รักได้ไหมผู้ชายธรรมดา
บทที่1
แสงแดดยามบ่ายส่องแสงร้อนแรงผ่านผนังกระจกของตึกสูงใจกลางเมืองหลวงเข้ามา ทำให้
ภายในออฟฟิศอากาศร้อนอบอ้าว แม้จะมีเครื่องปรับอากาศกำลังแรงก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วย
บรรเทาไปได้สักเท่าไหร่
อธิศเปิดปากหาวเต็มที่ แขนสองข้างบิดขี้เกียจขับไล่ความเมื่อยล้าหลังจากที่นั่งทำบัญชีสินค้าของ
บริษัทตั้งแต่สายๆ จนถึงตอนบ่าย ก่อนจะถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
ใช่สิ เขานึกเบื่อตัวเองอยู่เหมือนกันกับชีวิตที่แสนจะธรรมดาของเขา เมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา
บางทีเขาเองก็อยากจะเกิดมามีพรสวรรค์อะไรที่ทำให้เขาดูเด่นและแตกต่างจากคนอื่นบ้าง ไม่ใช่
อะไรก็ดูธรรมดาไปหมดทุกอย่างขนาดนี้
หน้าตาเหรอ..เขาลองมองเงาตัวเองที่สะท้อนมาจากจอคอมพิวเตอร์ มันก็ไอ้ตี๋คนหนึ่ง ดวงตารีชั้น
เดียว จะมีดีหน่อยก็ที่จมูกโด่งตามธรรมชาติ ไม่ต้องทำศัลยกรรม รูปร่างก็พอค่อยยังชั่วที่ได้
ความสูงโปร่งมา แต่ทั้งหมดก็สามารถหาได้ทั่วไปจากผู้ชายเดินถนนคนอื่นๆ
จะมาดูที่ฐานะหรือ เขายักไหล่กับตัวเอง ก็แค่หนุ่มต่างจังหวัดคนหนึ่งที่พ่อแม่เป็นคนจีน ขายทอง
อยู่ในตลาดใหญ่ของจังหวัดทางภาคอิสาน ถามว่าจนไหม ก็ไม่ได้เดือดร้อนแต่ก็ไม่ถึงกับรวยจนล้น
ฟ้า
การศึกษาถึงแม้จะจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ที่พ่อให้เรียน แต่เกรดก็ธรรมดา
เป็นที่สุด
จะมองหาพรสวรรค์ของตัวเองสักด้าน ก็หาไม่เจอเอาเสียเลย จะเป็นนักร้องก็ร้องเพลงเดียวร้อย
ทำนอง จะเป็นนักเขียนแม้แต่เรียงความก็สอบตก
เฮ้อ...คนอะไรมันช่างจะธรรมดาอย่างนี้ เขาอดตัดพ้อในโชคชะตาไม่ได้
มองตรงไปที่ประตูทางเข้า อธิศรีบปรับท่าทางการนั่งทันทีเมื่อเห็นร่างโปร่งบางของสาว
ประชาสัมพันธ์คนสวย เดินเข้ามาในแผนกและตรงมาหาเขา
“จิ๊บจ๋า ไม่เจอกันสองวันสบายดีป่ะ ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ”
เขายิ้มแป้นส่งคำทักทายให้คนงามประจำบริษัท
“พอเลย ซัน ไม่ต้องมาชม”
จิ๊บโบกมือปฎิเสธวุ่นวาย
“แกหยอดคำหวานกะล่อนของแกจีบฉันมาตั้งแต่เข้ามาบริษัทนี้พร้อมกัน จนเดี๋ยวนี้...”
จิ๊บชูนิ้วสองนิ้วลอยผ่านหน้าเขา
“สองปีละ แกยังไม่เลิกอีกเหรอ”
“แหม จิ๊บก็”
เขาส่งเสียงโอดครวญ
“ก็เราว่าจิ๊บโดนอ่ะ”
“โดนอะไรของแก”
จิ๊บตกหลุมพรางถามต่อ
“ก็โดนเรารักแล้วไง”
อธิศรีบตอบไปอย่างรวดเร็ว
“โห ไอ้บ้าซัน”
จิ๊บคว้าปากกาบนโต๊ะขว้างใส่หน้าอกเขาด้วยความระอา
“แกคิดนานไหมไอ้มุขเสี่ยวของแกเนี่ย ไม่พูดด้วยแล้วเสียเวลาทำงาน เอายอดไตรมาสที่แล้วมา
เลย เสร็จหรือยัง”
จิ๊บแบมือหราทวงงาน
อธิศจึงหยิบปึกกระดาษที่เตรียมเอาไว้ให้พร้อมกับทำหน้ามุ่ย
“แกนี่น้า... ซัน”
จิ๊บส่ายหน้าอย่างระอา
“รูปร่างหน้าตาของแกมันก็ดีอยู่หรอก นี่ถ้าแกลดความรั่วของแกได้บ้าง คงมีผู้หญิงเอาแกเป็น
แฟนบ้าง นี่อาร้ายย..”
จิ๊บลากเสียงยาว
“เล่นอกหัก ปีละ4ครั้ง แกทำยอดยิ่งว่าบัญชีบริษัทอีกนะนี่”
“จิ๊บ ไปเลยไปทำงาน”
อธิศโบกมือใส่หญิงสาว
“ไม่ตกลงเป็นแฟนกะเราก็อย่าตอกย้ำให้เจ็บใจ กลับไปประจำตำแหน่งเลย”
“ย่ะ แหมพ่อหนุ่มกะล่อน ไปล่ะ แล้วอย่าไปเที่ยวกลางคืนดึกนักนะยะ มันอันตราย”
จิ๊บยื่นหน้าแป้นแล้นมาใกล้
“ด้วยความเป็นห่วงจากผู้หญิงที่ไม่เอาแกเป็นแฟน ฮะฮะฮ่า”
จิ๊บสะบัดหางม้าเดินจากไปปล่อยให้อธิศนั่งฮึดฮัดคนเดียวอย่างเจ็บใจ
ดึกดื่นค่อนคืน ในคืนวันศุกร์วันที่ควรจะไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับใครสักคน แล้วเขามาทำอะไร
คนเดียวริมถนนนะ
อธิศถอนหายใจด้วยความเหงา
ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่มีชีวิตจิตใจ เขาก็แค่อยากจะมีใครสักคนที่มาเดินเคียงข้าง ไปกินข้าว ไปดู
หนังเป็นเพื่อนกัน ไม่ใช่ต้องทำกิจกรรมที่ว่ามาเพียงลำพังเช่นนี้
กลับไปห้องพักในคอนโดที่ครอบครัวซื้อไว้ให้ตั้งแต่เข้ามาเรียนในกรุงเทพ เขาก็ต้องกลับไปอยู่
เพียงลำพังกับความเหงาเหมือนทุกๆ วัน
“เฮ้อ”
เขาถอนหายใจอย่างเหงาหงอย ก่อนที่จะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดังของเครื่องยนต์เลี้ยวเข้ามาในซอย
ลึกที่เขาเดินอยู่
อธิศหันไปมองก็เห็นรถยุโรปสีดำขัดเป็นเงาวับ สองคันขับตามกันมาด้วยความเร็วสูง ชายหนุ่ม
กระโดดหลบไปอยู่หลังเงามืดของเสาไฟฟ้าด้วยความตกใจ
รถสองคันพุ่งผ่านจุดที่เขายืนอยู่ คันแรกขับส่ายไปมาอย่างน่ากลัวเหมือนคนขับไม่สามารถบังคับ
พวงมาลัยได้ รถคันหลังจึงพุ่งตรงมาชนท้ายรถคันแรก จนรถคันแรกนั้นเสียหลักลงข้างทางไปชน
กับถังขยะ เลยหน้าชายหนุ่มไปไม่กี่สิบเมตร
อธิศเกือบหลุดปากร้องออกไปด้วยความตกใจ ดีที่เอามือปิดปากตัวเองทัน เขาทรุดตัวลงนั่งใช้เสา
ไฟและความมืดพรางตัวไว้
ชายฉกรรจ์สองคนในเสื้อแจ็คเก็ตสีดำเปิดประตูรถลงมาจากรถคันหลังแล้วเดินก้าวตรงไปยังรถ
คันแรกที่จอดอยู่ริมทาง เมื่อถึงจุดหมายหนึ่งในสองคนนั้นหยิบบางสิ่งออกมาจากเอวอย่าง
รวดเร็ว
ดวงตาของอธิศเบิกโพลง สติแทบไม่อยู่กับตัวเขาปิดปากตัวเองแน่นกว่าเดิมด้วยความหวาดกลัว
ราวกับว่าเพียงแค่ลมหายใจก็อาจทำให้พวกนั้นหันมาเห็นเขาได้
ชายคนนั้นเล็งกระบอกปืนไปทางหน้าต่างรถคันแรกที่แตกร้าวเป็นทางก่อนจะลั่นกระสุนปืนอย่าง
รวดเร็ว
เปรี้ยง !!
อธิศซุกหน้าลงกับเข่าสองข้างอย่างกริ่งเกรงตัวสั่นพั่บๆ เป็นลูกนก ก่อนที่จะค่อยๆ หรี่ตาขึ้น
มองเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง
ชายฉกรรจ์สองคนเหลียวมองไปมาว่ามีใครเห็นเหตุการณ์หรือไม่ และช่วงเวลานั้นก็มีอยู่เสี้ยว
วินาทีที่ชายสองคนหันมาทางเขา
เพียงเสี้ยววินาทีในความมืดมันก็เพียงพอที่เขาจะเห็นหน้าฆาตกรสองคนนั้นอย่างชัดเจน!
ชายหนุ่มตัวสั่นเทาเพียงแค่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตน ถ้าชายสองคนนี้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้
เหมือนโชคเข้าข้างที่หลอดไฟเสียมุมนี้จึงมืดพอที่จะพรางตัวให้เขาได้
ชายฉกรรจ์สองคนนั้นรีบเดินกลับมาขึ้นรถของตนและรีบขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ทิ้งให้ชายหนุ่มยังคงนั่งสั่นเทาที่มุมเสาไฟฟ้าเพียงคนเดียว กับรถยนต์ที่มีผู้เสียชีวิตตรงหน้า