Chapter 19 As a Cockatiel
“เป็นไงบ้าง เจอเจิ้นไหมลูก?”
พ่อมารับผมตอนบ่ายสองกว่าๆ คุณป้าแม่บ้านตักเป็ดตุ๋นมะนาวดองใส่หม้อมาให้ด้วย บอกว่าให้ผมกินข้าวเยอะๆเดี๋ยวป่วยตามเจิ้นไปอีกคน
“ไม่เจอครับ...เจิ้นไม่รู้ว่าผมมา”
“ไม่อยากเจอเจิ้นแล้วหรอลูก?”
“ปะ เปล่าครับ...แค่ ยังไม่พร้อม”
“อยากเล่าให้พ่อฟังไหม? ถ้าลูกคิดคนเดียวมันก็จะเป็นมุมมองแค่ด้านเดียว ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ ถ้าจันทร์คิดไม่ตก อยากได้คำแนะนำต้องปรึกษาใครสักคนบ้างนะลูก ไม่ต้องเป็นพ่อก็ได้ อาจจะเป็นเพื่อนหรือคนที่จันทร์ไว้ใจ”
“ผม...อยากปรึกษาพ่อ ตะ แต่ก็เริ่มไม่ถูก ละ แม่ก็อยู่ อาจจะไม่เข้าใจ”
“เราไปแวะร้านกาแฟแล้วคุยกันดีไหม? ความลับระหว่างจันทร์กับพ่อ ผู้ชายสองคน แมนๆคุยกัน?”
ผมรีบพยักหน้ารับ ผมไม่กล้าเล่าเรื่องเจิ้นที่บ้านเพราะแม่มักจะพูดเหมือนเจิ้นไม่อยากอยู่กับผม ผมก็คิดว่ามันอาจจะเป็นไปได้แต่มันก็บั่นทอนกำลังใจของผม ผมรู้ว่าแม่เป็นห่วง...แต่ความเป็นห่วงของผู้ใหญ่บางทีมันก็ทำให้เราลำบากใจ กับพ่อก็คงดีกว่าล่ะมั้ง
ร้านกาแฟเฟรนไชน์แถวบ้านไม่ค่อยมีคนเพราะยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน พ่อสั่งชาเขียวร้อนให้ผม หลังจากได้เครื่องดื่มผมก็พยายามอธิบายสิ่งที่ผมรู้สึกเท่าที่จะทำได้
“ก็ผมคิดว่าเขาสวย...แล้วเขาก็ทักเจิ้น เจิ้นไม่เคยบอกเลยว่ารู้จัก ทำไมเขารู้จักกันล่ะ แล้วทำไมต้องคุยกันเยอะแยะด้วย ผมไม่ชอบเลย แต่ผมก็ไม่ชอบตัวเอง มัน...มันเหมือนผมกลียดแพร พิมพิลา แต่คนไม่เคยเจอกันทำไมต้องเกลียดด้วย มันแย่มากๆ”
“อยากร้องไห้ก็ร้องมาเถอะลูก พ่ออยู่ตรงนี้นะ”
“ฮึก แล้วถ้าผมอยู่กับเจิ้นแบบนี้ ผมก็จะนิสัยไม่ดี ทั้งๆที่เจิ้นอยากให้ผมเป็นเด็กดี ฮือออ แย่มากๆเลย”
“จันทร์รักพี่เขาไหม? เจิ้นน่ะ”
คำถามที่มีคำตอบในใจแต่คิ้วของพ่อขมวดทำให้ผมไม่แน่ใจว่าพ่ออยากให้ผมตอบว่าอะไร
“เอาใหม่ พ่อจะถามคำถามจันทร์ ลูกก็ตอบมาตามตรงแล้วเราจะแก้ปัญหานี้ด้วยกัน จันทร์ต้องไม่โกหกนะลูกไม่งั้นพ่อก็ช่วยลูกไม่ได้”
พ่อคงมีวิธีทำให้ผมหายจากอาการที่เป็นอยู่ ผมอาจจะมีทางออกให้กับความไม่มั่นคงนี้ได้สักที แล้วผมก็คงจะได้กลับไปอยู่กับเจิ้นแบบที่เจ้าหลุมดำไม่ออกมาวุ่นวายอีก
“จันทร์อยากอยู่กับเจิ้นตลอดไปหรือเปล่า?”
“ครับ”
“จันทร์อยากให้พี่เขาแต่งงาน มีลูก หรือสนิทกับคนอื่นไหม?”
“มะ ไม่อยาก”
พ่อถามคำถามอีกหลายอย่าง แล้วยิ่งตอบผมก็ยิ่งเหมือนคนเห็นแก่ตัวที่หวงเจิ้นไม่อยากให้เจิ้นไปเจอคนอื่น แล้วมันก็ทำให้ผมรู้สึกละอายแก่ใจที่ปล่อยให้ตัวเองนิสัยไม่ดี พ่อเหมือนรู้ใจผม...หรือพ่อจะมองออกว่าลูกพ่อเป็นเด็กไม่ดีเลย
“ลูกของพ่อไม่ได้ทำอะไรไม่ดี แค่ลูกกำลัง...มีความรัก”
มื้อเย็นผ่านไปแบบล่องลอย พ่อบอกว่าผมกำลังมีความรักแต่พ่อไม่ได้อธิบายอะไรต่อบอกแค่ว่าให้ผมหายคิดมากได้แล้ว ผมมีความรักหรอ? รักใครล่ะ เจิ้นหรอ? เหมือนอะไรบางอย่างข้างในตัวเองระเบิดบึ้มแล้วหน้าก็ร้อนผ่าว
ก็...ก็รักกันอยู่แล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงมีความรักอีกล่ะ หรือว่ารักมากขึ้น? ผมรักเจิ้นมากขึ้นหรอ? โอยยทำไมแค่คิดใจก็เต้น ตึก ตึก ตึกแล้ว หรือถามเจิ้นดีไหม? ว่าผมรักเจิ้นมากขึ้นหรือเปล่า เจิ้นต้องรู้สึกสิว่ามันมากขึ้นหรือลดลงก็เจิ้นเป็นฝ่ายถูกรักนี่นา
ผมหยิบมือถือขึ้นมาอยากจะโทรหาเจิ้นแต่ก็ไม่กล้า มันแปลกๆหรือเปล่าถ้าถามไปว่าเจิ้นรู้สึกว่าผมรักเจิ้นไหม ต้องโดนถามแน่เลยว่าถามทำไม
ผมยังไม่แน่ใจเลย...ว่าสิ่งที่ผมรู้สึกมันรักขนาดไหน รักน้อยๆ หรือรักเยอะๆ ถ้ารักมากขึ้นนี่เมื่อก่อนแสดงว่ารักน้อยหรือเปล่า เมื่อก่อนผมรักเจิ้นนิดเดียวเองหรอ
“เฮ้อ...จันทร์ขอโทษนะเจิ้น จันทร์รักเจิ้นนิดเดียวเองอ่ะ แต่ตอนนี้รักเยอะๆแล้วนะ....”
กลายเป็นว่าตอนนี้ผมเครียดเรื่องผมรักเจิ้นน้อยไปแทน ถ้าเจิ้นรู้ว่าผมรักเจิ้นนิดเดียวเจิ้นต้องเสียใจแน่เลย ถึงตอนนี้จะเยอะแล้วแต่ว่ามันก็เพิ่งมาเยอะใช่ไหม? ถ้าเจิ้นรักผมนิดเดียวผมก็คงเสียใจเหมือนกันนะ ทำยังไงดี?
พ่อคงเห็นผมคิดไม่ตก ใจลอยเพราะมัวแต่จะคิดชดเชยความรู้สึกของเจิ้นเลยชวนผมไปทำงานด้วยกัน พ่อเป็นเลขาคุณปู่ ตอนนี้ปู่ไม่ทำงานที่ช่อฟ้าแล้วแต่ทำกิจการนำเข้าใบชาและมีร้านชาอยู่ในห้าง กิจการที่ทำเล่นๆแต่กลับมีลูกค้าประจำเป็นบ้านจีนหลายบ้าน
สำนักงานของบริษัทน้ำชาก็คือบ้านคุณปู่ เพราะมันไม่ยุ่งยากมากนักจึงมีพนักงานแค่สองคนคือพ่อกับพนักงานประสานงานที่ถนัดภาษาจีนอีกคน ผมเข้าไปช่วยพ่อก็เหมือนไปให้ปู่เลี้ยง คุณปู่เพิ่งกลับจากจีนได้ไม่นานเพราะช่วงนี้อากาศที่ประเทศจีนเริ่มหนาวและมีหิมะตก
หน้าที่หลักๆของผมก็คือกินข้าวกับคุณปู่ ให้คุณปู่สอนเล่นหมากล้อม ผมเล่นเป็นนะแต่เล่นไม่เก่งปู่เลยสอนเล่นใหม่ บอกว่าต้องฝึกเยอะๆจะได้ชนะเจิ้นบ้าง เฮ้อ... ชนะหมากล้อมเจิ้นนี่ยากกว่าให้ผมเรียนได้เกียรตินิยมอีกอ่ะ
การทำงานของผมอย่าเรียกว่าทำงานเลยเรียกว่าอยู่เป็นเพื่อนคุณปู่มากกว่า บางทีก็นั่งรถไปดูร้านชาของคุณปู่ด้วยกัน ลูกค้าหลายเจ้าก็เป็นเพื่อนคุณปู่มาสิบยี่สิบปีก็ซื้อทีเยอะๆปู่ก็จะไปส่งเอง ไปนั่งคุย เล่นหมากรุก ผมก็ติดสอยห้ามตามคุณปู่ไปวันละแห่งสองแห่ง คุณปู่ชวนผมทำนู่นทำนี่เต็มไปหมดรู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปอาทิตย์กว่า วันเปิดเทอมใกล้เข้ามาทุกที
สุดสัปดาห์ทั้งบ้านผม บ้านเจิ้นก็มารวมตัวกันกินข้าวแต่เจิ้นไม่ได้มาด้วยเพราะทำงานหนัก คุณพ่อเจิ้นก็เปรยๆว่าเจิ้นยังไม่หายดีแต่ก็เพราะมันสิ้นปีงานเลยยุ่งจนยังพักไม่ได้ คุณแม่เจิ้นก็กังวลว่าเจิ้นจะเข้าโรงพยาบาลอีกเพราะยาก็ไม่ยอมกิน
“ตั้งแต่คุณจันทร์ไม่มา เจิ้นกินข้าวไม่ค่อยได้เลยค่ะ เฮ้อ ป้าก็ไม่รู้จะทำยังไง”
ผมแอบโทรถามคุณป้าแม่บ้านก็ได้คำตอบมาแบบนี้ ทั้งๆที่ผมอยากจะไปช่วยทำอาหารกลางวันทุกวันแต่ผมก็ไม่ได้ไปเพราะมาอยู่กับคุณปู่
ความกังวลเรื่องเจิ้นทำให้ผมใจลอยไปทั้งวัน วันนี้คุณปู่ไปส่งชาเองเหมือนเดิม ร้านคุณปู่มีชาหลายชนิดมาก บางอย่างผมก็ไม่เคยเห็น ชาถุงสุดท้ายทำให้ผมแปลกใจนิดหน่อยเพราะมันเป็นแค่ถุงเล็กและมีกระป๋องเดียวจนไม่น่าจะต้องมาส่งเอง จนกระทั่ง...รถคุณปู่เลี้ยวเข้ามาที่ช่อฟ้า
ลานจอดรถที่ผมคุ้นเคย ทางเข้าตึกมีพนักงานต้อนรับในชุดยูนิฟอร์มยืนยกมือไหว้คุณปู่ ปกติถ้าผมกลับมาจะไม่ใช่ประตูหน้าแต่ขึ้นลิฟต์ข้างหลังลานจอดรถที่ขึ้นตรงไปชั้นบนสุดกับชั้นทำงานของเจิ้น
ผมไม่ได้คิดจริงๆนะว่าคุณปู่จะมาช่อฟ้า ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจจะมาเลยด้วยซ้ำ แถมเข้าประตูหน้าที่ทุกคนเห็นผมอีก จะมีคนไปบอกเจิ้นไหม ละ แล้ว จะได้เจอกันไหม?
มือที่หิ้วถุงชาของผมกำหูหิ้วแน่น ปู่แวะทักทายหลายคนที่เดินเข้ามาไหว้ส่วนมากก็จะเป็นระดับเมเนเจอร์ที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตาบ้าง เราไม่ได้ขึ้นไปชั้นทำงานของเจิ้นแต่แวะชั้นรองลงมาที่เป็นโซนผู้บริหาร ชั้นนี้ค่อนข้างเงียบสงบและแบ่งห้องไปตามตำแหน่ง ปู่แวะไปหาพ่อของเจิ้นก่อน ผมนั่งตัวเกร็งเมื่อบทสนทนาเปลี่ยนจากเรื่องงานไปเป็นเรื่องสุขภาพของเจิ้น
ถุงชาไม่ได้ถูกส่งให้พ่อเจิ้น ทั้งคู่คุยกันสักพักก็พาผมเดินไปที่ลิฟต์ เราไปชั้นที่ผมมาบ่อยๆ ทางเดินคุ้นตาที่นำไปสู่บริเวณโต๊ะยาวหน้าห้องของพี่ๆเลขา ผมอยากจะขอตัวไปรอที่อื่นแต่มันก็จะแปลกๆถ้าผมหนีหายไป ผมอาจจะขอไปเข้าห้องน้ำตอนที่ปู่กับคุณพ่อเจิ้นเข้าไปคุยกับเจิ้น...อาจจะแกล้งท้องเสียแล้วรอกลับบ้านทีเดียวเลย
“เจิ้นล่ะ?”
“ข้างในครับท่าน”
“เอ้ะ เหมือนปู่จะลืมแวะเจออีกคนนะ จันทร์ถือชาเข้าไปให้เจิ้นก่อนแล้วกันเดี๋ยวปู่มา ป่ะไปคุยงานก่อนค่อยมาดูเจิ้น”
ปู่เดินกลับไปกับคุณพ่อเจิ้นทิ้งผมไว้หน้าห้องกับถุงชาและพี่เลขาที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม แผนการของผมยังไม่ทันเริ่มก็พังไม่เป็นท่า ละ แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะ พี่เลขายิ้มให้ผมเหมือนทุกครั้งแต่ผมชักไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่...
“เอ่อ ฝากให้เจิ้น...”
“เห้ยเอ็ม เอาเอกสารไปให้บัญชีหน่อย เขาโทรมาเร่ง”
“ได้ๆ เดี๋ยวคุณจันทร์เชิญเลยนะครับเจิ้นคงไม่ว่าถ้าคุณจันทร์จะเข้าไป วันนี้งานยุ่งมากเลยครับ พี่นิวๆ อย่าลืมของแผนกจัดซื้อนะที่โทรมาตามแต่เช้าอ่ะครับ”
พี่ๆเลขาของเจิ้นทั้งสองคนถือเอกสารรีบเดินกันไปที่ลิฟต์ ส่วนพี่บอดี้การ์ดก็ลุกไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้เหลือผมกับถุงชาในมือ ผมพยายามจะแขวนถุงชาไว้ตรงลูกบิดประตูแต่สัญญาณโทรศัพท์พร้อมเสียงคุ้นเคยก็ดังออกมาจากโทรศัพท์ตั้งโต๊ะของพี่เลขา
“เอกสารที่ต้องเซ็นยกมาเลย เปลี่ยนชาด้วย”
ละ...แล้วผมจะต้องทำยังไง พี่ๆเลขาไม่อยู่สักคน พวกเขาเพิ่งเดินกันไปหมด
“ทำไมยังไม่ได้อีก?”
เสียงหงุดหงิดของเจิ้นดังมาจากโทรศัพท์อีกรอบ ผมพยายามมองหาเอกสารที่เจิ้นอยากได้แต่กองเอกสารเต็มโต๊ะก็มีสารพัดอย่างจนผมไม่แน่ใจ ส่วนชาต้องไปเปลี่ยนที่ไหนล่ะ
“ทำงานไม่ได้ ก็ลาออกไป!”
ผมสะดุ้งเมื่อประตูห้องเปิดออกออกมาจนถุงชาร่วงจากมือ กระป๋องด้านในกลิ้งออกมาจากถุงกระทบพื้นกระเบื้องจนเกิดเสียงกังวาล
“จะ จันทร์ไม่รู้ ไม่มีใครแล้ว คะ คือ จันทร์....จันทร์ไปตามให้นะ”
ผมตกใจมากแล้วก็ทำอะไรไม่ถูกลนลานไปหมด แต่เจิ้นโมโห ผมไม่เคยเห็นเจิ้นโมโหมานานมากแล้ว ละ แล้ว เขาก็ไม่เคยตะคอกใส่ด้วยถึงจะโมโห ขาผมวิ่งหนีโดยอัตโนมัติตั้งใจจะไปที่ลิฟต์ ถุงชาที่เหลือแต่ถุงเปล่าก็หิ้วติดมือมาด้วย ไม่เอาแล้ว เจิ้นไปเก็บกระป๋องชาเองแล้วกัน
“จันทร์ เดี๋ยวก่อน”
ตัวผมลอยกลับไปกระแทกตัวเจิ้น สองแขนและอ้อมกอดที่ผมคุ้นเคยรัดตัวผมแน่น หัวใจผมเต้นจนน่ากลัวว่ามันจะหลุดออกมา ความรู้สึกคิดถึงมหาศาลทำผมร้องไห้อีกแล้ว แค่เจิ้นกอดผมก็ร้องไห้โฮ เจิ้นจับผมหมุนตัวให้หันไปหา
“ขอโทษ ไม่อยากเจอพี่ใช่ไหม ไม่ร้องไห้นะ เดี๋ยวพี่กลับเข้าไปข้างในเอง”
หน้าของเจิ้นช่างเลือนลางเพราะผมร้องไห้เยอะแยะ เจิ้นขยับตัวออกจากผมทีละนิดจนกระทั่งเขาหันหลังไป ไม่ใช่แบบนี้นะ ไม่ได้ไม่อยากเจอ อย่าไปนะ
“ไม่ไปนะ ไม่ไป ฮือออ กลับมาหาจันทร์ก่อน”
ผมวิ่งไปกอดเจิ้นไว้ กอดแน่นมากด้วย แน่นกว่ากอดสินเชื่ออีกกลัวเจิ้นจะไม่รอ ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองทนไม่เจอเจิ้นไหวจนกระทั่งได้เห็นเจิ้น ได้กอดเจิ้น.... ผมคิดถึงเจิ้นเยอะมาก มากจนไม่เข้าใจว่าตัวเองทนไม่เจอเจิ้นนานๆแบบนี้ได้ยังไง
“จันทร์ปล่อยพี่ก่อน”
“ไม่ปล่อย ห้ามไปนะ ไม่ให้ไป”
อีกนิดผมก็แทบจะกระโดดเอาขารัดตัวเจิ้นไว้เป็นหมีโคอาล่า ยิ่งเจิ้นพยายามแกะตัวเองจากผมผมยิ่งเสียใจ เจิ้นไม่อยากอยู่กับผมแล้วหรอ
“ปล่อยก่อน...ขอพี่หันไปกอดจันทร์นะ แบบนี้กอดจันทร์ไม่ได้เลย”
ผมยังคงร้องไห้เหมือนคนเป็นบ้าแบบวันนั้น แต่คราวนี้ผมกอดคอเจิ้นแน่นไม่ยอมปล่อย เจิ้นพาผมมานั่งในห้องทำงาน แล้วผมก็เป็นบ้าอยู่บนตักเจิ้น
“ชู่ว ไม่ร้องแล้วครับ ไม่ได้ไปไหนนะอยู่กับจันทร์นี่ไง”
“ฮึก มันเลิกร้องไม่ได้”
“พี่คิดถึงจันทร์....คิดถึงจะเป็นบ้า”
กว่าผมจะหายร้องไห้ก็ไม่รู้มันเป็นชั่วโมงแบบคราวก่อนไหม แต่ผมเจ็บตาแล้วก็ปวดหัวไปหมด เจิ้นโอบเอวพาผมเดินออกจากห้อง พวกพี่เลขากลับมากันแล้ว แต่เจิ้นก็ไม่ได้จะเอาเอกสารที่อยากได้ตอนแรก เจิ้นพาผมไปข้างบนแทน
คุณป้าแม่บ้านดีใจมากที่ผมกับเจิ้นจะกินข้าวพร้อมกัน ผมรีบบอกเจิ้นว่าคุณปู่ก็มานะ เจิ้นโทรไปหาคุณปู่แต่ปรากฏว่าคุณปู่ไปกินข้าวข้างนอกกับคุณพ่อเจิ้นแล้ว เลยเหลือแค่ผมกับเจิ้นสองคน
หลังกินข้าวเจิ้นบังคับให้ผมกินยา คุณแม่บ้านเลยถือโอกาสบังคับเจิ้นอีกที ผมเลยได้ยื่นข้อเสนอถ้าเจิ้นไม่กินผมก็ไม่กิน เจิ้นปล่อยให้ผมนอนคนเดียวสักพักเพราะเขาต้องลงไปเคลียงานก่อน เกือบชั่วโมงเจิ้นถึงกลับมานอนกับผม
เราได้นอนกอดกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันหลายวัน ผมหลับง่ายมากเวลาที่เจิ้นกอด ตื่นมาอีกทีเจิ้นก็ยังนอนอยู่ข้างกัน เขาหลับสนิทจนอดไม่ได้ที่จะยกมือจิ้มจมูกโด่งเบาๆ แล้วแตะไปตามใบหน้าที่ผมไม่ได้เห็นมาหลายวัน
ทำไมมันร้อน...จะว่าไปอ้อมกอดเจิ้นมันก็อุ่นกว่าทุกที
ผมรีบแนบมือกับหน้าผากเจิ้น เจิ้นป่วย!
ผมกระซิบเรียกชื่อเขาเบาๆ เขาก็ยังไม่ตื่น ต้องลุกขึ้นนั่งเขย่าตัวเขาเจิ้นถึงลืมตา แต่ตาเจิ้นแดงก่ำแล้วไม่ได้ลุกทันทีเหมือนทุกครั้ง
“เดี๋ยวจันทร์มานะ”
มือคว้าสินเชื่อให้เจิ้นกอดแล้วรีบวิ่งไปเรียกคุณป้าแม่บ้าน ปรากฏว่าทั้งคุณปู่ พ่อเจิ้น แล้วก็พ่อผมกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่เก๋งด้านนอก คุณป้าแม่บ้านก็อยู่ด้วย
ผมวิ่งไปโวยวายว่าเจิ้นป่วย สติแตกไปหมด พ่อเจิ้นกับคุณป้าแม่บ้านรีบเข้าไปดู พ่อบอกให้ผมใจเย็นๆแล้วก็โทรหาหมอ คุณปู่บอกว่าเจิ้นจะไม่เป็นอะไรมาก คงจะเป็นหวัด ทุกคนดูไม่ตกใจเลย ผมกระวนกระวายอยู่สักพักอยากจะเข้าไปหาเจิ้นแต่คุณปู่ไม่ยอมกลัวผมจะติดไข้ เวลาเจิ้นป่วย หลายๆครั้งผมก็ติดไปด้วยแล้วก็จะเป็นหนักกว่าเจิ้นทุกทีก็เลยต้องแยกกันแบบนี้
คุณหมอมาถึงหลังจากโทรไปไม่นาน และเจิ้นน่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรจะไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้งให้แน่ชัด อาจจะต้องตรวจเลือดด้วยเผื่อเป็นอาการของอย่างอื่น และเจิ้นก็อาจจะแพร่เชื้อหวัดไปติดคนรอบข้างได้ ให้พักผ่อนงดทำงานหนึ่งอาทิตย์
เราเลยพากันไปโรงพยาบาลกันหมด เจิ้นบ่นว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่พ่อผมกลับบอกว่าจันทร์ก็ไม่สบายอาจจะติดจากเจิ้น เจิ้นเลยเลิกบ่นเพราะกลัวผมติดหวัดตัวเอง ปรากฏว่าผมเป็นไข้ธรรมดาไม่ได้เป็นหวัด แต่เจิ้นเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี เจิ้นโดนคุณปู่บังคับให้แอดมิด ส่วนผมก็ห้ามเฝ้าเจิ้นเพราะจะติดกันไปหมดให้กลับไปนอนบ้าน
“ผมใส่แมสตลอดแล้วอยู่เฝ้าเจิ้นไม่ได้หรอครับ”
“ไม่ได้ลูก เดี๋ยวติดพี่เขา จันทร์ค่อยมาเยี่ยมพร้อมคุณแม่ดีกว่า”
พ่อเจิ้นยิ้มใจดีเหมือนทุกครั้ง ตอนนี้ผมก็โดนจับใส่แมสแล้วแล้วก็ห้ามไปนั่งใกล้เตียงเจิ้นด้วย นั่งได้แค่ตรงโซฟา แต่นี่มันห้องวีไอพีของโรงพยาบาลนะ...เตียงคนป่วยของเจิ้นใหญ่เท่าเตียงที่บ้านเลย ถึงผมเขยิบไปใกล้ก็ใช่ว่าจะใกล้เจิ้นสักหน่อย
แต่คุณปู่กับหัวเราะอารมณ์ดีที่เห็นหน้ายุ่งยากของเจิ้น ส่วนพ่อผมก็ยิ้มๆไม่ได้พูดอะไร เจิ้นโดนเจาะสายน้ำเกลือแล้วก็มีวิตามินอะไรไม่รู้อีกอันแขวนคู่กัน
“จันทร์มานี่มา”
คุณปู่เรียกผมให้เข้าไปหาหลังจากเจิ้นใส่แมสเรียบร้อย ทุกคนไม่เห็นกลัวติดหวัดเลยทำไมต้องให้ผมระวังอยู่คนเดียวด้วยก็ไม่รู้
“ลาเจิ้นก่อนลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อพามาเยี่ยมเจิ้นกันใหม่”
เจิ้นเขยิบจากกลางเตียงมาหาผม แมสปิดไปครึ่งหน้าของเจิ้นทำให้ผมเห็นแค่ตาเขา เจิ้นดึงมือไปจับ ตอนนี้ผมไม่อยากอยู่คนละที่กับเจิ้นแล้ว ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับเจิ้นเยอะเลย
“หายป่วยไวๆนะ จันทร์รอ”
“กินข้าวเยอะๆ ไม่ร้องไห้แล้วนะ เดี๋ยวพี่โทรหา”
“จันทร์จะมาอีกพรุ่งนี้ มาแต่เช้าเลย เจิ้นห้ามดื้อกับคุณหมอนะ ต้องกินยาด้วย ห้ามทำงาน ต้องนอนนะเข้าใจไหม”
เจิ้นพยักหน้าต่างจากพวกผู้ใหญ่ที่พากันขำ ปู่ชวนผมกลับไปนอนที่บ้านใหญ่จะได้มาเยี่ยมเจิ้นพร้อมปู่ตอนเช้า พ่อเดินมาส่งผมย้ำให้ผมกินข้าวและกินยาจะได้หายไม่สบายไวๆ
ผมไม่ลืมโทรบอกคุณแม่บ้านให้พาสินเชื่อไปนอนกับเจิ้นด้วย เวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าในตอนที่เราอยากให้มันผ่านไปไวๆ ผมดูการ์ตูนจนเบื่อก็ยังไม่สามทุ่มเลย อยากรีบไปหาเจิ้นจัง...
“อาคุยกับจันทร์แล้วนะ”
หลังจากทุกคนกลับไป เลขามากประสบการณ์ก็กลับมาอีกครั้ง ท่าทางจริงจังกว่าทุกครั้งทำให้เจิ้นอดหวั่นเกรงไม่ได้ ถึงตามตำแหน่งเขาจะสูงกว่าแต่ประสบการณ์และความคิดหลายๆอย่างอาตองสามารถเป็นผู้บริหารระดับสูงของช่อฟ้าได้เลยด้วยซ้ำแต่เจ้าตัวพอใจแค่ตำแหน่งเลขาเท่านั้น
“ครับ”
“เจิ้นจริงจังกับน้องหรือเปล่า?”
“ผมคิดว่าอาตองรู้อยู่แล้ว”
“อาไม่ได้รังเกียจเจิ้น แต่อาคงต้องขอให้เจิ้นรอน้องก่อน ถึงยังไงน้องก็ยังเด็ก ให้เขาได้เห็นโลกกว่านี้อีกหน่อย ถ้าจะคบกันอาก็อยากให้เจ้าจันทร์อายุสักยี่สิบยี่สิบเอ็ดก่อน”
“อาหมายความว่า....?”
“อย่าเพิ่งเร่งรัดอะไรน้องจะได้ไหม? แค่เรื่องหึงนี่เจิ้นก็เห็น จันทร์ตกใจมากทั้งๆที่มันก็เรื่องปกติของการมีความรัก อาคงไม่โทษว่าเจิ้นเลี้ยงน้องมาไม่ดี เพราะจันทร์เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดีน้องถึงแยกแยะออกว่าการที่เขาอิจฉามันไม่ถูกต้อง อาขอบคุณมาก แต่จันทร์ต้องเรียนรู้การอยู่กับสังคมที่แตกต่างด้วย ตอนนี้จันทร์เขาเห็นเจิ้นเป็นโลกทั้งใบ พอมีเรื่องอะไรเข้ามาเขาก็กลัวไปหมด...เจิ้นเข้าใจใช่ไหม? ถ้าวันหนึ่งไม่มีเจิ้น ไม่มีอา ไม่มีคนอยู่กับเขา.... จันทร์จะอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้เลย”
“ผมเข้าใจครับ”
“ในฐานะพ่ออาไม่อยากให้จันทร์ใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ถ้าวันหนึ่งเขาต้องอยู่บนโลกนี้คนเดียว ถือว่าทำเพื่อจันทร์ อาเชื่อว่าถ้าระหว่างเจิ้นกับจันทร์มันเป็นความรัก ระยะเวลาอีกแค่ปีสองปีที่จะให้จันทร์โตขึ้น ความรักมันก็จะยังอยู่”
ไม่มีคำพูดที่จะใช้ต่อรองกับคนๆนี้ได้เลย ในฐานะคนที่ผ่านโลกมามากกว่าและในฐานะพ่อ เลขาของปู่พูดถูกต้องทุกอย่าง มีหลายเรื่องที่เจ้าจันทร์ไม่เข้าใจ มีคำถาม แต่คำตอบที่ได้มันก็ไม่ชัดเจนเพราะเขาเลี้ยงเจ้าจันทร์ให้อยู่ในโลกแห่งความฝัน โลกเสมือน ที่บางอย่างก็สวนทางกับความจริงเพียงเพื่ออยากจะให้เจ้าจันทร์มีความสุข
แต่คงเพราะความสุขมันมากมายเหลือเกินทำให้ความทุกข์ใจมันเจ็บปวดจนต้องหนีไปจากเขา...ภาพเจ้าจันทร์ร้องไห้แทบขาดใจมันฉายซ้ำวนเวียนราวกับฝันร้าย
สองมือที่มีอำนาจมากมายไม่อาจปกป้องพระจันทร์ดวงน้อยจากความเสียใจได้ทุกทางอย่างที่คิด โดยเฉพาะความเสียใจจากการไม่รู้ของตัวน้องเอง ความหึงหวงที่ไม่รู้จักทำให้เจ้าจันทร์โทษตัวเองว่านิสัยไม่ดี ซึ่งไม่ใช่...มันเป็นสิทธิ์ที่น้องพึงมีในตัวเขา เจ้าจันทร์จะหึง จะหวง จะห่วงก็ไม่ใช่ความผิด
แต่เพราะไม่รู้.... คงจะอย่างที่เพื่อนว่า เจ้าจันทร์ไม่ได้เข้าใจยาก แต่เขาต่างหากที่ไม่ชัดเจนเอง
“อย่าเลี้ยงน้องเหมือนเลี้ยงนก ที่วันหนึ่งเจ้าของไม่ให้อาหารมันก็จะตายในกรง จันทร์กำลังก้าวเดินทีละก้าว เจิ้นเดินนำน้องไปแล้วก็ให้เวลาน้องตามไปหน่อย อาเชื่อว่าสุดท้ายจันทร์ก็ต้องเดินไปหาเจิ้นอยู่ดี”
มันคงถึงเวลาที่เขาต้องหยุดรอ รอให้เจ้าจันทร์เดินตามให้ทันหลังจากนั้นมันจะได้ไม่ต้องมีคนเดินนำหรือเดินตาม เราจะได้เดินไปพร้อมกันสักที
“ขอบคุณครับอาตอง”
“ถึงวันนั้น...ค่อยเปลี่ยนมาเรียกพ่อตองแล้วกัน”
อาตองไปแล้วเหลือแต่เจิ้นที่ทอดมองวิวด้านนอกที่จัดเป็นสวนสวยสำหรับคนป่วยวีไอพี ความคิดไม่ได้อยู่กับผืนหญ้าและใบไม้แต่ล่องลอยไปหาพระจันทร์บนฟ้า คืนนี้ไม่ใช่คืนเดือนมืดแต่ก็พระจันทร์ก็ยังเป็นเสี้ยวแหว่งๆ... ทั้งๆที่พยายามมากขนาดนี้แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะเก็บพระจันทร์ไว้กับตัว ความจริงที่ว่าถ้าวันหนึ่งเขาตายไปแล้วเจ้าจันทร์จะอยู่ไม่ได้มันทำให้เขาเจ็บปวด...
ถ้าจันทร์ร้องไห้ใครจะเช็ดน้ำตาให้
ถ้าจันทร์หนาวใครจะกอด
ถ้าปวดท้องใครจะดูแล
ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ขนาดวันนี้เขายังป่วยจนเจ้าจันทร์ตกใจอีกแล้ว เจ้าจันทร์ขี้กลัวไปซะทุกอย่าง และที่น้องเป็นแบบนี้ก็เพราะตัวเขาเอง
มันคงถึงเวลาที่ต้องให้เจ้าจันทร์เริ่มเดินด้วยตัวเองบ้าง อาจจะไม่ต้องฝืนขนาดที่ปล่อยน้องไป แต่เขาต้องยอมตัดใจในบางเรื่อง จากที่เคย ‘เลือกให้’ อาจจะต้องเปลี่ยนไปให้เจ้าจันทร์ ‘เลือกเอง’
โลกของพี่กว้างกว่าของเจ้าจันทร์ แต่เจ้าจันทร์มีค่ากว่าทุกอย่าง
แต่โลกของเจ้าจันทร์ที่เคยมีแค่พี่....พี่ไม่มั่นใจว่าเจ้าจันทร์จะยังเลือกพี่เหมือนกันไหม
ทำไมนะ....ทำไมจันทร์ไม่เป็นแค่นกค๊อกคาเทล...มีชีวิตอยู่แค่ในกรง....ให้พี่ได้รัก
============
สงสารเจิ้นนนนนนนน แงแง... แต่ก็เป็นกำลังใจให้มูนนี่เติบโตอย่างมั่นคงนะ
ช่วงนี้เราอัพบ่อยมาก อันเนื่องมาจากปีหน้าเราจะงานยุ่งมาก แหะๆ ก็อาจจะเกิดปรากฏการดองนิยายแล้วเนอะ .. เนอะกับเราหน่อยเนอะ เนอะ เนอะ
เม้นให้กำลังใจตามกำลังศรัทธาด้วยน้า
ปล. สินเชื่อเป็นผู้หญิงนะคะ 5555+