ตอนที่ 30 ความรู้สึก
“ซื้ออะไรเยอะแยะวะ ทำอย่างกับจะย้ายหอ” ฮ่องเต้ว่าพลางมองข้าวของพะรุงพะรังในมือของสายรหัสปีหนึ่ง ซึ่งกำลังจัดวางของใส่หลังรถของเขา หลังจากกว้านซื้อข้าวของเครื่องใช้และอีกสารพัดของจิปาถะ ใช้เวลานานจนตอนนี้ก็ปาเข้าไปห้าโมงเย้นแล้ว ทว่าโฟโต้กลับหันมาฉีกยิ้มกว้างใส่เขาตามแบบฉบับ
“ถ้าพี่เต้อนุญาตให้ผมไปอยู่ด้วย ผมย้ายวันนี้เลยก็ได้นะครับ” และก็ได้แต่หยอกเอินใส่คนที่โตกว่าไปที
“ถ้างั้น มึงคงไม่มีวันได้ย้ายหอหรอก” ฮ่องเต้สวนกลับ แบบที่โฟโต้เองกะเอาไว้อย่างไม่ผิดเพี้ยน จึงได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ และปิดประตูหลังรถ ก่อนจะมองตามคนที่เดินลิ่วๆ ขึ้นรถไปก่อนอย่างขำๆ
ฮ่องเต้เหลือบตามองคนข้างๆ ซึ่งกำลังขับรถไปฮัมเพลงไปอย่างมีความสุข คนที่คอยส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ต่อล้อต่อเถียงกับเขาตลอดระยะทางตั้งแต่รถเคลื่อนตัวออกมาจากห้างสรรพสินค้า แต่บอกตามตรงเลยว่าเขาไม่ค่อยจะมีอารมณ์จะมาเถียงกับคนข้างกายนักหรอก ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะเงียบเพื่อเลี่ยงบทสนทนาและเอาแต่จ้องมองไปยังคนที่เอาแต่พูดคนเดียวมาตลอดทาง อย่างที่ในหัวเต็มไปด้วยความคิดวุ่นวายสับสน...
อยากรู้ชะมัดว่าในใจของมันกำลังคิดอะไรอยู่
ถึงแม้ว่าเขากับโฟโต้จะอยู่ใกล้กันขนาดนี้และถึงแม้ว่ามันจะเป็นคนออกปากว่าจะจีบ แต่เขากลับคาดเดาไม่ได้เลยสักนิดว่าคนที่อยู่ข้างเขาในเวลานี้ กำลังรู้สึกยังไงกันแน่ ซึ่งนั่น...มันทำให้เขารุ้สึกลังเลใจไปเสียทุกอย่าง ยอมรับความเขาเองเป็นคนคิดมาก ชนิดแบบปล่อยวางไม่ได้ เพราะอดีตมันได้ฝากบาดแผลที่ลึกจนเกินเยียวยาเอาไว้ในใจของเขา แม้ว่าความเจ็บปวดมันจะเบาบางลงมาบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้ใครสักคนมาสร้างอีกหนึ่งบาดแผลให้กับหัวใจของเขาอีกเป็นซ้ำสอง
“เย็นนี้พี่เต้อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”
“มึงถามกูเป็นรอบที่สามแล้วนะ” ฮ่องเต้ร้องบอกเพราะคำถามเดิมที่แทรกเข้ามาในบทสนทนา โฟโต้ละสายตามามองเขาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองถนนข้างหน้าเช่นเดิม
“ก็พี่ไม่ยอมตอบผมสักทีนี่ครับ”
“...”
“ถ้าพี่ไม่ยอมตอบ จะถือว่าพี่ตามใจผมก็แล้วกันนะครับ” พูดจบก็หันมายิ้มให้คนที่โตกว่าไปทีและเลี้ยวรถไปทางตรงกันข้ามกับทางกลับหอ เสียจนคนที่นั่งมาด้วยถึงกับเหวอใส่
“มึงจะไปไหน!?” และร้องถามพลางเอี้ยวตัวหันกลับไปมองทางที่มันขับผ่าน ทว่าท่าทางแบบนั้นกลับทำให้โฟโต้หัวเราะออกมาเบาๆ
“พาพี่ไปกินข้าวไงครับ” ก่อนจะตอบออกไปด้วยท่าทีสบายๆ ซึ่งฮ่องเต้ก็ทำได้แค่ปล่อยให้อีกฝ่ายขับรถต่อไปโดยไม่พูดอะไรต่อ จนกระทั่งมาถึงร้านอาหารร้านหนึ่งที่โฟโต้คุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาจึงเดินนำรุ่นพี่เข้าไปข้างในร้าน ทีแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไรนักเพราะมันก็เป็นเพียงร้านอาหารธรรมดา แต่เพราะคนที่เด็กกว่ากลับพาเขาเดินขึ้นไปบนชั้นสองอย่างถือวิสาสะ ทำตัวราวกับที่นี่คือร้านของตนเองไปเสียได้ นั่นแหละ ที่ทำให้เขาเริ่มจะหวั่นใจ
“ร้านนี้เปิดชั้นสองให้ลูกค้าเข้าด้วยเหรอวะ” เขาถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ ไม่ยักกะรู้สักนิดว่าร้านนี้เปิดชั้นสองด้วย ปกติที่เขาเคยมากินกับเพื่อนก็เห็นเปิดชั้นแรก แถมข้างบนยังไม่มีลูกค้าเลยสักคน ทั้งๆ ที่ชั้นล่างเต็มไปด้วยลูกค้าจนต้องอาศัยเก้าอี้เสริม
แต่ก็ทำได้เพียงมองสำรวจรอบข้าง ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งๆ ที่ตกแต่งสไตล์คลาสสิกและโต๊ะเก้าอี้สำหรับสองคนนั่งตั้งอยู่ใกล้กับริมระเบียงด้านหลังร้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ของสวนที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา สายลมที่คอยพัดเข้ามาช่วยให้ภายในพื้นที่ปลอดโปร่งและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติ นับว่าเป็นพื้นที่สำหรับประทานอาหารที่เรียบง่าย แต่ช่วยผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี
“ไม่หรอกครับ ตรงนี้เป็นมุมส่วนตัว ผมบอกพี่กราฟ...เอ่อ พี่ชายของผมน่ะครับ ผมบอกให้พี่เขาเตรียมไว้”
“พี่ชาย...” ฮ่องเต้ทวนคำออกมาแบบมึนๆ
“ครับ ร้านนี้เป็นของพี่ชายผม...” โฟโต้ตอบออกไปอย่างไม่คิดอะไร มองสบตาคนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มสดใส “...รับรองครับ ว่าตรงนี้ไม่มีคนนอกเข้ามาแน่นอน เผื่อพี่เต้จะไม่อยากให้ใครมาเห็นว่าพี่มากินข้าวกับผมสองคน”
ฮ่องเต้หันไปมองไอ้โฟโต้ด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา ซึ่งเขาเข้าใจหรอกว่ามันหมายถึงอะไร อีกฝ่ายคงจะกลัวว่าเขาจะกังวลว่าจะมีใครมาเห็นตอนที่เขาอยู่กับมันสองคนเพราะเราต่างเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่และมันก็คงไม่ดีแน่ที่เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับมันจะไปเข้าหูใครเข้า โดยเฉพาะป๊าของผมที่โหดเสียยิ่งกว่ามาเฟียเสียอีก ซึ่งนั่นมันทำให้เขาใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย
เพราะอย่างน้อย มันก็แสดงว่า...มันใส่ใจความรู้สึกของผม
“ก็ยังดีที่มึงคิดได้” แต่ก็ตอบกลับออกไปด้วยเสียงเรียบง่ายตามสไตล์
บอกแล้วไงครับว่าการพูดดีๆ กับมันเป็นเรื่องยากสำหรับผมไปแล้ว
“แน่นอนสิครับ พี่มากินข้าวกับผมทั้งที ผมก็อยากให้พี่สบายๆ อยากทำอะไรก็ทำ...” ท้ายประโยคโฟโต้เน้นคำพร้อมกับสบลึกเข้ามาในดวงตาของคนที่โตกว่า ทีแรกก็เห็นด้วยอยู่หรอกเพราะอย่างน้อยเขาจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมาคอยกังวลว่าใครจะมองยังไง ถือว่ามันใส่ใจรายละเอียดดี แต่ว่า...
“แต่มันก็เท่ากับว่ามึงจะทำอะไรก็ได้เหมือนกันน่ะสิ” ฮ่องเต้หรี่ตาลง ร้องถามออกไปอย่างนึกขึ้นได้ ซึ่งโฟโต้ก็ทำเพียงแค่ยักไหล่กลับมาให้
“กูจะลงไปกินข้าวข้างล่าง”
“แน่ใจเหรอครับ คนเยอะนะ” และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าหนุ่มรุ่นน้องอีกครั้ง “แล้วพี่แน่ใจเหรอครับ ว่าผมจะไม่กล้าทำอะไรต่อหน้าคนอื่น”
“มึงจะทำอะไร!?”
โฟโต้หัวเราะออกมาเล็กน้อยกับท่าทีหวาดกลัวของคนตรงหน้า
ตลกชะมัด แต่ก็น่ารักดี
ก่อนจะตอบ “ก็กินข้าวไงครับ หรือพี่จะให้ผมกิน...อย่างอื่น”
“มึงนี่มัน...”
“ก็แล้วแต่พี่นะครับ ถ้าพี่อยากจะลงไปกินข้าวข้างล่าง ผมตามใจพี่อยู่แล้ว”
คำพูดของสายรหัสปีหนึ่ง ทำเอาฮ่องเต้ต้องมองหน้าอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ เท้าของเขาขยับไปมาด้วยความลังเลว่าจะเดินไปทางไหนและสุดท้ายก็ลงเอยกับการที่เขาต้องเดินไปที่โต๊ะ พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้และมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาหงุดหงิด ขณะที่มันฉีกยิ้มกว้างอย่างถือชัยชนะ
เออ มึงเก่ง! เก่งเรื่องพูดจาข่มขู่ให้กูทำตามใจมึงเนี่ย!!
“เชิญครับ”
เขาชะงักมองไอ้เด็กโฟโต้ที่หยุดยืมยิ้มแฉ่งอยู่หลังเก้าอี้ที่มันเขยิบให้เขา
พอเห็นแบบนั้นแล้ว...
เขาก็ตีมึนเดินไปเขยิบเก้าอี้อีกฝั่งแล้วรีบนั่งสิ!
“จะยืนกินเหรอครับ” พร้อมทั้งพูดและยิ้มแบบประชด ทำให้มันหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พนักงานเสิร์ฟเดินขึ้นมาชั้นบนพอดี
“สวัสดีครับ ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารนะครับ” พนักงานชายคนนั้นเอ่ยบอกพร้อมกับจัดวางอาหารลงบนโต๊ะ หากแต่สายตากลับมองเขาสลับกับโฟโต้ที่เอาแต่กดมือถือเหมือนกำลังพิมพ์ข้อความหาใครสักคนอยู่ รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของพนักงานทำเอาฮ่องเต้เริ่มทำตัวไม่ถูก
รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ผมยังไม่รู้เลยแหะ
“ไม่แนะนำหน่อยเหรอ”
ประโยคนี้ พนักงานชายหันไปคุยกับโฟโต้ ทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ ก่อนที่จะเบิกตากว้างและนั่งหลังตรงขึ้นมา ทำเอาฮ่องเต้แปลกใจไปตามๆ กัน
“พี่กราฟ!!” โฟโต้ร้องเรียกชื่อคนตรงหน้า
...พี่!?
หรือผู้ชายคนนี้จะเป็นพี่ชายของไอ้โฟโต้กันครับ จะว่าไป...หน้าตาก็คล้ายกันอยู่นะ
พี่มาทำไมเนี่ย!”
“กูอยากเผือกเรื่องของมึงไง”
“ผมบอกแล้วไงว่ายังไม่ใช่ตอนนี้!”
“กูไม่สน กูอยากรู้ตอนนี้ กูก็จะต้องรู้ตอนนี้!”
“ไอ้พี่กราฟ!”
“เรียกกูทำไม”
ฮ่องเต้มองสองพี่น้องเถียงกันไปมาด้วยความมึนงง สักพักก่อนที่พี่ชายของโฟโต้จะหันหน้ามาและใช้สายตามองสำรวจเขาตั้งแต่งหัวจรดเท้า
“ใช้ได้นี่หว่า...” นั่นคือคำตอบของเขา แบบที่ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับผงะ
ตรงข้ามกับกราฟิกที่ยิ้มแป้นแล้น ดีอกดีใจที่หาเรื่องแกล้งน้องชายได้ กะจะเอาคืนที่ชอบใส่ร้ายเขาให้แบมบูเข้าข้างอยู่บ่อยๆ เสียหน่อย
“อย่าทำแบบนั้นดิ!” โฟโต้ร้องโวยวายตามคาดพร้อมกับดึงพี่ชายของตนให้ออกห่างจากฮ่องเต้ทันที ทว่าสุดท้ายก็ถูกพี่ชายตนเองผลักให้พ้นทางเพื่อที่จะได้เข้ามาจ้องหน้าจนฮ่องเต้ต้องผงะถอยหลัง แบบไม่ทันได้ตั้งตัว
“มะ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เชี้ย! แล้วทำไมผมต้องรู้สึกเกร็งไปด้วยวะ
“พี่ชื่อกราฟฟิก แก่กว่าเราไปสามปี เรียกพี่กราฟก็ได้” และคนพูดก็ฉีกยิ้มกว้างมาให้ เป็นรอยยิ้มแบบเดียวกันกับโฟโต้ แต่ดูสุขุมและเจ้าเล่ห์น้อยกว่า...มั้งนะ
แต่ยังไงก็ช่าง ดูเหมือนพี่น้องคู่นี้จะไม่น่าไว้ใจพอกัน สรุปว่าเขาจะออกจากร้านนี้อย่างปลอดภัยไร้อะไรตะขิดตะขวงใจหรือเปล่า
“ไม่คิดจะแนะนำตัวเองให้พี่ได้รู้จักบ้างเหรอ” กราฟฟิกยิ้มจนตาหยี แต่ดูอีกทีมันคือรอยยิ้มที่ขู่บังคับกันชัดๆ
รู้เลยว่าไอ้โฟโต้ได้เชื้อใครมา...
“ผม...ฮ่องเต้ เรียกว่าเต้เฉยๆ ก็ดะ...”
“แล้วเป็นอะไรกับไอ้โฟโต้” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ อีกฝ่ายก็เล่นสวนคำถามขึ้นมาทันที ทำเอาฮ่องเต้อ้าปากพะงาบๆ เพราะสมองประมวลผลไม่ทัน เหลือบไปมองโฟโต้เล็กน้อยก่อนจะหันมาตอบ
“เป็น...รุ่นพี่ที่คณะ”
“ที่มันกำลังตามจีบใช่ไหม” กราฟิกเติมประโยคต่อท้ายเสร็จสรรพ ไม่รอฟังความใดๆ จากคนเพิ่งรู้จักอีกต่อไป สาบานได้เลยว่าถ้าวันนี้ถ้าฮ่องเต้หลุดไปได้ เขาจะไม่กลับเข้ามาเหยียบที่ร้านนี้อีกแน่ๆ
นี่ขนาดว่าเจอแค่พี่ชาย ยังสอบสวนจนเขาหวาดระแวงขนาดนี้ ถ้าเจอพ่อแม่นี่จะขนาดไหน แต่ก็ไม่แน่หรอกเพราะถึงตอนนั้น พวกท่านคงจะไม่พูดอะไรเพราะช็อกกับการที่ลูกชายคบผู้ชายด้วยกันเอง และถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ เขาควรจะทำยังไงกับความสัมพันธ์แบบนี้...
เฮ้ย เดี๋ยว! นี่ผมกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ความสัมพันธ์บ้าบออะไร ผมกับมันยังไม่ได้คบกันเสียหน่อย ทำไมผมต้องไปกังวลเรื่องพ่อแม่ของไอ้โฟโต้ด้วย!!
“พอได้แล้วน่า! ดูดิ พี่เต้ทำหน้าเครียดแล้วเนี่ย!” โฟโต้ร้องโวยวายพร้อมกับดันตัวพี่ชายให้ออกห่าง ขณะที่ฮ่องเต้พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพราะคำพูดของโฟโต้ที่ทำให้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป
“เครียดอะไร ไม่เห็นเหรอว่าเราออกจะเข้ากันได้ดี”
ฮ่องเต้แอบตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆ กราฟิกก็เข้ามาประชิดตัวและกอดคอเขา แถมยังเอาหน้าแนบกับแก้มของเขาอีก และนั่นทำเอาโฟโต้ต้องชักสีหน้าหงุดหงิดใส่และรีบเข้ามากระชากพี่ของตนให้ออกห่างจากว่าที่แฟนทันที
“จะทำอะไร เกรงใจบ้าง อย่างน้อยเขาก็เป็นรุ่นพี่ที่คณะผมนะ”
ประโยคหลังของไอ้โฟโต้ทำเอาฮ่องเต้แอบต้องลอบยิ้มออกมา ก่อนจะรีบหุบยิ้มและทำเหมือนไม่มีอะไรเมื่ออีกฝ่ายหันมามองผม เขาก็แค่ดีใจที่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็รู้จักให้เกียรติเขาให้ฐานะรุ่นพี่ของตน ก่อนที่ฮ่องเต้จะแอบสะดุ้งกับคำพูดถัดมาของกราฟิก
มึงหวงก็บอกมาเถอะ”
ไอ้โฟโต้หันมามองหน้าฮ่องเต้ก่อนจะหันไปตอบคนตรงหน้า “เออ หวง...หวงมากเลยด้วย รู้แล้วก็อย่าไปกอดสุ่มสี่สุ่มห้าอีกล่ะ”
ท้ายประโยคเหลือบตามามองคนที่ตนหวงนักหวงหนาอีกครั้ง ทำให้ฮ่องเต้ต้องแกล้งเสมองไปทางอื่นเพราะหัวใจที่จู่ๆ ก็เต้นแรงขึ้นมาพร้อมกับคำว่า หวง ที่มันยังดังก้องอยู่ในหัวของเขา ไม่รู้ว่ารู้สึกดีเพราะได้ยินคำๆ นี้หรือเพราะโฟโต้เป็นคนพูดกันแน่
หรือว่าจะเป็นเพราะทั้งสองอย่าง
“กูไม่กอดก็ได้...” กราฟิกทำทีว่าง่าย หากแต่ยังไม่วายโน้มตัวไปกระซิบข้างหูน้องชายตนต่อว่า “...แต่อย่าลืมเรื่องมอเตอร์ไซค์ไอ้มนตรี”
พลันคนฟังถึงกับหันขวับ ตวัดสายตามองด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เพราะดันนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“แต่ถ้าความลับรั่วไหล ผมปล่อยคลิปพี่กับพี่แบมบูแน่”
“คลิปอะไรวะ” กราฟิกนิ่วหน้าใส่อย่างไม่เข้าใจ
“คลิป...อย่าง...ว่า” พลันร้อยยิ้มร้ายก็ปรากฏบนหน้าของน้องชาย “ผมแอบถ่ายเอาไว้ ตอนที่มาปรึกษาพี่แบมบูเรื่องพี่เต้ ถ้าพี่ยังจำได้ว่าผมเป็นคนเข้ามาขัดจังหวะ”
ไม่ต้องให้หยุดคิด กราฟิกก็พอจะนึกออกว่าเขากับคนรักถูกถ่ายคลิปตั้งแต่เมื่อไหร่ จึงกัดฟันกรอดมองหน้าน้องชายตนอย่างไม่อาจจะทำอะไรได้
เขาไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก แต่กับแบมบู เขาจะไม่มีวันยอมให้แปดเปื้อนเด็ดขาด ยิ่งต้องให้ใครมาได้เห็นอะไรๆ ของคนรัก เขายิ่งไม่มีทางยอม
“ผมขอกินข้าวกับว่าที่แฟนต่อนะครับ”
ฟังน้องชายพูดและยิ้มจนตาหยีมาให้อย่างกลบเกลื่อนบทสนทนาเมื่อครู่ จึงเอ่ยปากพูดอย่างคนทำอะไรไม่ได้
“ขอให้กินข้าวอร่อยๆ นะ” ปากก็อวยพร หากแต่สายตาที่จ้องไปทางน้องชายกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น ลึกลงไปก็เอาแต่แช่งให้ข้าวติดคอ ทำขายหน้าจนฮ่องเต้ไม่กล้าคบ
“พี่ไปก่อนนะครับ เอาไว้คราวหน้าจะต้อนรับน้องสะใภ้ให้ดีกว่านี้” กราฟิกจงใจยิ้มอย่างไม่คิดอะไรกับคำพูดนั้น ตรงข้ามกับฮ่องเต้ที่ถึงกับเลิกลัก ทำตัวไม่ถูก
หากแต่พอคิดจะแก้คำพูด ฝ่ายตรงข้ามกับเดินลิ่วๆ หนีลงไปชั้นล่างเสียแล้ว ทิ้งไว้เพียงแค่น้องชายที่หันมามองหน้าเขาแล้วส่งยิ้มตามแบบฉบับมาให้
“กินข้าวเถอะครับ”
ฮ่องเต้นั่งกินข้าวไปได้สักพัก บทสนทนาบนโต๊ะไม่แตกต่างไปจากเดิมเท่าไหร่นัก โฟโต้ยังคงพยายามหาเรื่องต่อล้อต่อเถียงกับเขาจนกระทั่งกินข้าวเสร็จ ก็อาสาขับรถพาเขาไปส่งที่หอเช่นเดิม แม้ว่าระหว่างทางจะพยายามชวนเขาคุยมากเท่าไหร่ เขาก็ทำได้เพียงแค่เงียบเท่านั้น กระทั่งโฟโต้ขับรถมาถึงหอของเขา
“ทำไมไม่ไปหอมึง” ฮ่องเต้ถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะรถที่ขับมาก็รถของเขา ถ้ามันมาส่งเขาก่อนแบบนี้ แล้วมันจะกลับยังไงกัน
“บอกแล้วไงครับ ว่าผมมาส่งพี่”
“แล้วมึงจะกลับยังไง” เพราะท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านใดๆ ฮ่องเต้จึงต้องโพล่งออกไปเช่นนั้น
“นั่นสิ แล้วผมจะกลับยังไงดีน้า...” หากแต่อีกฝ่ายกลับกวนประสาตเขากลับมาเสียอย่างนั้น จนฮ่องเต้ถึงกับต้องมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“กูไม่ตลก” บอกออกไปเสียงนิ่งพอๆ กับสีหน้า ทำเอาโฟโต้แอบขำ
“ครับ ผมก็ไม่ได้เล่นตลกกับพี่เสียหน่อย...” โฟโต้เว้นจังหวะและขยับเข้าไปใกล้อย่างกำลังจะอ้อน “...ขอผมนอนด้วยได้ไหมครับ คืนนี้”
“ไม่ได้!” ฮ่องเต้แหวใส่ตามคาด “หอมึงก็มี ก็ไปนอนหอตัวเองดิวะ”
นั่นก็เพราะเขาไม่อยากจะใกล้ชิดไปมากกว่านี้ ทั้งที่ในใจของเขาไม่สามารถเปิดใจยอมรับอีกฝ่ายได้อย่างเต็มที่นัก กับความรักครั้งใหม่...เขาไม่เคยแน่ใจว่าเขาจะยอมรับได้และเขาเองก็ไม่ได้อยากจะทำร้ายจิตใจใครด้วย
“นะครับ พี่เต้...” โฟโต้ว่าเสียงอ้อน ขยับเข้าไปใกล้หนุ่มรุ่นพี่นแทบจะไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน “...คืนนี้ แค่คืนเดียวนะครับ”
“...ไม่ดะ...”
“สัญญาว่าจะไม่ทำอะไร” พูดเสียงเบาอย่างจงใจจะสะกดอีกฝ่าย “ผมไม่มีรถกลับ แล้วตอนนี้ มันก็ทุ่มกว่าแล้วนะครับ”
“กูบอกว่าไม่...”
“แถมข้าวของเต็มรถแบบนี้ พี่จะใจร้าย ปล่อยให้ผมเดินกลับจริงๆ เหรอครับ” ว่าไปเสียงอ่อนอย่างคนน้อยเนื้อต่ำใจ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาโทรบอกให้เพื่อนมารับก็ได้ ทว่า...
“เออ แค่คืนนี้นะเว้ย”
ความประหม่าทำให้ฮ่องเต้ลืมฉุกคิดถึงหนทางใดๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งว่าเขาแค่ขับรถพาอีกฝ่ายไปส่งที่หอก่อน แล้วกลับมาที่หอเขาก็ได้ แต่สุดท้ายก็พลาดท่าเพราะสมองที่เบลอขึ้นมากะทันหัน เพียงแค่สายตาออดอ้อนและน้ำเสียงที่อ่อนลงไปของอีกฝ่าย เท่านั้น จิตใจก็ระทวยและลืมเลือนทุกสิ่ง
ลืมแม้กระทั่งว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์และการที่โฟโต้มานอนที่ห้องเขาแบบนี้ มันหมายความว่าเขาจะต้องอยู่กับหนุ่มรุ่นน้องไปอีกหนึ่งวันเต็มๆ เพราะสิ่งเดียวที่เขานึกได้ก็คือ...หน้าของลูกพี่ลูกน้องของเขา
อย่างน้อย ผมก็ไม่ได้อยู่กับมันสองต่อสองเสียหน่อย
“ขอบคุณครับ” หนุ่มรุ่นน้องบอกออกไปเช่นนั้นและส่งยิ้มแสนละมุนมาให้ อย่างไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของหนุ่มรุ่นพี่
“ลงรถได้แล้ว กูต้องปั่นงานต่อ”
พูดจบก็เปิดประตูลงจากรถให้อีกฝ่ายต้องมองตามพร้อมรอยยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะตามลงมาและขนข้าวของตามขึ้นไปบนห้องของฮ่องเต้...