายตาที่มองไปยังรุ่นพี่ปีสี่ของตนด้วยแววตาแบบเด็กกำลังดีใจ เว้นจังหวะให้ฮ่องเต้ได้ตื่นตกใจเล็กน้อยและเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม

                “...มันก็แสดงว่าพี่ฮ่องเต้กำลัง สนใจ ผมอยู่ยังไงล่ะครับ”

                คนฟังนิ่งงันไปอย่างใช้ความคิด พลันเบิกตากว้างเมื่อสามารถเข้าใจทุกอย่างแบบถ่องแท้

                “คือ...มัน...ไม่ใช่” เพราะความร้อนรน ทำเอาคนที่โตกว่าพูดจาติดๆ ขัดๆ

                “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจว่าพี่...ปากแข็ง” ไม่วายจะเลื่อนสายตาลงไปมองที่ริมฝีปากระเรื่อ จนคนที่ตกเป็นเป้าสายตาเผลอเม้มปากไปอย่างไม่รู้ตัว นั่นก็เพราะ...

                ภาพจูบแรกระหว่างเขากับสายรหัสปีหนึ่งตรงหน้าดันแทรกขึ้นมาในความคิด...

                ทำให้ใจสั่น...อย่างไม่อาจจะห้ามเอาไว้ได้

                จนต้องรีบชักสีหน้าหงุดหงิดใส่และใช้มือผลักคนตรงหน้าให้ออกห่าง อย่างเกรงว่าตนจะเป็นฝ่ายแย่เพราะเสียงหัวใจที่ควบคุมเอาไว้ไม่เคยได้ ครั้นเมื่อต้องอยู่กับรุ่นน้องคนนี้เพียงลำพัง

                โฟโต้ได้แต่มองการกระทำนั้นและ...แอบลอบขำในใจ ให้กับความน่ารักของอีกฝ่ายที่ทำเอาเขาชักจะ...หลงหัวปักหัวปำ ชนิดที่เห็นทุกการกระทำของพี่ฮ่องเต้เป็นเรื่องน่ารักไปเสียหมด แม้กระทั่งเวลาที่ถูกเหวี่ยงใส่

                “ถ้าอย่างนั้น ผมขึ้นห้องก่อนนะครับ” แต่ก็ข่มใจและพูดออกไปเช่นนั้น เพราะเกรงว่าถ้าเขารุกหนักไปกว่านี้ เหยื่อตรงหน้าจะตื่นกลัวและเผ่นแนบไปเสียก่อน นั่นก็เพราะปมในใจที่ยังไม่ถูกคลายของอีกฝ่าย ทำให้เขาต้องพยายามใจเย็นที่สุด เท่าที่เขาจะทำได้ 

                แต่กระนั้น เขาก็ไม่รับรองว่าจะทนได้อีกนานแค่ไหน...

            โฟโต้ฉีกยิ้มกว้างและทำทีจะลงจากรถอย่างไม่คิดอะไร เพียงแค่เรื่องเมื่อคืนมันก็มากพอสำหรับเขาแล้ว หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

                “เดี๋ยว...” ฮ่องเต้ร้องเรียกจนคนที่เด็กกว่าต้องหันกลับมามอง หลังจากเอาแต่นิ่งเงียบและคิดทบทวนอะไรบางอย่างชั่วอึดใจ

                “พี่เต้ มีอะไรหรือเปล่าครับ” ถามออกไปเพราะคิดว่าตนอาจจะลืมอะไรบางอย่าง

                ก่อนจะพบว่าเขาคิดผิดถนัดเพราะประโยคถัดมากลับกลายเป็นคนละเรื่องกับที่อยู่ในหัวของเขา

                “จนกว่ามึงจะถอดเฝือก ให้กู...” ฮ่องเต้เผลอเงียบไปเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมา “...ไปรับไปส่งมึงนะ”

                เพียงเท่านั้น สายตาวาววับของคนเจ้าเล่ห์ก็แทบจะฉายขึ้นมาทันที รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเสือร้ายอย่างได้ใจและพอใจกับคำพูดของคนข้างกายเขา ยิ่งได้เห็นเลือดฝาดบนแก้มขาวๆ นั่นแล้ว ยิ่งทำให้อดใจไม่ไหว จนต้อง...

                “พี่เต้ครับ...” เอ่ยปากเรียกคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเพราะความอายและ...

                ...จุ๊บเข้าที่ริมฝีปากของคนถูกเรียกที่เงยหน้าขึ้นมาทางตน ผละออกมาเล็กน้อยเพื่อมองสำรวจเข้าไปในดวงตากลมโตที่กำลังเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก แล้วได้แต่ลอบยิ้มอย่างพออกพอใจ แต่ก็ยังไม่มากพอต่อความต้องการ...

                “น่ารักจัง...” จึงเอ่ยออกไปเสียงหวานและประกบเข้าที่ปากของฝ่ายตรงข้าม พร้อมกับเอื้อมมือซ้าย ตรงเข้าล็อคที่หลังคอเอาไว้ เมื่ออีกฝ่ายพยายามจะหนี

                ค่อยงับเข้าริมฝีปากอย่างเชื่องช้า อ้อยอิ่งและถะนุถนอม ท่ามกลางเสียงหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น

                ก็ใช่จะมีแต่พี่ฮ่องเต้เสียเมื่อไหร่ ที่ใจเต้นทุกครั้งที่ถูกสัมผัส

            เขาเองก็หวั่นไหวและตื่นเต้นทุกครั้งที่สัมผัสคนตรงหน้าเช่นกัน ยอมรับอย่างน่าไม่อายเลยว่ามันดีกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยสัมผัส ไม่ว่าจะผิวเนียนใส แก้มขาวๆ และริมฝีปากที่กำลังถูกเขาครอบครองอยู่นี้ มันดีมากเสียจนเขาหลงลืมทุกรอยจูบจากใครก็ตามที่ผ่านมาและก็มากเสียจนเขาไม่อาจจะปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งไปกับการจูบคนตรงหน้าได้อีกต่อไป...

                เพราะไม่ใช่แค่ริมฝีปากระเรื่อนั่น แต่จะเป็นทั้งตัวของพี่ฮ่องเต้ที่จะถูก กลืนกิน บนรถเสียก่อน

            จึงทำให้โฟโต้ต้องถอนจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่ง...

                ฟอดดดด

                แต่ก็ไม่วายกดปากจูบลงบนแก้มขาวๆ นั่นอย่างแรงไม่ได้ จนฝ่ายตรงข้ามถึงกับหน้าแดงลามไปยังใบหู แต่ก็ไม่ได้พูดหรือต่อว่าอะไรอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำ ได้แต่หอบหายใจเบาๆ และสบสายตาที่มีเสน่ห์เอามากๆ ของคนข้างกาย

                “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ส่วนเรื่องมารับมาส่ง...ผมตามใจพี่” ท้ายประโยคว่าเสียงหวานใส่ไม่พอ ยังฉีกยิ้มกว้างและมองด้วยสายตาอย่างต้องการจะทำให้อีกฝ่ายหลง

                นั่นทำให้คนฟังถึงกับต้องหลบสายตา โฟโต้มองภาพนั้นและยิ้มกระหยิ่มในใจ ทีแรกหลงคิดไปไกลว่าจะถูกฮ่องเต้ต่อว่าเพราะจู่โจมเข้าใส่มากเกินไป ทั้งที่เขาเพิ่งจะบอกออกไปว่า จะจีบ ได้ยังไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่แม้กระทั่งจะโวยวาย แถมยังหน้าขึ้นสีและมีท่าทีเขินอายเขาเช่นนี้ มันกลับทำให้เสือร้ายแทบจะออกมาโลดโผน แต่ก็ยังคงต้องรักษามาดเป็นลูกเสือแสนเชื่องต่อไป

                เผื่อว่าลูกแมวตาโตจะหลงเชื่อและยอมใจอ่อนอย่างเห็นว่าลูกเสือตัวนี้ไม่ได้มีพิษภัยอะไร ไม่แม้กระทั่ง...คิดที่จะ งาบ ลูกแมวตรงหน้า เลยสักนิด

            ก่อนที่โฟโต้จะเปิดประตูลงจากรถและเดินกลับเข้าหอพักไปด้วยหัวใจที่พองโต...

                ปล่อยให้ฮ่องเต้จมอยู่กับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามลำพัง พร้อมกับมือที่เอื้อมขึ้นมาจับริมฝีปากของตนอย่างเผลอไผล ไม่ใช่ว่ามันไม่รู้สึกดี...

                แต่เพราะยิ่งรู้สึกดีต่างหาก ยิ่งทำให้เขากังวลใจ...

(มีต่อ......)


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
(ต่อ...)
โฟโต้เดินกลับเข้าไปในหอพักอย่างอารมณ์ดี ทว่าทันทีที่เขาเปิดประตูห้อง ก็เป็นอันต้องชะงักเพราะไฟที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้และรองเท้าอีกสองคู่ที่ถูกถอดวางอยู่ จึงต้องรีบปิดประตูและเข้าไปดูให้เต็มตาว่าใครที่บังอาจเข้ามารุกล้ำพื้นที่ของเขา

                “ตกใจอะไรนักหนา” เสียงของคนที่คุ้นเคยกันดีเอ่ยทัก เมื่อเห็นสีหน้าของตื่นตระหนกของเจ้าของห้องที่เห็นเขาเข้า ทว่าคนบุกรุกยังคงท่าทีสบายๆ ไม่สะทกสะท้านอะไรกับสายตาหงุดหงิดของคนตรงหน้า หากแต่กลับเลื่อนสายตาไปมองยังเฝือกแขนแทน

                “พี่เข้ามาได้ยังไง” คนเป็นน้องเอ่ยถามคนที่เหยียดกายอยู่บนเตียงของตนอย่างไม่ชอบใจนัก

                “มีกุญแจ ทำไมจะเข้ามาไม่ได้” กราฟิกตอบกลับเสียงเรียบพร้อมกับโชว์กุญแจห้องในมือให้ดู ขณะที่คนเป็นน้องได้แต่มองอย่างเหลืออด “แล้วก็ไม่ต้องถามด้วยว่ากูเอามาได้ยังไง เพราะคนที่ต้องถามคือกู ไม่ใช่มึง”

                “มีอะไรก็ว่ามาเลยครับ ท่านพี่” โฟโต้ลากเสียงยาวอย่างประชดประชัน

                “มึงคิดจะทำอะไร”

                “หมายถึงอะไร” โฟโต้ตีหน้าซื่อใส่ให้คนเป็นพี่ต้องชักสีหน้าหงุดหงิดบ้าง

                “ก็ไอ้เฝือกที่มึงใส่นั่นไง เล่ามาให้หมดเลยนะเว้ย”

                “ไหนพี่กราฟบอกว่าพี่หมอมีนเล่าให้ฟังหมดแล้วไง” โฟโต้เท้าความไปถึงตอนที่กราฟิกโทรมาหาเขาคราวก่อนหน้านั้น

                “แต่กูไม่เชื่อว่าไอ้ที่มึงพูดกับมีนจะเป็นความจริงทั้งหมด”

                “แต่กูไม่เชื่อว่ามึงจะพูดความจริงกับมีนทั้งหมด” กราฟิกว่าอย่างรู้ทันคนเจ้าเล่ห์ “มึงมันเหลี่ยมจัดตั้งแต่ไหนแต่ไร กูเป็นพี่มึงนะเว้ย เรื่องแค่นี้ทำไมกูจะดูไม่ออก”

                เพราะความใกล้ชิดสนิทสนมมาตั้งแต่เกิด กอปรกับนิสัยที่ร้ายพอกัน ไม่แปลกที่เสือตัวพี่จะรู้ใจเสือตัวน้องดีชนิดที่ไม่ต้องมองตาก็รู้แล้วว่าคิดเรื่องอะไรอยู่   

                “นั่นไง พี่ดูออก! ดูออกแล้วจะมาถามผมอีกทำไมให้เสียเวลา กลับไปเปิดร้านดีกว่าน่า” แต่เรื่องพูดจา ทำท่ากวนประสาตแล้ว เหมือนเสือตัวน้องจะมีมากกว่า

                “เสียใจว่ะ กูปิดร้านยันวันพรุ่งนี้” กราฟิกเอ่ยปากบอกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน “แล้วในเมื่อมึงไม่ยอมเล่า งั้นกูขอถามมึงเลยก็แล้วกัน”

                กราฟิกเงียบไปอึดใจและมองหน้าคนเป็นน้องด้วยแววตาจริงจัง สีหน้าของคนเป็นพี่ทำเอารอยยิ้มบนใบหน้าของน้องหุบลงทันที

                “อะไร...” และเอ่ยปากถามออกไปอย่างคนเริ่มจะหวั่นใจ

                “มึงชอบฮ่องเต้จริงๆ เหรอวะ”

                และหัวใจของโฟโต้ก็เต้นแรงขึ้นมา...

                เขามองหน้าพี่ชายแท้ๆ ของตนอย่างชั่งใจเล็กน้อย แล้วค่อยเอ่ยปากตอบคำถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้สีหน้า

                “ครับ ผมชอบและตอนนี้ ผมก็กำลังจีบเขาอยู่ด้วย”

                คำตอบของโฟโต้ไม่ได้ทำให้กราฟิกแปลกใจเพราะเขาเองก็เคยผ่านช่วงเวลานี้มาแล้ว เพียงแค่อยากจะแน่ใจว่าน้องชายของตน ที่เคยเอาแต่หลีหญิงและไม่คิดจริงจังกับใครมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะคิดจริงจังกับคนที่ชื่อฮ่องเต้จริงๆ หรือแค่สับสนและอยากลองอะไรหรือเปล่า

                “มึงรู้ใช่ไหมว่าหลังจากนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” และคนเป็นพี่ก็ยังคงอดห่วงคนเป็นน้องอย่างเสียไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาเคยประสบและกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ มันมีอะไรมากกว่าที่ใครเห็นและมันอาจจะไม่ได้สวยงามไปเสียทุกอย่าง

                “ผมยืนยันได้เลยว่าผมไม่ได้สับสนหรือคิดจะอยากรู้อยากลองอะไร...” โฟโต้เองก็พูดออกไปตรงๆ  อย่างคนรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ “...พี่ฮ่องเต้เป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึก ไม่ใช่แค่อยากจะได้แล้วจบเหมือนกับคนอื่นๆ ที่เข้ามา ผมรู้สึกกับเขามากกว่านั้น...”               

                กราฟิกได้ยินเช่นนั้น ก็ได้แต่จ้องหน้าโฟโต้อย่างไม่วางตา มองสำรวจสีหน้าแล้วแววตาอย่างรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังโกหกเขา

                “กูว่ามึงทำใจเอาไว้หน่อยก็ดีนะ” และได้แต่เอ่ยปากบอกออกมาแบบนั้น “เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ แม้แต่กับคนในครอบครัว”

                คำพูดของกราฟิกทำเอาโฟโต้ต้องขมวดคิ้วใส่อย่างไม่เข้าใจ “พี่พูดเหมือนกับว่า...”

                “การที่กูตัดสินใจออกมาอยู่กับแบมบู เปิดร้านอาหารที่เชียงใหม่เพื่อหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่สี่ปีก่อน แต่กูเพิ่งจะได้กลับบ้านเมื่อปีที่แล้ว มึงคิดว่ามันเป็นเพราะอะไร”

                โฟโต้ได้แต่เงียบ มองหน้าคนเป็นพี่อย่างคนกำลังใช้ความคิด นึกย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขายังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ช่วงนั้นเขาติดต่อกับพี่ชายของตนได้เพียงแค่ทางโซเชียลเท่านั้น พอถามว่าทำไมถึงไม่กลับบ้านก็เอาแต่บอกว่ายุ่ง กับพ่อแม่ก็เอาแต่เลี่ยงที่จะพูดถึงพี่กราฟิก ทั้งที่พี่ชายของเขาเป็นลูกชายคนโตที่พวกท่านทั้งรักทั้งหวงเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน

                ...ทั้งรักทั้งหวง...

            ห้วงความคิดเป็นอันสะดุดลง พลันสายตาก็กระตุกวูบครั้นนึกอะไรขึ้นมาได้

                หรือที่พ่อกับแม่สั่งห้ามไม่ให้เขาเดินทางเดียวกับพี่ชาย จะหมายถึงเรื่องนี้

            ตอนนั้น ก็หลงคิดไปว่าพ่อแม่คงไม่อยากให้ลูกชายของพวกท่าเรียนคณะเดียวกัน ทำอาชีพเดียวกันจึงพูดออกมาเช่นนั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดไปเสียยกใหญ่

                “ทำไมพี่ไม่บอกผม...” จึงได้แต่เอ่ยปากถามออกไปอย่างระมัดระวัง มองหน้าคนที่เขาคิดว่าจะเจ็บปวดทรมานมานานแค่ไหน “...มันตั้งแต่เมื่อไหร่”

                “บอกไปแล้วได้อะไรวะ อีกอย่าง กูไม่อยากให้มึงต้องมาคิดมากเรื่องของกู” กราฟิกว่าเสียงอ่อน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ  เป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนลงไปถนัดตาแบบที่โฟโต้ไม่ได้เห็นมานานแล้ว

                ก่อนที่เขาจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นดังเดิม “แต่มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก มึงก็เห็นว่าทุกอย่างมันกำลังไปได้ดี...”

                โฟโต้รู้ดีว่าคนตรงหน้าหมายถึงเรื่องที่พ่อแม่ยอมให้กลับไปที่บ้านพร้อมกับแบมบู แม้ว่าตอนนั้น บรรยากาศในครอบครัวจะยังดูตึงเครียด แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่จะทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้บ้างแล้ว

                “ห่วงตัวมึงเองเหอะ ถ้ามึงคิดจะจริงจังกับคนๆ นี้จริงๆ  มึงก็ต้องทำใจว่าอะไรมันไม่ได้เป็นไปตามที่มึงต้องการทุกอย่างและถ้ามึงเลือกที่จะดึงเขาเข้ามาอยู่ในชีวิตมึงแล้ว มึงก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของเขาทั้งชีวิตด้วย”

                โฟโต้ระบายยิ้มออกมาบนหน้า ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยก็ได้ที่พี่น้องคู่นี้จะมานั่งจับเข่าคุย พูดจาดีๆ ใส่กันเป็นเรื่องเป็นราว

                “ในเมื่อผมเลือกที่จะรักใครสักคนแล้ว ผมจะรับผิดชอบเขาไปตลอดชีวิต” น้ำเสียงหนักแน่นของคนเป็นน้อง ทำเอากราฟิกโล่งใจ ต่อจากนี้ไปเขาเองก็คงจะต้องคอยช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้

                “เออ คิดได้แบบนั้นก็ดี...” คนเป็นพี่ว่าออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองที่เฝือกแขนข้างขวาของโฟโต้ “...ยิ่งโต มึงนี่ยิ่งน่ากลัวเข้าไปทุกที”

                โฟโต้อดขำออกมาไม่ได้กับคำเหน็บแนมของพี่ชาย “พูดอย่างกับว่าพี่ไม่เคยใช้วิธีพวกนี้”

                กราฟิกจึงทำปากใส่อย่างหมั่นไส้ในคำพูดของน้องชายตน ที่ดูเหมือนจะรู้ดีไปเสียทุกเรื่องในชีวิตเขา รวมถึงไอ้วิธีการที่เขาใช้ตามจีบ ตามง้อแบมบูด้วย

                หากแต่สองพี่น้องที่กำลังจะคุยกันต่อก็ต้องชะงักคำพูดเอาไว้เพราะเสียงโทรศัพท์ในห้องที่ดังขึ้น เรียกให้เจ้าของห้องไปรับสายแบบงงๆ  ก่อนจะหันหน้ากลับมามองคนเป็นพี่ที่รอฟังอยู่แบบเกร็งๆ

                “ครับๆ เดี๋ยวผมลงไป” พูดต่ออีกแค่นั้นและวางสาย

                “ใครโทรมา แล้วโทรมาทำไม” เพราะสีหน้าหวาดระแวงของคนเป็นน้องจึงทำให้คนเป็นพี่ต้องถามออกไปอย่างพยายามจะจับผิด

                “ลุงที่หอโทรมา ให้ลงไปเอาของข้างล่าง”

                “งั้นกูไปด้วย”

                “เฮ้ย ไม่ต้อง เดี๋ยวผมลงไปเอง” โฟโต้ร้องห้ามทันทีที่เห็นว่ากราฟิกลุกพรวดขึ้นมา ทำท่าว่าจะตามเขาลงไปจริงๆ

                จนกราฟิกต้องยิ้มร้ายใส่ไปที “ปล่อยให้มึงลงไปเอง ก็เท่ากับว่ากูปล่อยให้มึงสร้างเรื่องปิดบังกูเพิ่มดิวะ”

                เสือก็ยังคงเป็นเสืออยู่วันยังค่ำและเรื่องอะไรที่เสือด้วยกันจะดูไม่ออกว่าเสืออีกตัวคิดอะไร ดังนั้น กราฟิกจึงรีบสาวเท้าเดินออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้เจ้าของห้องอย่างโฟโต้ต้องรีบวิ่งตามไปแทบไม่ทัน

                และเมื่อทั้งคู่มาถึงด้านล่าง...

                ลุงประจำหอก็พาเดินไปหาช่างยนต์ที่มาพร้อมกับมอเตอร์ไซค์คันเดียวกันกับที่โฟโต้เอาไปล้มในมหา’ลัยมา กราฟิกมองน้องชายที่ยืนคุยกับช่างอย่างใกล้ชิด เพื่อฟังทุกบทสนทนาที่ออกมาจากปากของช่างซ่อมรถ

                “เมื่อวานพี่ก็เอามาทีหนึ่งแล้ว แต่น้องไม่อยู่ เลยไม่กล้าฝากไว้ เดี๋ยวหายจะเป็นเรื่องอีก”

                “เอ่อ แล้วรถผมไปอยู่ที่พี่ได้ยังไงครับ” ถามออกไปด้วยความสงสัย อันที่จริง เขาลืมไปสนิทเลยด้วยซ้ำว่ารถคันนี้หายไปตั้งแต่วันที่เขาเอาไปล้มมา

                “ก็ไอ้น้องที่ชื่อฮ่องเต้อะไรนั่นแหละ เอาไปซ่อมให้ พี่ก็นึกว่าน้องรู้แล้วเสียอีก” ช่างหันมามองหน้าคนที่ยังไม่เข้าใจในความเป็นไปอย่างสงสัย “ไม่ได้เป็นเพื่อนกันเหรอ”

                “พอดีเขาเป็นรุ่นพี่ที่คณะผมน่ะครับ แล้วก็...สงสัยจะลืมบอก” โฟโต้ได้แต่แก้ตัวไปเช่นนั้น ก่อนจะถามกลับ “แล้วค่าซ่อมเท่าไหร่ครับ”

                “โอ๊ยยย ไม่ต้องหรอก น้องคนนั้นเขาจ่ายให้แล้ว” คนตรงหน้าร้องบอกก่อนจะส่งกุญแจรถให้ “อะ กุญแจ ยังไงก็ใช้รถระวังๆ ด้วย มันเก่ามากแล้ว”

                “ครับ ขอบคุณมากนะครับ” ว่าออกไปแค่นั้นและมองตามช่างที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ของช่างอีกคนที่ขับตามมาออกไปจนลับสายตา

                “จะจีบเขา แต่ปล่อยให้เขาออกตังค์ค่าซ่อมรถให้ แมนชิบหายเลยน้องกู” กราฟิกส่ายหน้าใส่ด้วยความเอือมระอา “ไอ้น้องเต้นั่นคงดีใจเนอะ ถ้ารู้ความจริงว่ารถคันนี้ไม่ใช่รถมึง”

                “ถ้าพี่กราฟไม่พูด พี่เต้เขาก็ไม่รู้หรอกน่า” โฟโต้ว่าอย่างหงุดหงิดใจ ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยน ครั้นนึกอะไรขึ้นมาได้

                “คิดชั่วอะไรของมึงอีกวะ” จนคนที่สังเกตเห็นต้องเอ่ยทักเสียงเรียบพลางเอามือกอดอก มองหน้าคนที่กำลังยิ้มร้ายออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง

                “อย่าเรียกว่าคิดชั่วดิ ให้เรียกว่าตามน้ำดีกว่า”

                “อย่างมึงเขาเรียกว่าตอแหล”

                “เออ จะอะไรก็ช่างเหอะน่า เอาเป็นว่าฝากบอกไอ้มนตรีด้วยก็แล้วกัน ว่ารถคันนี้ผมขอยืมก่อน ไหนๆ ก็ไม่ค่อยอยู่แล้ว”

                “กูควรจะสนับสนุนหรือขัดขวางมึงดีวะ” กราฟิกมองหน้าน้องชายของตนอย่างไม่ไว้วางใจในแผนการ

                “ไม่ต้องสนับสนุน แต่ก็อย่าขัดขวางก็พอ” ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างใส่พี่ชายตนไปที แบบที่ทำเอาคนที่โตกว่าหมั่นไส้ “ผมก็แค่จำเป็นต้องใช้รถต่อนิดหน่อย”

                “วางแผนจะจ่ายดอกเบี้ยล่ะสิ” ทว่าคนเป็นพี่กลับรู้ทัน เอ่ยปากออกมาจนโฟโต้ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ

                “ของมันต้องจ่าย ผมก็ต้องจัดสิครับ”

                และเสือร้ายสองตัวก็เดินกลับขึ้นไปข้างบนห้อง...

                เสือตัวน้องกลับไปคิดแผนร้าย...ส่วนเสือตัวพี่ก็ต้องตกกระไดพลอยโจนในการช่วยคิดแผนไปด้วย     

               

 


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 23 เริ่มเกม

                เพราะเอ่ยปากออกไปแล้ว ฮ่องเต้จึงต้องมารับเด็กปีหนึ่งที่เขานัดเอาไว้ที่หอพักในตอนเช้า...

                หากแต่เพราะเด็กปีหนึ่งคนนั้น ดันมาอยู่หอพักเดียวกันกับเพื่อนของเขาอย่างนิวกับซัน ทำให้เขาต้องส่งข้อความไปเร่งอีกฝ่ายให้รีบลงมา ก่อนที่เขาจะเจอเพื่อนรักสองคนที่ว่าและพาลให้พวกมันต่อความยาวสาวความยืดเรื่องของเขา

                ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่อดหัวเราะใส่ข้อความที่ถูกส่งเข้ามือถือของเขาอย่างเสียไม่ได้

                ฮ่องเต้ : อย่าให้เพื่อนกูเห็นล่ะ กูขี้เกียจอธิบาย

            โฟโต้รู้ดีว่าลูกแมวตาโตของเขาตัวนี้ คงจะเขินจนมองหน้าใครไม่ได้ โดยเฉพาะกับเพื่อนสนิทที่พูดมากอย่างนิว ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปัญหากวนใจอีกฝ่ายแบบชนิดที่ไม่อาจจะหาอะไรมากำจัดได้ ดังนั้น โฟโต้จึงทำตัวว่าง่ายอย่างเอาใจอีกฝ่ายเสียหน่อย ที่สำคัญ เพราะมันเป็นวันแรกที่ฮ่องเต้มารับเขาไปเรียนด้วย เขาจึงอยากจะทำให้ลูกแมวตาโตของเขาสบายใจ เพื่อที่อีกฝ่ายจะยอมใกล้ชิดกับเขาแบบไร้ความกังวล

                เพราะแบบนั้น มันจะทำให้พี่ฮ่องเต้เผลอไปกับทุกคำพูดและการกระทำของเขาได้ง่ายขึ้น

                มันเป็นสัญชาตญาณที่อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ช่วงเวลาที่เราผ่อนคลายที่สุด จึงเป็นช่วงที่อันตรายที่สุด เพราะเรามักจะเผลอไม่ระมัดระวังตัวในช่วงเวลานั้นและมันก็ใช้ได้ผลกับพี่ฮ่องเต้เสมอ

                โฟโต้เดินออกมาจากหอพักอย่างไม่รีบร้อนเพราะเขารู้ดีว่ากว่านิวกับวันจะออกจากห้อง ก็ปาเข้าไปเกือบแปดโมง แต่ตอนนี้ ยังไม่ทันจะเจ็ดโมงครึ่งดีเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น ไม่มีทางที่เขาจะเจอสองคนนั้นเป็นแน่ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นหนุ่มรุ่นพี่ลงมาจากรถและเดินตรงมาหา เท่านั้น รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนหน้าของหนุ่มรุ่นน้องทันที

                “สวัสดีครับ คนน่ารัก” โฟโต้เอ่ยทักเสียงหวาน

                “จะให้กูบอกอีกกี่ครั้ง ว่าห้ามพูดคำว่าน่ารักกับกู” แน่นอนว่ามันทำให้ฝ่ายตรงข้ามหน้าหงิกและเอ่ยปรามเขาอย่างที่เคยทำ

                “แล้วจะต้องให้ผมบอกพี่อีกกี่ครั้งล่ะครับ ว่าพี่น่ารัก” จงใจเน้นคำสุดท้ายแล้วยื่นหน้าไปใกล้ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบาว่า “หรือพี่อยากให้ผมพูดว่า...สวัสดีครับ ที่รัก”

                 ฮ่องเต้ทำปากขมุบขมิบ อยากจะเถียงอะไรกลับ แต่สมองกลับตันเอาเสียดื้อๆ

                “ไปขึ้นรถ!” จึงได้แต่ออกคำสั่งไปแบบนั้น ทำเอาโฟโต้อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้กับท่าทีของคนที่ทำตัวไม่ถูก ก่อนที่เขาจะเดินตามคนที่โตกว่าไปได้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องชะงักไปตามๆ กัน เพราะคนข้างหน้าดันหยุดเดินและหันขวับกลับมามองหน้าเขาพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้า

                “กระเป๋า” ฮ่องเต้ว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดและตรงเข้าไปคว้ากระเป๋าออกจากบ่า เมื่อเห็นหนุ่มรุ่นน้องเอาแต่ทำหน้างง  ก่อนเจ้าตัวจะก้าวขาฉับๆ กลับไปที่รถ ทิ้งให้โฟโต้มองตามอย่างไม่อาจจะละสายตาไปจากร่างสูงของอีกฝ่ายได้

                น่ารักสัส สงสัยต้องจัดก่อนเข้าเรียนแล้วล่ะมั้ง

            แววตาวาววับของโฟโต้ฉายออกมาอย่างปกปิดไว้ไม่มิด พลันลิ้นร้อนดุนกระพุ้งแก้มจนข้นรอยนูนเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มร้ายจะปรากฏบนใบหน้า แล้วสองขาก็ก้าวพรวดๆ ตามไปขึ้นรถทันที

                “มึงกินอะไรมาหรือยัง” ฮ่องเต้เอ่ยถามขณะกำลังสตาร์ทรถ จนโฟโต้ห้องหันกลับมามองเพราะเพิ่งจะขึ้นรถมาหมาดๆ จึงยังไม่ทันได้ตั้งตัวกับการถูกถาม หากแต่สายตาของเสือร้ายในตัวกลับไปเห็นบางอย่างเข้า ทำเอาหนุ่มรุ่นน้องเผลอไผล ไม่ได้มองหน้าคนถามเลยแม้แต่น้อย

                นั่นก็เพราะซิบกางเกงที่ดันไม่ได้รูด จนเนื้อผ้าเผยอออกพอให้เห็นสีชั้นในของคนข้างกาย เพียงเท่านั้น เสือร้ายในตัวก็สั่นระริก พลันสมองก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวันก่อนหน้านั้น...ที่เขาได้มีโอกาสช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในส่วนนั้น จนเจ้าของส่งเสียงออกมาอย่างพอใจ อีกทั้งสีหน้าที่แดงก่ำเพราะแรงอารมณ์...แบบนั้น...ยิ่งทำให้เขาแทบทนไม่ไหว จนลำคอขยับนูนตามน้ำลายที่ถูกกลืน ไหลลงไปในร่างกายที่เริ่มร้อนผะผ่าว...

                แดกตอนนี้เลยได้ไหมวะ

            ได้แต่คิด...เพราะไม่สามารถทำเช่นนั้นไปได้ มิฉะนั้น ลูกแมวตาโตของเขาจะต้องระแวงแล้ววิ่งหนีไปเป็นแน่

                “กูถาม ทำไมมึงไม่...”

                เพราะจู่ๆ หนุ่มรุ่นน้องก็เงียบไป เจ้าของรถจึงต้องหันกลับมาถามอีกครั้ง จนอีกฝ่ายถึงกับต้องรีบหลบสายตาและทำทีเป็นเขินอาบกับสิ่งที่เห็น

                “มึง...เป็นอะไรวะ” ฮ่องเต้จ้องหน้าคนถูกถามอย่างไม่วางตา เพราะท่าทีแปลกๆ แถมยังหายใจแรงเหมือนคนป่วยกะทันหันของอีกฝ่าย

                “คะ...คือ ผม...พี่...” เสือร้ายแสร้งตะกุกตะกักออกไปเพื่อกลบเกลื่อนความหื่นกระหายและตบตาว่าไม่ได้จงใจจะจ้องมองของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

                “ทำไม ไม่สบายเหรอวะ ทำไมหน้ามึงซีดแบบนั้น” สองคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ก็เพราะความเป็นห่วงอย่างไม่ได้รับรู้ถึงอันตรายจากคนข้างกาย กระทั่งเผลอยกมือขึ้นไปแตะที่หน้าผากเสือร้ายและเลื่อนลงมาทีแก้ม

                “ตัวมึงอุ่นๆ นะ” ปากก็ว่าออกไป อย่างหารู้ไม่ว่าไอร้อนที่แผ่ซ่านออกจากตัวไม่ได้มาจากพิษไข้ แต่มันมาจากแรงกามารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ภายในนั่นต่างหาก

                “แล้วสรุปมึงกินอะไรยังวะ” และก็เอ่ยถามอีกครั้ง อย่างคนไม่รู้อะไร

                “ยังครับ”

                “อืม ถ้างั้น...เดี๋ยวไปหาอะไรกินรองท้อง แล้วค่อยกินยาก็แล้วกัน”

                “เดี๋ยวสิครับ พี่เต้...” โฟโต้ร้องห้ามอย่างอดไม่ได้ พลางมองหน้าที่ฝ่ายที่กำลังมองกลับมาด้วยความมึนงง “...ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ ที่ผมเงียบไปเมื่อกี้...ก็เพราะ...”

                โฟโต้เว้นจังหวะแล้วทำเป็นชี้ไปที่กางเกงของอีกฝ่าย พร้อมทั้งแสร้งหันหน้าไปทางอื่น “พี่...ลืม...รูด...ซิบ”

                พลันสายตาของอีกฝ่ายก็หันขวับกลับมามองที่เป้ากางเกงตนพร้อมกับร้องอุทานลั่นรถ แล้วรีบคว้าหมับ จัดการรูดซิบกางเกงทันทีด้วยความรู้สึกภายในใจที่กำลัง...อายชิบหาย!!

                “คือผมไม่ได้ตั้งใจจะมองนะ แต่มันบังเอิญไปเห็น แล้วก็...”

                “เงียบเหอะน่า!” กระแทกเสียงใส่ด้วยความอายและออกรถด้วยความเร็ว จนอีกฝ่ายก้มหน้างุด หากแต่ในใจกลับแต่ลอบยิ้ม

                ทั้งขำในความโก๊ะ หมั่นเขี้ยวกับท่าทีเขินอายและหื่นกระหายกับชั้นในสีน้ำเงิน...

               

                ใช้เวลาไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงคณะนิติศาสตร์ เพราะช่วงเช้าเช่นนี้ รถบนถนนไม่ค่อยจะติดขัดนัก กอปรกับหอพักที่อยู่ใกล้ประตูทางเข้ามอ ทำให้สะดวกต่อการมาเรียน

                “แล้วสรุป มึงกินอะไรมายังวะ” ฮ่องเต้เอ่ยถามเพื่อทำลายวามเงียบ หลังจากที่โฟโต้ลงมาจากรถเรียบร้อยแล้ว

                “ยังครับ พี่เต้หิวหรือเปล่า” โฟโต้ถามกลับพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอย่างคนไม่ติดใจอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เพราะใบหน้าที่ยังคงแดงระเรื่อที่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายยังอดคิดถึงเรื่องนั้นไม่ได้ ดังนั้น เขาจึงต้องทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายด้วยการเบี่ยงประเด็นไปตาม

                “กูกินมาแล้ว” ฮ่องเต้ตอบกลับออกไปเสียงเรียบ หากแต่มันกลับทำให้อีกฝ่ายหน้าหงอย เพราะคนที่โตกว่าอุตส่าห์เปิดประเด็นเหมือนจะให้โอกาสเขาไปกินข้าวด้วยทั้งที แต่ไหงกลับมาตอบกลับมาเช่นนั้นได้

                “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมค่อยไปหาอะไรกินหลังเลิกเรียนก็ได้ครับ” ตอบออกไปตามปกติวิสัยตื่นสายจนเลยเวลากินมือเช้า แต่นั่นกลับทำให้ฮ่องเต้ตีหน้าดุใส่

                “ได้ไง! ไม่มีใครบอกมึงหรือไงว่ามื้อเช้ามันสำคัญแค่ไหน อีกอย่าง มึงไม่มียาที่ต้องกินตอนเช้าหรือไง”

                ท้ายประโยคโฟโต้ถึงกับทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้หมายถึงอะไร

                “ยาอะไรครับ?”

                และมันก็ทำให้อีกฝ่ายตีหน้าเคร่งใส่มากกว่าเดิม “แขนมึงเป็นแบบนี้ แล้วยังมีหน้ามาถามอีกว่ากูหมายถึงยาอะไร!”

                ซึ่งมันก็ทำให้คนที่เด็กกว่าถึงบางอ้อ หากแต่เลิกลักอยู่ในใจเพราะลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปสนิท จนต้อง...

                “ผมว่าแล้วววววว ว่าผมลืมอะไร!” แสร้งยีหัวจนยุ่งอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ผมก็เพิ่งมานึกได้ว่าลืมยาเอาไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ”

                ฮ่องเต้ส่งเสียงอย่างขัดใจในลำคอ นึกอยากจะจับเด็กปีหนึ่งตรงหน้ามาตีให้หายคันไม้คันมือเสียที ถ้าเป็นสีฝุ่นคงได้โดนไปแล้วแน่ๆ แต่เพราะเป็นโฟโต้หรอกนะ เขาถึงได้ไม่กล้าทำ

                “มึงนี่มัน...” ฮ่องเต้เงียบไปอึดใจ จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาโมโหแล้วเปล่งเสียงออกมา “...เด็กจังวะ”

                อย่างไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าไม่ได้ เด็ก อย่างที่เขาเห็นเลยสักนิด ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ม่านบังตาที่อีกฝ่ายสร้างให้เขาเห็นต่างหาก

                “จะยังไงก็ช่าง ไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวแม่งก็ปวดท้อง เรียนไม่รู้เรื่องพอดี” พูดจบก็เดินนำรุ่นน้องของตนไป โดยไม่รอฟังคำแก้ตัวหรือคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น จนอีกฝ่ายต้องเดินตามไป...แบบเต็มใจจะตาม

                ความเป็นห่วงเป็นใยที่หลุดออกมาทางคำพูด แม้จะพูดออกมาตามความเคยชินของการเป็นพี่และการเป็นฝ่ายดูแลคนอื่นมาตลอด แต่นั่นมันก็แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ราบรื่นขึ้นเรื่อยๆ เพราะดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเคยชินกับการพูดคุยและใกล้ชิดเขาไปเสียแล้ว และอีกไม่นาน ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผนลวงเหยื่อเข้าถ้ำของเขา

                โฟโต้เดินตามฮ่องเต้ไปกระทั่งถึงโรงอาหารของคณะ ในช่วงเช้า นักศึกษายังคงบางตาเพราะส่วนใหญ่ก็มักจะหาอะไรเล็กๆ น้อยๆ รองท้องมากกว่ามานั่งกินข้าว ทั้งคู่จับจองที่วางเสร็จสรรพ ฮ่องเต้จึงเอ่ยถาม

                “มึงจะกินอะไร เดี๋ยวกูไปซื้อให้” แม้จะเป็นคำถามเรียบง่ายและดูเหมือนว่าคนถามจะไม่ได้คิดอะไร แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้หนุ่มรุ่นน้องลำพองใจขึ้นมาได้

                “เอ่อ เดี๋ยวผมไปซื้อเองดีกว่าครับ” แต่ยังคงต้องรักษาความเกรงใจที่มีต่อรุ่นพี่ในยามปกติ (แต่หื่นกระหายในยามวิกาล) และกล่าววาจาออกไปเช่นนั้น

                “เอ่อน่า เดี๋ยวกูไปซื้อให้ แขนข้างที่ใช้การได้ก็...ไม่ถนัดไม่ใช่เหรอวะ” ท้ายประโยคกลับฟังดูแผ่วเบาเพราะความเขินอายที่มีอยู่ข้างใน เนื่องจากในหัวของเขามันไม่อาจจะลบเลือนภาพในเหตุการณ์ในคืนนั้นได้

                และมันก็ทำให้โฟโต้ลอบยิ้ม...

                ติดใจเสียแล้วล่ะมั้ง

                คิดไปแบบนั้น แต่ก็ก็อดคิดในมุมกลับกันอย่างเสียไม่ได้เพราะเขาเองก็ติดใจรสมือของอีกฝ่าย ชนิดที่หาอะไรมาทดแทนได้ยาก ยกเว้น...

                ข้างในนั้น...ของพี่ฮ่องเต้

            เป็นส่วนที่เขายังไม่เคยลองลิ้มชิมรส แต่คาดการณ์เอาไว้ไม่ผิดแน่ว่ามันจะต้อง...ซี๊ด

                “คิดจะกินเนื้อไดโนเสาร์อยู่หรือไงวะ นานไปแล้วนะ” อ่องเต้อดทักท้วงไม่ได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่เงียบ แถมสายตายังฉายแววแปลกพิกลออกมาอย่างกับเปิบพิสดารเสียอย่างนั้น

                “เอาเป็นข้าวต้มก็ได้ครับ” ปากเอ่ยตอบ หลังจากสายตาสบเข้ากับป้ายร้านข้าวต้มลุงชูพอดี

                ฮ่องเต้พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้ “อืม นั่งรอไปก่อนก็แล้วกัน”

                ก่อนจะแยกออกไปซื้อข้าวต้มให้กับรุ่นน้อง ส่วนโฟโต้ก็นั่งรอที่โต๊ะอย่างว่าง่าย

                “เอาข้าวต้มชามหนึ่งครับ” ฮ่องเต้เอ่ยบอกและยืนรอรับอาหารที่สั่งไป ไม่นานเขาก็จ่ายเงินแลกอาหารแล้วเดินกลับมาหาเด็กปีหนึ่งที่นั่งรออยู่

                ข้าวต้มร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมฉุยมาตามไอร้อนที่ลอยขึ้นมาบนชามข้าว ถูกวางลงบนโต๊ะ ตรงหน้าของหนุ่มรุ่นน้องที่ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจที่มีรุ่นพี่อย่างเขาคอยประคบประหงมขนาดยอมไปซื้อข้าวให้

                “รีบกิน จะได้รีบไปเรียน” ทว่าบอกแค่นั้น แล้วก็เดินออกไปจากโต๊ะอีกครั้ง อย่างไม่รอฟังคำขอบคุณจากรุ่นน้อง

                ฮ่องเต้เดินกลับไปที่ร้านน้ำอีกครั้ง แล้วเปิดตู้คว้าน้ำเปล่าออกมาขวดหนึ่ง จังหวะนั้นเองที่มีอีกมือจับเข้าที่ขวดน้ำนั้นพอดี ทำให้มือของหนุ่มรุ่นพี่ต้องชะงักและปล่อยมือจากขวดน้ำ

                “ก่อนเลยครับ” ฮ่องเต้ว่าออกไปเสียก่อนจะทันได้หันไปมองหน้าคนมาใหม่

                “ใจดีตลอดเลยนะครับ” จนอีกฝ่ายเอ่ยแซวอย่างเสียไม่ได้

                “ไอ้นัท...” ฮ่องเต้ยิ้มออกทันทีที่เห็นหน้า ก่อนที่นัทจะเป็นฝ่ายยื่นขวดน้ำนั้นกลับมาให้

                “พี่เอาไปเถอะครับ พี่มาก่อน” นัทยังคงยิ้มละมุนตามสไตล์กลับไปให้คนตรงหน้าเหมือนเช่นทุกครั้ง “เถอะครับ เดี๋ยวผมหยิบขวดใหม่ก็ได้”

                นัทเน้นย้ำคำพูดอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะปฏิเสธ แถมยังยัดขวดน้ำใส่มือของหนุ่มรุ่นพี่จนหมดหนทางหลีกเลี่ยงและได้แต่รับขวดน้ำนั้นมาถือไว้

                “อืม” ฮ่องเต้รับคำสั้นๆ แล้วเดินไปจ่ายเงิน ท่ามกลางสายตาของนัทที่มองตามพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก กระทั่งหนุ่มรุ่นพี่เดินกลับไปถึงโต๊ะที่มีใครบางคนนั่งอยู่ เท่านั้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายวับไปทันที พลันสายตาเรียบเฉยก็ปรากฏ

                หมอนั่นอีกแล้ว

            ก่อนที่มือจะหยิบน้ำออกมาจากตู้ขวดหนึ่งและเดินไปจ่ายเงินกับเจ้าของร้าน

                ฮ่องเต้จัดการเปิดขวดน้ำพร้อมกับเสียบหลอดเข้าไป ก่อนจะยื่นไปตรงหน้าโฟโต้ ทำเอาคนตรงหน้าถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความซึ้งใจ

                “ทำไมใจดีกับผมขนาดนี้ล่ะครับ” เอ่ยออกไปเสียงหวาน

                ทว่าอีกฝ่ายกลับยังตีหน้านิ่งใส่แล้วเอ่ยออกไปเสียงเรียบ “ก็มึงป่วย”

                “แสดงว่า ถ้าผมไม่ป่วย พี่ก็จะไม่ใจดีกับผม” แล้วคนที่ (แอบอ้าง) ว่าตัวเองป่วยก็ทำหน้างอ จนคนที่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามป่วยจริงๆ ถึงกับอยากจะหาอะไรมาปาใส่หน้า

                นี่ถ้าเป็นไอ้ฝุ่น คงโดนถีบไปแล้ว

            ยังคงยืนยันกับตัวเองเช่นนั้น เพราะปกติ เขาไม่ใช่คนที่จะมานั่งพูดจาไพเราะ แสดงท่าทีอ่อนโยนใส่กับคนที่สนิทกันเสียหน่อย ก็ทำไงได้ คนมันติดเป็นนิสัยแล้วนี่นา

                ยิ่งสนิทมาก มันก็ยิ่งเขินปากเวลาจะพูดจาดีๆ ใส่

            “รีบกินๆ ไปเหอะน่า” จึงได้แต่เบี่ยงประเด็นตามนิสัย จนอีกฝ่ายชักจะน้อยใจขึ้นมาจริงๆ

                ไว้ตกลงปลงใจเมื่อไหร่ล่ะ จะจับฟัดจนกว่าจะบอกรักทุกวันเลยเหอะ

            แต่ก็อดหมั่นเขี้ยวกับท่าทีเมินเฉยนั้นเสียไม่ได้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายปากหนัก ถึงต้องรอเวลาต่อไป

                “ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ”

                แต่ดูเหมือนเวลาจะไม่เป็นใจ โฟโต้หันขวับไปจ้องหน้าคนมาใหม่ทันที นัทเองก็จ้องหน้าอีกฝ่ายกลับ แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเพราะฮ่องเต้หันมามองเขาพอดี จึงยิ้มออกไป

                “ไหนๆ ก็มาเจอนายแล้ว จะได้ไปเรียนพร้อมกัน” แม้จะเป็นประโยคทักทายธรรมดา แต่น้ำเสียงกลับสื่อถึงนัยแอบแฝง

                ฮ่องเต้มองหน้ารุ่นน้องสองคนสลับกันไปมาเล็กน้อย ยิ่งคิดไปถึงเรื่องที่เด็กทั้งสองคนรู้สึกอะไรบางอย่างกับเขาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ฮ่องเต้รู้สึกอึดอัด จนต้อง...

                “เออ ถ้าอย่างนั้น พวกมึงก็ดูแลกันเองก็แล้วกัน กูรีบไปเรียน” พูดจบก็หุนหันลุกเดินออกไปจากโต๊ะทันที ทิ้งให้หนุ่มรุ่นน้องสองคนมองตามจนลับสายตา จึงหันกลับมาจ้องหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย

                “เราชอบพี่เต้ แล้วเราก็จะจีบพี่เขาด้วย” เป็นนัทที่เอ่ยปากบอก พร้อมกับจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างรู้ดีถึงสิ่งที่อยู่ในใจ

                หากแต่มันกลับทำให้โฟโต้หัวเราะใส่พร้อมกับตอกกลับสั้นๆ “บอกทำไม”

                “ก็อยากให้รู้ จะได้หัดระวังตัวเอาไว้บ้าง” ว่าแล้วก็ปรายตามองไปยังเฝือกแขนของโฟโต้ “ความลับไม่มีในโลก”

                “แล้วนายเคยได้ยินสุภาษิตนี้ไหมวะ” โฟโต้เว้นจังหวะ “รู้สิ่งใด ไม่สู้รู้วิชา”

                นัทมองหน้าโฟโต้นิ่งอย่างพยายามจะเข้าใจในความหมายที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการจะสื่อ ขณะที่โฟโต้ได้แต่ยกยิ้มที่มุมปาก ยืดอกเต็มภูมิว่ายังไงตนก็อยู่เหนือกว่านัทอยู่เห็นๆ

                “...แล้วเผอิญว่าวิชาของกูมันดันเยอะเสียด้วยสิ เพราะฉะนั้น ต่อให้นายรู้ความลับ มันก็สู้กับการที่เรารู้วิชาไม่ได้หรอก”

                พลันใบหน้าเปลี่ยนสี ภายในใจเต็มไปด้วยความคับแค้นกับคำพูดของอีกฝ่าย หากแต่ก็ยังพยายามยิ้มออกมาอย่างต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว

                 “อย่าชะล่าใจไปก็แล้วกัน พลาดขึ้นมาเมื่อไหร่ มันจะเสียวิชาเอา” และเจ้าตัวก็นั่งลงตรงหน้าอีกฝ่าย อย่างที่โฟโต้ต้องมองตามการกระทำนั้น “กินข้าวต่อสิ”

                “ถ้ามันลำบากนัก ก็ขึ้นไปเรียนก่อนก็ได้นะ พี่เต้ไม่อยู่เสียหน่อย” และก็พูดออกไปอย่างประชดประชัน

                “ทีนายยังเล่นละครตบตาทุกคนได้ ทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้”

                เพราะนัทปรายตามองไปทางซ้ายมือ โฟโต้จึงต้องเหลือบตามองตาม พลันสายตาก็สบเข้ากับกลุ่มของเจมส์

                “อย่าลืมว่าพี่เต้เป็นถึงรองเดือน คงไม่แปลกถ้าพวกพี่เขาจะสนิทจนเอาเรื่องที่เราทิ้งนายไว้ที่นี่ ไปบอกพี่เต้”

                โฟโต้หันกลับมามองหน้านัทอย่างดูถูก “อ่อนว่ะ คิดทำการใหญ่ แต่ดันระแวงกับไอ้เรื่องแค่นี้”   

                และนั่นมันกลับทำให้นัทถึงกับฉุน “ไม่รู้อะไร อย่าเพิ่งพล่ามไปดีกว่า”

                “คนอย่างนาย มันเดาได้ไม่ยากหรอก...” และยกยิ้มที่มุมปากพร้อมกับเน้นประโยคถัดมาว่า “...ชั้นเชิงนาย มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินเกินจะเป็นศัตรูของเรา”

                นัทจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง หากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความคุกกรุ่นจากความรู้สึกภายในใจ จน...ต้องยันตัวลุกขึ้นมา ใช้สองแขนเท้าที่โต๊ะและโน้มตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างจงใจ

                “ชั้นเชิงสูงนัก ก็อย่าตกลงมาให้ถูกเหยียบง่ายๆ ก็แล้วกัน” กระซิบออกมาจากความรู้สึกทั้งหมด จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างพิจารณา

                เขาประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป โฟโต้ไม่ใช่แค่เด็กปีหนึ่งที่สักแต่จะทำตัวทีเล่นทีจริงไปวันๆ แต่กลับมีอะไรมากกว่านั้น ภายใต้หน้ากากเด็กปีหนึ่ง...

                ขณะที่โฟโต้ไม่ได้ยี่หระกับคำพูดของนัทเลยแม้แต่นิดเดียว เขายังคงจ้องหน้าอีกฝ่ายกลับ

                และในจังหวะที่นัทไม่ทันได้ตั้งตัว โฟโต้เหลือบไปมองทางโต๊ะของเจมส์ เมื่อเห็นว่าทุกสายตาไม่ได้สนใจพวกเขา จึงฉวยโอกาสระหว่างที่หันหน้ากลับมามองนัท ปัดชามข้าวต้มคว่ำลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังและมันก็ดังมากพอที่จะเรียกสายตาของทุกคนให้หันมามอง เพราะระดับเสียงพูดคุยกันในโรงอาหารไม่ได้ดังมากพอที่จะกลบเสียงนั้น

                จากมุมที่คนอื่นมองมานั้น หากไม่ได้ยินเรื่องที่สองคนคุยกันก่อนหน้านั้นแล้ว มันทำให้เข้าใจผิดได้ง่ายๆ

                และนั่นทำให้นัทต้องหันมามองหน้าโฟโต้อย่างไม่เข้าใจในการกระทำ หากแต่โฟโต้กลับชิงพูดแทรกขึ้นเสียก่อน

                “ถ้าเรื่องที่เราชอบพี่เขา มันทำให้นายไม่พอใจ เรา...ขอโทษ”

                นัทเดาไม่ออกเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร จึงได้แต่ทำหน้านิ่งใส่อย่างคนไม่รู้จะแก้ไขสถานการณ์ที่คนเจ้าเล่ห์จงใจจะสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายเขายังไงดี ยิ่งมองสบกับสายตาที่ไม่ได้สำนึกผิดจริงๆ จากคนตรงหน้า แต่กำลังบีบบังคับให้เขาเดินออกไปจากโรงอาหาร

                แต่ถ้าผมทำแบบนั้น มันยิ่งไม่เป็นการตอกย้ำว่าผมเป็นฝ่ายทำร้ายมันเหรอ

            และในเมื่อกดดันแทบตาย แต่นัทก็ยังคงยืนกรานผ่านทางสายตาว่าไม่ยอมเป็นฝ่ายเดินออกไปแน่ จากเดิมทีที่กะจะยั่วโมโหให้นัทไม่พอใจและเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไป ให้ทุกคนมองว่านัทเป็นฝ่ายทำร้ายเขาก่อน โฟโต้จึงต้องพลิกแผน หันไปคว้ากระเป๋าและมองหน้าฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง

                “เราเลิกชอบพี่เขาไม่ได้จริงๆ เราขอโทษนะ” ก่อนที่จะเป็นฝ่ายเดินออกไปเองอย่างไม่คิดที่จะหันกลับมาดูผลงานของตัวเอง ทิ้งให้นัทยืนนิ่งอึ้งกับสถานการณ์และเมื่อเหลือบไปเห็นสายตาหลายคู่ที่มองมา โดยเฉพาะจากโต๊ะของเจมส์ จึงได้แต่กำมือแน่นด้วยความเจ็บใจและ...

                ก้มลงเก็บชามข้าวต้มนั้นขึ้นมาและเดินเอาไปเก็บ หวังจะให้ภาพนั้น ลดทอนความร้ายกาจที่โฟโต้ยัดเยียดมาให้เขาได้บ้าง

                “มึงเล่นกูก่อนนะ” กระซิบเสียงแผ่วและวางชามเปล่าลงในถัง

                ก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกไปจากโรงอาหารด้วยสีหน้าเรียบเฉย อย่างพยายามจะสะกดกั้นอารมณ์ที่มีอยู่ภายใน...

 

               

 

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 24 แค่คนเคยรู้จัก

                “ไงว้า หายเงียบไปเลยนะมึงงงงง” เสียงนิวลอยลมมาเข้าหูทันทีที่ฮ่องเต้ก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียน จากสีหน้าที่เป็นกังวลเรื่องนัทกับโฟโต้ แปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิดขึ้นมาทันตาเห็น

                ก็เพราะว่าผมมีเรื่องจะต้องเคลียร์กับมันไง!

                “มึงไม่ต้องมายิ้มหน้าระรื่นเลยนะเว้ย!” ฮ่องเต้ตอกกลับและโยนกระเป๋าข้ามหัวเพื่อนไปลงบนเก้าอี้พอดิบพอดี ส่วนเจ้าตัวก็ย่างสามขุมเข้าไปหาอย่างเอาเรื่อง “วันนั้น มึงเอาอะไรให้น้องมันกิน!”

                เมื่อมีโอกาสได้เจอตัว ก็เปิดประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อมตามประสาฮ่องเต้ หากแต่นิวกลับหาได้สะทกสะท้านเพราะเขาเคยชินกับการจู่โจมรูปแบบนี้ของเพื่อนเขาเสียแล้ว แถมยังยิ้มรับหน้าบานอีกต่างหาก

                “ใส่อะไร กูบอกไปแล้วไงว่าน้องมันแดกเหล้า แล้วเมาเอง”

                คำพูดของนิวทำเอาสองคิ้วของเพื่อนรักอีกคนข้างต้องขมวดเข้าหากันแน่น แต่ซันก็ทำเพียงแค่นั่งฟังเงียบๆ เพราะสังหรณ์ใจว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวอะไรกับเด็กปีหนึ่งที่ชื่อโฟโต้หรือเปล่า

                “กูไม่เชื่อ ถ้ามันแค่เหล้าจริงๆ คืนนั้นมันคงไม่...!!” ริมฝีปากของคนเอาเรื่องชะงักไปทันควัน ครั้นนึกได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องควรจะพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง “...มึงเอายาห่านั่นใส่ให้น้องมันใช่ไหม!!”

                ประโยคสุดท้าย เขาไม่ได้จะถามคนตรงหน้า แต่ต้องการจะเค้นความจนอีกฝ่ายสารภาพออกมาให้ได้ต่างหาก แต่นิวกลับแสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาเสียเต็มประดา

                “ทำไมวะ หรือยามันออกฤทธิ์จริงๆ”

                ฮ่องเต้ไม่ตอบแต่ส่งสายตาอาฆาตไปให้แทน จนนิวถึงกับเบิกตากว้าง ร้องอุทานเสียงดังลั่น

                “มึงเสร็จน้องมันละ...!!” เพราะเสียงที่ดังเกินไป ฮ่องเต้จึงกระโจนเข้าใส่ แขนข้างหนึ่งรัดคอ ส่วนอีกมือหนึ่งปิดปากของคนพูดมากเอาไว้

                “เสียงดังทำห่าอะไร กูไม่ได้เสร็จน้องมันเว้ย” ท้ายประโยคเสียงเบาลงพลางเหลือบมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจจึงผละออกมาจากร่างของเพื่อนตน ในใจยังคงเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่หายกับเรื่องคืนนั้น

                ก็แค่มือ...ผมไม่นับหรอกเว้ย

            “อ้าว แล้วมึงจะโมโหใส่กูทำไมวะ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น” นิววกกลับมาเข้าเรื่อง เพราะท่าทีที่แปลกไปของเพื่อนเขา อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน มีหรือเขาจะดูไม่ออกเวลาเพื่อนมีเรื่องปิดบัง

                แต่ก็ช่างเถอะ ถ้ามันอึดอัดจนทนไม่ไหว เดี๋ยวก็แจ้นมาบอกเขาเองแหละ

                “ก็...ก็มันไม่ใช่เรื่องควรทำไง มึงก็เห็นว่าไอ้โฟโต้มันเจ็บแขนอยู่ อีกอย่าง มึงใช้ยาพวกนี้มันไปมั่วๆ ได้ไงวะ มึงก็รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหน เกิดไอ้เด็กนั่นเป็นอะไรขึ้นมา จะทำยังไงวะ”

                อ่องเต้พูดรัวๆ ติดกันเป็นพรืดจนนิวจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง จึงได้แต่จ้องหน้าอย่างจับผิด

                “มึงเป็นห่วงน้องมันมากกว่า อย่าเอาอันตรายมาอ้างเลย”

                ฮ่องเต้แอบสะดุ้งกับคำพูดของเพื่อนเล็กน้อย ก่อนจะทำทีเป็นหงุดหงิดใส่

            “ก็ห่วงดิวะ ชีวิตคนทั้งคนนะเว้ย กูไม่อยากมีเพื่อนเป็นฆาตกร”

                “อ้าว ไอ้เต้ กูอุตส่าห์ช่วยมึงนะเว้ย!” นิวร้องโวยวาย แต่เดี๋ยวเดียวก็ยิ้มร่าใหม่เพราะสมองดันนึกอะไรขึ้นได้ “แต่ถ้ามันตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์ กูยอมเป็นฆาตกรว่ะ”

                “สวรรค์อะไรของมึงวะ”

                “ก็สวรรค์ชั้นเจ็ด ที่มีแต่มึงกับมันไง ฮ่าๆๆ” และนิวก็หัวเราะลั่นอย่างสะใจ จนฮ่องเต้ได้แต่ตีหน้างอนใส่

                “กูไม่ตลกนะเว้ย”

                “เอาน่าๆ เดี๋ยวไว้คราวหน้า กูจะหายาที่มันแรงกว่านี้ แล้วก็เตรียมถุงยางกับเจลไว้ แถมเปิดห้องหรูๆ ให้ด้วยเอ้า พวกมึงจะได้มีอารมณ์กระดึ๊บๆๆ” ไม่ว่าเปล่า ยังทำไม้ทำมือ แสดงออกทางสีหน้าอย่างเต็มที่จนอีกฝ่ายหัวร้อนใส่

                ป้าบ!

                “กระดึ๊บบ้านป้ามึงดิ!” ฮ่องเต้ด่าพร้อมกับโบกหัวคนจริตเยอะไปที “ถ้ามันมีคราวหน้าอีก กูเลิกคบมึงแน่”

                “โอ๊ยๆๆ โอเคๆ ครับท่านฮ่องเต้ กระผมสำนึกผิดแล้ว อย่าเลิกคบผมเลยนะ”

                นิวรีบปรี่เข้าไปเขย่าแขนอีกฝ่ายและออดอ้อนสุดกำลัง แต่เขาไม่ได้กลัวกับคำขู่นั้นของเพื่อนหรอก เพราะรู้นิสัยฮ่องเต้ดีว่าขี้ใจอ่อนแค่ไหนต่อให้เขาทำแบบนั้นอีกเป็นสิบๆ ที ยังไงก็โกรธไม่ลงหรอก ยิ่งถ้าเขาทำให้ฮ่องเต้ยอมตกลงคบกับโฟโต้ได้ ก็ยิ่งไม่ต้องห่วงกับอีแค่เรื่องมอมยาปลุกอารมณ์หรอก

                “ว่าแต่คืนนั้นมันไม่มีอะไรจริงๆ เหรอวะ” และก็หันไปกระซิบถามทีเล่นทีจริง ชนิดที่ทำให้ฮ่องเต้ถึงกับโมโหขั้นสุด

                “ไม่เมีเว้ย!” แต่ก็ได้แต่ตอกกลับไปเช่นนั้นและเดินไปนั่งที่โต๊ะเพื่อรอเรียน ท่ามกลางสายตาของซันที่มองมาอย่างไม่ชอบใจนัก...

 

                หลังจากเทียวรับเทียวส่งถึงหอสามวันเต็ม ก็ถึงเวลาที่โฟโต้ต้องถ่อสังขารไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งในเวลาเกือบเย็น...ตามแผน

                “อีกแค่อาทิตย์เดียวเอง ทนไม่ไหวแล้วเหรอ” หมอมีนเอ่ยแซวขณะช่วยถอดเฝือกออกให้ นั่นก็เพราะตามกำหนดแล้ว โฟโต้ต้องมาถอดเฝือกสัปดาห์หน้า แต่เจ้าตัวดันมาอ้อนวอนให้เธอช่วยเอาออกเวลานี้เสียได้

                “โธ่ พี่มีนครับ ไอ้เฝือกนี่มันทำให้ผมลำบากมาเป็นอาทิตย์ๆ แล้วนี่ครับ อย่าว่าแต่อาทิตย์หน้าเลย แค่วันสองวัน ผมก็จะตายแล้ว”

                โดยเฉพาะตอนที่ต้องใส่ไปข้างนอก เขาแทบจะทนไม่ได้ คิดแต่จะเอาเฝือกออกตลอดเวลาเพราะมันทั้งคัน ทั้งชื้นไปด้วยเหงื่อที่แขนเนี่ยแหละ

                “จ้า แล้วก่อนหน้านี้ ใครล่ะหะ ปากเก่งเชียว” หมอมีนหัวเราะเบาๆ กับพฤติกรรมของน้องชายเพื่อนไม่ได้ จัดการถอดเฝือกให้เจ้าตัวเสร็จ ก็ไปล้างไม้ล้างมือต่อ

                “ใครจะไปคิดว่ามันลำบากขนาดนี้ เมื่อก่อน เห็นตอนที่กราฟใช้แผนนี้ก็ไม่ยักกะเป็นอะไร” เสือร้ายกลายร่างเป็นลูกเสือ ร้องบอกเสียงอ้อมแอ้ม ก่อนจะยืนเส้นยืดสาย บีบนวดที่แขนไปพลาง รู้สึกโล่งขึ้นเมื่อไม่มีอะไรมาครอบเอาไว้

                “ไม่เป็นอะไรเลยจ้า” หมอมีนอดลากเสียงยาวอย่างประชดประชันไม่ได้ “เราน่ะ รู้น้อยไปล่ะสิ รายนั้นล่ะ เขาก็บ่นตลอดเวลาที่มีให้บ่นนั่นแหละ”

                “แต่ยังไงก็ขอบคุณพี่หมอมีนมากนะครับ ที่ช่วย...” ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีใส่ จนอีกฝ่ายนึกหมั่นไส้

                “ไม่ต้องมายิ้มเลย คราวหน้าพี่ไม่เอาแล้วนะ แผนแบบนี้” สุดท้ายก็ได้แต่บ่นออกมาเช่นนั้น “ยังดีที่ว่าที่แฟนเราเขายังไม่รู้ เพราะขืนความแตกเหมือนตอนช่วยอีตากราฟล่ะก็...พี่คงได้ลาออกจากการเป็นหมอแล้วจริงๆ”

                “โธ่ อย่าพูดแบบนั้นสิครับ อีกอย่าง ผมเล่นละครเก่งกว่าพี่กราฟตั้งเยอะ ไม่อย่างนั้น พี่ฮ่องเต้คงไม่ใจอ่อนเทียวรับเทียวส่งผมแบบนี้หรอก”

                “ระวังไว้เถอะ คนที่ใจอ่อนมากๆ แบบฮ่องเต้เนี่ย ลองได้ผิดหวังเสียใจหรือจับได้ว่าถูกหลอกล่ะก็...เราจะได้เสียเขาไปตลอดชีวิต”

                “โหย พี่มีนครับ กว่าจะถึงตอนนั้น พี่ฮ่องเต้ก็คงรักผมไปแล้วล่ะครับ คนรักกัน ยังไงก็ให้อภัยกัน”

                เพราะท่าทางที่ดูเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไร ทำเอาหมอมีนถึงกับต้องทำหน้าจริงจังใส่และค่อยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตึงเครียด

                “โฟโต้ ฟังพี่นะ...ความรัก มันไม่ใช่ตัวแปรที่ทำให้ใครคนใดคนหนึ่งเลือกที่จะให้อภัยอีกฝ่ายเสมอไปหรอกนะ”

                โฟโต้นิ่งเงียบ สีหน้าเปลี่ยนไปทันตาเห็นที่ได้ยินคนตรงหน้าพูดออกมาเช่นนั้น หากแต่ก็ยังคงนั่งฟังต่อไป

                “คู่รักหลายคู่ ไม่ได้เลิกกันเพราะเขาหมดรักกันหรอก แต่เพราะเขาให้อภัยกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำไม่ได้ต่างหากและที่พวกเขาเลือกที่จะไปจากกันก็เพราะเขาไม่อยากกลับมาเจ็บซ้ำๆ กับคนเดิมๆ พี่ว่า...ฮ่องเต้อาจจะเป็นแบบนั้น”

                โฟโต้เงียบไปอย่างใช้ความคิด หากพิจารณาดูจากที่ผ่านมาแล้ว ก็เข้าข่ายว่าพี่ฮ่องเต้ของเขาจะเป็นเช่นนั้น เขายังจำได้ดีว่าตอนที่เขาแกล้งโกหกเรื่องของนัทและไม่ยอมไปเรียนฮ่องเต้ในวันนั้น มันทำให้ฮ่องเต้โกรธถึงกับหนีหน้าเขาเอาเสียดื้อๆ  โชคดีที่ตอนนั้นเขายังมีเหตุผลมากพอที่จะทำให้ฮ่องเต้ยอมรับได้ เขาถึงยังมีโอกาสได้กลับมาคุยกับฮ่องเต้

                “พี่มีนครับ ผมมีเรื่องจะถาม” โฟโต้เอ่ยปากออกไป ครั้นนึกไปถึงเรื่องบางอย่าง “ตอนนั้น พี่พอจะรู้ไหมครับ ว่าทำไมพี่กราฟถึงได้ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง”

                อาจจะเป็นเพราะฮ่องเต้มีนิสัยคล้ายคลึงกับพี่ชายของเขา ที่เป็นพวกปากแข็งและไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ  แม้ในใจจะต้องเสียใจมากแค่ไหนก็ตาม เขายังจำได้ว่าพี่ชายของเขาเองก็เกือบจะเสียพี่แบมบูไปเพราะเอาแต่หนีความรู้สึกของตัวเอง แต่ถ้าเป็นพี่ฮ่องเต้ของเขาล่ะ...พอจะมีอะไรที่จะทำให้คนปากแข็งอย่างพี่ปีสี่คนนี้ของเขายอมรับความรู้สึกของตัวเอง

                พี่ฮ่องเต้ ไม่ใช่คนที่คาดเดายาก...ดังนั้น เขาจึงพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายเองก็เริ่มมีใจให้กับเขาบ้างแล้ว

            หมอมีนมองหน้าโฟโต้อย่างช่างใจ แต่พอคิดไปว่าถ้าให้เจ้าน้องชายคนนี้ไปถามคนอย่างกราฟิก ชาตินี้ทั้งชาติ คนปากแข็งก็ไม่มีทางบอกน้องชายตนเองเป็นแน่ จึงค่อยเอ่ยปากพูดออกมา

                “ที่กราฟยอมรับ ก็เพราะเขากลัวการสูญเสีย เราก็น่าจะรู้นิสัยข้อนี้ของพี่ชายเราดี กราฟไม่ใช่คนที่ปล่อยให้ตัวเองรักใครง่ายๆ เพราะเขากลัวว่าวันหนึ่งเขาจะรับไม่ได้ ถ้าจะสูญเสียใครคนนั้นไป แต่พอเขาได้เผลอใจกับแบมบู หลังจากได้ใช้เวลาด้วยกัน มันก็ทำให้เขารู้สึกไม่อยากจะสูญเสียแบมบูไปก็แค่นั้น”     

                “...”

                “แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฮ่องเต้จะเป็นแบบเดียวกันกับพี่ชายเราไปเสียหมดหรอกนะ...” หมอมีนร้องเตือนสติน้องชายเพื่อน “...ความรัก มันเป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้หรอก ต่างคนต่างก็มีเหตุผลที่จะเลือกว่าจะปล่อยให้ใครเข้ามาหรือไม่เข้ามาในชีวิตของพวกเขา แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนคาดหวังจากความรักก็คือความมั่นคง...”

                “...”

                “ไม่มีใครอยากจะเสียใจซ้ำๆ อยากจะเริ่มต้นใหม่หลายหน ความรักมันก็คือรูปแบบหนึ่งของการคาดหวังน่ะแหละ ถ้าเราทำให้เขามั่นใจในตัวเราได้ เขาก็จะเปิดใจให้เรามากกว่าครึ่ง...” หมอมีนเว้นจังหวะและสบสายตากับอีกฝ่าย “...เพียงแค่อย่าทำลายความรู้สึกของเขาหลังจากนั้นก็พอ ไม่อย่างนั้น เราอาจจะไม่ได้เข้าไปในใจของเขาตลอดชีวิต”

                เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านิ่งเงียบไป แต่ดูจากสีหน้าและแววตาที่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง คล้ายว่าจะเข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังสื่อออกไป จึงปรับสีหน้าและส่งยิ้มไปให้

                “เลิกคิดมากได้แล้ว ไป ออกไปหาฮ่องเต้เถอะ รอนานแล้วนั่น”

                เมื่อได้ยินเช่นนั้น โฟโต้ก็ได้แต่เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า ลุกขึ้น แล้วเดินออกจากห้องทำงานของหมอมีนอย่างว่าง่าย

                ฮ่องเต้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินตรงเข้ามาหาหนุ่มรุ่นน้องที่เฝือกหายไปจากแขนแล้ว

                “ยังไงช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งใช้งานหนัก แล้วถ้ามีอาการผิดปกติอะไรก็ให้รีบพามาหาหมอทันทีเลยนะคะ” หมอมีนหันไปบอกพร้อมกับยิ้มกริ่ม มองหน้าสองคนสลับกันไปมา “แต่มีแฟนดูแลดีขนาดนี้ หมอคงไม่ต้องเป็นห่วงแล้วเนอะ”

                ฮ่องเต้หน้าขึ้นสีทันทีที่ถูกทักเช่นนั้น “คือ...นี่รุ่นน้องผมครับ”

                และนั่นทำเอาหมอมีนอดนึกขำไม่ได้ ขณะที่โฟโต้ได้แต่ย่นจมูกใส่ “รุ่นน้องอะไรล่ะครับ ผมคือคนที่กำลังตามจีบพี่อยู่ต่างหาก”

                “ไอ้โฟโต้!” เพราะความเขินอายที่ถูกพูดต่อหน้าคนอื่นเช่นนั้น ฮ่องเต้จึงถองศอกใส่คนข้างกายไปที

                “โอ๊ยยยยย”  หากแต่อีกฝ่ายกลับร้องโอดโอยเสียดังลั่น ทำเหมือนเจ็บเสียเต็มประดา จนหนุ่มรุ่นพี่หน้าซีดไปตามๆ กัน

                “เจ็บเหรอวะ” ว่าพลางร้อนรนจับแขน มองสำรวจ

                ท่าทางแบบที่หมอมีนอดหันไปกระซิบที่ข้างหูน้องชายเพื่อนไม่ได้ว่า “สำออย”

                โฟโต้หันมาขมุบขมิบปากใส่ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะแสร้งนิ่วหน้า เมื่อฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมามอง

                “กูขอโทษ...”

                น้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนคนจะร้องไห้ทำเอาอีกฝ่ายใจอ่อนยวบ หากแต่ก็ยังแสดงละครต่อไปอย่างแนบเนียน

                “ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง” โฟโต้แสร้งยิ้มออกไป “กลับกันเถอะครับ ผมหิวแล้ว”

                ฮ่องเต้พยักหน้าเป็นการตอบรับ ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินออกไป ท่ามกลางสายตาของหมอมีนที่มองตามพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

                “ว่าง่ายเหมือนกันแหะ”

 

                “มึงอยากกินอะไร” ฮ่องเต้เอ่ยถามขณะขับรถออกจากโรงพยาบาล อีกฝ่ายจึงหันมามองแล้วส่งยิ้มบางๆ มาให้

                “แล้วแต่พี่เต้เลยครับ”

                “ได้ไง มึงเป็นคนบอกเองว่าหิว” ที่ต้องพูดออกไปแบบนั้นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะกินอะไรต่างหาก

                “แล้วพี่ไม่หิวเหรอครับ” คนถามกลับว่าเสียงทะเล้น เอาแต่จับจ้องไปทางคนขับรถที่ยังคงเอาแต่มองทางข้างหน้า

                “ไม่” ฮ่องเต้ร้องบอกสั้นๆ ก่อนจะพูดต่อ เมื่อเห็นว่าหนุ่มรุ่นน้องเงียบไป “แต่เดี๋ยวกูไปกินเป็นเพื่อนมึงก็ได้”

                พลันรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของคนข้างกายและเอ่ยออกไปเสียงหวาน “ขอบคุณครับ”

                “แล้วสรุปมึงอยากกินอะไร” ฮ่องเต้วกกลับเข้าคำถามเดิม “ห้ามตอบว่าแล้วแต่หรือตามใจกูนะเว้ย”

                เพราะถูกดักทางเสียก่อน หนุ่มรุ่นน้องจึงหัวเราะออกมาเบาๆ จึงเอ่ยตอบ “ที่ห้างใกล้ๆ นี่ก็ได้ครับ ผมมีของที่ต้องแวะซื้อพอดี”

               

                ห้างที่โฟโต้พูดถึงอยู่ไม่ไกลมากนัก พวกเขาจึงมาถึงจุดหมายปลายทางในไม่กี่นาทีและเข้าไปหาอาหารง่ายๆ กินกัน ขณะที่ฮ่องเต้เองก็กินเข้าไปได้แค่คำสองคำเพราะเขาไม่ค่อยหิวเท่าไหร่นักและได้แต่นั่งมองหนุ่มรุ่นน้องกินข้าวไปพลาง

                พลันสาตาก็เอาแต่มองสำรวจคนตรงหน้าที่ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่เข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจของเขาในตอนนี้ แถมอิทธิพลนั้นยังมากเสียจนเขาเอาแต่หวนคิดแต่เรื่องของมันอยู่ตลอดเวลาเสียด้วยสิ หากจะถามหาเหตุผล...เขาเองก็ตอบได้ไม่เต็มปากมากนักเท่าไหร่ เพราะแม้ว่ามันจะมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ก็ยังไม่มั่นใจที่จะชัดเจนกับความสัมพันธ์นี้

                “มองแบบนี้ อยากกินผมแทนข้าวเหรอครับ” เพราะอีกฝ่ายว่าเสียงทะเล้นและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ฮ่องเต้จึงพลอยได้สติกลับมา ชักสีหน้าบึ้งตึงใส่

                “พูดมาก” และโพล่งออกไปแบบนั้น

                “พูดมากแล้วชอบหรือเปล่าครับ” โฟโต้ยังคงยิ้มจนตาหยีแบบที่ทำให้ฮ่องเต้ใจเต้นตาม ดูเหมือนเขาจะหลงไอ้รอยยิ้มแบบนี้เข้าเสียแล้ว แถมไอ้คำว่าชอบกับไอ้สายตาแพรวพราวนั่นอีก เหมือนจงใจจะหลอกล่อให้เขาพูดตามใจมันเสียอย่างนั้น

                “กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” คนโตกว่าจึงได้แต่เลี่ยงที่จะตอบและลุกขึ้นเดินออกจากร้านอาหาร ไปทางห้องน้ำตามที่ได้บอกอีกฝ่ายไป

                แต่ก็ทำเพียงแค่ล้างมือและจัดผมเผ้า เสื้อผ้าอยู่หน้ากระจกเท่านั้น เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาทำธุระส่วนตัวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแค่เลี่ยงออกมาจากโฟโต้ก็แค่นั้นเอง ทว่าสายตาก็เหม่อลอยเข้าอีกจนได้

                ช่วงนี้ เขามักจะมีอาการแปลกๆ เสมอ จิตใจไม่ค่อยจะอยู่กับตัวเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะตอนที่ต้องอยู่กับโฟโต้ตามลำพัง ยอมรับว่าตัวเองก็รู้สึกอะไรขึ้นมาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้เขากล้าบอกใครต่อใครออกไป ต่อให้เขาพยายามที่จะกลับมาเชื่อมั่นในความรักมากเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่า...มันจะพ่ายแพ้ต่อปมในใจไปเสียทุกครา

                คิด...และถอนหายใจอยู่หน้ากระจก

                กระทั่ง...

                “ฮึกๆ ฮืออออออ” เสียงเด็กร้องไห้ดังเข้ามาใกล้

                ฮ่องเต้หันซ้ายมองขวาเพื่อมองหาต้นตอของเสียง ที่กำลังใกล้เขาเข้ามาเรื่อยๆ  จนสายตาประสานเข้ากับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในห้องน้ำ แววตาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตามองไปรอบกายอย่างไร้จุดหมาย

                “พ่อ...ฮึก...พ่อไปไหน” เด็กคนนั้นร้องออกมาอีกครั้ง หลายคนที่อยู่ในห้องน้ำ บ้างก็เอาแต่ยืนมอง บ้างก็รีบจัดการธุระของตนและรีบออกไปจากห้องน้ำ ไม่ก็เอาแต่กระวนกระวาย ไม่รู้จะจัดการกับเด็กชายตัวน้อยยังไง

                จนฮ่องเต้อดเดินเข้าไปหาไม่ได้...

                “เด็กดี ร้องไห้ทำไมครับ” เขาพยายามพูดจาอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ มองเจ้าตัวน้อยที่เอาแต่สะอึกสะอื้นด้วยความสงสารจับใจ

                “พ่อ...ฮึก...พ่อผมไปไหน” เด็กน้อยยังคงพูดจาวนเวียนซ้ำๆ  เป็นประโยคที่พอจะเดาออกว่าคงจะพัดหลงกับพ่อเป็นแน่

                “เดี๋ยวพี่พาไปหาพ่อนะครับ” ฮ่องเต้พยายามหว่านล้อมเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายกลัวที่จะไปกับคนแปลกหน้าอย่างเขา “เดี๋ยวจะได้เจอพ่อแล้ว ไปกับพี่นะ”

                เด็กน้อยก้มลงมองที่มือของเขาอย่างชั่งใจ เพราะพัดหลงกับพ่อมานานหลายนาที จนเริ่มกลัวไปเสียทุกอย่าง

                “ไม่ต้องกลัวนะ พี่แค่จะพาเราไปหาพ่อ”

                “พี่จะพาผมไปหาพ่อจริงๆ นะ” ถ้อยคำที่ฟังชัดบ้างๆ ไม่ชัดบ้างตามประสาเด็กพูด ทำให้ฮ่องเต้ต้องคลี่ยิ้มอย่างใจดีให้

                “ครับ ไปหาพ่อกันนะ”

                แม้จะหวาดกลัว แต่เด็กน้อยก็ยังทำใจกล้ายื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย ฮ่องเต้กุมมือเล็กๆ ที่สั่นระริกนั้นด้วยฝ่ามืออุ่นๆ ของเขา ก่อนจะอุ้มเด็กคนนั้นขึ้นมาและเดินไปที่จุดประชาสัมพันธ์ของห้างสรรพสินค้า

                “ช่วยหน่อยนะครับ พอดีน้องเขาหลงกับพ่อ” เขาเอ่ยบอกไปแค่นั้นและพยายามลูบหลังปลอบประโลมเจ้าตัวเล็กที่เอาแต่สะอื้นไห้ไม่หยุด ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็รับเรื่องและจัดการประกาศตามหาตัวผู้ปกครองของเด็กทันที

                “ไม่ต้องร้องนะ เดี๋ยวพ่อก็มาแล้ว” กล่อมจนเด็กชายตัวน้อยเริ่มหยุดร้องไห้ แต่ก็ยังมีสะอื้นบ้างประปราย ระหว่างนั้นเองที่ฮ่องเต้หันไปเห็นบางอย่างที่กระเป๋าสะพายของเด็กในอ้อมแขน จึงทรุดตัวและวางเจ้าตัวเล็กลง แล้วหยิบบัตรเล็กๆ ที่ห้อยอยู่หลังประเป๋าขึ้นมาดู...

                มันคือข้อมูลส่วนตัวของเด็กและเบอร์โทรศัพท์ผู้ปกครอง หากแต่มือที่จับบัตรนั้น...กลับชะงักงันไป ครั้นสายตาสบเข้ากับนามสกุลของเจ้าตัวเล็กที่ดันไปเหมือนกับคนรู้จักของเขา...

                ไม่สิ...ต้องเรียกว่า คนเคยรู้จัก

                เท่านั้น ใบหน้าที่เคยแสดงความอ่อนโยนออกมาต่อหน้าเด็กชายตัวน้อย กลับแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยเพราะความรู้สึกกระอักกระอวนในใจที่เขาไม่อาจจะเก็บกดเอาไว้ได้ 

                “เป็นอะไร...”

                เจ้าตัวเล็กหันมาถาม ทำเอาคนใจเสียถึงกลับต้องรีบส่งยิ้มบางๆ ไปให้  ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องมองสำรวจไปทั่วใบหน้าของเด็กตรงหน้า ที่มันกำลังบีบเค้นหัวใจและทำให้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอจนพูดไม่ออก

                เหมือนกันไม่มีผิด...ดวงตาคู่นั้น มันเหมือนกันเกินไป

            ยิ่งได้มองสบตากับเด็กชายตรงหน้ามากเท่าไหร่ คนเคยรู้จักก็ยิ่งปรากฏกายในความทรงจำของเขามากขึ้นเท่านั้น พลันมือหนาเผลอไผลเอื้อมขึ้นไป หมายสัมผัสกับแก้มใสของเด็กชายตรงหน้า...อย่างที่เขาเคยได้สัมผัสกับใบหน้าของใครคนนั้น...หากแต่ก็ยังพอมีสติที่จะยั้งมือและเปลี่ยนไปจับเข้าที่ไหล่เล็กนั้นอย่างเบามือ

                “รอคุณพ่ออยู่ตรงนี้ อย่าไปไหนนะครับ” และกลั้นใจพูดออกไปอย่างอ่อนโยน แม้ในใจจะทั้งเจ็บและจุกมากแค่ไหนก็ตาม

                ร่างสูงยัดกายลุกขึ้นและฝากเด็กชายตัวน้อยไว้กับเจ้าหน้าที่ ก่อนจะตัดสินใจเดินหนีออกมาจากบริเวณนั้น อย่างไม่อาจจะอยู่รอเพื่อได้เจอใครคนนั้นอีก

                ...เพราะเขากลัวว่าจะทนไม่ไหว หากได้เจอกับ คนเคยรู้จัก อีกครั้ง

           

                “พี่เต้...เป็นอะไรไปครับ” โฟโต้เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ที่รุ่นพี่ปีสี่ของเขากลับมาจากเข้าห้องน้ำ ขนขับรถมาจอดหน้าหอของเขา ก็เอาแต่นั่งหน้าเครียด ถามคำตอบคำ บางทีก็เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ฟังที่เขาถามเลยด้วยซ้ำไป ขนาดว่าเขาแกล้งหยอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่มีท่าทีเขินอายอย่างที่เคยเป็น...

                หรือพี่ฮ่องเต้จะไปเจออะไรมา ระหว่างนั้น

                “พี่ฮ่องเต้ครับ” โฟโต้เรียกรุ่นพี่ของตนอีกครั้งพลางเอามือไปเขย่าแขนเบาๆ ให้อีกฝ่ายได้สติและหันกลับมามองหน้าหนุ่มรุ่นน้องของตนเลิกลัก

                “มะ...มีอะไร” และถามกลับแบบมึนๆ

                “ดูเหม่อๆ นะครับ คิดอะไรอยู่” จนโฟโต้ต้องถามด้วยเสียงอ่อนโยน พร้อมกับสบตาหนุ่มรุ่นพี่ด้วยสายตาที่แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน

                และมันก็ชัดเจนมากพอที่จะทำให้ฮ่องเต้จุกในอกขึ้นมา...

                “โฟโต้...” ก่อนจะเอ่ยปากเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเครียด หากแต่กลับนิ่งงันไปเพราะประโยคถัดมา ซึ่งเขาได้แต่ช่างใจว่าจะพูดออกไปดีไหม กระทั่งอีกฝ่ายเลื่อนมือลงไปจับเข้าที่มือของหนุ่มรุ่นพี่และเอ่ยปากบอก

                “พี่มีอะไรอยากจะบอกผมหรือเปล่า”

                ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาใสซื่อที่กำลังจับจ้องมาที่เขาอย่างรอคอยคำตอบ หรือเพราะรอยยิ้มบางๆ หากแต่กลับแฝงไปด้วยความสดใสของฝ่ายตรงข้าม หรืออาจจะเป็นเพราะ...ความสัมพันธ์ที่เริ่มจะแปรเปลี่ยนไปของพวกเขา จึงทำให้ฮ่องเต้อึดอัดเสียยิ่งกว่าเก่า

                แล้วเขาจะแน่ใจได้ยังไง ว่าถ้าถามออกไป จะได้คำตอบ...ที่มันเป็นความจริง

            ริมฝีปากได้รูปขยับไปมา อย่างอยากจะโพล่งออกไปให้ได้เคลียร์ใจกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง หากแต่ใจกลับกลัวขึ้นมาจนไม่กล้า...

                ช่างเถอะ ปล่อยมันไว้แบบนี้แหละ

            “กูแค่จะบอกว่า...ให้มึง...ระวัง...” ฮ่องเต้สบสายตาคนตรงหน้าด้วยความอึดอัดใจ “...แขนมึงอาจจะยังไม่หายดี”

                “...ครับ” โฟโต้รับคำอย่างว่าง่ายและแสร้งยิ้มออกไปอย่างไม่คิดอะไร แม้ลึกๆ จะรู้ดีแก่ใจว่าฮ่องเต้กำลังโกหกเขาอยู่ก็ตาม เพียงแค่เขาต้องการให้เวลาอีกฝ่ายก็เท่านั้น

                ตอนนี้ พี่ฮ่องเต้คงยังไม่ไว้ใจผม

            “ถ้าอย่างนั้น ผมเข้าหอก่อนนะครับ” จึงได้แต่เอ่ยปากและลงจากรถของอีกฝ่ายไป

                อย่างที่ต่างฝ่าย ต่างก็กังวลใจไม่แพ้กัน

           

                 

               

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 25 ทำความรู้จัก

                สีฝุ่น : เดี๋ยวพี่ไปรับที่คณะนะครับ

                นั่นเป็นข้อความที่ถูกส่งเข้ามาบนมือถือของกาฟิวด์ตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงก่อน เพื่อเน้นย้ำนัดสำคัญ...อ่า จะเรียกว่าสำคัญสำหรับเขาคนเดียวก็ได้ เพราะพี่สีฝุ่นตั้งใจจะพาเขาไปเลี้ยงข้าวเพื่อเป็นการไถ่โทษที่อ้วกใส่เขาตอนนั้นต่างหาก (หลังจากที่พลาดนัดเพราะเขาติดกิจกรรมของคณะมาตลอด)

                พอคิดเช่นนั้น เจ้าตัวก็ทำหน้ายู่เหมือนเด็ก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปบนถนนบริเวณลานจอดรถคณะ พลันสายตาก็สบเข้ากับรถมอเตอร์ไซค์ของใครบางคนที่แล่นมาจอด ก่อนที่เจ้าตัวจะถอดหมวกกันน็อคออก สะบัดหัวสองสามททีเพื่อจัดทรงผมแบบง่ายๆ  ให้แสงแดดในยามเย็นสาดกระทบเส้นผมสีน้ำตาลจนเกิดประกายอ่อนๆ ส่องให้เห็นใบหน้าขาวใสและดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่สามารถเห็นสีของดวงตาได้อย่างชัดเจนเพราะต้องแสง

                ร่างสูงแสนคุ้นเคยเดินตรงเข้ามาบริเวณโต๊ะหินอ่อนที่ถูกจัดวางเรียงไปตามทางเดิน ท่ามกลางสายตาของหนุ่มรุ่นน้องที่มองตามราวกับถูกสะกด

                “กาฟิวด์?” เสียงเอ่ยทัก ดึงกาฟิวด์หลุดออกจากภวังค์ แววตาสบเข้ากับสีหน้าประหลาดใจของคนที่เข้ามาทักทาย

                “พะ...พี่พีท” จึงเอ่ยออกไปตะกุกตะกักตามประสา เขาเองก็ไม่คิดว่าจะได้เจอรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าเข้าโดยบังเอิญ

                “กาฟิวด์จริงๆ ด้วยแหะ” พีทยิ้มร่า สองมือยกขึ้นมาหยิกสองแก้มขาวๆ ของหนุ่มรุ่นน้องด้วยความเคยชิน พร้อมทั้งมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า “ใส่ชุดนักศึกษาแล้วดูโตขึ้นเยอะเลยนะ”

                เพียงแค่ไม่กี่เดือนที่ไม่ได้เจอหน้า เขาเองก็ไม่คิดว่าหนุ่มรุ่นน้องจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ นึกถึงตอนที่เขาต้องไปติวให้กลุ่มของกาฟิวด์ ก่อนเข้ามหา’ลัยแล้ว ตอนนั้นกาฟิวด์ยังดูเด็กมากจริงๆ  ต่างกับตอนนี้ลิบลับ น่าแปลกที่เพียงแค่เปลี่ยนจากชุดนักเรียนเป็นชุดนักศึกษา ก็ทำให้เด็กตัวเล็กๆ ในวันนั้น ดูโตขึ้นภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่เจอกันได้

                “สะ...สวัสดีครับ” แม้จะช้าไปนิด แต่กาฟิวด์ก็ยังคงยกมือไหว้รุ่นพี่ตรงหน้าเหมือนเช่นทุกครั้ง ท่าทางที่ดูเกร็งๆ เวลาต้องอยู่ต่อหน้าคนที่โตกว่าเสมอ ทำเอาพีทเผลอหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูคนตรงหน้า

                “โตขึ้นแล้ว ยังน่ารักขึ้นด้วยนะ” และมันก็มากจนเขาอดยกมือขึ้นมายีผมคนที่เด็กกว่าอย่างเสียไม่ได้

                “น้องฟิวด์...” ใครบางคนที่เพิ่งจะมาถึงเอ่ยเรียกออกมาได้แค่นั้น ครั้นสายตาสบเข้ากับภาพตรงหน้า หากแต่มันกลับทำให้กาฟิวด์รีบลุกขึ้นเพื่อหลบมือหนาของพีท แทนการดึงมือออกเพราะเกรงจะเสียมารยาทกับรุ่นพี่ใจดีที่คอยดูแลเขามาตลอด ก่อนจะเข้ามหา’ลัย

                แต่การกระทำนั้น มันกลับผิดวิสัยจนพีทจับพิรุธได้ ปรายตาไปมองทางรุ่นน้องอีกคนแล้วได้แต่ลอบยิ้มในใจ

                “สวัสดีครับ พี่พีท” สีฝุ่นยกมือไหว้รุ่นพี่ต่างคณะ ที่รู้จักกันในฐานะเพื่อนชมรมเดียวกันกับฮ่องเต้

                “เออ ไปไงมาไง ถึงได้แวะมาสังคมฯ ได้วะ” เอ่ยถามออกไปด้วยสีหน้าท่าทางประหลาดใจ แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสีฝุ่นมาหากาฟิวด์ก็ตาม

                “พอดี...ผมมารับน้องฟิวด์น่ะครับ” สีฝุ่นได้แต่ยิ้มบางๆ ไปให้ เพราะยังเกร็งๆ กับภาพที่พีทหยอกล้อกับกาฟิวด์อยู่เมื่อครู่

                “อ่าว นี่รู้จักกันด้วยเหรอ” พีทยิ้มร่าอย่างคนไม่คิดอะไร พลางเอามือไปโอบไหล่กาฟิวด์อย่างจงใจแล้วกระซิบที่ข้างหูของหนุ่มรุ่นน้องว่า “เนื้อหอมน่าดูนะเรา”

                จนคนฟังสะดุ้งรีบผละออกมา หากแต่ยังไม่พ้นแขนที่โอบไหล่เอาไว้ “มันไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”

                “ครับ เดี๋ยวพี่จะรอฟังข่าวดีนะ” และก็กระซิบที่ข้างหูอีกรอบ ให้สีฝุ่นต้องรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในใจ

                “พี่ไปละนะ เอาไว้จะพาไปเลี้ยงข้าวนะครับ” พีททิ้งท้ายเอาไว้เท่านั้น จับหัวกาฟิวด์โยกไปมาสองสามที ให้หนุ่มรุ่นน้องต้องเหลือบตาไปมองที่สีฝุ่นอย่างเกรงใจ ก่อนที่พีทจะโบกมือลาและผละออกไปอีกทาง

                “ไปกันหรือยังครับ” สีฝุ่นแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรและฉีกยิ้มให้กับคนข้างกาย

                “ครับ” ส่วนคนที่เป็นรุ่นน้องก็ได้แต่ตอบรับกลับไปเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินตามรุ่นพี่ไปที่รถ

 

                สีฝุ่นพากาฟิวด์ไปที่ร้านอาหารที่อยู่ไม่ห่างจากมหา’ลัยภัคนลินมากนัก หลังจากมาถึงเขาก็จัดการสั่งอาหารเต็มโต๊ะ เสียจนคนตัวเล็กต้องหดตัวด้วยความเกรงใจ ทำให้ดูตัวเล็กเข้าไปใหญ่

                 “กินเลย ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก” สีฝุ่นว่าอย่างคนรู้ทัน จนอีกฝ่ายยิ้มแห้ง มองมือที่ผายไปทางอาหารบนโต๊ะ

                “ครับ” และได้แต่ตอบรับสั้นๆ ก่อนจะหยิบช้อนซ้อมขึ้นมาตักอาหารแบบเกร็งๆ อย่างที่อีกฝ่ายอดยิ้มขำไม่ได้

                “กินนี่ด้วยสิครับ เมนูเด็ดร้านนี้เลยนะ พี่มากินบ่อย รับรองว่าอร่อยแน่นอน” ไม่ว่าเปล่า มือไม้ยังจัดการตักเมนูเด็ดตามที่ปากว่าไปให้อีกฝ่าย ตามด้วยอาหารอีกหลายอย่างจนท่วมข้าวสวยในจานจนมิด ให้อีกฝ่ายได้รีบร้องห้าม

                “พะ...พอก่อนดีกว่าครับ มัน...ล้นจานแล้ว” แต่ก็เพียงแค่บอกออกไปเสียงอ้อมแอ้มตามประสา

                สีฝุ่นมองการกระทำนั้นอย่างขำขัน จนอดหัวเราะออกมาเบาๆ ให้คนที่เด็กกว่า ซึ่งเงยหน้าขึ้นมาเห็นเข้าพอดี ต้องขมวดคิ้วใส่

                ใจหนึ่งก็นึกอาย อีกใจก็แอบเคือง

            “พี่ฝุ่น...ขำอะไรครับ”

                “ขำกาฟิวด์ไง...” สีฝุ่นตอบออกไปอย่างไม่คิดจะปิดบัง “...เงอะงะ แต่ก็น่ารักดี”

                กาฟิวด์ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่านั่นเป็นคำชมจากอีกฝ่ายจริงๆ หรือเปล่า เพราะฟังดูขัดกันพิลึก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันสามารถหยุดทุกการกระทำของเขาได้อย่างอยู่หมัด โดยเฉพาะกับสายตาที่ไม่อาจจะเงยขึ้นมาสบตากับอีกคนได้อย่างเต็มที่นัก เพราะความรู้สึกบางอย่างในหัวใจ

                “รีบกินเถอะครับ อาหารเย็นหมดแล้ว” สีฝุ่นเอ่ยบอกคนตรงหน้าอีกครั้ง และทำทีเป็นตักอาหารใส่จานของตัวเองบ้าง อย่างที่อีกฝ่ายได้แต่เงยหน้าขึ้นมามอง สักพัก และเริ่มจับช้อนซ้อม ยอมตักข้าวเข้าปากแต่โดยดี

 

                ทีแรก ก็คิดไปว่าสีฝุ่นจะพาเขาไปส่งที่หอหลังจากกินข้าวเสร็จ แต่เขากลับถูกลากมาที่หน้าโรงหนังตามคำชวนของอีกฝ่ายเสียได้ และไอ้เขาจะไปปฏิเสธได้ยังไง ในเมื่อคนชวนไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น แถมยังฉวยโอกาสจูงมือเขาให้เดินตามมาอีก จนสุดท้าย เขาก็ต้องมายืนรอคนที่เอ่ยปากบอกว่าจะไปซื้อตั๋วหนังให้

                ไม่นาน ร่างสูงก็เดินมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ชูตั๋วหนังในมือให้รุ่นน้องของตนดู

                “ได้มาละ” ว่าออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ ราวกับต้องไปออกรบเพื่อชิงตั๋วมาเสียอย่างนั้น โดยที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นกับการซื้อตั๋วหนัง ให้อีกฝ่ายอดลอบขำไม่ได้

                เป็นอะไรของพี่เขา

            แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้เพียงแต่มองคนที่หุบยิ้มฉับ ทำหน้ามุ่ยขึ้นมาเหมือนเด็ก

                “แต่อีกตั้งเกือบชั่วโมง กว่าหนังจะฉาย...” พลันคนที่โตกว่าเพียงเล็กน้อยก็ชะงักนิ่งไปอย่างใช้ความคิด ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างออกมา “...งั้นเราไปเดินซื้อของก่อนดีกว่าเนอะ”

                ไม่ต้องรอฟังรุ่นน้องพูด รุ่นพี่อย่างเขาก็จัดการจูงมืออีกฝ่ายให้เดินตามลิ่วๆ ทันที ไม่วายแวะเข้าออกร้านนั้น ร้านนี้ไปทั่ว จนกาฟิวด์เองต้องพยายามปฏิเสธเป็นพัลวัน

                นั่นก็เพราะสีฝุ่นเอาแต่จะซื้อของให้เขาอย่างเดียวเลยนี่สิ

                “เสื้อตัวดีเหมาะกับฟิวด์ดีนะ”

                “พอแล้วครับ พี่สีฝุ่น” กาฟิวด์ร้องบอก สีหน้าเริ่มจะเหนื่อยกับการตามใจคนที่โตกว่า แต่ก็ยังเกรงใจและลึกๆ แล้วก็ปฏิเสธไม่ลงเท่าไหร่นักหรอก เพราะสีหน้า แววตาและรอยยิ้มเหมือนเด็กกำลังมีความสุขกับการซื้อของให้เขานั่นไง เห็นแล้วใครจะใจร้ายใส่ได้

                “พออะไรล่ะ ที่ตอนนั้น พี่อ้วกใส่ ยังไม่ได้ซื้อเสื้อคืนเลย” ผนวกกับการขุดเรื่องเก่ามาอ้างอย่างรู้สึกผิดอีกต่างหาก ที่ทำเอารุ่นน้องอย่างเขาปฏิเสธยากขึ้น จนได้แต่แสดงสีหน้าลำบากใจออกมา

                “แค่ตัวเดียวก็พอแล้วครับ” และได้แต่ต่อรองออกไปเช่นนั้น

                “แต่พี่อยากซื้อให้” ทว่าอีกฝ่ายยังคงหัวรั้น บอกออกไปหน้ายู่ ก่อนที่จะฉีกยิ้มกว้างอย่างเอาแต่ใจ “อื้ม เสื้อตัวนั้นก็น่ารักดี กาฟิวด์น่าจะชอบนะ”

                พร้อมทั้งเดินหนีไปเลือกซื้อเสื้อต่อ ปล่อยให้รุ่นน้องมองตามด้วยความเหนื่อยใจ

                หลังจากเดินเลือกซื้อของจนเต็มอิ่ม สีฝุ่นก็พากาฟิวด์มาดูหนังต่อตามเวลาฉาย ใช้เวลาไปสองชั่วโมงกว่าๆ กว่าที่สีฝุ่นจะยอมขับรถออกมาจากห้างสรรพสินค้าและขับมาส่งรุ่นน้องของตนที่หอพักในมหา’ลัยแต่โดยดี

                “รีบอาบน้ำเข้านอนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเรียนสาย” เอ่ยบอกพร้อมกับรอยยิ้ม มองรุ่นน้องของตนด้วยแววตาใจดีที่แฝงไปด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่าง

                “ครับ” ก่อนที่กาฟิวด์จะตอบรับกลับไปสั้นๆ และหอบข้าวของพะรุงพะรังเดินเข้าหอไป

                ส่วนสีฝุ่นก็มองส่งจนอีกฝ่ายเดินหายเข้าไปในหอ พลันรอยยิ้มละมุนก็ปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง

                หากแต่พอจะขับรถออกไป เสียงมือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน ทว่าพอหยิบขึ้นมาดู กลับต้องแปลกใจเพราะดันเป็นเบอร์แปลกที่โทรเข้ามา

                “ฮัลโหลครับ” แต่ก็ต้องกดรับเพราะคิดไปว่าคนโทรอาจจะเป็นคนสนิทที่เปลี่ยนเบอร์แล้วโทรมาบอกเขาก็ได้

                [ไม่เจอกันนาน คงยังไม่ลืมพี่ใช่ไหมครับ สีฝุ่น]

                หากแต่เสียงจากปลายสายกลับทำเอาคนรับถึงกับจุกอก 

                “พี่ไปเอาเบอร์ผมมาจากไหน” และถามกลับไปเสียงเรียบ แอบเคืองอยู่ในใจ ทั้งที่อุตส่าห์เปลี่ยนทั้งเบอร์ เปลี่ยนทั้งเครื่อง (ที่อ้นเคยซื้อให้) หนีแล้วแท้ๆ

                [ฝุ่นคือคนที่พี่รักนะครับ หาเบอร์ฝุ่นแค่นี้ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร]

                “พี่ต้องการอะไรก็บอกมาเลยดีกว่า” สีฝุ่นเริ่มหน้าตึงกับการที่อีกฝ่ายเล่นลิ้นใส่ หากแต่อ้นกลับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

                [อย่าพูดกับพี่แบบนั้นสิครับ ฝุ่นก็รู้ว่าพี่ต้องการอะไร พี่รักฝุ่นมากนะครับ พี่ไม่มีทางปล่อยฝุ่นไปแน่นอนอยู่แล้ว]

                คำว่ารักของอีกฝ่าย มันดูพูดออกมาง่ายเสียจนคนฟังได้แต่หลับตาลงอย่างกำลังระงับสติอารมณ์อยู่ตอนนี้ แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่า รัก ของอีกฝ่ายมันเป็นเพียงแค่ลมปาก แต่สีฝุ่นยังคงรู้สึกไปกับคำๆ นั้น คำที่ลวงเขามาโดยตลอด

                นั่นก็เพราะว่า รัก ของเขา มันมาจากความรู้สึกข้างใน

            เขารักอ้นมากชนิดที่ยอมโกหกลูกพี่ลูกน้องของตน ยอมแม้กระทั่งโกหกตัวเองว่าลึกๆ แล้ว อ้นรักเขาเพียงคนเดียว แม้ว่าที่ผ่านมา อีกฝ่ายจะโกหกและคบซ้อนกี่ครั้งกี่หน เขาก็ยอมให้อภัย...

                แต่มันไม่ใช่กับครั้งนี้...

                ในเมื่อตัดสินใจเดินหน้าแล้ว เขาก็ไม่ควรกลับลำกลับคำพูดของตัวเอง โอกาสของอ้นมันหมดลงแล้วจริงๆ

                “ทำยังไง...พี่ถึงจะปล่อยผม” แต่ก็พยายามพูดกับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

                นั่น ทำให้อ้นแอบลอบยิ้ม [กลับมาคบกับพี่อีกสักครั้งนะครับ พี่สัญญาว่าถ้าครั้งนี้ พี่ทำให้ฝุ่นเสียใจอีก พี่จะยอมปล่อยฝุ่นไป...นะครับ]

                น้ำเสียงอ่อนโยนกอปรกับความรู้สึกหน่วงในใจ ทำให้สีฝุ่นเริ่มลังเล จมอยู่กับความคิดอยู่นานสองนาน

                [นะครับ สีฝุ่น...กลับมาคบกับพี่นะครับ]

                จนเสียงอีกฝ่ายดังขอร้องกลับมา จึงได้สติและพูดออกไปเสียงเรียบ “ผมไม่รับปากว่าผมจะกลับไปคบกับพี่ แต่ถ้าพี่อยากจะกลับมาคบกับผมก็คงต้องพยายามหน่อยนะครับ”

                พูดจบ ก็กดวางสายไป พลันเอนตัวจนแผ่นหลังก็ปะทะเข้ากับเบาะดังปึก หลับตาลงและผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างนึกขึ้นได้แล้วกดโทรหาใครบางคน

                “เฮีย ช่วงนี้ผมไปนอนด้วยดิ”

                เมื่อได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายเสร็จสรรพ ก็สตาร์ทรถและขับออกไปทันที ทิ้งให้อีกฝ่ายที่ลอบมองเขาจากด้านในรถอีกคัน ได้แต่ฮึดฮัดอยู่เพียงลำพัง 

                “ไม่ได้ดั่งใจเลยเว้ย!!” ว่าออกไปเสียงดังลั่นรถ เพราะครั้งนี้สีฝุ่นเหมือนจะไม่ยอมอภัยให้เขาอีกแล้ว ได้แต่ลอบมองเข้าไปในหอพักชาย ที่ที่ใครบางคนเพิ่งจะหายตัวเข้าไป พลันสองคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน แววตาสงสัยฉายขึ้นมาในดวงตาคู่สวยนั้นทันที

                “หรือจะเป็นเพราะเด็กคนนั้น...” ปากพึมพำออกมาอย่างสงสัย เพราะเขาแอบตามสีฝุ่นไปตั้งแต่ตอนเลิกเรียนแล้ว ตามไปดูตั้งแต่ตอนที่สองคนนั้นกินข้าว ดูหนัง กระทั่งขับรถมาส่งเด็กคนนั้นที่หอ แถมยังข้าวของที่สีฝุ่นจงใจซื้อให้มันนั้นอีก ความสัมพันธ์คงไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้องธรรมดาแน่

                ไม่รอช้า มือถือก็ถูกยกขึ้นมาและกดโทนออกทันที รอสายไม่นานนักก็กรอกเสียงลงไปอย่างออกคำสั่ง แม้สายตาจะยังคงจับจ้องไปทางหอพักชายอยู่ก็ตาม

                “ช่วยสืบประวัติใครสักคนให้หน่อยสิ...”

 

               

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 26 ตั้งใจ

                “ไอ้ฝุ่น ตอบข้อความทีดิ กูรำคาญ” ฮ่องเต้ส่งเสียงอ้อแอ้บอกไอ้คนที่นอนข้างๆ พร้อมกับเขย่าแขนเพื่อปลุกมันอย่างหงุดหงิด เพราะเขาเพิ่งจะนอนหลับสนิทไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ หลังจากที่มีเรื่องให้ต้องคิดมากแบบข้ามวันข้ามคืน แต่ก็ต้องมาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงแจ้งเตือนแชทที่ดังไม่ยอมหยุดในเวลาที่ฟ้ายังไม่สางแบบนี้

                สีฝุ่นส่งเสียงอย่างขัดใจ ก่อนที่ฮ่องเต้นะจะรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายบนเตียงและเขาก็หลับต่ออย่างไม่สนใจอะไรเพราะตอนนี้เขาง่วงมากถึงมากที่สุด กว่าจะข่มตาลงนอนได้ก็ปาเข้าไปเกือบข้ามวัน นั่นมันก็เพราะเรื่องของเด็กที่เขาเจอที่ห้างด้วยความบังเอิญ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ติดอยู่ในหัวของเขาไม่ยอมไปไหนและเขาก็ค่อยๆ หลับลึกลงไปเรื่อยๆ

                ตรงข้ามกับสีฝุ่น ที่แทบจะตื่นเต็มตาทันทีที่เห็นข้อความที่ถูกส่งเข้ามา ไม่ใช่บนเครื่องของเขา แต่เป็นของฮ่องเต้ต่างหาก แต่เพราะตั้งเสียงแจ้งเตือนเอาไว้เหมือนกัน คนเป็นพี่จึงเข้าใจผิดไปว่าเป็นของเขา แต่ก็ดีแล้วแหละ เพราะมันทำให้เขาได้รู้ความจริงอะไรบางอย่างเข้าจนได้

                และมีหรือที่สีฝุ่นจะปล่อยผ่าน เขาหันกลับไปมองคนที่นอนอุตุอยู่บนเตียงอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าคนเป็นพี่ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมา ก็หันกลับไปสนใจข้อความในมือถือต่อ ไล่อ่านจนครบทุกบรรทัดและ...

                จัดการพิมพ์อะไรบางอย่างและส่งกลับไปให้อีกฝ่าย

                พลันรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า ท่ามกลางความมืดสลัวในห้อง ก่อนที่คนเป็นน้องจะวางมือถือเอาไว้ที่เดิมและล้มตัวลงนอนต่ออย่างสบายใจ...

                ไม่ๆๆ เขาไม่ควรจะนอนต่อสิ เพราะตอนี้ก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงแล้ว ร่างสูงจึงผงกตัวขึ้นมาอีกครั้งและรีบลุกจากเตียงไปอาบน้ำอาบท่าทันที

               

                ส่วนฮ่องเต้...กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เสียงโทรศัพท์ของเขาดังลั่นห้อง

                ฮ่องเต้ผงกตัวขึ้นมานั่งงัวเงียอยู่บนเตียง ก่อนจะหันไปคว้ามือถือมาดูก่อนจะกดปิดนาฬิกาปลุกที่เขาตั้งปลุกเอาไว้ตอนหกโมงครึ่ง

                “คิดว่าเฮียยังไม่ตื่นเสียอีก”

                คนเป็นพี่หันไปมองหน้าลูกพี่ลุกน้องของตนที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันท่อนล่างเอาไว้ซึ่งกำลังยืนเช็ดผมเปียกๆ ของมันอยู่ตรงปลายเตียงด้วยความแปลกใจ

                “ทำไมวันนี้ถึงตื่นเช้าได้”

              ก็ปกติเห็นมันตื่นสายจะตายไป ผมก็เลยอดแปลกใจไม่ได้ที่มันจะตื่นเช้ากว่าผมได้ขนาดนี้

                “ผมก็แค่อยากตื่นเช้า มันแปลกมานักเลยหรือไง” สีฝุ่นหัวเราะออกมาเบาๆ  กับท่าทางของคนเป็นพี่ “เฮียนั่นแหละ ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว ผมรีดชุดนักศึกษาไว้ให้แล้ว”

                “หะ?” คราวนี้ คนฟังถึงกับร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อกับหูตัวเอง “มึงเนี่ยนะ รีดชุดนักศึกษาให้กู”

                แต่เดี๋ยวนะ...ไอ้ฝุ่นมันรีดเสื้อผ้าเป็นที่ไหนกันวะ           

                คิดได้ พลันดวงตาก็เบิกโพลงและพรวดพราดลุกจากเตียงทันทีที่ภาพปรากฏในหัวคือเสื้อนักศึกษาที่เต็มไปด้วยรอยไหม้สีน้ำตาลและกางเกงที่สภาพยับเยินไม่ชิ้นดี

                แต่พอเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบชุดนักศึกษาออกมาดูก็โล่งใจไปทีที่ชุดของเขายังคงสภาพความเป็นนักศึกษาอยู่ แถมยังดูเรียบร้อยดีซะด้วย

                “ใช้ได้นี่หว่า” เพราะแบบนั้นจึงอดหันไปชมไม่ได้ ทำเอาสีฝุ่นยิ้มแก้มแทบแตก ก่อนที่มันจะหุบยิ้มฉับเมื่อเขาหรี่ตามองอย่างจับผิด “นี่มึงหวังผลอะไรจากกูหรือเปล่า

                “โหยเฮียยย ดูพูดเข้า คนอย่างผมจะไปหวังอะไรจากเฮียกันล่ะ”

                “มึงหวังออกจะบ่อย” เขาว่าขณะที่เก็บชุดนักศึกษาเข้าใส่ในตู้เสื้อผ้าเหมือนเดิมและเดินออกไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ระเบียงห้อง

                “เร็วๆ นะเฮีย มีคนเขารีบ”

               ฮ่องเต้หันขวับไปจ้องหน้าไอ้สีฝุ่นทันที “มึงหมายถึงใคร”

                “ก็ผมไงเฮีย ผมกะว่าจะไปหาอะไรกินก่อนเรียนหน่อย” สีฝุ่นว่าพร้อมกับคลี่ยิ้ม ท่าทางไม่น่าไว้วางใจในความคิดของฮ่องเต้เลยสักนิด

                “อย่าให้รู้ว่ามึงโกหกอะไรกู” จนเขาอดหันไปชี้หน้าคาดโทษใส่ ทำให้อีกฝ่ายต้องเร่งเดินมาดันตัวเขาให้เข้าห้องน้ำอย่างว่อง

                คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง

            ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ และยอมเข้าห้องน้ำไปแต่โดยดี...

                หลังจากนั้นเขาก็จัดการอาบน้ำแปรงฟันจนเสร็จสรรพและเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นเงาสีฝุ่นทำอะไรสักอย่างอยู่ตรงระเบียง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จึงเดินมาเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบชุดนักศึกษาออกมาวางที่เตียง ก่อนจะหันกลับไปค้นเสื้อผ้าชั้นในออกมาและจัดการปิดตู้เสื้อผ้า กะจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ แต่ทว่า...

                “เหี้ยยยยย”

                เป็นอันต้องร้องเสียงหลง ขยี้ตามองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

                “มึง...มึง ทำไมมึงมาอยู่ที่นี่ได้วะ” เขาร้องถามอีกฝ่ายที่ยืนนิ่ง สายตามันเอาแต่จับจ้องมาที่เขาอย่างไม่วางตา ไม่ได้หมายถึงที่หน้าหรอกนะ แต่หมายถึงไอ้ร่างกายเปียกๆ ของเขาที่มีเพียงผ้าขนหนูสีน้ำเงินปิดท่อนล่างเอาไว้ต่างหากล่ะ และเขาก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าไอ้เด็กตรงหน้านี่มันไม่ใช่คนที่บอกว่าจะจีบและพยายามจะแทะโลมเขาด้วยคำพูดและสายตาตลอดเวลา อย่างในตอนนี้ ที่มันกำลังจ้องเขาด้วยแววตาที่ไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย

                “เลิกมองกูแบบนั้นได้แล้ว!” ร่างสูงแหวใส่ ขณะสองมือก็ร้อนรน ควานหาหมอนมาปิดร่างกายตัวเองเอาไว้ด้วยความหวงแหนสุดใจ

                ฉิบหาย แล้วทำไมผมถึงรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นผู้หญิงไปวะชิบ

            แต่พอคิดอีกที ยังไงอยู่ต่อหน้าไอ้เด็กนี่ในสภาพแบบนี้ ถึงเขาจะเป็นผู้ชาย มีอะไรๆ เหมือนมันทุกอย่าง แถมยังเคย...เห็นไปถึงไส้ถึงพุงมาแล้วก็เถอะ แต่ไม่ได้! ยังไงเขาก็จะไม่มีทางให้มันเกิดเรื่องแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง ตราบใดที่เขากับมันยังคงความสัมพันธ์แค่รุ่นพี่รุ่นน้องและตอนนี้ เขาก็ต้องปกป้องตัวเองจากตัวอันตรายให้ได้!

                “กูบอกให้เลิกมองไง!!” เป็นอันตะโกนใส่อีกหน จนอีกฝ่ายได้สติ รีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

                “เอ้ย ผมขอโทษ ก็ร่างกายพี่มัน...” โฟโต้บอกพร้อมกับส่งยิ้มแห้งๆ มาให้กับเขา ก่อนจะหลุบตาลงต่ำและพยายามไม่มองร่างกายที่โคตรของโคตรจะดึงดูดสายตาของคนตรงหน้า

                “พอเลยมึง! มึงรออยู่ตรงนี้นี่แหละ กูเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะออกมาจัดการกับมึง!” ฮ่องเต้ร้องบอก ก่อนจะกระเถิบไปข้างหน้าเพื่อหยิบชุดนักศึกษา

                ...และจังหวะนั้นเองที่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ ได้ร่วงหล่นลงไปกองกับพื้น

                ทำเอามือที่จับชุดนักศึกษาถึงกับค้างเติ่งด้วยความตื่นตระหนกจนพูดไม่ออก จึงได้แต่ลอบกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับตะโกนลั่นในใจว่า...               

            เหี้ยแล้ววววววววววว

            ก่อนสายตาจะเหลือบไปมองข้างหลัง ก็พบสาเหตุที่ผ้าเช็ดตัวมันหลุดออกเพราะเขาดันเผลอปิดประตูตู้เสื้อผ้าหนีบปลายผ้า ยิ่งทำให้ต้องหลับตาลงอย่างหงุดหงิดกับตัวเองที่มาพลาดท่าเสียทีไม่เข้าเรื่อง ก่อนที่เขาจะค่อยหันใบหน้าที่ร้อนผ่าวไปทางอีกฝ่ายซึ่งกำลังยืนอึ้งกิมกี่ เบิกตาโพลงมองมาทางเขาที่มีเพียงหมอนปิดส่วนนั้นเอาไว้ ก่อนที่ฮ่องเต้จะตะโกนลั่นห้องว่า...

                “หันหลังให้กูเดี๋ยวนี้!!”

 

                พาร์ทโฟโต้

 

                ผมอึ้ง...อึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไรออกไป

                เนื้อตัวของพี่ฮ่องเต้ที่ปรากฏต่อหน้าผมในตอนนี้ มันยิ่งเสียกว่าที่ผมได้เจอกับเขาในทุกๆ วัน แม้ว่าผมจะเคยได้เห็นทุกส่วนและเคยแม้กระทั่งสัมผัสส่วนนั้นของเขามาแล้วก็ตาม แต่ตอนนั้น มันเพราะฤทธิ์ยากับแอลกอฮอล์ในร่างกาย ทุกอย่างเลยดูพร่าเลือนไปหมด

                ต่างกับตอนนี้ ที่ผมยังมีสติครบถ้วนดี...

                ผมมองภาพนั้นพร้อมกับลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แล้วถ้าจะบอกว่าผมไม่รู้สึกอะไรกับสภาพของพี่ฮ่องเต้ในเวลานี้ ก็คงไม่มีใครเชื่อหรอกครับเพราะผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนตรงหน้าจะมีอิทธิพลกับอารมณ์ความรู้สึกของผมได้มากขนาดนี้

                ตอนนี้ร่างกายของผมมันเต็มไปด้วยความหื่นกระหายเอามากๆ แต่เพราะจิตใจที่กำลังร้องเตือนถึงสิ่งที่ไม่ควร ทำให้ผมต้องพยายามอดกลั้นความรู้สึกที่มันกำลังเอ่อล้นออกมา

                “หันหลังให้กูเดี๋ยวนี้!!” พี่ฮ่องเต้หันมาสั่งผมด้วยความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

                อะไรกัน ท่าทางแบบนั้น...

                ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนให้อนุญาตผมเหยียบเข้ามาถึงที่นี่และให้โอกาสผมได้เห็นเขาในสภาพแบบนี้เองแท้ๆ ผมจะคิดได้หรือเปล่านะ ว่าเขากำลังต้องการอะไรบางอย่างจากผมอยู่

                “ออก...ไป...” ผมมองตามพี่ฮ่องเต้ที่ขยับถอยหลังไปตามจำนวนก้าวของผมที่ขยับเข้าไปใกล้เขาเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว

                ทำไงดี...ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะสูญเสียการควบคุมตัวเองชะมัด

                สายตาของผมไม่อาจจะละไปจากร่างกายที่น่าถะนุถนอมนั่นได้เลย ร่างกายกับสมองของผมกำลังทำสงครามกันอย่างหนักกับสถานการณ์ตรงหน้าแบบนี้ มันจะเกินไปหรือเปล่านะ ทำไมใจผมถึงได้อยากจะสัมผัสผิวขาวๆ  บนร่างสมส่วนนั่นกัน

                ตายๆๆ พี่ฮ่องเต้กำลังจะทำให้ผมสติแตกแล้วนะ!

                “อย่านะเว้ย อย่าทำอะไร...” คนตรงหน้าผมชะงักคำพูดไปทันทีที่ผมเผลอไผลเข้าไปใกล้เข้าจนเกินขอบเขต ผมสบลึกเข้าไปในดวงตากลมโตเหมือนลูกแมวของเขาที่ดูเหมือนจะสั่นระริก เลื่อนสายตามองตามหยดน้ำจากเส้นผมของเขาที่หยดลงมาตรงปลายจมูกน่าหมั่นเขี้ยวนั่น ก่อนที่มันจะค่อยๆ ไหลลงมาที่ริมฝีปากแดงระเรื่อที่ชุ่มไปด้วยน้ำ ซึ่งผมได้แต่เก็บเอาไปนอนฝันทุกคืนและหวังว่าจะได้สัมผัสมันด้วยริมฝีปากของผมในทุกๆ วัน

                อยากให้มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น ที่ได้สัมผัสริมฝีปากนั้น...

              กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวขาวใสและเส้นผมของเขาเหมือนเป็นตัวกระตุ้นที่คอยทำลายความอดกลั้นของผมในเวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขาล้วนแต่ดึงดูดจิตใจของผมให้อ่อนไหวและอีกไม่นานผมคงจะไม่สามารถต้านทานความน่ารักของคนตรงหน้าได้อีกต่อไป

                ร่างกายของผมขยับเบียดจนแผ่นหลังของพี่ฮ่องเต้ถอยชิดกับตู้เสื้อผ้า ผมพยายามควบคุมลมหายใจที่ดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ลดตัวลงไปอย่างช้าๆ  โดยไม่ละสายตาไปจากดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก มือของเขาขยับขยำหมอนเพียงใบเดียวที่ปิดส่วนนั้นเอาไว้ ขณะที่มือของผมเอื้อมไปขยับเปิดประตูตู้เสื้อผ้าเล็กน้อย พอที่จะให้ปลายผ้าเช็ดตัวหลุดออกมาได้ ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นยืนและเอื้อมมือไปข้างหลัง กอดกระชับเอวของเขาให้เข้ามาใกล้และพยายามดึงหมอนในมือของเขาออก

                พี่ฮ่องเต้พยายามยื้อยุดฉุดหมอนในมือออกไป ผมจึงทำทีเป็นผ่อนแรงก่อนกระฉากหมอนใบนั้นออกอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ร่างสมส่วนตรงหน้าไร้อาภรณ์ใดๆ ปกปิด ผิวขาวใสก็เริ่มแดงระเรื่อด้วยความเขินอายขึ้นมาทันที ผมมองริมฝีปากที่กำลังขยับเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง (ซึ่งน่าจะเป็นคำด่า) ทว่ากลับไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาเสียที เขามุ่นคิ้ว มองผมเหมือนคนกำลังไม่พอใจ แต่ก็ไม่เชิงว่าเขาไม่ได้รู้สึกแย่ไปกับการกระทำทั้งหมดของผม

                เขาจะรู้บ้างหรือเปล่าว่ายิ่งเขาทำหน้าแบบนั้น มันยิ่งกระตุ้นให้ผมรู้สึกกับเขามากกว่าเดิม

                ผมกระชับมือโอบเอวของคนตรงหน้าเข้ามาแนบชิดกับตัวและนั่นทำให้ร่างกายส่วนนั้นของเขาสัมผัสกับร่างกายของผมอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่ผมจะแสร้งทำเป็นโน้มใบหน้าเข้าไปหาจนจมูกของผมเฉียดเข้าใกล้ใบหูและลำคอด้านข้างที่ขึ้นสีเพราะความอาย กลิ่นหอมของเขาทำเอาผมเผลอไผลฉวยโอกาสสัมผัสกลิ่นนั้นพร้อมกับหลับตาพริ้ม

                “ปล่อย...กู...” พี่ฮ่องเต้เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเขาเองก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างไม่ต่างไปจากผม เพียงแต่เขาคงไม่อยากจะปล่อยใจให้อะไรก็ตามเกิดขึ้นในเวลานี้ก็เท่านั้น

             ผมเอื้อมมือไปจับปลายผ้าเช็ดตัวที่ก้มลงไปเก็บขึ้นมาเมื่อครู่และคลี่ออก ก่อนจะคลุมเข้าที่สะโพกด้านหลังและขยับพันผ้าผืนนั้นรอบเอวของเอาไว้ เขาดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อยเมื่อมือของผมเลื่อนมาหยุดอยู่บริเวณเอวด้านหน้าเพื่อผูกปมให้แน่น เพราะถ้าผ้าผืนนั้นหลุดลงมากองตรงพื้นอีกครั้ง...ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะหักห้ามความรู้สึกทั้งหมดของตนเองได้หรือเปล่า

                “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะครับ” ผมบอกขณะถอยห่างจากพี่ฮ่องเต้ที่ดูเหมือนจะสติหลุดไปแล้ว เขาดูมึนๆ ราวกับเพิ่งผ่านเรื่องแบบนั้นมาอย่างนั้นแหละ

                นี่ขนาดผมยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะครับ ถ้าวันหนึ่ง...ผมหมายถึงถ้ามีโอกาสได้ทำตามความปรารถนา เขาจะอาการหนักขนาดไหน

                ผมหันไปหยิบชุดนักศึกษาที่ถูกวางทิ้งไว้บนเตียงและส่งให้กับพี่ฮ่องเต้ เขามองหน้าผมอย่างคาดโทษเล็กน้อยก่อนจะคว้าชุดไปจากมือผมและรีบเข้าห้องน้ำไป ผมได้แต่มองตามพี่เขาไปจนกระทั่งประตูห้องน้ำปิดพร้อมกับอมยิ้มให้กับความน่ารักของเขา ก่อนที่ผมจะหมุนตัวกลับมาที่เตียงและจังหวะนั้นเองที่สายตาของผมเลื่อนไปเห็น...

                ชั้นในของพี่ฮ่องเต้...!!

                ให้ตายเถอะ ตัวไม่อยู่...ยังจะอุตส่าห์ทิ้งของสำคัญไว้ให้ดูอีกนะครับ

                ผมส่ายหน้าอย่างขำๆ ก่อนจะก้มลงเก็บชั้นในตัวนั้นขึ้นมาและเดินไปที่หน้าประตูห้องน้ำ แต่ทว่ายังไม่ทันได้เคาะเลยครับ ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับใบหน้าตกใจของพี่ฮ่องเต้ที่โผล่ออกมาจากห้องน้ำ

                “มึงมาทำอะไรตรงนี้”

                ดูเหมือนเขาจะมีสติมากขึ้นแล้วสินะครับ ถึงได้กลับมาพูดจาโผงผางกับผมแบบเดิมได้ แต่ยังไงผมก็อดขำกับท่าทางหวาดระแวงของเขาไม่ได้อยู่ดี ตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรจากลูกแมวตาโตที่กำลังพอขนขู่ผมเสียงดังฟ่อๆ เลยครับ

                “อย่ามองผมแบบนั้นสิครับ ผมแค่เอาไอ้นี่มาให้” ผมว่าพร้อมกับยกมือข้างที่ถือชั้นในของเขาเอาไว้ขึ้นมาตรงหน้า ทำเอาแก้มของพี่ฮ่องเต้ขึ้นสีอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พี่เขาจะคว้าชั้นในของตัวเองไปจากมือของผมและกะจะปิดประตูใส่หน้า แต่ผมมือไวกว่าผลักประตูเข้าไปพร้อมกับยืนพิงเอาไว้และมองสำรวจคนตรงหน้าที่ยังคงมีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบเอวเอาไว้

                “ถ้ามึงคิดจะทำอะไรกูล่ะก็ กูต่อยมึงไม่ยั้งแน่!!”

                เขาเหมือนลูกแมวกำลังขู่จริงๆ นะ น่ารักชะมัด

                “ถ้าผมคิดจะทำอะไร คงทำไปตั้งแต่ตอนที่พี่อยู่ตรงตู้เสื้อผ้าแล้วล่ะครับ ใกล้เตียงขนาดนั้นเนี่ย ผมจับพี่กดได้ง่ายๆ เลยนะ อีกอย่างแขนผมก็หายดีแล้วด้วย พี่สู้แรงผมไม่ได้หรอก”

                “ไอ้ชะ...”

                “ชู่ว!” ผมยกนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากของตัวเอง “ไม่เอาครับ หยาบคายแต่เช้า เดี๋ยวจะเจอแต่เรื่องไม่ดีเอานะ”

                พี่ฮ่องเต้เบะปากเล็กน้อยก่อนจะออกปากไล่ผม “ออกไปเลยไป กูจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”

                “ผมช่วยไหมครับ ผมแต่งตัวให้เด็กเก่งนะ” ผมบอกอย่างอารมณ์ดี ทว่าคนตรงหน้ากับแหวใส่ผมเหมือนเช่นทุกครั้ง

                “กูไม่ใช่เด็ก! กูแต่งตัวเองได้ ออกไป!!” ก่อนที่พี่เขาจะผลักผมด้วยแรงทั้งหมดที่มีและปิดประตูห้องน้ำใส่ ขณะที่ผมเดินกลับมาที่เตียงและจัดการเก็บกวาดที่นอนอย่างอารมณ์ดี

                จะว่าไปช่วงเวลาแบบนี้ มันเหมือนกับผมได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตพี่ฮ่องเต้แล้วเลยเนอะ ผมคิดว่านะ

 

                พาร์ทฮ่องเต้

               หลังจากเปลี่ยนมาใส่ชุดนักศึกษา ผมเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมาจากห้องน้ำ ก็เจอไอ้เด็กโฟโต้กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือของไอ้สีฝุ่น มันหันหน้ากลับมามองผมและก็ยิ้มเหมือนที่เคย ก่อนที่มันจะลุกขึ้นและเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้า ขณะที่ผมได้แต่มองมันด้วยความระแวง

                สาบานได้ว่าผมจะไม่คิดอะไรและไม่รู้สึกทั้งอาย ทั้งระแวงเลย ถ้าไอ้ผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่ไอ้โฟโต้ที่จ้องจะทำมิดีมิร้ายผมผมอยู่เรื่อย ดูสายตาที่มันมองกับการกระทำตอนอยู่กับผมสิครับ มันน่าไว้ใจเสียที่ไหน แต่ก็ยังดีที่มันยังคิดได้ ไม่ทำอะไรแปลกๆ กับผมน้องจากพยายามเข้าใกล้ แต่แค่นั้นมันก็ทำให้ผมที่เป็นผู้ชายเริ่มกลัวการรุกเข้าหาจากผู้ชายอย่างมันแล้วล่ะครับ

                “มาครับ เดี๋ยวผมเอาผ้าเช็ดตัวไปตากให้” ผมมองมือมันที่ยื่นมาตรงหน้าเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนสาตาขึ้นมามองหน้ามันแบบกวนๆ

                “ไม่ต้อง” พูดจบผมก็กะจะเดินเอาผ้าไปตากที่ระเบียง แต่พอเดินผ่านมันไปได้ไม่กี่ก้าว ผมก็ต้องตกใจเพราะไอ้มือของคนข้างหลังที่คว้าหมับเข้าที่เอวของผม

                “ไอ้เชี้ย ปล่อย” ผมโวยวายก่อนจะใช้ตัวดันมันให้ออกห่าง แต่สุดท้ายมันก็เข้ามากอดผมจากทางข้างหลังอีก ก่อนที่มือของมันจะคว้าผ้าเช็ดตัวของผมไปเฉย

                “บอกแล้วไงครับ ว่าเดี๋ยวผมเอาไปตากให้” มันกระซิบบอกที่ข้างหูจนผมขนลุก ก่อนที่มันจะปล่อยผมและเดินออกไปตากผ้าเช็ดตัวที่ระเบียง ขณะที่ผมได้แต่มองตามมันที่ดูมีความสุขที่ได้ทำแบบนั้น ก่อนที่ผมจะเดินไปไปหยิบไดร์ในลิ้นชักโต๊ะของไอ้สีฝุ่นและไปยืนเป่าผมอยู่หน้ากระจกเงาขนาดเท่าตัวที่ข้างกำแพง ไอ้โฟโต้เดินกลับเข้ามาข้างในห้องและเอาแต่มองผมอย่างไม่ยอมละสายตาไปไหน

                ผมเป่าผมให้พอแห้งและจัดการเซ็ทผมให้เรียบร้อย ก่อนจะเอาไดร์ไปเก็บไว้ที่เดิมท่ามกลางสายตาที่ยังคงจ้องผมทุกท่วงท่าการกระทำ ผมหันหน้าไปมองมันอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้

                “มึงมาอะไรที่หอนี้”  ผมถามมันออกไป ในใจก็แค่คิดไปว่ามันอาจจะมาหาเพื่อนมันหรืออะไร แม้ว่าในใจจะรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ อยู่บ้างก็ตาม

                “ผมก็มาหาพี่ไงครับ” มันว่าพร้อมกับยิ้มขำกับคำถามของผม “ก็พี่เป็นคนบอกให้ผมมาหาพี่ที่นี่เอง หรือพี่จะปฏิเสธว่าพี่ละเมอส่งข้อความมาหาผม”

                “ข้อความ? ข้อความอะไรของมึง”     

                ตั้งแต่ตื่นนอนมา ผมจับโทรศัพท์ก็แค่ตอนปิดนาฬิกาปลุกเท่านั้นเถอะ! แต่ถ้าเป็นเมื่อคืน...ผมก็ส่งข้อความไปหาไอ้ซันแค่คนเดียวเท่านั้นแหละครับ ก็เพราะผมจะบอกให้มันเอารถมาคืนและถามเรื่องไอ้น้องเปรมก็แค่นั้น

                แล้วไอ้ข้อความที่มันพูดถึง...หมายความว่ายังไงกัน

                “ก็เมื่อเช้าผมส่งข้อความบอกว่าจะมารับพี่ที่หอ แล้วพี่ก็ส่งที่อยู่หอนี้มาให้ผม ถ้าพี่ไม่เชื่อจะดูในมือถือผมก็ได้นะ” ไอ้โฟโต้ล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงนักศึกษาและส่งมาให้

                ผมรีบตะปบเข้าไปเอามือถือในมือมันมาดูทันทีและความจริงทุกอย่างก็ประจักษ์แก่สายตาของผมเป็นที่เรียบร้อย ข้อความที่ถูกส่งไปให้ไอ้โฟโต้ขึ้นชื่อว่าเป็นแชทของผมจริงๆ แถมยังส่งไปหามันตั้งแต่ตอนที่ผมยังไม่ตื่น...

                และนั่นทำให้ผมย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้าตรู่ ตอนที่ผมบ่นเรื่องเสียงเตือนแชทที่ดังไม่หยุดและมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้เห็นเรื่องนี้

                “ไอ้...สี...ฝุ่น...” ผมกัดฟันพูดชื่อไอ้ตัวการที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด มิน่า มันถึงได้ตื่นเช้าและหายหัวไปจากห้องโดยไม่บอกไม่กล่าวผมเลยสักนิด ทั้งๆ ที่มันบอกว่าจะขับรถไปส่งผมที่มหา’ลัยเพราะผมไม่มีรถเองแท้ๆ อย่าให้เจอนะ แม่จะเอาคืนให้จนจุกพูดไม่ออกเลย!!ก็ดูข้อความที่มันส่งไปสิครับ

                ถ้ามาถึงแล้ว ให้เข้ามาเลย ห้องไม่ได้ล็อค

            นี่มันไม่ต่างอะไรไปจากการที่ผมเห็นดีเห็นงามกับการให้ไอ้โฟโต้เข้ามาในห้องเลยสิครับ ถึงว่าล่ะ ไอ้โฟโต้มันถึงได้มองผมอย่างกับว่าผมจงใจให้เรื่องหลุดๆ เมื่อเช้าเกิดขึ้น     

                ผมส่งมือถือคืนให้ไอ้โฟโต้ที่ลุกขึ้นยืนมาประจันหน้ากับผม “ไปครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”

                ผมเหลือบมองนาฬิกาบนหัวเตียงที่กำลังบอกว่าผมกำลังจะไปเรียนสายแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทาง ก่อนที่ผมจะจำใจไปหยิบกระเป๋าเป้ที่โต๊ะอ่านหนังสือของไอ้สีฝุ่นและออกจากหอไปพร้อมกับไอ้โฟโต้

 

 

               

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 27 พาร์ทกาฟิวด์

                หลังจากที่เดินเอาจานไปเก็บเป็นที่เรียบร้อย ก็เดินออกมาจากโรงอาหารและแวะเข้าร้านเครื่องดื่มที่ผมยังไม่เคยเข้าเลยสักครั้งตั้งแต่เปิดเทอมมา เพราะเมื่อคืนกว่าจะนอนหลับได้ก็ข้ามวันแล้วล่ะครับ ทำให้ผมง่วงเหงาหาวนอนสุดๆ ไปเลยตอนนี้ ดังนั้น ถ้าได้กาแฟสักแก้วก็คงจะดีเพราะได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้วล่ะครับว่าช่วยให้มีชีวิตรอดตอนเรียนได้ แต่เพราะผมยังไม่เคยสั่งกาแฟเลยสักครั้ง นั่นทำให้ผมเอาแต่ยืนมองเมนูด้านบนเคาน์เตอร์อยู่นานสองนานจนพนักงานเริ่มจะหงุดหงิด ผมเลยตัดสินใจสั่งเอสเพรสโซ่ร้อนไป ไม่นานผมก็ได้เครื่องดื่มมาไว้ในมือ ผมเดินออกจากร้านก่อนจะลองดมกลิ่นดู ซึ่งกลิ่นมันก็...หอมแบบแปลกๆ ดีครับ ผมมองดูกาแฟในมือราวกับมันคือเหล้า

                เอาวะ มันจะขมแค่ไหนกันเชียว ขนาดเหล้าผมก็ยังผ่านมาแล้ว นับประสาอะไรกับแก้วแค่นี้

                พรวด!

                “แค่กๆๆ”

                ผมสำลักไม่หยุด ยอมรับก็ได้ว่าผมคิดผิดอย่างมหันต์ ทั้งความร้อน (เพราะรีบจนลืมไปว่ามันร้อน) ทั้งรสชาติของกาแฟปนเปอยู่ในปากของผมไปหมด รสชาติของมันทั้งขม แถมยังมีเปรี้ยวนิดๆ ต่างหาก ความรู้สึกนี้มันไม่ต่างจากตอนที่ผมกินเหล้าช็อตครั้งแรก ตอนแรกกะจะรีบกลืนๆ เข้าไป แต่ไม่ไหวครับ มัน...แย่กว่าที่คิด

                “กี่ขวบครับเนี่ย”

                เสียงของใครบางคนทำให้ผมที่กำลังจะทิ้งแก้วกาแฟลงถังขยะต้องชะงักหันไปมอง ผมตกใจเล็กน้อยเมื่อคนที่ยืนอยู่ข้างหลังคือไอ้พี่สีฝุ่น เป็นคนๆ เดียวกับที่อ้วกใส่เสื้อของผมในวันที่เรา... ไม่สิ ต้องเรียกว่าวันที่ผมได้เจอกับเขาครั้งแรกมากกว่า หลังจากนั้น ผมก็ได้เจอเขาที่คณะทุกเช้าวันจันทร์และวันพฤหัสก่อนเข้าเรียนเพราะที่เขามักจะแวะซื้อกาแฟที่ร้านขายเครื่องดื่มที่โรงอาหารด้านหลังตึกคณะ (ร้านที่ผมเพิ่งพ่นกาแฟของเขาออกมานั่นแหละครับ) ขณะที่ผมแวะไปกินข้าว แต่ผมก็ไม่ได้เข้าไปคุยอะไรกับเขาหรอกครับ ก็ผมไม่รู้จักเขาสักหน่อย จู่ๆ ให้เข้าไปคุยด้วย มันก็ดูกะไรอยู่ แต่วันนี้กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่เข้ามาทักผม

                “เปื้อนหมดแล้ว” เขาบอกก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงออกมา เขาไม่ได้เช็ดที่เสื้อหรอกครับ แต่เช็ดที่คอและแก้มของผมต่างหากและนั่นทำให้ผมมีโอกาสได้มองหน้าพี่เขาใกล้ๆ เป็นครั้งแรก บอกตามตรงว่าใบหน้าแสนทะเล้นนั่นสะกดผมเอาไว้อยู่หมัดเลยล่ะครับ

                “ฝุ่น...”

                เสียงของผู้มาใหม่ทำให้พี่สีฝุ่นชะงักมือของตัวเองที่กำลังสัมผัสอยู่บนแก้มของผมผ่านผ้าเช็ดหน้าของเขา ดูเหมือนสองคนนี้กำลังทะเลาะกันอยู่เลยแหะ ผมลอบมองพี่ผู้ชายด้านหลังที่กำลังมองมาแผ่นหลังของพี่สีฝุ่นด้วยสายตา...จะว่าตัดพ้อก็ไม่ใช่ จะว่าโกรธก็ไม่เชิง อยากรู้จังว่าพวกเขาเป็นอะไรกัน...

                “ฝุ่น...พี่ว่า...”

                “ผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะครับ”

                “แต่ฝุ่นเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าพี่อยากกลับไปคบกับฝุ่น พี่ก็ต้องพยายาม...”

                “...”

                “พี่ก็พยายามอยู่นี่ไงครับ ขอร้องนะ ยอมคุยกับพี่สักครั้งเถอะ” 

                ผมเหลือบตามองพี่สีฝุ่นที่ดูเหมือนไม่อยากจะหันหน้าไปมองคนข้างหลังเลยสักนิด ในแววตาที่ดูเหมือนกำลังโกรธกลับแฝงไปด้วยร่องรอยความเจ็บปวดจากอะไรบางอย่างที่ผมก็อยากจะรู้เหมือนกัน อยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้ใบหน้าที่เคยสดใสเต็มไปด้วยความมัวหมองเช่นนี้

                “นี่ฝุ่นกำลังจะประชดพี่ใช่ไหม อย่าคิดว่าพี่ดูไม่ออกนะ ว่าฝุ่นไม่ได้คิดอะไรกับเด็กคนนี้”

                ท้ายประโยค อีกฝ่ายจงใจหันมาสบสายตาจนผมสะดุ้ง ลอบกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกๆ  รู้สึกลางไม่ดีเอาเสียเลย

                ส่วนพี่สีฝุ่นก็ยังเอาแต่นิ่งเงียบไปเหมือนคนกำลังสติหลุด ก่อนที่เขาจะค่อยๆ เลื่อนสายตามามองหน้าผมด้วยสายตาที่ผมเองก็เดาไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ มือของเขาค่อยๆ สัมผัสที่แก้มของผมอย่างแผ่วเบาราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

                “สีฝุ่น!”

                จู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้ามากระชากแขนพี่สีฝุ่นพร้อมกับปรายตามามองผมด้วยสายตาประหนึ่งว่าผมไปทำสุนัขบ้านเขาตาย (เขามองผมเหมือนอาฆาตผมมาเป็นสิบๆ ชาติทั้งที่ผมไม่เคยทำอะไรให้จริงๆ นะครับ) ทว่าสุดท้าย พี่สีฝุ่นกลับดึงแขนออกจากมือของเขา ซึ่งมันเป็นการกระทำที่ไปกระตุ้นต่อมความอาฆาตของเขาอย่างแรง

                “ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมต้องพาคนของผมไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน” พี่สีฝุ่นปรายตามองคนข้างๆ เล็กน้อยก่อนจะหันกลับมายิ้มละมุนให้กับผม “ดูซิ คราบกาแฟยังติดอยู่เลย”

                และก่อนที่ผมจะทันได้รู้ตัว ใบหน้าของพี่สีฝุ่นก็โน้มเข้ามาใกล้และฝังริมฝีปากของเขาเข้ากับริมฝีปากของผม ภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันดูเลือนรางไปหมด มีเพียงสิ่งเดียวที่ชัดเจนในความรู้สึกของผมก็คือสัมผัสอันอ่อนโยนที่กำลังดื่มด่ำกับรสกาแฟที่ยังคงหลงเหลืออยู่ที่ปากของผม รสสัมผัสที่เขามอบให้เปลี่ยนกาแฟที่ผมเคยรับรู้ว่ามันขมให้เป็นกาแฟรสหวานแบบที่ไม่อาจจะหาซื้อได้จากร้านเครื่องดื่มที่ไหนได้อีก ก่อนที่เขาจะผละออกไปท่ามกลางความมึนงงของผม

                “ฝุ่นคิดดีแล้วแล้วใช่ไหม ที่ทำแบบนี้”

                ดูเหมือนเขาจะกำลังแค้น...แค้นผมมากกว่าพี่สีฝุ่นหลายเท่าเลยแหละ ดูจากสายตาที่ไร้ความปรานีใดๆ นั่นแล้ว ชีวิตผม ไม่น่าจะอยู่ในความปลอดภัยได้นานเท่าไหร่ล่ะ

                “ถ้าฝุ่นคิดจะทำแบบนี้ ก็อย่าลืมรับผลที่จะตามด้วยก็แล้วกัน”   

                “ไปกันเถอะ”

                ร่างของผมถูกพี่สีฝุ่นฉุดให้เดินตามอย่างง่ายดายเพราะสติของผมที่หลุดลอยไปไกลไม่รู้เท่าไหร่แล้ว รู้ตัวอีกที ผมก็มาอยู่ที่ลานจอดรถแล้วครับ

                “ขอโทษนะ” พี่สีฝุ่นหันมาบอกพร้อมกับทำหน้ารู้สึกผิด ก่อนที่พี่เขาจะเลื่อนสายตามามองที่ปากของผมและนั่นทำให้ผมสะดุ้งเผลอเม้มปากอัตโนมัติเพราะความไม่เคยชิน ทำให้พี่สีฝุ่นหัวเราะออกมาเบาๆ

                “จูบแรกเลยเหรอ?” เขามองเหมือนกึ่งๆ ไม่อยากจะเชื่อ ขณะที่ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ยิ่งนึกไปถึงไอ้โฟโต้กับไอ้เปรมด้วยแล้ว ผมยิ่งรู้สึกอายเข้าไปใหญ่ ผมอายุสิบเก้าแล้ว แต่เพิ่งจะเคยมีจูบแรกแถมยังเป็นผู้ชายด้วย มันดูแย่ใช่ไหมล่ะครับ

                “ขอโทษ คือพี่ไม่รู้จริงว่าเราไม่เคยจูบใคร” เขาเกาหัวแกรกๆ อย่างคนไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า

                “ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค” ผมบอกพร้อมกับพยายามยิ้มให้พี่เขาสบายใจ แต่พอคิดไปว่าเขาทะเลาะกับผู้ชายเมื่อกี้แล้วพาลมาจูบผม...ทำไมใจมันถึงได้รู้สึกห่อเหี่ยวด้วยก็ไม่รู้

                “หน้าตาเรามันไม่เป็นอย่างที่พูดเลยนะ” เขาพยายามสบตากับผม ก่อนจะยืดตัวขึ้นและพูดจาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “พี่จะให้เราทำโทษพี่ ด้วยการยอมทำตามคำสั่งของเราหนึ่งเดือนเลยเอ้า”

                คำพูดและท่าทางของเขามันทำให้ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “พี่ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจ”

                “ไม่เอาดิ คนทำผิดก็ต้องได้รับโทษ สั่งพี่มาได้เลย”

                “ผมสั่งใครไม่เป็นหรอกครับ ยิ่งพี่เป็นรุ่นพี่ผมด้วยแล้ว ใครจะไปกล้าสั่ง”

                เขานิ่งไปสักพักพลางมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ถ้าอย่างนั้น เอาเป็นว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่จะคอยดูแลเราเพื่อเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน”

                “ผมว่ามัน...”

                “อยากให้พี่รู้สึกผิดไปจนตายเลยเหรอครับ”

                ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อคนตรงหน้าพยายามทำหน้าตาให้ดูน่าสงสารให้มากที่สุด ถึงแม้จะดูขัดกับหน้าตาของเขาไปเล็กน้อย แต่มันกลับมีอิทธิพลต่อใจของผมเสียอย่างนั้น

                “ก็ได้ครับ”

                และผมก็ต้องยอมจำนนในวินาทีสุดท้ายสินะครับ

                “เอ้อ รอพี่เดี๋ยวนะ” พี่สีฝุ่นหันมาบอกก่อนจะเปิดประตูรถและหยิบเสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดตามาให้ ในขณะที่ผมได้แต่ทำหน้าไม่เข้าใจ “เปลี่ยนซะ เหนียวตัวหมด ต้องนั่งเรียนทั้งวัน”

                ถ้าผมปฏิเสธ เขาก็จะยัดเยียดให้ผมอยู่ดีใช่ไหมครับ

                “เดี๋ยวผมเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ...”

                “ไม่ต้อง เปลี่ยนในรถนี่แหละ มาๆๆ”

                พี่แกไม่ฟังผมเลยสักนิด เปิดประตูหลังและจับผมยัดเข้าไปเฉย แล้วไอ้ผมก็ดันทำตามที่เขาสั่งด้วยนี่สิครับ รู้อย่างนี้ ผมยอมรับข้อตกลงที่จะสั่งให้พี่เขาทำอะไรก็ได้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ อย่างน้อยเขาจะได้ไม่เอาแต่สั่งและจับผมทำนั่นทำนี่อยู่แบบนี้ สุดท้าย ผมก็จำต้องปิดประตูรถและถอดเสื้อนักศึกษาที่เปื้อนกาแฟบนตัวออกจนได้

                ทว่า...ขณะที่ผมกำลังจะสวมเสื้อตัวใหม่อยู่นั้น จู่ๆ ไอ้พี่สีฝุ่นก็เปิดประตูรถเฉย เล่นเอาผมสะดุ้ง หน้าเหวอ เผลอเอามือกอดท่อนบนของตัวเองที่ไม่มีอะไรปกปิด

                “โทษที ลืมไปว่าเราต้องเหนียวตัวแน่ๆ เลยเอานี่มาให้” เขาบอกออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับยื่นทิชชูเปียกมาให้พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น

                “ขอบคุณครับ”

                “เช็ดให้นะ”

                “เฮ้ย! ไม่ต้องครับ!!” ผมร้องลั่นพลางรีบคว้าทิชชูห่อนั้นมาจากมือของไอ้พี่สีฝุ่นที่เอาแต่ยืนขำกับท่าทางของผม

                “แหย่เล่นแค่นิดเดียว ร้องเสียงดังไปได้” และเขาก็เอาแต่หัวเราะ

                “พอเลยพี่ ผมจะเปลี่ยนเสื้อแล้ว”

                “โอเคครับ” พูดจบเขาก็ปิดประตูและหันหลังให้ ผมชะเง้อมองเพื่อความแน่ใจว่าเขาจะไม่แกล้งอะไรผมอีก ก่อนจะรีบเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อนักศึกษาตัวใหม่ทันที หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็ลงมาจากรถพร้อมกับเสื้อนักศึกษาที่เปื้อนกาแฟของตัวเอง ทว่ากลับมีสายตาคู่หนึ่งที่เอาแต่จ้องจนผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเขาที่เอาแต่ยืนหัวเราะอย่างไม่เข้าใจ

                “ขำอะไรของพี่เนี่ย”

                “ขำคนน่ารัก...” ผมชะงักไปกับคำพูดของพี่สีฝุ่น “...เวลาเราใส่เสื้อตัวใหญ่แบบนี้ก็น่ารักดี”

                และผมก็ได้แต่เงียบเพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไปในเวลาแบบนี้ ผมเลยทำทีเป็นพับเสื้อนักศึกษาในมือเพื่อจะเอาใส่กระเป๋าเป้ของตัวเอง ทว่าไอ้พี่สีฝุ่นดันมือไวกว่าคว้าเสื้อไปจากมือผมเฉย

                “พี่ขอก็แล้วกัน ถือว่าแลกกับเสื้อของพี่นะ” พูดจบก็เปิดประตู โยนเสื้อเข้าไปในรถ โดยไม่รอให้ผมได้มีโอกาสตอบปฏิเสธแม้แต่น้อย

                “เข้าคณะกัน”

                ไม่ว่าเปล่า...เขายังถือวิสาสะมาจับมือผมและออกแรงดึงให้เดินตามอย่างเอาแต่ใจ ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

                ไม่เข้าใจ...ในการกระทำของเขา       

                และจังหวะนั้นเองที่ผมเหลือบไปเห็นใครบางคนที่กำลังยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปพวกผมเอาไว้ เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่คนๆ นั้นจะหายตัวไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าผมแค่ตาฝาดไปเท่านั้น

                สงสัยผมจะตาฝาดไปจริงๆ นั่นแหละครับ

                ผมถูกลากมาจนถึงร้านขายเครื่องดื่มร้านเดิมแบบงงๆ ก่อนที่พี่สีฝุ่นจะลากให้ผมตามเข้าไปและดันตัวผมให้นั่งรอที่เก้าอี้ข้างในร้าน

                “รอสักครู่นะครับ”

                เขาทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นและเดินเข้าไปที่หลังเคาน์เตอร์ พูดอะไรกับพนักงานสองสามคำก่อนที่เขาจะลงมือชงเครื่องดื่ม ไม่นานนักพี่สี่ฝุ่นก็เดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์พร้อมกับเครื่องดื่มสองแก้วในมือ

                แก้วหนึ่งคือกาแฟเย็นของเขา ส่วนอีกแก้วถูกวางลงตรงหน้าผม

                “ลองดื่มดูสิ”

                ผมมองไปที่แก้วกาแฟตรงหน้าพลางทำหน้าหยีเพราะรสชาติขมๆ เปรี้ยวๆ ของมันยังติดอยู่ที่ลิ้น พี่สีฝุ่นจึงยกกาแฟแก้วนั้นขึ้นมาตรงหน้าผมพร้อมกับเกลี้ยกล่อม

                “ลองจิบดู นิดเดียว”

                “ก็ได้...” ผมรับคำและกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบกาแฟแก้วนั้นมา ทว่าพี่เขากลับลุกขึ้นเดินอ้อมไปข้างหลังของผมและโน้มตัวลงมาพร้อมกับใช้แขนของเขาโอบผมจากทางด้านหลัง

                ตรงหน้าของผมคือแก้วกาแฟที่กำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่นซึ่งอยู่ในมือของพี่สีฝุ่น สถานการณ์ตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงผมเป็นผู้ชาย แต่ผมก็ไม่เคยทำแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน แถมกับผู้ชายด้วยกัน...นี่ก็นับว่าเป็นครั้งแรกของผม

                “ลองจิบดูสิครับ” เสียงนุ่มทุ้มกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างหลัง ถ้าจะลุกออกไปตอนนี้ มีหวังกาแฟได้หกรดตัวผมอีกรอบแน่เพราะด้านหน้าของผมก็ติดกับโต๊ะ แถมด้านหลังยังมีพีสีฝุ่นกักตัวเอาไว้อีก ดังนั้น ผมเลยตัดสินใจลองจิบกาแฟตามที่พี่เขาบอกนั่นแหละครับ

                ผมเอามือไปจับแก้วเอาไว้เล็กน้อยเพื่อความถนัด ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปจิบกาแฟตรงหน้า...

                มันไม่ได้ขมอย่างที่คิด...

                และนั่นทำให้ผมต้องลองก้มลงไปจิบอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ซึ่งรสชาติของมันนับว่าถูกปากผมเลยทีเดียว

                “เป็นไงบ้าง ยังขมอยู่อีกหรือเปล่า” พี่สีฝุ่นถามพลางวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะตรงหน้า

                “ไม่แล้วครับ” ผมบอกพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมา “แล้วนี่...เขาเรียกว่าอะไรเหรอครับ”

                ก็ผมไม่ใช่คอกาแฟนี่นา จะไปรู้ได้ยังไงว่ากาแฟมันมีกี่แบบ แล้วแต่ละแบบมันรสชาติเป็นยังไง ทว่าคำถามของผมกลับทำให้ไอ้พี่สีฝุ่นหลุดขำออกมา (อีกแล้ว) ท่าทางผมนี่คงดูโง่ในสายตาพี่เขามากเลยสินะครับ หึ

                “แล้วเราชื่ออะไรล่ะ”

                “ครับ?” ผมทวนคำถามแบบงงๆ เพราะจู่ๆ คนที่รุ้จักชื่อกันแล้วก็ดันมาถามชื่อซ้ำอีก

                แก่กว่าผมแค่ปีเดียวก็เป็นอัลไซเมอร์แล้วหรือไงกัน

                “พี่ถามว่าเราชื่ออะไร” คนแก่อัลไซเมอร์ถามซ้ำ จนผมนี่แทบตอบกลับไปไม่ทัน พร้อมกับมองหน้าพี่แกอย่างคนเตรียมรับมุขตลก ที่อาจจะไม่ตลกของเขา

                “กะ...กาฟิวด์ครับ”

                อะ ถ้ามุขไม่ขำ ผมพ่นกาแฟใส่จริงด้วยนะ

                “อืม กาฟิวด์...” พี่สีฝุ่นทำทีพึมพำไปสักพักและหันขวับมายิ้มให้กับผม “โอเค ถ้าอย่างนั้น กาแฟแก้วนี้ก็เรียกว่ากาฟิวด์”

                ผมอ้าปากค้าง ยังคงมึนงงกับคำตอบของพี่เขา “พี่พูดเรื่องอะไร”

                ใจจริงผมอยากจะพูดว่า นี่มุขอะไร ต่างหาก แต่ก็เกรงจะโดนกาแฟสาดใส่ก่อนไปเรียนเสียก่อน

                “กาแฟแก้วนี้ เป็นสูตรพิเศษสำหรับน้องกาฟิวด์ไงครับ ดังนั้น มันก็เลยชื่อว่ากาแฟกาฟิวด์” ก่อนที่เขาจะสบตากับผมอย่างสื่อความหมาย “พอดี พี่เห็นว่าเราดื่มกาแฟไม่ได้ เลยคิดไปว่าเราอาจจะยังไม่เคยดื่มกาแฟ พี่เลยทำสูตรพิเศษให้”

                ผมเกือบจะทำหน้าเอือมใส่กับมุขกาแฟกาฟิวด์ของพี่แกแล้วครับ อีกนิด...อีกนิดเดียวจริงๆ นะ แต่พอมาได้ยินคำอธิบายหลังจากนั้น ผมกลับทำไม่ลง ตรงข้ามกับรู้สึกดีด้วยซ้ำที่เขามาใส่ใจกับเรื่องของผม ทั้งที่เขาทำเป็นไม่สนใจมันก็ได้เพราะมันเป็นเรื่องเล็กๆ และไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลยด้วยซ้ำ 

                “เอ่อ ขอบคุณมากนะครับ”

                และผมก็ได้แต่พูดกับพี่เขาไปแบบนั้น พร้อมกับฉีกยิ้มไปให้ด้วยความเต็มใจ 

                วันนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมกับพี่สีฝุ่นได้คุยกันเป็นครั้งแรกและถ้าผมไม่ชะล่าใจไป ผมก็คงจะรู้ล่วงหน้าเช่นกัน ว่าวันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะบางอย่างที่ส่งอิทธิพลต่อหัวใจของผม

 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 28 ลางสังหรณ์

                เสียงโหดๆ ของอาจารย์นัยนาดังเรียกสติของนักศึกษาเป็นพักๆ  โดยเฉพาะกับพวกที่หนีมานั่งแถวหลังสุดของห้องเรียนอย่างฮ่องเต้ นิวและซัน  สายตาของพวกเขาเอาแต่จับจ้องไปทางหน้าจอโปรเจกเตอร์อย่างไม่วางตา ขณะที่หูก็พยายามฟัง มือก็พยายามเลกเชอร์ตามให้ทันที่อาจารย์สอน กระทั่งหมดคาบนั่นแหละ พวกเขาถึงได้มีช่วงเว้นว่างให้หายใจหายคอกันบ้าง ก่อนที่อาจารย์จะทิ้งภาระงานชิ้นใหญ่เอาไว้ให้พร้อมกับกำชับเรื่องเวลาส่งงานกับนักศึกษาชั้นปีที่สี่ที่เริ่มทำตัวชิลตั้งแต่ต้นเทอม เพราะความเคยชินในการเรียนมาสามปีเต็ม และอาจารย์แกก็เดินออกจากห้องไปท่ามกลางเสียงบ่นกระปอดกระแปดของนักศึกษาเช่นเคย

                “ทุกคน อย่างเพิ่งออกจากห้องนะ เรามีเรื่องจะคุยด้วย” คิง ตัวแทนรุ่นของปีห้าเจ็ด เอ่ยเรียกดักเพื่อนที่กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ทำเอาทุกคนต้องชะงักทุกการกระทำและพร้อมใจกันเงียบฟังสิ่งที่มันกำลังพูด

                “จากที่เราไปประชุมตัวแทนชั้นปีที่สี่มาเมื่อวาน เรื่องการเปิดสายรหัสในอีกสามสัปดาห์ที่จะถึงนี้  ก็อย่างที่น้องบอกในตอนแรกว่าจะใช้เกมคำใบ้จากซานต้าและซาตาน ซึ่งพวกเราต้องเขียนคำใบ้ฉบับสุดท้ายให้เด็กปีหนึ่งด้วยตนเองและต้องรวบรวมส่งให้เด็กปีสองภายในวันพุธหน้า เพื่อที่จะให้เด็กปีหนึ่งมีเวลาตามหารุ่นพี่ในสาย แต่ทุกคนต้องเขียนใส่ในกระดาษที่จะแจกให้และเอามาส่งให้เราภายในวันจันทร์หน้า ส่วนใครที่มีสายเทคก็เขียนเพิ่มตามจำนวนน้องที่ต้องเทคด้วย”

                สิ้นเสียง กระดาษสีขาวขนาดเอสี่ก็ถูกส่งต่อมาให้กับคนที่อยู่ข้างหน้าสุด ก่อนที่กระดาษพวกนั้นจะถูกส่งต่อๆ กันมาจนกระทั่งถึงมือเพื่อนรักสามคนที่นั่งอยู่ด้านหลังห้อง ซึ่งแน่นอนว่าฮ่องเต้จะต้องหยิบมาสองแผ่นเพราะเขามีสายเทคอีกหนึ่งคน

                “อ่อ แล้วก็อีกเรื่อง ปีสองฝากเน้นย้ำมาว่าให้แต่งตัวตามธีมงานด้วย ส่วนเรื่องสีกับแบบของชุดก็แล้วแต่จะเลือกเลย เรื่องที่พูดก็มีแค่นี้แหละ”

                หลังจากนั้น ทุกคนก็แยกย้ายออกไปจากห้อง เช่นเดียวกันกับเพื่อนรักทั้งสาม

                “มึงคิดไว้ยังว่าจะใส่ชุดซานต้าหรือซาตาน” เป็นซันที่หันมาถามขณะที่เดินลงบันได

                “ซาตานอยู่แล้วดิวะ กูมั่นใจว่าไอ้น้องไม่มีทางหากูเจอแน่ๆ” นิวหันไปตอบพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ จะเรียกว่ามั่นหน้าก็ได้ ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับหมั่นไส้

            คอยดูเถอะ ถ้าเกิดน้องมันตามหาพี่รหัสปีสี่มันเจอในวันงานเปิดสายล่ะก็ ผมจะหัวเราะให้ลั่นงานเลยครับ

                “แล้วมึงอ่ะ ไอ้เต้” ซันหันมาถามเขาต่อ

                “ยังไม่รู้ว่ะ” และฮ่องเต้ก็ตอบกลับแค่นั้น แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้จบแค่นั้น

                “ไม่เห็นต้องคิดเยอะเลยมึงอ่ะ ชุดแต่งงานธีมซาตานไปเลยดิ ไหนๆ ก็มีเจ้าบ่าวแล้วหนิ ฮ่าๆ”

                “หุบปากไปเลยไอ้นิว!!” ฮ่องเต้อดหันไปด่านิวอย่างหงุดหงิดใจ รู้สึกว่าคุยกับพวกแม่งนี่ทีไรวกเข้าเรื่องนี้ตลอด ขณะที่มันเอาแต่หัวเราะร่าอย่างมีความสุข

                “ก็มันจริงหนิวะ วันงานเปิดสายมีแต่คนเขารอลุ้นคู่มึงกันทั้งนั้นแหละ ถ้ามึงตกลงปลงใจกับน้องมันจริงๆ งานวันนั้นนี่ ยกให้เป็นงานแต่งมึงเลยนะเว้ย”

                “ไอ้เชี้ยนิว! เลิกล้อกูสักทีได้ไหมวะ มันไม่ได้มีอะไรทั้งนั้นแหละเว้ย” เขาชักสีหน้าหงุดหงิดกว่าเดิม เป็นความหงุดหงิดจากใจจริง  แบบไม่ได้แกล้งทำกลบเกลื่อนอะไรทั้งนั้น!

                “ไอ้นิว มึงก็เลิกล้อมันสักทีน่า มันบอกไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรดิวะ” ซันว่าพลางเขยิบมากอดคอฮ่องเต้ แสร้งตีหน้าเรียบเฉยออกไป แม้ในใจจะรู้สึกไม่พอใจที่นิวเอาแต่ชงคู่โฟโต้ฮ่องเต้

                นิวจึงได้แต่เบะปากใส่เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ถึงสาเหตุที่ซันคอยห้ามไม่ให้เขายุฮ่องเต้เรื่องโฟโต้ แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้ซันออกไป แต่กลับหันมาถามฮ่องเต้อย่างเปลี่ยนเรื่อง ขณะที่เดินออกจากประตูทางขึ้นบันได

                “เออ ไอ้เต้ พรุ่งนี้ พวกกูว่าจะไปเดินดูของให้น้อง มึงจะไปด้วยกันป่ะ”

                “ไปดิ กูว่าจะชวนพวกมึงอยู่พอดี กูเลือกของไม่เก่งว่ะ” ฮ่องเต้ตอบแทบบไม่ต้องคิด ก่อนจะหันไปชี้หน้าไอ้นิวที่อ้าปากจะแซวเขาอีกระรอก “พอเลยมึงอ่ะ!”

                “อะไร กูก็แค่จะบอกว่าพรุ่งนี้เจอกันที่ห้างเดิมแค่เนี้ย มึงนี่ก็คิดอะไรไปไกลเนอะ” ท้ายประโยคนิวจงใจจะสื่อเป็นนัยว่าผมกำลังคิดเรื่องนั้นอยู่ ทำเอาผมต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

                ล้อกูเข้าไปนะมึง ถ้าตกเป็นเมียใครวันไหน กูจะล้อมึงยันงานแต่งเลยคอยดู!

                “เออ ยังไงมึงก็ดทรมาเตือนกูอีกทีก็แล้วกัน กูกลับละ” และในจังหวะที่เขากะจะหมุนตัวเดินออกจากคณะนั้นเอง สายตาก็หันไปสบเข้ากับใครบางคนเข้าพอดี

                “ไอ้เต้!” ร่างสูงตะโกนเรียกผมมาแต่ไกล ก่อนจะผละจากกลุ่มเพื่อนและเดินมาทางพวกเขา “ไงวะ ไม่เจอกันนานเลยเว้ย”

                “สวัสดีครับพี่เมฆ” และพวกเขาก็ยกมือไหวคนที่สาวเท้าเข้ามาหาไปตามระเบียบ

                พี่เมฆคือพี่รหัสปีสองของฮ่องเต้เอง ซึ่งเขาไม่ได้เจอมานานหลายเดือนแล้วเพราะช่วงเรียนปีสี่ เมฆก็ดูยุ่งๆ จนไม่มีเวลาทำอะไร หลังจากเรียนจบก็ย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด

                “ทำไมวันนี้ถึงได้แวะมาได้อ่ะพี่” ฮ่องเต้ถามพลางมองสำรวจสีหน้าที่ดูชื่นมื่นกว่าแต่ก่อน (หมายถึงช่วงที่เรียนหนัก งานเยอะน่ะ)

                “ช่วงนี้กูว่าง เลยแวะขึ้นมาเที่ยวหาเพื่อนหน่อย นี่ก็กะว่าจะไปดื่มคืนนี้ พวกมึงจะไปด้วยกันป่ะ ไอ้สินกับไอ้ดิวก็ไปด้วยนะเว้ย” เมฆหมายถึงพี่รหัสของนิวกับซันที่อยู่แก๊งเดียวกันกับพี่แกมาตั้งแต่ปีหนึ่ง

                พวกเขาสามคนจึงหันไปมองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษาก่อนที่ซันจะเป็นคนตอบ “เอาดิพี่ ช่วงนี้ผมก็เซ็งๆ อยู่เหมือนกัน”

                “เออ เจอกันที่ร้านเฮียเจ็ดนะเว้ย จะได้มีเวลานั่งคุยกันนานๆ หน่อย ท่าทางพวกมึงมีอะไรต้องคุยกับกูอีกยาวว่ะ ฮ่าๆ” ท้ายประโยคมีการปรายตามามองทางน้องรหัสของตน จยฮ่องเต้แอบสะดุ้งกับสายตานั้นเบาๆ 

                หวังว่าเรื่องที่จะคุย จะไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่ผมคิดหรอกนะ

                และเมฆก็ขอตัวกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนต่อ ขณะที่ฮ่องเต้ต้องติดรถซันไปเอารถตัวเองที่มันเอาไปขับเมื่อวันวาน หลังจากขับรถกลับมาถึงหอตัวเอง เขาก็กดมือถือโทรหาสีฝุ่นและชวนมันมาดื่มกับพวกเขาคืนนี้ เพื่อเป็นการที่เขาจะได้จัดการที่มันบังอาจวางแผนให้ไอ้โฟโต้เข้าห้องเขาเมื่อเช้าและหลังจากที่สีฝุ่นตกปากรับคำ ฮ่องเต้ก็เข้าไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าและลงไปหาข้าวกินที่ร้านใต้หอเพื่อรอเวลาไปสังสรรค์กับพวกรุ่นคืนนี้ต่อ

 

                “เอ้า ชนนนน” เสียงเฮลั่นของกลุ่มรุ่นพี่ปี 56 กับพวกผมดังขึ้น ก่อนที่เหล้าในแก้วจะถูกยกขึ้นดื่มพร้อมกับสีหน้าชื่นมื่นของทุกคน ก่อนที่สายตาจะหันไปโฟกัสคนข้างๆ  ฮ่องเต้ที่เล่นดื่มทีเดียวหมดแก้ว

                “เฮ้ยๆ ใจเย็นมึง เดี๋ยวได้ตายห่าก่อน”

                เมฆยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับคำเตือนของเพื่อน แต่กลับหันไปชงเหล้าเพิ่มอีกแก้ว ท่าทางพี่เหมือนอยากจะเมาให้หัวราน้ำตั้งแต่ยังไม่สามทุ่มยังไงยังงั้น

                “เออ แล้วพวกมึงเป็นยังไงบ้างวะ ได้ข่าวว่าเทอมนี้ได้เรียนกับอาจารย์นัยนาด้วยนี่” ก่อนที่เมฆจะหันมาถาม ขณะกำลังคีบน้ำแข็งใส่แก้วและก็เป็นไอ้นิวคนเดิมที่เป็นคนบ่นเรื่องอาจารย์ ซึ่งเขาก็เห็นมันบ่นอาจารย์ทุกคนนั่นแหละ

                “กลิ่นความพังพินาศโชยมาตั้งแต่เปิดเทอมเลยสิครับพี่ แค่เห็นชื่ออาจารย์ตอนลงทะเบียนเรียนนะ ผมก็ไมเกรนขึ้นไปสามวันเจ็ดวันแล้ว!”

                และมันก็เรียกเสียงหัวเราะของคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี

                “มึงก็ตั้งใจเรียนหน่อยดิวะ เอาใจอาจารย์แกนิดนึง แกอุตส่าห์เตรียมการเรียนการสอนมาเพื่อพวกมึงเลยนะเว้ย ฮ่าๆ” ว่าแล้วเมฆก็กระดกแก้ว กรอกเหล้าเข้าปากอีกรอบ

                “โห พี่ อาจารย์แกเล่นแร็ปสอนขนาดนั้น ตั้งใจแค่ไหน ก็ไม่เข้าหัวผมอยู่ดีป่ะ นี่ผมยังกังวลไม่หายกับสอบย่อยสัปดาห์หน้าเลย” และก็เป็นนิวบ้างที่เป็นฝ่ายยกแก้วขึ้นมาดื่ม

                “มึงก็ให้ไอ้ฮ่องเต้ติวดิวะ ได้ข่าวท็อปตลอดไม่ใช่หรือไง” สิน พี่รหัสของไอ้นิวหันมาแซวพร้อมกับบุ้ยปากมาทางคนที่ถูกเอ่ยถึง ก่อนที่เมฆจะหันมากอดคอน้องรักด้วยความภาคภูมิใจ

                “แน่นอนดิวะ ลูกศิษย์กูปั้นมากับมือ” ไม่วายยังหันมายกมือไฮไฟว์กับเขาอีกระรอก ทำเอาสายรหัสอื่นหมั่นไส้ไปตามๆ กัน

                แต่ก็ช่วยไม่ได้นะครับ ก็ผลสอบออกจะชัดเจนขนาดนั้น

                “ไอ้ซัน เงียบจังวะ” และทุกสายตาก็รวมใจกันไปหยุดอยู่ตรงคนที่เอาแต่นั่งเงียบตามเสียงของดิว “ปกติมึงนี่พูดมากจนกูต้องคอยเบรกอ่ะ”

                “เซ็งนิดหน่อยว่ะพี่”

                “หึ อย่าบอกนะว่าเรื่องไอ้เด็กเปรม”

                ฮ่องเต้เป็นอันหูผึ่งทันทีที่มีชื่อของเปรมในบทสนทนา

                เรื่องนี้ต้องเผือกครับ

                “จะมีเรื่องอะไรให้ผมเซ็งได้อีกล่ะ” และมันก็กระดกแก้วกรอกเหล้าเข้าปาก

                “กูถามจริงเถอะ มึงสองคนจะโกรธแค้นกันไปถึงเมื่อไหร่วะ”

                “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้มันมายุ่งกับซินก่อน”

                “เฮ้ย! นี่มันจะห้าปีแล้วนะเว้ย มันยังไม่เลิกยุ่งกับน้องมึงอีกเหรอวะ” ไอ้พี่ดิวหันมาถามอย่างอึ้งๆ 

                “ผมเพิ่งเจอกับมันเมื่อวันก่อนเองพี่...”

                “ไอ้ซัน...กูว่านะ ถึงมึงไม่เจอวันนั้น มึงก็ต้องเจอวันอื่นอยู่ดีป่ะวะ เพราะนอกจากไอ้เปรมจะอยู่มอเดียวกันแล้วเนี่ย มันยังเป็นเพื่อนของว่าที่แฟนเพื่อนมึงด้วย ใช่ไหมครับ ท่านฮ่องเต้”

                “เดี๋ยวมึงได้สอบตกยกเทอม!” ฮ่องเต้สวนกลับนิวทันทีที่พูดจาน่าจับหักคอไปเผาทิ้ง แต่นอกจากมันจะไม่สะทกสะท้านใดๆ กับคำพูดของเขาแล้ว คำพูดของมันยังจุดประเด็นความวินาศมาให้เขาอีกต่างหาก สังเกตจากสปอร์ตไลท์ที่เบนความสนใจจากซันมาลงที่เขานั่นแหละ ตอนนี้ เลยกลายเป็นว่าทุกสายตาของคนที่นั่งละแวกใกล้เคียงโฟกัสมาที่เขาเป็นจุดเดียว

                “เออว่ะ! กูว่าจะถามอะไรมึงก็นึกไม่ออก” เป็นเมฆที่หันมาเปิดประเด็นต่อจากไอ้นิว “สรุปว่ามึงกับไอ้เด็กใหม่สายเรานี่ยังไงกันวะ”

                “ไม่อะไรยังไงทั้งนั้นแหละ” เขาตอบปฏิเสธพลางยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มบังหน้า

                “เฮ้ย!! ได้ไงวะ ก็ในสายรหัสมีมึงแค่คนเดียวที่โสดนี่!” เมฆเสียงดังจนคนรอบข้างหันมามอง ทำเอาฮ่องเต้ยิ่งต้องรีบปรามพี่แทบไม่ทัน

                “อย่าเสียงดังดิพี่!”

                “กูก็แค่แปลกใจ ในสายตอนนี้ก็คบกันหมดแล้ว เหลือแต่มึงกับไอ้เด็กใหม่ที่โสด...” ก่อนที่เมฆจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “...หรือน้องมันมีแฟนแล้ววะ!?”

                “ไม่มีหรอกพี่ น้องมันโคตรจะโสดเลย” นิวเสนอหน้าผงกตัวลุกขึ้นมาตอบอย่างสนุกปาก ก่อนที่พี่รหัสของมันจะเสริมทับ

                “เอาน่า มึงก็คิดมากไปได้ น้องมันเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ก็ไม่เห็นจะแปลกที่มันจะไม่อะไรยังไงเหมือนกับพวกพี่ๆ มัน”

                “มึงไม่ต้องมาพูดเลยไอ้สิน! ผู้ชายแล้วไงวะ มึงก็รู้ว่าสายรหัสอาถรรพ์จับคู่ให้ในสายหนึ่งเจ็ดแปดก่อนเรียนจบทุกคน แล้วไอ้เต้มันก็อยู่ปี่สี่แล้ว ถ้าคู่ของมันไม่ใช่ไอ้เด็กใหม่ แล้วมันจะเป็นใครน่าไหนได้อีกวะ!”

                ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมฆเริ่มเมาแล้วหรือเปล่า จึงโพล่งทุกอย่างที่คิดออกมาแบบไม่คิด และคำพูดของเมฆก็ทำเอาน้องรหัสอย่างฮ่องเต้เริ่มปวดหัวขึ้นมา ทุกอย่างเหมือนจะวนเวียนกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว นั่นอาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้มันติดอยู่ในหัวของเขามาตั้งแต่ช่วงก่อนเปิดเทอมแล้วก็ได้ (ก็ตั้งแต่วันที่ได้รู้ว่าปีหนึ่งปีนี้ของเขาเป็นผู้ชายนั่นแหละ) ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ต้องระแวดระวังภัยจากอาถรรพ์สายรหัสมากขนาดนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ทำไมเขาต้องได้มาอยู่สายรหัสนี้ด้วยก็ไม่รู้

                “ใจเย็นไอ้เมฆ มึงอย่าลืมว่ายังมีสายเทคเหลืออีกคน”

                มือของฮ่องเต้ชะงักตามคำพูดของดิวทันที รู้สึกเหมือนมีคลื่นยักษ์ลูกที่สองพัดเข้าใส่จนกระเด็นไปอีกระรอก

                “เออว่ะ!!” มันทำให้เมฆตบเข่าฉาดเหมือนว่ามองเห็นทางออกสำหรับเรื่องนี้ ก่อนจะหันมามองหน้าน้องรักของตนอย่างตื่นเต้นและก็จ้องอยู่แบบนั้นเหมือนต้องการจะให้เขาพูดอะไรบางอย่างออกไป

            แล้วอะไรกันที่พี่แกต้องการให้ผมพูด

                “อะไรพี่!? จ้องหน้าผมทำไม” เขายืดตัวนั่งหลังตรงและมองหน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เข้าใจ

                “ในเมื่อสายรหัสไม่มีความคืบหน้าแล้วสายเทคล่ะ มีอะไรคืบหน้าบ้างไหม”

                “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละพี่!!”

                “อะไรว้า สายรหัสก็ไม่มี สายเทคก็ไม่ใช่ กูว่ามันไม่ใช่ละ” เมฆเริ่มพล่ามบ่นออกมาอย่างหัวเสีย ฮ่องเต้เองก็ไม่รู้ว่าทำไมพี่แกถึงได้ดูจริงจังกับเรื่องนี้กันหนักหนา หรือมันมีอะไรที่เขายังไม่รู้อีก

                “มึงก็บอกพี่เมฆไปดิวะ ว่าหนึ่งในนั้นพยายามเข้าหามึงอยู่” ความปากมากของนิวเริ่มสร้างความหายนะให้กับฮ่องเต้อีกครั้ง จนเขาอดหันไปทำตามขวางใส่มันที่ยิ้มหน้าระรื่นไม่ได้ ดีนะ ที่เขายังไม่ได้บอกเรื่องที่ไอ้โฟโต้บอกว่าจะจีบเขาให้ใครฟัง ไม่อย่างนั้น คงวุ่นวายมากกว่านี้เป็นแน่

                “เฮ้ยๆๆ เล่ามาเดี๋ยวนี้นะเว้ย  หนึ่งในนั้นคือใคร”

                และเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมากับคำถามของเมฆ แล้วจะให้ผเขาเล่าอะไรล่ะ ในเมื่อเขาก็ยังไม่แน่ใจอะไรกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

                “อ่าว เงียบกริบ” เสียงเมฆดึงเขาออกมาจากความคิด ได้แต่หันไปมองหน้าพลางลอบถอนหายใจออกมา

                “เล่าอะไรพี่ มันไม่มีอะไรสักหน่อย”

                “เอาน่า ปล่อยน้องมันไปเถอะ กูบอกแล้วไง น้องมันเป็นผู้ชายเหมือนกันหมด ทั้งสายจริง สายเทค มันก็เรื่องปกติหรือเปล่าวะ ที่มันจะไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง ถ้าเป็นสาวๆ ก็ค่อยว่าไปอย่าง เนอะ ไอ้เต้” ท้ายประโยค ดิวหันมาพยักหน้าให้กับน้องรหัสของเพื่อน ที่ได้แต่ยิ้มอ่อนและดื่มเหล้าในแก้วให้หมด

                แล้วทำไมผมถึงต้องรู้สึกหน่วงๆ ขึ้นมายังไงก็ไม่รู้

                “เออ ไอ้เต้ กูลืมบอกไปเลย” คนถูกเรียกหันไปมองแบบงงๆ  ก่อนที่เมฆจะพูดเรื่องสำคัญออกมา “เดือนหน้าพี่ขวัญจะคลอดลูกคนเล็กแล้วนะเว้ย ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กูว่าจะชวนมึงไปเยี่ยมหลานหน่อยว่ะ”

            จู่ๆ ก็เหมือนโดนอะไรฟาดเข้าที่หน้าจนมึน...

                จนฮ่องเต้...ทำตัวไม่ถูก มันแน่นหน้าอกและเหมือนอะไรจุกที่คอ จะกลืนก็ไม่เข้า จะคายก็ไม่ออกขึ้นมากะทันหัน  เพียงได้ยินเรื่องราวของใครบางคน ก็ทำเอาบรรยากาศมืดครึ้มขึ้นมาทันตาเห็น

                นานแค่ไหนกันที่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้

                “ถ้า...ผมว่าง...ผมจะบอกนะครับ” แต่ก็ทำได้เพียงแค่ตอบออกไปแบบนั้น ความกระอักกระอวนมันทำให้เขาไม่สามารถทนอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป จึงขอตัวกลับก่อน

                เขาแยกตัวออกมาจากกลุ่มรุ่นพี่และขึ้นรถเตรียมกลับหอด้วยร่างกายที่มันหนักอึ้งไปหมด สมองของเขาประมวลผลช้ากว่าปกติ ดังนั้น หลังจากขึ้นมาบนรถแล้ว เขาก็กลับเอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่ในรถอย่างไม่คนไม่ค่อยมีสติ จังหวะนั้นเอง ที่มีสายเรียกเข้า จึงถอนหายใจออกมาก่อนจะกดรับสาย

                [เฮีย ผมซ้อมบอลเสร็จละ ยังอยู่ที่ร้านอยู่ป่ะ]

                สีฝุ่นถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผิดกับคนถูกถามที่ตอนนี้รู้สึกว่าชีวิตเต็มไปด้วยความหม่นหมอง

                “กูจะกลับแล้ว มึงจะมาก็ได้นะ ไอ้ซันกับไอ้นิวก็ยังอยู่”

                [เฮียเป็นอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงฟังดูไม่ดีเลย]

                เกลียดชะมัด คนรู้ทัน

                “กูไม่ได้เป็นอะไร กูแค่เมา...”

                และเขาก็ได้แต่โกหกออกไปแบบนั้น ก็คนมันไม่อยากพูดถึงเรื่องเก่าๆ แล้ว อีกอย่าง...มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องพูดถึงเรื่องนั้นอีก

                [ถ้าอย่างนั้น เจอกันที่หอนะเฮีย แต่ผมขอกลับดึกหน่อยนะ]

                ก่อนที่สีฝุ่นจะวางสายไป ขณะที่ใจของฮ่องเต้มันยังคงสั่นไม่หยุด

                ไม่น่าเชื่อเลยสักนิด กับคำชวนที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ชื่อของใครบางคนกลับทำให้ความทรงจำทุกอย่างกลับคืนมาอย่างรวดเร็วและชัดเจนราวกับมันเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ด้วยหรือเปล่า เขาเองก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้เขาเหมือนกำลังขาดสติไปเป็นพักๆ ก่อนที่จะสะบัดหน้าไล่ความคิดทั้งหมดออกจากหัวและขับรถออกจากร้าน

                หากย้อนเวลากลับไปในอดีตได้ เขาคงจะไม่ขอรู้จักกับใครคนนั้น แต่ในเมื่อเวลามันทำได้เพียงแค่หมุนไปข้างหน้า เขาเองก็ทำได้แค่ปล่อยอดีตไว้ข้างหลังและยินดีกับพวกเขาเท่านั้น

                แต่ดูเหมือนว่าอดีตจะไม่ยอมปล่อยผมนี่สิ ยิ่งได้เห็นหน้าเด็กคนนั้นและได้ยินคำชวนในวันนี้ มันยิ่งทำให้เขาสังหรณ์ใจว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับเขาอีก...หรือประวัติศาสตร์ มันกำลังจะซ้ำรอยกัน               

 

 

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 29 สานสัมพันธ์

                อาการปวดหัวแล่นปราดเข้ามาทันทีที่ร่างสูงรู้สึกตัว พลันต้องยีตาเพราะแสงสว่างจากพระอาทิตย์ที่สาดกระทบใบหน้า หลังจากที่ม่านตาปรับรับกับแสงได้ เขาก็มองไปรอบๆ และพบว่าตนยังนั่งอยู่ตรงขอบประตูระเบียงตั้งแต่เมื่อคืนยันสว่าง เท่านั้น ก็ถอนหายใจออกมาพลางเหม่อมองไปยังวิวข้างนอก ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้และท้องฟ้าที่เริ่มมีแสงสีทองประดับ ก่อนที่เขาจะยันกายลุกขึ้นและเดินกลับเข้าไปในห้องด้วยร่างกายและสมองที่มันหนักอึ้งไปหมด

                ฮ่องเต้หย่อนตัวลงบนเตียงอย่างเหม่อลอย เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหลับไปตั้งแต่ตอนไหน จำได้แค่ว่า...หลังจากกลับมาจากร้าน ก็มานั่งเล่นที่ระเบียงเพราะนอนไม่หลับ ในใจเต็มไปด้วยคำถามมากมาย ขณะที่สมองก็เอาแต่คิดย้อนกลับไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาที่เขาเป็นนักศึกษา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยภัคนลินและช่วงเวลาที่เขาอยู่ในฐานะสมาชิกสายรหัสหนึ่งเจ็ดแปด

                พลันร่างสูงก็ล้มตัวลงแผ่หลาลงบนเตียงที่ไม่ได้สัมผัสมาตั้งแต่เมื่อคืน เหม่อมองไปยังเพดานห้องที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยของเทปกาวอยู่ ก่อนที่ภาพความทรงจำทั้งหมดจะหวนกลับคืนมาอย่างหักห้ามเอาไว้ไม่ได้ ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยเงาสะท้อนของใครบางคนที่เคยเข้ามาในห้องนี้ ที่คอยสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและความสุขเอาไว้ให้กับเขามากมาย ก่อนที่ใครคนนั้นจะเขาไป หลงเหลือไว้เพียงแค่ความเจ็บปวดที่เขาไม่สามารถจะยอมรับมันได้

                เพราะมันเลวร้ายเกินกว่าที่จะทำใจยอมรับ แต่มันกลับเป็นความทรงจำที่ยากจะลืมและนั่นอาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่สิ่งต่างๆ  ภายในห้องนี้ยังคงอยู่ที่เดิม

                เขาจมอยู่กับความทรงจำอยู่นานพอสมควร ก่อนจะสะดุ้งกับเสียงเรียกเข้าและหันไปคว้ามือถือบนหัวเตียงมากดรับโดยที่ไม่ได้ดูว่าปลายสายเป็นใคร เขานอนหลับตานิ่งขณะกรอกเสียงทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

                [ตื่นหรือยังครับ พี่เต้]

                เสียงสดใสของอีกฝ่ายทำเอาใจหายไปแวบหนึ่งก่อนจะยกมือถือขึ้นมาดูชื่อของคนโทร         

                “ถ้าบอกว่ายังไม่ตื่น มึงจะวางสายไหม” การพูดเพราะๆ กับอีกฝ่ายกลายเป็นเรื่องยากสำหรับเขาตั้งแต่ที่เจอไอ้เด็กนี่กวนประสาทตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ดังนั้น สิ่งเดียวที่เขาจะทำให้ก็คือการกวนประสาทมันเท่านั้น ไอ้เด็กประเภทนี้ ทำดีด้วยไม่ได้หรอก เดี๋ยวมันได้ใจและพาลเรียกร้องอะไรจากเขาไปมากกว่านี้

                [ถ้าพี่ยังไม่ตื่น งั้นผมวางสายแล้วขึ้นไปปลุกพี่ที่ห้องนะครับ]

                เหอะ เป็นไงล่ะครับ ไอ้เด็กนี่มันธรรมดาที่ไหน

                “มึงไม่ยุ่งกับกูสักวันจะตายไหม”   

                [ไม่ตายหรอกครับ แค่ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเท่านั้นเอง] มันว่าด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ และมันดันทำให้ใจเขาอ่อนลงด้วยนี่สิ

                “วันนี้มึงมีประชุมคณะไม่ใช่หรือไง โทรมากวนกูอยู่ได้ เดี๋ยวก็สายหรอก”

                ฮ่องเต้จำได้ว่าวันนี้ทางคณะกำหนดให้นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งทุกคนเข้าร่วมการประชุมเรื่องโครงการจิตอาสาที่เด็กปีหนึ่งจะต้องวางแผนร่วมกันและลงพื้นที่ทำกิจกรรมภายในเทอมนี้ และนี่ก็ปาเข้าไปเกือบเจ็ดโมงแล้ว ดังนั้น ไอ้ปลายสายมันควรจะเตรียมตัวเข้าคณะได้แล้ว ไม่ใช่มาโทรกวนเขาอยู่แบบนี้

                [ก็ผมคิดถึงพี่นี่ครับ เมื่อวานก็ไม่ได้เจอ วันนี้ก็ต้องประชุม แถมพรุ่งนี้ผมยังต้องไปทำงานกลุ่มกับเพื่อน คงไม่ได้เจอพี่อีก ผมคงทนไม่ไหว ขาดใจตายเพราะขาดพี่แน่ๆ]

                “เรื่องของมึง! ถ้าไม่มีธุระอะไรก็แค่นี้!”  เขารวบรัดตัดความและวางสายโดยไม่รอฟังฝ่ายตรงข้ามที่ส่งเสียงร้องเรียกเหมือนกำลังตกใจที่เขาทำเช่นนั้น

                สรุปว่าไอ้เด็กนี่มันเป็นคนแบบไหนกันแน่ เขาไม่เข้าใจไอ้สิ่งที่มันแสดงออกมาเลยสักนิด เดี๋ยวเด็ก เดี๋ยวผู้ใหญ่ ไม่ดีใจหายก็ร้ายจนเขากลัว เอาเป็นว่าการอยู่ห่างจากมันน่าจะเป็นผลดีต่อตัวเขามากที่สุดแล้วล่ะ

                แต่แล้วก็มีสายเรียกเข้าจากเบอร์เดิมอีกรอบและเขาก็ทำแค่ตัดสายมันทิ้งไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งมันยอมแพ้ แต่ก็ยังเสนอหน้าส่งข้อความมาแทน เป็นข้อความตามประสาเด็กของโฟโต้ที่ย้ำให้เขาอาบน้ำ กินข้าวเช้าให้ตรงเวลาและบอกว่ามันจะมารับเขาตอนเที่ยง หลังจากประชุมเสร็จ ซึ่งเขาไม่ไปกับมันแน่ๆ เพราะอย่างน้อยก็มีข้ออ้างนัดกับพวกนิวซันเอาไว้แล้ว

                และร่างสูงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ล้มตัวลงนอน ตอนนั้นเอง ที่เขาเพิ่งจะได้เห็นข้อความจากสีฝุ่นที่ส่งมาเมื่อคืนว่าไปนอนหอเพื่อน แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก จึงกดเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อย ทว่าเสียงแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊คก็ดังขึ้น พอกดเข้าไปดูก็พบว่าเป็นการแจ้งเตือนความทรงจำ...

                สายตาของเขาเอาแต่จับจ้องไปยังข้อความแจ้งเตือนนั่นราวกับถูกสะกด นิ้วเรียวขยับสัมผัสกับหน้าจอค้างเอาไว้และสุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้ต่อความรู้สึกตัวเอง กดเข้าไปดูความทรงจำของวันนี้และภาพต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ ภาพเหล่านั้นไล่เรียงตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นภาพของเขา นิวและซันที่ไปเที่ยวตระเวนล่าของกินในย่านมหา’ลัยภัคนลิน และย้อนไปเมื่อสองปีก่อนที่พวกเขาอยู่ปีสอง เป็นภาพที่พวกเขาทำกิจกรรมกับรุ่นน้อง มันทำให้อดยิ้มออกมาไม่ได้กับภาพน้องๆ ที่โดนแกล้งในกิจกรรมฐานด้วยฝีมือพวกรุ่นพี่ ก่อนที่ผมจะเลื่อนหน้าจอลงมาเรื่อยๆ  และหยุดอยู่ที่ความทรงจำตอนที่เขาอยู่ปีหนึ่ง

                ภาพอบรมผู้เข้าร่วมประกวดเดือนคณะ เป็นภาพที่รุ่นพี่คนหนึ่งกำลังดูแลเขาอย่างใกล้ชิดและเป็นภาพที่เคยเป็นที่พูดถึงของคนทั้งคณะอยู่นานพอสมควร แต่คงมีเพียงเขากับรุ่นพี่คนนั้นเท่านั้นที่รู้ว่าทุกอย่างมันมากกว่าการใกล้ชิดในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ทุกอย่างมันก็เป็นเพียงอดีตเท่านั้น

                 เพราะต่อให้เรียกร้องยังไง ความสุขในวันนั้น เขาก็เอามันกลับคืนมาไม่ได้

                และตัดสินใจกดออกจากเฟสบุ๊ค ทว่ามันกลับไปเด้งที่หน้าข้อความของไอ้โฟโต้ซึ่งคงจะเปิดทิ้งไว้ จู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัวใจ มันเป็นความรู้สึกที่เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรจะนิยามมันว่าอะไร แต่ที่แน่ๆ ความรู้สึกนั้น มันทำให้มือของเขาเผลอไผลไปสัมผัสบนหน้าจอมือถืออย่างแผ่วเบาและขยับเลื่อนขึ้นไปดูข้อความเก่าๆ  ของโรคจิตปีหนึ่งที่คอยส่งมาให้ตั้งแต่ที่มันบอกว่าจะจีบเขา ข้อความเหล่านั้นไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่กำลังตอกย้ำให้ได้รับรู้ว่าทุกอย่างมันกำลังจะหวนกลับคืนมาอีกครั้ง มันยิ่งทำให้เขาได้แต่กังวลว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมอีกหรือเปล่า เขายอมรับว่าเขาเองก็หวาดกลัวความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันในระดับหนึ่ง เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าความรักไม่จำกัดเพศ แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว เขากลับพบว่ามันไม่ง่ายกับการประคองความรักไปให้ถึงที่สุด สิ่งรอบข้าง ผู้คนมากมาย ทั้งเพื่อน ครอบครัว ทุกอย่างล้วนแต่ส่งผลกระทบรุนแรงต่ออนาคตของคนทั้งคู่

                อีกอย่าง...เขาไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าการที่โฟโต้มันเข้าหาเขาแบบนี้ เป็นเพราะมันคิดจริงจังหรือแค่สับสน ยิ่งมีเรื่องอาถรรพ์สายรหัสเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ผมกลัวว่าทุกอย่างมันจะเป็นเพียงการล้อเล่นหรือการท้าทายอาถรรพ์เหมือนอย่างที่...มีใครบางคนเคยทำกับเขาหรือเปล่า

                และถ้าเป็นอย่างนั้น เขาควรจะทำยังไงดี...

                เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะทำได้กับการจากลาอีกครั้งได้หรือเปล่า...

                แล้วตอนนี้ล่ะ เขาควรจะปล่อยให้เด็กโฟโต้ให้เข้าหาเขาต่อไปหรือควรจะหนีไปให้ไกลที่สุดเพื่อที่จะปกป้องหัวใจของเขาไม่ให้เจ็บปวดซ้ำๆ  กับอาถรรพ์สายรหัสหนึ่งเจ็ดแปด

                “โว้ยยยยยยยยยย” สุดท้ายก็ได้แต่ร้องลั่นห้องพร้อมกับเกลือกกลิ้งไปมาบนที่นอนอย่างไม่รู้จะจัดการยังไงกับชีวิต

                ดูเหมือนความรักจะกลายมาเป็นอีกเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตเขา (รองจากการเรียน) ไปแล้ว!

 

                (มีต่อ....)


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
(ต่อ......)
ตอนบ่าย โฟโต้โทรมาหาเขาตามคาด แต่ฮ่องเต้ก็ตอบปฏิเสธมันไปเพราะมีนัดกับนิวและซัน ตอนนี้ เขาก็ได้แต่รอสองคนนั้นอยู่ในห้างสรรพสินค้าย่านมหาวิทยาลัยภัคนลิน เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงแล้วที่สองคนนั้นยังไม่โผล่หน้ามา ก่อนที่เขาจะได้รับข้อความจากซันที่บอกว่ามันกับนิวเพิ่งจะมาถึง สงสัยเพราะเมื่อวานดื่มหนักจนแฮงค์แน่นอน ดีนะ ที่เขาหาอะไรกินก่อน ไม่เช่นนั้น คงได้โมโหหิวเป็นแน่

                ตอนนี้ เขานั่งรอใบสั่งสินค้าอยู่ในร้านขายเครื่องเขียนเจ้าประจำของตน บรรยากาศของร้านถูกตกแต่งสไตล์วินเทจแบบที่เขาชอบ มันให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบายอย่างบอกไม่ถูก นอกจากการตกแต่งร้านที่ทำให้เด่นสะดุดตาแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาชอบร้านนี้เอามากๆ ก็คือเราสามารถออกแบบสินค้าได้ด้วยตัวเอง จะพูดง่ายๆ เลยก็คือเราสามารถสั่งทำเครื่องเขียนเองได้นั่นแหละ แถมราคาก็ยังสบายกระเป๋าเอามากๆ เรียกได้ว่าเป็นอีกเสน่ห์หนึ่งของร้านขายเครื่องเขียนแห่งนี้เลยก็ว่าได้

                “ใบสั่งสินค้าได้แล้วค่ะ”

                ฮ่องเต้หันไปตามเสียงเรียกของพนักงาน ก่อนจะลุกขึ้นยืนและรับเอกสารมาไว้ในมือ

                “ขอบคุณครับ” เขาบอกแค่นั้นและเก็บใบสั่งสินค้าใส่ในกระเป๋าสตางค์ ก่อนจะล้วงมือถือออกมาเพราะเสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นมาพอดี

                “ว่าไง”

                กรอกเสียงลงไปขณะที่เดินออกไปหน้าร้าน สอดสายตามองหาไอ้พวกที่เลทนัด

                [มึงยังอยู่ที่ร้านอยู่หรือเปล่า พวกกูกำลังขึ้นไป]

                “เออ กูรออยู่หน้าร้านนะ” เขาตอบกลับไปแค่นั้นและยืนรอจนกระทั่งสองคนนั้นโผล่หน้ามาให้เห็น

                "ไหวไหมไอ้นิว” เป็นอันต้องส่งเสียงร้องทัก กับซันน่ะปกติดี ส่วนนิว...ท่าทางยังไม่ตื่นดีเลยด้วยซ้ำ จนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่ามันดื่มหนักแค่ไหนถึงได้แฮงค์ข้ามวันยันบ่ายขนาดนี้

                “ไหว...”

                คำตอบสั้นๆ แต่กลับทำให้ต้องมองดูคนตอบที่เอาแต่อ้าปากหาวจนเห็นไปยันลิ้นไก่ ท่าทางเหมือนไม่ได้นอนแบบนี้ สงสัยเมื่อคืนอ้วกแน่นอน ก็เพราะนิวคอแข็งเสียที่ไหนล่ะ เมื่อวานคงดื่มหนักแบบไม่มีใครห้ามล่ะสิท่า

                “พวกกูขอไปหาอะไรกินก่อนนะ รอไอ้นิวตั้งแต่เช้า โคตรหิวเลยว่ะ” ซันร้องบอก ก่อนที่พวกเขาจะพากันเดินเข้าร้านอาหารที่อยู่อีกโซนหนึ่งของห้าง แต่พอเข้าร้านมาได้ นิวก็เอาแต่หาวแล้วหาวอีก กระทั่งพนักงานจะเดินเอาเมนูมาให้

                “เอ่อ ขอดูเมนูก่อนสักครู่นะครับ” ฮ่องเต้บอกพร้อมกับยิ้มให้กับพนักงาน ซึ่งเธอก็ยิ้มกลับและปล่อยให้พวกเขาได้เลือกเมนูอาหารกันต่อ

                “เฮ้ย ร้านอาหารนะเว้ย ไม่ใช่ห้องนอน” เพราะไอ้ท่าทางสะลึมสะลือ กึ่งๆ จะหลับของพวกมัน ฮ่องเต้ถึงต้องเอาเมนูเคาะหัวนิวไปที

                “อะไรของมึงวะ กูง่วงงง” และมันส่งเสียงร้องโวยวายเป็นเด็กๆ

                “ใครใช้ให้มึงจัดหนักจนแฮงค์ล่ะวะ” เขาบ่นก่อนจะส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา แต่ก็อดขำกับท่าทางเหมือนเด็กง้องแง้งของคนตรงหน้าไม่ได้ ปกตินิวเป็นคนที่โคตรจะกวนตีนที่สุดในบรรดาแก๊งเขาแล้ว แต่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะมันง่วงเท่านั้นแหละ เดี๋ยวพอมันได้นอนเต็มอิ่มมันก็กลับมากวนตีนพวกเขาเหมือนเดิม

                หากคำพูดนั้น ทำให้นิวทำหน้านิ่ง จ้องมาทางฮ่องเต้พร้อมกับเปิดปากพูด “ใครบอกกูแฮงค์! กูรู้ตัวว่ากูคออ่อน เรื่องอะไรกูจะดื่มเยอะ”

                “ปล่อยมันเหอะ นานๆ ทีมันจะไม่ได้นอน” ซันแซวเล่นและหัวเราะออกมาเบาๆ แต่นิวกลับเอามือฟาดแขนซันเข้าดังป้าบ!

                “เพราะมึงไม่ใช่หรือไง! กูถึงไม่ได้นอนเนี่ย” คำพูดของไอ้นิวทำเอาคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรต้องชะงัก หรี่ตามองสองเพื่อนรักฝั่งตรงข้ามด้วยความสงสัยและสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง

                “เดี๋ยวนะ ไอ้การที่มึงไม่ได้นอนเนี่ย ไม่ใช่เพราะมึงแฮงค์ แล้วมึงไปทำอะไรมาวะ?”

                “คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ครับเพื่อนเต้ เมื่อคืนมีคนบางคนเอาแต่บ่นเรื่องไอ้เด็กเปรม จนหัวกูเนี่ยแทบจะซึมซับเรื่องของน้องมันเข้าไปจนหมดทุกเรื่อง พอมันเครียดใช่ไหม มันก็ดื่มหนักจนไม่มีสติ เดือดร้อนให้กูพากลับ แถมยังต้องคอยดูแลมันที่ไม่ยอมหลับยอมนอน เอาแต่พล่ามเรื่องไร้สาระ ไม่พอ ยังอ้วกใส่กูอีก กูเลยไม่ได้หลับเพราะต้องคอยดูแลมันไง!!”

                และนิวก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด หลังจากที่ร่ายยาวให้ฟังจนจบ ซึ่งสีหน้าของมันตอนนี้โคตรจะหงุดหงิด แตกต่างจากซันที่สีหน้าของมันโคตรจะมีความสุข

               

                ใช้เวลาไม่นาน นิวกับซันก็กินข้าวกันเสร็จ จึงเดินเข้าออกร้านต่างๆ ภายในห้างเพื่อดูของที่อยากได้เพิ่มเติม รวมถึงชุดที่จะใส่ในวันงานด้วย

                “สรุปว่ามึงจะซื้ออะไรให้น้องวะ” ฮ่องเต้หันไปถามทั้งสองคนที่กำลังเดินดูเสื้อผ้ากันอยู่

                “ของกูน่าจะเน้นพวกอุปกรณ์การเรียนว่ะ น้องกูมันเนิร์ดๆ แถมโคตรจะขี้อาย ให้ไอ้พวกปีสองหลอกถามว่าอยากได้อะไรก็เอาแต่บอกว่าอะไรก็ได้ สุดท้าย กูก็เลยไม่รู้ว่าน้องอยากได้อะไร” ซันร่ายยาวอย่างเซ็งๆ ให้นิวใช้แขนตวัดกอดคอซันก่อนที่มันจะพูดต่อ

                “เอาน่า ให้เวลาน้องมันปรับตัวหน่อย ปีหนึ่งใสๆ ก็ขี้อายไม่กล้าขออะไรจากพี่แบบนี้แหละ ดูอย่างไอ้ฮ่องเต้ดิ๊...” แล้วมันก็หันมาใช้แขนอีกข้างกอดคอเขา

“กูเกี่ยวไร?” ซึ่งคนที่ถูกลากไปเกี่ยวก็ถามไปตามความคิด

ลางสังหรณ์เหมือนจะโดนด่าชอบกล

“ก็มึงอ่ะ ตอนปีหนึ่งโคตรของโคตรจะเด็กเนิร์ด ดูติ๋มๆ ขี้อายจนแทบจะมุดดินเดิน ฮ่าๆๆ” แล้วทั้งคู่ก็ปล่อยก๊ากเสียงดังลั่น จนฮ่องเต้ต้องเอามือโบกหัวคนพูดหน้าทิ่มไปทีหนึ่ง

“เออจริง แต่แม่งนะเว้ย ดันเสือกได้เป็นรองเดือนคณะ ฮ่าๆๆ กูโคตรขำหน้ามันตอนที่มันร้องเพลงบนเวทีอ่ะ”  ทว่าซันกลับเสริม

“ไอ้เชี้ยซัน!!”

“เออว่ะๆๆ ไอ้ตอนที่มันต้องเต้นบนเวทีอีก ไอ้ท่าเท่ห์ๆ ที่พี่คินอุตส่าห์สอนแทบตาย...”

ฮ่องเต้ชะงักกึก...เมื่อคำบางคำสะดุดหูเขาเข้า

มันดังก้องอยู่ในห้วงความคิดของเขา พลันภาพเหตุการณ์และความรู้สึกเดิมๆ ก็แล่นปราดเข้ามาบีบเค้นหัวใจอีกครั้ง

“...สุดท้ายไอ้เต้เต้นออกมาอย่างกับเด็กอนุบาล แม่ง กูนึกว่ามาเที่ยวงานวันเด็ก” นิวยังคงทำหน้าที่แฉความอับอายของเขาต่อ โดยที่พวกมันเองไม่รู้เลยว่าเขาชะงักนิ่งไปกับคำบางคำที่พวกมันพูดออกมา

คำบางคำที่ทำเอาเขารู้สึกกระอักกระอวนไปหมด

 “จริง! กูนี่ขำจนน้ำตาเล็ดเลยนะเว้ย ฮ่าๆๆ ”

  “กูแม่งงง โคตรสงสารพี่คินเลยว่ะ”

 “เฮ้ย ไอ้นิว...ชู่ว”

เป็นซันที่รู้สึกตัวก่อน เลยรีบสั่งนิวให้หยุดพูด ก่อนที่ฮ่องเต้จะรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ เขารู้ว่าไอ้นิวไม่ได้ตั้งใจและสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแย่มันก็ผ่านมาเกือบสามปีแล้ว เขาไม่ควรจะรู้สึกอะไรอีก...

แต่ทำไม...มันถึงทำได้ยากเย็นนัก กับการไม่รู้สึก...

“พวกมึงนี่แม่ง จำแต่เรื่องขายหน้าของกูนะเว้ย!!”  ฮ่องเต้แกล้งร้องบอกออกไปพร้อมกับทำท่าฮึดฮัดใส่ ก่อนจะทำทีเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วมึงอ่ะ ไอ้นิว มึงคิดไว้ยังว่าจะซื้ออะไรให้น้อง”

“หะ...หะ กูเหรอ!?” นิวตกใจที่จู่ๆ ประเด็นก็ถูกเบี่ยงหา เลยหันหน้าไปมองไอ้ซันเล็กน้อย ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้ดูร่าเริงเหมือนปกติแล้วตอบฮ่องเต้

โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตว่าซันยิ้มอย่างพออกพอใจที่เห็นฮ่องเต้รู้สึกกระอักกระอวนกับเรื่องนี้ เพราะนั่นมันก็หมายความว่าฮ่องเต้ยังคงหวาดกลัวเรื่องอาถรรพ์สายรหัสอยู่ และถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เพื่อนของเขาก็ไม่มีทางตกปากรับคำ คบกับสายรหัสอย่างโฟโต้...ตามที่เขาอยากจะให้เป็น

                “เออ กูว่า...” นิวนิ่วหน้าพลางเอามือเกาหัวแกร๊กๆ “กูว่า...กูจะซื้อพวกของใช้น่ารักๆ แล้วก็ขนมกับนมอะไรพวกนี้ พอดีน้องกูเป็นผู้หญิงว่ะ ละ...แล้วมึงอ่ะ จะไม่ซื้ออะไรให้น้องจริงๆ เหรอวะ”

                “กูไม่รู้ว่าน้องมันอยากได้อะไร เลยกะว่าจะมาดูอีกที” ฮ่องเต้ตอบไปพลางมองดูรอบๆ ไปพลาง ที่เขาเลือกโกหกออกไปแบบนั้นเพราะถ้าเกิดว่าสองคนรู้ว่าผมซื้ออะไรให้น้อง เขาต้องถูกล้อเลียนไม่เลิกแน่ๆ  แล้วอีกอย่างเขาก็อุตส่าห์ลงทุนสั่งทำของขึ้นมาเอง ดังนั้น เขาไม่ยอมให้ความลับรั่วไหลหรอก

                “อย่างไอ้โฟโต้...กูว่าเดาไม่ยากหรอกว่ะ” ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เผื่อนิวมันจะมีไอเดียอะไรดีๆ ให้เขาซื้อของให้น้องมันเพิ่มเติม แต่เปล่าเลย มันกลับทำตาระยิบระยับใส่เฉย

                “มึงจะพูดอะไร!?”

                “จะพูดว่า...มึงไม่ต้องซื้ออะไรให้น้องมันหรอก” และมันก็ยกยิ้มที่มุมปาก “เพราะมึงนั่นแหละ ของเทคชั้นดี โอ๊ย!”

                และคนพูดถูกโบกหัวมันเข้าให้ “หุบปากไปเลยมึง!!”

                เขาไม่น่ารอฟังเลย! ก็รู้ๆ อยู่ว่าถ้าเป็นเรื่องสายรหัส พวกแม่งสองคนไม่เคยมีความคิดดีๆ ให้กับเขาหรอก

                ฮ่องเต้เดินหนีไปอีกทาง ปล่อยให้นิวกับซันเดินดูของไปเรื่อยๆ  อยู่อย่างนั้น กระทั่งนิวร้องเรียกเสียงดังลั่นร้าน   

                “เฮ้ย ไอ้เต้ กูมีของที่ไอ้โฟโต้น่าจะชอบว่ะ”

                ทำให้ฮ่องเต้ต้องเดินไปหานิวที่กำลังดูของบนชั้นวางอยู่อย่างเซ็งๆ

                “อะไรวะ!?” ถามออกไปอย่างงงๆ ก่อนที่กล่องสีน้ำเงินขนาดพอดีมือจะถูกจ่อมาตรงหน้าเขา

            เชี้ยยยยยย นี่มัน...! ถุงยางอนามัยไม่ใช่เรอะ!!

                “ไอ้สัสนิว!!!”

                “เฮ้ยยย ไอ้เต้ กูรับรองนะเว้ยว่าไอ้โฟโต้มันต้องชอบและไปขอบคุณมึงถึงห้องเลยแหละ ฮ่าๆๆ” ดูเหมือนว่านิวจะยังคงสนุกปากกับการทำให้เพื่อนหัวเสีย แต่นั่นเขาก็แอบหวังเอาไว้ลึกๆ ว่าจะทำให้ฮ่องเต้โมโหจนลืมเรื่องขงอพี่คินได้ก็เท่านั้น

                “พอๆ มึงรีบไปจ่ายเงินได้แล้วไอ้นิว ส่วนไอ้ซันมารอกับกูนอกร้าน” พูดจบฮ่องเต้ก็รีบลากซันออกมาทันที เพราะขืนยืนอยู่ตรงนั้นต่อไป นิวคงได้หาเรื่องให้เขาซื้ออะไรแปลกๆ อีกแน่นอน

                 ไม่นานนัก นิวก็ยิ้มร่าเดินออกมาจากร้าน ท่าทางจะตาสว่างขึ้นเยอะ อาจจะเป็นเพราะได้หาเรื่องแกล้งเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถึงได้ตื่นเต็มตาและหัวไวขึ้นมาทันที           

“เออ ไอ้เต้ มึงจะกลับเลยป่ะ” นิวหันมาถามเขา

                “ไม่อ่ะ กูว่าจะเดินดูของใช้ต่ออีกหน่อย”

                “เออๆ งั้นกูกับไอ้ซันกลับก่อนนะเว้ย พอดีพวกกูมีนัดต่อว่ะ”

                “โอเคๆ กลับดีๆ นะพวกมึง” ฮ่องเต้บอก ก่อนที่นิวจะเอาถุงใส่อะไรบางอย่างยัดใส่มือ

                “อะไรวะ!?”

                “เล็กๆ น้อยๆ” เป็นอันต้องงงกับคำตอบของนิว แต่เจ้าตัวกลับไม่อธิบายอะไรเพิ่มสักนิด

                “หืม แล้วให้กูเพื่อ จะติดสินบนอะไรกูไม่ทราบ!?”

                “เออน่า ของใช้จำเป็นสำหรับมึงแน่ๆ” บอกพร้อมกับส่งรอยยิ้มประหนึ่งต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง ซึ่งเขาแม่งอยากจะตะโกนออกไปเหลือเกิน ว่า

                กูไม่เข้าใจโว้ย

                “เอาไปแกะดูหลังจากพวกกูไปแล้วกันนะ”

                “มึงไม่ได้แกล้งกูใช่ไหม!?” เขาหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้วางใจ แต่มันทำเพียงแค่ยักไหล่มาให้ ก่อนที่พวกมันจะโบกมือลาเชาไปเฉย

                เขาส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะพาร่างของตัวเองเดินเตร็ดเตร่ไปยังโซนร้านเสื้อผ้าผู้ชายต่อและทันทีที่เดินมาถึงร้านประจำ เขาก็เดินเข้าไปข้างในและเดินดูเสื้อผ้าไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็ดูปกติดี จนกระทั่ง...

                “พี่ฮ่องเต้...” เสียงเรียกที่โคตรจะคุ้นหู ทำเอาฝีเท้าต้องชะงัก เหมาะเจาะกับสายตาที่เหลือบไปเห็นเงาผ่านกระจกพอดิบพอดี ทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของเสียงมันคือไอ้คนที่เขาไม่อยากจะเจอในตอนนี้

                นั่นก็เพราะเรื่องบางอย่าง ที่ทำให้เขาไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย

                ขอทำใจหน่อยไม่ได้หรือไงวะ

                ไอ้เขาก็อุตส่าห์หลบหน้าไม่ไปกับรุ่นน้องมันแล้ว ยังอุตส่าห์มาเจอที่ห้างนี่อีก ทำอย่างกับมันสะกดรอยตามเขามา...หรือว่ามันทำแบบนั้นจริงๆ วะ?

                ดังนั้น ฮ่องเต้จึงทำทีเป็นไม่ได้ยินและกะจะเดินหนี แต่ก็ไม่ทันมือหนาที่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขาเสียก่อน เขาจึงหันไปมองและรีบสะบัดมือออก จังหวะนั้นเองที่ถุงในมือร่วงลงกับพื้นดังปึก! และโชคไม่ดีเอามากๆ ที่ไอ้ของที่อยู่ในถุงดันโผล่ออกมา...

                และของที่ว่ามันทำเอาเขาเกือบช็อก!!!

            กล่องสีน้ำเงิน...

                ประเด็นที่เขาเพิ่งจะเถียงกับไปเพื่อนในร้าน...

            ไอ้เชี้ยนิว!!

                สายตามองตามโฟโต้ที่ก้มลงเก็บของให้เขาอัตโนมัติ ดูเหมือนมันจะอึ้งไปเล็กน้อย ขณะที่มันค่อยๆ เก็บของใส่ในถุงและส่งคืนให้กับเขา

                “ที่ปฏิเสธเพราะกลัวผมรู้ว่าจะมาซื้อถุงยางเหรอครับ” โฟโต้ยิ้มอย่างล้อเลียนให้อีกฝ่ายหน้าขึ้นสี “...หรือกะจะเตรียมไว้เผื่อผมเมา แล้วพี่นิวพาผมไปส่งที่ห้องพี่อีก”

                “หยุดคิดเลยนะเว้ย! แล้วไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลยนะ”  มันทำให้ฮ่องเต้ต้องโวยวายเพราะในหัวดันไปนึกถึงเรื่องคืนนั้นเข้าเสียได้ จนใบหน้าขึ้นสีมากกว่าเดิม จนเป็นที่พออกพอใจของอีกฝ่าย  และเมื่อถูกจ้องนานเข้าจนทำตัวไม่ถูกก็หันซ้ายขวาใส่ไปทีและทำทีจะเดินหนีไปให้พ้นคนตรงหน้า

                 ...แต่ก็ถูกคว้าแขนเอาไว้จนได้

                “ไม่เห็นต้องอายแล้วเดินหนีผมเลยนี่ครับ ของแบบนี้....” โฟโต้ยกยิ้มที่มุมปาก เว้นวรรคเล็กน้อยและก้มลงมากระซิบที่ข้างหูของหนุ่มรุ่นพี่ต่อว่า “...มันเรื่องธรรมชาติครับ”

                เสียงของเขาทำเอาฮ่องเต้ขนลุกซู่ จนแทบจะบ้าตายอยู่รอมร่อ  คิดไปว่าทำไมเขาต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

                “ว่าแต่...ซื้อเยอะขนาดนี้เนี่ย บ่อยเหรอครับ”

                “ไอ้โฟโต้!!”

                “ฮะๆ ผมล้อเล่นน่า ผมก็แค่เป็นห่วงอ่ะ ว่าพี่อาจจะไม่ได้ใช้มันอีกต่อไปก็ได้”

                เขายอมรับว่าคำพูดของโฟโต้ทำเอาเขาคิดไปถึงเรื่องอย่างว่า ก็ดูสายตาที่มันมองเขาสิ จะให้เขาสื่อความหมายออกไปในแง่ดีได้ยังไง

                “ปล่อยกูได้แล้ว กูจะกลับหอ”  คราวนี้พยายามพูดดีๆ กับอีกฝ่ายแทน เพราะไม่อยากตอล้อต่อเถียงให้ยืดเยื้อ เขารู้ตัวดีว่ายิ่งเขาคุยกับมันนานเท่าไหร่ เขายิ่งจะหนีจากอีกฝ่ายได้ยากขึ้นเพราะหัวใจของเขาที่มันแอบสั่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้รุ่นน้องตรงหน้านี่ไง!

                “ผมไปส่ง”

                “ไม่ต้อง!!” ฮ่องเต้องเสียงหลงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น อุตส่าห์หนีหน้า เรื่องอะไรที่จะต้องไปกับมันอีกล่ะ

                “ผม...ไป...ส่ง...นะครับ” โฟโต้ว่าเสียงหวานในตอนท้ายอย่างพยายามอ้อนอีกฝ่ายให้ใจอ่อน

                “ไม่...” 

                ทว่าฮ่องเต้ยังคงดึงดันที่จะปฏิเสธ หนุ่มรุ่นน้องจึงต้องเปลี่ยนจากการอ้อนด้วยเสียงหวานๆ  มาเป็นการอ้อนในแบบฉบับเสื้อร้ายแทน

                “ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าถ้าผมจีบพี่แล้ว พี่ห้ามหนีผม”

                และนั่นมันก็ทำให้ฮ่องเต้ชะงักกับคำพูดของหนุ่มรุ่นน้องที่พูดออมาพร้อมกับแววตาที่สื่อถึงอะไรบางอย่าง

                โอเคครับ ถึงผมจะเคยบอกมันไปว่าคนอย่างผมไม่เคยหนีใคร แต่ผมก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าผมจะไม่หนี...ถ้าไม่จำเป็น

                “ยังไงกูก็ไม่ไปกับมึง!”

                “ผมจีบพี่อยู่นะครับ ผมบอกว่าไปส่งก็คือไปส่ง”  และโฟโต้ก็หรี่ตาพร้อมกับโน้มหน้าเข้ามาใกล้ จนเขาอดมองไปรอบข้างอย่างหวาดระแวงกลัวคนมาเห็นไม่ได้

                “เอาหน้าออกไปเลย!”

                “ไม่ครับ จนกว่าพี่จะให้ผมไปส่ง” 

“กูเอารถมา กูกลับ...”

“นั่นไงครับ! พอดีเลย ผมไม่ได้เอารถมา เดี๋ยวผมขับรถให้นะครับ”

สัสสส มันไม่ฟังที่ผมพูดเลยเถอะ!! แถมเออออเองเสร็จสรรพเลยด้วย

ก่อนที่โฟโต้จะแบมือมาตรงหน้าผม

“อะไร!?”

“กุญแจรถครับ” มันพูดพร้อมกับยิ้มจนตาหยีตามแบบฉบับ

เขาชักเริ่มจะเกลียดไอ้รอยยิ้มแบบนี้ขึ้นมาแล้วสิ ทั้งรอยยิ้มและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลาของอีกฝ่าย เห็นทีไร ใจเขาต้องอ่อนลงทุกที

“ขอกุญแจด้วยครับพี่เต้” โฟโต้ย้ำอีกรอบ แต่คราวนี้เหมือนมีรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัว คับคล้ายคับคลาว่ากำลังกดดันเขาอยู่ “ถ้าพี่ไม่ให้เนี่ย ผมกะเอาไว้ว่าจะตามพี่ไปตลอดทางเลยแหละครับ”

โฟโต้ยังคงยิ้ม...แต่ถ้าลองคิดดูดีๆ นี่มันกำลังขู่เขาชัดๆ

 ไอ้เด็กนี่มัน....

“แต่คิดอีกที ถ้าผมตามพี่แบบสตอกเกอร์ก็คงจะสนุกไปอีกแบบนะครับ และถ้ามีคนเห็นเข้า พวกเขาจะคิดอะไรกันน้า”

“พอเลย!” ฮ่องเต้ร้องบอกออกไป ขืนใครมาเห็นว่าไอ้เด็กนี่สะกดรอยตามเขาน่ะเหรอ ข่าวอาถรรพ์สายรหัสหนึ่งเจ็ดแปดเป็นอันดังกระฉ่อนไปทั่วมหาวิทยาลัยแน่ๆ  และถึงเวลานั้น มันอาจจะไปเข้าหูคนในครอบครัวเขาด้วยก็ได้!

“กูยอมให้มึงไปส่งก็ได้ มึงนี่มันโคตรโรคจิต”

และในที่สุดเขาเป็นอันต้องพ่ายแพ้ต่อไอ้เด็กปีหนึ่งคนนี้จนได้ แต่เขาไม่ได้ใจง่ายนะ!! เพราะมันขู่ว่าจะตามไปตลอดทางเลยต่างหาก เขาถึงต้องยอม เหอะ

 


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 30 ความรู้สึก

                “ซื้ออะไรเยอะแยะวะ ทำอย่างกับจะย้ายหอ” ฮ่องเต้ว่าพลางมองข้าวของพะรุงพะรังในมือของสายรหัสปีหนึ่ง ซึ่งกำลังจัดวางของใส่หลังรถของเขา หลังจากกว้านซื้อข้าวของเครื่องใช้และอีกสารพัดของจิปาถะ ใช้เวลานานจนตอนนี้ก็ปาเข้าไปห้าโมงเย้นแล้ว ทว่าโฟโต้กลับหันมาฉีกยิ้มกว้างใส่เขาตามแบบฉบับ

                “ถ้าพี่เต้อนุญาตให้ผมไปอยู่ด้วย ผมย้ายวันนี้เลยก็ได้นะครับ” และก็ได้แต่หยอกเอินใส่คนที่โตกว่าไปที

                “ถ้างั้น มึงคงไม่มีวันได้ย้ายหอหรอก” ฮ่องเต้สวนกลับ แบบที่โฟโต้เองกะเอาไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน จึงได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ และปิดประตูหลังรถ ก่อนจะมองตามคนที่เดินลิ่วๆ ขึ้นรถไปก่อนอย่างขำๆ

               

                ฮ่องเต้เหลือบตามองคนข้างๆ ซึ่งกำลังขับรถไปฮัมเพลงไปอย่างมีความสุข คนที่คอยส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ต่อล้อต่อเถียงกับเขาตลอดระยะทางตั้งแต่รถเคลื่อนตัวออกมาจากห้างสรรพสินค้า แต่บอกตามตรงเลยว่าเขาไม่ค่อยจะมีอารมณ์จะมาเถียงกับคนข้างกายนักหรอก ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะเงียบเพื่อเลี่ยงบทสนทนาและเอาแต่จ้องมองไปยังคนที่เอาแต่พูดคนเดียวมาตลอดทาง อย่างที่ในหัวเต็มไปด้วยความคิดวุ่นวายสับสน...

            อยากรู้ชะมัดว่าในใจของมันกำลังคิดอะไรอยู่

            ถึงแม้ว่าเขากับโฟโต้จะอยู่ใกล้กันขนาดนี้และถึงแม้ว่ามันจะเป็นคนออกปากว่าจะจีบ แต่เขากลับคาดเดาไม่ได้เลยสักนิดว่าคนที่อยู่ข้างเขาในเวลานี้ กำลังรู้สึกยังไงกันแน่ ซึ่งนั่น...มันทำให้เขารุ้สึกลังเลใจไปเสียทุกอย่าง ยอมรับความเขาเองเป็นคนคิดมาก ชนิดแบบปล่อยวางไม่ได้ เพราะอดีตมันได้ฝากบาดแผลที่ลึกจนเกินเยียวยาเอาไว้ในใจของเขา แม้ว่าความเจ็บปวดมันจะเบาบางลงมาบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้ใครสักคนมาสร้างอีกหนึ่งบาดแผลให้กับหัวใจของเขาอีกเป็นซ้ำสอง

                “เย็นนี้พี่เต้อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

                “มึงถามกูเป็นรอบที่สามแล้วนะ” ฮ่องเต้ร้องบอกเพราะคำถามเดิมที่แทรกเข้ามาในบทสนทนา โฟโต้ละสายตามามองเขาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองถนนข้างหน้าเช่นเดิม

                “ก็พี่ไม่ยอมตอบผมสักทีนี่ครับ”

                “...”

                “ถ้าพี่ไม่ยอมตอบ จะถือว่าพี่ตามใจผมก็แล้วกันนะครับ” พูดจบก็หันมายิ้มให้คนที่โตกว่าไปทีและเลี้ยวรถไปทางตรงกันข้ามกับทางกลับหอ เสียจนคนที่นั่งมาด้วยถึงกับเหวอใส่

                “มึงจะไปไหน!?” และร้องถามพลางเอี้ยวตัวหันกลับไปมองทางที่มันขับผ่าน ทว่าท่าทางแบบนั้นกลับทำให้โฟโต้หัวเราะออกมาเบาๆ

                “พาพี่ไปกินข้าวไงครับ” ก่อนจะตอบออกไปด้วยท่าทีสบายๆ ซึ่งฮ่องเต้ก็ทำได้แค่ปล่อยให้อีกฝ่ายขับรถต่อไปโดยไม่พูดอะไรต่อ จนกระทั่งมาถึงร้านอาหารร้านหนึ่งที่โฟโต้คุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาจึงเดินนำรุ่นพี่เข้าไปข้างในร้าน ทีแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไรนักเพราะมันก็เป็นเพียงร้านอาหารธรรมดา แต่เพราะคนที่เด็กกว่ากลับพาเขาเดินขึ้นไปบนชั้นสองอย่างถือวิสาสะ ทำตัวราวกับที่นี่คือร้านของตนเองไปเสียได้ นั่นแหละ ที่ทำให้เขาเริ่มจะหวั่นใจ

                “ร้านนี้เปิดชั้นสองให้ลูกค้าเข้าด้วยเหรอวะ” เขาถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ ไม่ยักกะรู้สักนิดว่าร้านนี้เปิดชั้นสองด้วย ปกติที่เขาเคยมากินกับเพื่อนก็เห็นเปิดชั้นแรก แถมข้างบนยังไม่มีลูกค้าเลยสักคน ทั้งๆ ที่ชั้นล่างเต็มไปด้วยลูกค้าจนต้องอาศัยเก้าอี้เสริม

                แต่ก็ทำได้เพียงมองสำรวจรอบข้าง ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งๆ  ที่ตกแต่งสไตล์คลาสสิกและโต๊ะเก้าอี้สำหรับสองคนนั่งตั้งอยู่ใกล้กับริมระเบียงด้านหลังร้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ของสวนที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา สายลมที่คอยพัดเข้ามาช่วยให้ภายในพื้นที่ปลอดโปร่งและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติ นับว่าเป็นพื้นที่สำหรับประทานอาหารที่เรียบง่าย แต่ช่วยผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

                “ไม่หรอกครับ ตรงนี้เป็นมุมส่วนตัว ผมบอกพี่กราฟ...เอ่อ พี่ชายของผมน่ะครับ ผมบอกให้พี่เขาเตรียมไว้”

                “พี่ชาย...” ฮ่องเต้ทวนคำออกมาแบบมึนๆ

                “ครับ ร้านนี้เป็นของพี่ชายผม...” โฟโต้ตอบออกไปอย่างไม่คิดอะไร มองสบตาคนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มสดใส “...รับรองครับ ว่าตรงนี้ไม่มีคนนอกเข้ามาแน่นอน เผื่อพี่เต้จะไม่อยากให้ใครมาเห็นว่าพี่มากินข้าวกับผมสองคน”

                ฮ่องเต้หันไปมองไอ้โฟโต้ด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา ซึ่งเขาเข้าใจหรอกว่ามันหมายถึงอะไร อีกฝ่ายคงจะกลัวว่าเขาจะกังวลว่าจะมีใครมาเห็นตอนที่เขาอยู่กับมันสองคนเพราะเราต่างเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่และมันก็คงไม่ดีแน่ที่เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับมันจะไปเข้าหูใครเข้า โดยเฉพาะป๊าของผมที่โหดเสียยิ่งกว่ามาเฟียเสียอีก ซึ่งนั่นมันทำให้เขาใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย

                เพราะอย่างน้อย มันก็แสดงว่า...มันใส่ใจความรู้สึกของผม

                “ก็ยังดีที่มึงคิดได้” แต่ก็ตอบกลับออกไปด้วยเสียงเรียบง่ายตามสไตล์

            บอกแล้วไงครับว่าการพูดดีๆ กับมันเป็นเรื่องยากสำหรับผมไปแล้ว

                “แน่นอนสิครับ พี่มากินข้าวกับผมทั้งที ผมก็อยากให้พี่สบายๆ  อยากทำอะไรก็ทำ...” ท้ายประโยคโฟโต้เน้นคำพร้อมกับสบลึกเข้ามาในดวงตาของคนที่โตกว่า ทีแรกก็เห็นด้วยอยู่หรอกเพราะอย่างน้อยเขาจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมาคอยกังวลว่าใครจะมองยังไง ถือว่ามันใส่ใจรายละเอียดดี แต่ว่า...

                “แต่มันก็เท่ากับว่ามึงจะทำอะไรก็ได้เหมือนกันน่ะสิ” ฮ่องเต้หรี่ตาลง ร้องถามออกไปอย่างนึกขึ้นได้ ซึ่งโฟโต้ก็ทำเพียงแค่ยักไหล่กลับมาให้

                “กูจะลงไปกินข้าวข้างล่าง”

                “แน่ใจเหรอครับ คนเยอะนะ” และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าหนุ่มรุ่นน้องอีกครั้ง “แล้วพี่แน่ใจเหรอครับ ว่าผมจะไม่กล้าทำอะไรต่อหน้าคนอื่น” 

                “มึงจะทำอะไร!?”

                โฟโต้หัวเราะออกมาเล็กน้อยกับท่าทีหวาดกลัวของคนตรงหน้า

                ตลกชะมัด แต่ก็น่ารักดี

            ก่อนจะตอบ “ก็กินข้าวไงครับ หรือพี่จะให้ผมกิน...อย่างอื่น”

                “มึงนี่มัน...”

                “ก็แล้วแต่พี่นะครับ ถ้าพี่อยากจะลงไปกินข้าวข้างล่าง ผมตามใจพี่อยู่แล้ว”

                คำพูดของสายรหัสปีหนึ่ง ทำเอาฮ่องเต้ต้องมองหน้าอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ เท้าของเขาขยับไปมาด้วยความลังเลว่าจะเดินไปทางไหนและสุดท้ายก็ลงเอยกับการที่เขาต้องเดินไปที่โต๊ะ พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้และมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาหงุดหงิด ขณะที่มันฉีกยิ้มกว้างอย่างถือชัยชนะ

                เออ มึงเก่ง! เก่งเรื่องพูดจาข่มขู่ให้กูทำตามใจมึงเนี่ย!!

                “เชิญครับ”

                เขาชะงักมองไอ้เด็กโฟโต้ที่หยุดยืมยิ้มแฉ่งอยู่หลังเก้าอี้ที่มันเขยิบให้เขา

                พอเห็นแบบนั้นแล้ว...

                เขาก็ตีมึนเดินไปเขยิบเก้าอี้อีกฝั่งแล้วรีบนั่งสิ!

                “จะยืนกินเหรอครับ” พร้อมทั้งพูดและยิ้มแบบประชด ทำให้มันหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พนักงานเสิร์ฟเดินขึ้นมาชั้นบนพอดี

                “สวัสดีครับ ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารนะครับ” พนักงานชายคนนั้นเอ่ยบอกพร้อมกับจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ หากแต่สายตากลับมองเขาสลับกับโฟโต้ที่เอาแต่กดมือถือเหมือนกำลังพิมพ์ข้อความหาใครสักคนอยู่ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของพนักงานทำเอาฮ่องเต้เริ่มทำตัวไม่ถูก

                รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผมยังไม่รู้เลยแหะ 

                “ไม่แนะนำหน่อยเหรอ”

                ประโยคนี้ พนักงานชายหันไปคุยกับโฟโต้ ทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ ก่อนที่จะเบิกตากว้างและนั่งหลังตรงขึ้นมา ทำเอาฮ่องเต้แปลกใจไปตามๆ กัน

                “พี่กราฟ!!” โฟโต้ร้องเรียกชื่อคนตรงหน้า

                ...พี่!?

            หรือผู้ชายคนนี้จะเป็นพี่ชายของไอ้โฟโต้กันครับ จะว่าไป...หน้าตาก็คล้ายกันอยู่นะ

                พี่มาทำไมเนี่ย!”

                “กูอยากเผือกเรื่องของมึงไง”

                “ผมบอกแล้วไงว่ายังไม่ใช่ตอนนี้!”

                “กูไม่สน กูอยากรู้ตอนนี้ กูก็จะต้องรู้ตอนนี้!”

                “ไอ้พี่กราฟ!”

                “เรียกกูทำไม”

                ฮ่องเต้มองสองพี่น้องเถียงกันไปมาด้วยความมึนงง สักพักก่อนที่พี่ชายของโฟโต้จะหันหน้ามาและใช้สายตามองสำรวจเขาตั้งแต่งหัวจรดเท้า

                “ใช้ได้นี่หว่า...” นั่นคือคำตอบของเขา แบบที่ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับผงะ

                ตรงข้ามกับกราฟิกที่ยิ้มแป้นแล้น ดีอกดีใจที่หาเรื่องแกล้งน้องชายได้ กะจะเอาคืนที่ชอบใส่ร้ายเขาให้แบมบูเข้าข้างอยู่บ่อยๆ เสียหน่อย

                “อย่าทำแบบนั้นดิ!” โฟโต้ร้องโวยวายตามคาดพร้อมกับดึงพี่ชายของตนให้ออกห่างจากฮ่องเต้ทันที ทว่าสุดท้ายก็ถูกพี่ชายตนเองผลักให้พ้นทางเพื่อที่จะได้เข้ามาจ้องหน้าจนฮ่องเต้ต้องผงะถอยหลัง แบบไม่ทันได้ตั้งตัว 

                “มะ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

            เชี้ย! แล้วทำไมผมต้องรู้สึกเกร็งไปด้วยวะ

                “พี่ชื่อกราฟฟิก แก่กว่าเราไปสามปี เรียกพี่กราฟก็ได้” และคนพูดก็ฉีกยิ้มกว้างมาให้ เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกันกับโฟโต้ แต่ดูสุขุมและเจ้าเล่ห์น้อยกว่า...มั้งนะ             

                แต่ยังไงก็ช่าง ดูเหมือนพี่น้องคู่นี้จะไม่น่าไว้ใจพอกัน สรุปว่าเขาจะออกจากร้านนี้อย่างปลอดภัยไร้อะไรตะขิดตะขวงใจหรือเปล่า

                “ไม่คิดจะแนะนำตัวเองให้พี่ได้รู้จักบ้างเหรอ” กราฟฟิกยิ้มจนตาหยี แต่ดูอีกทีมันคือรอยยิ้มที่ขู่บังคับกันชัดๆ

                รู้เลยว่าไอ้โฟโต้ได้เชื้อใครมา...

                “ผม...ฮ่องเต้ เรียกว่าเต้เฉยๆ ก็ดะ...”

                “แล้วเป็นอะไรกับไอ้โฟโต้” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ อีกฝ่ายก็เล่นสวนคำถามขึ้นมาทันที ทำเอาฮ่องเต้อ้าปากพะงาบๆ เพราะสมองประมวลผลไม่ทัน เหลือบไปมองโฟโต้เล็กน้อยก่อนจะหันมาตอบ

                “เป็น...รุ่นพี่ที่คณะ”

                “ที่มันกำลังตามจีบใช่ไหม” กราฟิกเติมประโยคต่อท้ายเสร็จสรรพ ไม่รอฟังความใดๆ จากคนเพิ่งรู้จักอีกต่อไป สาบานได้เลยว่าถ้าวันนี้ถ้าฮ่องเต้หลุดไปได้ เขาจะไม่กลับเข้ามาเหยียบที่ร้านนี้อีกแน่ๆ   

                นี่ขนาดว่าเจอแค่พี่ชาย ยังสอบสวนจนเขาหวาดระแวงขนาดนี้ ถ้าเจอพ่อแม่นี่จะขนาดไหน แต่ก็ไม่แน่หรอกเพราะถึงตอนนั้น พวกท่านคงจะไม่พูดอะไรเพราะช็อกกับการที่ลูกชายคบผู้ชายด้วยกันเอง และถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ  เขาควรจะทำยังไงกับความสัมพันธ์แบบนี้...

            เฮ้ย เดี๋ยว! นี่ผมกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ความสัมพันธ์บ้าบออะไร ผมกับมันยังไม่ได้คบกันเสียหน่อย ทำไมผมต้องไปกังวลเรื่องพ่อแม่ของไอ้โฟโต้ด้วย!!

                “พอได้แล้วน่า! ดูดิ พี่เต้ทำหน้าเครียดแล้วเนี่ย!” โฟโต้ร้องโวยวายพร้อมกับดันตัวพี่ชายให้ออกห่าง ขณะที่ฮ่องเต้พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพราะคำพูดของโฟโต้ที่ทำให้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป

                “เครียดอะไร ไม่เห็นเหรอว่าเราออกจะเข้ากันได้ดี”

                ฮ่องเต้แอบตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ  กราฟิกก็เข้ามาประชิดตัวและกอดคอเขา แถมยังเอาหน้าแนบกับแก้มของเขาอีก และนั่นทำเอาโฟโต้ต้องชักสีหน้าหงุดหงิดใส่และรีบเข้ามากระชากพี่ของตนให้ออกห่างจากว่าที่แฟนทันที

                “จะทำอะไร เกรงใจบ้าง อย่างน้อยเขาก็เป็นรุ่นพี่ที่คณะผมนะ”

                ประโยคหลังของไอ้โฟโต้ทำเอาฮ่องเต้แอบต้องลอบยิ้มออกมา ก่อนจะรีบหุบยิ้มและทำเหมือนไม่มีอะไรเมื่ออีกฝ่ายหันมามองผม เขาก็แค่ดีใจที่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็รู้จักให้เกียรติเขาให้ฐานะรุ่นพี่ของตน ก่อนที่ฮ่องเต้จะแอบสะดุ้งกับคำพูดถัดมาของกราฟิก

                มึงหวงก็บอกมาเถอะ” 

                ไอ้โฟโต้หันมามองหน้าฮ่องเต้ก่อนจะหันไปตอบคนตรงหน้า “เออ หวง...หวงมากเลยด้วย รู้แล้วก็อย่าไปกอดสุ่มสี่สุ่มห้าอีกล่ะ”

                ท้ายประโยคเหลือบตามามองคนที่ตนหวงนักหวงหนาอีกครั้ง ทำให้ฮ่องเต้ต้องแกล้งเสมองไปทางอื่นเพราะหัวใจที่จู่ๆ ก็เต้นแรงขึ้นมาพร้อมกับคำว่า หวง ที่มันยังดังก้องอยู่ในหัวของเขา ไม่รู้ว่ารู้สึกดีเพราะได้ยินคำๆ นี้หรือเพราะโฟโต้เป็นคนพูดกันแน่

            หรือว่าจะเป็นเพราะทั้งสองอย่าง

                “กูไม่กอดก็ได้...” กราฟิกทำทีว่าง่าย หากแต่ยังไม่วายโน้มตัวไปกระซิบข้างหูน้องชายตนต่อว่า “...แต่อย่าลืมเรื่องมอเตอร์ไซค์ไอ้มนตรี”

                พลันคนฟังถึงกับหันขวับ ตวัดสายตามองด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เพราะดันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ 

                “แต่ถ้าความลับรั่วไหล ผมปล่อยคลิปพี่กับพี่แบมบูแน่”

                “คลิปอะไรวะ” กราฟิกนิ่วหน้าใส่อย่างไม่เข้าใจ

                “คลิป...อย่าง...ว่า” พลันร้อยยิ้มร้ายก็ปรากฏบนหน้าของน้องชาย “ผมแอบถ่ายเอาไว้ ตอนที่มาปรึกษาพี่แบมบูเรื่องพี่เต้ ถ้าพี่ยังจำได้ว่าผมเป็นคนเข้ามาขัดจังหวะ”

                ไม่ต้องให้หยุดคิด กราฟิกก็พอจะนึกออกว่าเขากับคนรักถูกถ่ายคลิปตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงกัดฟันกรอดมองหน้าน้องชายตนอย่างไม่อาจจะทำอะไรได้

                เขาไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก แต่กับแบมบู เขาจะไม่มีวันยอมให้แปดเปื้อนเด็ดขาด ยิ่งต้องให้ใครมาได้เห็นอะไรๆ ของคนรัก เขายิ่งไม่มีทางยอม

                “ผมขอกินข้าวกับว่าที่แฟนต่อนะครับ”

                ฟังน้องชายพูดและยิ้มจนตาหยีมาให้อย่างกลบเกลื่อนบทสนทนาเมื่อครู่ จึงเอ่ยปากพูดอย่างคนทำอะไรไม่ได้

                “ขอให้กินข้าวอร่อยๆ นะ” ปากก็อวยพร หากแต่สายตาที่จ้องไปทางน้องชายกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น ลึกลงไปก็เอาแต่แช่งให้ข้าวติดคอ ทำขายหน้าจนฮ่องเต้ไม่กล้าคบ

                “พี่ไปก่อนนะครับ เอาไว้คราวหน้าจะต้อนรับน้องสะใภ้ให้ดีกว่านี้” กราฟิกจงใจยิ้มอย่างไม่คิดอะไรกับคำพูดนั้น ตรงข้ามกับฮ่องเต้ที่ถึงกับเลิกลัก ทำตัวไม่ถูก

                หากแต่พอคิดจะแก้คำพูด ฝ่ายตรงข้ามกับเดินลิ่วๆ หนีลงไปชั้นล่างเสียแล้ว ทิ้งไว้เพียงแค่น้องชายที่หันมามองหน้าเขาแล้วส่งยิ้มตามแบบฉบับมาให้

                “กินข้าวเถอะครับ”   

 

                ฮ่องเต้นั่งกินข้าวไปได้สักพัก บทสนทนาบนโต๊ะไม่แตกต่างไปจากเดิมเท่าไหร่นัก โฟโต้ยังคงพยายามหาเรื่องต่อล้อต่อเถียงกับเขาจนกระทั่งกินข้าวเสร็จ ก็อาสาขับรถพาเขาไปส่งที่หอเช่นเดิม แม้ว่าระหว่างทางจะพยายามชวนเขาคุยมากเท่าไหร่ เขาก็ทำได้เพียงแค่เงียบเท่านั้น กระทั่งโฟโต้ขับรถมาถึงหอของเขา

                “ทำไมไม่ไปหอมึง” ฮ่องเต้ถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะรถที่ขับมาก็รถของเขา ถ้ามันมาส่งเขาก่อนแบบนี้ แล้วมันจะกลับยังไงกัน

                “บอกแล้วไงครับ ว่าผมมาส่งพี่”

                “แล้วมึงจะกลับยังไง” เพราะท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านใดๆ ฮ่องเต้จึงต้องโพล่งออกไปเช่นนั้น

                “นั่นสิ แล้วผมจะกลับยังไงดีน้า...” หากแต่อีกฝ่ายกลับกวนประสาตเขากลับมาเสียอย่างนั้น จนฮ่องเต้ถึงกับต้องมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง

                “กูไม่ตลก” บอกออกไปเสียงนิ่งพอๆ กับสีหน้า ทำเอาโฟโต้แอบขำ

                “ครับ ผมก็ไม่ได้เล่นตลกกับพี่เสียหน่อย...” โฟโต้เว้นจังหวะและขยับเข้าไปใกล้อย่างกำลังจะอ้อน “...ขอผมนอนด้วยได้ไหมครับ คืนนี้”

                “ไม่ได้!” ฮ่องเต้แหวใส่ตามคาด “หอมึงก็มี ก็ไปนอนหอตัวเองดิวะ”

                นั่นก็เพราะเขาไม่อยากจะใกล้ชิดไปมากกว่านี้ ทั้งที่ในใจของเขาไม่สามารถเปิดใจยอมรับอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่นัก กับความรักครั้งใหม่...เขาไม่เคยแน่ใจว่าเขาจะยอมรับได้และเขาเองก็ไม่ได้อยากจะทำร้ายจิตใจใครด้วย

                “นะครับ พี่เต้...” โฟโต้ว่าเสียงอ้อน ขยับเข้าไปใกล้หนุ่มรุ่นพี่นแทบจะไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน “...คืนนี้ แค่คืนเดียวนะครับ”

                “...ไม่ดะ...”

                “สัญญาว่าจะไม่ทำอะไร” พูดเสียงเบาอย่างจงใจจะสะกดอีกฝ่าย “ผมไม่มีรถกลับ แล้วตอนนี้ มันก็ทุ่มกว่าแล้วนะครับ”

                “กูบอกว่าไม่...”

                “แถมข้าวของเต็มรถแบบนี้ พี่จะใจร้าย ปล่อยให้ผมเดินกลับจริงๆ เหรอครับ” ว่าไปเสียงอ่อนอย่างคนน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาโทรบอกให้เพื่อนมารับก็ได้ ทว่า...

                “เออ แค่คืนนี้นะเว้ย”

                ความประหม่าทำให้ฮ่องเต้ลืมฉุกคิดถึงหนทางใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งว่าเขาแค่ขับรถพาอีกฝ่ายไปส่งที่หอก่อน แล้วกลับมาที่หอเขาก็ได้ แต่สุดท้ายก็พลาดท่าเพราะสมองที่เบลอขึ้นมากะทันหัน เพียงแค่สายตาออดอ้อนและน้ำเสียงที่อ่อนลงไปของอีกฝ่าย เท่านั้น จิตใจก็ระทวยและลืมเลือนทุกสิ่ง

                ลืมแม้กระทั่งว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์และการที่โฟโต้มานอนที่ห้องเขาแบบนี้ มันหมายความว่าเขาจะต้องอยู่กับหนุ่มรุ่นน้องไปอีกหนึ่งวันเต็มๆ  เพราะสิ่งเดียวที่เขานึกได้ก็คือ...หน้าของลูกพี่ลูกน้องของเขา

                อย่างน้อย ผมก็ไม่ได้อยู่กับมันสองต่อสองเสียหน่อย

                “ขอบคุณครับ” หนุ่มรุ่นน้องบอกออกไปเช่นนั้นและส่งยิ้มแสนละมุนมาให้ อย่างไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของหนุ่มรุ่นพี่

                “ลงรถได้แล้ว กูต้องปั่นงานต่อ”

                พูดจบก็เปิดประตูลงจากรถให้อีกฝ่ายต้องมองตามพร้อมรอยยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะตามลงมาและขนข้าวของตามขึ้นไปบนห้องของฮ่องเต้...

 

 

 

 

 

 

 

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 31 ความเปราะบาง

                “เฮีย...” เสียงกระซิบแผ่วเบาดังข้างหูคนที่ยังคงหลับตาพริ้ม ตกอยู่ในห้วงความฝัน “...ตื่นได้แล้ว”

                คนถูกปลุกนิ่วหน้ากับเสียงที่เล็ดลอดเข้าไปในโสตประสาต พลันเปลือกตาค่อยลืมขึ้นมามองสำรวจหน้าคนเรียก

                “ไอ้ฝุ่น...” ริมฝีปากขยับเรียกชื่ออีกฝ่าย พลันสองคิ้วก็ขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด “...ปลุกกูทำไมวะ”

                เพราะดันมาถูกปลุกแต่เช้าในวันหยุด คนที่อยากจะพักผ่อนจากการเรียนมาทั้งสัปดาห์จึงหงุดหงิดใจกับการถูกรบกวน ก่อนจะขยับหนี ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวและหลับต่ออย่างไม่สนใจใยดีลูกพี่ลูกน้องตัวเอง

                “เฮีย! ตื่นได้แล้วน่า” ทว่าสีฝุ่นกลับไม่ปรานี ตรงเข้าไปดึงผ้าห่มและเขย่าตัวจนกระทั่งอีกฝ่ายตื่น และทะลึ่งตัวขึ้นมานั่งจ้องหน้าเขา

                “อะไรของมึงวะ! กูจะนอน!” โวยวายใส่ไปที จนสีฝุ่นถึงกลับชักหน้านิ่งใส่

                “มาคุยกับผมก่อน”

                “คุยเรื่อง?”

                “เรื่องเด็กปีหนึ่งคนนั้นไง”

                “ใครรรรร” ฮ่องเต้ลากเสียงยาวใส่อย่างโมโห อย่างไม่ทันคิดไตร่ตรองถึงคำพูดของอีกฝ่าย

                “ไอ้โฟโต้...”

                หากแต่พอได้ยินชื่อนั้น...ปากกลับชะงัก พลันตาสว่างขึ้นมาทันทีราวกับโดนน้ำสาด เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืน...มีแขกมานอนที่ห้องเขาหนึ่งคน

                “เออว่ะ!” ร้องออกมาพลันมองซ้ายขวา หาร่างสูงของใครบางคนในห้อง ทว่า... “มันไปไหนแล้ววะ”

                “กลับไปแล้ว” สีฝุ่นตอบกลับอย่างไม่คิดอะไร เขาไม่ได้อยากรู้เสียหน่อยว่าว่าที่พี่เขยเขาหายไปไหน ไอ้ที่อยากรู้ก็คือ...เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้างต่างหากล่ะ   

                “ตอนไหนวะ ทำไมกูไม่รู้เรื่อง”

                “โธ่ เฮีย ก็คนไปเขาไม่อยากให้รู้ เฮียจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าตอนไหน” สีฝุ่นว่าอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะนั่งลงบนเตียงและกระเถิบเข้าไปใกล้คนเป็นพี่

                “แล้วสรุปว่า...เมื่อคืน...” สีฝุ่นเว้นจังหวะ มองสำรวจตั้งแต่ตัวจรดเท้าของอีกฝ่าย “...ได้กันยัง”

                ผัวะ!

                “โอ๊ยยยย” เป็นอันต้องร้องลั่นเพราะฝ่ามือที่ฟาดเข้าใส่หัวเต็มแรง

                “ได้บ้านป้ามึงดิ”

                “ป้าผมก็แม่เฮียนะ เฮ้ย หยุด!” สีฝุ่นลั่นออกไปพร้อมกับมือจับเข้าที่ข้อแขนของฮ่องเต้ ซึ่งกำลังจะสะบัดมือมาฟาดหัวเขาอีกหน จนคนเป็นพี่ถึงกับจ้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์

                หากแต่สีฝุ่นกลับเอาแต่จ้องจับพิรุธอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา สบเข้าไปในสายตานิ่งเรียบนั่นอย่างค้นหาคำตอบและพร้อมทั้งร่างที่กระเถิบขึ้นไปบนเตียง คลานไล่คนเป็นพี่ไปจนสุดขอบเตียงอีกด้านและ...

                “สารภาพมาเดี๋ยวนี้เลยนะเฮีย ว่าเมื่อคืน...เสร็จน้องมันแล้วใช่ไหม”

                พลั่ก

                โครม!

                “โอ๊ยยยยยยยยยยยยย เฮีย!!” คนถูกถีบตกเตียงร้องเสียงดังลั่นห้อง แต่ก็ไม่วายผงกหัวขึ้นมาจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเคืองๆ

                “หุบปากไปเลย มึงน่ะ”

                “ก็คนมันอยากรู้นี่หว่า” ว่าพลางลุกขึ้นมาลูบก้นตัวเองที่กระแทกพื้นเต็มๆ เมื่อครู่

                ฮ่องเต้ส่งสายตาดุไปทางลุกพี่ลุกน้องของตน ก่อนจะเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปยังระเบียงนอกห้อง อันที่จริง เขาหงุดหงิดตั้งแต่ที่เมื่อคืนมันหนีกลับไปนอนห้องตัวเองแล้ว จากที่จะเอามันมาเป็นไม้กันหมาเสียหน่อย ที่ไหนได้ พอมันเจอไอ้โฟโต้ในห้อง ก็ทำเป็นอ้างว่าลืมของไว้ที่หอ เดี๋ยวกลับมา...แต่ขอเถอะ เดี๋ยวของมันก็คือกลับมาเอาตอนเกือบสิบโมงเช้านี่นะ

                แทนที่จะปกป้องกู ดั๊นนนน มายกกูให้คนอื่นง่ายๆ

            ยังดีที่เมื่อคืนหมาตัวนั้นไม่ได้คิดจะทำอะไรเขา ไม้หน้าสามจึงไม่จำเป็นต้องใช้

                “ใช้ไม่ได้เลยเว้ย!” และก็พึมพำด่าคนที่อยู่ในห้องไปที แล้วกะจะคว้าผ้าเช็ดตัวบนราวตากผ้ามาเหมือนเคย...แต่ที่ไม่เหมือนเคย ก็เห็นจะไอ้ที่ห้อยต่องแต่งบนราวตากผ้าของเขานี่แหละ

                “ผ้าเช็ดตัวกูหายไปไหนวะ” ฮ่องเต้ชะเง้อมองลงไปชั้นล่างไปที เพราะหลงคิดไปว่าอาจจะปลิวตกไปก็ได้ หากแต่กลับไม่มีแม้แต่เงาผ้าเช็ดตัวของเขาสักนิด แถมไอ้ที่ห้อยสองผืนนี่...มั่นใจว่าผืนแรกเป็นของสีฝุ่น ส่วนอีกผืนเป็นของเขาที่ให้โฟโต้ยืมใช้

                สงสัยจะปลิวตกไป แล้วมีใครเก็บไปทิ้งล่ะมั้ง

            คิดแบบนั้น สองเท้าก็พาร่างกลับเข้าห้องเพื่อไปเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ในตู้เสื้อผ้าและไปอาบน้ำ ขณะที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาไปนั่งเล่นนอนเล่นที่เตียงอย่างสบายใจ

                หากแต่ทันทีที่เข้าห้องน้ำไป สายตากลับสะดุดกับข้าวของเครื่องใช้ในห้องน้ำที่เขามั่นใจว่ามัน...ไม่ใช่ของเขา

                ทุกอย่างยังดูใหม่หมดราวกับเพิ่งซื้อมา...และนั่นทำให้เขาต้องเปิดประตูชะโงกหน้าออกไปถามคนเป็นน้อง

                “ไอ้ฝุ่น...”

                “ว่า?”

                “มึงซื้อของมาเปลี่ยนให้กูเหรอวะ”

                ทว่าสีฝุ่นกลับทำหน้ามึนใส่ “ของอะไรอ่ะ”

                “ก็พวกของใช้ในห้องน้ำ” ฮ่องเต้บอกเพิ่มเติมพลางจ้องหน้าอย่างต้องการคำตอบ

                “เปล่าสักหน่อย อีกอย่าง ผมเพิ่งจะมาถึง จะเอาเวลาไหนไปเปลี่ยนให้” สีฝุ่นชี้แจง ทั้งที่ในใจก็สงสัยกับคำถามของอีกฝ่าย “มีอะไรหรือเปล่า ของหายหรือว่าอะไร”

                “เปล่า ไม่มีอะไร” ฮ่องเต้ตัดสินใจบอกปัดไปแบบนั้นและปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำ สำรวจข้าวของเครื่องใช้ที่ยังไม่เคยถูกใช้และ...กระดาษแผ่นเล็กบนผ้าเช็ดตัว

                มือเรียวหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา กวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษรบนนั้น พลันความกระจ่างชัดก็มาเยือน เมื่อข้อความนั้นลงท้ายด้วยชื่อของโฟโต้ เท่านั้น เขาก็นึกไปถึงข้าวของที่อีกฝ่ายกว้านซื้อมาเมื่อวาน เพียงเพราะอยากจะใช้คืนพวกของที่อีกฝ่ายทำเสียหายไปเมื่อคืนนั้น...

                คืนที่เขากับมัน...ในห้องน้ำกันสองคน

            แก้มใสเริ่มแต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อจากเลือดฝาด เผลอกัดริมฝีปากล่างอย่างลืมตัวเพราะภาพความทรงจำในวันนั้นดันแทรกเข้ามาในหัว ทั้งภาพ ทั้งเสียงและกลิ่นอายของอีกฝ่าย ยังคงไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของเขาและมันก็ยังคงชัดเจนเสียจน...

                “คิดเชี้ยอะไรวะ ไอ้เต้!”

                ...ต้องตั้งสติ

                และรีบจัดการอาบน้ำอาบท่า อย่างพยายามไม่สนใจเรื่องของใช้ชิ้นใหม่ในห้องน้ำของตน

 

                “มีอะไรหรือเปล่า ยิ้มหน้าบานเชียว” ฝ้ายอดถามออกไปไม่ได้ เมื่อเห็นโฟโต้เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหน้าจอมือถือของตน และนั่นทำให้นัทต้องหันมามองด้วยสายตาเรียบเฉย หากแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความอยากรู้             

                “ก็...นิดหน่อย” โฟโต้หันไปตอบด้วยรอยยิ้ม พลันสายตาก็เหลือบไปมองหน้านัททีหนึ่ง...ด้วยสายตาเย้ยหยัน แบบที่อีกฝ่ายพอจะรู้ตัวว่าเขากำลังหมายถึงเรื่องอะไร

                “ยิ้มแบบนี้ ขอเดานะ เรื่องหัวใจใช่ไหม” ฝ้ายยังคงแซวต่อไปอย่างไม่คิดอะไร โฟโต้จึงได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ  ตรงข้ามกับนัทที่เอาแต่นิ่งเงียบไปแบบผิดหูผิดตา

                “เป็นไรวะ ไอ้นัท” จนเพื่อนที่นั่งข้างเขาอีกคนต้องเอ่ยทัก เพราะตั้งแต่มานั่งทำงานกลุ่มด้วยกันเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้า นัทยังไม่มีทีท่าว่าจะนิ่งเงียบได้ขนาดนี้

                “เปล่า แค่ง่วง...พอดีทำงานดึกไปหน่อย” นัทหมายถึงงานพิเศษที่ร้านอาหารซึ่งเขาต้องไปทำทุกคืน

                “ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราพอแค่นี้ก่อนไหม แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ นัทจะได้พักด้วย” ฝ้ายเสนอความเห็นเพราะเกรงว่าเพื่อนจะไม่สบายเอา อีกอย่างงานกลุ่มที่นัดกันมาทำวันนี้ก็เสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว ที่เหลือก็แค่ตรวจทานข้อมูลอีกทีและเตรียมนำเสนอเท่านั้น

                “ก็ดีนะ ตอนนี้ก็บ่ายสามละ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องไปทำงานแล้วนี่” คนข้างๆ หันมาพูดกับนัท ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างตกลงกันแยกย้ายกันไปพัก

                ขณะที่โฟโต้ ออกมายืนกดมือถือ กะจะโทรหาคนสำคัญของตนที่เฝ้าทนรอเจอไม่ไหว ท่ามกลางสายตาของนัทที่มองมาด้วยความสงสัย ก่อนที่จะล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกงและกดโทรออก รอไม่นาน ปลายสายก็กดรับ

                “ไปกินข้าวกับผมหน่อยได้ไหมครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย...เรื่องคนที่ชื่ออ้น”

                คนที่นัทโทรหาก็คือฮ่องเต้และเขาก็ใช้ข้ออ้างเดิม หากแต่มีอิทธิพลกับอีกฝ่ายมากเสียจนมาถูกหลอกล่อให้ออกมาเจอเขาอย่างง่ายดาย นั่นทำให้รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาแทบจะทันทีที่อีกฝ่ายยอมตกลงและวางสายไป สายตาของนัทเอาแต่จับจ้องไปทางโฟโต้ที่กำลังวุ่นวายอยู่กับโทรหาฮ่องเต้  ก่อนที่เขาจะเดินแยกไปอีกทาง

                ขณะที่โฟโต้ได้แต่มึนงงกับปลายสายที่ดูเหมือนว่ากำลังติดสายใครอยู่...

 

                [ธุระกับใครครับ]

                เป็นประโยคคาดคั้นซึ่งหลุดออกมาจากปากของโฟโต้เป็นรอบที่ร้อย เมื่อเห็นว่าสายรหัสปีสี่อย่างเขา เอาแต่เลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้

                “ก็บอกว่าไปกับเพื่อนไง” จนฮ่องเต้ต้องเอ่ยปากบอกไปได้เพียงเท่านั้น

                เพราะเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขามีนัดกินข้าวกับนัท ไม่อย่างนั้น โฟโต้คงได้งอนจนเขาต้องเป็นฝ่ายตามง้ออีก ถึงแม้ว่าเขากับมันจะยังไม่ได้เป็นแฟนกันก็เถอะ

                แต่ผมก็ไม่ชอบให้ใครมางอนใส่นี่ครับ มันน่าอึดอัดจะตายไป

                [เพื่อนที่ไหนครับ พี่ซันหรือพี่นิว]       

                “เปล่า เพื่อนนอกคณะ มันมีธุระสำคัญจะปรึกษา แค่นี้นะเว้ย กูต้องไปแล้ว” และก็รวบรัดตัดความ แถมกดตัดสายอย่างรวดเร็วชนิดที่อีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน พลันลมหายใจก็ถูกทิ้งออกมาอย่างหนัก สายตาเอาแต่จับจ้องบนมือถืออย่างไม่อาจจะละความกังวลใจไปได้

                ทั้งที่เคยบอกไปว่าไม่ชอบคนโกหก แต่กลับมาโกหกเสียเอง หงุดหงิดตัวเองชะมัด

            และเขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าถ้าโฟโต้รู้เรื่องนี้เข้า จะเป็นยังไง...

                “มีอะไรหรือเปล่าครับ” นัทเอ่ยปากถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งไป แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนที่โทรมาต้องเป็นโฟโต้อย่างแน่นอน แต่เขาเพียงแค่อยากรู้รายละเอียดก็เท่านั้น

                “เปล่า...” นั่นเป็นคำตอบจากรุ่นพี่ตรงหน้า ก่อนจะนิ่งงันไปอีกครั้งพร้อมเสียงหัวใจที่เต้นแรง

                “พี่เต้...”

                “มึงอย่าบอกมันได้หรือเปล่าวะ”

                เพราะจู่ๆ คนที่โตกว่าก็โพล่งออกมาแบบนั้น นัทจึงเผลอตกใจไปเล็กน้อย ก่อนจะเอาแต่มองสำรวจใบหน้าเป็นกังวลและร้อนรนใจของอีกฝ่าย

                อย่างพอจะเดาได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

            “...”

                “กูหมายถึง...ไอ้โฟโต้ เพื่อนมึง” ฮ่องเต้พูดเสริมพลางเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายอย่างร้องขอ “อย่าบอกเรื่องที่กูกับมึงมากินข้าวด้วยกัน...ได้ไหม”

                นัทไม่ได้รู้สึกอะไรมากนักกับประโยคหลังเพราะรู้แต่แรกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร หากแต่มันทำให้เขารู้สึกไม่พอใจก็เท่านั้น

                “ผมขอถามได้ไหมครับ ว่าทำไมพี่ถึงไม่อยากให้โฟโต้รู้”

                คำถามของนัทฟาดเข้าที่หน้าจนชาดิก ใช่ว่าฮ่องเต้ไม่รู้ว่าจะต้องตอบคำถามนี้ยังไง แต่มันเป็นเพราะอีกฝ่ายคือนัท...มันทำให้เขาลำบากใจที่จะพูด

                เขาไม่ชอบให้ใครมาทำร้ายจิตใจ แต่หากเขาเป็นฝ่ายทำร้ายคนอื่น เขาเองก็ไม่สบายใจเช่นกัน

                “ดูเหมือนว่าพี่จะแคร์ความรู้สึกเพื่อนผมคนนี้มากเป็นพิเศษนะครับ” นัทส่งสายตาตัดพ้อไปให้ อย่างจะให้คนตรงหน้ารู้สึกถึงความรู้สึกข้างใน พลันเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายเอาไว้...

                แม้ฮ่องเต้จะดึงมือหนี แต่เขากลับไม่ยอม กระชับมือนั้นเอาไว้แน่นเสียจนฮ่องเต้เริ่มใจคอไม่ดี

                “แล้วผมล่ะครับ ยังพอมีสิทธิ์ที่จะรักพี่อยู่ไหม”

                เป็นคำถามที่สร้างความอึดอัด จนคนถูกถามเองก็ลำบากใจที่จะพูดอะไรออกไป ทั้งน้ำเสียงและแววตาของคนที่กำลังน้อยใจเขา มันกำลังจะทำให้เขาใจอ่อนด้วยความสงสาร

                นัทเป็นรุ่นน้องที่ดีในสายตาเขามาตลอดและมันก็เป็นสายเทคของเขาด้วย เขาเองก็ไม่อยากจะให้มีอะไรมากระทบกระเทือนความสัมพันธ์จนมองหน้ากันไม่ติด

                “ให้ผมมีโอกาสได้ลองจีบพี่...ได้ไหมครับ”

                “มึง...กูว่า...”         

                “ขอนะครับ พี่เต้” นัทว่าย้ำอีกครั้งให้อีกฝ่ายใจอ่อน “ผมรู้ว่าพี่กับโฟโต้ยังไม่ได้คบกัน ดังนั้น ผมขอจีบพี่เต้นะครับ”

                ฮ่องเต้ได้แต่นิ่ง อึกอักไม่รู้จะจัดการปัญหาตรงหน้ายังไง แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้คบกับโฟโต้ตามที่นัทพูดเอาไว้ แต่ใจของเขาก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขารู้สึกกับโฟโต้ไปแล้ว แต่ที่ยังไม่ตกลงคบกันก็เพราะเขายังกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำสอง เขายังไม่สามารถเชื่อใจโฟโต้ได้อย่างเต็มร้อยก็เท่านั้น

                อีกอย่าง นัทเองก็เป็นสายเทคของเขาและเรื่องอาถรรพ์สายรหัสมันก็เกิดขึ้นจริงกับทั้งสายตรงและสายเทค  แล้วเขาควรจะทำยังไง จะบอกออกไปเลยดีไหมว่าใจของเขาอยู่กับโฟโต้ไปแล้ว

                “ถ้าพี่ลำบากใจที่จะพูด ก็ไม่ต้องตอบรับผมก็ได้ครับ เพราะถึงพี่จะปฏิเสธยังไง ผมก็จะจีบพี่อยู่ดีเพราะใจของผมมันมีแต่พี่แค่คนเดียว”

                นัทพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนคนฟังใจหายวาบ สายตามุ่งมั่นของอีกฝ่ายมันทำให้ปากของฮ่องเต้ไม่สามารถขยับพูดอะไรที่เกี่ยวกับความรู้สึกของตนออกไปได้เลยแม้แต่น้อย

                “เมื่อกี้ เรื่องอ้น ถึงไหนแล้วนะ” จนต้องรีบเปลี่ยนประเด็น วกกลับเข้าไปยังเรื่องสำคัญที่ทำให้ตนมาอยู่ที่นี่

                “ผมจะบอกว่าคนชื่ออ้นอะไรนั่นส่งของมาที่หอ เมื่อวาน...” นัทบอกพร้อมกับยื่นถุงกระดาษไปให้อีกฝ่าย

                ฮ่องเต้รับไปแล้วได้แต่เปิดดูด้วยความสงสัย ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ ครั้นเห็นของที่อยู่ในนั้น

                มันเป็นรูปของนัทที่ถูกตามถ่ายทุกอิริยาบถ ทุกสถานที่ราวกับคนถ่ายกำลังตามติดชีวิตของนัท พร้อมทั้งข้อความที่ส่งมาบอกว่าให้เลิกยุ่งกับเรื่องของสีฝุ่นและฮ่องเต้ซะ

            “เขาส่งมาให้ผม...” นัทเสริมทับความมั่นใจอีกครั้ง จนฮ่องเต้อดเงยหน้าขึ้นมามองอย่างเสียไม่ได้

                “กูขอโทษนะเว้ย เพราะกู...มึงถึงต้องมาซวยไปด้วย” ฮ่องเต้รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ มันทำให้เขาเสียใจที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อน จนพาลให้อีกฝ่ายต้องมาเดือดร้อนไปด้วย

                “อย่าคิดมากเลยครับ ผมไม่เคยโทษพี่เลยนะ” นัทส่งยิ้มละมุนให้อย่างพยายามให้อีกฝ่ายไม่คิดมาก “เพียงแค่ผมอยากให้พี่ระวังตัวมากกว่านี้ ผมไม่อยากให้คนที่ชื่ออ้นอะไรนั่นมาทำร้ายพี่”

                “กูขอโทษ...” ฮ่องเต้เอ่ยออกไปอย่างไม่รู้จะสรรหาคำใดที่ดีกว่านี้มาทดแทน “...แต่กูสัญญาว่ากูจะไม่ปล่อยให้มันมาทำอะไรมึงแน่ เพราะเรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวกับกู...”

                ฮ่องเต้เว้นจังหวะเล็กน้อยอย่างคนเพิ่งจะนึกอะไรได้ ก่อนจะพูดแก้ไปว่า “...กับลูกพี่ลูกน้องกู”

                “มันจะเกี่ยวกับใครไม่สำคัญหรอกครับ สำคัญที่สุดก็คือตัวต้นเหตุ ถ้าเรายังจัดการเขาไม่ได้หรือถ้าเขายังไม่พอใจ เรื่องทุกอย่างก็ไม่มีทางจบ” นัทว่าอย่างให้คนที่โตกว่าใจเย็น

                “ก็จริงของมึง กูต้องหาทางหยุดไอ้อ้นให้ได้” ฮ่องเต้ว่าพลางถอดถอนหายใจออกมาอย่างหนัก จนนัทต้องขยับเข้าไปใกล้อย่างจงใจ

                “พี่เต้...ไม่ต้องกังวลหรอกครับ...” นัทมองสบตาอีกฝ่ายนิ่ง แล้วค่อยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ผมจะช่วยพี่จบเรื่องนี้เอง”

                ที่พูดออกไปไม่ได้หมายความว่าตนเก่งกาจเสียจนจะกำจัดใครได้อย่างง่ายดาย แต่เพราะ...

                มีเพียงเขาเท่านั้น ที่จะสามารถยุติเรื่องทั้งหมดได้...

                               

 

               

ออฟไลน์ KS.F

  • มือใหม่หัดแต่งนิยาย ช่วยแนะนำด้วยน่า
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 167
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 32 ของใคร

                หลังจากเจอวันที่โฟโต้ขอไปนอนที่ห้องวันนั้น ฮ่องเต้ก็ไม่ได้เจอหน้าเด็กคนนั้นเกือบสามวันเต็มเพราะต่างคนต่างก็มีเรียนและโฟโต้ก็ต้องเข้าร่วมกิจกรรมของทางคณะ มีเพียงข้อความในแชทเท่านั้นที่ทำให้เขารู้ว่ามันทำอะไร อยู่ที่ไหนและเป็นยังไงบ้าง ขณะที่ชีวิตของเขาดำเนินไปแบบราบเรียบ ทุกอย่างยังคงวนลูปอยู่กับการเรียน ปั่นงานและอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบในวันศุกร์ที่จะถึง อย่างเช่นในตอนนี้ที่เขากำลังนั่งแกะเลกเชอร์ของตนเองอยู่ตรงบริเวณโต๊ะไม้หินอ่อนหน้าตึกสามของคณะ

                “ไอ้เต้ จดหมาย”

                แต่เป็นอันต้องเงยหน้ามองตามเสียงเรียกของประธานรุ่นที่เพิ่งจะเดินมาถึง ซึ่งในมือของมันมีจดหมายเป็นปึกซึ่งคาดว่ามันคงไปเดินเก็บมาจากพวกปีสี่ที่นั่งสุมหัวกันอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ เขาละสายตาจากมันเพื่อหันไปเปิดกระเป๋าและเอาจดหมายในแฟ้มยื่นให้คนตรงหน้า

                “อีกสองอัน ของไอ้นิวกับไอ้ซัน” เขาบอกในขณะที่อีกฝ่ายตรวจเช็คจดหมายก่อนจะรวมเข้ากับจดหมายของคนอื่นต่อ

                “เออ แล้วพวกมันไปไหน ทำไมมึงมานั่งคนเดียว”

                “พวกนั้นไปเรียนอิ้งที่อักษร กูเลยมานั่งรอเรียนคาบสุดท้าย” เขาตอบ ก่อนจะถามคนตรงหน้ากลับ “แล้วมึงอ่ะ ไม่ไปกับพวกไอ้เจมส์หรือไง”

                “พอดีกูต้องไปประชุมกับพวกเด็กปีสอง”

                “ประชุมตลอดเทอมเลยนะมึง” และเขากับคิงก็หัวเราะออกมาเบาๆ  จะว่าไปฮ่องเต้ก็สงสารมันเหมือนกัน เป็นตัวแทนรุ่น เดี๋ยวก็เรียกประชุม เดี๋ยวก็ต้องรับหน้าเวลามีปัญหา แค่ได้ยินเรื่องที่มันต้องเผชิญแต่ละครั้ง เขาก็เหนื่อยแทนแล้ว

                “ก็อย่างว่า เปิดเทอมใหม่ ปัญหามันก็เยอะหน่อย”

                “เออ แล้วคราวนี้มีอะไรอีกวะ หน้าตามึงดูเครียดๆ นะ” เขาร้องทักอย่างสงสัยเพราะสีหน้าที่ดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย

                “ก็เรื่องคัดดาวเดือนคณะนั่นแหละ พอดีทางมหา’ลัยประกาศเลื่อนจัดงานประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยมาเดือนหน้า คณะเราเลยต้องเลื่อนงานประกวดขึ้นมาช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนนี้”

                “เฮ้ย แต่ช่วงท้ายเดือนมีงานเปิดสายรหัสไม่ใช่หรือไง”

            แบบนั้น งานมันไม่ชนกันวุ่นเลยเหรอครับ

                “เออดิ แล้วที่ประชุมก็ลงมติกันแล้วว่าจะเลื่อนงานเปิดสายรหัสขึ้นมาเป็นสัปดาห์หน้าเพราะกลัวว่าถ้าเลื่อนออกไปหลังงานดาวเดือน จะไปชนกับงานกีฬามหา’ลัยอีก กูก็จะมาบอกพวกปีสี่ตอนเรียนเสร็จเนี่ยแหละ”

                ฮ่องเต้ได้แต่พยักหน้าตามอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าของที่เขาสั่งเอาไว้ ทางร้านนัดไปเอาช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ดูเหมือนว่าผมจะต้องหาซื้อของมาให้พวกปีหนึ่งเพิ่มแล้วล่ะ

                “เอ้อ แล้วก็มีอีกเรื่อง...”

                “...”

                “...ติวสอบกลางภาคเทอมนี้ กูขอมึงไปช่วยติวให้ปีหนึ่งได้ไหมวะ”

                คำถามนั้น ทำให้คนถูกถามนิ่งเงียบอย่างคนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะหันไปถามประธานรุ่น “แล้วไม่มีใครติวให้น้องเลยเหรอวะ”

                “ตอนนี้มีแค่ไอ้กันกับไอ้เจน พวกที่เก่งๆ นอกนั้นก็ไม่มีใครว่าง กูเลยมาขอมึงช่วยเพราะเห็นว่ามึงสอบได้ท็อป แถมยังคอยติวให้ไอ้นิวกับไอ้ซันตลอด”

                “แล้วติวเมื่อไหร่”

                “ก่อนปีหนึ่งสอบหนึ่งสัปดาห์ มึงไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวพวกสโมสรนักศึกษาจะเตรียมเอกสารให้”

                เขาพยักหน้ารับคำ “ยังไงก็เอาเอกสารมาให้กูล่วงหน้าสักสามสี่วันแล้วกัน”

                “เออ ขอบใจมากนะเว้ย”

                และเขากับประธานรุ่นก็คุยกันต่อได้สักพักก่อนจะขึ้นไปเรียนคาบสุดท้ายของวัน โดยมีซันกับนิวตามมาสมทบ หลังจากอาจารย์เข้าสอน บรรยากาศในห้องเรียนก็ยังคงเงียบกริบเช่นเดิมเพราะต่างคนต่างก็ต้องเร่งมือเล็กเชอร์ให้ทันตามคำพูดของอาจารย์ ระหว่างเรียนก็มีถามตอบกันบ้างประปราย

                จนกระทั่งหมดคาบเรียน ประธานรุ่นปีเขาก็ออกไปยืนหน้าห้องเพื่อชี้แจงการคัดตัวดาวเดือนคณะและการเปิดสายรหัส ก่อนที่ไอ้ประธานรุ่นจะตามเก็บจดหมายสายรหัสจากพวกปีสี่ที่เหลือซึ่งกำลังส่งเสียงเซ็งแซ่ แข่งกันพูดถึงเรื่องที่ประธานรุ่นเพิ่งจะมาชี้แจงจบแหมาดๆ เวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาเป็นประเด็นหลักของพวกปีสี่เพราะบางคนยังไม่ได้เตรียมของให้น้อง ไหนจะเสื้อผ้าใส่ในวันงานอีก ส่วนประเด็นรองลงมาก็เป็นเรื่องการคัดตัวดาวเดือน ต่างคนต่างก็เชียร์คนนั้นคนนี้ให้ได้รับตำแหน่งไปตามประสารุ่นพี่ ขณะที่กำลังเก็บข้าวของเตรียมออกจากห้อง ส่วนนิวก็เข้ากลุ่มตั้งพวกคุยโม้เรื่องตัวเก็งดาวคณะปีนี้ โดยมีซันคอยห้ามทัพด้วยความหมั่นไส้

                “น้องฝ้าย! ยังไงตำแหน่งดาวคณะปีนี้ต้องเป็นน้องฝ้ายเท่านั้นเว้ย”

                “มึงก็อวยเกินไป ไม่รอดูน้องคนอื่นก่อนล่ะวะ”

                “น่ารัก ใสๆ  แบบนี้ ยังไงก็สู้น้องฝ้ายของกูไม่ได้หรอกโว้ย มึงดูๆๆ เห็นแบบนี้ ไม่ได้มีดีแค่หน้าตานะครับ เก่งรอบด้าน เพอร์เฟคตั้งแต่เซลล์สมองยันเล็บเท้าเลยเว้ย!!”

                นั่นแหละ ส่วนใหญ่พวกผู้ชายก็พากันเชียร์น้องฝ้ายกัน ส่วนพวกผู้หญิง...

                “หล่อลากสไตล์นายแบบ ยังไงน้องนัทก็ต้องได้ตำแหน่งเดือนแน่ๆ”

                “อย่าชะล่าใจไป ตราบใดยังมีน้องโฟโต้อยู่ น้องนัทก็มีสิทธิ์เป็นรองได้เถอะ”

                “แต่น้องนัทก็ร้องเพลงเพราะนะ แถมยังเล่นเปียโนได้ด้วย”

                “โอ๊ย ความสามารถแบบนั้นน้องเดือนคนอื่นก็ทำได้ แกรอดูน้องโฟโต้ละกัน”

                ...ส่วนใหญ่ก็ได้ยินแต่ชื่อสองคนนั้น แต่ฮ่องเต้ก็เห็นด้วยกับพวกเธอนะ นัทเองก็เป็นถึงนายแบบ ผิวขาว หุ่นดี แถมหน้าตามีออร่า ส่วนไอ้โฟโต้ ถึงจะไม่ใช่นายแบบ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันก็หน้าตาดีเทียบเท่าเดือนมหาวิทยาลัยรุ่นก่อนๆ ได้ แถมหุ่นของมันยังสมส่วน ไม่ได้ผอมแห้งไปเสียหมด ผิวพรรณของมันก็แลดูสุขภาพดี ไหนจะดวงตาของมันที่ทรงเสน่ห์ จมูกที่รับกับรูปหน้าและริมฝีปากที่สามารถเปลี่ยนโลกให้สดใสได้เพียงแค่มันยิ้ม...

                เฮ้ย! นี่ผมจะมายืนบรรยายรูปร่างหน้าตามันทำไมเนี่ย!?

                เขารีบดึงตัวเองออกมาจากความคิด รีบยัดหนังสือใส่กระเป๋าหมายจะรีบเดินออกจากห้อง จังหวะนั้นเอง ที่มีใครบางคนมายืนขวางหน้าเอาไว้ เขาได้แต่ทำหน้างง ในขณะที่พวกเธอเอาแต่ยืนยิ้มกริ่ม

                “มีอะไรหรือเปล่า” ถามออกไปเพราะเห็นว่าพวกเธอไม่ยอมพูดอะไรเสียที ทำให้พวกผู้หญิงตรงหน้าหันไปมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยปากถามกลับ

                “คัดเลือกเดือนคณะปีนี้ แกเชียร์ใครเหรอ”

                ฮ่องเต้สตันไปกับคำถาม มองคนที่รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ ดูเหมือนว่าพวกเธอกำลังคาดหวังคำตอบอะไรบางอย่างจากเขา

                “เออ เรา...” ฮ่องเต้มองหน้าพวกเธอที่กำลังตื่นเต้น มองมาทางเขาอย่างตั้งใจ “...เราก็เชียร์ทุกคนนั่นแหละ”

                ดูเหมือนว่าคำตอบของเขาจะทำให้พวกเธอผิดหวังไม่น้อย ทว่าหนึ่งในนั้นก็ยังไม่ลดละความพยายาม เซ้าซี้เพื่อหาคำตอบจากเขาอีก

                “ไม่ได้เชียร์ใครเป็นพิเศษเลยเหรอ แบบว่า...” เธอเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะพูดเน้นคำในประโยคถัดมา “...สายรหัสหรือไม่ก็สายเทคของตัวเอง อะไรแบบเนี่ย”

                สุดท้ายก็หนีไม่พ้นเรื่องสายรหัสสินะ เฮ้อ

                “คือเรา...”

                “พี่เต้ครับ!”           

                แต่เพราะเสียงใครบางคนดังขึ้นแทรก ฮ่องเต้จึงต้องหันไปมองตามเสียงเรียกก็พบว่าเป็นนัทที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางเขาและนั่นทำให้ผมกับมันตกเป็นเป้าสายตาไปโดยปริยาย ผมเหลือบตาไปมองพวกผู้หญิงที่เริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนและกระซิบกระซาบกันเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองนัท

                “คือพี่เจมส์ฝากมาตามพี่ให้ไปที่ห้องกิจกรรมน่ะครับ”

                นัทบอกวัตถุประสงค์และฮ่องเต้ก็คงจะไม่คิดมากอะไร หากไอ้ตัวการที่ชื่อว่าเจมส์มันไม่ได้ยืนยักคิ้วจึกๆ อยู่ตรงมุมประตูทางลงตึกก่อนที่มันจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว อันที่จริงเนี่ย มันก็บอกเขาด้วยตัวเองได้หรอกเพราะมันเพิ่งจะเรียนวิชาสุดท้ายด้วยกันกับเขาและเพิ่งจะเดินออกจากห้องไปก่อนหน้าเขาแค่นิดเดียวเอง ที่สำคัญ ฮ่องเต้รู้อยู่แล้วว่าต้องเข้าไปที่ห้องกิจกรรมเพราะวันนี้ต้องไปช่วยพวกเดือนคณะปีก่อนดูเรื่องซ้อมเดินให้เด็กปีหนึ่งและให้คำแนะนำเรื่องการ

                “อืม กูกำลังจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” และก็ได้แต่บอกออกไปแค่นั้น แต่มันกลับทำให้นัทคลี่ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มแบบสุภาพ นุ่มนวล ต่างจากรอยยิ้มของไอ้โฟโต้...

            เฮ้ย!! แล้วทำไมผมต้องไปนึกถึงมันอีกแล้ววะ!!

                เขาสลัดภาพไอ้โฟโต้ออกจากความคิดและรีบเดินไปยังทางเดินลงตึก ทว่าเขากลับต้องชะงักฝีเท้าเพราะมือของนัทที่จับเข้าที่ต้นแขนของผม

                “เดี๋ยวก่อนสิครับพี่เต้” มันร้องบอกก่อนที่มันจะมองตามสายตาของเขาที่มองไปที่มือของอีกฝ่าย ทำให้มันปล่อยมือและพูดขอโทษผมที่เสียมารยาท

                “ผมแค่จะบอกว่า...” มันเว้นจังหวะและยิ้มละมุนออกมาราวกับต้องการสะกดสายตาเขาเอาไว้ “...เดินไปด้วยกันนะครับ”

                เขาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่นัทจะเดินไปพร้อมกันกับเขาอย่างไม่รอคำตอบ ระหว่างทางนัทก็พยายามชวนเขาคุยเรื่องเรียน ซึ่งเขาก็ตอบกลับไปเท่าที่จะตอบได้ จนกระทั่งไปถึงห้องกิจกรรมของคณะ...

                ทั้งรุ่นน้องและรุ่นเพื่อนต่างก็หันมามองเขากับนัทเป็นสายตาเดียวก่อนจะกระซิบกระซาบและหัวเราะกันคิกคัก บ้างก็ทำหน้าเหวอเหมือนไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อนเสียอย่างนั้น แต่มันก็เท่านั้นแหละ เพราะตอนนี้สายตาเดียวที่ดึงดูดความสนใจของเขาก็คือ...สายตาของไอ้โฟโต้

                สายตาที่ดูเหมือนจะไม่พอใจกับสิ่งที่มันเห็น สายตาของมันที่จ้องมาทางเขนกับนัทดูนิ่งเสียจนน่ากลัวและมันทำให้เขาถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พร้อมๆ กับใจของเขาที่เต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่รู้ทำไมสายตาของมันถึงมีอิทธิพลกับหัวใจของเขาได้ขนาดนี้ ก่อนที่ใจของเขามันจะเต้นถี่ขึ้น เมื่อไอ้โฟโต้ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้และเดินตรงมาทางที่เขายืนอยู่

                ระหว่างที่เดินมา สายตาของโฟโต้เอาแต่จ้องไปที่นัทอย่างไม่ยอมละสายตาจนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า

                “ไหนมึงบอกว่าจะไปทำธุระไง” โฟโต้เปิดประเด็นคุยกับนัทที่ยืนอยู่ข้างเขาทันทีและนั่นทำให้ทุกสายตายิ่งโฟกัสมาที่คนทั้งสามมากขึ้น

                “ก็นี่ไง ธุระกู” นัทตอบกลับเสียงเรียบ พร้อมกับทำหน้าตาใสซื่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงแค่โฟโต้เท่านั้น ที่ดูออกว่านัทกำลังยั่วโมโหตนเอง

                “มึงตัดสินใจแล้วใช่ไหม”

                “ใช่”

                ส่วนฮ่องเต้ก็ได้แต่มองปีหนึ่งทั้งสองแบบมึนๆ  กึ่งๆ เข้าใจ แต่ก็เหมือนมีอะไรที่ยังไม่รู้  ก่อนที่เขาจะสะดุ้งเมื่อมันเบนสายตามาหา

                “ผมลืมของ พี่เต้ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยสิครับ” โฟโต้ว่าพร้อมกับยิ้มจนตาหยีเหมือนที่เคยทำทุกครั้งที่เจอหน้าและในขณะที่เขาจะตอบปฏิเสธนั้นเอง โฟโต้ก็กระเถิบตัวมายืนด้านข้างและกระซิบโดยไม่มองหน้าว่า

                “ผมแค่อยากคุยกับพี่ เรื่องนัท...”

                ฮ่องเต้หน้าเหวอทันทีที่ได้ยินแบบนั้น คิดไปไกลว่าจะเป็นเรื่องที่เขาออกไปกินข้าวกับวันนั้น แต่ดันโกหกว่าไปกับเพื่อน เท่านั้น ใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นกว่าเดิม ด้วยความกลัวว่าคนตรงหน้าของเขาในเวลานี้ จะโกรธ น้อยใจหรืออะไรหรือเปล่า

                “...แต่ถ้าพี่ไม่อยากคุยกับผม ก็ไม่ต้องตามมาก็ได้นะครับ”

                เป็นประโยคทิ้งท้าย ด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดที่ใครได้ฟังเป็นอันต้องอยากจะตีคนพูดสักทีสองทีแน่ๆ  แต่ฮ่องเต้กลับจะฟังออกว่าความจริงแล้วมันแค่กำลังน้อยใจเขาอยู่ พลันสายตาก็สบเข้ากับแววตาของโฟโต้ที่กำลังสั่นระริก เพียงเท่านั้น ใจของเขาก็อ่อนยวบลงไปแทบจะทันที

                จะว่าเขาเองก็แคร์ความรู้สึกของไอ้เด็กปีหนึ่งคนนี้ก็ได้ เพราะหัวใจมันกำลังสั่งให้เขาทำตามคำสั่งของโฟโต้

                ...ก่อนที่โฟโต้จะเดินออกไปจากห้องกิจกรรม

                และเพราะเขาก็รู้ดีอีกเช่นกันว่าทำไมไอ้เด็กคนนั้นถึงได้พูดแบบนั้นออกมาและนั่นทำให้เขาตัดสินใจที่จะเดินตามมันออกไป แต่ทว่า...

                “ไม่ไปได้ไหมครับ”

                จู่ๆ นัทก็จับแขนของเขาเอาไว้พร้อมกับมองมาด้วยสายตาเว้าวอนในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งการที่มันทำแบบนั้น ยิ่งทำให้คนทั้งคู่ยิ่งตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งห้องกิจกรรม แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ จะทำให้เขารู้สึกกระอักกระอวนไปหมด แต่มันกลับทำให้ได้รู้ว่าเขาคงไม่สามารถจะหนีอดีตได้อีกต่อไปและบางทีเขาควรจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น

                เขาตัดสินใจแล้ว...

                ฮ่องเต้หันไปมองนัทที่ส่งสายตาเว้าวอนมาให้ก่อนจะตัดสินใจแกะมือออก ทว่าอีกฝ่ายกลับไปยอมปล่อยให้ไป

                “ถ้ากูไม่ไป เดี๋ยวเพื่อนมึงก็หาว่ากูแล้งน้ำใจหรอก ก็...เผื่อมันจะมีอะไรให้กูช่วยยกมา” ก่อนที่เขาจะแกะมือนัทออกอีกครั้ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อย แต่ก็กลับหัวเราะออกมาเหมือนกำลังประชดตัวเอง

                “ขอโทษนะครับ ดูเหมือนว่าพี่จะให้ความสำคัญกับเพื่อนผมไปแล้ว”

                คำพูดของนัทเหมือนจะแทงใจของเขาเข้าเต็มๆ  จนได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายที่เริ่มทำหน้าซึมอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินออกไปจากลานซ้อมกิจกรรมและเดินไปตามทางเดินด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ตอนนี้หลากหลายความรู้สึกมันปนเปกันไปหมด ถึงแม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยความกลัว แต่เขาก็ต้องพยายามดึงความกล้าที่มันหลงเหลืออยู่เพียงแค่น้อยนิดของตัวเองเพื่อจัดการกับทุกอย่าง

                เขาสอดสายตามองหาไอ้โฟโต้ จนกระทั่งเห็นหลังมันอยู่ไวไวที่ห้องเก็บของหลังลานกิจกรรม จึงเดินเข้าไปหา

                “พี่ฮ่องเต้...” มันพูดเสียงเบาพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาเหมือนกำลังดีใจเรื่องอะไรบางอย่าง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมันยังดูหงุดหงิดอยู่แท้ๆ  จนเขาอดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นไบโพล่าร์หรือเปล่า

                “ที่บ้านมึงทำธุรกิจส่งออกรอยยิ้มหรือไง ยิ้มอะไรนักหนา”

                “ผมก็แค่ไม่คิดว่าพี่จะตามผมมา ทั้งๆ  ที่ผมพูดจาไม่น่ารักกับพี่” ท้ายประโยคมันหลุบตาลงต่ำด้วยความรู้สึกผิด

                ชวนผมมาเองแท้ๆ  แต่ดูมันพูดจาทำหน้าทำตาเข้าสิครับ

                “ไหนล่ะ ของที่มึงลืมไว้” เขาแกล้งมองเข้าไปในห้องเก็บของที่ถูกเปิดประตูทิ้งไว้ ถึงแม้จะรู้ว่าการมาเอาของไม่ใช่จุดประสงค์หลักที่มันเรียกเขาออกมาแบบนี้ก็ตาม

                “อยู่ข้างในครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเอาเอง” โฟโต้ว่าพร้อมกับส่งยิ้มมาให้เหมือนเช่นเคย ก่อนที่มันจะเดินเข้าไปในห้องเพื่อค้นของที่อยู่ข้างตู้เก็บของซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจนเกือบถึงมุมห้องด้านใน เขามองอีกฝ่ายที่ล้วงมือถือขึ้นมาเพื่อใช้ไฟจากแฟลชกล้องส่องเข้าไปในห้องที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ ก่อนจะหันไปกดปุ่มสวิตช์ไฟให้และนั่นทำให้มันหันมามองหน้าเขา

                “ขอบคุณครับ” ก่อนที่มันจะหันไปรื้อของต่อ แต่เพราะท่าทางของมันที่ดูเหมือนว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็หาของไม่เจอสักที ทำให้เขาอดเดินเข้าไปข้างในห้องด้วยความสงสัย

                อันที่จริง เขาแค่อยากให้มันรีบหาของให้เจอ จะได้พูดเรื่องสำคัญกันเสียที

                “มึงหาอะไรอยู่วะ ทำไมไม่เจอสักที”

                โฟโต้ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงและหันมาตอบ “เทปกาวครับ”

                “เทปกาว!?” ผมทว่ากลับต้องร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อกับตอบของมัน

                “ครับ ก็พี่เจมส์ให้ผมมาเอาเพราะต้องใช้มาร์คจุดซ้อมเดินแล้วก็ซ้อมการแสดง”

                “แล้วไอ้เจมส์ไม่ได้บอกหรือไงว่ามันอยู่ตรงไหน”

                “บอกครับ บอกว่าอยู่ข้างตู้เก็บของ”

                คำตอบของโฟโต้ทำให้ผมถึงบางอ้อว่าทุกอย่างมันเป็นแผนของเจมส์

                คิดจะทำอะไรของแม่งวะ

            เดี๋ยวก็ใช้ให้ไอ้นัทไปหาเขา เดี๋ยวก็ใช้โฟโต้มาเอาของ แถมยังลากเขามาด้วยแบบนี้อีก ไม่สิ อันที่จริงเขาตามมันมาเอง แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้แค่รีบหาเทปกาวให้เจอก็พอ

                “มึงโดนมันหลอกแล้ว” ฮ่องเต้บอกออกไปก่อนจะหันไปเปิดประตูตู้เก็บของใบที่สองออกและหยิบกล่องใส่เทปกาวกับกรรไกรออกมา ก่อนจะยื่นให้กับโฟโต้

                “วันหลังมึงก็ไม่ต้องไปเชื่อมันมากก็ได้นะ” บอกก่อนจะหันหลังกะจะเดินออกไปจากห้อง แต่โฟโต้กลับคว้าแขนเขาเอาไว้

                “ผมมีเรื่องที่อยากจะขอร้อง”

                ฮ่องเต้ได้แต่มองหน้าคนที่ส่งสายตาอ้อนวอนเขาด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กลัวจับใจว่าจะเป็นเรื่องที่เขาโกหกว่าไปธุระกับเพื่อนวันก่อนจริงๆ

                 “ระ...เรื่อง เรื่องอะไร...”

                “เรื่องไอ้นัท...” มันพูดทิ้งทวนเอาไว้แค่นั้นและปรายตามองไปทางข้างด้านหลังและนั่นทำให้เขาต้องหันไปมองตาม ก่อนที่มันจะเดินผ่านเขาไปและปิดประตูล็อคห้อง ซึ่งเขาก็ไม่ได้คัดค้านหรือโวยวายอะไรออกไปเพราะเขาเองก็มีเรื่องที่จะต้องคุยกับมันให้รู้เรื่องเช่นกัน

                “ขอโทษนะครับ ที่ต้องทำแบบนี้” โฟโต้หันมาเผชิญหน้าพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้เพื่อดันตัวเขาให้ถอยจนชิดตู้เก็บของตามสไตล์ของอีกฝ่ายที่ฮ่องเต้เริ่มจะรู้ทันและนั่นทำให้มันทำหน้าแปลกใจออกมาเล็กน้อย

                “พี่ไม่กลัวผมแล้วเหรอ”

                “กูเชื่อใจว่ามึงไม่มีทางทำอะไรกู” ฮ่องเต้ว่าออกไปพร้อมกับสบลึกเข้าไปในดวงตาของมันเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเชื่อแบบนั้นจริงๆ

                “ขอบคุณนะครับ ที่พี่เชื่อใจผม” โฟโต้บอกพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความซึ้งใจ ก่อนที่ฮ่องเต้จะทำเอาหุบยิ้มฉับกับประโยคถัดมา

                “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากูจะเชื่อใจมึงเรื่องอื่น”

                “พี่หมายความว่าไง”

                “ที่กูเชื่อว่ามึงจะไม่ทำอะไรแปลกๆ ก็เพราะมึงเป็นรุ่นน้องของกู แต่กับเรื่องที่มึงบอกว่าจะจีบ...กูยังไม่เชื่อใจและถ้ามันเป็นแบบนั้นต่อไปเรื่อยๆ กูเองก็คงจะไม่สบายใจ”

                โฟโต้นิ่งเงียบไปอย่างคนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาอย่างสื่อความหมาย

                “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมขอเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์ แล้วผมจะทำให้พี่เชื่อใจผมให้ได้ รอผมนะครับ พี่เต้”

                ฮ่องเต้มองมือของอีกฝ่ายที่ถือวิสาสะมากุมมือของเขาเอาไว้ เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ถูกส่งผ่านฝ่ามือของมันและมันก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจมากขึ้นด้วยการบีบมือของเขาเบาๆ  เพื่อเป็นการเรียกความเชื่อมั่นว่ามันจะทำให้เขาเชื่อใจให้ได้

                “แต่ตอนนี้ ผมอยากจะขอร้องในฐานะคนที่กำลังจีบพี่...”

                พลันความอบอุ่นก็มลายหายไป แทนที่ด้วยความหวาดระแวงกับประโยคที่อีกฝ่ายพูดออกมาทันที

                เอาวะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

            ฮ่องเต้พยายามคิดปลอบใจตัวเอง

                “เรื่องไอ้นัท” และเอ่ยออกไปช้าๆ “คือ...กู...ความจริงแล้ว”

                “ผมไม่อยากให้พี่เข้าใกล้มัน”

                ฮ่องเต้ชะงักงันไปกับคำพูดของอีกฝ่าย แบบมึนงงกับสิ่งที่โฟโต้ต้องการบอก

                “ผมไม่ชอบที่เห็นพี่อยู่ใกล้มันเลย ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิ์ ตราบใดที่พี่ยังไม่ได้คบกับผม เพราะฉะนั้น ผมเลยอยากจะขอร้อง ให้พี่อยู่ห่างจากมัน...นะครับ พี่เต้”

                นี่มัน...ไม่ได้จะพูดเรื่องที่ผมไปกินข้าวกับไอ้นัทหรอกเหรอ

                ฮ่องเต้ลอบกลืนนำลายลงคอ สบสายตากับอีกฝ่ายอย่างเริ่มจะใจอ่อนลงไปทุกที หากแต่เพราะบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในใจมาเนิ่นนาน ทำให้เขาต้องตัดสินใจพูดบางอย่างออกไป

                “แต่กูว่ามันดูไม่ยุติธรรมกับอีกฝ่ายนะ” และยิ้มออกมาอย่างถืออำนาจเหนือกว่าอีกฝ่าย

                หัวใจ...เป็นของผม ตราบใดที่ผมไม่คิดจะยกให้ ใครหน้าไหนก็ไม่มีทางได้ไปทั้งนั้น

            “พี่เต้...” โฟโต้เริ่มส่งเสียงเรียกเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อในคำพูด เพราะก่อนหน้านี้ ก็เห็นว่าง่าย เผลอตามใจเขาตลอด อ้อนนิดอ้อนหน่อยก็ยอมใจอ่อน แต่ครั้งนี้ กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม

                “กูจะไม่รับปากมึงเรื่องไอ้นัท จนกว่ามึงจะทำตามสัญญาได้”

                “อะไรกัน ผมมาก่อนมันนะ ผมชัดเจนว่าจะจีบพี่ก่อนมันด้วยซ้ำ แล้วทำไมพี่ถึงให้โอกาสทั้งที่มันไม่ได้ชัดเจนกับพี่ตั้งแต่แรกด้วย”

                ฮ่องเต้มองโฟโต้ที่เริ่มงอแงเป็นเด็กสามขวบด้วยความเอือมระอา “เอาเป็นว่ากูมีเหตุผลของกูก็แล้วกัน”

                เพราะอย่างน้อย โฟโต้จะได้เรียนรู้ว่าความรักมันไม่ได้มาง่ายๆ  ถ้ามันรักเขาจริง ยิ่งมีคู่แข่งมันก็ต้องยิ่งพยายามเพื่อให้ได้ใจเขามากขึ้น และมันก็จะทำให้เขาพอจะมั่นใจในตัวมันได้บ้าง

                “ก็ได้ ในเมื่อพี่ไม่ยอมรับปาก ผมก็จะทำให้พี่กับไอ้นัทออกห่างจากกันเอง!!”

                “กูว่าไอ้นัทมันคงไม่ยอมปล่อยให้เป็นแบบนั้นหรอก”

                “พี่เต้...” โฟโต้เรียกชื่อพลางมองผมด้วยแววตาเหมือนพ่อกำลังดุลูก “...พี่กำลังเข้าข้างมันอยู่นะ”

                และเขาก็ทำเพียงแค่ยักไหล่ไปให้แทนคำตอบ ก่อนจะเดินมาปลดล็อคกุญแจและออกมาจากห้องเก็บของโดยไม่ฟังเสียงโวยวายที่ดังตามหลังมาของโฟโต้ อย่างน้อยเขาก็รู้สึกดีที่ได้พูดสิ่งที่เขากังวลออกไป ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของโฟโต้แล้วล่ะ ว่ามันจะทำยังไงให้เขาเชื่อใจมันในทุกๆ เรื่องต่อจากนี้

                 

             
               

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
               (มีต่อ...)
 ฮ่องเต้เดินกลับมาที่ลานซ้อมกิจกรรมท่ามกลางสายตาที่มองมาทางเขากับโฟโต้ที่เดินตามหลังมา แต่นั่นมันก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขามากเท่าช่วงเวลาก่อนหน้านั้น เพราะเรื่องที่เขากังวลใจมาโดยตลอดมันได้หายไปจากใจของบ้างแล้วหลังจากที่ได้พูดความรู้สึกของตนเองออกไป

                ฮ่องเต้เดินมาสมทบกับพวกรุ่นพี่ที่ยืนรอเด็กปีหนึ่งที่เหลืออยู่อีกไม่กี่คน โฟโต้เดินเอาของไปให้ไอ้เจมส์และช่วยรุ่นพี่ติดเทปกาวไปทั่วพื้นที่ลานซ้อมกิจกรรม ก่อนที่มันจะไปรวมตัวกับเพื่อนคนอื่นๆ  สีหน้าของมันดูสดใสแตกต่างจากตอนที่เห็นเขาเดินมากับนัทเมื่อก่อนหน้านั้นลิบลับ แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะเขาเองก็ไม่ได้มีความสุขนักหรอก เวลาที่เห็นมันหงุดหงิดหรือไม่ก็ตัดพ้อน้อยใจ โดยที่ตัวต้นเหตุที่ทำให้มันเป็นแบบนั้นคือเขา และยิ่งได้เห็นสายตาแข็งกร้าวที่มันมองนัทกับได้ยินที่มันขอร้องไม่ให้เขาเข้าใกล้นัท เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาคิดยังไงกับสถานการณ์นั้น รู้แต่ว่ารู้สึกดี...

            จะคิดเข้าข้างตัวเองได้หรือเปล่าครับ ว่าไอ้โฟโต้กำลังหึงผมกับไอ้นัท

                “ในห้องเก็บของคงฟินน่าดู”

                เสียงไอ้เจมส์ดังกระแทกหน้าเขาเข้าเต็มๆ จนอดหันไปส่งสายตาหงุดหงิดใส่กับสิ่งที่มันพูดออกมา

                “ฟินห่าอะไร อย่ามากวน!”

                “ที่ห้องเก็บของ กูได้ยินหมดแล้ว” มันพูดหน้าตาย ขณะที่เขาได้แต่ทำหน้าเหวอ

                “มึงรับจ้างเป็นสตอกเกอร์หรือไง”

                “กูจะรับจ้างเป็นอะไรมันก็ไม่สำคัญ ประเด็นที่กูอยากรู้ก็คือ...” ไอ้เจมส์เว้นจังหวะพลางสบตาเขาเหมือนต้องการจะล้วงความจริง “...มึงเริ่มเปิดใจให้น้องมันแล้วใช่ไหม”

                ความรู้สึกของของในตอนนี้เหมือนถูกทุบเข้าที่หลังจนจุก “กูก็แค่...”

                “ถ้าโกหกไม่เก่งก็พูดความจริงเถอะ”

                เขาหันไปมองหน้าไอ้เจมส์ที่ทำหน้านิ่งรอคอยคำตอบ ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

                “เออ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้สึกกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่ที่มันพยายามเข้าหา ในหัวของกูก็เอาแต่คิดมากเรื่องของมัน”

                “ไม่หรอก เรื่องที่ทำให้มึงคิดมากคือเรื่องของไอ้พี่คินต่างหาก”

                และเป็นอันต้องเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเจมส์อย่างไม่อยากจะเชื่อกับหูตัวเอง “มึงรู้ได้ไง”       

                “ถ้ามึงจำได้ว่ากูคือเดือนคณะ มึงก็น่าจะจำได้ว่าคนที่อยู่กับมึงตอนช่วงคัดเลือกดาวเดือนแทบจะตลอดเวลาก็คือกู แล้วมันจะแปลกอะไรที่กูจะรู้เรื่องของมึงกับพี่คิน”

                “อืม...กูก็ไม่น่าถาม”

                “มึงกลัวใช่ไหมว่าไอ้โฟโต้มันจะทำเหมือนที่พี่คินเคยทำกับมึง”

                และเขาก็ได้แต่พยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบ ก่อนที่เจมส์จะเอามือมาวางบนไหล่ของเขาและออกแรงบีบเบาๆ

                “ไอ้เต้ ในเมื่อมันไม่ใช่คนๆ เดียวกัน ทำไมมึงต้องกลัวด้วยวะ”

                “ถ้ามึงยังจำเรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองได้ มึงก็จะรู้คำตอบ”

                เจมส์เงียบไปสักพักก่อนจะหันมาพูดต่อ “กูเข้าใจละ มึงอยากรู้ว่าการที่ไอ้โฟโต้จีบมึงเป็นเพราะมันชอบมึงจริงๆ หรือเป็นเพราะเรื่องอาถรรพ์สายรหัส ตอนที่อยู่ในห้องเก็บของมึงก็เลยบอกว่ามึงยังไม่เชื่อใจมันเรื่องอื่น...ใช่ไหม”

                “ก็ใช่ เพราะตราบใดที่กูยังไม่มั่นใจในความรู้สึกของมัน กูคงจะเดินหน้าต่อไม่ได้”

                “มันไม่ยากหรอกถ้าจะพิสูจน์ความจริงใจของใครสักคน” เจมส์พูดออกมาพร้อมกับสบตาฮ่องเต้ด้วยความแน่วแน่ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “กูจะช่วยมึงเอง”

               

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 33 จุดเริ่มต้น

                หลังจากที่ทุกคนซ้อมเดินกันจนครบ เดือนคณะแต่ละชั้นปีก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการพูดคุยกับรุ่นน้องเรื่องการแสดงต่อจนเสร็จ

                และเป็นโฟโต้กับนัทก็เดินเข้ามาหารุ่นพี่ปีสี่อย่างฮ่องเต้ที่กึ่งนั่งกึ่งยืนดูอยู่ แต่เพราะเด็กปีหนึ่งที่เขาพอจะจำได้ว่าชื่อฝ้ายเดินเข้ามาตัดหน้า ดึงแขนโฟโต้เสียก่อน มันเลยจำต้องหยุดยืนคุยกับเด็กคนนั้น จึงเหลือเพียงแค่นัทที่เดินมาหาเขา

                หากแต่สายตากลับละไปจากอีกสองคนไปไม่ได้เลย...

                มันทำให้ใบหน้าของเขาตึง หัวใจระส่ำระส่ายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นี่ไม่ใช่หนแรกที่เขารู้สึกเช่นนี้ แต่เป็นครั้งที่สอง...เขาไม่ชอบใจเลยที่ต้องมาเห็นโฟโต้สนิทสนมกับผู้หญิงคนนั้น บอกตามตรงเลยว่ามันทำให้เขา...หวาดกลัว

                กลัว...ว่าเรื่องที่เขาระแวงมาตลอดจะเกิดขึ้นมาจริงๆ

                “พี่เต้จะกลับเลยหรือเปล่าครับ”

                ฮ่องเต้ผละมามองหน้าคนเอ่ยถาม ก่อนจะเหลือบมองไปทางโฟโต้กับฝ้ายอีกครั้ง สักพัก จึงพยักหน้าให้กับนัท

                “อืม คงจะอย่างนั้น”

                “คือ...ผมขอติดรถไปด้วยได้หรือเปล่าครับ พอดีผมไม่ได้เอารถมา”

                “ได้ดิ กูว่าจะแวะไปหาไอ้สีฝุ่นอยู่พอดี”

                ฮ่องเต้ตอบออกไปโดยไม่ทันคิดไตร่ตรองและก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ดลใจเขาให้พูดออกไปแบบนั้น ทั้งที่ใจจริงเขากำลังรอโฟโต้ แต่พอเห็นแบบนั้นแล้ว มันทำให้เขาไม่อยากจะรอ...เปล่าหรอก เขาแค่หงุดหงิดที่ต้องรอใครนานๆ ก็เท่านั้น ทั้งที่ใครคนนั้นอาจจะไม่ได้อยากมากับเขาจริงๆ  ขืนรอไปก็คงรอเก้ออยู่ฝ่ายเดียว 

                ถึงแม้ว่าเขาจะคุยอยู่กับไอ้นัท แต่สายตากลับไปโฟกัสที่ไอ้โฟโต้อย่างลืมตัวและนั่นทำให้นัทต้องมองตาม

                “ตอนแรก ผมจะกลับกับโฟโต้ แต่พอดีมันต้องไปส่งฝ้าย แล้วดูเหมือนว่าเธอมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับโฟโต้น่ะครับ ผมเลยไม่อยากไปเป็นส่วนเกิน”

                คำพูดของนัทยังคงดังวนเวียนอยู่ในหัว มันทำให้เขายิ่งละสายตาจากสองคนนั้นไม่ได้ ในใจได้แต่ร้องภาวนาว่าอย่าให้สองคนนั้นไปด้วยกัน แต่เขาคงจะลืมไปว่าตัวเองไม่ใช่เทวดาที่ไหนถึงจะเสกให้อะไรเป็นไปตามที่ใจคิดก็ได้ ซึ่งนั่นมันทำให้เขาหงุดหงิด ยิ่งเห็นมือของฝ้ายที่จับแขนโฟโต้และท่าทางสนิทสนมนั่นด้วยแล้ว ยิ่งพาลให้อารมณ์ร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

                ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับเขาเพราะครั้งหนึ่งคนที่ชื่อคินก็เคยทำแบบนี้มาแล้ว พี่คินเคยทำให้หลงเชื่อมาแล้วว่าผู้หญิงที่สนิทด้วยมากที่สุดเป็นเพียงเพื่อนของตน สุดท้าย ฮ่องเต้ก็กลายเป็นเด็กปีหนึ่งโง่ๆ คนหนึ่งเท่านั้น

                บางที เขาอาจจะคิดถูกที่ไม่เชื่อใจเด็กโฟโต้ตั้งแต่แรกเพราะไม่แน่ว่าโชคชะตาอาจจะเล่นตลกโดยการส่งโฟโต้มาซ้ำรอยแผลเดิมอีกก็ได้

                “ไปเหอะ” ฮ่องเต้หันไปบอกกับนัทและหันหลังเดินหนีออกมาจากลานซ้อมกิจกรรมทันที

 

                ฮ่องเต้ขับรถมาจนกระทั่งถึงหอสีฝุ่น เขาไม่ค่อยได้คุยกับนัทมากนักเท่าไหร่เพราะอารมณ์ที่พุ่งพล่านของตัวเอง นี่ขนาดว่าเขาแค่ลองเปิดใจให้อีกฝ่ายเองนะ ยังไม่ทันได้เริ่มคุยกับมันเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้ง แต่พอเห็นมันควงแขนกับผู้หญิงคนอื่น เขากลับรู้สึกหงุดหงิดเป็นจนแทบบ้า! และอารมณ์ของเขาก็คงจะไม่พุ่งถึงขีดสุด ถ้าสีฝุ่นมันอยู่ที่ห้องในตอนนี้

                “พี่ไปอยู่รอที่ห้องของผมก่อนไหมครับ”

                นัทเสนอความเห็น หลังจากที่ฮ่องเต้โทรหาไอ้เจ้าของห้องเจ็ดศูนย์สามเกือบยี่สิบรอบแล้ว แต่ก็ไร้วี่แววการตอบกลับ สงสัยว่าเขาจะมาเสียเที่ยว ว่าจะปรึกษามันเรื่องโฟโต้สักหน่อย แต่ดันหายหัวไปแบบนี้ โคตรจะพึ่งพาได้เลย!

                “ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูกลับหอเลยดีกว่า เผื่อไอ้ฝุ่นมันไปนอนหอเพื่อน” เขาทำอ้างไปอย่างนั้นเพราะขี้เกียจรอปนไม่อยากเข้าห้องนัทด้วยความรู้สึกไม่สบายใจแบบนี้

                “ถ้าอย่างนั้น ก็ขับรถกลับดีๆ นะครับ ขอบคุณพี่ที่มาส่งผม”

                “อืม ไม่เป็นไร” เขาพยายามฝืนยิ้มไปให้ ทว่าจังหวะที่กำลังหมุนตัวหันหลังจะเดินกลับนั้นเอง ป้าคนที่คอยดูแลหอพักก็วิ่งเข้ามาหาและเขย่าแขนนัทยกใหญ่ ทำให้ฮ่องเต้ต้องหยุดมองตาม

                “อยู่นี่เอง ป้าโทรหาเราตั้งนานก็ไม่รับ”

                “มีอะไรเหรอครับ” นัทเองก็ดูงงๆ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

                “ก็ไอ้พวกเดิมนั่นแหละ มันบอกว่าถ้าเราไม่ลงไปเจอ พวกมันจะพังข้าวของของป้า นัทช่วยไปไกล่เกลี่ยกับพวกมันที ถือว่าป้าขอร้องนะ”

                ป้าแกพูดจบ นัทก็รีบหุนหันวิ่งออกไปทันที ไอ้เขาที่ตื่นตระหนกตกใจกับสิ่งที่ได้ยินก็วิ่งตามไปดูด้วยความเป็นห่วง พอลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง ก็รีบตามไปนัทไปทั่ว ก่อนจะเจอกลุ่มผู้ชายท่าทางนักเลงจำนวนสี่คนอยู่ตรงด้านหลังหอพัก ซึ่งติดกับโกดังเก็บของเก่าๆ ซึ่งคนไม่ค่อยพลุกพล่าน

                “โผล่หัวมาแล้วเหรอวะ ไหนล่ะ ที่มึงรับปากว่าจะหามาจ่าย!”

                “ผมกำลังหาอยู่...”

                “เหรอวะ มึงกำลังหาหรือว่าตั้งใจจะเบี้ยวกันแน่วะ ถึงได้หลบหน้า จนพวกกูต้องตามหามึงถึงที่นี่”

                 ไอ้พวกนี้ เป็นเจ้าหนี้ของไอ้นัทอย่างนั้นสินะครับ

                ฮ่องเต้ยืนมองสถานการณ์อยู่เบื้องหลังอย่างรอจังหวะ ทว่ากลับกลายเป็นพวกมันที่เล็งเป้ามาทางเขาเสียก่อน พวกมันหันไปกระซิบกระซาบอะไรกันสักอย่าง ก่อนที่ไอ้หัวหน้าแก๊งของมันจะย่างสามขุมเข้ามาหาเขาพร้อมกับแสยะยิ้ม

                “อะไรกันวะ นี่มึงจนตรอกถึงขั้นต้องพาคนสำคัญมาใช้หนี้แทนเลยวะ”

                “ออกไป!” เป็นนัทที่เข้ามาขวางตรงหน้าเขา อารมณ์ของมันเริ่มพุ่งพล่านจนสังเกตเห็นได้ชัดจากสีหน้าโกรธของมันที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

                “เหอะ จะทำอะไร มึงก็ควรจะคิดให้ดีๆ มันจะเดือดร้อนตัวมึงเสียเปล่า”

                “กูคิดดีแล้ว” นัทโพล่งออกไป ทำให้ไอ้พวกทวงหนี้เริ่มโมโห

                “ดี! งั้นมึงก็จ่ายไอ้ที่ค้างเอาไว้สองแสนนั่นมาซะ! กูจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาทวงมึงอีก”

                สองแสน...

            ทำไมไอ้นัทถึงได้ติดหนี้มากมายแบบนั้น

                “ผมขอคืนแค่ดอกเบี้ยก่อน” นัทพยายามต่อรอง ซึ่งฮ่องเต้ก็รอฟังว่าพวกมันจะเอายังไงต่อ

                “ดอกเบี้ยเหมาจ่ายสามหมื่นบาท ถ้ามึงมีให้ กูก็จะปล่อยมึงไป”

                และเป็นอันที่นัทต้องหน้าเสียทันทีที่มันพูดเช่นนั้น หน้ามันตึงเครียดจนฮ่องเต้เองก็อดเป็นห่วงไม่ได้

                “ผม...ขอเวลาหนึ่งสัปดาห์”

                “เหอะ มึงคิดว่าพวกกูเสียเวลามาหามึงที่นี่ทุกวันเพื่อต่อเวลาให้มึงอย่างนั้นเหรอ กูว่า...ถ้ามึงไม่มีให้ ลองจ่ายด้วย...ก่อนไหมล่ะ”

                คำที่หายไปเป็นจังหวะเดียวกันกับที่คนพูดส่งสายตามามองทางฮ่องเต้ ทำให้นัทต้องเหลือบตามองตามด้วยความไม่พอใจ

                “ไม่มีทาง คนที่เป็นหนี้คือกู ไม่ใช่...” นัทเองก็เว้นคำเอาไว้อย่างต่างคนต่างรู้กันดีว่ากำลังพูดเรื่องอะไร เห็นจะมีต่ฮ่องเต้ที่ยังคงเข้าใจแค่ว่าพวกนั้นต้องการเงินจำนวนสามหมื่นจากนัทก็เท่านั้น

                “ถ้ามึงไม่ยอม แถมเงินก็ไม่มีจ่ายให้กูแบบนี้...” และมันก็แสยะยิ้ม “...จ่ายด้วยเลือดหัวมึงแทนก็แล้วกัน”

                “เดี๋ยว!!”

                เป็นฮ่องเต้ที่ร้องห้ามขัดจังหวะพวกมันที่กำลังกรูเข้ามาหมายจะทำร้ายร่างกายนัทเต็มที่ ใจของเขาเต้นระส่ายระส่ำกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าและถ้าเขาปล่อยให้รุ่นน้องของตัวเองเป็นอะไรไป โดยที่ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร เขาเองก็คงจะเรียกว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่ไม่ได้

                “ตอนนี้ มึงต้องการแค่สามหมื่นใช่ไหม”

                “ทำไม มึงจะจ่ายแทนมันอย่างนั้นเหรอ” หนึ่งในพวกนั้นแค่นเสียงหัวเราะใส่ ก่อนที่พวกมันจะสตันไปเมื่อฮ่องเต้สวนกลับไปว่า

                “ใช่ เดี๋ยวกูจะไปกดเงินมาให้ แต่ถ้าพวกมึงกลัวว่ากูจะหนี จะตามมาก็ได้”

                เขาบอกไปแค่นั้น ก่อนที่พวกมันจะหันหน้าปรึกษากันและตัดสินใจให้หนึ่งนั้นเป็นคนตามเขาไปที่ตู้กดเงินซึ่งอยู่ใกล้กับหอพักนี้มากที่สุด โดยให้นัทอยู่รอกับพวกมันเพื่อเป็นตัวประกันเผื่อผมคิดหนี

                “คิดมาตลอดว่าคนอย่างมึงจะฉลาด”

                ฮ่องเต้ขมวดคิ้วหันไปมองตามเสียงของคนที่ตามเขามาอย่างไม่เข้าใจ มันพูดเหมือนมันรู้จักเขาอย่างนั้นแหละ

                “มึงหมายความว่าไง”

                เขาถามมันกลับ ขณะที่มือก็คลิกทำรายการที่ตู้กดเงินตรงหน้า โชคดีที่จำนวนเงินในบัญชีเหลืออยู่ประมาณห้าหมื่นต้นๆ  มันเป็นเงินเก็บที่ผมสะสมมาตั้งแต่สมัยปีหนึ่งบวกกับเงินได้มาจากงานพาร์ทไทม์อีกเล็กน้อย ยังดีที่เขาเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้ เผื่อวันหนึ่งจะเกิดเหตุฉุกเฉินอย่างเช่นในตอนนี้

                “ไม่ใช่เรื่องที่กูต้องตอบ”     

                กวนตีนฉิบหาย...

                ฮ่องเต้รีบกดเงินออกมาและยื่นให้กับมัน “จะนับซ้ำก็ได้นะ”

                “ไม่ว่ะ คนอย่างมึงไม่น่าจะโกง”

                และคำตอบของอีกฝ่ายก็ทำให้ฮ่องเต้ต้องมองหน้ามันอย่างไม่สบอารมณ์

                “ไปได้แล้ว”

                มันบอกก่อนจะปล่อยให้เขาเดินนำ ส่วนมันคุมอยู่ทางด้านหลัง เขาจึงรีบสาวเท้าเดินให้เร็วที่สุดเพราะอยากให้เรื่องรีบจบๆ ไป ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งเมื่อได้ยินเสียงเอะอะที่ดังมาจากทางด้านหลังหอพัก

                และสิ่งที่เขาเห็นก็คือร่างของนัทที่ล้มลงไปตรงหน้า แต่เพราะหัวหน้าของมันหันมาเห็นเขาก่อน มันเลยสั่งให้ลูกน้องที่กำลังจะซัดหมัดเข้าที่หน้าของนัทอีกครั้งให้หยุด

                “มึงไม่น่ามาเร็วเลยว่ะ”

                “พวกมึงทำเหี้ยอะไรวะ ไหนมึงบอกถ้าจ่ายค่าดอกเบี้ยแล้วจะปล่อยไง!!” ฮ่องเต้ตะโกนใส่หน้าพวกมันและลงไปช่วยดูอาการนัทที่นั่งอยู่กับพื้น

                “กูก็ไม่ได้บอกนี่ว่าที่กูจัดมันยกนี้เพราะเรื่องเงินที่มันติดไว้...” ไอ้หัวหน้าของมันสาวเท้าเข้ามาใกล้ พลางนั่งลงตรงหน้าพวกเขาสองคนและจ้องหน้านัทด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น สายตาของมันไล่ไปตามรอยแผลที่ลูกน้องมันได้สร้างเอาไว้อย่างสาแก่ใจ

                “...นี่คือบทเรียนสำหรับไอ้พวกอ่อนหัดและคนทรยศ!!”

                นี่มันยังมีเรื่องอะไรอีก นอกจากเรื่องเงินที่ไอ้นัทติดมันไว้

                “ถ้าพวกมึงยังไม่หยุด พวกมึงได้โดนข้อหาทำร้ายร่างกายแน่” เขาขู่มันอย่างไม่เกรงกลัวเพราะท่าทีที่ดูเหมือนว่าเรื่องทั้งหมดจะยังไม่จบลงง่ายๆ  แต่มันกลับตอกหน้าเขาอย่างไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย

                “เก็บความอวดดีของมึงเอาไว้ปกป้องตัวเองเถอะ”

                “ไม่ต้อง...ปกป้องผมหรอก” นัทปริปากพูดออกมาพลางจ้องตากับไอ้พวกทวงหนี้ “...ทั้งหมดมันเป็นเพราะผม มันเป็นความผิดของผมแค่คนเดียว”

                “หึ ชีวิตมึงนี่มันน่าสมเพชจริงๆ” หัวหน้าของพวกมันแสยะยิ้มออกมาอย่างน่ารังเกียจ ก่อนที่มันจะหันไปถามคนที่ตามฮ่องเต้ไปกดเงินเมื่อครู่

                “ครบใช่ไหม”

                “ทุกบาททุกสตางค์ครับพี่”

                “เอาไว้กูจะตามมาทวงอีกสองแสนกับดอกเบี้ยที่เหลือก็แล้วกัน” พูดจบมันก็พากันเดินออกไป ทิ้งไว้แค่ฮ่องเต้กับนัทที่กำลังตกอยู่ในสภาวะตึงเครียด

                “ไหวไหมวะ” ฮ่องเต้เอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง

                “ไหวครับ”

                ฮ่องเต้มองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาเพราะในเวลาแบบนี้ อีกฝ่ายก็ยังจะฝืนยิ้มให้กับเขาอีก

                ฮ่องเต้ช่วยพยุงนัทให้ลุกขึ้นและพาขึ้นไปบนห้อง แต่เพราะในห้องของนัทไม่มีอุปกรณ์ทำแผลเลยสักชิ้น เขาจึงต้องออกไปซื้ออุปกรณ์ทำแผลที่ร้านขายยาซึ่งอยู่ห่างออกไปหอพักพร้อมกับแวะซื้อมื้อเย็นมาเผื่อนัทด้วย และเพราะตอนนี้ปาเข้าไปสองทุ่มกว่าแล้ว (กว่าจะเลิกซ้อมดาวเดือนก็เกือบทุ่มกว่า) รถบนถนนเลยติดเป็นพิเศษ ทำให้เขากลับไปถึงหอพักของนัทเอาตอนเกือบจะสามทุ่ม

                หลังจากขึ้นมาข้างบนห้อง นัทที่อาบน้ำตามที่เขาสั่งเอาไว้ก็มาเปิดประตูให้เขาเข้าไปข้างใน ก่อนที่เขาจะลากมันไปที่นั่งที่เก้าอี้และจัดการทำแผลให้กับมัน

                “เดี๋ยวผมทำเองก็ได้ครับ” นัทพยายามแย่งอุปกรณ์ทำแผล แต่ฮ่องเต้ก็ชักมือหนีเพราะไม่อยากให้นัททำแผลเอง

                “มึงมองเห็นแผลหรือไง”

                “แต่ว่าผมเกรงใจ”

                “เกรงใจทำไมวะ มึงก็รุ่นน้องคณะกูนะเว้ย”

                “พี่ฮ่องเต้...” จู่ๆ นัทก็เรียกเขาเสียงอ่อน ทำให้เขาอดหันไปสบตากับอีกฝ่ายที่กำลังมองมาทางเขาด้วยแววตาเหมือนคนสำนึกผิดไม่ได้

                ทำไมมันต้องมองผมแบบนั้นกัน

                “อย่าทำดีกับผมมากนักจะได้ไหมครับ ยิ่งพี่ดีกับผมมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเจ็บ”

            เชี้ยละไง...

                ฮ่องเต้หน้าเหวอทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ก่อนจะทำเป็นแกะห่อสำลีและฝาขวดแอลกอฮอล์ล้างแผลอย่างต้องการจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง  ในหัวตอนนี้คิดแต่ว่าตัวเองควรพูดอะไรออกไปในเวลาแบบนี้

                “ผมขอโทษนะครับ ที่ผมดันทุรัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าใจของพี่เป็นของไอ้โฟโต้ไปแล้ว”

                คำว่า โฟโต้ ดังสะดุดหูจนฮ่องเต้เผลอชะงักมือตาม หัวใจมันเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

                “ท่าทางพี่คงจะไม่รู้ว่าตอนที่พี่อยู่กับไอ้โฟโต้ พี่มีความสุขมากแค่ไหน...”

                ฮ่องเต้แปลกใจกับคำอธิบายของอีกฝ่ายที่เหมือนจะรู้ดีไปเสียทุกอย่าง 

                “ตอนนั้น พี่เป็นตัวของตัวเอง กล้าที่จะพูด กล้าที่จะเผชิญหน้า แม้ว่าไอ้โฟโต้มันจะเอาแต่กวนประสาทหรือไม่ก็บังคับให้พี่ทำตามใจมันก็ตาม แต่พี่ก็ไม่เคยโกรธเลยไม่ใช่เหรอครับ”

                โกรธ...

                คำๆ เดียวที่ทำให้เขานึกย้อนไปถึงสิ่งที่เขาเคยพูดกับโฟโต้เอาไว้

            “ไม่ว่ามึงจะทำอะไร กูก็ไม่เคยโกรธมึงหรอก รู้เอาไว้แค่นี้แหละ” 

                “คิดเรื่องของโฟโต้อยู่สินะครับ”

                ฮ่องเต้เผลอหันไปมองหน้านัทอีกครั้ง ก่อนจะเสมองไปทางแผลบนใบหน้าของมันที่เขากำลังใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ทำความสะอาดแผลให้ ถึงแม้มันจะทำหน้านิ่วไปเล็กน้อย แต่มันก็กลับมายิ้มเหมือนเดิม แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเศร้า

                “พี่เชื่อในรักแท้หรือเปล่า”

                เขามุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจกับคำถามของมัน “จู่ๆ ทำไมถึงถามเรื่องนี้”

                “สมัยเรียนอยู่ชั้นประถม เพื่อนคนหนึ่งของผมเคยบอกเอาไว้ว่ารักแท้จะตามหาเราเสมอ ไม่ว่าเราจะไปอยู่ส่วนไหนของโลก...”

                ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเหมือนเคยได้ยินคำพูดแบบนี้จากที่ไหน...

                “ผมไม่เคยเชื่อแบบนั้นเลยสักครั้ง แต่เพื่อนของผมคนนั้น มันกลับเชื่อแบบนั้นมาโดยตลอดและมันก็กำลังพิสูจน์ให้ผมเห็นว่าคำพูดของมันเป็นความจริงมาโดยตลอด แล้วพี่ฮ่องเต้ล่ะครับ คิดยังไง”

                ฮ่องเต้นิ่งไปสักพักอย่างใช้ความคิดก่อนจะตอบ ขณะที่มือก็ใส่ยาที่แผลให้กับนัท

                “เชื่อดิ กูเชื่อมาตลอดนั่นแหละว่ารักแท้มีจริงและสักวันมันจะตามหาเราจนเจอเอง”

                ท้ายประโยค ฮ่องเต้รู้สึกได้ว่าตัวเองเสียงแผ่วลงไป แต่มันกลับทำให้นัทหัวเราะออกมาเบาๆ  เขาจึงจัดการทำแผลให้นัทเสร็จก็จัดแจงให้มันกินข้าวกินยาต่อ ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับหอเพราะเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบห้าทุ่มแล้ว

                “ขอบคุณพี่มากนะครับ ผมจะพยายามหาเงินมาใช้คืนพี่ให้เร็วที่สุด”

                จริงสิ เขาเกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลยครับ

                “แล้วเงินตั้งสองแสน มึงจะไปหาที่ไหนมาใช้คืนวะ”

                นัทนิ่งไปสักพัก ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับฮ่องเต้ ด้วยสายตาที่เหมือนกำลังต้องการอยากจะบอกอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ทำเพียงแค่ฝืนยิ้มและพูดกับรุ่นพี่ของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

                “พี่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ยังไงผมก็หาเงินก้อนนั้นมาได้แน่นอน”

                เขาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะมองหน้านัทเพื่อสื่อว่าเขาจริงจังกับสิ่งที่พูด “ถ้ามึงมีปัญหาอะไร มึงต้องรีบบอกกู เข้าใจไหม”

                เขาเป็นห่วงนัทจริงๆ นะ ยิ่งได้เห็นรอยแผลที่หน้าและตามตัวของมันแล้ว เขายังรู้สึกใจคอไม่ดีอยู่เลย

                “เข้าใจแล้วครับ ยังไงก็ขับรถกลับดีๆ นะครับ”

                “อืม”

                เขารับคำแค่นั้น ก่อนจะออกจากห้องของนัทและลงมาที่ลานจอดรถด้านล่าง ชะเง้อมองหารถไอ้สีฝุ่นเผื่อว่ามันจะกลับมาแล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววเช่นเคย ท่าทางมันจะออกไปกับเพื่อนของมันนั่นแหละ ดังนั้น เขาเลยได้แต่ขึ้นรถและขับออกไป กว่าจะกลับมาถึงหอตัวเองก็ห้าทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว จึงกะรีบขึ้นหอไปสะสางงานเล็กน้อยและอาบน้ำนอน ทว่าทันทีที่ผมก้าวเข้ามาข้างในหอพัก ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทัก

                “ขอโทษนะ เธออยู่หอนี้หรือเปล่า”

                “ครับ” ฮ่องเต้รับคำแบบงงๆ  ท่าทางของเธอดูไม่มีพิษมีภัยอะไร ฮ่องเต้จึงคิดไปว่าเธอคงจะมารอลูกชาย

                “ถ้าอย่างนั้น ช่วยอยู่เป็นเพื่อนน้าหน่อยได้หรือเปล่า พอดีน้ารอสามีมารับน่ะ”

                ฮ่องเต้ชะงักหันไปมองรอบข้างที่ไม่มีใครอยู่ด้วยความลังเลใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบตกลงเพราะเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว แถมตอนนี้ยังดึกมาแล้วด้วย เกิดอะไรขึ้นมา อย่างน้อยก็จะได้มีคนช่วยทัน

                ผมยังไม่หายตกใจกับเรื่องที่ไอ้นัทเจอในวันนี้เลยครับ

                “ได้ครับ ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวไปนั่งรอที่โซฟาละกันนะครับ”

                เขาพูดอย่างนอบน้อม ก่อนที่จะพาเธอไปนั่งที่โซฟา...

 

 

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 34 คิดมาก

                ทั้งที่รู้ว่าวันนี้มีสอบย่อย แต่เขากลับเอาแต่เหม่อลอยไปจนเกือบจะหมดชั่วโมง ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองทำข้อสอบเสร็จตอนไหน แถมก่อนหน้านั้น กว่าเข้าใจโจทย์ที่ถาม ก็ต้องอ่านวนไปไม่รู้ตั้งกี่รอบ เป็นครั้งแรกในรอบปีที่เขาจำไม่ได้เลยสักนิด ว่าในหน้ากระดาษถามเกี่ยวกับเรื่องอะไร จึงได้แต่หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามเพื่อนทั้งหลายที่กรูเข้ามาถามไถ่เรื่องสอบวันนี้และรีบกลับหอ เพราะวันนี้เขามีเรียนแค่คลาสบ่าย (วิชาที่เพิ่งสอบเสร็จไปนั่นแหละ)

                ทีแรก กะจะมานอนเอาแรงเสียหน่อย หลังจากที่เมื่อคืนนอนไม่หลับเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น มันยังฝังอยู่ในหัวของเขา จากการได้เจอผู้หญิงคนนั้น...เมื่อคืน ความคิดของเขาก็ฟุ้งซ่านไปหมด จนตอนนี้ มือที่กำลังเก็บเสื้อผ้าลงในตะกร้าเป็นอันต้องชะงักตามพร้อมกับสายตาที่เหม่อลอยไปไกล คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันด้วยความกังวลใจชนิดที่สลัดยังไงก็ไม่หลุดออกไปจากเรื่องนี้ได้เสียที

 

                “จะว่าไปแล้ว เราก็หน้าตาดีเหมือนกันนะ ท่าทางจะเนื้อหอมน่าดู” คนข้างกายพยายามชวนเขาคุย ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้มต่อว่า “มีแฟนหรือยัง”

                และมันก็ทำให้เขานิ่งไปสักพักก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “ไม่มีครับ”

                “เหรอ...” พลันน้ำเสียงและสีหน้าไม่อยากจะเชื่อของเธอก็ปรากฏ “...แล้วคนคุยล่ะ ไม่มีเลยเหรอจ๊ะ”

                “เอ่อ...” และฮ่องเต้ก็ชะงักงันไปอีกครั้งเพราะจู่ๆ หน้าเด็กที่ชื่อโฟโต้ก็ลอยเข้ามาแทรก ทำให้เขาต้องตั้งสติก่อนจะหันไปตอบปฏิเสธ “...ไม่มีครับ”

                “ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าอย่างเราจะไม่มีสาวๆ คนไหนจับจอง” เธอหัวเราะออกมาเบาๆ ซึ่งเขาเองก็ทำได้แค่ยิ้มแห้ง

            ก็ใช่ว่าความสัมพันธ์แบบเขาจะเปิดเผยได้อย่างง่ายๆ ยิ่งอะไรๆ ไม่ชัดเจนแล้วด้วย มันก็ยากที่จะพูด

                “น้าเองก็มีลูกชายเหมือนกัน คนแรกก็มีแฟนไปแล้ว เหลือแต่น้องชายของเขา...”

                ฮ่องเต้เหลือบมองคนข้างกายที่กำลังเหม่อมองไปยังประตูด้านนอกและเล่าเรื่องของลูกชายตัวเองให้เขาฟังต่อ

                “...ที่ผ่านมา เขาไม่เคยทำให้น้าเป็นห่วงเลย ทั้งเรื่องการเรียนหรือกระทั่งเรื่องแฟน น้าเองก็รู้สึกภูมิใจที่เขาสอบเข้าเรียนที่มอภัคนลินได้ คิดว่าอนาคตของเขาจะต้องดี น้าคิดแบบนั้นมาตลอด จนกระทั่ง น้าได้ยินมาว่า...เขากำลังตามจีบผู้ชายคนหนึ่งอยู่”

                ใจของเขากระตุกวูบทันที อีกฝ่ายเองก็หันมาสบตากับเขาอย่างสื่อความหมายเช่นกัน

                “...แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ สมัยนี้ อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมด คงไม่มีใครมาถือเรื่องแบบนี้กัน” เธอเว้นจังหวะและมองหน้าเขาด้วยสายตาที่คาดเดาได้ไม่ยาก

                สายตาของคนเป็นแม่ที่ต้องการจะปกป้องลูกชายของตนเอง...

                “แต่ถ้าเธอเป็นแม่เขาจะคิดยังไงถ้าลูกชายของเธอคบกับผู้ชายกันเอง”

                “...”

                “ความสัมพันธ์ที่ไร้อนาคตแบบนี้ ถ้ามันเกิดขึ้นกับลูกชายของเธอเอง เธอจะทำยังไง”

 

                เธอจะทำยังไง...

                ทั้งหมดมันวนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดทั้งคืนจนกระทั่งในความฝัน ยอมรับว่าสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดมาทั้งหมด ทำให้เขาเจ็บปวดอยู่ลึกๆ ในใจ ต่อให้สมัยนี้หรือสมัยไหน มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับของคนเป็นพ่อแม่อยู่วันยังค่ำและมันก็ทำให้เขายิ่งคิดถึงคำพูดของใครบางคนในวันที่เขาเลือกให้ใจกับเขาไปแล้ว

 

                “พี่ขอโทษ แต่เต้ก็รู้ว่าความรักแบบเรามันเป็นไปไม่ได้ ครอบครัวของเราทั้งคู่ไม่มีทางรับเรื่องแบบนี้ได้หรอก ไอ้เรื่องอาถรรพ์สายรหัสอะไรนั่น มันก็แค่เรื่องที่กู่ขึ้นเพื่อหลอกนักศึกษาก็เท่านั้น เรากลับไปเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมเถอะ”

 

                พี่คินเอาแต่พูดว่าทุกอย่างมันไม่มีทางเป็นไปได้ ขณะที่เขาทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้รักกับอีกฝ่าย

                นี่คือเหตุผลที่ทำให้ฮ่องเต้กลัวที่จะเริ่มต้นใหม่กับใคร โดยเฉพาะกับคนในสายรหัสหรือกระทั่งสายเทค อาจจะเป็นเพราะคำพูดของพี่คินที่ว่า “... เรื่องอาถรรพ์สายรหัสอะไรนั่น มันก็แค่เรื่องที่กู่ขึ้นเพื่อหลอกนักศึกษาก็เท่านั้น...” มันฝังรากลึกลงไปในใจจนกลายเป็นอคติไปแล้ว เขาเองก็ไม่ได้อยากจะคิดแบบนั้น แต่เมื่อไหร่ที่เขาคิดจะปฏิเสธ ความกลัวกลับผุดขึ้นมาและมันก็มากเสียจนเขาไม่กล้าที่จะออกไปเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดอีก พาลให้เขาสับสนในตัวเองว่าแท้จริงแล้วเขารู้สึกยังไงและเอาแต่ลังเลว่าเขาควรจะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า

                ผมควรที่จะรักหรือหยุดความสัมพันธ์เอาไว้แค่รุ่นพี่รุ่นน้องกัน...

                ยิ่งได้เห็นโฟโต้เดินไปกับฝ้ายเมื่อวานด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้หงุดหงิดใจขึ้นมา แม้ว่าเขาจะพยายามปลอบใจตัวเองว่าบางที ฝ้ายอาจจะมีเรื่องปรึกษาโฟโต้จริงๆ อย่างเรื่องเรียน ก็ช่วงนี้ต้องซ้อมดาวเดือน แถมยังต้องเข้าห้องเชียร์ ต้องเรียนหนัก แถมเวลาน้อย เธออาจจะขอให้โฟโต้ไปช่วยติวให้ที่ห้อง แล้วก็....

                เฮ้ย! บ้าน่า คงไม่ถึงขั้นเข้าห้องกันหรอกมั้ง

                แล้วทำไมเขาถึงได้กลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยไปได้ แค่มันไปกับเพื่อนเอง...แค่เพื่อน...

                แต่ไปกับเพื่อนผู้หญิงเนี่ยนะ

            เสียงจิตใต้สำนึกร้องเตือน

                เพื่อนกัน เขาไม่มีทางทำอะไรเกินเลยหรอก

                จิตสำนึกกลับเห็นต่างออกไป

                แล้วถ้าเกิดฝ้ายสารภาพว่าชอบโฟโต้ล่ะ

                จิตใต้สำนึกยังคงไม่ยอมแพ้

                แต่โฟโต้กำลังจีบมึงอยู่นะเว้ย

                 จิตสำนึกพยายามคัดค้าน

                ก่อนที่ฮ่องเต้จะสะบัดหน้าไล่ความคิดให้เสียงพวกนั้นหายไปและสรุปกับตัวเองว่าเขาควรจะปล่อยวาง  ทว่าสายตาดันเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ที่ชาร์ตทิ้งก่อนออกไปสอบเพราะแบตหมดตั้งแต่เมื่อคืน แต่เขาดันมารู้เอาเสียตอนก่อนจะออกไปสอบ (ก็เขาไม่ใช่คนติดมือถือจนต้องเปิดดูตลอดเวลานี่นา) ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงทำให้เขาเด้งตัวไปที่ข้างเตียงและหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดู แอบหวังว่าจะเห็นคำอธิบายจากโฟโต้ แต่เปล่าเลย...

                หมายถึงโทรศัพท์ผมนี่แหละครับ ที่มีแต่ความว่างเปล่า

                สงสัยเมื่อคืนจะมัวแต่คุยกับฝ้ายจนดึกดื่น กว่ามันจะได้นอนก็คงข้ามวันพอดี สายป่านนี้ เลยยังไม่ตื่นล่ะมั้ง 

                ฮ่องเต้โยนมือถือลงบนเตียงและลุกขึ้นไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งเขาใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นธรรมดาเพราะวันนี้ไม่ได้ออกไปไหนไกล ก่อนจะเดินไปหยิบตะกร้าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าของสัปดาห์นี้ ยกเว้นแค่ชุดนักศึกษาที่เขาซักตากเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเพราะด้วยความที่เสื้อมันเป็นสีขาวและไอ้เขาก็กลัวว่าเครื่องมันจะซักไม่สะอาด เลยซักทุกครั้งหลังจากอาบน้ำเสร็จ

                หลังจากเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย ฮ่องเต้ก็เดินเอาผ้าลงมาซักที่เครื่องซักผ้าแบบหยอดเหรียญที่อยู่ตรงข้างหอและในขณะที่เขาเอาผ้าชิ้นสุดท้ายใส่ลงในเครื่องนั้นเอง

                “พี่เต้...”

                ฮ่องเต้หันไปมองด้านหลังแบบงงๆ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อโฟโต้พุ่งเข้ามาหาเขา ใบหน้าตึงเครียดแบบที่เขาไม่เข้าใจ

                เออ กูก็ไม่เข้าใจมึงเหมือนกันเว้ย!

                หน้าตาโฟโต้ดูเหมือนคนอดหลับอดนอนมา จนฮ่องเต้อดคิดไปไม่ได้ว่ามันคงจะคุยกับเพื่อนจนดึกจริงๆ

                “ที่พี่บอกผมเมื่อวาน มันเรื่องจริงเหรอครับ”

                ฮ่องเต้สตันไปสามวินาทีกับคำถามที่ไม่มีที่ไปที่มาของอีกฝ่าย ก็เมื่อวาน หลังจากซ้อมดาวเดือนเสร็จ เขาก็ไม่ได้คุยกับมันเลยนี่ มันก็สมควรเป็นเขาหรือเปล่าที่ต้องทำหน้าไม่เข้าใจ

                “พี่ต้องการแบบนั้นจริงๆ เหรอ”

                ต้องการ?

            แบบนั้น?

                “อะไรของมึงวะ”

                เขามองอีกฝ่ายที่ผ่อนลมหายใจอย่างต้องการจะสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ ก่อนที่มันจะค่อยๆ อธิบาย

                “เมื่อวาน หลังจากที่ผมพยายามโทรหาพี่ แล้วพี่ไม่ยอมรับสาย ผมเลยส่งข้อความไปหาเพื่ออธิบายว่าระหว่างผมกับฝ้าย มันไม่ได้มีอะไรทั้งนั้น แม่ของฝ้ายเข้าโรงพยาบาลเพราะโดนโจรทำร้าย แต่เธอไม่ได้เอารถมา เลยขอผมไปส่งและขอให้ผมอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้นเอง”

                ทันทีที่โฟโต้พูดจบ ฮ่องเต้ก็ชาวาบไปทั้งร่าง...

            แม่ของฝ้ายเขาโรงพยาบาล แต่ผมกลับเอาแต่หงุดหงิดและตัดพ้อไอ้โฟโต้ ผมนี่มันแย่ชะมัด

                “...ทีแรก ผมคิดว่าพี่จะเข้าใจ แต่จู่ๆ พี่ก็บอกว่าให้ผมเลิกยุ่งกับพี่สักทีเพราะพี่ไม่มีทางชอบผม อีกอย่างพี่ก็เห็นว่าผมกับฝ้ายเหมาะสมกันดี เลยอยากให้ผมคบกับฝ้าย...”

                “กูเนี่ยนะ ส่งข้อความไปบอกมึงแบบนั้น”

                “ก็ใช่สิครับ เมื่อคืนผมเลยต้องพยายามติดต่อพี่ โทรไปหาทั้งพี่นิว พี่สีฝุ่น แต่ก็ไม่มีใครติดต่อพี่ได้เหมือนกัน พอแม่ของฝ้ายพ้นขีดอันตราย ผมก็เลยมาตามหาพี่ที่หอทันที แต่พี่ก็ออกไปเรียน ผมเลยรอจนเจอพี่”

                ฮ่องเต้อ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อกับหูของตัวเอง

                “แต่ก็ช่างเถอะครับ สิ่งที่ผมอยากรู้ตอนนี้คือเรื่องข้อความที่พี่ส่งมาหาผมเมื่อคืน ตกลงว่าพี่ต้องการแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ”

                “กูไม่ได้ส่ง!!” ฮ่องเต้โพล่งออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดจากการถูกคาดคั้นและนั่นทำให้โฟโต้หน้าเหวอทันที

                “พี่เต้...หมายความว่าไง”   

                “เมื่อวาน หลังจากกลับจากงานดาวเดือน กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแบตมือถือกูหมดตอนไหน มาเห็นอีกทีก็ไอ้ตอนที่เครื่องดับไปแล้ว ดังนั้น กูจะส่งข้อความไปหามึงได้ยังไง”

                “แต่เมื่อวานผมยังโทรหาพี่ติดอยู่เลย”

                “กูถึงบอกไงว่ากูก็ไม่รู้ว่าแบตมันหมดตอนไหน...” ผมชะงักอย่างนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะถามมันกลับ “...แล้วมึงโทรมาหากูตอนไหน”

                “ผมโทรไปหาพี่ตลอดตั้งแต่ตอนเกือบสามทุ่มนั่นแหละครับ”

                ...ตอนนั้น ผมยังอยู่ที่ห้องของไอ้นัทอยู่เลยนี่ครับ

                เขาจำได้ว่าใส่มือถือไว้ในกระเป๋าเป้ที่เอาขึ้นไปด้วย แต่เขาก็หิ้วมันไปด้วยตลอด จะเอาวางไว้ก็แค่ก่อนออกไปซื้ออุปกรณ์ทำแผลให้นัทกับตอนที่เอาจานไปล้างที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ

                แต่มันจะเป็นฝีมือไอ้นัทจริงๆ เหรอ คนแบบนั้นไม่น่ามีความคิดที่จะทำอะไรแบบนี้ได้ 

                “ตอนนั้น พี่เต้อยู่กับใครครับ...”

                ฮ่องเต้หันไปมองหน้าโฟโต้เลิกลักอย่างคนคิดอะไรไม่ทัน เพราะถ้าไม่บอก โฟโต้ก็จะเข้าใจผิดอยู่แบบนี้ แต่ถ้าขืนพูดความจริงไป โฟโต้กับนัทก็จะผิดใจกันอีก

                และเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา “เอาเป็นว่าข้อความพวกนั้น กูไม่ได้เป็นคนส่งก็แล้วกัน”

                ตอบออกไปพลางลอบมองโฟโต้ที่ขยับปากเหมือนอยากจะซักถามอะไรต่อ สีหน้าของมันยังค้างคาใจกับคำตอบของเขาไม่หาย (เป็นเขาก็คาใจเหมือนกันนั่นแหละ) ทว่ามันกลับถอนหายใจออกมาอย่างคนยอมแพ้

                “ใครจะส่งก็ช่างเถอะครับ แค่ผมได้รู้ว่าพี่ไม่ได้คิดแบบนั้น ผมก็ดีใจแล้ว”

                ฮ่องเต้หลบสายตาของอีกฝ่ายและทำเป็นจะใส่ผงซักฟอกลงในช่อง ทว่าโฟโต้ก็คว้ากล่องใส่ผงซักฟอกในมือของเขา มันแย่งไปอย่างเดียวไม่ว่าหรอก แต่เพราะอีกฝ่ายดันประกบด้านหลังและเอื้อมมือมาด้านหน้าเขาด้วยี่สิ

                 นึกออกไหมครับ ไอ้ท่ายืนกอดจากทางด้านหลังเหมือนที่คู่รักเขาชอบทำกันน่ะ

                “ทำอะไร เดี๋ยวมีคนมาเห็น” ผมโวยวายพลางลอบมองไปรอบข้างอย่างระแวดระวัง

                “อยากช่วยว่าที่แฟนซักผ้า ผมผิดด้วยเหรอครับ”

                โฟโต้พูดเสียงออดอ้อน ก่อนที่ฮ่องเต้จะสะดุ้งสุดตัวเมื่ออีกฝ่ายดันโน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อเอื้อมมือมาไปดึงฝาเครื่องซักผ้า แต่การที่มันทำแบบนั้นมันทำให้เขาต้องก้มไปข้างหน้าตามแรงทับของมัน พอจะขยับหนี ด้านหน้าก็ติดเครื่องซักผ้า ด้านหลังก็ติดโฟโต้

                ก็มันเล่นเอาตัวมาติดชนิดที่หลังของผมแนบชิดกับอกของมันเลยนี่ครับ

                ยังไม่พอ มันยังจะล้วงเหรียญในกระเป๋ากางเกงออกมาและหยอดลงไปในตู้ ทั้งๆ ที่เรายังคากันอยู่ท่านี้...

                เฮ้ย เดี๋ยวๆๆ  ผมจะใช้คำอธิบายแบบนี้ไม่ได้!

                เอาเป็นว่ามันเอาเหรียญหยอดลงไปโดยที่มันยังคงกอดเขาเอาไว้อย่างนั้นนั่นแหละ ไม่รู้ว่าโฟโต้จะรู้ตัวไหมว่ามันกำลังจะทำให้เขาคลั่งตายคาถังซักผ้า

                “แปปนึงนะครับ ผมมองไม่เห็นรูเลย”

                มันหมายถึงรูหยอดเหรียญน่ะครับ อย่าคิดเป็นอื่น

                แต่มันก็คงจะเห็นหรอกนะ เพราะแทนที่มันจะเอาหน้าของมันย้ายไปตามฝั่งที่ตู้หยอดเหรียญอยู่ แต่มันกลับเอาหน้าของมันมาแนบกับหน้าของเขาและชะเง้อมองไปทางที่ตู้อยู่แทน แบบนี้ เขาก็บังมันหมดสิ

                “มึงแค่ถอยออกไปก็จบแล้วไหม”

                “ไม่ครับ อุตส่าห์ได้กอดพี่ทั้งที”

                “เอามานี่!”  ฮ่องเต้สุดจนทนกับอีกฝ่าย เลยหันไปคว้าเหรียญจากมือมันและรีบๆ หยอดลงไปให้จบๆ เรื่อง

                และในจังหวะนั้นเอง ที่โฟโต้ฉวยโอกาสหอมแก้มเขาไปฟอดใหญ่ ทำเอาเขาสตัน สมองเบลอไปชั่วขณะ ก่อนที่โฟโต้จะผละออกไปยืนยิ้มระรื่น

                “แก้มแฟนใครก็ไม่รู้ หอมจัง”             

                “ใครแฟนมึง!?”

                “ก็พี่ไง”

                “กูยอมเป็นแฟนมึงตอนไหนวะ!?

                “ตอนนี้เลยก็ได้นะครับ ถือว่าให้ผมได้รับผิดชอบที่หอมแก้มพี่ไปเมื่อกี้”

                “ไอ้เชี้ยนี่!!” เขาหันไปหมายจะยกตะกร้าปาใส่มัน ทว่าอีกฝ่ายกลับยกมือขึ้นร้องห้ามเพราะเสียงมือถือที่ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน

                “ว่าไง ไอ้ฟิวด์...”

                ฮ่องเต้ลดมือข้างที่ถือตะกร้าลง มองอีกฝ่ายคุยโทรศัพท์ ทว่าหน้าของโฟโต้กลับเริ่มตึงเครียดขึ้นมาเสียจนฮ่องเต้เริ่มเป็นห่วง

                “กูอยู่กับพี่เต้ มีอะไรหรือเปล่าวะ” โฟโต้ว่าพลางเหลือบตามามองด้วยสายตาที่ฮ่องเต้เองก็คาดเดาไม่ได้ แต่สังหรณ์ใจว่าจะมีเรื่องไม่ดียังไงไม่รู้

                “เออ ถ้างั้นมึงก็ถ่วงเวลาไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวกูไปหา”

                ฮ่องเต้มองอีกฝ่ายที่วางสายไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกไป

                “พี่เต้ ไปกับผมหน่อยสิครับ”             

                “มี...อะไรวะ” ฮ่องเต้หันมาถามแบบงงๆ

                “พี่ซันกับไอ้เปรมมีเรื่องกันครับ”

                “หะ เรื่อง...เรื่องอะไร”

                “ไปก่อนเหอะครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังระหว่างทาง” 

                และโฟโต้ก็ไม่รอให้เขาได้ถามอะไรอีก รีบลากเขาไปที่รถซึ่งจอดไว้ข้างหอใกล้ๆ  ทันที

               

               

 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 35 ภายในใจ

                “อะไรวะ กูไม่เห็นเข้าใจเลย”

                ฮ่องเต้โพล่งออกไป หลังจากนั่งฟังโฟโต้มานานสองนาน แต่ไม่ยักกะเข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขาและคนข้างๆ  จะต้องมาทะเลาะอะไรกันรุนแรงขนาดนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ซันเป็นฝ่ายหลบหน้าเปรมมาตลอด เลี่ยงได้เป็นเลี่ยงเพราะมันเคยบอกว่าเกลียดขี้หน้าชนิดแบบไม่อยากเห็นแม้แต่เส้นผม จะมีก็ไอ้แค่ช่วงที่เปรมเข้ามาวุ่นวายกับซินเท่านั้น มันถึงต้องไปเผชิยหน้ากับเปรมเพื่อปกป้องน้องสาว

                แล้วงี้ เพื่อนผมจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ

            เขาได้แต่กระวนกระวายใจมาตลอดระยะทางบนรถ จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าลิฟต์ ทุกอย่างดูเหมือนช้าลงไปถนัดตา ถ้าเทียบกับความว้าวุ่นภายในใจของเขา ทั้งเป็นห่วง กลัวว่าจะเกิดอะไรรุนแรงขึ้น ทั้งกังวลใจว่าเรื่องราวทุกอย่างจะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ชนิดหาน้ำไหนมาดับไฟไม่ได้

                “ใจเย็นครับ สำหรับพี่ซัน เปรมมันไม่กล้าทำอะไรรุนแรงหรอก” โฟโต้ว่าอย่างปลอบใจ เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของอีกฝ่ายที่ผิดไว้ไม่มิด ขณะก้าวเข้าไปในลิฟต์ด้วยกัน

                “เพื่อนมึงกูไม่ห่วงหรอก ห่วงแต่เพื่อนกูมากกว่า หัวร้อนหัวรั้นขนาดนั้น ใครก็เอามันไม่อยู่หรอก”

                “แต่ผมว่า...มีคนหนึ่งนะครับ ที่ เอา อยู่” พลันร้อยยิ้มประหลาดก็ปรากฏบนใบหน้าของโฟโต้ ให้ฮ่องเต้ต้องสงสัย

                “มึงหมายความว่าไงวะ”

                “อีกไม่นาน พี่ก็รู้เองครับ”

                “ทำเป็นความลับไปได้” ฮ่องเต้เบ้ปากใส่ ให้โฟโต้อดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ ก่อนที่ลิฟต์จะเปิดออกและทั้งคู่ก็รีบตรงดิ่งไปยังจุดเกิดเหตุอย่างห้องของเปรมทันที

                โฟโต้เป็นฝ่ายเคาะประตูและเรียกคนด้านในให้มาเปิด หากแต่กลับไร้วี่แววว่าคนข้างในจะยอมออกมาเปิดประตูให้แม้แต่น้อย ทว่ากลับมีแต่เสียงดังโครมครามดังเล็ดลอดออกมาจากข้างในห้อง ซึ่งมันยิ่งทำให้ฮ่องเต้ร้อนใจเข้าไปใหญ่ จนเป็นฝ่ายเคาะประตู เรียกเพื่อเขาอีกหน

                “ไอ้ซัน! ไอ้ซันนน!!”

                แม้จะตะโกนเรียกดังแค่ไหน เคาะประตูซ้ำเท่าไหร่ ก็ยังคงไม่มีใครมาเปิดประตูให้

                “เอาไงดีวะ” ฮ่องเต้หันไปขอความเห็นจากคนข้างๆ ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นมาได้ว่า “กุญแจ! เดี๋ยวกูไปเอากุญแจข้างล่าง”

                โฟโต้รีบคว้าคนที่กำลังจะหุนหันพลันแล่นไว้แทบไม่ทัน หลังจากพูดเสร็จก็เตรียมพุ่งตัวออกไปข้างหน้าตามความคิด       

                “เดี๋ยวผมไปขอให้ครับ พี่รอดูสถานการณ์อยู่ที่นี่” พูดจบ โฟโต้ก็กะจะเดินกลับไปที่ลิฟต์ ทว่าใครบางคนกลับวิ่งสวนมาเสียก่อน

                “ไม่ต้องครับ ผมไปเอากุญแจมาแล้ว” เป็นกาฟิวด์ที่ร้องบอกพร้อมกับส่งกุญแจไปให้เพื่อน มือไม้ก็สั่นไปหมด แถมยังหอบแหกๆ อีก

                จนโฟโต้ต้องเป็นฝ่ายเอากุญแจไปเปิดประตูห้องแทนและเมื่อทั้งสามคนโผล่พรวดเข้าไปในห้อง...

                “เชี้ยยยยยยยยยยยย”

                ต่างก็ร้องเสียงหลงเพราะร่างของคนทั้งคู่ที่อยู่บนพื้น ท่ามกลางข้าวของกระจัดกระจายราวกับเพิ่งผ่านสงครามมาหมาดๆ และเสื้อผ้า...ที่หลุดลุ่ย กองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

                เปรมเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตื่นตระหนก ส่วนซันดูเหมือนจะหมดแรงไปในที ร่างทั้งร่าง จากที่ดีดดิ้นจะเป็นจะตาย เริ่มอ่อนแรงและส่งเสียงหอบหายใจออกมาอย่างหนัก ท่ามกลางสายตาคนทั้งสามที่มองมาแบบอึ้งๆ

                กับโฟโต้...เขาแค่ไม่คิดว่าจะเข้ามาเจอจังหวะนี้เข้า

                แต่กับฮ่องเต้...เขาทั้งตื่นตระหนกกับภาพตรงหน้าที่เขาไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอและตกใจกับสถานการณ์ระหว่างเพื่อนเขาที่กำลังตกเป็นของรุ่นน้องที่เกลียดขี้หน้ากันมานานถึงห้าปี ทั้งที่ซันเอาแต่พูดมาตลอดว่าเปรมจีบซิน แต่ไอ้ที่เขาเห็นอยู่ ทำไมมันถึงได้...พลิก...แบบนี้

            สรุปว่า...ไอ้น้องเปรมมันชอบซินหรือไอ้ซันเพื่อนเขากันแน่วะ

            ระหว่างนั้น ซันก็รวบรวมแรงทั้งหมด ผลักเปรมออกไปจากร่างของตน ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าขึ้นมาสวมอย่างทุลักทุเล ท่ามกลางความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ที่ปรี่เข้าไปช่วยด้วยความเป็นห่วงและสายตาของเปรมที่มองมาด้วยความเจ็บปวด

                “พี่ซัน...”

                “มึงไม่ต้องมาเรียกชื่อกู กู...ฮึก...” ซันกลืนก้อนที่จุกอยู่ในลำคอลงไป ไม่แม้แต่จะหันไปมองคนที่อยู่เบื้องหลัง “...กู...เกลียด...มึง”

                แม้จะเป็นสิ่งที่ได้ยินมาตลอด หากแต่คำว่า เกลียด ในครั้งนี้ กลับทำให้เปรมเจ็บเสียยิ่งกว่าที่ได้ยินครั้งไหน หากแต่ก็ได้แต่มองคนตรงหน้าที่ถูกพยุงออกจากห้องไปอย่างไม่อาจจะทำอะไรได้

                “ผมจะทำให้พี่รักผมให้ได้” พึมพำเบาๆ กับตน แม้ว่าจะยังมองไม่เห็นหนทางก็ตาม เขายอมรับว่าทั้งหมด มันเป็นเพราะอารมณ์ร้อนของเขา ที่พาลทำให้ทุกอย่างพังไม่เป็นท่าเช่นนี้

                “ไอ้เปรม มึงไหวไหมวะ” โฟโต้เอ่ยถาม ขณะที่กาฟิวด์ปิดประตูและเดินตามเข้ามาสบทบ สองมือก็ช่วยเก็บข้าวของในห้องไปพลาง ส่วนเจ้าตัวก็ได้แต่ถอนหายใจก้มลงไปเก็บเสื้อผ้ามาใส่

                “ไหว แค่เหนื่อยนิดหน่อย” เปรมตอบกลับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างปิดไว้ไม่มิด เสียจนเพื่อนรักทั้งสองอดเป็นห่วงไม่ได้

                “มีอะไรหรือเปล่า จู่ๆ ทำไมมึงถึงได้...” กาฟิวด์เอ่ยปากถามเพียงเท่านั้น เพราะไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเพื่อนเขาจะโอเคกับการถูกถามแบบนี้หรือเปล่า

                หากแต่เปรมกลับหันไปมองโฟโต้อย่างชั่งใจ สักพัก แต่ก็ทำเพียงแค่ลอบถอนหายใจออกมา

                “ไม่มีอะไรหรอก เรื่องซินนั่นแหละ แต่ครั้งนี้ กูแค่อารมณ์ร้อนไปหน่อย”

                คำตอบของเปรม ทำเอาโฟโต้ต้องจ้องหน้าคนพูดอย่างจับผิด เพราะนอกจากพิรุธที่ส่อออกมาทางสายตาแล้ว การที่เพื่อนเขานิ่งไปแบบนี้ มันยิ่งดูผิดปกติเข้าไปใหญ่

                “กูว่ามึงมีเรื่องที่ไม่ยอมบอกกูนะ” แต่เรื่องอะไรที่ว่าที่ทนาย (ในอนาคต) อย่างเขาจะยอม คาดคั้นได้ก็ต้องคาดคั้น  “อย่าเอาเรื่องซินมาอ้างหน่อยเลย”

                เพราะถูกดักทาง คนฟังถึงกับต้องมุ่นคิ้วด้วยความหนักใจ ท้ายที่สุกก็ทนแรงกดดันไม่ไหวและยอมปริปากพูดออกมา

                “เออ อันที่จริง มันเป็นเรื่องของมึงกับพี่เต้...”

                “ทำไม?” โฟโต้เร่งถามต่ออย่างกระตือรือร้นเพราะเกรงว่าซันจะคิดแผนใหญ่มาขวางทางเขาอีก

                “ก็อย่างที่มึงรู้ ว่าเขาไม่พอใจที่เห็นมึงตามจีบเพื่อนเขา เขาเลยขู่ว่าจะกำจัดมึงให้พ้นทาง ยังไงมึงก็ระวังเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน กูว่าเขาวางแผนเก่งพอตัวอยู่”

                โฟโต้เป็นอันต้องเครียดตามทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ในบรรดาศัตรูของเขา ก็เห็นจะมีซันนี่แหละ ที่อันตรายที่สุด เพราะเป็นทั้งเพื่อนรักของฮ่องเต้มาตั้งแต่ตอนประถม พูดอะไรไปยังไงเขาก็เป็นรองอยู่ดี

                “เอาไว้กูจะหาทางช่วยมึงอีกแรงก็แล้วกัน” เปรมบอกพร้อมทั้งเอามือมาจับบ่าของโฟโต้ ออกแรงบีบเบาๆ อย่างต้องการให้กำลังใจอีกฝ่าย

                “อืม ขอบใจมึงมากนะเว้ย” และเป็นอันต้องถอนหายใจออกมา “เรื่องพี่ซัน กูก็มืดแปดด้านจริงๆ ว่ะ มึงเป็นความหวังเดียวของกูเลยนะเว้ย ถ้าพี่ซันลงเอยกับมึงได้ ทุกอย่างก็จบ”

                นั่นทำให้เปรมเงียบไปสักพัก สายตาเอาแต่เหม่อลอยจนกระทั่งคิดได้ว่า

                “กูจะบอกความจริงกับเขา”

                “ความจริง?”

                ก่อนจะหันหน้ามามองเพื่อนทั้งสองคนที่กำลังมองอยู่เช่นกัน “ทั้งเรื่องของซิน แล้วก็ความรู้สึกกู”

                “นี่...มึงยังไม่ได้บอกเขาเหรอวะ”

                “เปล่า เขาไม่ยอมฟังกูเลยต่างหาก” เปรมตัดพ้อออกมา ความเศร้าฉายผ่านแววตาจนคนรอบข้างสัมผัสได้ แต่ก็เพียงชั่วครั้งคราวเท่านั้น ก่อนที่สายตาจะมองเพื่อนของตนอย่างจริงจัง

                “แล้วมึงกับพี่เต้ ไปถึงไหนแล้ววะ”

                พลันกลับกลายเป็นโฟโต้ที่ต้องถอนหายใจออกมา “ถึงไหนอะไรล่ะวะ เขายังไม่เชื่อใจกูเลย”

                “ไม่เชื่อใจ...เรื่องที่มึงจีบเขาหรือเปล่า”

                “มึงน่าจะไปเป็นหมอดู” โฟโต้หันไปฝืนยิ้มให้กับกาฟิวด์ตั้งข้อสันนิษฐานได้ตรงเผง

                “กูว่ามันก็เป็นเรื่องปกตินะเว้ย ถ้าเขาจะลังเล เพราะถึงมึงกับเขาจะยอมรับเรื่องเพศสภาพได้ แต่มึงอย่าลืมว่ายังมีคนในครอบครัวอีกนะเว้ย ผู้ชายทั้งคู่ ไหนจะเรื่องแต่งงาน เรื่องลูกอีก ความรักแบบพวกมึง มันมีข้อจำกัดอีกหลายด้าน อีกอย่าง พวกมึงก็ยังไม่เคยคบกับผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ มันก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะลังเลและไม่เชื่อว่ามึงจะจริงจังกับเขา ดีไม่ดี เขาอาจจะคิดว่ามึงแค่สับสนด้วยซ้ำ”

                และโฟโต้ก็ได้แต่มองหน้าเพื่อนแบบอึ้งๆ

                “อะไร มองหน้ากูแบบนั้นหมายความว่าไง” เปรมหันมาชักสีหน้าใส่

                “เปล่า ก็แค่รู้สึกเป็นบุญหูที่ได้ยินมึงพูดอะไรแบบนี้”

                “ไอ้นี่...ที่กูอุตส่าห์พูดให้ฟัง ก็เพราะเห็นว่าช่วงก่อนมึงก็เอาแต่เครียดจนนอนไม่หลับหรอก ดึกๆ ดื่นๆ ไม่รู้จักหลับจักนอน”

                “ก็กูนอนไม่หลับ...” โฟโต้ชะงักคำพูดอย่างนึกขึ้นได้ “...แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูยังไม่นอน”

                “ก็ห้องมึงเปิดไฟทิ้งไว้ยันตีสองตีสาม จะให้คิดว่ามึงเปิดไฟนอนหรือไง ทำอย่างกับทุกทีมึงนอนหลับลงทั้งๆ ที่ไฟสว่างโร่อย่างนั้น”

                “เออ สองสามวันมานี้กูก็เครียดจนนอนไม่หลับจริงๆ นั่นแหละวะ กูไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงพี่ฮ่องเต้ถึงจะเลือกกู ไม่ใช่ไอ้นัท”

                “แล้วทำไมมึงต้องไปกังวลเรื่องคนอื่นด้วย สำคัญที่สุดคือตัวมึงเองไม่ใช่หรือไง หน้าที่ของมึงตอนนี้มีแค่ทำให้พี่ฮ่องเต้เชื่อว่ามึงจริงใจกับเขาและถ้ามึงทำได้ ก็ไม่มีอะไรให้มึงต้องคิดมากอีก” กาฟิวด์เปิดปากพูด ก่อนที่เปรมจะเสริมทับ

                “อันนี้ กูเห็นด้วย แต่ก่อนอื่น กูว่ามึงเคลียร์กับที่บ้านมึงก่อนไหม เผื่ออะไรๆ จะง่ายขึ้น”

                “กูว่าพ่อกับแม่กูคงไม่มีปัญหาหรอก” โฟโต้พูดไปตามสิ่งที่คิดทว่าเปรมกลับทำหน้าเครียดจนอดระแวงไม่ได้

                “อันที่จริง พวกกูมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้บอกมึง” เปรมละสายตาจากเขาไปหาไอ้กาฟิวด์เพื่อให้เปิดอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ ก่อนที่เปรมจะหันมาพูดกับเขา

                “หลายวันก่อน พ่อกับแม่มึงโทรมาหาพวกกูเรื่องมึงกับพี่ฮ่องเต้ กูไม่รู้ว่าเรื่องหลุดไปถึงหูพ่อแม่มึงได้ยังไง...”

                โทรศัพท์ของกาฟิวด์ถูกส่งมาให้เพื่อยืนยันสิ่งที่พวกมันพูดด้วยรูปถ่ายของเขากับพี่ฮ่องเต้ ทั้งรูปตอนที่เจาเจอกับฮ่องเต้ครั้งแรกที่ลานจอดร้านเหล้า รูปตอนที่เขาพาฮ่องเต้ไปกินข้าว รูปตอนที่เขาไปหาฮ่องเต้ที่หอและไหนจะรูปที่เขาใกล้ชิดกับฮ่องเต้ตอนอื่นๆ อีก บางรูปมันดูไม่น่าจะหลุดมาได้เลยด้วยซ้ำ นั่นทำให้โฟโต้รูปสึกไม่สบายใจ

                “ใครทำวะ”

                “พวกกูพยายามสืบแล้วนะเว้ย แต่เหมือนมันไหวตัวทัน บล็อกพวกกูไว้ทุกช่องทางเลยว่ะ” เปรมอธิบายเสียงเครียดกว่าเดิม

                “กูว่ามึงอย่าเพิ่งสนใจเลยว่าใครทำ มึงสนใจแค่ว่า...มึงจะรับมือพ่อแม่ตัวเองยังไงดีกว่า อย่างที่ไอ้เปรมต้องการจะบอกว่ามึงยังมีครอบครัวอยู่และใช่ว่าพ่อแม่จะรับเรื่องแบบนี้ได้เหมือนกันหมดทุกคนนะเว้ย”

                โฟโต้มองหน้าเพื่อนทั้งสองด้วยความตึงเครียดมากกว่าเดิม...

                ยิ่งนึกไปถึงเรื่องที่กราฟิกเคยบอกเอาไว้แล้ว ยิ่งทำให้เขาไมเกรนจะขึ้น

                “เอาน่า ถ้าพ่อแม่มึงยอมรับได้ อย่างน้อยมึงก็มีคนซัพพอร์ตเรื่องพี่ฮ่องเต้นะเว้ย” กาฟิวด์บอก

                “บางทีพ่อแม่ของมึงอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้พี่ฮ่องเต้เชื่อใจมึงก็ได้” และเปรมก็ช่วยเสริม

                และสุดท้ายโฟโต้ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา “เออ ยังไงกูก็ไม่มีทางให้อะไรมาเป็นอุปสรรคกับความรักครั้งนี้ของกูแน่”

                เพราะในเมื่อเขาเลือกที่จะรักพี่ฮ่องเต้ไปแล้ว เขาเองก็ควรจะรับผิดชอบด้วยการต่อสู้กับทุกสิ่งตรงหน้าอย่างไม่มีข้อแม้...

                 

 

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 36 ก็มันรู้สึกไปแล้ว

                วันนี้ โฟโต้โทรมาแต่เช้าเพื่อปลุกเขาให้ไปกินข้าวด้วยกัน แต่ด้วยความขี้เกียจ อันที่จริงมันเป็นเพราะเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานด้วย ทำให้ฮ่องเต้เลือกที่จะปฏิเสธอีกฝ่ายไปและนอนต่อ ทว่าโฟโต้กลับบุกเข้ามาหาเขาถึงห้อง ทำให้เขาหงุดหงิดงัวเงียเหมือนอย่างในตอนนี้

                “มากินข้าวกันครับ” โฟโต้หันมายิ้มจนตาหยี ขณะที่มือวางจานข้าวลงบนโต๊ะ ฮ่องเต้เดินเอื่อยๆ พลางเช็ดผมไป จนกระทั่งถึงหน้ากระจก แต่เป็นอันต้องสะดุ้ง...กับความหล่อของตัวเอง

                เอ๊ย ไม่ใช่ เพราะโฟโต้ดันเอามือมาจับผ้าในมือเขาต่างหาก แถมในมืออีกข้างของมันยังมีไดร์เป่าผม (ไปเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ) เตรียมไว้เรียบร้อยราวกับมันเตรียมการทุกอย่างมาดีแล้ว

                “เดี๋ยวผมช่วยครับ” หนุ่มรุ่นน้องบอกพร้อมกับพยายามแย่งผ้าในมือไป

                “ไม่ต้อง...”

                “เถอะน่า” และมันก็แย่งผ้าในมือของเขาไปสำเร็จพร้อมกันนั้น มันยังดันตัวเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ แต่เรื่องอะไรที่เขาจะต้องยอมให้มันทำแบบนั้นกันล่ะ ตั้งแต่โตมาก็เห็นจะมีแต่ตอนประกวดดาวเดือนคณะที่เขายอมให้คนอื่นทำผมให้ แต่จู่ๆ จะปล่อยให้คนอื่นมาเซ็ทผมให้แบบนี้ มัน...ไม่ชินนี่ แถมยิ่งเป็นโฟโต้ด้วยแล้ว ยิ่ง...

                ยิ่งทำให้รู้สึกเขินแปลกๆ

                “กูทำเองได้น่า”

                “อย่าดื้อสิครับ พี่เต้!” มันเริ่มทำเสียงดุ ประหนึ่งว่าเขาเป็นน้องชายของมัน

                แต่กูเป็นรุ่นพี่มึงนะเฮ้ย!

                “พี่เลือกเอานะครับ ระหว่างจะนั่งลงให้ผมเซ็ทผมให้พี่ตรงนี้ หรือว่าพี่จะนอนให้ผมเซ็ทผมให้ตรงโน้น”

                ไอ้ตรงโน้นที่โฟโต้หมายถึงก็คือเตียง...

                และเมื่อเขาเอาแต่เงียบ...

                “โอเคครับ ผมว่าพี่น่าจะชอบนอนให้เซ็ทผมมากกว่า”

                “ไม่ใช่เว้ย!” ฮ่องเต้โวยวายพร้อมกับขืนตัวทันทีที่กำลังจะถูกลากไปที่เตียง

                ไอ้เด็กนี่มันไม่เคยไว้ใจได้เลยเว้ย!!

                “ถ้าไม่ใช่ก็นั่งลงครับ”

                “มึงนี่...”

                “หรือพี่จะเปลี่ยนใจ”

                ฮ่องเต้เบะปากใส่ก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งที่เก้าอี้อย่างยอมจำนน ทำให้โฟโต้ได้ใจ ฉีกยิ้มกว้างอย่างสาสมแก่ใจ ก่อนที่มันจะเริ่มใช้ผ้าเช็ดผมให้ ขณะที่เขาได้แต่ทำหน้าไม่สบอารมณ์มองมันที่โคตรของโคตรจะอารมณ์ดีผ่านทางกระจก ใบหน้าที่สดใสด้วยรอยยิ้มของมันทำให้ใจของเขาอ่อนลงไปอย่างน่าประหลาด

                จะว่าไป มือมันก็เบาใช้ได้เหมือนกันแหะ ทำเอาซะผมสบายหัวจนจะเคลิ้มหลับอีกรอบ

                “สบายไหมครับ” โฟโต้ถามพร้อมกับมองหน้าเขาผ่านกระจกเงาตรงหน้า

                “ก็ดี” ฮ่องเต้ตอบและเลี่ยงสายตาไปมองทางอื่น รู้สึกได้เลยว่าตอนนี้มือของเขามันว่างเกินไปและนั่นทำให้เขาได้แต่หยิบนั่นนี่บนโต๊ะไปเรื่อย ก่อนที่โฟโต้จะจัดการไดร์และเซ็ทผมให้ต่อ

                อันที่จริง เขาก็รู้สึกดีไม่น้อยที่อีกฝ่ายพยายามทำทุกอย่างให้และคอยดูแลเขาเป็นอย่างดี แต่อาจจะเป็นเพราะจุดเริ่มต้นของเขากับเด็กคนนี้ไม่ได้เริ่มจากการพูดจาเพราะๆ เจอกันในสถานการณ์ที่น่าจดจำ แต่กลับเริ่มต้นด้วยการพูดจากวนประสาท แถมอคติที่มีต่อเรื่องอาถรรพ์สายรหัส ทำให้เขาพยายามจะหงุดหงิดใส่มันตลอดเวลาจนเกิดเป็นความเคยชิน ถ้าจะให้เปลี่ยนเป็นพูดจาดีๆ หรือทำตัวปกติกับมันแล้วล่ะก็...เขาคงทำตัวไม่ถูก แต่เขาก็รู้สึกดีตรงที่มันไม่ถือสาที่เขาเอาแต่โวยวายเลยสักนิด ตรงกันข้ามมันกลับพยายามทำให้ใจของเขาอ่อนลงไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้เขาเปิดใจและยอมรับมันได้อย่างง่ายดาย

                “มีความสุขใช่ไหมล่ะครับ”

                ฮ่องเต้สะดุ้งกับเสียงของโฟโต้ที่โน้มใบหน้ามาใกล้จนแก้มแถบจะชนแก้มตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันสบลึกเข้าไปในดวงตาของเขาผ่านกระจกเงาและคลี่ยิ้มออกมา

                “ผมดีใจนะครับ ที่เห็นพี่เต้ยิ้มออกสักที”

                ฮ่องเต้เลิกลักอย่างคนทำตัวไม่ถูก “ยิ้มอะไรล่ะ พูดมากอยู่ได้ รีบๆ ทำให้เสร็จๆ กูมีเรียนแปดโมงนะเว้ย”

                “เสร็จตั้งนานแล้วครับ”

                “หะ...” เขาเงยหน้าขึ้นไปมองตัวเองในกระจก ก่อนจะหน้าขึ้นสีด้วยความเขินอาย

                “ชอบจัง เวลาที่เห็นพี่เขิน ผมใจเต้นแรงมากเลยรู้ไหมครับ” ท้ายประโยคโฟโต้เขยิบเข้ามากระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหู สายตาของมันเหมือนกำลังจะสื่อความอะไรบางอย่าง นั่นทำให้หนุ่มรุ่นพี่ขี้เขินต้องรีบผลักหนุ่มรุ่นน้องจอมเย้าแหย่ออกไปและลุกขึ้น

                “พูดมาก”

                ฮ่องเต้เดินหนีออกมานั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือและเก็บข้าวของใส่กระเป๋า ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนที่เดินตามมา ทว่าอีกฝ่ายกลับเข้ามาสวมกอดเขาจากทางด้านหลัง

                “ปล่อย...” ฮ่องเต้ว่าเสียงเครียด แต่โฟโต้กลับเอาแต่กระชับกอดแน่นและเอาคางมาเกยที่ไหล่เขา

                “ขอเวลาผมหน่อยนะครับ”

                พลันฮ่องเต้ก็รู้สึกใจหายที่จู่ๆ โฟโต้ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ตึงเครียดขึ้นมาและนั่นทำให้มือของเขาที่พยายามจะแกะมือมันออกต้องชะงักตาม

                “ผมจะทำให้พี่เชื่อใจผมให้ได้”

                ยอมรับว่านั่น ยิ่งทำให้ใจของเขาเต้นแรงขึ้น...กับคำพูดของมัน...

                เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นใครบางคนพยายามทุ่มเทและทำทุกอย่างเพียงเพราะอยากจะให้เขาเชื่อใจ มันให้เขารู้สึกจุกในอกด้วยความตื้นตันที่มันเอ่อล้น

                โฟโต้คลายกอดก่อนจะจับตัวเขาให้หันมาหา มันเอาแต่สบลึกเข้าไปในตาโดยไม่ปริปากพูดอะไร ขณะที่เขาเองได้แต่มองคนตรงหน้าอย่างไม่อาจจะละสายตาไปไหนได้เช่นกัน เหมือนกับร่างกายของเขาถูกสะกดให้อยู่นิ่ง กว่าจะรู้ตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าที่กำลังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ กระทั่งปลายจมูกของมันแทบจะสัมผัสแก้มของเขา

                “ทำ..อะไร...วะ” เลยได้แต่พูดออกไปเสียงแผ่ว

                โฟโต้เหลือบสายตาขึ้นมาสบตากับเขาอีกครั้ง ก่อนที่มันจะกระซิบเสียงแผ่ว “ถ้าผมบอกว่าอยากจูบ...พี่จะอนุญาตหรือเปล่า”

                ฮ่องเต้ตื่นตระหนกกับคำพูดของอีกฝ่าย ทั้งสีหน้า แววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของคนตรงหน้าแสดงออกมาอย่างชัดเจน มันกระตุ้นให้ใจของเขาเต้นแรงมากขึ้นเท่าทวีคูณ

                “กู...หิวข้าว” จนต้องบอกปฏิเสธและขยับเบี่ยงตัวหลบออกมา ซึ่งโฟโต้ก็ยอมปล่อยเขาแต่โดยดี

                ฮ่องเต้นั่งกินข้าวกับโฟโต้จนเสร็จและออกไปเรียน โดยอาศัยรถไอ้โฟโต้ที่ใช้ทุกวิธีการมาบังคับจนเขาต้องยอมไปกับมันแต่โดยดี กระทั่งไปถึงตึกเรียน โฟโต้ก็จำต้องโบกมือลา แม้อยากจะไปส่งอีกฝ่ายถึงหน้าห้องเรียนแทบตาย แต่เพราะฮ่องเต้โวยวาย บอกไปว่าไม่อยากให้ใครเห็น เขาจึงยอมตามใจและทำเพียงแค่ทิ้งท้ายเอาไว้ว่าตอนเย็นจะมารับ ก่อนจะเดินแยกไปเรียนอีกตึก...

                พลันลมหายใจของหนุ่มรุ่นพี่ก็ถูกถอนทิ้ง...

                แม้จะรู้สึกที่กับโฟโต้มากแค่ไหน แต่ภายในใจของเขายังเต็มไปด้วยความว้าวุ่นไม่ขาด

                ช่วงนี้ ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะตกอยู่ภายใต้ความตึงเครียด ทั้งเขาและเพื่อนอย่างซัน ต่างก็มีเรื่องให้คิดมาก แถมยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่หากจะให้เผชิญกับมันแบบตรงๆ  เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะทำใจยอมรับผลของมันได้หรือเปล่า

                สถานการณ์ในเวลานี้ มันต่างอะไรจากการที่เขากำลังถูกมีดจ่ออยู่ตรงหน้ากัน เพียงแค่รอเวลา...ที่มีดเล่มนั้น จะแทงเข้ามาก็เท่านั้น

                จะมีทางไหนไหมนะ ที่เขาจะสามารถหลีกหนีมีดเล่มนั้นได้

                ฮ่องเต้หลับตาลงช้าๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนัก ตั้งสติและคิดว่าวันนี้ เขาต้องเรียน...เขาควรจะจดจ่ออยู่แค่การเรียนเท่านั้น การเรียนที่เขาอุตส่าห์พยายามมาถึงปีสุดท้าย เขาจะให้มันพังไม่ได้

                ก่อนที่ร่างสูงจะเดินเข้าไปในตึกเรียนอย่างเลื่อนลอย...

 

                ทั้งที่เขาก็เดินเข้าห้องเรียนตามปกติ ทว่าสายตาทุกคู่กับเพ่งเล็งมาทางเขาแบบไม่ปกติเสียอย่างนั้น อีกทั้งเสียงกระซิบกระซาบที่ดังระงม จนกระทั่งเขาเดินไปถึงที่นั่งประจำตรงหลังห้องและทันทีที่เขานั่งลง ขาประจำพูดมากอย่างนิวก็รีบปรี่เข้ามานั่งข้างเขาทันที

                “ไงจ๊ะ น้องสาว”

                “น้องสาวพ่อง” ฮ่องเต้หันไปด่าพลางชักสีหน้าหงุดหงิดใส่เหมือนดังเช่นทุกครั้ง แต่ที่ไม่เหมือนเก่า คงจะเป็นสีหน้าของเขาที่ดูตึงเครียดมากกว่าหงุดหงิด จนนิวสามารถเห็นได้ชัดแบบไม่ต้องอาศัยการสังเกต ทว่าคนพูดมากก็คงมาด ทำเป็นพูดจากวนประสาทเพื่อนตามประสา

                “โหย ไอ้กูก็นึกว่าความรักจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น นี่กูเข้าใจผิดมาตลอดเลยเหรอวะเนี่ย”

                “เป็นบ้าอะไรของมึงแต่เช้า” ฮ่องเต้ขณะเปิดกระเป๋า ล้วงเอาอุปกรณ์การเรียนและหนังสือออกมา พลันสายตาก็เหลือบไปมองเก้าอี้ข้างๆ ที่ปกติจะมีเพื่อนรักอย่างซันนั่งอยู่ตลอด ทว่าวันนี้ มันกลับว่างเปล่า ทั้งที่นิวก็มาแล้วแท้ๆ  จนสองคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นเสียยิ่งกว่าเก่า

                “ไอ้ซันไปไหน” 

                “ลากิจ” ทว่านิวกลับตอบมาสั้นๆ แต่มันก็พอจะทำให้คนถามชะงักงันไปชั่วครู่และพยักหน้าอย่างเข้าใจในสถานการณ์ในวินาทีต่อมา ก่อนที่นิวจะหันมากอดคอเขา

                “ไอ้ข่าวลือนั่น จริงป่ะ”

                ฮ่องเต้หันไปมองหน้าอีกฝ่ายแบบงงๆ ที่จู่ๆ ก็เปิดประเด็นอะไรที่เขาไม่เข้าใจ “ข่าวลืออะไรวะ”

                “ก็ข่าวลือเรื่องระหว่างมึง สายรหัสแล้วก็สายเทคปีหนึ่งไงวะ”

                คำพูดของนิวยิ่งกระตุ้นต่อมสงสัยของเขาเพิ่มขึ้นไปอีก ถึงแม้จะรู้ดีว่ามันคงหนีไม่พ้นเรื่องอาถรรพ์สายรหัส แต่ไอ้ที่ทำให้เขาสงสัยก็คือว่ามันจะมีข่าวลืออะไรที่ทำให้คนทั้งห้องต้องหันมามองเขากันขนาดนี้

                “โว๊ะ ก็ไอ้เรื่องที่มึงออกตัวปกป้องไอ้นัทจากพวกทวงหนี้ไง มีคนบอกมาว่ามึงออกหน้ารับแทนจ่ายให้น้องมันไปเป็นหมื่นๆ เลยนะเว้ย แถมตอนบ่ายก็ยังมายืนกอดดันอยู่ใต้หอกับไอ้โฟโต้แบบไม่เกรงใจสายตาชาวบ้านอีก”

                “...”

                “สรุปว่ามันยังไงวะ ตอนกลางคืนก็อยู่เทคแคร์ไอ้นัท พอมาอีกวัน ก็ไปก็มากกอยู่กับไอ้โฟโต้ เขาลือกันไปทั่วแล้วนะเว้ย”

                “เชี้ย...” ฮ่องเต้อุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เหตุเพราะเรื่องที่นิวเล่ามามันจริงเสียยิ่งกว่าใครไปตามติดชีวิตเขาเสียอีก

                แต่สิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุด เห็นจะเป็นโฟโต้...ไม่รู้ว่ารายนั้นจะรู้เรื่องข่าวลือนี้กับชาวบ้านเขาหรือเปล่า แล้วถ้ามันรู้...มันจะคิดยังไง ที่สำคัญ มันจะพาลไปทะเลาะกับนัทไหม

                “ทำหน้าแบบนี้ แสดงว่าเรื่องจริงใช่ไหมวะเนี่ย!”

                “ไอ้เชี้ยนิว เสียงดังทำพ่อง!” ฮ่องเต้หันไปด่าตัวการที่แหกปากลั่นห้อง แบบที่ทำให้เขาต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งห้องมากกว่าเดิม

                “แล้วสรุปมึงเลือกได้ยังวะ”

                ฮ่องเต้หันมาเลิกคิ้วมองหน้าอีกฝ่ายที่จู่ๆ ก็ถามไปเรื่อย “เลือกอะไรของมึง”

                “โว้ยยย ก็เลือกว่ามึงจะคบใครไง” ทว่ามันกลับทำให้นิวต้องร้องออกมาอย่างเหลืออด ขณะที่ฮ่องเต้รู้สึกเหมือนมีใครเอาอะไรมันฟาดเข้าทีหลังดังอั๊ก

                “นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงจะควบสอง”

                “ก็เชี้ยละ...” ฮ่องเต้ร้องออกมาอย่างหัวเสียกับคำพูดไม่รู้จักคิดของคิดฝ่าย 

                “อะไรว้า แล้วสรุปความสัมพันธ์ของพวกมึงนี่มันยังไงกันแน่วะ”

                ฮ่องเต้หันไปหานิวพลางขยับปากเหมือนอยากจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง ทว่ากลับไม่กล้าจะเอ่ยปากออกไปเสียที ได้แต่เลิกลัก ช่างใจอยู่อย่างนั้น

                “มึงเปลี่ยนไป...”

                เขาสะดุ้ง มองหน้านิวที่จู่ๆ ก็ทำหน้าซีเรียสขึ้นมา “อะไร”

                “มึงมีอะไรจะเล่าไหม”

                “กู...”

                “นั่งที่ได้แล้ว นักศึกษา” ทว่าเสียงอาจารย์นัยนาก็ดังเรียกความสนใจเสียก่อน ก่อนที่นักศึกษาจะกระจายตัวกันไปนั่งที่ของตัวเอง ไม่นานนักคาบเรียนแรกของวันก็เริ่มต้นขึ้น ทำให้นิวไม่มีโอกาสได้เซ้าซี้เขาต่อ ในขณะที่เขาได้แต่นั่งเครียดทั้งคาบจนไม่เป็นอันเรียน จนกระทั่งหมดคาบ...

                วันนี้ อาจารย์นัยนาปล่อยเร็วกว่าทุกวันเพราะแกมีธุระต่อ นักศึกษาส่วนใหญ่จึงยังคงจับเจ่ากันอยู่ในห้องอย่างไม่เร่งรีบ

                “ขอยืมหน่อยดิ”

                “เฮ้ย..!” ฮ่องเต้ร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ไอ้นิวก็หันมาคว้าสมุดเลกเชอร์ไปจากโต๊ะของเขา ก่อนที่มันจะทำหน้านิ่งและหันมาขมวดคิ้วเพราะเขาแทบจะไม่ได้จดอะไรลงไปเลย

                “นี่มันไม่ใช่มึงเลยนะ” นิวหันมาพูด ในขณะที่ฮ่องเต้ดึงเลกเชอร์คืนมาจากมัน

                “กูแค่...”

                “กูต้องการความจริงจากปากมึง ไม่ใช่ข้ออ้าง”

                นั่นทำให้ฮ่องเต้ต้องมองหน้าไอ้นิวด้วยความรู้สึกอึดอัดเต็มทน หลากหลายเรื่องราวที่มันยังค้างคาใจและยังไม่มั่นใจ ไหนจะเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานอีก ยอมรับว่าเรื่องของซันเมื่อวานก็มีส่วนให้เขาคิดหนักกว่าเดิม...

               

                “ไอ้เต้...กูไม่เคยคิดจะห้าม ถ้ามึงจะเริ่มต้นกับใครใหม่ แต่กูขอได้หรือเปล่าวะ ว่ามึงจะเลือกใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ไอ้โฟโต้...”

            ซันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน ดวงตาที่แดงก่ำจากแรงอารมณ์ภายในใจจับจ้องไปยังใบหน้าเป็นกังวลของอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมละสายตา เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ได้รับฟังซันพูดแบบนี้ออกมา เดิมที ซันเป็นพวกไม่ชอบปริปากพูดเรื่องทำนองนี้กับใครอยู่แล้วเพราะคิดเสมอว่าควรจะให้เกียรติเพื่อน แต่กับโฟโต้...เป็นคนแรกที่ซันเอ่ยปากขอร้องเขาด้วยตนเอง จนฮ่องเต้เริ่มจะลังเลตามเพราะคนที่ทำให้ซันเป็นแบบนี้คือเปรม...เปรมที่เป็นเพื่อนของโฟโต้ เด็กที่อาจจะสมรู้ร่วมคิดกันทำร้ายพวกเขาทั้งคู่ก็เป็นได้

            เพราะแบบนั้น ฮ่องเต้จึงคิดไปว่าซันคงจะกลัวว่าโฟโต้จะทำร้ายเขาอีกคน เลยเอ่ยปากขอร้องและคอยขัดขวางโฟโต้มาตลอด...

            รวมถึง...คนที่อาจจะเป็นคนบอกเรื่องที่เขาเป็นพี่รหัสปีสี่กับโฟโต้ อาจจะเป็นซัน ไม่ใช่นิวอย่างที่เขาเข้าใจในตอนแรก แต่จะให้เขาทำยังไงได้ ในเมื่อใจของเขามันดันไปรู้สึกกับโฟโต้ไปแล้ว...และมันก็มากจนเขาไม่กล้าตัดใจ แต่จะให้เดินหน้าต่อไป ขาของเขาก็เอาแต่สั่นจนไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าเช่นกัน

                “กูถามได้ไหม ทำไมมึงถึงไม่อยากให้เป็นโฟโต้”

            แม้จะคาดเดาได้ แต่เขาก็อยากจะแน่ใจในความรู้สึกจากอีกฝ่าย

            “มึงไม่เห็นที่มันทำกับซิน...ที่มัน...ทำ...กับกู วันนี้เหรอวะ” ซันเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด เขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น...ที่สำคัญ มันไม่ใช่เพียงแค่ครั้งแรก แต่มัน...เป็นครั้งที่สอง มันทำให้เขาแทบคลั่งและไม่มีวันให้อภัยอีกฝ่ายได้ลง

            “กูแค่ไม่อยากให้มึงเจอแบบที่กูเจอ เด็กพวกนั้น ไม่มีใครไว้ใจได้หรอก”

            ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่เต็มไปด้วยหลากอารมณ์ทั้งเจ็บปวดและแค้นใจ ผสมปนเปจนใบหน้าของซันตึงเครียดไปหมด จนฮ่องเต้อดยกมือขึ้นลูบหลังอีกฝ่ายอย่างปลอบประโลมไม่ได้ แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะเขาเองก็ยังลังเลใจกับความรู้สึกของตนเอง

 

            “ไอ้เต้...ไอ้เต้!”

                “หะ...หะ” ฮ่องเต้สะดุ้งหันไปมองตามเสียงเรียก

                “อะไรของมึง จู่ๆ ก็เงียบไปเฉย กูนึกว่าหลับใน” นิวอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกไม่ได้ หลังจากที่เห็นเพื่อนของเขากลับมามีสติครบถ้วน หลังจากนิ่งไปอย่างกับวิญญาณออกจากร่าง

                “แล้วถ้ามึงจะคิดมากจนสติหลุดขนาดนี้นะ มึงบอกกูมาเหอะ กูจะได้ช่วย” นิวว่างอย่างเป็นห่วง สายตาจริงจังที่ส่งไปทำเอาอีกฝ่ายถอนหายใจออกมาไม่ได้

                “กู...ขอเวลาหน่อยได้ไหมวะ” ทว่าฮ่องเต้กลับตอบปัดไปแบบนั้น จนคนที่ถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงกับถอนหายใจใส่หนักๆ ไปที

                “ไอ้เต้...กูให้เวลามึงแค่คืนนี้ ถ้ามึงไม่ยอมเล่าล่ะก็...กูก็จะจัดการทุกอย่างตามวิธีของกู”

                “มึงจะทำอะไร”

                “กูบอกแล้วไงว่าตามวิธีของกู ดังนั้น มันก็ไม่จำเป็นที่กูจะต้องบอกมึง” พูดจบเจ้าตัวก็รีบเก็บข้าวของและเดินดุ่มๆออกจากห้องเรียนไปในทันที ทำเอาคนมองตามถึงกลับหน้าเครียดกว่าเก่า

                “อะไรของแม่งอีกวะ!”

 

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 37 การแทรกแซง

                ตอนเย็น มีประชุมดาวเดือนครั้งสุดท้าย ก่อนจะถึงวันประกวดจริงในสัปดาห์หน้า ฮ่องเต้จึงต้องตามมาดูแลโฟโต้เหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้ มันจะทำให้เขา...หงุดหงิดใจ

                เพราะท่าทีสนิทสนมจนเกินขอบเขตมากขึ้นเรื่อยๆ ของโฟโต้กับฝ้าย ตั้งแต่เข้ามาที่ลานกิจกรรม สายตาของเขาก็ไม่สามารถละไปจากเด็กปีหนึ่งสองคนนั้นได้เลยสักนิด เขาพยายามจะมองในแง่ดีว่าทั้งคู่ก็แค่หยอกล้อกันตามประสาเพื่อน แต่เพราะความรู้สึกในใจที่มีต่อโฟโต้ มันทำให้ความคิดในแง่ลบประดังประเดเข้ามาไม่หยุดหย่อน

                “หมาหวงก้าง”

                เสียงของใครบางคนดังฉุดสายตาของฮ่องเต้ เขาหันไปมองอีกฝ่าย กึ่งๆ จะหงุดหงิด แต่ก็ปนความไม่เข้าใจในคำพูดนั้น จนต้องถามออกไปเสียงห้วน

                “อะไร”

                “ก็มึงไง หมาหวงก้าง” เจมส์ว่าพลางหัวเราะออกมาเบาๆ นึกขำกับท่าทางหึงหวงของอีกฝ่ายที่เขาสังเกตเห็นมานานสองนาน แต่สุดท้ายก็ไม่ยักจะเข้าไปทำอะไรเสียที

                “อะไรของมึง” ทว่าฮ่องเต้ยังคงไม่เข้าใจในความหมายที่เดือนคณะปีเขาต้องการจะสื่อ

                “มึงหึงไอ้โฟโต้กับน้องฝ้ายใช่ไหม” จนเจมส์ต้องเอ่ยออกมาตามตรง ให้คนหน้าบึ้งชักสีหน้าให้ตึงกว่าเดิม แต่ก็ไม่ยอมตอบอะไรกลับมาเพราะปากที่หนักเกินกว่าจะยอมรับ เขาจึงเข้าไปนั่งข้างๆ  และพูดออกไปตามความคิด

                “หึงทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์แบบนี้ มันจะไปมีประโยชน์อะไรวะ ในเมื่อมึงเป็นคนเลือกที่จะไม่เดินความสัมพันธ์ไปข้างหน้าเอง”

                คำพูดของเจมส์ ทำเอาคิ้วสองข้างของคนฟังขมวดเข้าหากันแน่น ไม่รู้เพราะคำพูดนั้นแทงใจดำเขาเข้าหรือเพราะเขาหงุดหงิดเรื่องฝ้ายกับโฟโต้เป็นเดิมทีอยู่ เลยพาลไม่อยากจะรับรู้หรือได้ยินใครพูดอะไรตอนนี้

                “ระวังไว้เหอะ มัวแต่ชักช้าร่ำไรอยู่นั่น จะโดนทิ้งไม่รู้ตัวนะ”

                “มึงก็รู้ว่ากู...”

                “เออ กูรู้ว่ามึงกลัวไอ้โฟโต้มันหลอก แต่มึงจะปล่อยให้ทุกอย่างคารังคาซังอยู่แบบนี้เหรอวะ กูว่ามันไม่เวิร์คนะ”

                ยิ่งได้ฟัง ก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยจนต้องถอนหายใจทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                “รู้ไหมว่าไอ้การที่มึงไม่ยอมคบกับน้องมัน มันหมายความว่าไง”

                ฮ่องเต้หันใบหน้าหงุดหงิดไปหาแทนการตอบ ทำให้เจมส์หัวเราะในลำคอออกมา ก่อนจะพูดต่อว่า

                “มันก็หมายความว่าน้องมันก็มีสิทธิ์ที่จะเทมึงไปเมื่อไหร่ก็ได้ไง สุดท้ายคนเราก็มักจะเลือกตัดใจจากคนที่เขาไม่รักเราเสมอ”

                ก่อนจะเอามือจับเข้าที่บ่าของอีกฝ่ายและพูดให้คิดตาม

                “ไม่มีใครหรอก ที่วิ่งตามใครแล้วไม่เหนื่อย พอเหนื่อยมากๆ มันอาจจะเลิกวิ่งตามมึงเข้าสักวันและอาจจะเป็นเร็วๆ นี้ด้วย”

                ความร้อนรนใจยิ่งเพิ่มขึ้นไปเท่าทวีคูณ แทนที่จะคลายความกังวล ครั้นได้คุยกับเพื่อน ทว่าเขากลับยิ่งเครียดหนักกว่าเก่า เหมือนถูกหินก้อนใหญ่ทับจนหลังแทบหัก

                “กูถึงได้บอกไง ว่าการกระทำของมึงตอนนี้ มันไม่ต่างอะไรจากหมาหวงก้างหรอก ไม่ยอมกิน แต่ก็ไม่ยอมปล่อย แต่ก็ระวังเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน ก้างอย่างไอ้โฟโต้เนี่ย กูว่าทั้งหมาทั้งแมวจ้องแต่จะคาบกันเยอะชนิดที่มึงคาดไม่ถึงเลยเหอะ”

                พูดจบ เจมส์ก็มองหน้าคนฟังที่นิ่งงันไปอย่างคนคิดมาก จึงทำทีเป็นลุกขึ้นยืนแล้วหยิบขมวดน้ำที่เขาหยิบติดมือมาด้วยส่งให้กับอีกฝ่าย

                “อะไรมึง กูไม่หิว” ฮ่องเต้ว่าอย่างไม่เข้าใจ ดูเหมือนสมองของเขาจะประมวลผลช้าลงกว่าปกติ จนตีความอะไรไม่ได้ไปชั่วขณะ

                “เอาไปให้ไอ้โฟโต้” และเจมส์ก็ต้องพูดจาตรงๆ เพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้าใจ

                ฮ่องเต้มุ่นคิ้วใส่อย่างไม่ยอมรับ สุดท้ายเจมส์จึงต้องเอาขวดน้ำยัดใส่มือและสำทับต่อว่า

                “อย่างน้อยก็ในฐานะที่มึงเป็นพี่เทคเดือนของมัน” ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบเบาๆ ว่า “เป็นพี่เทคเดือนทั้งที ก็อย่าให้ใครมาดูแลเดือนแทนตัวเองดิวะ”

                ก่อนจะขยิบตามาให้และเดินออกไป ปล่อยให้อีกฝ่ายจมอยู่กับความคิด ฮ่องเต้หันกลับไปมองทางฝ้ายกับโฟโต้อีกครั้ง กระทั่งฝ้ายเป็นฝ่ายเดินแยกไปเพราะถูกเรียกตัว ฮ่องเต้จึงตัดสินใจลุกเดินเข้าไปหาโฟโต้...

                 นั่นทำให้โฟโต้ฉีกยิ้มกว้างมองคนที่เดินตรงดิ่งเข้ามาหาเขา ทว่ารอยยิ้มนั้นก็ชะงักไปเพราะดันสังเกตเห็นสีหน้าแปลกๆ ของอีกฝ่าย

                “กูเอาน้ำมาให้” ฮ่องเต้ว่าเสียงเรียบ แต่มันก็ทำให้หัวใจของหนุ่มรุ่นน้องระริกระรี้ด้วยความดีใจ มองหนุ่มรุ่นพี่เปิดฝาและเสียบหลอดเข้าไปในขวด ก่อนจะยื่นขวดน้ำมาตรงหน้าเขา

                หากแต่พอมือจะยื่นออกไปคว้า ฮ่องเต้กลับเบี่ยงหลบและพูดเสียงเรียบ

                “เดี๋ยวกูถือให้” ไม่ว่าเปล่ามือของเขาก็ยังยกขึ้นให้หลอดจ่ออยู่ตรงปากของอีกฝ่ายพอดี ก่อนจะพูดอธิบายเสริมว่า “มือมึงเปื้อน”

                ทว่าโฟโต้กลับรู้สึกดีกับข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นของหนุ่มรุ่นพี่อย่างบอกไม่ถูก จนอดยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะโน้มตัวเล็กน้อยจนปากแตะเข้าที่หลอดดูดและกินน้ำจากขวดในมือของหนุ่มรุ่นพี่ พลางสายตาก็อดมองหยอดคนตรงหน้า หากแต่ครั้งนี้ ฮ่องเต้กลับไม่หลบสายตาเหมือนดังเช่นทุกครั้ง แต่กลับจ้องตาเขากลับด้วยสายตาที่เขาเองก็คาดไม่ถึง

                เหมือนจะเขินอาย แต่ก็แฝงไปด้วยความหวานอยู่ในที...

                กลับกลายเป็นเขาเองที่ในเต้นไม่เป็นระส่ำ เพราะสายตาที่เขาเพิ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรก ก่อนจะถอนริมฝีปากออกจากหลอดดูด จังจ้องใบหน้าของคนที่กำลังปิดฝาขวด แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไร สัมผัสบนใบหน้ากลับแทรกเข้ามาเสียจนเขาแอบตกใจ

                เป็นเพราะฮ่องเต้กำลังใช้ผ้าซับเหงื่อบนใบหน้าให้อย่างเบามือ นั่นเป็นการกระทำที่เขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเจอ มันทำให้เขา...แทบจะทนไม่ไหว

                ทำไม...ต้องมาน่ารักใส่ตอนนี้ด้วย

            หมายถึงตอนที่มีคนพลุกพล่านอยู่ในลานกิจกรรมอย่างในตอนนี้ แล้วแบบนี้ ใครมันจะไปทนไหว ยิ่งวันนี้ต้องขับรถพาอีกฝ่ายไปส่งให้ถึงหอด้วยแล้ว เขาจะทนไม่ทำอะไรก่อนหน้านั้นได้หรือเปล่านะ

                สายตายังคงมองสำรวจหนุ่มรุ่นพี่ที่เอาแต่จับจ้องและซับเหงื่อบนใบหน้าของเขาจนเสร็จ พลันรอยยิ้มละมุนก็ปรากฏบนใบหน้า...เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกมีความสุขจริงๆ

                “ไม่กลัวคนมองเหรอครับ”

                แม้จะเป็นคำพูดเย้าแหย่ แต่ก็แฝงไปด้วยความจริงจังอยู่ในที ใช่ว่าเขาจะไม่เป็นห่วงความรู้สึกของอีกฝ่ายเสียเมื่อไหร่ เขาเองก็อยากให้ฮ่องเต้อยู่กับเขาแบบสบายใจ ตราบใดที่ฮ่องเต้ไม่อยากให้ใครรู้ เขาก็ไม่อยากจะไปบังคับให้อีกฝ่ายต้องอึดอัดใจ

                ฮ่องเต้เหลือบตาขึ้นมามองคนตรงหน้าเล็กน้อย พลันสายตาก็มองไปรอบด้าน ซึ่งก็มีหลายคนที่เอาแต่จับจ้องมาทางพวกเขาอย่างไม่วางตา ก่อนจะหันกลับมาสบสายตาคนตรงหน้า

                “มึงอายหรือเปล่า ที่มาตามจีบคนอย่างกู”

                โฟโต้ชะงักงันไปกับคำถามนั้น เพราะดูเหมือนว่าวันนี้ พี่ฮ่องเต้ของเขาจะแปลกไป  ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มแบบจริงใจที่ฮ่องเต้ก็พอจะสัมผัสได้

                “ผมไม่เคยอาย มันไม่เคยอยู่ในความรู้สึกของผมตั้งแต่แรก ตรงกันข้าม ยิ่งคนรู้มากเท่าไหร่ ผมยิ่งดีใจเพราะพวกเขาจะได้รู้ว่าพี่กำลังจะมีเจ้าของ” สุดท้ายก็ยังคงหยอดเสียงหวานใส่อีกฝ่ายอย่างสบโอกาส

                “และคนๆ นั้นก็คือผม”

                พลันสบสายตาให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาจริงจังกับคำพูดของตนมากแค่ไหน

                “ถ้าผมอายที่จะคบกับพี่ ผมคงไม่เลือกที่จะจีบพี่ตั้งแต่แรก”

                “...”

                “แต่ที่ผมจีบเพราะผมชอบ...ชอบแบบที่พร้อมจะรักแต่พี่เพียงแค่คนเดียว ขอแค่พี่ยอมตกลง”

                ฮ่องเต้ใจเต้นแรงขึ้นกว่าเก่า มองสบสายตาอีกฝ่ายอย่างพยายามไม่หลีกเลี่ยง แม้ว่าจะเขินอายมากแค่ไหนก็ตาม

                “อืม กูก็เหมือนกัน”

                “ครับ?”

                “ถ้ามึงไม่อายที่มาชอบคนอย่างกู กูก็ไม่อายและไม่สนใจสายตาของคนอื่นเหมือนกัน”

                โฟโต้ชะงักไปกับคำพูดของฮ่องเต้ หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อกับหูตัวเองว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรทำนองนี้ออกมา ทั้งที่ตอนนี้พวกเขายังอยู่ในที่สาธารณะและท่ามกลางรุ่นพี่รุ่นน้องแบบนี้

                ไม่สิ ในเมื่อพี่ฮ่องเต้บอกว่าเขาไม่สนใจสายตาใคร เงื่อนไขเรื่องคนอื่นจะมองยังไงก็คงถูกละทิ้งไปแล้ว

                “ขอบคุณนะครับ” พลันส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอีกหน ก่อนต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนต่อ

 

                เพราะเป็นการประชุมรอบสุดท้าย กิจกรรมจึงเลยเวลาเข้าไปเกือบสามทุ่ม ฮ่องเต้ยังคงยืนรอกระทั่งโฟโต้เดินแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อน

                “กลับกันเถอะครับ”

                ฮ่องเต้ทำเพียงแค่พยักหน้ามาให้อย่างไม่คิดอะไร และพวกเขาคงจะเดินออกไปจากลานกิจกรรม หากไม่ติดที่เสียงเรียกจากทางด้านหลัง

                “คือเรามีเรื่องจะขอรบกวน” เป็นฝ้ายที่เอ่ยออกมาพลางเหลือบมามองฮ่องเต้อย่างเกรงใจ ทำให้คนถูกมองได้แต่ฝืนยิ้มไปให้

                “มีอะไรหรือเปล่าฝ้าย” แม้จะพูดกับฝ้าย แต่สายตากลับเหลือบไปมองคนข้างๆ อย่างห่วงความรู้สึก ยิ่งเห็นสายตาเรียบเฉยด้วยแล้ว เขายิ่งใจคอไม่ดีเท่าไหร่

                “เราจะขอติดรถไปที่โรงพยาบาลหน่อยได้หรือเปล่า พอดีรถเรายังไม่ออกจากศูนย์เลย” ฝ้ายยังคงพูดจานอบน้อมและนั่นทำให้โฟโต้ต้องหันไปมองฮ่องเต้อย่างต้องการความเห็น

                ในเมื่อเขารู้อยู่เต็มอกว่าแม่ของฝ้ายป่วย จะให้เขาใจร้ายยังไงได้ลงคอ

            “เอาสิ ถือโอกาสไปเยี่ยมแม่ฝ้ายด้วยเลยก็แล้วกัน” ฮ่องเต้เอ่ยปากบอกพร้อมรอยยิ้ม แบบที่โฟโต้ก็พอจะมองออกว่าอีกฝ่ายกำลังฝืนใจอยู่

                “พี่เต้...” จึงเอ่ยปากเรียกเบาๆ

                “ไปเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้วด้วย” พูดจบคนที่โตกว่าก็ออกเดินนำไป ทิ้งให้โฟโต้กับฝ้ายมองตาม คนหนึ่งเป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะคิดมากและน้อยใจ ขณะที่อีกคนกลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธ

                “พี่เต้...ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ฝ้ายเอ่ยปากถามออกมาด้วยความกังวล เธอพอจะเดาออกอยู่หรอกว่าระหว่างโฟโต้กับฮ่องเต้ มันมีอะไรมากเกินกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง

                “เราไปกับนัทก็ได้นะ”

                “ได้ยังไงล่ะ มอเตอร์ไซค์มันอันตรายจะตายไป”

                โฟโต้ว่าออกไปเช่นนั้น เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง จะให้ไปกับนัท...ที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อใจได้หรือเปล่า มันก็กะไรอยู่...ยิ่งกับข่าวลือเรื่องที่นัทถูกแก๊งทวงหนี้มาทำร้ายร่างกายเมื่ออาทิตย์ก่อนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เขาไม่อยากจะไว้วางใจอีกฝ่ายเลยสักนิด

            “พี่ฮ่องเต้ไม่ว่าอะไรหรอก” เขาปลอบใจอีกฝ่าย “ไปเถอะ”

                ก่อนที่โฟโต้จะเดินนำออกไป อย่างไม่ทันได้สังเกตแววตารู้สึกผิดของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาด้วยความรู้สึกภายในใจที่ไม่มีวันที่ใครจะมาเข้าใจเธอได้

               

                โฟโต้ติดจะหงุดหงิดมาตลอดทาง เพราะฮ่องเต้ดันให้ฝ้ายมานั่งหน้ารถกับเขา ส่วนตัวเองก็เลือกที่จะไปนั่งด้านหลัง แถมยังเสียบหูฟังและไม่ยอมพูดยอมจากับใคร ปล่อยให้ฝ้ายกับเขาคุยกันแค่สองคนเท่านั้น กระทั่งมาถึงโรงพยาบาล ทั้งสามคนก็เข้าไปห้องพักฟื้นผู้ป่วยเพื่อไปเยี่ยมแม่ของฝ้ายตามที่ฮ่องเต้ได้พูดเอาไว้ก่อนหน้านั้น

                และเขาคงจะไม่คิดอะไร หากสายตาของ ฟ้าระดา แม่ของฝ้ายที่มองมาทางเขาจะเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาด เสียจนเขาเริ่มใจเสีย

                “นั่นเพื่อนของโฟโต้เหรอจ๊ะ” เธอเอ่ยถามพร้อมกับมองไปทางฮ่องเต้ที่ยืนอยู่ด้านหลัง จนฝ้ายต้องรีบแก้ต่าง

                “เปล่าค่ะแม่ นั่น พี่ฮ่องเต้ เป็นรุ่นพี่ที่คณะ” ฝ้ายได้แต่ยิ้มแหยๆ ไปให้ ส่วนฮ่องเต้ก็ยกมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ไปตามประสา ทว่าฟ้าระดากลับเอาแต่มองฮ่องเต้สลับกับโฟโต้อย่างประเมินสถานการณ์ระหว่างคนทั้งคู่ ก่อนจะทำทีเมินเฉย หันไปสนใจแค่โฟโต้เพียงแค่คนเดียว

                “ลำบากแย่เลยเนอะ ต้องมาส่งยายฝ้ายมาหาน้าบ่อยๆ แบบนี้”

                เธอหัวเราะออกมาเบาๆ หากแต่กลับเป็นประโยคที่ทำให้โฟโต้ต้องเหลือบไปมองหน้าฮ่องเต้ ก่อนจะถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อไปยืนข้างๆ หนุ่มรุ่นพี่ หากแต่กลับถูกอีกฝ่ายส่งสายตาดุมาให้ ทว่าโฟโต้กลับยังเอาแต่ยืนยิ้มหน้าระรื่น

                “ไม่ลำบากหรอกครับ เพราะต้องไปรับไปส่งพี่ฮ่องเต้ทุกวันอยู่แล้ว อีกอย่างโรงพยา’บาลก็ทางผ่านหอของเราสองคนพอดี” ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวยังกระชับมืออีกฝ่ายที่พยายามดึงมือหนีแน่น จนฟ้าระดาถึงกับไม่พอใจ หากแต่ยังคงรักษามาดของผู้ใหญ่เอาไว้ กระทั่งมีสายเรียกเข้าจากมือถือของฮ่องเต้ หนุ่มรุ่นพี่จึงได้โอกาสเลี่ยงสถานการณ์น่าอึดอัดตรงหน้า

                “เออ ผมขอไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะครับ” เขาว่าอย่างนอบน้อมและผละออกไปคุยโทรศัพท์ด้านนอกห้อง ท่ามกลางสายตาของคนทั้งสามที่มองตาม

                พลันฟ้าระดาก็สะกิดลูกสาวของตนที่เอาแต่เหม่อลอยไม่เข้าท่า ให้หันไปสนใจโฟโต้

                “ยังไงก็ขอบคุณโฟโต้อีกครั้งนะ ที่ยอมมาส่งเรา แถมยังมาเยี่ยมแม่เราด้วย”

                โฟโต้ยิ้มให้กับฝ้ายอย่างไม่คิดอะไร ส่วนใหญ่สายตาก็เอาแต่โฟกัสไปทางคนที่เพิ่งจะหายออกจากห้องไปเมื่อครู่ กลัวใจเหลือเกินว่าจะเป็นนัทที่โทรหาและมาเรียกร้องอะไรจากพี่ฮ่องเต้ของเขาอีก

                “เป็นอะไรหรือเปล่า” จังหวะนั้นเองที่ฝ้ายฉวยโอกาสเดินมาจับแขนคนที่เอาแต่เหม่อลอยอย่างจงใจ สายตาเอาแต่จับจ้องใบหน้าของร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่วางตา ท่ามกลางสายตาของฟ้าระดาที่มองมาด้วยความพออกพอใจ

                ขณะเดียวกัน...ที่ด้านนอกห้องพัก

                “กูก็แค่ช่วยรุ่นน้อง มันผิดปกติตรงไหนวะ” ฮ่องเต้ถามปลายสายอย่างไม่เข้าใจ เพราะจู่ๆ สีฝุ่นก็โทรมาหาเขาเรื่องที่เขาช่วยนัทเอาไว้และเพราะน้ำเสียงร้อนรนใจของอีกฝ่าย ทำให้ฮ่องเต้ต้องยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ว่ายังมีอะไรที่เขาไม่รู้หรือเปล่า

                ทว่า...อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปริปากบอกอะไร แถมยังทิ้งท้ายเอาไว้แค่ว่าคืนนี้จะไปหาเขาที่ห้องแค่นั้น ก่อนจะวางสายไปแบบที่ทิ้งให้คนเป็นพี่ต้องสงสัย

                “อะไรของมัน”

                ก่อนที่ฮ่องเต้เปิดประตูเข้าไปในห้อง แต่มือกลับชะงักค้างเอาไว้เพียงเท่านั้น เพราะเสียงที่ดังเล็ดลอดออกมา

                “ทำไมถึงได้น่ารักแบบนี้ หืม”

                เป็นเสียงของฝ้ายที่กำลังหยอกล้ออยู่กับโฟโต้ โดยที่เจ้าของร่างสูงไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด สองมือของเขาจับเข้าที่มือของฝ้ายซึ่งถือวิสาสะมาหยิกแก้มเขาอย่างหมั่นเขี้ยว เขาไม่รู้ว่าฝ้ายจะจงใจหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่อยากให้พี่ฮ่องเต้ของเขาต้องมาเห็น จึงรีบดึงมือของเธอออกไปอย่างพยายามรักษามารยาท หากแต่ภาพเหล่านั้น กลับปรากฏท่ามกลางสายตาของหนุ่มรุ่นพี่เข้าให้ อย่างที่หนุ่มรุ่นน้องเองก็ไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ

             “...การกระทำของมึงตอนนี้ มันไม่ต่างอะไรจาก หมาหวงก้าง หรอก ไม่ยอมกิน แต่ก็ไม่ยอมปล่อย แต่ก็ระวังเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน ก้างอย่างไอ้โฟโต้เนี่ย กูว่าทั้งหมาทั้งแมวจ้องแต่จะคาบกันเยอะชนิดที่มึงคาดไม่ถึงเลยเหอะ”   

            คำพูดของเจมส์ดังสวนเข้ามากระแทกใจเข้าดังปั๊ก แถมไอ้หมาแมวที่เจมส์พูดถึง ยังเป็นถึงว่าที่ดาวคณะ ดีไม่ดี อาจจะเป็นถึงว่าที่ดาวมหา’ลัยปีนี้ด้วยก็ได้ แถมยังเพียบพร้อมครบสูตรตามแบบฉบับที่ผู้ชายคนไหนต้องรักต้องหลงอีก จะไม่ให้เขาคิดมากได้ยังไงกัน

                แล้วดูสายตาของแม่ของฝ้ายที่มองเขาเข้าสิ ดูก็รู้ว่าเกลียดขี้หน้าเพราะเขาเป็นคู่แข่งลูกสาวเธอชัดๆ

            “พอๆ เลิกเล่นได้แล้ว รุ่นพี่เราเขามาแล้วน่ะ”  ฟ้าระดาว่าอย่างจงใจ จนโฟโต้รีบผละออกจากฝ้ายและหันไปยกมือไหว้เธอแบบลวกๆ

                “ถ้าอย่างนั้น ผมขอกลับก่อนนะครับ ต้องไปกินข้าวกับพี่เต้”

                และก็ไม่รีรอฟังคำตอบใด แม้กระทั่งเสียงเรียกจากฝ้าย ตรงกันข้ามกลับเดินดิ่งไปหาหนุ่มรุ่นพี่และพาออกไปจากห้องพักผู้ป่วยทันที

 

 

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 39 การเปลี่ยนแปลง

                ฮ่องเต้เดินเตร็ดเตร่ตามห้างสรรพสินค้าเดิมที่เคยมาคราวก่อนพร้อมกับนิวและซัน เพื่อเลือกของสำหรับงานเปิดสายรหัสของคณะในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ อย่างที่ทุกคนรู้ว่างานเปิดสายรหัสเลื่อนขึ้นมาหนึ่งสัปดาห์ แล้วเผอิญว่าของที่เขาสั่งดันได้ช้ากว่ากำหนด ก็เลยต้องมาเดินซื้อของให้กับสายรหัสและสายเทคอีกครั้ง ซึ่งเดินเข้าออกร้านนั้นร้านนี้ไปทั่ว จนกระทั่งได้ของจนครบตามที่ต้องการ ซึ่งไอ้ของที่เขาเลือกก็เน้นไปทางของกินเสียส่วนใหญ่ (พวกนมกล่อง ขนมถุงอะไรเถือกนี้แหละครับ) และซื้ออย่างละสองเพื่อที่สายรหัสกับสายเทคจะได้ของเหมือนกันพอดี

                แต่เพราะเวลาที่เหลืออีกตั้งครึ่งค่อนวัน เขาก็เลยเดินเอื่อยๆ ไปเรื่อยเพื่อฆ่าเวลาไปพลาง พอดีวันนี้เป็นวันศุกร์เป็นวันที่มหาวิทยาลัยงดการเรียนการสอนตามตารางตลอดทั้งวัน เพื่อที่นักศึกษาจะมีเวลาว่างสำหรับทำกิจกรรม สอบย่อย พรีเซนงานหรือไม่ก็เมคอัพ (เมคอัพในที่นี้ไม่ได้หมายถึงให้มานั่งแต่งหน้ากันนะ แต่หมายถึงการเรียนหรือทำกิจกรรมนอกตาราง เนื่องจากในคาบเรียนปกติ อาจารย์อาจจะติดธุระหรือชั่วโมงเรียนอาจจะไม่เพียงพอต่อเนื้อหา ก็จะมีการเรียนเมคอัพรายวิชานั้นๆ ขึ้น ดังนั้น ไม่ต้องพกเครื่องสำอางไปนั่งเรียนด้วยก็ได้) ดังนั้น เขาก็เลยพอจะมีเวลาว่างกับชาวบ้านเขาบ้าง

                ส่วนโฟโต้...

                จะเจอกันก็เฉพาะตอนเช้าที่มันมารับมาส่งที่หอเท่านั้นแหละ มีไปกินข้าวด้วยกันบ้างประปรายเพราะสองสามวันมานี้แทบจะยุ่งๆ เหมือนกันทั้งสองฝ่าย ส่วนใหญ่จะมีก็แต่ข้อความที่ส่งมาให้ได้รู้ว่ามันทำอะไร อยู่ที่ไหนและเป็นยังไงบ้าง ก็ช่วงนี้มันต้องทำอะไรหลายอย่างทั้งสอบย่อย ทั้งรายงาน ทั้งเข้าห้องเชียร์ ล่าสุดที่เจอกัน หน้าตามันนี่แทบจะกลายเป็นหมีแพนด้าอยู่แล้ว เขาไม่รู้ว่ามันได้ดูแลตัวเองบ้างไหม

                อันที่จริง อย่าว่ามันจะดูแลตัวเองเลย แค่เวลาพักผ่อนมันจะมีเหมือนกับชาวบ้านเขาไหมก็ไม่รู้ แต่นั่นก็คงไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับเรื่องการประกวดดาวเดือนคณะหรอก ไม่รู้ว่ามันจะเตรียมการแสดงอะไรไว้หรือยัง จะซ้อมเดินบ้างหรือเปล่า เขาก็ได้แต่หวังว่ามันคงไม่เดินสะดุดอะไรบนเวทีจนหน้าทิ่มหรือไม่ก็ทำอะไรเอือมๆ บนเวที ไม่อย่างนั้น เสียชื่อพี่เทคอย่างเขาหมด

                ส่วนนัท...

                จะว่าไป เขาก็ไม่ค่อยเป็นห่วงเท่าไหร่ รายนั้นเป็นนายแบบอยู่แล้ว เรื่องเดินคงเป็นอะไรที่สบายๆ สำหรับมัน ส่วนเรื่องการแสดงก็ได้ยินมาว่ามันก็เตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว ถ้าจะห่วงก็คงแผลที่หน้า แล้วก็แผลตามตัวของมัน ไม่รู้ว่าจะหายดีหรือยัง (ถึงรอยข้างนอกจะหาย แต่ข้างในมันก็ไม่แน่หรอก)  ที่สำคัญ มันจะหาเงินมาใช้คืนไอ้พวกแก๊งทวงนี้ได้หรือเปล่า

                และระหว่างที่ฮ่องเต้กำลังเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยนั้นเอง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นร้านเครื่องสำอาง นิ่งคิดอะไรไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปข้างในร้านนั้นและตรงเข้าไปที่แผนกสินค้าสำหรับผู้ชาย ก่อนที่เขาจะเลือกซื้อที่มาส์กหน้าและครีมสำหรับบำรุงผิวที่เขาเคยใช้ตอนประกวดเดือนคณะใส่ตะกร้าจนครบ แล้วเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ของร้าน ทุกอย่างยังคงดำเนินไปดังเช่นชีวิตประจำวันปกติของเขา จนกระทั่ง...

                สายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนเข้า...

                พลันคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันทันที มองไปที่รุ่นน้องปีหนึ่งที่เขาพอจะจำได้ว่าคือกาฟิวด์กำลังเดินกดมือถือยิกๆ อยู่ตรงด้านนอกร้าน แต่นั่นมันไม่ได้ดึงดูดสายตาได้เท่ากับชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามบันไดเลื่อนนั่นหรอก สองคนนั้นเหมือนกำลังวางแผนอะไรกันสักอย่าง พร้อมมองมาทางกาฟิวด์ที่กำลังยืนก้มหน้ากดมือถืออย่างไม่รับรู้ถึงอันตรายใดๆ เลยแม้แต่น้อย ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะเดินมาทางที่กาฟิวด์ยืนอยู่

                “ทั้งหมดห้าร้อยเก้าสิบสามบาทค่ะ”               

                เสียงขัดจังหวะ ทำให้ฮ่องเต้ต้องละสายตาหันกลับมามองที่พนักงานและจ่ายเงินให้ ก่อนจะรีบหยิบถุงและเดินออกมาจากร้าน มองหาพวกเขาก่อนจะเห็นหลังไวๆ เลยรีบเดินตามไปทันทีด้วยความเป็นห่วง จนกระทั่งถึงมุมหนึ่งของห้างสรรพสินค้า ซึ่งเป็นมุมที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านมาทางนี้เท่าไหร่นัก เนื่องจากตรงนี้เป็นเขตปิดปรับปรุง เลยแอบมองสองคนนั้นพร้อมกับยกมือถือขึ้นมาถ่ายเอาไว้เป็นหลักฐาน เผื่อเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

                “ไหนๆ เราก็ได้เจอกันแล้ว พี่ขอถามตรงๆ เลยก็แล้วกัน น้องเป็นอะไรกับสีฝุ่น”

                ท่าทางหึงหวงแสดงออกมาชัดเจนทางสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นจนอดสงสัยไม่ได้ ตอนนี้ในหัวเริ่มประมวลผลไปต่างๆ นานาถึงสาเหตุที่ผู้หญิงคนนี้เข้ามาพูดจาอะไรแบบนี้กับกาฟิวด์ มิหนำซ้ำ ยังพาดพิงไปถึงลูกพี่ลูกน้องของเขาด้วยอีกต่างหาก

                “ผมเป็นแค่รุ่นน้องที่คณะของพี่เขาครับ”

                “แน่ใจนะว่าแค่รุ่นน้อง ไม่ใช่ว่าเธอกำลังคิดจะเป็นมากกว่านั้น”

                คำพูดของผู้หญิงคนนั้น ทำเอากาฟิวด์ถึงกับชะงักนิ่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ทว่าแววตากลับสั่นระริกออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน

                “ผมไม่ได้...”

                “จะปฏิเสธว่าเธอไม่ได้คิดอะไรกับสีฝุ่นเหรอ จะบอกว่าเธอไม่ได้พยายามจะอ่อยสีฝุ่นงั้นสิ อย่ามาตอแหลหน่อยเลย!”

                “พี่จะคิดยังไงก็เรื่องของพี่เถอะครับ”

                “พูดง่ายดีนี่ เอาเหอะ จะยังไงก็ช่าง ฉันแค่จะมาเตือนให้เธออยู่ห่างจากสีฝุ่นเอาไว้ซะ เพราะเขามีเจ้าของแล้ว”

                เจ้าของ?

                ใครวะ...เจ้าของไอ้สีฝุ่น

                ฮ่องเต้สงสัยหนักกว่าเก่าเพราะจำได้ว่าสีฝุ่นเพิ่งจะอกหักมาจากอ้น แล้วจะเอาเวลาไหนไปมีแฟน เรื่องนี้มันชักจะไม่ชอบมาพากลเข้าเสียแล้ว

                “ครับ” กาฟิวด์ที่ก้มหน้าก้มตาตอบรับไปด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่น “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ”

                “เดี๋ยว...” ผู้หญิงคนนั้นเรียกกาฟิวด์เอาไว้ ก่อนที่เธอจะทำในสิ่งที่ฮ่องเต้เองก็คาดไม่ถึง

                ฝ่ามือของเธอตบเข้าที่หน้าของกาฟิวด์ฉาดใหญ่ ตามมาด้วยน้ำหวานในแก้วที่ถูกสาดเข้าใส่คนที่กำลังยืนอึ้งอีกระรอก ทุกอย่างมันรวดเร็วจนต่างคนต่างจับอะไรไม่ทัน

                “สำเหนียกเอาไว้ด้วยนะ ว่า ผู้ชาย อย่างเธอ ยังไงก็ไม่มีวันสู้ ผู้หญิง อย่างฉันได้หรอก”

                ทว่าก่อนที่ฮ่องเต้จะทันได้เข้าไป กาฟิวด์ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะขยับปากพูดไปทั้งที่ร่างกายสั่นเทาอยู่แบบนั้น

                “พี่รู้ได้ยังไงครับ ว่า ผู้ชาย จะสู้ ผู้หญิง ไม่ได้...”

                “ทำไม!”

                “...ถ้าผู้หญิงอย่างพี่ดีจริง พี่สีฝุ่นคงไม่ตามวอแวผมหรอก”

                “กรี๊ด!! ไอ้เด็กบ้านี่! แก๊...”

                “เอาสิครับ ตบผมอีกสิ ผมจะได้เอาไปฟ้องพี่สีฝุ่น เขาจะได้เกลียดพี่ไปเลย! เพราะผมก็ไม่อยากเห็นคนที่ผมรัก ต้องคบกับคนที่นิสัยเสียแบบพี่เหมือนกัน!”

                “รักเหรอ...แกมีสิทธิ์อะไรมารักสีฝุ่นหา!”

                “ก็สิทธิ์...ของ...คนที่อยากจะรัก”

                “แกจะไม่ยอมเลิกยุ่งกับสีฝุ่นใช่ไหม!”

                และก่อนที่เธอจะได้ตบหน้ากาฟิวด์เข้าอีกระรอก ฮ่องเต้ก็เข้ารวบตัวของเธอเอาไว้จากทางด้านหลัง เธอหันมามองเขาด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะกรีดร้องลั่นและบังคับให้เขาปล่อย

                “ไปเคลียร์กันที่โรงพัก”

                เธอหยุดชะงักตามคำพูดของฮ่องเต้และเพราะสีหน้า แววตาที่ดุดันทำให้เธอคิดว่าคนตรงหน้าเอาจริงแน่ จึงได้แต่หอบหายใจ กระฟัดกระเฟียดใส่ ก่อนจะสะบัดตัวเดินหนี เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไปทันที ให้ฮ่องเต้ได้มีโอกาสเข้าไปเด็กปีหนึ่งที่ยืนสั่นระริก สั่นด้วยความโกรธแค้นในใจและสั่นเพราะความเสียใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ

                “เป็นอะไรไหม” ฮ่องเต้ถามพร้อมกับล้วงผ้าเช็ดหน้ายื่นให้

                “ไม่เป็นไรครับ” กาฟิวด์ตอบเสียงนิ่ง หน้าตาดูเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มาก ก่อนจะหันมาถามหนุ่มรุ่นพี่ด้วยความแปลกใจ “พี่เต้มาได้ไงครับ”

                “เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะ ไปล้างหน้าล้างตาก่อน” ฮ่องเต้ร้องบอกก่อนจะพากาฟิวด์ไปล้างเนื้อล้างตัวที่ห้องน้ำ

                หากแต่ระหว่างนั้น ขณะที่กาฟิวด์กำลังก้มตัวล้างหน้าอยู่นั่นเอง สายตาของฮ่องเต้ก็ดันไปเห็นน้ำตาที่ไหลออกมา ทำเอาใจของเขากระตุกวูบ ก่อนจะเต้นแรงขึ้นมา ทั้งสงสารและเจ็บปวดไปตามๆ กันตามประสาคนหวั่นไหวง่ายเป็นเดิมที่อยู่แล้ว หากแต่เพราะกาฟิวด์ต้องการจะกลบเกลื่อนความรู้สึกทั้งหมด จึงรีบเอามือปาดน้ำตาออกไปและพยายามทำตัวปกติ ซึ่งฮ่องเต้เองก็ยังคงไม่พูดอะไรออกไปเพราะเขาต้องการจัดการเรื่องนี้ทีเดียว อีกอย่าง ดูเหมือนกาฟิวด์ไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้ด้วย

                “ขอบคุณพี่เต้มากนะครับ ที่เข้ามาช่วย”

                “อืม ว่าแต่...มาทำอะไรที่ห้าง”

                กาฟิวด์เหลือบตามองเขาเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้มออกมา “มีคนบอกให้ผมมาหาพี่สีฝุ่นที่นี่เพราะพี่สีฝุ่นอยากมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับผม แต่ผมคงโง่เองแหละครับ ที่เชื่อ...”

                ท้ายประโยคกาฟิวด์ได้แต่แค่นหัวเราะออกมาเบาๆ ราวกับกำลังประชดตัวเองอยู่

                หรือว่า...น้องมันจะชอบไอ้สีฝุ่น

                ฮ่องเต้มองหน้าอีกฝ่ายอย่างชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะถามอะไรออกไป “แล้วเราไปไหนต่อหรือเปล่า”

                “ไม่นะครับ”

                “ถ้าอย่างนั้น ไปกับพี่หน่อยได้ไหม พอดีพี่มีเรื่องอยากจะคุยด้วย”

                กาฟิวด์หันมามองหน้าเขาอย่างสงสัยในคำชวน ขณะที่เขาได้แต่ยิ้มไปให้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะตัดสินใจให้คำตอบ

                “ก็ได้ครับ”

                “งั้นตามมาเลย” ฮ่องเต้เดินนำหนุ่มรุ่นน้องออกไปจากห้องน้ำและตรงไปที่ลานจอดรถ หลังจากที่เก็บข้าวของใส่หลังรถแล้ว ก็ขึ้นรถและขับพาออกจากห้างสรรพสินค้าทันที 

               

                ไม่นานฮ่องเต้ก็ขับรถมาถึงหอพักของไอ้สีฝุ่น (ที่เขาแอบส่งข้อความหามันเพื่อเช็คว่ามันอยู่หอแล้ว) เขาขับรถเข้าไปจอดใต้หอ ขณะที่กาฟิวด์ได้แต่มองไปที่อาคารหอพักแบบงงๆ

                “นี่...หอพี่เต้เหรอครับ”

                “ก็ไม่เชิงอ่ะ” ฮ่องเต้เลี่ยงที่จะบอกความจริง พลางเกาหัวแก้เก้อเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีไปเสียก่อน ถ้ารู้ว่าเขาพามาหาสีฝุ่นถึงที่

                ก่อนจะลงจากรถและพากาฟิวด์ขึ้นมาบนห้อง เคาะประตูสองสามครั้งและยืนรอสักพัก ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกโดยเจ้าของห้อง กาฟิวด์ดูเหมือนจะอึ้งกิมกี่ที่รู้ว่าฮ่องเต้พามาหาใคร

                “อ้าว น้องฟิวด์?” สีฝุ่นหันมามองด้วยความตื่นเต้นทันทีที่เห็นหน้าคนที่มาหา ก่อนที่หน้าตาจะเคร่งเครียดขึ้นมาทันตาเห็น เมื่อเห็นสภาพของกาฟิวด์ที่เละเทะเพราะคราบน้ำหวาน

                “เข้ามาก่อนครับ” มันร้องบอกและรีบดึงกาฟิวด์เข้าไปในห้องทันที โดยไม่สนใจไอ้พี่ของมันที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้เลยแม้แต่น้อย ในสายตามันนี่คงไม่มีเขาอยู่แล้วล่ะมั้ง

                ฮ่องเต้จึงจัดการปิดประตูและเดินตามเข้ามาก็เห็นสีฝุ่นจัดการพากาฟิวด์ไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า และได้แต่มองตามจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ จึงหันมาหาสีฝุ่นที่เหมือนกำลังจะรอฟังอยู่แล้ว

                “มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องฟิวด์ถึงได้เป็นแบบนั้น”

                ฮ่องเต้มองหน้าลูกพี่ลูกน้องของตัวเองไปพลางล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมา เปิดคลิปและส่งให้ดู

                “มึงรู้จักเขาไหม” เขาหมายถึงผู้หญิงในคลิป

                ทว่าสีฝุ่นกลับส่ายหน้ามาให้ “ผมไม่เคยเจอเธอเลยด้วยซ้ำ เฮียก็รู้ว่าผมไม่เคยคบผู้หญิง แล้วไม่คิดที่จะคบด้วย”

                “แต่เขาอาจจะชอบมึงก็ได้”

                “แต่ก็ไม่ควรทำรุนแรงกับกาฟิวด์ขนาดนี้ป่ะ แบบนี้ ผมว่ามันไม่ปกติแล้ว”

                คำพูดของสีฝุ่นทำเอาคนเป็นพี่ถึงกับนิ่งไปสักพักก่อนจะพูดต่อ “แต่ก่อนหน้านั้น กูเห็นว่าเขาคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง ท่าทางเหมือนวางแผนกันมาดี ก่อนที่จะเข้ามาทำร้ายกาฟิวด์”

                 ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมาสบตากันอย่างสื่อความหมาย “เฮียว่าจะใช่พี่อ้นหรือเปล่า”

                “แล้วมีใครบ้างที่รู้เรื่องระหว่างมึงกับน้องฟิวด์”

                “เชี้ย...ผมลืมไปเลย ผมไม่ควรจะปล่อยให้น้องมันคลาดสายตา”

                “มีอะไรวะ”

                “วันนั้น ที่คณะ ผมจูบน้องมันประชดไอ้พี่นั่น ตอนนั้น เขาโกรธมากและพูดจาเหมือนว่าจะไม่จบเรื่องนี้ง่ายๆ” ก่อนที่สีฝุ่นจะทึ้งหัวตัวเองด้วยความโมโหและนั่งลงที่ปลายเตียง

                แต่ผมว่า...มีอีกเรื่องที่ต้องเคลียร์ให้รู้เรื่อง

                “สรุปว่าเรื่องกาฟิวด์ มึงแค่ประชดไอ้อ้น...แค่นั้น?”

                สีฝุ่นถอนหายใจออกมาอย่างลำบากใจ “มันก็ไม่เชิงหรอกเฮีย ผมยอมรับตรงๆ เลยก็ได้ ว่าตอนนั้น ผมแค่คิดว่าอยากให้เขาเจ็บเหมือนที่ผมเจ็บบ้าง แต่ระยะหลังมา...ใจของผมมันก็...”

                “ก็อะไรของมึง”

                “ก็เอาแต่คิดถึงน้องมันอ่ะ ตอนนั้น ผมก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะน้องมันน่ารัก แล้วก็ดูซื่อๆ แต่ตอนนี้ ผมเองก็ไม่แน่ใจแล้วว่าผมคิดกับน้องเขาแค่นั้น”

                ดูเหมือนว่า...ผมจะเริ่มมีหวังที่จะทำให้ไอ้สีฝุ่นมันตัดใจจากไอ้อ้นได้

                “แล้วไอ้การที่มึงไปจูบเขาแบบนั้น มึงไม่คิดบ้างเหรอว่าเขาจะรู้สึกยังไง ถึงมึงจะบอกว่าทำไปเพราะประชดก็เถอะ แล้วถ้าน้องมันเกิดหวั่นไหวขึ้นมา มึงจะรับผิดชอบความรู้สึกเขาได้ไหม อีกอย่างที่น้องมันโดนทำร้ายมาวันนี้ก็เพราะมึงไม่ใช่หรือไง ไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอวะ”

                คราวนี้สีฝุ่นเงียบไปนานมาก หน้าตาของมันแสดงถึงความสับสนภายในใจออกมาอย่างชัดเจน เขาแค่หวังว่ามันจะคิดอะไรได้บ้าง

                “ผมก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้เหมือนกันนั่นแหละ” ในที่สุด สีฝุ่นมันก็ยอมรับออกมาตรงๆ “เรื่องพวกนี้ มันทำให้ผมปล่อยฟิวด์ไปไม่ได้ ยังไงผมก็ไม่มีทางปล่อยให้น้องต้องมาเจออะไรแบบนี้เพราะผมอีกแล้ว”

                “แล้ว?”

                “ผมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขาในฐานะที่ผมเป็นคนเริ่มเกมนี้ก่อน ส่วนเรื่อง...ความรู้สึก ผมคงต้องค่อยเป็นค่อยไป”

                ฮ่องเต้พยักหน้าและยิ้มออกมาน้อยๆ “เออ เอาเป็นว่า...กูขอให้มึงโชคดีก็แล้วกัน”

                สีฝุ่นหันมายิ้มให้กับเขา ดวงตาฉายแววความเศร้าออกมา แต่ก็เพียงแค่น้อยนิด อาจจะเป็นเพราะยังกลัวใจเรื่องที่เคยผิดหวังในความรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                “ผมหวังว่า...ผมคงจะโชคดีกับเขาบ้างนะเฮีย”

                ทั้งคู่มองหน้ากันสักพัก เสียงประตูห้องน้ำก็ดังขึ้นพร้อมกับกาฟิวด์ที่ออกมาในเสื้อผ้าของสีฝุ่น

                “อย่าไปปล้ำเขาล่ะ” ฮ่องเต้หันไปกระซิบพลางหัวเราะออกมาเบาๆ ทว่าสีฝุ่นกลับยักไหล่มาให้

                “ถ้าเฮียเห็นว่าน้องมันน่ารักเหมือนที่ผมเห็นล่ะก็...เฮียคงรู้ว่าผมคงห้ามตัวเองไม่ได้หรอก”

                ฮ่องเต้ส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา ก่อนปล่อยให้อีกฝ่ายได้อยู่กับกาฟิวด์กัน ส่วนเขาก็แยกตัวออกมาและกลับหอตัวเองอย่างไม่อยากจะอยู่ขวางทาง

            ก็แค่หวังว่า...ช่วงเวลาเพียงน้อยนิดจะสร้างเรื่องดีๆ ระหว่างคนสองคน

 

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 40 ตัดสินใจ

                วันนี้เป็นวันเปิดสายรหัส...

                และฮ่องเต้ก็มาในชุดของซาตาน เช่นเดียวกับหลายคนในงาน เขาสอดสายตามองไปทั่วงานที่ถูกจัดขึ้นในลานซ้อมกิจกรรมประจำคณะ ซึ่งถูกตกแต่งผสานกันระหว่างความเป็นซานต้าคลอสและซาตานด้วยความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในใจ

                ไม่รู้ว่าไอ้โฟโต้จะได้อ่านคำใบ้สายรหัสฉบับสุดท้ายหรือเปล่า...

                และเขาก็ได้แต่เดินแบกข้าวของไปที่โต๊ะลงทะเบียนตรงทางเข้างานและจัดการเซ็นชื่อลงไปในใบรายชื่อของปีสี่ เสร็จสรรพก็รับสายสิญจน์มา ก่อนจะแบกไปนั่งที่โต๊ะตามคำเชิญของเด็กปีสองทันที

                “สวัสดีค่ะ พี่เต้” เสียงสดใสของยิ้ม น้องรหัสปีสามที่อยู่ในชุดของซานต้าสาวเอ่ยทักทันทีที่เห็นเขาเดินมาที่โต๊ะ ซึ่งถูกจัดแยกตามสายรหัส โดยแบ่งเป็นหนึ่งโต๊ะต่อสองสาย

                “กะไว้แล้วว่าพี่เต้ต้องมาในธีมซาตาน” เธอเอ่ยแซวพลางมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำเอาเขาเผลอเอามือเกาหัวอย่างเขินๆ เพราะความไม่เคยชินกับการทำอะไรแบบนี้เสียเท่าไหร่

                “มัน...ไม่ได้น่าเกลียดใช่ไหม”

                “ไม่หรอกค่ะ ดูดีมากเลยต่างหาก” เธอว่าพร้อมกับยกนิ้วให้เพื่อยืนยันในสิ่งที่เธอพูด ซึ่งไอ้เขาก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมา

                “แล้วเป็นไงบ้างน่ะเรา ตั้งแต่ไปแลกเปลี่ยนก็ไม่ได้เจอกันเลยนะ” ฮ่องเต้เอ่ยทักตามประสารุ่นพี่ เพราะยิ้มได้ทุนไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศสามเดือน เลยกลับมาช้ากว่ากำหนดการเปิดเทอมไปเกือบสองสัปดาห์

                “เหนื่อยมากเลยค่ะ แต่ก็สนุกดีนะคะ ยิ้มยังคิดอยู่เลยว่าจะไปต่อโทที่นั่นหลังจากเรียนจบ”

                “เออ ก็ดีนะ จะได้เรียนรู้ภาษาไปในตัวด้วย”

                “ไม่ต้องมาสนับสนุนพี่ยิ้มเลยนะเฮีย” เสียงของลัคกี้ดังมาแต่ไกล ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินตามเสียงมาด้วยใบหน้าบูดๆ ท่าทางเหมือนกำลังงอนยิ้มอยู่

                “เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วน่า เดี๋ยวบรรยากาศในงานก็เสียตามหน้าเราพอดี”

                ฮ่องเต้เผลอหัวเราะออกมาเบาๆ ตามคำพูดของยิ้ม ก่อนที่ลัคกี้จะนั่งลงข้างแฟนของตนไม่นานัก สายรหัส 177 ที่รู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดีอย่างสายของนิวก็โผล่หน้าเข้ามานั่งร่วมโต๊ะ

                “ไอ้ย๊ะ  ลูกพี่กูมาในชุดซาตานซะด้วย”

                เขามองอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดซานต้าคลอสอย่างเอือมระอา ก่อนที่นิวจะเดินมานั่งข้างๆ และกระซิบกระซาบ

                “นี่ของที่จะให้น้องมันก็กะจะเป็นมึงในชุดนี้เลยป่ะ”

                “ไอ้สัสนิว!” ฮ่องเต้โบกหัวคนพูดมากไปทีอย่างเหลืออด “แซวกูอยู่นั่น”

                “ก็เผื่อคืนนี้จะมีอะไรดีๆ ไงวะ”

                และเขาก็ทำได้เพียงแค่มองอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้

                อย่าให้มันมีใครตามจีบบ้างก็แล้วกัน จะล้อยันหลังงานแต่งเลยเหอะ

                “โอ๊ะ กูลืมไปว่ะ”

                ฮ่องเต้ส่งสายตาให้คนข้างกายแทนคำพูดว่า อะไรของมึงอีก

                “ตรงนี้มันที่นั่งสามีเพื่อน กูไปนั่งตรงโน้นดีกว่า”

                “จะไปไหนก็ไปเลยมึง” เขาพูดจบ นิวก็หัวเราะร่า ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งกับสายรหัสตัวเองทันที

                “สวัสดีค่า” เสียงพิธีกรปีสอง คู่หูประจำเวทีในหลายๆ งานดังเรียกความสนใจจากทุกคนภายในงาน “ขอต้อนรับพี่ๆ เข้าสู่งานเปิดสายรหัสของคณะนิติศาสตร์ในวันนี้นะคะ”

                “แหม จะว่าไปแล้ว งานวันนี้เหมือนจะมีซาตานเยอะกว่าซานต้าอีกนะคะเนี่ย เรียกได้วาเตรียมตัวมาลงโทษน้องมากกว่าจะมาแจกของให้น้องอีกนะคะ”

                “ใครจะลงโทษหรือใครจะแจกของใครก็ไม่รู้นะคะ เอาเป็นว่าตอนนี้ เราจะทยอยให้เด็กปีหนึ่งตามหาพี่รหัสของตัวเองที่โต๊ะ ถ้าเกิดน้องคนไหนหาพี่เจอแล้ว ก็รบกวนพี่ๆ ชวนน้องนั่งที่โต๊ะของตัวเองได้เลยค่า”

                ไม่นานนัก เด็กปีหนึ่งก็ทยอยเดินเข้ามาภายงาน ความวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายพอสมควร ขณะที่ใจของเขาเองก็เต้นไม่หยุดเช่นกัน จนต้องสอดสายตามองหาโฟโต้และนัทท่ามกลางบรรดาเด็กปีหนึ่งในงาน แต่ก็ไม่ยักกะเจอสักที แถมไม่มีทีท่าว่าจะไม่ใครเดินมาทางที่เขานั่งอยู่เลยแม้แต่น้อย จนกระทั่ง สายรหัสของนิวมาจนครบแล้ว แต่สายรหัสกับสายเทคของเขาก็ยังคงไม่โผล่หน้ามา

                ไปไหนของมันวะ

            เขาอดสงสัยไม่ได้ เพราะโฟโต้เองก็รู้อยู่แล้วว่าเขาคือพี่รหัสปีสี่ ก็น่าจะต้องมองหาเขาเจอแล้วสิ

                “เฮีย น้องมันจะหาสายรหัสตัวเองไม่เจอจริงๆ เหรอ” ลัคกี้หันมากระซิบถาม แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบอะไร ก็มีใครบางคนโผล่เข้ามาทางด้านหลังเสียก่อนและเมื่อทั้งเขา ลัคกี้และยิ้มหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง ก็พบว่าเป็นนัทที่อยู่ในชุดซาตานกำลังยืนส่งยิ้มละมุนมาให้

                “พี่ลัคกี้ พี่ยิ้ม พี่ฮ่องเต้ครับ...”

                “...”

                “พวกพี่เป็นพี่เทคของผมใช่ไหมครับ?”

                พวกเขาหันมามองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงอีกครั้ง ก่อนที่จะลัคกี้จะเป็นคนหันไปพูด

                “ถ้าน้องไม่แนะนำตัว พี่จะรู้ได้ยังไงว่าน้องเป็นน้องเทคของพี่”

                นัทยิ้มกริ่มกับคำพูดของลัคกี้และเริ่มแนะนำตัว “ผม นายนายนัฐวุฒิ สุทธิกรณ์ ชื่อเล่นชื่อนัท รหัส 204 ครับ”

                “อืม...” เป็นน้องยิ้มที่หันไปมองนัทอย่างพิจารณา ก่อนที่เธอจะคลี่ยิ้มออกมา “...ถ้าอย่างนั้นก็คงใช่แล้วแหละ เพราะพวกพี่ก็มีน้องเทคชื่อนัท รหัส 204 เหมือนกัน”

                “เชิญนั่งเลยคร้าบบบ” และลัคกี้ลุกขึ้นและดันตัวน้องให้มานั่งลงตรงเก้าอี้ข้างฮ่องเต้ ก่อนที่พวกทั้งสามคนจะหันมาชะโงกหน้ามองหาสายรหัสของตัวเองต่อ

                “ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่สิบวินาทีเท่านั้นนะคะ น้องคนไหนที่ยังหาพี่ไม่เจอก็รีบหน่อยน้า” เสียงพิธีกรเริ่มเขย่าโสตประสาตคนเป็นพี่ทั้งสามให้กังวลมากขึ้น ก่อนที่สายตาจะหันไปสบกับร่างของโฟโต้ที่เอาแต่ก้มมองกระดาษในมือ

                “น้องมันไม่รู้จริงๆ เหรอคะ” ยิ้มเองก็เห็นเหมือนกันกับเขา

                “นี่เฮียเขียนอะไรแปลกๆ ลงไปในจดหมายใบ้หรือเปล่า น้องมันเลยหาไม่เจอเนี่ย” ลัคกี้หันมามองหน้าเขาอย่างคาดโทษ จนคนโดนกล่าวหาฟาดมือใส่ไปที

                “เขียนเชี้ยอะไรล่ะ กูก็ใบ้ให้มันเหมือนที่เคยใบ้ให้มึงนั่นแหละ”

                แถมมันยังรู้ตั้งนานแล้วด้วยว่าใครคือพี่รหัสปีสี่ของมัน

            หากแต่เขาก็พูดได้แค่ในใจเพราะเกิดบอกไปเดี๋ยวได้โดนดุ หาว่าไม่ยอมทำตามกฎพอดี

                “เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ เหลืออีกแค่ห้าวินาทีแล้ว เราจะมาเริ่มนับถอยกันเลยนะคะ”

                เชี้ยละไง!

                ฮ่องเต้ร้อนรนนั่งก้นไม่ติดเก้าอี้ ขืนโฟโต้หาไม่เจอแบบนี้ มีหวัง...ได้โดนทำโทษแน่ๆ แล้วไอ้คนที่จะซวยไปด้วยก็คือพี่มันเนี่ยแหละ จะได้โดนทำโทษฐานที่ทำให้น้องหาไม่เจอ

                เอ๊ะ หรือมันจะมองไม่เห็นผมวะ 

                “ห้า...”

                “เฮีย เราโบกมือเรียกน้องมันดีป่ะ” ลัคกี้ออกความเห็น

                “สี่...”

                “ทำแบบนั้น เดี๋ยวก็ได้โดนลงโทษยกสายหรอก กติกาเขาก็บอกอยู่ว่าห้ามรุ่นพี่ส่งซิกน์ให้น้อง” ยิ้มที่หันไปเอ็ดใส่

                “สาม...”

                “แต่ถ้าโดนลงโทษเพราะน้องหาไม่เจอ ผมไม่ออกไปนะ” ลัคกี้เริ่มโวยวาย ท่าทางร้อนรนพอกับรุ่นพี่ปีสี่อย่างฮ่องเต้ กระทั่ง...

                “สอง...” เสียงพิธีกรเอ่ยนับสองออกมา

                หายนะมาเยือนสายรหัส 178 แล้วครับ

                “หนึ่ง...หมดเวลาค่า!!”

                และฮ่องเต้ก็ต้องถอนหายใจแรงๆ 

                “ขอเชิญน้องปีหนึ่งที่ยังหาพี่ไม่เจอขึ้นมาบนเวทีด้วยค่า” สิ้นเสียงพิธีกร เขาก็ได้แต่มองตามโฟโต้ที่เดินเตร็ดเตร่ขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับเด็กปีหนึ่งคนอื่นๆ อีกประมาณห้าหกคน ก่อนที่พิธีกรจะประกาศเรียกให้รุ่นพี่ปีสี่แต่ละสายของเด็กปีหนึ่งพวกนั้นให้ขึ้นไปยืนบนเวทีเพื่อทำการตามหาสายรหัสที่เหลือเป็นลำดับต่อไป

                “ออกไปดิเฮีย” ไม่ว่าเปล่า ลัคกี้ยังหันมาดันตัวรุ่นพี่ปีสี่อย่างเขาให้ลุกอีก

                “มึงไปแทนกูไม่ได้เหรอวะ”

                “เขาให้ปีสี่ไปไหมล่ะ”

                พูดจบอีกฝ่ายก็ทั้งผลักทั้งดันให้เขาลุกขึ้น จนสุดท้ายเขาก็ต้องยอมออกไปแต่โดยดี

                ฮ่องเต้เดินขึ้นไปบนเวทีอย่างเซ็งๆ เหลือบมองโฟโต้ที่ไม่แม้แต่จะมองมาทางเขาเลยสักนิด สายตาของมันเอาแต่โฟกัสไปทางรุ่นพี่ปีสี่คนอื่น...อย่างจงใจ

                นี่มันไม่รู้จริงๆ เหรอวะ ว่าไอ้คนที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้เนี่ย เป็นพี่ปีสี่ของมันน่ะหา!!

 

                มันน่าโมโหชะมัด!

 

            จะแกล้งอะไรกูอีกกกกก

 

                “เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ ในมือของน้องๆ จะมีจดหมายคำใบ้สายรหัสฉบับสุดท้ายที่พี่ปีสี่เขียนไว้ให้นะคะ สองคนสุดท้ายที่หาพี่รหัสไม่เจอ เราจะให้น้องอ่านจดหมายให้คนทั้งคณะฟัง...”

                ฉิบหาย!

                ฮ่องเต้จ้องจดหมายในมือของโฟโต้ตาไม่กระพริบ ในใจก็เอาแต่กู่ร้องว่า ไม่ได้ๆๆๆ  เพราะทุกคนจะมารับรู้ข้อความในจดหมายฉบับนั้นไม่ได้เป็นอันขาด

                ไอ้โฟโต้เอ้ยยย แม่ง หาเรื่องเดือดร้อนมาให้กูอีกแล้ว!!

                “...และหลังจากนั้น เราจะให้พี่ปีสี่ออกมาเฉลยคำตอบว่าใครเป็นน้องรหัสของตัวเองบ้างนะคะ

                พิธีกรยังคงอธิบายกติกาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ฮ่องเต้เริ่มเหงื่อแตกพลั่กด้วยความกังวลใจ

                “ขอให้พี่ปีสี่ออกมายืนข้างหน้าด้วยนะคะ...”

                ฮ่องเต้หลับตาลงช้าๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ ก่อนจะเดินออกไปยืนเรียงแถวอยู่ด้านหน้าโดยหันหน้าออกไปทางหน้าเวทีด้วยความหมดอาลัยตายอยาก เพราะถ้าโฟโต้มันจงใจเลือกผิดคนแล้วล่ะก็...ชีวิตของเขาได้จบเห่แน่

                และถ้ามันจงใจให้เป็นแบบนั้นแล้วล่ะก็...

                เขาก็จะจงใจทำ...ทำ...เออ! ตอนนี้ ยังคิดไม่ออก ไว้คิดออกแล้วจะจัดการมันก็แล้วกัน ชิส์

                “เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ ขอให้น้องๆ ทั้งเจ็ดคนมายืนอยู่ด้านหลังรุ่นพี่ที่เราคิดว่าเป็นซานต้าของตัวเองได้เลยค่า แต่ระวังนิดหนึ่งนะคะ ถ้าหลงไปเลือกซาตานขึ้นมาเนี่ย จะโดนลงโทษทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ”

                บรรยากาศรอบข้างชวนให้ลุ้นระทึก ขณะที่หูของเขามีเพียงแค่เสียงรองเท้าที่ดังกระทบพื้นเวทีดังก้องอย่างชัดเจน แถมด้วยพิธีกรที่ไม่รู้จะบิ้วอะไรกันนักกันหนา

                หัวใจจะวายแล้วนะเฮ้ย!!

                “โอเคค่ะ น้องๆ ก็ได้เลือกซานต้าของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ ต่อไปเราจะมาเฉลยทีละคนว่าพี่คนไหนเป็นซานต้าหรือเป็นซาตานนะคะ”

            เชี้ยละ...

            แล้วทำไมเขาต้องเป็นรองอันดับสุดท้ายด้วยฟระ!

                แอบหันไปดูจะเป็นอะไรไหมครับ

                “อ๊ะๆ อย่าแอบดูนะคะพี่ปีสี่”

                ฮ่องเต้แทบจะหันขวับกลับมาไม่ทัน หลังจากถูกพิธีกรทัก ก่อนที่พิธีกรคู่หูคู่ฮาประจำคณะจะหันไปทำหน้าที่ของตน โดยการเฉลยสายรหัสทีละคน ส่วนไอ้เขาก็รอลุ้นใจจะขาดอยู่รอมร่อ ซึ่งห้าคู่แรกก็ผ่านไปได้ด้วยดีเพราะรุ่นน้องสามารถเลือกรุ่นพี่ได้ตรงกับสายรหัสของตัวเองพอดีเปะ ทำให้ยังไม่มีใครถูกลงโทษ ตอนนี้ เลยเหลือไอ้สองคู่ที่ยืนหัวโด่อย่างเขาและคนข้างๆ นี่แหละครับ

                “มาที่คู่รองสุดท้ายของเราบ้างแล้วนะคะ”

                และทุกสายตาก็โฟกัสมาที่เขาเป็นจุดเดียว บอกเลยตอนนี้ เขาทั้งลุ้นจนใจจะออกมาเต้นข้างนอกได้แล้ว อีกใจหนึ่งก็อายจนอยากจะมุดแผ่นดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด

                “ขอถามสักนิดนะคะ ว่าตอนนี้พี่ฮ่องเต้ของเรารู้สึกยังไงบ้าง”

                อ้าว สัส! จะมาถงมาถามอะไรกันเวลาแบบนี้ละเว้ย

                 ไม่เห็นสีหน้าเขาตอนนี้เลยหรือไง แทบจะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด พ่นไฟ ทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้อยู่แล้ว

                และเขาก็ได้แต่หันไปมองพิธีกรด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอดกลั้น

                “ก็ดีครับ”

                คำตอบของเขาทำเอาพิธีกรหน้าเหวอไปเล็กน้อย “เออ สงสัยว่าจะตื่นเต้นไปนิดนึงนะคะ ถ้าอย่างนั้น น้องปีหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเดินขึ้นมาเลยค่ะ”

                พูดจบ ผมก็สัมผัสได้ถึงร่างของใครบางคนที่เขยิบเข้ามาใกล้ ก่อนที่มันจะขึ้นมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ และเมื่อเขาหันไปมอง...

                มันก็ยิ้มจนตาหยีเหมือนอย่างที่มันเคยทำเวลาเห็นเขาทุกครั้ง

                ขอบใจมึงมาก ที่ยังอุตส่าห์เลือกเดินมาหากูนะ

                “พี่เป็นซานต้าของผมใช่หรือเปล่าครับ” มันถามจบก็ยื่นไมโครโฟนมาจ่อที่ปากของเขาอย่างต้องการคำตอบทันที

                ฮ่องเต้จ้องหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อยท่ามกลางเสียงโห่แซวของรุ่นเพื่อนและรุ่นน้อง ทั้งที่อยู่ด้านบนและด้านล่างเวที เขาเองก็อยากจะหันไปถามเหมือนกันว่ามันจะส่งเสียงอะไรกันนักหนา แค่เฉลยสายรหัสเองไหม ทำอย่างกับโฟโต้มาขอเขาเป็นแฟนไปได้

                “อืม ผมเป็นซานต้าของคุณ”

                และทันทีที่เขาตอบกลับ เสียงกรี๊ดของผู้หญิงและเสียงโห่ของพวกผู้ชายก็ดังขึ้นเทียบเท่าทวีคูณขึ้นมาทันตาเห็น

            พวกมันไม่เจ็บคอกันบ้างหรือไง

                “ตอนนี้น้องก็ได้เจอซานต้าของตัวเองแล้ว อยากขออะไรจากซานต้าของตัวเองไหมคะ”

                ฮ่องเต้หันขวับไปมองพิธีกรที่ยิ้มหน้าระรื่นทันที ก็นี่มันพูดนอกสคริปต์แล้วนะ ทีกับคู่อื่นก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะมีเลย! ส่วนโฟโต้ ไม่ต้องไปพูดถึง หน้าตามันนี่ดีใจจนออกนอกหน้า ดวงตาของมันฉายแววความเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที

                นี่อย่าบอกนะว่ามันคิดจะทำอะไรผมต่อหน้าประชาชีทั้งคณะน่ะ!

                “ครับ สำหรับซานต้าคนนี้ ผมอยากจะขอ...” โฟโต้เว้นจังหวะก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนเขาใจหายวาบไปตามๆ กัน ขณะที่คนทั้งคณะก็พร้อมใจกันเงียบกริบขึ้นมาเสียอย่างนั้น

                อะไร เจ็บคอกะทันหันขึ้นมาหรือไงวะ เมื่อกี้ยังเสียงดังได้ดังดีอยู่เลย

                และก่อนที่เขาจะเผลอลืมหายใจไปชั่วขณะนั้นเอง โฟโต้ก็กระซิบที่ข้างหู

                “...ขอให้พี่เป็นแฟนผมได้ไหมครับ”

                เขาสตัน...ร่างกายเหมือนเพิ่งผ่านการถูกไฟช็อตมาก็ไม่ปาน ส่วนใจของเขาเองมันก็เอาแต่สั่นไม่หยุด เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปตอนนี้และไม่คิดด้วยว่าคนตรงหน้าจะมาพูดขอกับเขาแบบนี้ ในเวลานี้

                ตรงข้ามกับหนุ่มรุ่นน้องที่ผละออกไปยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า สายตาเอาจับจ้องมาที่หนุ่มรุ่นพี่อยากนึกขำในท่าทาง แต่ก็ทำทีว่ากำลังรอคอยคำตอบ ในขณะที่ฮ่องเต้ได้แต่ยืนนิ่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูกที่จู่ๆ ก็ถูกขอเป็นแฟนต่อหน้าคนจำนวนมากขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายขอก็ตาม แต่เพียงแค่เสียงกระซิบก็สามารถทำลายล้างทุกสิ่งตรงหน้าได้

                “ได้ไหมครับ” โฟโต้จงใจพูดออกไมค์ ทำให้หลายคนในงานยิ่งอยากรู้อยากเห็นเข้าไปกันใหญ่ แบบนี้มันก็ยิ่งเป็นการกดดันเขาเข้าไปอีกสิ

                “ว่าไงครับ พี่ซานต้าของผม”

                “ขอคิดดูก่อนก็แล้วกัน” หนุ่มรุ่นพี่พูดจบก็หันไปส่งสายตาดุให้พิธีกรพร้อมขยับปากเป็นเชิงบอกให้ทำอะไรต่อ จนพิธีกรสองคนสะดุ้งหันไปมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะรีบทำลายความเงียบ

                “เออ ดูเหมือนว่าพี่น้องคู่นี้เขาอยากได้ของขวัญกันแบบลับๆ นะคะ ฮ่าๆ เอาเป็นว่าเรามาดูคู่สุดท้ายกันต่อเลยดีกว่าเนอะ”

                ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ...

                สรุปว่าวันนี้ปีหนึ่งทุกคนต่างก็หาตัวพี่รหัสของตัวเองเจอ จึงไม่มีใครที่ถูกลงโทษ ส่วนฮ่องเต้...หลังจากลงมาจากเวทีได้ ก็รีบปรี่เข้ามานั่งที่โต๊ะทันที

                “สวัสดีครับ”

                โฟโต้หันไปทักทายรุ่นพี่คนอื่นที่เหลืออยู่ที่โต๊ะก่อนจะนั่งลงด้านซ้ายมือของฮ่องเต้ เพราะลัคกี้ดันทะลึ่งย้ายที่นั่งให้เสร็จสรรพ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ คนที่นั่งด้านซ้ายของเขาคือโฟโต้ ส่วนด้านขวาก็คือนัท แม้ว่าสองคนจะหันมามองหน้ากันเงียบๆ แต่สายตากลับไม่เงียบตาม

                “เออ แผลมึงเป็นไงบ้าง” ฮ่องเต้หันไปถามนัทเพื่อทำลายความเงียบ นัทจึงหันมายิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนจะตอบ

                “ก็...หายดีแล้วครับ คงเป็นเพราะว่าได้พี่เต้ช่วยทำแผลให้ ขอบคุณมากนะครับ”

                ทว่าคำตอบที่ได้กลับทำเอาเขาถึงชะงักงันไป แม้จะเป็นคำพูดที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เพราะสายตาของนัทที่หันไปสบตากับโฟโต้อย่างจงใจ จนอีกฝ่ายเหมือนจะเริ่มหัวร้อนตาม ทำให้คนที่อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่อย่างฮ่องเต้ชักจะหวาดระแวงเข้าไปทุกที

                มึงอย่ามาตีกันแถวนี้นะเว้ย กูอายเขา!

                “เออนี่ โฟโต้กับนัทเป็นคนเชียงใหม่เลยป่ะ ถึงได้เลือกเรียนที่นี่” ยิ้มหันมาถาม หลังจากเห็นว่าฮ่องเต้กับปีหนึ่งทั้งสองคนเอาแต่เงียบ

                “เปล่าครับ ผมเป็นคนภูเก็ตครับ แต่พอดีมีคนชวนให้มาทำงานที่นี่ตั้งแต่เด็ก ก็เลยอยู่ยาวแล้วก็สอบเข้าที่นี่เพราะสะดวกกับเรื่องงาน” นัทตอบพร้อมกับยิ้มด้วยความเกรงใจ

                “แล้วเราล่ะ โฟโต้”               

                “ผมเป็นคนเชียงรายครับ แต่พอดีสอบติดที่นี่เป็นที่แรก แล้วขี้เกียจไปสอบรอบอื่นก็เลยเลือกที่นี่น่ะครับ” โฟโต้หันไปตอบ ก่อนจะปรายตามามองทางสายรหัสปีสี่ของตนและยิ้มกริ่ม

                “และผมก็ได้รู้ว่าโชคดีแค่ไหนที่ผมเลือกที่นี่”

                เท่านั้น ฮ่องเต้เลยแกล้งกระแอมไอและยกแก้วน้ำเปล่าตรงหน้าขึ้นมาดื่ม                 

                “แล้วแบบนี้ พี่เต้เคยเจอน้องหรือเปล่าคะ”

                ฮ่องเต้แอบตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ คำถามก็ถูกโยนมาที่เขาแบบงงๆ

                “เกี่ยวอะไรกับพี่?”

                “อ้าว พี่ฮ่องเต้เองก็ย้ายมาจากเชียงรายไม่ใช่เหรอคะ” ยิ้มหันมาถามอย่างไม่คิดอะไร ทว่าโฟโต้กลับแสดงสีหน้าเหมือนมันกำลังลุ้นให้ฮ่องเต้พูดอะไรบางอย่างตามที่ตนคิดเสียอย่างนั้น

                “เชียงรายออกจะกว้าง จะไปเคยเจอได้ไงเล่า” ฮ่องเต้ตอบปฏิเสธ ทำเอาโฟโต้หน้าจ๋อย

                ก็ผมไม่เคยเจอมันจริงๆ  นี่ครับ ขนาดไอ้น้องเปรมที่มีเรื่องกับไอ้ซัน ผมยังเพิ่งจะเคยเจอเอาตอนเข้ามหา’ลัยเลยเถอะ นับประสาอะไรกับไอ้โฟโต้

                “เสียดายนะครับ” ทว่าโฟโต้กลับหันมากระซิบที่ข้างหูเขาต่อ

                “เสียดายอะไร”

                “ก็เสียดายที่เราไม่ได้เจอกันก่อนหน้านั้น ไม่อย่างนั้นนี่ผมคิดว่าการที่เราได้มารู้จักกันในวันนี้เป็นเพราะพรหมลิขิต”

                “หึ ฝันไปเหอะมึง”

                “ครับ ผมฝันถึงพี่ตลอด”

                ฮ่องเต้หันหน้าหนีมันอย่างหงุดหงิดที่ต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายไม่ชนะสักที เป็นจังหวะเดียวกันกับอาหารถูกทยอยยกมาวางบนโต๊ะพอดี ทุกคนก็เลยได้แต่ตักอาหารกินกัน ส่วนลัคกี้ กินได้แปปเดียว ก็ขอแยกตัวออกไปก่อนเพราะต้องไปเตรียมตัว (ตามประสาเด็กปีสองที่เป็นแม่งาน) ระหว่างนั้นรุ่นพี่คนอื่นก็ชวนรุ่นน้องคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องไปพลางๆ  จนกระทั่งมาถึงช่วงสุดท้ายของงาน

                ไฟทั้งลานกิจกรรมก็ถูกดับลง ทิ้งไว้แต่เพียงความมืดและบรรยากาศรอบข้างที่เงียบกริบ ก่อนที่แสงสว่างจากเปลวเทียนรอบข้างจะค่อยๆ สว่างขึ้นจนครบ พร้อมกับเสียงเพลงประจำคณะที่ถูกขับร้องโดยนักศึกษาชั้นปีที่สองจะดังตามมา ทำให้คนที่เหลือภายในงานต่างก็เงียบกริบราวกับถูกสะกดเอาไว้

                “เอามือมา...” ฮ่องเต้หันไปบอกนัท ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันกลับมามองหน้าเขาแบบงงๆ เขาจึงดึงแขนมาและจัดการผูกข้อมือให้

                “จากนี้ไปก็ขอให้ตั้งใจเรียน สั่งสมประสบการณ์ในรั้วมหา’ลัยเอาไว้ให้มากๆ นะ มีอะไรให้ช่วยก็บอกเพราะรุ่นพี่อย่างกูพร้อมที่จะช่วยรุ่นน้องอย่างมึงเสมอ แล้วก็ขอให้ได้โชคดีกับชีวิตสี่ปีในมหา’ลัยนะเว้ย”

                ฮ่องเต้เงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายที่มองมาทางเขาด้วยแววตาซึ้งใจ ทีแรกนัทก็อึ้งไปเล็กน้อยกับคำอวยพรนั้น ดวงตาคมฉายแววประหลาดออกมา จะว่าเศร้าก็ไม่ใช่ จะว่าดีใจก็ไม่เชิง แถมยังแฝงไปด้วยความเจ็บปวดจากอะไรบางอย่างที่ไม่มีทางที่ใครจะมารับรู้ได้

                แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ฝืนยิ้มออกมา...

                “ขอบคุณมากนะครับ ผมจะจำทุกคำพูดของพี่ไว้”

                อาจจะเป็นครั้งแรก ที่หัวใจของเขาได้รับความรู้สึกดีๆ เหมือนคนอื่นบ้าง

                “มา ตาพี่บ้างแล้ว” ยิ้มเดินมาสมทบจากทางด้านหลังและจัดการผูกด้ายให้กับนัทต่อ ฮ่องเต้เลยหันหลังกลับไปหาโฟโต้

                “เอามือมาดิ”

                ฮ่องเต้มองข้อมือของอีกฝ่ายที่มีด้ายของยิ้มอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วและจัดการผูกข้อมือให้

                “ตั้งใจเรียน ทำคะแนนให้ได้เยอะๆ เข้าไว้ หาประสบการณ์จากชีวิตมหา’ลัยให้ได้เยอะๆ  นะ สี่ปีมันผ่านไปเร็วมาก อย่ามัวแต่เล่นจนลืมเวลา ขอให้มึงโชคดีตลอดทั้งสี่ปี”

                “ผมคงไม่โชคดีหรอกครับ”

                ฮ่องเต้เงยหน้าสบตากับหนุ่มรุ่นน้องที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา ดวงของคนตรงหน้าไม่มีคำว่าล้อเล่นอยู่ในนั้นเลยแม้แต่เพียงน้อยนิด

                “ถ้าพี่ไม่ยอมคบกับผม”

                ฮ่องเต้สตันไปทันทีที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็วกเข้าเรื่องนี้อีกครั้ง เหมือนกับว่ามันพยายามจะให้เขาตอบกลับมันให้ได้ก่อนที่งานจะจบอย่างนั้น

            แล้ว...มันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เขาจะตอบตกลง

                “คบกับผมนะครับ พี่เต้...”

                ฮ่องเต้ละสายตาพลางมองไปทางอื่นอย่างใช้ความคิด ก่อนจะหันหน้ากลับมาสบสายตากับคนตรงหน้า

                “หลังงานดาวเดือน กูสัญญาว่าจะให้คำตอบกับมึง”

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 41 เปิดเผย

                หลังจากงานเปิดสายรหัสสิ้นสุดลง โฟโต้ก็เดินมาส่งเขาที่รถ...

                หากแต่เพราะระหว่างทางที่เดินมา หนุ่มรุ่นน้องเอาแต่แซวเขาเรื่องชุดซาตานที่ใส่มาวันนี้ไม่หยุดหย่อน แถมแต่ละคำที่พูดออกมาก็ชวนให้เขาขนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกต่างหาก กระทั่งมาถึงลานจอดรถ ทำเอาคนถูกแซวถึงกับหน้าหงิกงออย่างที่เห็น หากแต่อีกฝ่ายกับเอาแต่ยิ้มขำกับท่าทางแบบนั้น

                เพราะมัน...น่ารักดี 

            “ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหมครับ” โฟโต้ถามย้ำอีกรอบเพื่อความแน่ใจ อันเนื่องมาจากหลังจากงานเลิก พวกเพื่อนของฮ่องเต้ก็ชวนไปต่อที่ร้านเหล้า เขาเลยเป็นห่วง ไม่อยากให้อีกฝ่ายขับรถกลับเองทั้งที่มีแอลกอฮอล์อยู่ในร่างกายแบบนั้น

                หากแต่เพราะตอนนี้ มันดึกมากแล้ว คนที่โตกว่าจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องไปลำบาก อันที่จริง ที่เขาไปก็เพราะพวกแก๊งพี่รหัสของเขาที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนด้วยแหละ เขาเลยกะจะไปพบปะสังสรรค์แค่เบาๆ แล้วกลับ อาจจะสักแก้วพอเป็นพิธีเท่านั้น

                “ไม่เป็นไรหรอก มึงกลับไปพักเถอะ” ปากก็ว่าไปพลางสอดสายตาสำรวจใบหน้าที่ซูบลงไปกว่าเดิม แม้ว่าหนุ่มรุ่นน้องจะพยายามทำตัวร่าเริงเพื่อให้เขาเชื่อว่ามันยังคงสบายดีแค่ไหน แต่ดวงตาที่ดูอ่อนล้ากับสภาพหน้ามันในตอนนี้ ปกปิดเขาเอาไว้ไม่ได้หรอก

                และที่สำคัญ เพราะรอยยิ้มที่เคยสดใส กลับดูอ่อนแรงลงไป มันทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดีตาม 

                รู้หรอกครับ ผมเองก็เคยผ่านช่วงประกวดดาวเดือนคณะ ความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับเรื่องเรียนและกิจกรรม ทำไมจะไม่รู้ว่ามันเหนื่อยแค่ไหน

            “ผมแค่เป็นห่วง อยากดูแลพี่” ทว่าอีกฝ่ายกลับทำเสียงอ้อนเหมือนเช่นทุกครั้ง

                แม้แต่เสียงยังฟังดูเหนื่อยเลย

            “ห่วงตัวเองก่อนเถอะ มึงอ่ะ” เขาส่ายหน้า เอือมระอากับอาการงอแงของเด็กตรงหน้า ก่อนจะร้องออกมาอย่างนึกขึ้นได้ “รอตรงนี้ก่อนนะ”

                ว่าออกไปเสร็จ ก็เดินไปเปิดประตูหลังรถและหยิบถุงใส่ของที่ซื้อมาเมื่อไม่กี่วันก่อนออกมา ท่ามกลางสายตามึนงงของหนุ่มรุ่นน้องที่มองทุกท่วงท่าการกระทำของเขาอย่างไม่วางตา ก่อนที่ถุงในมือจะถูกยื่นมาตรงหน้า

                “อะไรครับ”

                “เปิดดูดิ”

                ฮ่องเต้ยิ้มขำกับท่าทางของคนกำลังฝืนความเหนื่อย มือหนึ่งก็ถือถุงเอาไว้ ขณะที่อีกมือก็ค้นข้าวของ ทั้งที่มาส์กหน้า ครีมและของจิปาถะออกมาดูด้วยท่าทีมึนงง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้าง รอยยิ้มดีใจผุดขึ้นมาบนใบหน้าครั้นนึกอะไรขึ้นได้

                ตอนนี้ มันดูเหมือนเด็กจริงๆ ในสายตาของเขาและมันก็เป็นภาพที่เขาเพิ่งจะมองเห็น...ความน่ารัก...ไปอีกแบบ ในตัวของเด็กคนนี้

                “พี่ให้ผมเหรอ” มันถามย้ำเพื่อความแน่ใจ สายตาดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ จนหนุ่มรุ่นพี่ต้องพยักหน้าไปให้

                “อืม กูเห็นช่วงนี้มึงยุ่งๆ ทั้งเรื่องเรียน ทั้งกิจกรรม...” เว้นจังหวะไปชั่วครู่อย่างช่างใจในการกระทำต่อมา จนหนุ่มรุ่นน้องต้องสบตามองด้วยความสงสัย กระทั่งหนุ่มรุ่นพี่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ พลันสองมือก็ลูบเบาๆ ที่แก้ม

                “...ดูแลตัวเองบ้าง มึงซูบเกินไปแล้ว รู้ตัวบ้างไหม”

                พลันรอยยิ้มแสนอบอุ่นก็ปรากฏ เป็นอีกครั้งที่หนุ่มรุ่นน้องยิ้มออกมาจากหัวใจที่กำลังพองโตด้วยความสุข

                สุข...ที่ได้เลือกรักคนอย่างฮ่องเต้

            ชาตินี้ เขาคงไม่ปล่อยให้รุ่นพี่ปีสี่คนนี้ ไปเป็นของใครแน่เพราะถ้าเขาไม่ได้ครอบครอง คงได้ขาดใจตายไปชั่วชีวิต

                “ผมดีใจที่พี่เป็นห่วงผม” เอ่ยออกไปเสียงหวาน มันหาใช่การพูดจาเย้าหยอกเหมือนดังเช่นทุกครั้ง แต่มันมาจากความรู้สึกจริงๆ ข้างในใจของเขา

                ฮ่องเต้ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายที่ยิ้มอย่างดีใจอยู่แบบนั้น โดยไม่พูดอะไรออกไปเพราะเขาเต็มใจที่จะพูดและสัมผัสแก้มของหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้า อย่างเป็นห่วงอีกฝ่ายจากใจ

                พลันมือหนาก็ขยับขึ้นมากุมมือของเขาไว้...

                “พี่รู้ไหม ว่ามือนิ่มๆ ของพี่ มันดีกว่ามาส์กชิ้นไหนที่มีบนโลกนี้เสียอีก”

                เป็นคำพูดที่ทำเอาคนฟังอดยิ้มตามไม่ได้...

                ก่อนร่างสูงจะทิ้งตัวลงมาหา สองแขนโอบร่างของหนุ่มรุ่นพี่เอาไว้อย่างโหยหา

                “ร่างกายของพี่ก็เหมือนกัน มันดีกว่าหมอข้างแพงๆ อีกแหนะ”

                “หยุดเว่อร์ได้แล้วน่า” หนุ่มรุ่นพี่เอ่ยปากบอก

                “ไม่ได้เว่อร์สักหน่อย...” ทว่าหนุ่มรุ่นน้องกลับตอบกลับมาเสียงอ้อแอ้ “...ก็หมอนข้างแพงๆ มันกอดผมคืนไม่ได้นี่ครับ”

                ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแบบที่คนฟังต้องใจระทวยตามว่า “กอดผมหน่อยนะครับ”

                ฮ่องเต้นิ่งงันไปอย่างช่างใจ ก่อนสองแขนก็ยกขึ้นมา ทำทีค้างคาอยู่ชั่วครู่ ทว่าสุดท้ายก็ยอมสวมกอดอีกฝ่ายกลับคืนแต่โดยดี

                พอได้รับสัมผัสจากอีกฝ่ายเช่นนั้น โฟโต้ก็ลอบยิ้มออกมา หากแต่เป็นรอยยิ้มบางๆ ที่ดูเหนื่อยล้า ก่อนสองแขนจะกระชับกอดคนในอ้อมแขนให้เข้ามาแนบชิดอกเข้าไปอีกเป็นเท่าตัว ราวกับอยากจะซึมซับพลังงานทั้งหมด หลังจากผ่านเรื่องราวบางอย่างมา เพียงก่อนหน้าที่จะมาเจอคนในอ้อมกอดไม่กี่ชั่วโมง...

                มีบางอย่าง ที่ฮ่องเต้ยังไม่รู้และเขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้เช่นกัน

            ความเหนื่อยล้าทางใจส่งผลให้ใบหน้าคมซบลงบนไหล่ของอีกฝ่าย สูดกลิ่นกายที่หอมเย้ายวนชวนสัมผัสมากที่สุดสำหรับเขา ราวกับว่ามันสามารถบรรเทาความอ่อนแอภายในใจได้ดีแบบที่ยาชนิดไหนก็คงไม่มีวันทำได้

                ขณะที่สองมือของคนที่โตกว่าก็ขยับลูบแผ่นหลังกว้างอย่างเบามือๆ  จนอีกฝ่าย...สองตาหลับพริ้ม อย่างพยายามซึบซับความสุขจากห้วงเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เขามอบให้

                หากแต่เพราะริมฝีปากร้อนที่เผลอไผลไปสัมผัสกับต้นคอเบาๆ จนเขาเสียวสันหลังวาบ จึงต้องรีบผละออกมา

                “อื้อ พอได้แล้ว” ปากก็ร้องบอกไปแบบนั้น พร้อมทั้งหัวใจที่มันอิ่มไออุ่นจากอีกฝ่ายจนใจสั่น

                “โอเคครับ...” โฟโต้ผละออกมาอย่างว่างง่าย หากแต่ยังคงรั้งเอวของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้อย่างไม่อยากจะจาก ก่อนจะพูดอีกเรื่องสำคัญ “...พี่เต้ เรื่องจดหมาย ผมได้อ่านทุกข้อความของพี่หมดแล้วนะครับ”

                ฮ่องเต้กลับมาใจเต้นแรงอีกครั้ง ยอมรับว่าเขาเกือบจะลืมเรื่องจดหมายได้แล้ว แต่พอที่อีกฝ่ายโพล่งออกมาแบบนี้ มันก็ทำให้หน้าใสถูกแต้มไปด้วยสีระเรื่อ

                “ขอบคุณนะครับ ที่ให้โอกาสผมได้เข้าไปในชีวิตพี่ ถึงแม้จะยังไม่ใช่ในฐานะแฟน แต่ผมก็มีความสุขมากจริงๆ”

                เพราะใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข มันดูสดใส...ฮ่องเต้จึงได้แต่เงียบ ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากอะไรออกไป แต่ยังคงมองสบสายตากับอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น

                บางที...เขาก็คิดว่าการเปิดใจยอมรับความรู้สึกของตัวเองแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่แน่ใจว่าเขาเองควรจะเชื่อใจคนตรงหน้าไหม แต่อย่างน้อย มันก็ทำให้เขามีความสุข...

                ถึงแม้จะเป็นแค่ความสุข...ในช่วงเวลานี้...ก็ตาม

            “พี่ฮ่องเต้ครับ...” หนุ่มรุ่นน้องเรียกเสียงอ้อนพร้อมกับดึงมือเขามากุมเอาไว้ “...เรื่องไอ้นัท”

                “กูคิดกับมันแค่พี่น้อง” เขาโพล่งออกไปอย่างที่ใจคิด ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายขยายความ เขาก็รับรู้ได้ว่าคนตรงหน้ากำลังกังวลใจเรื่องอะไร

                “ครับ ผมเชื่อใจพี่นะ”

                หากแต่การตอบกลับมาเช่นนั้น กลับทำเอาคนฟังหน้าชา คำว่า เชื่อใจ ที่ออกมาจากปากรุ่นน้องตรงหน้า ทำเอาเขาจุกอกไม่น้อย

                ทั้งๆ ที่โฟโต้ทั้งเชื่อใจและทำทุกอย่างเพื่อเขามามากมาย แต่เขากลับเอาแต่คิดมาก แถมยังไม่ยอมเชื่อใจมันเสียที ยิ่งได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายตอนนี้ ยิ่งทำให้เขาอ่อนไหวเข้าไปใหญ่  โดยเฉพาะกับรอยยิ้ม...ที่มักจะทำให้เขาใจอ่อน อย่างที่เขาไม่เคยจะรู้ตัวเลยสักครั้ง กว่าจะรับรู้อะไร เขาก็หลงใหลรอยยิ้มสดใสและแววตาที่เขามองว่ามันเจ้าเล่ห์มาตลอดเข้าแล้ว และเขาก็ไม่อยากให้มันหายไปจากใบหน้าแสนทะเล้นนั้นเลยสักนิด

            “ขอบใจนะ ที่เชื่อใจกู...” จนต้องเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังปนเว้าวอนคนตรงหน้า “...กูสัญญาว่าจะเชื่อใจมึงกลับให้ได้ อีกแค่นิดเดียว...ให้เวลากูหน่อยได้ไหม”

                โฟโต้สบสายตากับหนุ่มรุ่นพี่ อาจจะครั้งแรกที่เขาได้เห็นแววตาแบบนี้ แบบที่กำลังสื่อออกมาว่าฮ่องเต้กำลังพยายามมากแค่ไหน ที่จะเชื่อใจและเดินไปกับเขา และมันก็ทำให้เขาพลอยใจอ่อนไปด้วย

                “ครับ ผมรอพี่ได้เสมอ ไม่ว่าจะหลังงานดาวเดือนหรือจะตลอดชีวิต”

                ที่พูดออกไป มันคือความจริงจากใจของเขา ที่ส่งผ่านน้ำเสียงและแววตาจนคนฟังแทบไม่อยากจะเชื่อกับหูว่าจะได้ยินหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา โดยเฉพาะ...มันกำลังพูดกับเขา...เขาที่หมดหวังไปกับการรอคอยใครสักคนมาใส่ใจ

                มันเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้มันมา...มันทำให้เขามีความสุขมากจริงๆ  เป็นความสุขแบบที่เขาเคยคาดหวังจากใครสักคน ก่อนที่เขาจะผิดหวังในวันที่ได้รู้ความจริงว่าใครคนนั้นไม่เคยรู้สึกอะไรกับเขาเลย

                แต่วันนี้...กลับเป็นคนๆ นี้

                สายรหัสปีหนึ่งของเขา...ที่เป็นคนหยิบยื่นความสุขนั้นมาให้อีกครั้ง

                เขาไม่อยากให้มันหายไปเลยจริงๆ  ไม่อยากให้ทุกอย่างมันกลายเป็นเพียงภาพลวงตาเหมือนอย่างที่ผ่านมา

                “อย่าไปแต่งให้ใครเห็นอีกนะครับ ลุคนี้”

                โฟโต้เอ่ยทำลายความเงียบ เลื่อนสายตามามองที่แผ่นอกของคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา

                “ทำไมวะ มันน่าเกลียดเหรอ” หากคนฟังถึงกับเหลอหลา ความมั่นใจหดหายไปหมดเสียจนสื่อออกมาทางสีหน้าอย่างปิดไว้ไม่มิด

                แต่มันกลับทำให้หนุ่มรุ่นน้อง...ยิ้มขำ

                แม้อีกฝ่ายจะโตกว่า แต่เขากลับมองเห็นถึงความไร้เดียงสาและความใสซื่อในแบบฉบับของลูกแมวตาโต

                “เปล่าครับ...” โฟโต้ว่าพลางกระเถิบเข้าไปใกล้ สองมือกลับยกขึ้นมาตรงอก ปากก็กระซิบกระซาบให้พอให้ยินกันแค่สองคนว่า “...มันมากเกินไปต่างหาก”

                พลันมือจัดการติดกระดุมเสื้อที่ถูกปลดออกมาสองเม็ด ซึ่งเผยให้เห็นผิวเนียนใสของหนุ่มรุ่นพี่ ที่กำลังเขินอายกับการกระทำของหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้า

                “มันหลุดเองต่างหาก กูไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย” ว่าเสียงอ้อมแอ้ม ให้อีกฝ่ายช้อนตาขึ้นมามอง...อย่างนึกเอ็นดู

                เอ็นดู...จนอดแกล้งไม่ได้

                คิ้วสองข้างของหนุ่มรุ่นพี่ขมวดฉับเข้าหากัน ชักสีหน้าใส่อีกฝ่าย

                “เอาผ้ามาพันคอกูด้วยไหมล่ะ”

                นั่นก็เพราะโฟโต้ทะลึ่งติดกระดุมเชิ้ตให้เขายันเม็ดบนสุด ชนิดปิดไปยันคอหอย ทำเอาอีกฝ่ายอดประชดออกมาไม่ได้ แต่พอเอามือไปแกะ กลับถูกอีกฝ่ายคว้ามือเอาไว้           

                “ไปแบบนี้นั่นแหละครับ ผมหวง”

                “กูหายใจไม่ออก” ฮ่องเต้ว่าพลางนิ่วหน้า

                “เม็ดเดียว...”

                “หะ?”

                “ผมให้แค่กระดุมเม็ดเดียว” โฟโต้ร้องบอกและเป็นฝ่ายจัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพ ทว่ากลับทิ้งท้ายด้วยการเย้าหยอกให้อีกฝ่ายเขินอายว่า “แผ่นอกพี่มันขาวเนียนเกินไป ผมไม่อยากให้ใครเห็น”

                “พอเลย หยุดมองด้วย!”

                นั่นก็เพราะแววตาหื่นกระหายที่เอาแต่จับจ้องผ่านเสื้อสีขาวอย่างจาบจ้วง ให้คนถูกจ้องต้องแหวใส่

 

                “ถ้าอย่างนั้น ขับรถดีๆ นะครับ ถ้าเมาก็ให้เพื่อนมาส่งหรือไม่ก็โทรเรียกให้ผมไปรับนะครับ” โฟโต้กำชับเสียงเครียด มองด้วยสายตาดุๆ

                “รู้แล้วน่า ทำเหมือนกูเป็นเด็กไปได้”

                “เป็นคนที่ผมรักต่างหาก”

                “พอได้แล้ว” ฮ่องเต้หันไปทำเสียงดุใส่บ้าง ทว่าโฟโต้กลับหัวเราะออกมา “กูไปแล้วนะ”

                “กลับถึงหอเมื่อไหร่ อย่าลืมส่งข้อความบอกผมด้วยนะ”

                “อืม!” รับคำเสร็จ เขาก็ขึ้นรถและขับออกมาโดยมีโฟโต้ยืนมองส่งจนลับสายตา อย่างที่ไม่รู้ว่าคนบนรถกำลังฉีกยิ้มกว้าง...ครั้งแรกในหลายรอบปี 

                ก่อนที่ความสุขจะถูกทำลายไปในชั่วพริบตา ครั้นเสียงเรียกเข้าที่ดังเข้ามาเพื่อย้ำเตือนอะไรบางอย่าง

               

                “มาแล้วเว้ยๆ” เสียงนิวร้องลั่น ทันทีที่เห็นเพื่อนรักของตนโผล่หน้ามา ท่าทางดูร่าเริงเสียจนคนถูกทักอยากจะเข้าไปโบกหัวสักทีสองที หากแต่ก็ได้แต่เดินเข้าไปยกมือไหว้พวกรุ่นพี่เท่านั้น

                “ว่าไงครับ คุณฮ่องเต้ หนึ่งเจ็ดแปด มีอะไรจะเล่าไหมวะ”

                “ไม่-มี” เขาเน้นคำ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ

                “กูไม่เชื่อ” นิวร้องลั่น ก่อนจะหันไปหาพรรคพวก “วันนี้ มันขึ้นไปจู๋จี๋กันบนเวทีด้วยนะ พี่เมฆ”

                และคนฟังก็ถึงกับตาแทบถลน แทบจะสำลักเหล้าที่กำลังกรอกเข้าปาก

                “นี่คือ อะไรยังไงวะ คบกันแล้ว เป็นแฟนกัน แล้วใครผัวใครเมียวะ”

                “พี่เมฆ!!” ฮ่องเต้ร้องปรามพี่รหัสตนดังลั่น

                “ดูจากสภาพก็ไม่น่าถามนะครับ ว่าใครผัว...” เว้นจังหวะและหันไปพูดใส่หน้าคนข้างๆ แบบเน้นๆ ว่า”...ใครเมีย”

                “เฮ้ย นี่จริงดิ” หากแต่เมฆก็ต้องหันมาถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

                จนคนตกเป็นเป้าถึงกับหนักใจกับแรงกดดันรอบข้างที่มาเต็มสตรีม ชนิดที่ไม่ให้เขาไปผุดไปเกิดแน่ๆ ถ้าไม่ยอมตอบคำถามนี้

                “ไม่ต้องถามแล้วพี่! มาๆ มาครับ! มาชนให้กับฮ่องเต้ที่สละโสดเลยดีกว่า เอ้า ชนนนนนนน”

                และเสียงแก้วชนกันก็ดังลั่นท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนทั้งโต๊ะ ที่เอาแต่พูดถึงอาถรรพ์สายรหัสหนึ่งเจ็ดแปด และในเมื่อคนถูกกล่าวหาทำอะไรไม่ได้ จึงหันไปจัดการโบกหัวคนพูดมากแทน โทษฐานที่พูดจาไปเรื่อย แถมยังเป็นต้นตอของการตั้งประเด็นเรื่องของเขาอีก

                และมันทำให้คนเจ็บตัวต้องหันมาโวยลั่น

                “ตบหัวกูทำไมเนี่ย” ก่อนจะมองหน้าหงุดหงิดของอีกฝ่ายแบบอึ้งๆ เหมือนเพิ่งจะนึกได้ “นี่มึงอย่าบอกนะ ว่ายังไม่ได้คบกับน้องมันอ่ะ”

                “ก็เออดิวะ มึงจะโวยวายทำเชี้ยไรเนี่ย” ฮ่องเต้ชักสีหน้าพลางหันไปกระดกแก้วกรอกเหล้าเข้าปากอย่างหัวเสีย

                “แล้วไอ้ตอนที่น้องมันกระซิบขอของขวัญจากซานต้าบนเวทีอ่ะ น้องมันไม่ได้ของมึงเป็นแฟนเหรอวะ”

                “แค่กๆๆ” เป็นอันสำลักออกมาทันทีที่นิวพูดจบ เพราะแทงใจเขาเข้าเต็มๆ ชนิดที่แม่นกว่าจับวางเสียอีก จนฮ่องเต้แทบจะกระอักเหล้าแทนเลือด

            ก็ดูแม่งพูดเข้าสิครับ อย่างกับมันได้ยินตอนที่ไอ้โฟโต้พูดกับผมบนเวทีอย่างนั้นแหละ

                “พอเหอะน่า ไอ้นิว เดี๋ยวมันคบกันเมื่อไหร่ มันก็บอกเองล่ะน่า”

                ต้องขอบคุณเจมส์ที่เข้ามาเบรกนิว  ทำให้เขาโล่งใจไปบ้างที่อย่างน้อยก็มีคนเห็นใจ ช่วยยุติประเด็นเรื่องของเขาได้เสียที...หรือเปล่า?

                “เออ ไอ้เต้ สักเดือนหน้า กูว่าจะเลี้ยงสายว่ะ ยังไงมึงก็พาสายรหัสกับสายเทคปีนี้มาด้วยนะเว้ย” เมฆหันมาบอก ซึ่งฮ่องเต้ก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้ โดยไม่ทันได้ตั้งตัวกับประโยคหลังที่ว่า “พาผัวมึงมาให้ได้นะ กูอยากเจอ”

                “ไอ้พี่เมฆ!!” ฮ่องเต้ร้องลั่น แทบจะหน้าทิ่มกับสิ่งที่ได้ยิน หากแต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่าและหันไปส่งเสียงเจี้ยวจ้าวกับเพื่อนต่อ

               

                ฮ่องเต้นั่งดื่มต่อได้สักพัก ก็ขอตัวกลับก่อนเพราะไม่อยากกลับดึกเสียเท่าไหร่ หากแต่พอเดินเข้ามาที่ลานจอดรถได้ไม่กี่ก้าว ไหล่ของเขาก็ถูกใครบางคนชนเข้าอย่างจัง กระทั่งกุญแจรถในมือที่เพิ่งจะล้วงออกจากกระเป๋ากางเกงร่วงลงไปที่พื้น

                “ขอโทษครับ” เสียงอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น พร้อมกับร่างที่ก้มลงไปเก็บกุญแจให้

                หากแต่พอใครคนนั้นยืนขึ้นเต็มความสูงและยื่นกุญแจกลับมาให้ เพียงแค่เสี้ยววินาที ก็ทำเอาคนที่เพิ่งจะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครถึงกับใจกระตุกวูบ...

                แม้จะไม่ได้เจอหน้ากันสามปี...แต่เขาก็ยังคงจำได้ดีว่าคนตรงหน้าคือใคร

                “ฮ่องเต้...” เป็นอีกฝ่ายที่เอ่ยเรียกชื่อเขาก่อน ทั้งที่เขาอยากจะทำเป็นตีเนียน ขอบคุณเสร็จและเดินหนี แต่ร่างของเขากลับถูกกระชากเข้าสู่อ้อมกอดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

                ...จนฮ่องเต้ถึงกับเบิกตากว้าง แววตาสั่นระริกจนก่อเกิดน้ำใสที่หลั่งไหลมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่

                อ้อมแขนของคนที่เขา เคย รักมากที่สุด รักยิ่งเสียกว่าชีวิต รักแบบที่เคยยอมให้ได้หมดทุกอย่างและอ้อมแขนที่เขาไม่ได้สัมผัสมานานถึงสามปี   

                แต่ตอนนี้...เขากำลังถูกโอบกอดด้วยใครคนนั้น

            “กอดผมหน่อยนะครับ”

            ฮ่องเต้รีบผลักคนตรงหน้าออกทันทีที่เสียงของโฟโต้ดังแทรกเข้ามาในความคิด ตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งจะมีสติ เพิ่งจะรู้ตัวว่ามันเกิดอะไรขึ้น

                “เต้...โกรธพี่อยู่เหรอครับ”

                ภาคินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเจ็บปวด พร้อมทั้งแววตาที่สื่อออกมาอย่างต้องการให้หนุ่มรุ่นน้องตรงหน้าใจอ่อน

                แต่เขาคงไม่รู้ว่าในหัวใจของคนตรงหน้า ได้ถูกเติมเต็มจนไม่เหลือพื้นที่ว่างให้ใจอ่อนกับเขาอีกแล้ว...

                “ผมขอกุญแจรถด้วยครับ” ฮ่องเต้เอ่ยออกไปเสียงเรียบ ทำทีเป็นไม่รู้จักคนตรงหน้าเพราะเขาไม่อยากจะเสวนาให้บั่นทอนความรู้สึกข้างในของตัวเอง

                “ฮ่องเต้...” ภาคินส่งเสียงเว้าวอน แต่แววตากลับฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมา เพียงชั่วครู่ ก่อนจะทำตัวน่าสงสาร “...คุยกับพี่ก่อนสิครับ พี่คิดถึงเต้มากเลยนะ”

                “ขอกุญแจรถด้วยครับ” ฮ่องเต้เน้นย้ำอย่างต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ต้องการคุยด้วย จนคนเจ้าเล่ห์ต้องถอนหายใจออกมา

                “นี่ครับ กุญแจ”

                หากแต่พอฮ่องเต้ยื่นมือออกไปคว้า  ภาคินกลับใช้โอกาสนั้นฉุดมือให้หนุ่มรุ่นน้องเข้าหาและประกบปากจูบทันที แบบที่ฮ่องเต้ถึงกับเลือดขึ้นหน้า ซัดหมัดใส่จนอีกฝ่ายเซไปที

                “ไอ้พี่คิน!!”

                “จำพี่ได้แล้วเหรอครับ” แต่ภาคินกลับหัวเราะออกมาอย่างนึกสนุก “ไหนๆ ก็จำพี่ได้แล้ว ไม่ลอง...หน่อยเหรอ”

                ร่างสูงไม่ว่าเปล่า แต่ขยับร่างเข้าไปใกล้ หมายจะฉวยโอกาสกับเจ้าของเรือนร่างที่เขาเคย เกือบ จะได้ลิ้มลองมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้น โชคดันไม่เข้าข้าง ก็เลยอดไปก็เท่านั้น

                “ไอ้เหี้ยเอ้ย!!”

                ความอดทนของฮ่องเต้หมดลงแค่นั้น แต่เพราะไม่อยากต่อความยาว จึงปรี่เข้าไปหยิบกุญแจที่หล่นอยู่บนพื้นและรีบสาวท้าวหนีทันที ปล่อยให้หนุ่มรุ่นพี่มองตาม แววตาก็ฉายแววมาดร้ายออกมาอย่างมุ่งมั่น แบบที่ไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมืออีก...ถ้าเขาไม่ได้ลอง

                “ยิ่งโต ยิ่งน่าเอาว่ะ”

                แค่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง...และดูเหมือนว่าเขาจะมีแผนร้ายอยู่ในหัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

               

                ขณะที่...

                “ไอ้เหี้ย! มึงมันเหี้ย!! ฮึก”

                ฮ่องเต้ระบายความโกรธออกมา พลันน้ำตาจากความอัดอั้นก็พรั่งพรูออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ ราวกับต้องการจะชดเชยความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดในวันเวลาที่ผ่านมา...ที่เขาพยายามจะไม่ร้องไห้ ไม่รู้สึกอะไร แต่เพียงแค่จูบเดียว...เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว มันก็บีบเค้นหัวใจเจียนตาย

                เขาไม่ได้รู้สึกดี...เขาไม่ได้คิดถึงและไม่ได้รู้สึกอะไรกับอีกฝ่าย

                แต่เป็นเพราะเขารับไม่ได้กับการกระทำทั้งเมื่อสามปีก่อนและเมื่อครู่ ทั้งอ้อมกอดและจูบ มันทำให้เขารู้สึกรังเกียจจนต้องยกมือขึ้นมาถูปากตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

                จนริมฝีปากเริ่มบวมแดงจากแรงกระทำ...

                “มึง...มัน...เหี้ย”

                เอ่ยออกมาพลางสะอื้นไห้

                “ผมเกลียดพี่...”

                ก่อนจะทิ้งร่าง ฟุบลงไปกับพวงมาลัยรถและปล่อยให้น้ำตาไหลอาบหน้า ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านตามแรงสะอื้น อีกทั้งเสียงที่เปล่งออกมาด้วยความเจ็บปวดที่สะสมมานานนับแรมปี

                แต่ในหัวใจของเขา...ก็ยังคงหวนนึกใครบางคนที่เขาหวังจะให้เป็นที่พึ่งของเขาในเวลานี้

            สายรหัสปีหนึ่งของเขา...ตอนนี้ มีเพียงแค่โฟโต้เท่านั้น ที่เขาอยากจะเข้าไปกอดและจูบสักครั้ง

            ขอแค่นั้น...จริงๆ

           

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 42 ครั้งสุดท้าย

                เพราะนิวเห็นทุกการกระทำ เขาจึงรีบโทรบอกให้โฟโต้มารับฮ่องเต้กลับไป...

            หลังจากพาหนุ่มรุ่นพี่ออกมาสูดอากาศที่ระเบียงหอพักของเขา กระทั่งอีกฝ่ายหมดเรี่ยวแรงและผล็อยหลับไปพร้อมกับใบหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตา อย่างที่อีกฝ่ายต้องบรรจงใช้นิ้วเช็ดให้อย่างเบามือ ดวงตาคู่สวยมองสำรวจใบหน้าของคนที่หลับไปแล้ว ทิ้งเพียงแค่ลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอต่อกัน หากแต่สีหน้ายังคงความเจ็บปวดอยู่เช่นนั้น 

                ...จนมือหน้าต้องเอื้อมไปลูบเบาๆ ที่แก้ม ขยับเลื่อนไปที่เส้นผม

                ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้และบรรจงจูบลงบนหน้าผากนั้น ให้คิ้วสองข้างคลายความกังวลออกไป

                “ผมอยู่นี่แล้ว...พี่ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วนะครับ”

                พึมพำออกไปเสียงแผ่วด้วยความสงสารคนตรงหน้าจับใจ นึกย้อนไปถึงตอนที่เขาไปรับที่ร้าน...ตอนที่คนตรงหน้าเอาแต่ฟุบหน้า ร่างกายสั่นสะท้านอยู่บนรถไม่ยอมไปไหน แต่ทันทีที่เห็นว่าเขาไปเคาะกระจก อีกฝ่ายก็รีบเปิดประตูออกมาหาราวกับคนไร้ที่พึ่ง

                เพราะทันทีที่เห็นใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องเข้ามาใกล้ ร่างทั้งร่างก็ร่วงหล่นลงไปในพริบตา โหยหาที่พึ่งพาอย่างไม่อาจจะต้านทานและฝืนตัวเองเอาไว้ได้อีกแล้ว

                ...และนั่น มันทำให้คนที่เด็กกว่าต้องรับอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขน กระชับกอดร่างกายที่สั่นเทานั่นแนบกับแผ่นอกกว้างที่พยายามแผ่ความอบอุ่นไปให้ถึงหัวใจของอีกฝ่าย มือหนาขยับลูบเบาๆ ที่เส้นผมและแผ่นหลังที่กำลังสั่นสะท้าน โดยไม่ปริปากออกไปแม้แต่คำเดียว

                เพราะเขาเองก็อยากให้หนุ่มรุ่นพี่ร้องออกมาให้พอ...พอแบบที่จะไม่ต้องกลับมาร้องซ้ำอีกครั้ง

            แต่ตอนนี้...คนไร้เรี่ยวแรงหลับใหลไปแล้ว เพราะอากาศที่เริ่มจะเย็นตัวลงทุกที กอปรกับไม่อยากปลุกให้คนข้างกายตื่นมารับรู้สิ่งใดในตอนนี้ จึงค่อยลุกไปหยิบผ้าห่มในห้องมาคลุมร่างกายคุดคู้ของอีกฝ่ายอย่างเบามือ พลันขยับลงนั่งข้างๆ ก่อนที่ศีรษะของหนุ่มรุ่นพี่จะซบลงบนไหล่ของคนๆ เดียวที่อยู่ข้างกายเขาในเวลาเช่นนี้

                และเพราะมีเพียงแค่ คนเดียว เท่านั้น ริมฝีปากระเรื่อจึงค่อยขยับเอ่ยออกมาอย่างไม่รู้ตัว

                “กูเชื่อใจมึงได้ไหม มึงจะทิ้งกูไหม”

                สายตาในยามนี้ของหนุ่มรุ่นน้อง ดูอ่อนลงไปถนัดตา แบบที่หนุ่มรุ่นพี่เองก็ไม่มีทางได้เห็น ครั้นที่ได้ยินประโยคนั้นจากอีกฝ่าย แขนยาวพาดผ่านและดึงตัวคนที่โตกว่าเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดเพียงหวังจะช่วยบรรเทาความเหน็บหนาวในใจของคนที่แม้จะหลับใหล แต่ความว้าวุ่นยังไม่จางหายไปจากใจ

                “ไม่มีวันนั้นหรอก ถึงผมจะเคยทิ้งใคร...แต่ไม่ใช่กับพี่” โฟโต้ว่าเสียงหนักแน่น “ในเมื่อใจของผมอยู่กับพี่แล้ว ผมคงไปอยู่กับคนอื่นไม่ได้แล้วล่ะครับ”

                ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว “รักของผมอยู่ตรงนี้ ผมก็ต้องอยู่ตรงนี้”

                พลันแขนของคนที่หลับใหลก็สวมกอดเข้าที่ร่างของคนข้างกาย ราวกับทุกความรู้สึกและทุกคำพูดส่งถึงหัวใจของเขาแล้ว ริมฝีปากของหนุ่มรุ่นน้องจึงขยับจูบลงผมเส้นผมของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ มือหนาขยับลูบศีรษะ ค่อยเลื่อนลงมาที่แขนอย่างถะนุถนอม จนร่างของคนในอ้อมแขนเคลื่อนลงไปนอนบนตักและหลับไปท่ามกลางไออุ่นจากหนุ่มรุ่นน้องที่คอยโอบกอดเขาเอาไว้ทั้งคืน...

 

                “พี่ตั้งใจจะทำร้ายเพื่อนผม”

                คนที่ตัวเล็กกว่า หากแต่ใจไม่เล็กตามส่งเสียงออกไปพร้อมกับสายตาไม่เป็นมิตร

                “เพื่ออะไรวะ ที่ผ่านมามันยังไม่พออีกหรือไง”

                “นิวครับ พี่ไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น” จนอีกฝ่ายต้องเอ่ยออกไปเสียงเศร้า ทำราวกับว่าคนตรงหน้ากำลังเข้าใจผิด

                “แล้วเจตนาแบบไหนกันล่ะครับ ที่ทำให้คนที่มีลูก มีเมียเป็นตัวเป็นตน ดึงคนอื่นเข้ามาจูบแบบไม่ละอายใจ”

                เขายังจำภาพนั้นได้ติดตา มองเห็นแม้กระทั่งสายตาที่คนตรงหน้ามองเพื่อนของเขา สายตาร้ายๆ ที่ใครก็ดูออกว่าต้องการอะไร นั่นทำให้นิวต้องยิ้มเยาะออกไปและเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

                “ผมลืมไปว่าคนที่ เอาไปทั่ว แบบพี่ มันไม่เคยคิดถึงคนอื่นอยู่แล้ว”

                แต่มันกลับทำให้ภาคินหัวเราะออกมาน้อยๆ ไล่ต้อนอีกฝ่ายจนจนกำแพงหลังร้าน

                “จะไปคิดถึงคนอื่นทำไม ในเมื่อพี่คิดถึงแต่น้องนิว” ท้ายประโยคหยอดเสียงหวาน ส่งสายตาหยอกเย้าเสียจนคนฟัง...อาจจะเคลิ้มไป ถ้าเป็นเมื่อก่อน...แต่กับตอนนี้ มันทั้งน่ารังเกียจและขยะแขยงไปเสียหมด

                “ไอ้เหี้ย!” นิวร้องลั่น ปัดมือคนตรงหน้าออกทันทีที่ถูกอีกฝ่ายกำลังจู่โจมเข้าที่เป้ากางเกง

                “แต่นิวก็เคยหลงเหี้ยแบบพี่ไม่ใช่เหรอครับ”

                นิวเริ่มตัวสั่น หาด้วยความกลัว แต่เป็นความแค้น...แค้นใจที่อีกฝ่ายยังกล้าพูดถึงเรื่องนั้นอีก

                “ที่งานเปิดบ้านนิติศาสตร์วันนั้น พี่ยังจำได้นะ” ภาคินว่าไปพลางใช้นิ้วโป้งสัมผัสเกลี่ยริมฝีปากของอีกฝ่ายเบา ก่อนจะช้อนตาขึ้นมามองหน้าและยกยิ้มที่มุมปาก ให้อีกฝ่ายต้องกำหมัดแน่นและ...

                ซัดเข้าใส่จนคนได้รับหน้าหันไปตามแรง!

                “ที่ผมยังยืนยันที่จะสอบเขานิติฯ ก็เพราะความตั้งใจของผมแต่แรก ไม่ใช่เพราะพี่!”

                “พี่ไม่เชื่อหรอก” ภาคินหันกลับมาพูดต่อ ภายในใจเริ่มจะต้านแรงไม่ไหวเพราะถูกต่อยหน้ามาสองครั้งสองหนภายในวันเดียวกัน “ลองพิสูจน์ดูไหมล่ะ ว่าเราไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่แล้วจริงๆ”

                พลันสิ้นเสียง ร่างของนิวก็ถูกกระชากเข้าไปหาพร้อมทั้งถูกล็อคตัวเอาไว้แน่น ด้วยแรงอารมณ์ของอีกฝ่ายที่ส่งผลให้พละกำลังมากขึ้น จนใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องต้องเบนหนีริมฝีปากร้อนเป็นพัลวัน มือก็ทั้งผลักทั้งดันอีกฝ่ายออกไปชนิดที่ไม่รู้ว่าปัดป่ายไปโดนอะไรบ้าง

                “ปล่อยกู! ปล่อย! ไอ้เหี้ยคิน!”

                ปากที่ว่างเริ่มร้องประท้วง ก่นด่าให้อีกฝ่ายอารมณ์ร้อนมากกว่าเดิม อย่างไม่รู้ว่ามันจะส่งผลเสียให้ตนตกอยู่ภายใต้อาณัติของหนุ่มรุ่นพี่มากขึ้น  กระทั่ง...

                พลั่ก!

                ร่างของภาคินถูกกระชากและตามมาด้วยหมัดที่ซัดเข้าหน้าแรงๆ ไปที จนเซถอยออกห่างจากนิว...ที่ยืนอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไม่ทันได้เข้าไปห้ามร่างสูงของคนที่เข้ามาช่วย จนอีกฝ่ายซัดหมัดใส่ภาคินไม่หยุด

                กว่าจะรู้ตัวและเข้าไปหยุดยั้งการกระทำนั้น ใบหน้าของภาคินก็เกิดรอยเลือดซิบ

                “พอแล้ว กูบอกให้พอไง!” นิวตะคอกใส่ทั้งดึงให้อีกฝ่ายออกห่างจากคนที่ล่วงเกินเขา กระทั่งหนุ่มรุ่นน้องกลับมายืนเต็มความสูงและเอาแต่หายใจอย่างเหนื่อยหอบ

                “มึงทำอะไรรุ่นพี่กูอีกล่ะก็ กูไม่เอามึงไว้แน่!!” แต่ปากก็ว่ากราดใส่เช่นนั้น พร้อมทั้งสายตาที่จ้องคนที่กำลังยืนขึ้นมาอย่างไม่วางตา

                “อะไร ไม่เจอกันไม่กี่ปี มีผัวใหม่แล้วเหรอครับ”

                “ไอ้สันดานเหี้ย!”

                นิวรีบกระชากอีกฝ่ายไว้แทบไม่ทัน เมื่อหนุ่มรุ่นน้องทำท่าจะกระโจนเข้าใส่คนพูดอีกหน

                “ต่อให้กูเป็นผัวใหม่ของพี่นิว กูก็จะเอากับเขาแค่คนเดียว ไม่ได้เอากับคนอื่นไปทั่วเหมือนมึง...” ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก “...ป่วยมากี่โรคแล้วล่ะ ชอบนักไม่ใช่เหรอวะ ฉีดยาสด ไม่เช็ด ไม่ล้าง แถมไม่เลือกแบบมึง”

                “ปากดีนักนะมึง”

                “พูดแทงใจดำมึงต่างหาก”

                คำพูดที่ทำเอาภาคินกำหมัดแน่น หากแต่พอจะย่างสามขุมเข้ามาหา นิวกับออกตัวปกป้องรุ่นน้องของตน

                “ถ้าพี่จะทำน้องมัน ผมก็ไม่เอาพี่ไว้เหมือนกัน” นิวกราดใส่คนตรงหน้าอย่างไม่นึกกลัว “ผมเคยบอกแล้วว่าพี่จะทำผม ผมไม่เคยว่า แต่อย่ามาทำคนของผม”

                เขาหมายถึงทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตน ทั้งในฐานะเพื่อนและรุ่นน้องอย่างร่างสูงที่เขากำลังดึงตัวเอาไว้

                “พอเหอะ ไปได้แล้ว”

                นิวก็ร้องบอกพร้อมกับดึงตัวหนุ่มรุ่นน้องออกมา เมื่อเห็นว่าเรื่องราวเริ่มจะบานปลายไปกันใหญ่ ทิ้งให้ภาคินแค้นใจอยู่เช่นนั้น หากแต่ก็เพียงชั่วครู่ เมื่อในหัวของเขามีแผนการบางอย่างผุดขึ้นมา

                “หรือจะบอกเรื่องนิว ให้ฮ่องเต้รู้ดีนะ...” ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะ ยกยิ้มที่มุมปาก “...เพื่อนรักแตกคอกันเพราะผู้ชาย คงได้เป็นข่าวดังในคณะ...เหอะ คงสนุกน่าดู”   

 

                รุ่นพี่รุ่นน้องพากันเดินออกมาไกลสมควร ในบริเวณลานจอดรถของพนักงานร้าน หนุ่มรุ่นน้องจึงเป็นฝ่ายหันกลับมาพูด

                “ขอโทษนะครับ ที่พูดถึงพี่แบบนั้น”

                นิวมองสำรวจสีหน้าที่อ่อนลงของคนตรงหน้าอย่างรู้ดีว่ากำลังหมายถึงเรื่อง ผัวใหม่ แต่เพราะเขาเข้าใจว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายอารมณ์ร้อนจึงไม่ได้ติดใจโกรธ ตรงกันข้าม เขากลับแปลกใจที่ได้เห็นคนที่นิ่งเงียบมาตลอดอย่าง นัท  พูดจาแรงๆ และเข้าไปเอาเรื่องจนภาคินเจ็บตัวได้ขนาดนั้น

                “กูเข้าใจ...” นิวว่าก่อนจะสบตากับอีกฝ่าย “...มึงนั่นแหละ เป็นอะไรหรือเปล่า”

                สายตาที่ส่งมาทำเอานัทเงียบงันไป เขารู้ดีว่านิวไม่ได้หมายถึงอาการบาดเจ็บตามร่างกาย แต่หากเป็นอารมณ์ของเขาในเวลานี้ต่างหาก

                “มึงรู้จักกันเหรอวะ” นิวค่อยตะล่อมถาม คนพูดมากกลับกลายเป็นคนปากหนักขึ้นมาบ้างเพราะเกรงว่ามันจะกระทบความรู้สึกของคนตรงหน้ามากเกินไป

                หากแต่นัทกลับหันมามองหน้าเขา ก่อนจะค่อยเอ่ยปากออกมา

                “ไม่เชิงหรอกครับ ผมกับเขาก็แค่...เคยมีเรื่องกันนิดหน่อย”

                “แต่มึงดูโมโหมากเลยนะ” นิวยังคงค้างคาใจกับสายตาของนัทไม่หาย มันเป็นสายตาที่เหมือนจะโกรธกันมาเป็นสิบชาติ แบบที่ไม่ยอมอโหสิกรรมให้กัน

                และนัทก็ทำเพียงแค่มองหน้าเขานิ่ง

                “ก็เพราะว่ามันทำร้ายพี่ ผมเลยโมโห”

                คำตอบที่ได้ฟังทำเอานิวอ้าปากค้าง “หะ...เพราะกู...”

                กระทั่งหนุ่มรุ่นน้องเอื้อมไปจับมือเขาขึ้นมากุมเอาไว้พร้อมมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง...จากใจจริง

                “พี่ควรจะอยู่ห่างคนแบบนั้นเอาไว้นะครับ มันเป็นตัวอันตราย”

                เขาแค่ไม่อยากให้นิวต้องถูกทำร้ายไปอีกคนด้วยฝีมือของภาคินก็เท่านั้น

                เพราะที่เป็นอยู่...มันก็เกินพอแล้ว อย่าให้อะไรมันเลยเถิดไปมากกว่านี้

            โดยที่นัทไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ากำลังสร้างปัญหาเพิ่ม...กับหัวใจ

                นิวได้แต่มองคนตรงหน้านิ่งอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกไป ปากที่เคยทำหน้าที่โพล่งอะไรออกไปตลอดเวลาก็ไม่ยอมขยับ เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไง

                “พี่นิวมากับใครครับ” จนนัทต้องเอ่ยปากถามออกไป

                “เอ่อ มา...คนเดียว”

                “งั้นผมไปส่ง”

                “หะ...ส่ง...ส่งกู?” ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เมื่อได้ยินคนที่ไม่เคยคิดจะเข้ามาคลุกคลีทั้งที่อยู่คณะเดียวกันมาเป็นเดือนพูดแบบนั้น             

                “ครับ ผมเลิกงานแล้ว นี่ก็จะตีหนึ่งแล้วด้วย ให้ผมไปส่งเถอะครับ” นัทว่าเสียงหนักแน่นและรวบรัดตัดความ “เดี๋ยวผมไปเก็บของก่อน รออยู่ตรงนี้ ห้ามไปไหนนะครับ”

                กำชับกับอีกฝ่ายเสร็จก็เดินไปทางหลังร้านตามที่พูด ทิ้งให้หนุ่มรุ่นพี่ยืนเกาหัวแกรกๆ อย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่เท่าไหร่นัก

                “มัน...ก็...ก็เป็นคนดี”

                เอ่ยสรุปเพื่อคลายความมึนงงให้กับตัวเองเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่ามันยังไม่สมเหตุสมผลจนไม่ค้างคาใจอยู่นะ

 

                เปลือกตาค่อยลืมขึ้นตามแสงสว่างที่สาดเข้ามากระทบ ทุกอย่างดูหนักอึ้งไปเสียหมด แม้แต่ร่างกายของเขาเองก็ยังคงปวดไปทั่วทุกครั้งที่ขยับ ก่อนสายตาจะค่อยมองสำรวจทัศนียภาพที่ไม่คุ้นตาไปทั่วและเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงมือหนาที่กุมมือของเขาเอาไว้ จึงค่อยเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าของคนด้านบนที่ยังคงหลับตาพริ้ม

                ฝันเหรอวะ...

            พลันมือข้างที่ว่างก็เอื้อมขึ้นไปสัมผัสกับแก้มของคนด้านบนเบาๆ  สายตามองสำรวจใบหน้านั้นจากด้านล่างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นโฟโต้จริงๆ ที่อยู่กับเขา

                เพราะเมื่อคืน...เท่าที่พอจะจำได้ ผมก็เอาแต่คิดถึงโฟโต้...

            แต่ก็เพียงแค่ร้องไห้อย่างบ้าคลั่งอยู่ในรถอย่างนั้น อย่างไม่รู้ว่าสติของเขาเริ่มเลอะเลือนไปตอนไหน กระทั่งโฟโต้โผล่เข้ามา...เขาก็ทิ้งทุกอย่างและโผกอดหนุ่มรุ่นน้องทันที โดยไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง

                รู้แค่ว่าตอนนั้น ผมดีใจมาก...มากจนลืมเลือนทุกสิ่ง ไม่แม้กระทั่งจะคิดอะไรอีกต่อไป

            เพียงแค่โฟโต้ก้าวเข้ามาหาและกอดเขาเอาไว้ ความอ้างว้างที่มีมาตลอดสามปี แม้แต่กับความอัดอั้นกับเหตุการณ์เมื่อคืน ก็ถูกทลายลงไปในชั่วพริบตา มันทำให้เขารู้สึกอบอุ่นแบบที่ไม่อยากจะเสียมันไปจริงๆ และมันยิ่งทำให้เขาตื้นตันใจที่ยังเห็นหนุ่มรุ่นน้องคนนี้...ยังอยู่กับเขาตรงนี้

                แม้จะเป็นเพียงแค่ความฝัน...ผมก็ยอม

            เพราะมันอบอุ่นและสุขใจมากเสียจนเขาไม่กล้าจะหลับตา จนน้ำตามันเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง หลังจากแห้งเหือดไปเมื่อคืน หลากหลายความรู้สึกที่ถาโถเข้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทั้งเจ็บปวดจากอดีตคนเคยรัก ทั้งอุ่นใจกับการเคียงข้างจากคนที่เขารัก...

                ใช่...รัก

                เขาคงปฏิเสธความรู้สึกของตนเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และเขาคงจะปฏิเสธหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ไม่ได้อีกต่อไปเช่นกัน นั่นก็เพราะว่าเขาเคยสูญเสีย เขาจึงไม่อยากจะสูญเสียอีกเป็นครั้งที่สอง

 

                นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่เขาจะเลิกหนีและหันกลับมาเผชิญหน้ากับความจริงเสียที...ความจริงที่เป็น ปัจจุบัน ของเขา

 

 


ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 43 วันใหม่

                หลังจากคืนนั้น...ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหนุ่มรุ่นน้องก็ดูเหมือนจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น

                โฟโต้เทียวรับเทียวส่งเขาทุกวันและตัวติดกันกับเขาแทบจะตลอดเวลาที่ไม่มีเรียน นั่นก็เพราะนอกจากเรื่องที่โฟโต้เป็นห่วงว่าภาคินจะย้อนกลับมาหาแล้ว ฮ่องเต้ยังต้องคอยตามดูแลโฟโต้ในฐานะพี่เทคเดือนอีก ซึ่งหนุ่มรุ่นพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรกับการที่ต้องอยู่กับอีกฝ่ายนานๆ อยู่แล้ว ดีเสียอีก เพราะมันทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจกับการมีคนคอยอยู่เคียงข้างแบบนี้

                ฮ่องเต้รอโฟโต้กับนัทซ้อมการแสดงดาวเดือนที่ใกล้จะถึงในอีกสองสามวันนี้ ที่ลานซ้อมกิจกรรมเต็มไปด้วยรุ่นพี่ที่เข้ามาช่วยรุ่นน้องเตรียมพร้อมเรื่องการแสดง ซึ่งทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี โฟโต้เองก็ดูเหมือนจะเริ่มชินกับการเดินมากขึ้น (หลังจากที่เดินเหมือนนกกระจอกเทศมาตั้งนานสองนาน) แถมหน้าตาก็ยังดูสดใสขึ้นเป็นกองเพราะเริ่มกลับมาดูแลตัวเอง

                เขาได้แต่นั่งมองดูรุ่นน้องซ้อมบ้าง เข้าไปช่วยบ้างตามประสา ก่อนจะปลีกตัวมานั่งรอที่เก้าอี้ด้านหลัง สักพัก ขณะที่เขากำลังกดมือถือเล่นไปพลางนั้นเอง นิวก็เดินเตร็ดเตร่เข้ามาทางที่เขานั่งอยู่ ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะโผล่หน้าเข้ามาดูพวกดาวเดือนเลยสักครั้ง (มันชอบหนีกลับไปเล่นเกมส์ที่หอหรอก)

                “คิดไงมานี่วะ” ฮ่องเต้หันไปถามอีกฝ่ายที่หย่อนก้นนั่งลงข้างๆ

                “มารอไอ้นัท...”

                “ไอ้นัท? มีไรวะ”

                “พอดีพี่ที่กูรู้จักอยากได้คนช่วยโปโมทร้าน เห็นช่วงนี้ไอ้นัทมันร้อนเงิน เลยกะจะชวนมันไปถ่าย” มันตอบอย่างไม่คิดอะไร แต่มันกลับทำให้ฮ่องเต้สงสัยยิ่งไปกว่าเก่า

                “แล้วมึงรู้ได้ไงว่ามันร้อนเงิน”

                ก็เขาไม่เห็นเลยว่าสองคนไปสนิทกันตั้งแต่ตอนไหน ตอนอยู่ที่คณะเขายังไม่เคยเห็นทั้งคู่คุยกันเลยสักครั้ง แต่นิวดันไปรู้เรื่องที่นัทร้อนเงินเสียได้ และยิ่งน่าแปลกเข้าไปใหญ่ ที่คนถูกถามไปแบบนั้น ก็นิ่งไปสักพักเหมือนกัน ก่อนที่มันจะหันมาตอบ

                “พอดี ช่วงนี้กูไปดื่มบ่อย เลยได้เจอน้องมันที่ทำงานที่นั่นพอดี”

                เป็นอันต้องมองหน้าคนพูดด้วยสายตาที่อ่อนลงเพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีเรื่องหนักใจ “มึงเป็นอะไรหรือเปล่า”

                “กูจะเป็นอะไรเล่า ช่วงนี้พวกเพื่อนต่างคณะมันชวนไปสังสรรค์บ่อยก็เท่านั้น” นิวพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติพร้อมกับพยายามฝืนยิ้มออกมา แม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายจนเขาอึดอัดแทบทนไม่ไหวก็ตาม

                แต่เพราะเป็นฮ่องเต้ เขาจึงบอกให้รู้ไม่ได้...

                จนฮ่องเต้ได้แต่มองหน้าอย่างช่างใจ จนสุดท้าย ก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ ในเมื่อนิวไม่อยากเล่า เขาเองก็ไม่อยากจะไปเซ้าซี้ให้อีกฝ่ายรำคาญใจเพราะคนที่สามารถปรับทุกข์ให้นิวได้ดีที่สุดก็คือซัน

                ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าสองคนนี้ มันมีอะไรเกินกว่าคำว่า...เพื่อนสนิท

            หากแต่ว่าช่วงนี้ คนที่เขานึกถึงดันหายหัวไปไหนก็ไม่รู้เสียได้ เขาเองก็ไม่เห็นอีกฝ่ายเข้าเรียนมาสองวันเต็มแล้ว

                “เออ มึงเห็นไอ้ซันบ้างไหม” จนต้องเปลี่ยนเรื่องและชวนนิวคุยต่อ ทว่าอีกฝ่ายกลับชักสีหน้าไม่เข้าใจใส่

                “กูก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่ก็กะว่าจะไปตามมันที่บ้านอยู่ มันไม่ยอมกลับมานอนที่ห้องเลยเหอะ โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย แถมข้อความก็ไม่ยอมอ่านอีก”

                “มันจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ” ฮ่องเต้กังวลใจขึ้นเท่าตัว เพราะตั้งแต่ที่ซันมีเรื่องกับเปรมหนก่อน ซันก็เอาแต่หลบๆ ซ่อนๆ มาเรียนบ้าง ไม่มาบ้าง แถมมันยังเอาแต่เหม่อลอยจนไม่เป็นอันทำอะไรอีกต่างหาก

                “กูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ะ” นิวนิ่งไปอย่างคนใช้ความคิด ก่อนจะหันหน้ากลับมามองฮ่องเต้ เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “มึงลองถามไอ้โฟโต้ดูดิ มันเป็นเพื่อนไอ้เปรมไม่ใช่เหรอ”

                คำพูดของนิว ทำเอาอีกฝ่ายต้องหันไปมองหนุ่มรุ่นน้องที่ซ้อมการแสดงเสร็จพอดี ก่อนจะหันกลับมาบอกเพื่อน “เออว่ะ เดี๋ยวกูลองถามดู”

                แต่ก่อนที่ฮ่องเต้จะทันได้ลุกออกไปนั้น เพื่อนยากของเขา คนที่เพิ่งจะตกเป็นประเด็นการสนทนาก็โผล่หน้าเข้ามาเสียก่อน ทำเอาสองคนหันมามองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย

                ก็ดูหน้ามันสิครับ เหมือนคนไปอดหลับอดนอนที่ไหนมา

            “หายไปไหนมาวะ” ฮ่องเต้หันไปถามทันทีที่ซันนั่งลงข้างๆ นิว ก่อนซันจะหันหน้ามามองพวกเขาสองคนพร้อมทั้งถอนหายใจออกมายาวเหยียด สภาพร่างกายเหมือนเพิ่งจะผ่านสงครามมาก็ไม่ปาน

                “กู...”

                และสองคนที่เหลือก็ได้แต่รอฟังอยู่เช่นนั้น  ทว่าซันกลับเอาแต่นิ่งเงียบเหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และก่อนที่ฮ่องเต้จะทันได้ถามอะไรต่อ สายตาของซันก็เลื่อนไปมองคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามาหา ทำเอาสองคนต้องเบนสายตาไปมองตาม

                เขาสังเกตเห็นว่าซันกำลังมองหน้าโฟโต้แบบแปลกๆ  ไม่ใช่สายตาแบบที่กำลังไม่พอใจอีกฝ่ายเหมือนครั้งก่อน แต่เป็นสายตาที่ดูเหมือนคนกำลังช่างใจ...เหมือนมันมีอะไรบางอย่างอยากจะพูด แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาเสียที  และถ้าจะให้เขาเดาล่ะก็...คงหนีไม่พ้นเรื่องเปรมเป็นแน่

                “พี่เต้ครับ ผมขอโทษด้วยนะครับ ผมคงไปกับพี่ไม่ได้แล้ว”

                จนนัทเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน ซึ่งเขาก็ได้แต่หันไปพยักหน้าอย่างเข้าใจที่อีกฝ่ายไปตามคำชวนของเขาไม่ได้...

                และที่เขาต้องชวนนัทไปด้วยก็เพราะเมฆฝากมาชวนพวกน้องๆ ไปเยี่ยมหลานด้วยกัน จะได้แนะนำให้รู้จักกับรุ่นพี่ปีก่อนๆ  แต่ในเมื่อโอกาสของนัทมาแล้วทั้งที เขาก็อยากให้อีกฝ่ายไปเพราะอย่างน้อย หนี้ที่มีอยู่จะได้ลดลงบ้าง

                “ยังไงผมก็ฝากแสดงความยินดีกับพวกพี่เขาด้วยนะครับ” นัทเว้นจังหวะก่อนจะล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เขา “ผมขอคืนแค่นี้ก่อนนะครับ สัญญาว่าจะรีบหาที่เหลือมาคืน”

                “แล้วมึงมีเงินพอใช้หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเอามาคืนกูหมดนะ”

                พอได้ยินแบบนั้น นัทก็ได้แต่ส่งยิ้มให้กับรุ่นพี่ตรงหน้า “พอครับ พี่รับไปเถอะ”

                ฮ่องเต้พยักหน้ารับเงินจำนวนห้าพันบาทมา “งั้นมึงก็รีบไปเหอะ ไอ้นิวมารอนานแล้ว”

                ก่อนที่นัทกับนิวจะแยกตัวออกไปเพราะเวลานัดเริ่มกระชั้นชิดเข้ามาแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่ซันกับโฟโต้ที่ยืนอยู่กับเขาสองคนเท่านั้น

                “พี่ซันมีอะไรหรือเปล่าครับ”

                โฟโต้ยิ้มให้กับซันอย่างอ่อนโยน เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องหนก่อน เขาก็อดสงสารซันไม่ได้ที่ต้องมารองรับอารมณ์ร้อนของเพื่อนเขา แม้อีกฝ่ายจะคอยกีดกันและหาทางกำจัดเขาให้พ้นทางก็ตาม...แต่เพราะเขาเข้าใจว่ามันเป็นเพราะความหวงน้องและพาลมาหวงเพื่อนของหนุ่มรุ่นพี่ จึงไม่คิดจะติดใจเอาความหรือโกรธอะไร

                ที่เหลือคงต้องรอเวลาและรอให้เปรมเป็นคนจัดการ

            คนที่ผูกเรื่องคือเปรมกับซัน ไม่ใช่เขากับฮ่องเต้เสียหน่อย ดังนั้น เขาคงจะช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้มากนัก แค่ไกล่เกลี่ยในเวลาที่พอจะไกล่เกลี่ยได้และเป็นสื่อกลางที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากจนเกินไปก็เท่านั้น

                “ช่วงนี้...” ซันค่อยเปิดปากพูดออกมา หลังจากเอาแต่เงียบมานานสองนาน ก่อนจะพูดรวบทีเดียวในตอนท้ายว่า “ช่วงนี้ไอ้เปรมเป็นยังไงบ้าง”

                คำถามนั้น ทำเอาทั้งฮ่องเต้และคนถูกถามอย่างโฟโต้ถึงต้องเป็นฝ่ายเงียบบ้าง กับโฟโต้ เขาเข้าใจซันดี แต่กับฮ่องเต้ เขายังคงไม่คาดคิดว่าจะเป็นซันที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามถึงเปรมก่อน

                หรือว่า...ยังมีอะไรที่ผมไม่รู้

            “ตอบดิวะ กูถามมึงอยู่นะ” ซันเร่งรัดเอาคำตอบ เพราะก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ก็ต้องข่มอารมณ์หงุดหงิดใจเอาไว้

                หงุดหงิดใจ...ที่ไอ้เปรมหายหน้าไปเสียดื้อๆ หลังจากมีเรื่องกันอีกครั้ง เมื่อไม่กี่วันก่อน...

            “มันก็ปกติดี...มั้งครับ จะมีแปลกไปก็แค่ช่วงนี้มันคลุกตัวอยู่แต่ในห้องบ่อย ไม่ได้ออกไปดื่มกับสาวๆ เหมือนทุกครั้งก็เท่านั้นเอง” โฟโต้ว่างพลางลอบสังเกตอาการของอีกฝ่าย ก่อนจะทำทีพูดติดตลกว่า...

                “อันที่จริง ผมก็ยังเป็นห่วงมันอยู่เลยนะครับ ที่มันเป็นแบบนั้น แถมมันยังดูซึมๆ เหมือนคนอกหักยังไงก็ไม่รู้”

                คำพูดของโฟโต้ทำเอาคนฟังถึงกับชาวาบไปทั่วทั้งร่าง แม้จะพยายามแสดงออกว่าไม่ได้คิดอะไร แต่แววตากลับเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่โฟโต้พอจะมองออกว่าซันเองก็เริ่มใจอ่อนบ้างแล้ว

                “ว่าแต่...พี่ซันมีอะไรหรือเปล่าครับ จะให้ผมช่วย...อะไร...หรือเปล่า” โฟโต้พยายามยิ้มอย่างใจดีไปให้ แบบที่คนฟังพอจะมองออกว่ากำลังหมายถึงเรื่องอะไร

                “ไม่...ไม่มี” จนต้องรีบร้องออกมาแบบนั้น  ก่อนจะหันไปทางเพื่อนตน “กูกลับก่อนนะเว้ย”

                “เดี๋ยว มึงโอเคแน่นะ” ฮ่องเต้รั้งอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง หากแต่ซันกลับไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาเลยสักนิด

                “กูโอเค...” และตอบกลับมาแค่นั้น ก่อนจะเดินออกไปแบบมึนๆ เบลอๆ ให้ฮ่องเต้ยิ่งเป็นห่วง

                “ไปกันเถอะครับ พี่เต้”

                พูดจบ มือของหนุ่มรุ่นพี่ก็ถูกคว้ามาจับเอาไว้ จนต้องก้มลงไปมองที่มือและเงยหน้าขึ้นมามองคนจับอีกที

                “ไม่ต้องจับก็ได้ กูไม่ใช่เด็กนะเว้ย จะได้ให้ใครต้องมาคอยจูงมือ”

                แม้จะทำทีเป็นเอ็ดใส่ แต่โฟโต้ก็พอจะเดาอาการของอีกฝ่ายได้จากใบหูที่เริ่มขึ้นสี

                “ไม่อยากให้ใครมาคอยจูงมือหรือว่าเขินผมกันแน่ครับ” จนต้องหยอกล้อเหมือนอย่างที่เคยทำ ทำเอาอีกฝ่ายหันไปมองด้วยความหมั่นไส้

                “ทำไมกูต้องเขินด้วย”

                “ก็ผมหล่อไง”

                “มั่นหน้าเนอะ มึงอะ”

                “ครับ แต่ผม...หมั้น...กับพี่แค่คนเดียวนะ”

                “กูไม่...” ฮ่องเต้ชะงักคำพูดแทบไม่ทัน หลังจากสมองประมวลผลออกมา จนต้องหันไปมองหน้าอีกฝ่ายเลิกลัก อย่างไม่แน่ใจกับสิ่งที่หนุ่มรุ่นน้องพูดออกมามากนัก ก่อนที่โฟโต้จะพูดออกมาอีกครั้งเพื่อตอกย้ำความคิดของเขา

                “แต่ไม่เอาหรอก กับพี่...ผมว่าแต่งเลยดีว่าเนอะ”

                “ใครบอกว่ากูจะแต่งกับมึง” คนฟังแหวใส่ทันทีและเดินหนี หากแต่หนุ่มรุ่นน้องยังไม่วายจะเดินตามกวนประสาตเขาต่อ

                “ทำไมครับ พี่จะไม่ยอมแต่งกับผมว่างั้น” ว่าไปพลางหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่หนุ่มรุ่นพี่ทำเพียงแค่หยุดยืนล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง

                แต่ยังไม่ทันที่จะกดเปิดประตู ก็ต้องสะดุ้งจนเผลอทำกุญแจหลุดมือเพราะโฟโต้เล่นจับเขาหมุนตัวและดันจนหลังแนบไปกับประตูรถ ก่อนจะขยับเบียดเข้ามาใกล้และใช้แขนของกักเอาไว้จนเขาหมดทางหนี

                “เล่นอะไรของมึงเนี่ย”

                “ผมแค่อยากรู้ว่าถ้าผมจับพี่กดตรงนี้ พี่ยังจะดื้อไม่ยอมแต่งงานกับผมหรือเปล่า”

                พร้อมทำหน้าเจ้าเล่ห์ จนฮ่องเต้อดคิดไม่ได้ว่าเด็กคนนี้นับวันยิ่งเอาแต่ใจ คิดจะทำอะไรกับเขาก็ทำ แต่มันน่าหงุดหงิดตรงที่เขาดันขัดขืนมันไม่ลงด้วยนี่สิ

                “ออกไปเลย” เขาพยายามดันตัวอีกฝ่ายให้ออกไป แต่ก็เท่านั้น เพราะโฟโต้เด้งตัวกลับมากักเขาเอาไว้เหมือนเดิม

                “ไอ้โฟโต้!” จนเรียกเสียงดุ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าแบบว่า...กลัวเขาเสียที่ไหน

                “เรียกผมแบบนี้ ยอมแต่งกับผมแล้วใช่ป่ะ”

            นอกจากมันจะมั่นหน้า มันยังมโนเก่งอีกครับ

                “เป็นแฟนกูให้ได้ก่อนเถอะ” ฮ่องเต้ยักคิ้วใส่อีกฝ่ายอย่างล้อเลียน จนหนุ่มรุ่นน้องต้องทำหน้ายู่

                “เป็นคืนนี้เลยไหมล่ะ พรุ่งนี้ผมจะได้ให้พ่อแม่มาขอเลย”

                “ไม่เว้ย ปล่อยกูได้แล้ว!” ฮ่องเต้ร้องบอกพร้อมกับมองด้วยสายตาเรียบดุ แต่โฟโต้กลับทำเพียงแค่หัวเราะออกมา

                “โอเคครับ”

                แม้จะยอมปล่อยอีกฝ่ายแต่โดยดี แต่เพราะความหมั่นเขี้ยวจนอยากจะแกล้งต่อ... โฟโต้จึงเอาแต่จ้องหน้าด้วยสายตาหยอกเอน พลันร่างสูงค่อยลดตัวลงไปนั่งช้าๆ  ทั้งที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าด้านบนของอีกฝ่าย

                การกระทำนั้น...ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับอ้าปากค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก เพราะจมูกและริมฝีปากที่เฉียดเข้าใกล้ตรงเป้ากางเกงนักศึกษา มันทำเอาเขาแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ แถมยังเกร็งร่างแบบที่ไม่กล้าขยับเพราะกลัวใจว่าใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องจะไปโดนจุดอันตรายเข้า

                แต่นั่นกลับทำให้หนุ่มรุ่นน้องพออกพอใจจนยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะช่วยคลายความหวาดระแวงให้อีกฝ่าย ที่ใกล้จะหัวใจวาย ด้วยการค่อยยันกายลุกขึ้นมาและชูกุญแจรถขึ้นมาตรงหน้าหนุ่มรุ่นพี่

                “เดี๋ยวผมขับรถให้นะครับ” โฟโต้จูงมือเขาไปยังอีกฝั่ง จัดการเปิดประตูให้เสร็จสรรพ

                “เชิญครับ” และบอกพร้อมกับผายมือไปข้างหน้า

                ทำอย่างกับว่าเป็นรถของมันไปซะฉิบ

            ทีแรก เขาก็กะจะเอารถตัวเองขับไปทำธุระวันนี้ แต่ในตอนนี้ กลับกลายเป็นอีกฝ่ายที่ดื้อดึงจะขับรถให้เขา (อันที่จริงมันดื้อมาตั้งแต่หลายวันก่อนที่เขาขอให้ไปทำธุระด้วยแล้วล่ะ) แต่ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้นั่งแบบสบายๆ เพราะต้องไปทำธุระที่ลำพูน กว่าจะขับไปถึงก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงโน่นแหละ             

                แต่กระนั้น...ก็อดหันไปมองค้อนใส่อีกฝ่ายทีหนึ่งไม่ได ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนรถ ทำเอาหนุ่มรุ่นน้องต้องหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทีเช่นนั้นและปิดประตู

                “เออ เดี๋ยวแวะซื้อของด้วยนะ” ฮ่องเต้หันไปบอกหลังจากโฟโต้ขึ้นมาบนรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                “โอเคครับ”

                หนุ่มรุ่นน้องรับคำอย่างว่าง่ายพร้อมทั้งส่งยิ้มให้กับเขา ก่อนจะขับรถออกไปจากลานซ้อนกิจกรรมของคณะ...

 

 

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 44 ข้างกัน

                เมื่อสองวันก่อน...

            [ถือว่าพี่ขอร้องนะ พี่แค่อยากเจอ...อยากจะขอโทษกับสิ่งที่พี่เคยทำไว้กับเรา]

                แม้ว่าเขาจะพยายามปฏิเสธที่จะไปตามคำชวนของเมฆ แต่ ขวัญ ยังคงไม่ยอมที่จะโทรมาขอร้องให้เขาไปเยี่ยมหลานที่บ้าน...หลานที่เกิดจากเธอและภาคิน

                ทั้งที่ไม่อยากเจอหน้า ไม่อยากจะมารับรู้อะไรอีก ยิ่งกับเหตุการณ์ที่ร้านวันนั้น...การกระทำของภาคินมันทำให้เขาไม่อยากจะเฉียดเข้าไปใกล้อีกเป็นซ้ำสอง แต่ไม่รู้ว่าเพราะความใจอ่อนหรือภาพความทรงจำเมื่อครั้งยังอยู่ปีหนึ่งยังฝังใจไม่ไปไหนกันแน่ สุดท้ายจึงตกปากรับคำเข้าจนได้

                และมันก็ทำให้เขาต้องเดินทางไปตามคำร้องขอในวันนี้

            อย่างน้อย...ก็ไม่ได้อยู่กันตามลำพังเสียหน่อย

                นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้โล่งใจไปบ้าง กับการต้องไปเยี่ยมหลานที่บ้านในวันนี้

                และเขาก็ยังมีโฟโต้...

                และขอแค่หนุ่มรุ่นน้องไม่ทิ้งเขาไปไหน เขาก็อุ่นใจและพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง

                “แน่ใจนะครับ ว่าไม่เป็นไรจริงๆ ที่จะกลับไปเจออีก” คนขับรถประจำตัวหันมาเอ่ยถามคนข้างกายอย่างกังวลใจ เพราะตั้งแต่ขับรถมา ฮ่องเต้ก็เอาแต่เงียบไปเป็นพักๆ  คล้ายว่ามีเรื่องให้คิดจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

                หากแต่ไม่มีแม้แต่คำพูดใดตอบกลับมาเลยแม้แต่น้อย กระทั่งระติดสัญญาไฟจราจร

                “พี่เต้ครับ” โฟโต้จึงเรียกคนที่เหม่อจนไม่ได้ยินคำถามของเขาอีกครั้ง พลางมือหนาเลื่อนไปจับไหล่จนหนุ่มรุ่นพี่ได้สติหันกลับมามอง

                “หะ?” ใบหน้านั้นกำลังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น หันไปมองรุ่นน้องที่ทำหน้ากังวลใจตามเขาอย่างไม่เข้าใจ

                “จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอครับ ที่จะไปหาพี่ขวัญกับลูกแบบนั้น”

                คำพูดนั้นทำเอาคนฟังถึงกับนิ่งงัน ดวงตาฉายแววความเศร้าออกมา เพียงแวบเดียว ก่อนจะรีบปรับสีหน้า

                “จะเป็นอะไรเล่า ดีเสียอีก จะได้ถือโอกาสรู้จักรุ่นพี่ไปด้วยไง”

                แม้จะเป็นคำแก้ต่างที่ฟังดูไม่ขึ้น แต่โฟโต้ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไป แม้วันนี้ เหตุการณ์ร้ายๆ จะเกิดขึ้นหรือไม่ เขาก็พร้อมที่จะปกป้องอีกฝ่ายอยู่แล้ว เขาไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนข้างกายเขาได้หรอก ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือทางจิตใจก็ตาม

                เพราะต่อให้พี่บอบช้ำแค่ไหน ผมก็จะดูแลรักษาพี่ไปตลอดชีวิต

            ไม่รู้ว่าโฟโต้จะรู้ตัวหรือเปล่าว่าสายตาที่เขากำลังสบกับดวงตากลมโตของคนตรงหน้า ไม่สามารถปิดบังความรู้สึกภายในใจของตนได้ เป็นแววตาที่เกิดจากความรู้สึกของการคาดหวังที่แฝงไปด้วยความหวาดกลัว

                และมันทำให้หนุ่มรุ่นพี่ถึงกับนิ่งเงียบอย่างกังวลใจ คิดไปว่าโฟโต้เองก็คงจะกลัวว่าเขาจะลืมอดีตไม่ลงและเริ่มต้นใหม่กับตนไม่ได้ มันทำให้เขา...

                ต้องขยับกายและเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปจับมือหนาที่จับไหล่ของเขาเอาไว้เมื่อครู่ ส่วนอีกข้างก็เลื่อนไปกุมใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องเอาไว้

                “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ มึงก็อยู่ตรงนี้กับกูแล้วไง กูยังจะต้องกลัวอะไรอีก”

                คำพูดนั้นราวกับน้ำชโลมจนอีกฝ่ายใจชื้น พลันรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องอย่างเบาบาง หากแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น มือหนากระชับมือของหนุ่มรุ่นพี่แน่น

                “ครับ ถ้าพี่ไม่มีอะไรต้องกลัว ก็ยิ้มได้แล้วนะครับ หน้าพี่ตอนเครียดมันไม่ได้ดูน่ารักเท่าตอนพี่ยิ้มหรอก”

                ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดนั้นหรือเพราะความรู้สึกอบอุ่นที่วนเวียนอยู่ภายในใจกันแน่ แต่มันก็ทำให้คนฟังถึงกับอดยิ้มไม่ได้

                “ขับรถต่อเถอะ ไฟเขียวแล้ว” ปากว่าออกไปเช่นนั้น ขณะที่หนุ่มรุ่นน้องเอาแต่มองตาละห้อย เสียดายกับช่วงเวลาแห่งความสุขที่เขายังไม่ทันจะได้ตักตวงจนอิ่ม แต่ก็ต้องยอมทำตามแต่โดยดี

                นั่นก็เพราะรถคันข้างหลังเริ่มบีบแตรไล่แล้วน่ะสิ

               

                “ฮัลโหลครับ...” ฮ่องเต้กรอกเสียงลงไปทันทีที่เมฆรับสาย หลังจากที่พวกเขาวนรถอยู่แต่ทางเดิมมาสองรอบแล้ว เลยต้องโทรถามทางเพราะเมฆล่วงหน้าไปก่อนแล้วครับ

                “ขับตรงไปเลยใช่ไหมครับ” ฮ่องเต้ถามไปพลางบอกทางโฟโต้ไปพลาง หนุ่มรุ่นน้องเองก็หันมามองหน้าเขาเป็นระยะๆ ก่อนจะขับไปตามที่เขาบอก

                “โอเคครับพี่ ผมเห็นละ” ก่อนจะวางสายหลังจากที่คนข้างๆ เลี้ยวเข้ามาในซอยเล็กๆ

                “หลังนี้ใช่ไหมครับ”

                ครั้นละสายตาจากหน้าจอมือถือขึ้นมามองตามสายตาของหนุ่มรุ่นน้อง เพียงเท่านั้น มือเรียวก็แทบจะเผลอปล่อยให้มือถือหลุดจากมือไป...

                “ใช่...”

                ตอบกลับไปเสียงแผ่ว ครั้นสายตาสบเข้ากับเลขที่บ้านตามที่เมฆบอกเอาไว้ ก่อนจะเลื่อนกลับไปมองบ้านหลังเล็กตรงหน้าของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

                มัน...เกินไป...เกินไปแล้ว

            ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน ราวกับก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอจนคนที่เอาแต่จับจ้องไปทางบ้านหลังเล็กนั่น ขยับปากพูดอะไรออกไปได้ยากขึ้นมาเสียดื้อๆ  ภาพสะท้อนในแววตาตรงหน้า มันยิ่งเสียกว่าถูกใครเอาอะไรมาทุบเข้าที่หลังเสียอีก ทั้งจุกและเจ็บปวดแบบมากกว่าที่เขาเคยเป็น

                จะเรียกว่าจงใจได้หรือเปล่า กับการชวนเขามาในครั้งนี้

                เพราะบ้านหลังนี้ เป็นบ้านที่เขาได้ออกแบบเอาไว้เมื่อสามปีก่อน บ้านที่หมั้นหมายเอาไว้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับคนบางคน...เพียงแค่สองคนไปตลอดชีวิต วันที่ใครคนนั้น ได้เห็นแบบบ้านครั้งแรก เขายังจำได้ดีว่าใบหน้านั้นแสดงความดีใจมากแค่ไหน...

                แต่สุดท้าย บ้านหลังนี้...กลับเป็นเพียงบ้านหลังหนึ่งที่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะแตะต้องมัน

                เหมือนกับใครคนนั้น...ที่กลายเป็นของคนอื่น แบบที่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะรัก

                ได้เพียงแค่มองเหมือนกับที่เขากำลังมองบ้านหลังเล็กนั่น ในเวลานี้...เวลาที่เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตนกำลังจมดิ่ง ตกอยู่ภายใต้อาณัติของห้วงความคิด แบบที่หนุ่มรุ่นน้องเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับรู้เลยแม้แต่น้อย

                “พี่เต้...” จนต้องเอ่ยเรียกออกมาอีกครั้งและ...

                ฟอดดดด

                กดจูบลงบนแก้มใสและสูดกลิ่นหอมเข้าไปเต็มปอด จนฮ่องเต้ต้องสะดุ้ง หันขวับกลับมามองหน้ารุ่นน้องที่ยิ้มระรื่น อย่างที่ทำตัวไม่ถูก

                “ทำอะไรวะ”

                “ก็ผมเรียกพี่ตั้งนานแล้ว แต่พี่ไม่ยอมหันมาเสียทีนี่ครับ” แถมยังว่าออกมาหน้าตาเฉย แม้ในใจจะรู้ดีว่าที่คนข้างกายของเขาเหม่อลอยเช่นนั้น เป็นเพราะการมาเยี่ยมรุ่นพี่ที่บ้านหลังนี้ แต่เขาก็ไม่อยากเอ่ยอะไรออกมานักเพราะไม่อยากตอกย้ำให้คนข้างกายรู้สึกมากไปกว่านี้

                ขอเพียงแค่เขาได้สร้างบรรยากาศดีๆ ให้อีกฝ่ายก็พอ...

                “ก็ไม่เห็นต้อง...หอม...แก้มกูเลย” ท้ายประโยคเป็นเพียงแค่เสียงอ้อมแอ้มที่คนหน้าแดงเอ่ยออกมา

                จนโฟโต้ยิ้มกว้าง มองใบหน้าเขินอายของคนข้างกายอย่างพออกพอใจ

                “มองอะไรเล่า” เพราะโฟโต้เอาแต่จ้องเขาไม่วางตา ขนาดที่ว่าเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตาแล้วก็ยังไม่เลิกจ้อง แถมรอยยิ้มนั้นอีก...มันทำให้เขาใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ

                “ผมแค่ชอบเวลาพี่เขิน...” ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย “...มันน่ารักดี”

                “บอกแล้วไงว่าอย่าพูดว่า...” คำพูดนั้นชะงักงันไปเพราะนิ้วชี้ของหนุ่มรุ่นน้องแตะเข้าที่ปาก

                “ชู่ว...” พร้อมส่งเสียงเช่นนั้น “...อย่าห้ามเลยครับ เพราะว่าพี่น่ารักจริงๆ น่ารักแบบที่ทำให้ผมต้องอดทน”

                สองคิ้วของหนุ่มรุ่นพี่ขมวดฉับเข้าหากันทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

                “อดทนอะไร” และถามออกไปอย่างลืมตัว นั่นก็เพราะสติที่ลดน้อยลงไป ทั้งจากเรื่องบ้านและเรื่องที่เขาถูกขโมยหอมแก้มไปฟอดใหญ่ จนเขาไม่ทันได้คิดอะไรที่มันสื่อความหมายได้ง่ายแบบที่ไม่ต้องใช้ความคิด

                หากแต่โฟโต้กลับละสายตาจากแววตาสงสัยและค่อยเลื่อนลงมาช้าๆ

                “ก็อดทนที่จะไม่ทำอะไรพี่ตอนนี้ไงครับ” ไม่ว่าเปล่านิ้วโป้งขยับเกลี่ยเข้าที่ริมฝีปากระเรื่อให้อีกฝ่ายสะดุ้ง “ผมอยากจูบพี่จัง”

                ส่งเสียงออดอ้อนออกไปเช่นนั้น ทั้งที่ในใจก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมเป็นแน่...เลยได้แต่คาดหวังไปแบบนั้น จะได้หรือไม่ก็...

                พรึบ!

                พลันความคิดก็สะดุดลงเมื่อถูกจู่โจมกะทันหัน...

                พี่เต้...

            ร้องออกมาในใจเบาๆ สองตาจับจ้องไปยังคนที่โผเข้ามาจูบเขาแบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัว จนต้องลอบยิ้มและค่อยปิดเปลือกตาลงอย่างต้องการซึมซับรสหวานที่อีกฝ่ายกำลังมอบให้เขาเป็น...ครั้งแรก ริมฝีปากขยับตอบสนองอย่างรู้งาน ลิ้นร้อนทำหน้าที่ผสานรสชาติระหว่างเขาและหนุ่มรุ่นพี่จนกลมกล่อม กระทั่งอีกฝ่ายทำท่าจะอิ่ม จึงรีบกลับฝั่ง เป็นฝ่ายป้อนความหวานและไออุ่นจากลิ้นร้อนผ่านริมฝีปาก ตวัดเกี่ยวให้หนุ่มรุ่นพี่สะดุ้งและค่อยเบาลงอย่างละมุนละไมให้คนรับเคลิ้มไปอย่างง่ายดาย

                ก่อนจะถอนจูบออกมาอย่างเกิดเสียงเบาๆ ให้ใจเต้น...แตะหน้าผากเข้ากับคนตรงหน้า สักพัก ก่อนจะผละออกมาสบตากันอย่างสื่อความหมายและค่อยผละออกห่างด้วยรอยยิ้มอิ่มเอิบ

                “ชาร์ตแบตเต็มแล้ว เอาไงต่อดีครับ” โฟโต้หยอกล้อคนที่หน้าแดงยันไปลามยันหู

                “ขะ...เข้าไปข้างในเหอะ” ฮ่องเต้ร้องบอกออกไปเช่นนั้นและลงจากรถ จนคนฟังที่เอาแต่ยิ้มกว้างต้องทำตาม

                โฟโต้ช่วยหยิบตะกร้าผลไม้และถุงใส่หนังสือนิทานออกมาจากเบาะหลัง ซึ่งฮ่องเต้ก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายช่วยถือไปแบบนั้น

                หากแต่จังหวะนั้นเอง ที่มีรถมาจอดเทียบข้างรถเขาพอดี ก่อนที่เจ้าของรถจะเยี่ยมหน้าออกมาบอก

                “รอผมด้วยดิเฮีย”

                ก่อนที่ลัคกี้จะจัดการถอยรถจอดให้เข้าที่เข้าทางและทยอยขนข้าวของลงมาจากรถพร้อมกับสายรหัสปีสาม

                “สวัสดีครับ” โฟโต้เองก็หันไปยกมือไหว้ตามประสารุ่นน้อง

                “เออๆ เข้าไปข้างในกัน พี่เมฆโทรเร่งผมยิกๆ แล้วเนี่ย” ลัคกี้ตีหน้ายุ่งเพราะโดนโทรตามมาตั้งแต่ก่อนออกเชียงใหม่กระทั่งเข้าลำพูนแล้ว เมฆก็ไม่วายโทรตามเข้าอีกยังกับจะแกล้งเขาอย่างนั้นแหละ ก่อนจะเดินนำเข้าไปข้างในบ้าน

                แต่ก่อนที่ฮ่องเต้จะทันได้เดินตาม ก็เป็นอันต้องชะงักและหันกลับมามองคนข้างกายที่จู่ๆ หันมาคว้ามือเขาไปจับ จึงได้แต่หันไปส่งสายตาเป็นเชิงถามว่า อะไร ออกไป ทว่าอีกฝ่ายกลับเอาแต่ยืนยิ้มละมุนมาให้ ก่อนจะจูงมือเขาให้เดินตามเข้าไปข้างในบ้าน

                แต่มือของมัน...อุ่นจริงๆ นะ อุ่นจนผมไม่อยากไม่มันปล่อยเลย

            เลยได้แต่ปล่อยให้หนุ่มรุ่นน้องแบบนั้นต่อไปเพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยให้เขามั่นใจว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้น เขาจะยังมีคนคอยอยู่เคียงข้างและคนๆ นั้นก็คือ...โฟโต้

                เสียงหัวเราะปะปนกับเสียงเด็กเล็กค่อยๆ ดังขึ้นตามระยะทางที่กระชั้นชิดเข้าไปทุกที ขณะที่ฮ่องเต้เองก็ได้แต่ลอบมองผ่อนลมหายใจเพื่อคลายความกังวลแทบจะทุกครั้งที่เท้าของเขาเหยียบลงบนพื้นบ้าน และแม้ว่าเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงที่จะมองไปรอบกายมากเพียงใด สายตากลับเอาแต่ดื้อดึง สำรวจไปทุกส่วนภายในตัวบ้านที่ไปกระตุ้นความรู้สึกเมื่อครั้งวันวานของเขามากขึ้นไปอีก

                เมื่อทุกอย่างที่ผมเคยวาดฝันเอาไว้ ได้กลับกลายมาเป็นความจริง...อันแสนเจ็บปวด

            เพราะไม่ใช่เพียงแค่ตัวบ้าน แต่การออกแบบภายใน...ต่างก็ล้วนมาจากความคิดของเขาทั้งนั้น

                ยอมรับว่ามันทำให้จิตใจของเขาในตอนนี้ย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ หากแต่ยังคงอยู่ได้เพราะแรงกระชับมือจากหนุ่มรุ่นน้องข้างกาย มันทำให้หัวใจที่เอาแต่บีบเค้นอยู่ตลอดเวลากลับคลายความเจ็บปวดลงไป

                ก่อนที่ทุกคนจะเดินมาถึงมุมนั่งเล่นของบ้าน ซึ่งเมฆกำลังคุยจ้ออยู่กับขวัญกับลูกชายของเธอ

                ลูกชายคนโต...ที่ฮ่องเต้เคยเจอที่ห้างฯ

                แม้จะจำได้ดี แต่ก็ต้องทำเป็นลืมเลือนไปอย่างไม่อยากให้ทุกอย่างวนเวียนกลับมาอีก

                “อ้าว มากันพอดีเลย” ขวัญหันมาทักทายพร้อมกับรอยยิ้มสดใส หากแต่พอหันมาสบตากับฮ่องเต้ รอยยิ้มนั้นก็กลับแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและคงมีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น ที่พอจะรู้ที่มาของความรู้สึกเช่นนั้น

                ส่วนพวกรุ่นน้องต่างก็เอาของฝากวางไว้บนโต๊ะข้างเก้าอี้ที่เจ้าของบ้านนั่งอยู่ พร้อมกันกับเมฆที่เริ่มหันมาแนะนำสายรหัสปีหนึ่งให้รู้จัก ซึ่งโฟโต้ก็ได้รับคำชมตามประสาผู้ผ่านเข้ารอบการคัดเลือกเดือน ก่อนจะต่างคนต่างบ่นเสียดายที่นัทไม่ได้มาด้วยเพราะลัคกี้คุยโวเอาไว้ว่าต้องได้ตำแหน่งเดือนคณะปีนี้แน่ๆ

                ทุกอย่างยังคงดำเนินไปด้วยดี กระทั่ง...

                ลูกชายคนโตของบ้านจะเดินมาดึงมืออีกข้างของโฟโต้ยิกๆ จนคนถูกดึงต้องหันไปมองด้วยรอยยิ้ม

                “แฟนกันๆๆๆ” เด็กน้อยร้องบอกออกมาติดกันรัวๆ เสียจนรุ่นพี่ปีสี่กับน้องปีหนึ่งตกเป็นเป้าสายตา

                จนฮ่องเต้ต้องรีบชักมือออกจากโฟโต้ แต่ก็ไม่ทันอีกฝ่ายที่รีบกระชับมือเขาแน่น แถมยังหันไปยิ้มให้กับเด็กน้อยตรงหน้าพร้อมทั้งยีหัวเบาๆ อย่างนึกเอ็นดู

                “ไม่ใช่แฟนกันครับ ว่าที่แฟน...”

                “มันไม่เหมือนกันหยอ” เจ้าตัวเล็กร้องบอกพร้อมสีหน้ามึนงง กับประโยคที่ซับซ้อนสำหรับเด็กเล็ก หากแต่หนุ่มรุ่นน้องจะพูดอะไรต่อ ก็ถูกแทรกขึ้นมาเสียก่อน                                   

                “โอ้โห ไอ้เต้ ไหนบอกไม่มีอะไรไง กะเอาไว้มาเซอร์ไพรส์พวกพี่มึงทีเดียวงี้”

                “ไม่ใช่สักหน่อย” ฮ่องเต้ว่าพร้อมกับทำหน้าเหมือนเด็กโดนขัดใจกับสถานการณ์ตรงหน้า

                สถานการณ์ที่ทำให้ขวัญต้องมองมาอย่างชั่งใจ ยิ่งเห็นมือของโฟโต้ที่จับมือของฮ่องเต้แบบไม่ยอมปล่อยกับสีหน้า แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของสายรหัสปีหนึ่งปีนี้ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เธอต้องทบทวนสิ่งที่วนเวียนอยู่ภายในหัวเสียใหม่และครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องเอ่ยปากขอให้ฮ่องเต้มาที่นี่

                “แหม มากันเป็นคู่แบบนี้ เมฆคงเหงาแย่เลยเนอะ” ก่อนจะเอ่ยปากแซวออกไปแบบนั้น หากแต่ดวงตาคู่สวยกลับปรากฏแววตาประหลาดขึ้นมาแบบที่ฮ่องเต้ทันสังเกต

                แต่ก็ไม่ทันได้คิดว่าจะมีอะไรแอบแฝง...           

                “ผมอุตส่าห์ไม่คิดอะไรแล้วนะเนี่ย แซวซะผมไปไม่เป็นเลยนะครับ” ก่อนที่ทุกคนจะพากันหัวเราะออกมา

                “เนี่ย เดี๋ยวอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ นานๆ จะมาเจอกันที นี่พี่เพิ่งจะให้คินออกไปซื้อกับข้าวมาเพิ่มเอง” และขวัญก็ทำทีเอ่ยชวนออกมาแบบนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องอาหารเย็นมากนัก   

                “เต้เองก็ไม่ได้เจอพี่คินนานแล้ว จะได้มีเวลาคุยกันเยอะหน่อย เมื่อก่อนเราก็สนิทกับคินมากเลยไม่ใช่เหรอ”

                “...”

                “อีกอย่าง จะได้แนะนำ ว่าที่แฟนใหม่ ของเต้ให้คินรู้จักด้วย ดูท่าทางจะคุยกันถูกคอ”

                ฮ่องเต้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขาหรือเปล่า แต่เพราะสีหน้าที่ยังคงดูปกติดีของขวัญ เขาจึงทำได้เพียงยิ้มกลับไปให้

                ยิ้มออกไปทั้งๆ ที่ในใจตอนนี้อึดอัดเหมือนมีใครเอาอะไรมายัดใส่เข้าไปข้างในอกจนมันแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง...

 

ออฟไลน์ Salisa-อ่านว่า-สาริสา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ตอนที่ 45 มือของรุ่นน้องปีหนึ่ง

                เพราะ เจ้าขุน ลูกชายคนโตของพี่ขวัญเอาแต่งอแงอยากเล่นของเล่น กอปรความอึดอัดจนไม่อยากจะอยู่ในห้องนั่งเล่นต่อ จึงอาสาออกมาเล่นเป็นเพื่อนหลานที่ห้องของเล่นอีกห้องหนึ่ง ปล่อยให้คนอื่นคุยเล่นกับขวัญไปพลาง

                “อาเต้ๆ ดูนี่สิครับ”

                ฮ่องเต้หันไปมองหน้าหลานด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเอามือลูบหัวเจ้าตัวเล็กอย่างแผ่วเบา ถึงจะอายุได้เพียงแค่สี่ขวบเศษ แต่เจ้าขุนก็คุยเก่งทีเดียว แถมยังเป็นเด็กน่ารักอีกต่างหาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่ถอดแบบพ่อของเขามาเต็มๆ แบบที่ฮ่องเต้ต้องไหววูบทุกครั้งที่เจ้าตัวเล็กหันมามอง

                “อาเต้ครับ ผมปวดฉี่”

                เขายิ้มน้อยๆ ให้กับเจ้าขุน ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

                “เดี๋ยวอาพาไปนะครับ” บอกก่อนจะพาหลานลุกขึ้น

                “อาเต้ อุ้มผมหน่อยได้ไหมครับ” ฮ่องเต้ก้มลงมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังมองผมตาแป๋ว สายตาของที่ส่งมาดูเหมือนเกรงใจเขา แต่อีกนัยหนึ่งก็อยากให้เขาทำเช่นนั้น

                “ได้สิครับ” มันทำให้ฮ่องเต้อดยิ้มออกมาไม่ได้ให้กับความน่ารักนั้นและอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมา นั่นทำให้เจ้าตัวยิ้มว้างออกมาทันที

                “อาเต้ใจดีจัง”

                และฮ่องเต้ก็ได้แต่หัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะพาเจ้าขุนไปเข้าห้องน้ำและระหว่างที่ฮ่องเต้กำลังถอดกางเกงให้กับเจ้าขุนนั้นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นรอยช้ำที่ขา ก่อนที่จะเลิกแขนเสื้อขึ้น ถึงได้รู้ว่าที่ต้นแขนของเจ้าขุนเองก็มีรอยช้ำแบบเดียวกัน

                “ไปหกล้มที่ไหนมาครับ” จึงแสร้งถามพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ทำเหมือนว่าไม่ได้เอะใจอะไรกับเรื่องรอยช้ำพวกนั้นมากนัก ถึงแม้จะรู้แก่ใจดีว่ารอยพวกนั้นมันไม่ได้มาจากการหกล้ม ดูก็รู้ว่ามามาจากน้ำมือของคน

                เจ้าขุนเงียบ หน้าตาดูหวาดกลัวขึ้นมาเสียดื้อๆ  จนคนถามอดเป็นห่วงไม่ได้และนั่นทำให้เขาได้แต่ดึงเจ้าตัวเล็กเข้ามากอดปลอบประโลม ทำให้เจ้าขุนเริ่มสะอึกสะอื้น

                “น้ำตามันไม่ช่วยให้แผลหายหรอกนะครับ ดังนั้น อย่าร้องเลยนะ” ว่าออกไปเสียงอ่อนโยนที่สุด พร้อมทั้งเอื้อมมือไปเช็ดคราบน้ำตาให้กับเจ้าตัวเล็กที่น้ำตาเริ่มร่วงเผาะลงมาทีละเล็กทีละน้อย 

                “อาเต้...”

                “เจ้าขุนปวดฉี่ไม่ใช่เหรอครับ ฉี่ก่อนนะ”

                ฮ่องเต้เบี่ยงประเด็นและจัดการให้เจ้าตัวเล็กทำธุระส่วนตัวจนเรียบร้อย ก่อนจะใส่กางเกงให้ดังเดิม

                “ผมเจ็บ...”

                หากแต่เสียงนั้นกลับทำเอาเขาต้องชะงักอีกระรอก มือที่กำลังจะอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาก็หยุดการกระทำไปตามๆ กัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา เอามือขยี้ตาอยู่อย่างนั้นด้วยความรู้สึกสารจับใจ เขาไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไรเจ้าขุนถึงเลือกที่จะบอกเขาแบบนั้น ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันเองแท้ๆ แต่ด้วยความสงสาร ทำให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างในเวลาแบบนี้

                “ไม่เป็นไรนะครับ ไหน รอยช้ำอยู่ตรงไหนบ้างน้า เดี๋ยวอาเต้เป่าให้ดีไหมครับ”

                “มันไม่หาย...”

                “...” ฮ่องเต้นิ่งไปเล็กน้อย มองคนที่เริ่มจะระบายความอัดอั้นตันใจของตัวเองออกมากับคนแปลกหน้าอย่างเขา หากแต่ในความคิดของเจ้าขุน เขาเพียงแค่อึดอัดและเจ็บปวดกับสิ่งที่ต้องเผชิญตามลำพัง เขาบอกใครไม่ได้ แม้แต่กับพ่อแม่ที่คิดว่าเป็นที่พึ่งพาได้ดีที่สุด เขาก็ไม่กล้าที่จะบอกเพราะไม่มีใครยอมรับฟังเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่มีใครถามไถ่ถึงแผลที่ตัวเขาเลยสักครั้ง

                แต่พอมีใครสักคนเข้ามาแสดงความห่วงใยและพูดจาดีๆ ด้วย มันก็ทำให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกปลอดภัยจนอยากจะพูดทุกอย่างออกมาจนหมด   

                “เป่ายังไงก็ไม่หาย ฮึก เขาทำผมทุกวัน มันไม่หาย”

                “ใครครับ” เขาถามออกไปด้วยความอยากรู้เต็มที่เพราะเจ้าขุนเพิ่งจะสี่ขวบเอง คนที่มันกล้าทำต้องใจไม้ไส้ระกำขนาดไหนถึงทำเด็กตัวเล็กๆ ลงคอได้     

                เจ้าขุนเงยหน้าขึ้นมามองเขาทั้งน้ำตา “ผมไม่อยากไปโรงเรียน ฮึก”

                โรงเรียน? หรือจะถูกเพื่อนแกล้ง

                “แต่แม่ให้ผมไป ถ้าผมไม่ไป ผมจะถูกตี” เจ้าขุนพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ ตัวของเขาสั่นกลัวไปหมดจนฮ่องเต้ต้องดึงเขาเข้ามากอดอีกครั้ง

                “อาเต้ใจดี อาเต้อยู่กับผมที่นี่ได้ไหม”

                คำพูดของเจ้าขุนทำเอาใจของคนฟังหล่นวูบ คิดไปว่าอย่างเขาจะช่วยอะไรเจ้าตัวเล็กได้ ในเมื่อเขาไม่มีสิทธิ์อะไรมาตั้งแต่แรก

                “ไปล้างมือก่อนนะครับ”

                จึงเอ่ยบอกกับหลานเช่นนั้น ก่อนจะอุ้มเจ้าขุนไปที่อ่างล้างหน้าและจัดการให้ล้างมือจนเสร็จเรียบร้อย ระหว่างที่ฮ่องเต้กำลังจะอุ้มเจ้าตัวเล็กลงมานั้นเอง มือเล็กๆ ก็เอื้อมมาจับเสื้อของเขาเอาไว้พร้อมกับสบสายตาอย่างคนร้องขอความช่วยเหลือ

                “ผมไม่อยากไป”

                “อาสัญญาว่าอาจะช่วย อย่ากลัวไปเลยนะครับ” จนต้องพูดเสียงเบาและลูบเส้นผมอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “ไม่ร้องนะครับ คนเก่ง”

                “ฮ่องเต้...”

                เสียงของใครบางทำให้คนที่กำลังปลอบใจเจ้าตัวเล็กอยู่ต้องชะงักและหันไปมอง ก่อนจะพบร่างสูงของคนที่เขารู้จักดียืนมองอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำ ใครคนนั้นสบสายตากับเขาเนิ่นนาน จนเป็นเขาที่ต้องเป็นฝ่ายละสายตาออกจากอีกฝ่ายก่อน

                “คุณพ่อมาแล้ว เจ้าขุนไปอยู่กับคุณพ่อนะครับ”

                ฮ่องเต้หันไปหาภาคิน เป็นเชิงบอกให้เขามารับช่วงต่อ

                “เป็นอะไรไปครับ ลูกพ่อ” ภาคินเอ่ยออกมาเสียงนุ่มและเดินเข้ามาหาเจ้าขุนที่นั่งอยู่บนอ่างล้างหน้า ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำลูกชายคนโต

                ขณะที่ฮ่องเต้แทบจะคลั่งตายอยู่ตรงนั้นกับคำว่า ลูกพ่อ ที่ออกมาจากปากของหนุ่มรุ่นพี่

                “ผมขอตัวก่อนนะครับ” จนต้องรีบบอก กะจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องน้ำอย่างไม่คิดที่จะเหลียวหลังกลับมา 

                “อาเต้ อย่าไป...”

                เสียงเรียกนั้นทำใจเขากระตุกวูบ จนสองเท้าชะงักอย่างไม่กล้าจะเดินออกไปจากห้องน้ำ ฮ่องเต้ได้แต่หันหลังให้กับสองพ่อลูกและนิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด กับความรู้สึกปั่นป่วนภายในใจที่เขาแทบจะกระอักมันออกมาอยู่รอมร่อ จนในที่สุดความสงสารมันก็พ่ายแพ้ต่อความเจ็บปวดในใจ

                และต้องหันกลับไปมองเจ้าขุนที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปพูดกับคนข้างๆ

                “ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ”

                อย่างน้อย...ก็เพื่อเด็กคนหนึ่ง

                หากแต่มันทำให้ภาคินตาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง หลงระเริงใจไปว่าฮ่องเต้กำลังจะใจอ่อนให้เขาอีกครั้ง 

                “เอาสิ พี่เองก็มีเรื่อง...ที่อยากจะพูดกับเต้เหมือนกัน” และพูดกับฮ่องเต้แบบนั้นอย่างจงใจจะเน้นคำในประโยคสุดท้าย ให้อีกฝ่ายหวาดระแวงไปจนใจกระตุกวูบ

 

                ฮ่องเต้จำเป็นต้องขึ้นไปบนห้องนอนกับภาคินเพราะเจ้าขุนงอแงจะให้เขาเป็นคนอุ้มอย่างเดียว กระทั่งฮ่องเต้พยายามกล่อมจนเจ้าขุนหลับไป ท่ามกลางสายตาที่มองสำรวจใบหน้าของเจ้าตัวเล็กด้วยความเอ็นดู พร้อมทั้งมือเรียวที่ขยับผ้าห่มให้กับคนที่หลับไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

                ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกไปจากห้องนอน ทันทีที่ประตูปิดลง สองเท้าของหนุ่มรุ่นน้องก็ชะงัก

                “พี่ควรจะดูแลแกให้ดีกว่านี้นะครับ” และก็หันกลับมาพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

                “มีอะไรหรือเปล่า”

                “วันนี้ ผมเห็นรอยช้ำตามตัวเหมือนถูกใครหยิกหรือตีมา เจ้าขุนเอาแต่พูดว่าเขาไม่อยากไม่ไปโรงเรียน ผมบอกพี่ได้แค่นี้แหละครับ”

                “เดี๋ยวสิเต้...”

                แม้ว่าอยากจะรีบหนีไปให้ไกลแค่ไหน ก็กลับถูกภาคินฉวยโอกาสคว้าเข้าที่แขนและดึงเขาเข้าไปกอด ให้หนุ่มรุ่นน้องถึงกับชะงัก...สองคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ชักสีหน้าไม่พอใจออกมาแทบจะทันที

                “รู้ไหมว่าพี่คิดถึงเต้มากแค่ไหน”

                ภาคินเอ่ยออกมาเสียงหวานอย่างที่เคยทำ จนฮ่องเต้ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกพลางหลับตาลงช้าๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกทั้งหมดที่มันพลุ่กพล่านอยู่ภายในใจเอาไว้ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาช้าๆ...

                “แต่ผมไม่เคยคิดถึงพี่” แล้วขยับปากพูดออกไปอย่างยากลำบาก ตอนนี้ ความเจ็บปวดเป็นเพียงความรู้สึกเดียวที่อยู่ในใจของเขาตอนนี้ และนั่นทำให้ภาคินต้องผละออกห่างจากหนุ่มรุ่นน้องเล็กน้อย พร้อมทั้งสบสายตา มองสำรวจใบหน้าและแววตาที่กำลังสั่นระริก

                “พี่ไม่เชื่อหรอกว่าเต้จะลืมพี่ได้จริงๆ  พี่เป็นผู้ชายคนเดียวที่เต้รักไม่ใช่เหรอ”

                พูดแบบนี้...เขายังกล้าที่จะพูดแบบนี้ต่อหน้าผมได้ยังไงกัน

                ยิ่งภาคินพูดแบบนี้ มันก็ยิ่งทำร้ายจิตใจคนฟังมากขึ้น นั่นก็เพราะเขารุ้ดีว่าหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ทั้งขี้สงสารและอ่อนไหวง่าย ที่สำคัญ เขายังจำได้ว่าอีกฝ่ายรักเขามากขนาดไหน มันจึงทำให้เขากล้าที่จะทวงคืนทุกอย่างที่เขายังไม่เคยได้จากอีกฝ่ายอย่างไม่นึกหวั่นกลัวสิ่งใด

                แต่กับคนที่ถูกเอาเปรียบ...ก็ต้องพยายามฝืนทน กลืนไอ้ก้อนที่จุกอยู่ที่คอลงไปและเงยหน้าขึ้นสบสายตา เผชิญหน้ากับหนุ่มรุ่นพี่ 

                “ครับ ผมลืมพี่ไม่ได้หรอก พี่เป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ผมรักมาตลอด”

                คำพูดของเขาทำให้คนตรงหน้าคลี่ยิ้มออกมา

                “จนกระทั่งวันที่ผมได้รู้ความจริงว่าความรักของผมมันไม่เคยมีค่าสำหรับพี่เลย”

                หากแต่ประโยคถัดมาก็ทำให้ภาคินอึ้งไป ทั้งพยายามเอื้อมมือมาจับมือ แต่ฮ่องเต้ก็เลือกที่จะดึงมือให้ออกห่าง อย่างที่ภาคินต้องแสร้งเล่นละครตบตาอย่างจงใจจะให้อีกฝ่ายสงสารเขาให้ได้

                “แต่พี่รักเต้มากนะ เต้ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าทุกอย่างในตอนนั้น มันเป็นเพราะความผิดพลาด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พี่ต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหนที่ต้องใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีเต้ เมื่อก่อน พี่อาจจะไม่เชื่อว่าอาถรรพ์สายรหัสมันมีจริง แต่ตอนนี้ พี่เชื่อ...พี่เชื่อแล้ว”

                ฮ่องเต้มองคนตรงหน้าที่แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาเต็มที่ราวกับไม่ต้องการปิดบังความรู้สึกใดๆ อีกต่อไป แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับความจริงทั้งหมดเท่านั้น     

                ความจริงที่ว่า...ทุกอย่างมันสายเกินแก้

                “ความรู้สึกมันไม่สำคัญเท่ากับสถานะของพี่ในตอนนี้หรอก...”

                กลั้นก้อนสะอึกเอาไว้และพยายามพูดออกไปด้วยความรู้สึกปวดในอก “...พี่เป็นพ่อคนแล้วนะครับ”

                “อีกอย่าง เราต่างก็ควรจะอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต สิ่งที่พี่ควรทำในตอนนี้ คือทำให้พี่ขวัญกับลูกมีความสุข อย่าให้พวกเขาต้องเจ็บปวดเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของพี่เลย”

                “พี่ขอร้อง พี่รู้ว่าเต้โกรธพี่ แต่ว่าพี่...”

                “เราต่างคนต่างอยู่เถอะครับ พี่เป็นคนเลือกที่จะจากผมไปเองไม่ใช่เหรอ อย่าหันหลังกลับมาเลย เพราะตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ผมไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมอีกแล้ว”

                แม้จะพยายามพูดให้เข้าใจ แต่มันก็ทำให้ภาคินนิ่งไปเพียงเล็กน้อยเพราะกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ สายตาของเเอาแต่เหม่อมองผ่านหนุ่มรุ่นน้องไป ก่อนจะแค่นเสียงหัวเราะออกมา

                “เพราะไอ้เด็กนั่นใช่ไหม คนที่ชื่อโฟโต้...”

                ฮ่องเต้เหลือบมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่เริ่มเปลี่ยนสีเพราะอารมณ์ที่คุกกรุ่นอยู่ภายในใจ

                “...เต้คิดเหรอว่าคนแบบนั้น มันจะรักเต้จริงๆ บางทีมันอาจจะเป็นเพียงแค่ความสับสนของเด็กปีหนึ่งคนหนึ่งก็ได้ เหมือนที่เต้เคยเป็นไง”

                ท้ายประโยคทำเอาคนฟังถึงกับสะอึก แม้จะเจ็บปวดเพียงใด แต่ลึกๆ แล้วเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขากันแน่

                “พี่ต้องการอะไร”

                “กลับมาเป็นเหมือนเดิม กลับมารักพี่เหมือนเดิมได้ไหม”

                นั่นทำให้คนฟังเบือนหน้าหนีพร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้อย่างถึงที่สุด

                “ไม่มีใครรักเต้ได้เท่าพี่อีกแล้วนะ”

                ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน...พร้อมทั้งความรู้สึกทั้งหลายที่ก่อตัวขึ้นมาแบบเงียบๆ จนอัดแน่นเต็มอก อย่างที่หนุ่มรุ่นน้องอดทนไม่ไหวอีกต่อไป จ้องหน้าอีกฝ่ายกลับอย่างไม่อาจจะรั้งความอดทนเอาไว้กับตัวได้อีกต่อไปแล้ว

                “หึ รัก...พี่พูดออกมาได้ยังไงว่ารักผม ทั้งๆ ที่วันนั้น พี่เป็นคนเลือกที่จะไปเอง!”

                เขาเป็นคนบังคับให้ผมต้องพูดเอง...

                “พี่เองไม่ใช่หรือไง ที่เอาเรื่องอาถรรพ์สายรหัสมาล้อเล่น มันก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอครับ ที่พี่จะทนทุกข์ทรมานแบบนี้...เหมือนที่ผมเคยเป็นมาตลอดระยะเวลาเกือบสามปีเต็ม!”

                ทั้งที่ผมอุตส่าห์ปล่อยมันไปแล้วแท้ๆ แต่เขากลับเลือกใช้โอกาสมาบังคับให้เขาพูดเอง

                “พี่คิดว่าผมคงไม่รู้สินะ ว่าไอ้การที่พี่เข้าหาผมแบบนั้นเป็นเพราะพี่แค่อยากใช้เรื่องอาถรรพ์สายรหัสกินกันเองอะไรนั่นกลบข่าวที่พี่ทำผู้หญิงท้องแล้วไม่ยอมรับไง!”

                “ฮ่องเต้!” หนุ่มรุ่นพี่ตวาดใส่คนตรงหน้าอย่างไม่อาจจะต้านความรู้สึกได้อีกต่อไป เขาเองก็เป็นเช่นนั้น

                พอกันที! ผมจะไม่มีวันพูดจาดีๆ กับคนๆ นี้อีกแล้ว

                “เพราะข่าวพวกนั้น ทำให้ชื่อเสียงของพี่ดรอปลงไป พี่เลยหันมาจีบผมแทน เพื่อที่จะให้ตัวเองได้อยู่ในกระแสสังคมต่อไป พี่เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่  แต่น่าเสียดายนะครับ ที่กรรมมันดันตามเร็วไปหน่อย พ่อแม่ของพี่ขวัญก็เลยมาเอาเรื่องพี่ถึงที่บ้าน”

                ฮ่องเต้จ้องหน้าหนุ่มรุ่นพี่ด้วยความโมโหเดือดดาล สิ่งเหล่านี้ มันคือสิ่งที่เขาต้องรับรู้และเอาแต่เก็บเงียบมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเพราะความอับอายจนไม่กล้าสู้หน้าใคร แต่ตอนนี้มันเกินจะทนอีกต่อไปแล้ว ภาคินเลือกที่จะทำให้เขาต้องพูดออกมาเอง

                “เต้...รู้เรื่องนั้นได้ยังไง”

                ภาคินอึ้งไป เมื่อได้ยินหนุ่มรุ่นน้องพูดเรื่องขวัญออกมา อย่างคิดมาตลอดว่าจะปิดบังเรื่องนี้กับอีกฝ่ายได้แล้วแท้ๆ

                “ก็วันนั้น มันเป็นวันเดียวกันกับที่พี่รับปากเอาไว้ว่าจะไปหาพ่อแม่ผมที่บ้านไม่ใช่เหรอครับ”

                ฮ่องเต้ตอบกลับเสียงนิ่ง มองคนที่เริ่มเซไปเล็กน้อยเพราะไม่อาจจะต้านความจริงที่ตนได้รับรู้ได้

                “แต่ที่พี่ไม่ได้ไปเพราะถูกพ่อแม่ลากไปขอขมาและคุยกันเรื่องงานหมั้นที่บ้านพี่ขวัญนี่ครับ”

                อันที่จริง มันยังมีเรื่องที่ขวัญจ้างคนมาทำร้ายเขาอีกสารพัดเพื่อขู่ให้เขาเลิกยุ่งกับภาคินอีก ตอนนั้น เขาคิดไปว่าอาจจะเป็นคนอื่นที่ไม่พอใจที่เขาดันไปคบกับเดือนคณะ จนกระทั่งวันที่ขวัญมาหาเขาถึงบ้านพร้อมกับหลักฐานที่ชี้ชัดว่าเธอท้องกับภาคิน เธอเอ่ยปากขอโทษกับเรื่องทั้งหมดที่ทำลงไปเพราะความหึงหวงพร้อมทั้งขอร้องทั้งน้ำตาอย่างต้องการการรับผิดชอบเรื่องลูก มันเกิดขึ้นก่อนหน้าที่ภาคินจะมาบอกเลิกเขาและนั่นทำให้เขาไม่คิดจะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้

                 แต่ผมเลือกที่จะไม่พูดออกไปเพราะผมเองก็ไม่อยากให้ครอบครัวของเขาต้องแตกแยกกัน

                “เชี้ยยยยย”

                ฮ่องเต้ร้องลั่น เมื่อคนที่เอาแต่นิ่งเงียบไปนานสองนานกระโจนเข้าใส่ ผลักเขาจนหลังชนกำแพงดังอั้ก ก่อนจะกดแขนของเขาติดกับกำแพง

                “ในเมื่อเต้รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ก็คงไม่ต้องบอกแล้วนะว่าพี่ต้องการอะไร”

                “ปล่อยนะเว้ย!”

                ฮ่องเต้โวยวายลั่นพร้อมทั้งบ่ายเบี่ยงริมฝีปากร้อนที่พยายามจะจูบเขาอย่างเต็มแรง ในเวลานี้ ภาคินสติขาดผึงจนมุ่งแต่จะเอาชนะหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้าอย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการมาตลอดให้ได้ ใบหน้าซุกไซ้ไปทั่วทั้งแก้มของรุ่นน้องและลำคอขาวอย่างจงใจจะสร้างรอยที่เกิดจากแรงปรารถนาขึ้นมา ขณะที่ขาข้างหนึ่งพยายามเน้นย้ำไปยังเป้ากางเกงให้อีกฝ่ายตื่นตัวเพื่อจะลดทอนแรงกำลังที่กำลังต่อต้านตนในเวลานี้

                พลั่ก!

                กระทั่งฮ่องเต้ใช้แรงลักอีกฝ่ายให้ออกห่างพร้อมกับเตะเข้าที่หน้าขาจนหนุ่มรุ่นพี่เสียหลักเกือบล้ม แต่ไม่วายที่คนข้างหลังจะตามมากระชากตัวเขาจนล้มลงไปกับพื้น ทั้งคู่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่อย่างนั้นจนฮ่องเต้เองก็เริ่มปวดตามเนื้อตัวไปหมด แต่ก่อนที่ภาคินจะทันได้ฉวยโอกาสทำอะไรดังใจ ร่างกายก็กระเด็นออกไปด้วยแรงถีบของโฟโต้ที่ไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ หนุ่มรุ่นน้องพุ่งเข้าใส่ภาคินไม่ยั้งพร้อมกับชกเข้าที่หน้าอย่างคนควบคุมอารมณ์ไม่ได้

                “มึงมันเหี้ย!”

                “ไอ้เด็กเวร! มึงเองก็ไม่ได้รักไอ้เต้หรอกวะ อย่าสับสนไปหน่อยเลย!”

                ยิ่งได้ฟัง ยิ่งทำให้โฟโต้ถึงกับเดือดดาลเข้าไปใหญ่ จนรัวหมัดเข้าใส่หน้าคนที่อยู่ใต้ร่างอีกครั้งอย่างเหลืออด

                “คนอย่างมึงจะไปเข้าใจอะไรวะ กูรักเขา รักแค่เขาคนเดียวเว้ย!”

                ขณะที่ฮ่องเต้ก็ได้แต่มองโฟโต้อย่างไม่รู้จะเข้าไปห้ามยังไง อีกทั้งคำพูดของมันยังทำเอาเขาใจเต้นไม่เป็นระส่ำไปตามๆ กัน

                “เดี๋ยวพอมึงได้ มึงก็ทิ้งมัน เหมือนที่กูคิดจะทำไง” ภาคินผงกหัวขึ้นมาแค่นเสียงหัวเราะใส่และนั่นยิ่งเป็นการกระตุ้นอารมณ์โกรธหนุ่มรุ่นน้องเข้าไปใหญ่

                “มึงอย่าเอาตัวเองมาวัดกับคนอย่างกู! เพราะมึงมันเหี้ย!!”

                “พอแล้ว โฟโต้!” ฮ่องเต้ถลาเข้าไปห้ามทันทีที่เห็นช่องว่างระห่างคนทั้งคู่พร้อมกับพยายามดึงตัวโฟโต้ให้ลุกขึ้นมา ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมทำตามแต่โดยดี ทิ้งให้ภาคินผงกตัวลุกขึ้นมานั่งเช็ดเลือดที่มุมปากของตัวเอง สภาพหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ตอนนี้ยับเยินจนไม่หลงเหลือความเป็น (อดีต) เดือนคณะเลยแม้แต่น้อย

                “มึงจำใส่สันดารชั่วๆ ของมึงเอาไว้ด้วยนะ ว่าพี่ฮ่องเต้จะเป็นคนเดียวที่กูรักตลอดทั้งชีวิตของกู ต่อให้เขาทิ้งกูไปเป็นร้อยเป็นพันครั้ง กูก็จะตามง้อเขาไปจนวันตาย ดังนั้น ถ้ามึงพูดออกมาว่ากูไม่ได้รักเขาอีก กูเล่นมึงถึงตายแน่!!”

                ก่อนหนุ่มรุ่นน้องซึ่งกำลังหอบหายใจจนตัวโยนจะหันหน้ามาหาเขา

                “ไปเถอะครับ พี่เต้...” โฟโต้ว่าออกมาพลางสบลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังมากที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินว่า

                “...ทิ้งอดีตไว้ตรงนี้ แล้วก้าวไปข้างหน้ากับผม ไปสร้างอนาคตของเราด้วยกันนะครับ”

                และมือหนาก็คว้าหมับเข้าที่มือของอีกฝ่าย ส่งผ่านความอบอุ่นเสียงจนฮ่องเต้ถึงกับกระชับมือหนุ่มรุ่นน้องแน่นอย่างโหยหาย ก่อนที่โฟโต้จะฉุดให้หนุ่มรุ่นพี่เดินตามตนไปข้างหน้าอย่างไม่รีรอให้เกิดอะไรขึ้นอีกเป็นซ้ำสอง ทิ้งให้ภาคินมองตามด้วยความโกรธเคืองอยู่ข้างหลังอย่างต้องการจะทิ้งให้อดีตให้กองอยู่ตรงนั้น แบบที่ทำให้ฮ่องเต้ใจชื้นขึ้นมาจนน้ำตาคลอตาม อย่างไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาช่วยเขาและฉุดเขาให้ออกจากอดีตอันแสนเจ็บปวดได้...

                มันเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกว่า อดีต ได้ตายจากผมไปแล้วจริงๆ



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด