Chapter 17 New Moon
“จันทร์มากินนมก่อน”
ผมรีบลุกไปกินนมที่คุณป้าแม่บ้านวางไว้ให้แล้วกลับไปนั่งดูการ์ตูน ตอนนี้ผมปิดเทอมแล้วเลยนอนดึกได้ ช่วงนี้มันเดือนธันวาเราเลยพอจะมีวันหยุดเยอะ เจิ้นจะพาผมไปเที่ยวกาญจนบุรี เราจะไปนอนแพ เล่นน้ำ ปั่นจักรยานกัน
ปิดเทอมคือช่วงเวลาที่ผมแฮปปี้มากๆ เพราะได้นอนกลิ้งไปกลิ้งมาไม่ต้องตื่นเช้าไปเรียน การบ้านก็ไม่มี นอนดึกก็ได้ ดูการ์ตูนก็ได้ ต่อกันดั้มก็ได้!!
แต่ผมก็ตื่นเช้ามาผูกเนคไทกับมัดผมให้เจิ้นนะแล้วค่อยไปนอนต่อ เจิ้นไม่มีวันหยุดเพราะเขาทำงานแล้วผมเลยทำงานพาร์ทไทม์เป็นพนักงานส่งข้าวกลางวันให้เจิ้นแลกกับกันดั้มตัวใหม่
มีโคนันตั้งหลายตอนที่ผมยังไม่ได้ดูทำให้ต้องรีบสปีดตามให้ทัน เจิ้นก็นอนดึกตามผมไปด้วย เรานั่งพิงกันดูการ์ตูนของผม เสียงหาวจากเจิ้นดังมาเป็นระยะ
“จันทร์ค่อยดูพรุ่งนี้ก็ได้ ไปนอนกัน”
เพราะว่าผมต้องตื่นไปเรียนเจิ้นก็เลยเข้านอนไวเป็นเพื่อนผม ถ้าวันไหนไม่มีงานดึกเราก็นอนก่อนสี่ทุ่มด้วยกันผมเลยไม่อยากนอนดึกเพราะเจิ้นยังต้องตื่นเช้าไปทำงาน แต่ไม่มีผมเจิ้นก็จะนอนไม่หลับเพราะเราต้องนอนกอดกัน
“อืม ป่ะ”
ผมจูงมือเจิ้นเข้าห้องนอน คุณป้าแม่บ้านเดินมาปิดไฟให้ หลังจากนอนให้เจิ้นกอดสักพักผมก็ชักจะง่วงตามไปด้วย นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง...วันนี้ผมนอนดึกจริงๆนั่นแหละ
“พี่ไปทำงานแล้วนะ”
“อื้อออ ตอนกลางวันจันทร์ถือข้าวไปให้นะ”
ผมยืนถือกระเป๋าให้เจิ้นอยู่หน้าลิฟต์ ตอนนี้ผมทำหน้าที่คนดูแลเจิ้นแลกกันดั้มก็เลยต้องตื่นมาส่งเจิ้นทุกเช้าเหมือนที่เจิ้นไปส่งผม เราตื่นสายกันกว่าปกติได้ตั้งหนึ่งชั่วโมงเพราะไม่ต้องนั่งรถไปมหาวิทยาลัย ปกติคุณป้าแม่บ้านจะถือกระเป๋าให้ผมจนลิฟต์มา ตอนนี้ผมเลยถือให้เจิ้นบ้าง
“ลิฟต์จะมาแล้ว...”
เจิ้นพูดลอยๆแต่ผมรู้ว่าเจิ้นอยากได้อะไร ผมมองซ้ายมองขวาคุณป้าแม่บ้านไม่อยู่เลยรีบเขย่งตัวขึ้นจุ้บปากเจิ้นหนึ่งที เราจุ้บกันทุกวันก่อนเจิ้นจะไปทำงาน
เจิ้นหัวเราะเบาๆ เขาอารมณ์ดีมากที่เห็นผมเขิน แขนเจิ้นโอบเอวผมจนกระทั่งลิฟต์มาถึงผละออกไป ส่งเจิ้นเสร็จผมก็ไปนอนต่อแล้วตื่นมาอีกทีสายๆช่วยคุณป้าแม่บ้านทำมื้อเที่ยง
ผมค้นพบว่าตัวเองชอบทำกับข้าว ทุกทีปิดเทอมผมต้องเรียนพิเศษเลยไม่เคยหัดทำกับข้าวมาก่อนจนกระทั่งเข้ามหาลัยไม่ต้องเรียนพิเศษแล้ว การเข้าครัวเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผมมีความสุข
ยิ่งพอช่วยคุณป้าแม่บ้านทำแล้วเจิ้นบอกว่าอร่อยผมดีใจมากกกกก มากเหมือนตัวเองทำเยอะแยะทั้งๆที่แค่ช่วยนิดหน่อย ผมเลยตั้งใจว่าจะหัดทำทุกวันอย่างจริงจัง
“ช่วงนี้เจิ้นกินข้าวเยอะ แสดงว่าฝีมือคุณจันทร์ต้องอร่อยแน่เลยค่ะ”
คุณป้าแม่บ้านบอกว่าเจิ้นชอบกินข้าวไม่หมด เขาเน้นกาแฟมากกว่าแต่พอผมถือลงไปให้ก็ยอมกินตรงเวลาแถมกินหมดสงสัยกินกับผมแล้วอร่อย
วันนี้ผมกับคุณป้าแม่บ้านจะทำซาซิมิ ข้าวปั้นและไข่ตุ๋นกัน เราสั่งชุดซาซิมิมาแล้วจากภัตรคารอาหารญี่ปุ่น แต่ไข่ตุ๋นกับข้าวปั้นผมอยากทำเอง คุณป้าแม่บ้านสอนหุงข้าวญี่ปุ่นสำหรับทำข้าวปั้น เราเลือกไส้ด้านในกันแบบที่เราชอบ ผมพยายามปั้นข้าวเป็นกลมๆ อันนี้ข้างในเป็นไส้หมูนึ่งซีอิ้วที่เจิ้นชอบแทนพวกปลาแซลมอนหรือไข่กุ้ง ส่วนไข่ตุ๋นเราใส่หมูสับเห็ดหอมแบบที่กินประจำแทนไข่ตุ๋นนิ่มๆแบบร้านอาหารญี่ปุ่น
ทุกวันผมกับคุณป้าแม่บ้านจะช่วยกันคิดว่าเราจะทำอะไรให้เจิ้นกินดี ผมว่าผมพอจะเข้าใจว่าทำไมคุณแม่บ้านมีความสุขกับการดูแลผมและเจิ้น เพราะเวลาเจิ้นชมว่าอร่อยผมเหมือนหัวใจติดปีก บิน พับ พับ ดีใจมากกกก
กว่าเราจะปั้นข้าวกันเสร็จก็เกือบเที่ยง จัดใส่กล่องแล้วแม้ข้าวปั้นผมจะไม่ค่อยเป็นสามเหลี่ยมสวยเหมือนของคุณป้าแม่บ้าน แต่ถึงจะเบี้ยวๆก็อร่อยนะ! รอคุณป้าแม่บ้านรินชาใส่กระติกเรียบร้อยเราก็ช่วยกันวางกล่องใส่ถุงผ้า คุณป้าแม่บ้านวางกล่องตะเกียบไว้ด้านบนเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
“เจิ้นจะชอบใช่ไหมครับ?”
“คุณจันทร์ตั้งใจทำขนาดนี้ เจิ้นไม่ชอบได้ยังไงล่ะคะ”
ผมมีกำลังใจขึ้นนิดหน่อย ลงลิฟต์มาชั้นเดียวก็ถึงชั้นทำงานของเจิ้นแล้ว โถงกระจกทางเดินกว้างๆมีห้องทำงานของเจิ้นที่ผมมาประจำ โต๊ะยาวของพี่เลขาและพี่บอดี้การ์ดตั้งอยู่หน้าห้อง ทั้งสี่คนเอ่ยทักทายผมเหมือนทุกวันก่อนพี่เลขาผู้ชายจะรีบเปิดประตูให้
“เจิ้นรออยู่แล้วครับ”
“ขอบคุณครับ”
เจิ้นยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงกระจกบานกว้างที่มองเห็นวิวกรุงเทพสุดลูกหูลูกตา เขาหันมายิ้มให้ผมก้าวเท้าเดินเข้ามาหาแล้วโอบเอวผมไปนั่งที่โซฟาด้วยกัน เจิ้นยังคุยติดพันแต่ก็ยึดตัวผมไว้กับตัวเองด้วยก็เลยถือโอกาศแอบงับหูเจิ้นเบาๆ เขาเลิกคิ้วมองผมยิ้มๆคุยอีกสักพักก็วางสาย
“น่ากินจัง”
“กินเลยๆ จันทร์ตั้งใจทำสุดๆ”
ข้าวปั้นเบี้ยวๆของผมถูกเจิ้นเลือกมาอันแรก ผมทำหน้าลุ้นจนเจิ้นขำเจิ้นกินข้าวปั้นจนหมดก็ชมว่าอร่อย โอ้ยมีความสุขจัง ผมพยายามนำเสนอไข่ตุ๋นของตัวเองให้เจิ้น เขาก็กินแล้วก็ชมว่าอร่อย
ส่วนปลาดิบอร่อยอยู่แล้วเพราะเราซื้อมาเจิ้นก็เลยเฉยๆ ผมกินจนอิ่มเจิ้นก็ยังนั่งกินไข่ตุ๋นต่อเพราะผมทำมาถ้วยใหญ่มากเลย เราจบมื้ออาหารด้วยชาคนละถ้วย
“เชฟมูนนี่ทำอาหารอร่อยขึ้นทุกวันเลย”
“เพราะว่าจันทร์ตั้งใจมากกกก”
“มูนนี่เด็กดี พี่จะอ้วนแล้ว”
“เจิ้นบอกว่าอ้วนๆน่ากอดไม่ใช่หรอ”
“ถ้าพี่อ้วน พี่จะเป็นผู้ชายน่ากอดของจันทร์ไหม?”
“ก็กอดทุกวันอยู่แล้ว”
ผมงุบงิบตอบแต่เจิ้นก็ได้ยินแหละ เขาหัวเราะอารมณ์ดีรวบเอวผมไปนั่งเกยตัวเขา ไหล่เราซ้อนกันมีเจิ้นยุบยับกับพุงผมอยู่เช่นเดิม เจิ้นชอบลูบพุงผมเวลากินอิ่มๆ เขาบอกมันนิ่มดีแรกๆผมก็งอน หลังๆชินแล้วเพราะผมชอบ
เราจุ้บกันอีกรอบก่อนผมจะถือกล่องข้าวกลับไปด้านบนตอนเกือบบ่าย เจิ้นเดินมาส่งที่ลิฟต์เหมือนทุกวัน ผมเคยถามคุณป้าแม่บ้านว่าทำไมไม่ให้เจิ้นมากินข้างบน มันแค่ชั้นเดียวเอง คำตอบคือบางทีเจิ้นก็ยุ่งจนไม่มีเวลากินข้าวนอกจากจะไปวางไว้ให้ถึงที่ ผมเลยดุเจิ้นแล้วบังคับว่าต้องกินกับผมทุกวันเป็นเวลา เจิ้นเลยให้ผมหน้าที่ดูแลเขาแลกกับกันดั้ม
สุดสัปดาห์เราก็ได้ไปเที่ยวกาญจนบุรีกัน ครั้งนี้เรามากันสองคนเจิ้นขับรถมาเองจากช่อฟ้า ส่วนผมนั่งกินแซนวิชที่คุณป้าแม่บ้านทำมาให้ ป้อนเจิ้นบ้างกินเองบ้าง เราแวะกันที่สะพานข้ามแม่น้ำแควก่อน เจิ้นหยิบหมวกแก้ปสีฟ้าที่บังคับผมให้เอามาด้วยขึ้นมาใส่ให้ ผมมีแว่นตากันแดดด้วยหนึ่งอันเหมือนกับเจิ้น
วันนี้เราใส่เสื้อสีฟ้าเหมือนกันเปี๊ยบเลย ผมเพิ่งไปซื้อมาจากห้างชิดลม รูดอย่างว่องไวด้วยบัตรเครดิตของเจิ้น วันนี้คนเยอะอยู่เหมือนกันแต่เพราะเรามาแต่เช้าผมก็เลยยังได้ถ่ายรูปแบบไม่ติดคนเยอะนัก
เราแวะอีกหลายที่จนกระทั่งเข้าที่พัก ในรูปว่าสวยแล้วแต่เอาเข้าจริงๆมันสวยกว่ามากๆ แพแต่ละหลังอยู่ห่างกันให้ความเป็นส่วนตัว ลมแรงๆพัดผ่านให้รู้สึกสดชื่น
เจิ้นจูงมือผมเดินตามพนักงานยกกระเป๋าไปที่แพ มันโคลงนิดหน่อย และเวิ้งน้ำที่เราอยู่ก็แอบน่ากลัวจนผมกังวลว่าแพเราจะหลุดลอยไปกับสายน้ำไหม
“ไม่ชอบหรอ?”
“จันทร์กลัว มันโคลง”
จริงๆคือมันแค่ขยับไปตามจังหวะน้ำนิดหน่อย แถมแพก็หลังใหญ่ด้วยแต่ผมก็กลัวอ่ะ เจิ้นโอบเอวผมเข้าไปกอดก่อนจะเอ่ยกับพนักงานว่าขอเปลี่ยนห้องเราเลยต้องเดินกลับไปเลือกกันใหม่
เจิ้นไม่โกรธผมสักนิดแต่เขาให้ผมช่วยเลือกบ้านที่เห็นวิวแม่น้ำแทน เราเลยได้อยู่บ้านที่อยู่สูงขึ้นไปตามไหล่เขา บ้านทรงสามเหลี่ยมที่ไม่หลังใหญ่เท่าแพที่จองไว้แต่ผมก็รู้สึกโอเคกว่าแม้จะต้องเดินเมื่อยหน่อย
“จันทร์ขอโทษนะ”
“ไม่ชอบก็ไม่ต้องฝืน พี่ไม่ได้อยากนอนแพขนาดนั้น แค่คิดว่าจันทร์อาจจะอยากนอนริมน้ำ ไม่กลัวแล้วนะครับ?”
“อื้อ ขอบคุณครับ วิวตรงนี้สวยจัง”
เราไม่ไปเดินเล่นดูวิวกันเพราะลมเดือนธันวาค่อนข้างเย็น เจิ้นเลยหยิบกระติกเก็บความร้อนที่คุณแม่บ้านใส่ชามาให้มานั่งดื่มชมวิวกันแทน
ตรงระเบียงมีโซฟาทำจากไม้สานขนาดพอนั่งสองคน เจิ้นหยิบผ้าห่มในห้องออกมาด้วย ผมเลยได้นอนซุกไหล่เจิ้น ฟังเขาพูดถึงวีรกรรมสมัยเด็กๆ เจิ้นเคยเป็นเด็กขี้โมโหทะเลาะต่อยตีอยู่พักหนึ่งก่อนจะรับผมมาอยู่ด้วย
“จันทร์เป็นสิ่งดีๆในชีวิตพี่”
“เจิ้นก็เป็นสิ่งดีๆในชีวิตจันทร์ ดีมากๆเลย”
“หึหึ มูนนี่เด็กดี”
ตอนบ่ายแก่ๆหลังจากนอนพักผ่อนกันไปหนึ่งตื่น เจิ้นพาผมไปพายเรือคายัค เขาช่วยผมใส่ชูชีพจนมั่นใจว่าถ้าเรือคว่ำผมจะไม่จมน้ำแน่ๆถึงยอมให้ผมลงเรือ เรามีไม้พายคนละอันแต่เจิ้นก็พายอยู่คนเดียวเพราะผมพายไม่เป็นแถมพายแล้วไม้พายไปตีกับไม้เจิ้นอีก
ผมไม่ลงเล่นน้ำถึงจะมีแขกคนอื่นๆเล่นกันอยู่ตรงโซนเครื่องเล่นในน้ำเพราะอากาศค่อนข้างหนาว เราเลือกปั่นจักรยานรอบๆรีสอร์ทแทน สลับกับถ่ายรูป หน้าผมกับเจิ้นอ้วนจนเต็มจอเวลาเซลฟี่แต่เราก็ขี้เกียจเกินกว่าจะขอให้คนอื่นถ่ายให้
รีสอร์ทที่นี่ทำอาหารอร่อยมาก เจิ้นสั่งปลาทอดน้ำปลา แกงจืด แล้วก็ยำวุ้นเส้นเผ็ดน้อย นานๆทีเราจะได้กินแบบนี้เพราะคุณแม่บ้านแทบจะไม่ทำอาหารรสจัด จริงๆเจิ้นจะสั่งพวกผัดหน่อไม้ฝรั่งแต่ผมอยากกินยำเพราะในรูปมันน่ากินมาก
ตอนกลางคืนทางรีสอร์ทจัดกิจกรรมแสดงประวัติการสร้างทางรถไฟสายมรณะ มีรถไฟวิ่งจริงๆจากไกลๆมีแสงสีเสียงด้วยแม้จะไม่มีนักแสดงแต่เป็นเสียงบรรยายกับภาพฉาย ผมนั่งพิงเจิ้นดูการแสดงด้วยความตื่นเต้นเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน มันมีเสียงเอฟเฟคระเบิดทำให้ผมสะดุ้งรีบซุกเจิ้น
“ชู่ว ไม่มีอะไรครับ”
เจิ้นลูบหลังผมเบาๆ ผมเขินที่ตัวเองขี้กลัวขี้ตกใจไปหมดแต่เจิ้นก็ไม่ว่าอะไรเลย ถ้าเขายิ้มหรือแซวผมคงหน้าร้อนทำตัวไม่ถูก แต่เจิ้นก็ไม่ทำให้ผมลำบากใจแบบนั้นสักครั้ง ลมเย็นๆทำให้ผมหนาวจนต้องกระซิบบอกเจิ้น ไม่กล้าเสียงดังมากกลัวจะรบกวนคนอื่น เจิ้นดึงมือผมไปกุมแล้วถูไปมา มือผมมันอุ่นขึ้นมานิดหน่อยแต่ที่อุ่นเยอะๆคงจะเป็นหัวใจผม
ผมนอนรอเจิ้นอาบน้ำอยู่บนเตียง สินเชื่อไม่ได้มาด้วยผมเลยรอกอดเจิ้น ไม่นานเขาก็ออกมาพร้อมกับปล่อยผมที่มัดไว้ลง เจิ้นสอดตัวเข้ามาในผ้าห่มดึงผมไปกอด แล้วเจ้ามารร้ายในตัวผมก็เริ่มแผลงฤทธิ์ ใบหน้าเจิ้นในระยะใกล้ไม่รู้ทำไมมันทำให้ผมอยากจะจูบ...
ผมอยากเอาเปรียบเจิ้นอีกแล้ว
นิ้วผมยกขึ้นแตะตามเรียวปากของเจิ้นเบาๆ เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วก็งับนิ้วผม ฟันขบเบาๆหยอกล้อมากกว่ากัดจริงจัง การกัดกลายเป็นกิจกรรมที่ผมกับเจิ้นชอบเล่นกัน ผมงับเจิ้นบ่อยๆ เจิ้นก็ชอบงับผม
“ซนแบบนี้ อยากโดนพี่งับใช่ไหม?”
ผมหัวเราะเพราะเจิ้นก้มหน้ามาซุกคอแล้วทำปากงับไปทั่ว มันจักจี้ไปหมด ช่วงนี้เจิ้นมือไวมากเผลอนิดเดียวก็ปลดกระดุมชุดนอนผมออกหมดแล้ว
“ฮื่อออ จันทร์หนาวนะ”
พลิกตัวหนีเจิ้นเขาก็ยังรวบเอวผมเข้าไปกอดแน่นอีก ก็อยากจะไม่พอใจแต่มันหุบยิ้มไม่ได้อ้ะ
“ไหล่ใครนะ?...น่ากัด”
ความชื้นแฉะแตะลงที่ไหล่ผม เสื้อมันหล่นไปกองที่ข้อศอกทำให้ไหล่ผมเปล่าเปลือยจนเจิ้นงับมันได้ เขาจูบ ดูด...แล้วก็กัดจนน่าจะทิ้งรอยไว้ที่ไหล่ผม
เจิ้นชอบทำให้ตัวผมมีรอยในวันหยุด.... แล้วผมก็ทำรอยแกล้งเขาคืน ผมเรียนรู้ที่จะเอาชนะเจิ้นบ้าง เขาชอบแกล้มผม กัดผม ผมก็ต้องเอาคืน และผมก็รู้สึกว่าเจิ้นชอบให้ผมกัดแถวกล้ามหน้าอกเขา ส่วนผม...ชอบให้เขากัดนม
มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่เจ้าฟีโรโมนกลิ่นนมของผมก็ทำให้เจิ้นยุบยับยุบยิบกัดนมผมบ่อยๆจนผมเคยชินที่จะโดนเขากัดเวลาเราไนท์แคร์กัน แล้วบางครั้งผมก็เผลอเรียกร้องเอง
ผมฝันเปียกบ่อยมากเดี๋ยวนี้ ยิ่งช่วงสอบที่เจิ้นงดเว้นไนท์แคร์ผมกลับตื่นมาเพราะความชื้นแฉะตรงกลางตัวบ่อยๆ ผมอยากจะร้องไห้เพราะว่าอายเจิ้นมาก แต่คืนก่อนสอบวิชาสุดท้ายเจิ้นก็ฝันเปียกเหมือนกัน เขาดึงมือผมไปแตะแล้วบอกว่ามันเรื่องธรรมดา
พอผมปิดเทอมเราเลยได้กลับมาไนท์แคร์กันเหมือนปกติ เจิ้นกัดนมผม ทำรอยฟันไปรอบๆจนผมหมดแรง เหมือนตอนนี้ที่กาญจนบุรี...เจิ้นก็ดึงผมไปกัดอีกแล้ว
เสียงดูดของเจิ้นทำผมหายใจไม่ออก มือเขายุบยับเป็นแมงยุบยิบ ผมเรียกชื่อเจิ้นแบบที่เขาชอบให้เรียก เรียกซ้ำๆจนผมหายใจไม่ออก จมน้ำ...และล่องลอย
“อ้าปากกินยาก่อน”
ผมตื่นมาพร้อมไข้อ่อนๆและมึนหัว ดีที่เจิ้นมีกล่องยาติดรถ ผมใช้สิทธิ์คนป่วยงอแงใส่เจิ้นเต็มพิกัด ได้ขี่หลังเจิ้นมาที่ห้องอาหาร มีเจิ้นป้อนข้าวด้วย เวลาเจิ้นเอาใจผมมันมีความสุขสุดๆเพราะเจิ้นยิ้มตลอดเวลาเลย ดูแลผมเสร็จเจิ้นถึงจัดการข้าวเช้าของตัวเอง เราตัดสินใจกลับกรุงเทพแทนที่จะไปน้ำตกเพราะผมป่วย แล้วคนที่ทำผมป่วยก็เจิ้นนั่นแหละ
“จันทร์ปวดหัวจัง”
ตัวผมน้วยย้วยไปหาเจิ้นอีกรอบ เขาโอบเอวผมยึดไว้ไม่ให้ร่วงลงไปกับพื้น เราเดินกันไปตามทางไปที่จอดรถ เจิ้นเอากระเป๋ามาเก็บไว้ก่อนแล้วตั้งแต่เช้า
“เดี๋ยวไปนอนต่อในรถ”
“จันทร์คิดถึงสินเชื่อ จะเอาสินเชื่ออออ”
ปวดหัว มึนไปหมด ตาก็ร้อนทำให้ผมอยากกอดสินเชื่อมากเลย เจิ้นคงเบื่อที่ผมน้วยไปน้วยมาไม่หยุดเลยอุ้มขึ้นแล้วรีบเดินไปที่รถ เจิ้นหยิบหมอนผ้าห่มมาให้ผมกอด ก่อนจะเอาอีกอันแกะเป็นผ้าห่มมาห่มให้ผม
“มูนนี่งอแง”
“ก็เจิ้นแกล้งอ่ะ กัดทำไมก็ไม่รู้”
“ใครกันแน่บอกให้พี่กัดแรงๆ?”
“ไม่ คุย ด้วย แล้ว!”
เจิ้นหัวเราะอารมณ์ดี ผมงอแงใส่เจิ้นตลอดตั้งแต่ออกจากรีสอร์ทพอเริ่มเหนื่อยก็เลยแค่จับมือเจิ้นไว้ เพลงสากลจากโทรศัพท์เล่นผ่านลำโพงรถไปเรื่อยเปื่อย เจิ้นฮัมเพลงเบาๆไปตลอดทาง
เจิ้นร้องเพลงเพี้ยนด้วยแหละ ก็ไม่ถึงกับแย่แต่มันก็ไม่ค่อยจะตรงคีย์เจิ้นเลยไม่เคยร้องเพลงในงานเลี้ยงบริษัทเลยเพราะเขาไม่ถนัด ผมหัวเราะฟังเจิ้นร้องเพลงเสียงเป็ด เขาก็หัวเราะคืน ผมดีใจที่เจิ้นไม่เขินกับผม ได้เห็นมุมที่ไม่ค่อยเท่ของเจิ้นบ้างอะไรบ้าง
เรากลับมากินข้าวเย็นที่กรุงเทพแต่วันนี้คุณป้าแม่บ้านลากลับบ้าน เจิ้นเลยพาแวะกินข้าวที่ชิดลมก่อน เราเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีห้องส่วนตัวร้านเดิม
“กินไอติมต่อได้ไหม จันทร์ โอ้ย”
“ว้าย”
เพราะผมเดินไม่มองทางตอนเดินออกมาจากห้องก็หันไปคุยกับเจิ้นด้านหลังเลยชนเข้ากับคนที่กำลังเดินไปห้องด้านในพอดี
“ขะ ขอโทษครับ อ้ะ!!”
“โอ้ยเจ็บ พี่จี้ช่วยแพรด้วย”
เส้นผมยาวเป็นลอนของผู้หญิงคนนั้นพันเข้ากับกระดุมเสื้อผม พอเราถอยห่างจากกันก็เลยยิ่งกระชากหัวเขา ผมหันไปมองเจิ้น เขาขมวดคิ้วมองเขิยเข้ามาช่วยคลายเส้นผมออกจากกระดุม
“นิ่งๆก่อนครับ”
เจิ้นขยับมาซ้อนหลังสองแขนสอดผ่านช่วงเอวผมไปแกะผมยุ่งที่พันกับกระดุมเสื้อ
“อื้อ/ค่ะ”
“หลุดแล้ว กระดุมเหมือนด้ายจะหลุดด้วยนะจันทร์ ไปให้ร้านดูก่อนแล้วค่อยกินไอติมนะ?”
ผมเงยหน้ามองเจิ้นก่อนเขาจะดึงตัวผมหลบกลับเข้ามาในห้องให้กลุ่มของอีกฝ่ายไปก่อน แต่ทางนั้นก็ไม่ได้เดินไปทันทีกับทำท่าเหมือนจะพูดอะไร
ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาคุ้นๆ ตัวเขาสูงเท่าผมแล้วก็มีผมดัดลอนสีสว่างยิ่งทำให้ตาโตๆคู่นั้นดูน่ารัก หน้าตาเหมือนตุ๊กตาเลย
“เอ่อ เจิ้นใช่ไหมคะ? แพรค่ะ แพร พิมพิลา”
“ครับ / อ้ะ!!!”
ดวงตากลมโตเปลี่ยนมาทางผม ความกังวลไร้สาเหตุก่อตัวเป็นก้อนพายุข้างใน แพร พิมพิลาตัวจริงอยู่ตรงหน้าผม! เขารู้จักเจิ้นด้วย ....แล้วทำไมแพร พิมพิลารู้จักเจิ้นล่ะ
“จันทร์ เป็นอะไรหืม”
ผมพยายามจะทำตัวปกติแต่เพราะผมจำได้ว่าตัวเองเคยคิดมาก่อนว่าแพร พิมพิลากับเจิ้นเหมาะกัน แต่ แต่.... แต่ผมก็ไม่อยากให้เขารู้จักกันจริงๆสักหน่อย
“ปะ เปล่า จันทร์ตกใจ”
“เอ่อ ขอโทษด้วยนะคะที่แพรเดินไม่ระวัง เลยวุ่นวายทางเจิ้นเลย”
ทำไมแพร พิมพิลาต้องยิ้มแล้วโลกสว่างไสวแบบนี้ด้วย ผมได้ยินเจิ้นตอบอะไรบางอย่างกลับแต่จับใจความไม่ได้แล้วเพราะตอนนี้ผมรู้สึก....มีหลุมดำขยับอยู่ข้างใน ทำไมต้องยิ้มให้เจิ้น ทำไมต้องคุยกันด้วย แล้วทำไมเจิ้นต้องคุยกับเขา ทำไมเขาไม่เดินไปสักที ฮึก....
“จันทร์!”
ภาพแพร พิมพิลาแทนที่ด้วยเจิ้น แต่มันไม่ชัดเอาซะเลย ผมมองหน้าเจิ้นได้ไม่ชัดเลย หัวใจผมเจ็บปวดทำไมมันหน่วงไปหมด ตัวร้ายในตัวผมมันกัดกินข้างในจนเหวอะหวะ
ผมร้องไห้เป็นชั่วโมงแม้แต่ตอนเรากลับมาถึงช่อฟ้าแล้ว ความเสียใจอะไรไม่รู้นักหนาทำร้ายผมจนเจ็บปวดไปหมด เจิ้นปลอบผมจนเลิกปลอบเขาแค่นอนกอดผมไว้จากด้านหลัง ปล่อยให้ผมกอดสินเชื่อร้องห่มร้องไห้จนรำคาญตัวเอง แต่มันก็ไม่หยุดเสียใจ ผมร้องไห้จนปวดหัวปวดตาไอ้น้ำตาบ้าๆนี่ก็ยังไม่เลิกหยุดออกมาสักที
“ไม่เอาแล้วจันทร์ พี่จะขาดใจแล้ว เลิกร้องนะคนดี”
สติแตกเป็นเศษแก้ว กระจายและบาดตัวเองจนเหวอะหวะ ผมอยากหนีไปจากอารมณ์แบบนี้ ผมดีลกับความเสียใจได้ไม่ดีเลย โดยเฉพาะเมื่อผมตอบเจิ้นไม่ได้ว่าผมร้องไห้ทำไม ผมแค่เสียใจที่เจิ้นคุยกับแพร พิมพิลา มันไร้เหตุผล งี่เง่า แต่ผมไม่อยากให้เจิ้นคุยกับใครเลย ไม่อยาก ทำไมต้องคุยกับคนอื่น
“พี่ยอมทุกอย่าง บอกพี่นะจันทร์ มูนนี่ของพี่ อยากได้อะไรครับหืม...”
ไม่รู้เวลาผ่านไปนอนแค่ไหนแต่สุดท้ายมันก็ไม่มีน้ำตาออกมาแล้ว คงร้องจนหมดตัวแบบที่ร่างกายไม่สามารถรีดน้ำออกมาได้อีก มันเหนื่อยและหมดแรงไปหมด อ้อมกอดเจิ้นยังคงอบอุ่น เสื้อของเขาชื้นแฉะไปด้วยน้ำตามหาศาลของผม
“จะ จันทร์.... จันทร์เกลียด...เกลียดตัวเอง จันทร์น่าเกลียด นิสัยไม่ดี”
“ชู่วว ไม่จริงเลย มูนนี่ของพี่น่ารัก... น่ารักกว่าสินเชื่อ น่ารักกว่าหลักทรัพย์ มากกว่าออมทรัพย์ มากกว่าทุกอย่าง ไม่น่าเกลียดแม้แต่นิดเดียว”
“ข้างในจันทร์...มีหลุมดำ....จันทร์พยายามแล้วมันไม่หาย มันเจ็บปวด”
“จันทร์....”
“จันทร์ขอกลับบ้านได้ไหม...จันทร์....ขอหนีก่อนได้ไหม มันไม่ไหวแล้ว ขอกลับบ้านนะเจิ้น ให้จันทร์กลับนะ”
เสียงผมอ่อนระโหยโรยแรงเหมือนต้นไม้ขาดน้ำ แต่ผมหายใจไม่ออกแล้ว ในหัวมันตีกันไปหมด ในตัวผมก็มีตัวร้ายกัดกินเป็นตัวตะกละ ผมแค่...อยากจะไปตั้งหลักก่อน ความเสียใจมันบดบังเหตุผลที่ควรจะมีไปหมดจนผมเกลียดตัวเอง
พ่ออาจจะช่วยได้....ผมบอกเจิ้นไม่ได้แต่ผมอาจจะอยากบอกพ่อ ผมต้องบอกใครสักคนมันทนไม่ไหวแล้ว ผมมีความลับอยู่ในตัวหลายเรื่องเกินไป สตอกความลับของผมมันคงห้องเล็กไปหน่อยจนไม่สามารถบรรจุอะไรได้อีก
“พี่ไปส่งนะ...ถ้าไปส่งสัญญากันก่อนว่าจะไม่ร้องไห้ อย่าร้องไห้ในที่ๆพี่ปลอบไม่ได้ อย่าเสียใจในตอนที่พี่ไม่อยู่ อย่าร้องไห้คนเดียวเข้าใจไหม...อย่าทำแบบนั้น”
เจิ้นดึงมือผมไปแตะที่อกด้านซ้าย หัวใจของเจิ้นเต้นแรงไม่ต่างจากผม ใบหน้าของเจิ้นหม่นหมองไม่ต่างจากผมเท่าไหร่แค่เขาไม่ได้ร้องไห้ เจิ้นเม้มปากแน่นมือเขาที่กุมมือผมมันสั่นไหว
“จันทร์...จะรีบกลับมา”
“โทรหาพี่ แล้วพี่จะไปรับ อย่าไปนานนะจันทร์....ไม่มีจันทร์พี่จะอยู่ยังไง”
แม่ดูแปลกใจที่ผมมาดึกดื่น พ่อเองก็ไม่ต่างกันแต่พอเห็นตาบวมช้ำกับสินเชื่อในอ้อมแขนพ่อก็ไม่ได้ถามอะไรแค่บอกให้แม่พาผมไปนอน ผมหันมองเจิ้นเป็นครั้งสุดท้าย ผมไม่ได้อยากอยู่ห่างเจิ้นแต่เจ้าตัวหลุมดำมันชักจะเอาใหญ่ ผมกำลังนิสัยไม่ดี....ผมต้องหาวิธีจัดการมันก่อน
“เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
“ผมไม่รู้เลยครับ ทุกอย่างก็ปกติจนตอนเรากินข้าวเสร็จจันทร์ก็ร้องไห้ ร้องจนผมไม่รู้จะทำยังไงเพิ่งจะหยุดก่อนพามาส่ง เขาขอกลับบ้าน”
สายตาคนเจนโลกมองเด็กผู้ชายตัวเล็กในความทรงจำทำหน้าเครียดแล้วก็ถอนหายใจ
“น้องขี้น้อยใจ ขี้กลัว อะไรนิดหน่อยก็ร้องไห้ ไปเจอเหตุการณ์อะไรไม่ดีหรือทำให้เขาตกใจหรือเปล่า?”
ถึงจะโตมากับเยว่แต่จันทร์ก็ยังเป็นลูกเขา ทำไมจะไม่รู้ว่านิสัยลูกเป็นแบบไหน มีเรื่องไม่ถูกใจก็ร้องไห้ นิดหน่อยก็งอแง แถมโตมาเป็นเจ้าหนูของสองบ้านเลยยิ่งมีแต่คนตามใจ อ้อนเก่งก็ที่หนึ่ง เด็กวัยรุ่นคนอื่นไปถึงไหนต่อไหนลูกชายของเขาก็ยังเป็นเด็กเสมอต้นเสมอปลาย
“เราบังเอิญเจอแพร พิมพิลา ผมเขามาติดกระดุมจันทร์ ก็ทักทายนิดหน่อยแต่อยู่ๆจันทร์ก็ร้องไห้ออกมา”
“น้องหึงหรือเปล่า?”
เจิ้นชะงักสบตาคนแก่วัยกว่าด้วยความพิศวง แต่สีหน้าของเลขาคนสนิทของปู่ก็ไม่ได้ล้อเล่น เจิ้นประมวลเหตุการณ์ที่เจอแพร พิมพิลาก็ไม่มีตอนไหนที่จะทำให้หึงได้ด้วยซ้ำ แถมจันทร์ก็ยังอยู่ตลอด
“ผมไม่แน่ใจ เขาบอกว่ามีหลุมดำอยู่ข้างในตัวเขา ผมไม่รู้ต้องทำยังไง...จันทร์ไม่พูดอะไรสักอย่าง”
“จันทร์อาจจะไม่เข้าใจว่าตัวเองรู้สึกยังไง เดี๋ยวอาจะลองคุยให้ เจิ้นก็กลับไปพักผ่อนก่อนน้องคงตกใจ”
“แล้วถ้าจันทร์หึงผมกับแพร พิมพิลาจริงๆ?”
“อาคงต้องขอน้องคืน....น้องยังเด็กและยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทุกอย่างเขาตัดสินใจได้ด้วยตัวเองไม่ดีพอ เขาอาจจะไม่ได้หึงแต่หวงพี่ชายคนเดียวของเขาขึ้นมา หรือเขาอาจจะแค่น้อยใจที่เจิ้นให้ความสนใจคนอื่นมากกว่าตัวเอง อาจะคุยกับจันทร์อีกที จนกว่าจะแน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็แยกกันอยู่ไปก่อน”
“ผมรักจันทร์ครับ”
“อารู้... แต่จันทร์รักเจิ้นไหม? โลกของน้อยมีแต่เจิ้นมาตลอด น้องอาจจะแค่หลง หรือ หวง หรือมันอาจจะไม่เกี่ยวกับอะไรพวกนี้เลยก็ได้ รอมาได้เป็นสิบปีก็รอต่ออีกหน่อยเถอะ อาไม่ได้รังเกียจเจิ้น แต่เราต้องทำให้มันถูกต้อง ซึ่งความถูกต้องมันอาจจะไม่ถูกใจ”
เจิ้นพยักหน้ารับก่อนจะขับรถออกมา มองมือตัวเองที่กำพวงมาลัยแน่น มันสั่นจนกลัวว่าจะขับต่อไปไม่ไหวถ้าไม่กำพวงมาลัยแน่นๆแบบนี้ ความพยายามที่จะเป็นทุกอย่างของจันทร์ของเขาเริ่มมีตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้.... ตัวเจ้าจันทร์เอง
ท้องฟ้าคืนนี้เป็นคืนเดือนดับ...พระจันทร์ของเขาหายไป...หอคอยช่อฟ้าอ้างว้างราวกับถูกม่านหมอกขมุกขมัวปกคลุม
บุหรี่ที่ไม่ได้สูบมานานและเก็บไว้ให้ห่างไกลสายตาคนน้องถูกนำออกมาจุดไฟ เหล้าที่แตะน้อยครั้งรินใส่แก้วครั้งแล้วครั้งเล่า มีเสียงค็อกคาเทลสองตัวร้องเบาๆอยู่เป็นเพื่อน
======================================
ปัญหาที่เกิดมันแทบไม่มีอะไรเลย แต่เพราะเจิ้นเลี้ยงจันทร์มาแบบให้น้องไม่เข้าใจว่าตัวเองรู้สึกยังไงทำให้มูนนี่หึงแบบไม่รู้ว่าตัวเองหึง มูนนี่โตขึ้นทุกวัน น้องเริ่มรู้สึกมากขึ้นแต่เพราะไม่เข้าใจก็เลยแสดงออกมาตามที่ตัวเองรู้สึก เสียใจมากก็ร้องไห้ หึงก็คิดว่าตัวเองมีหลุมดำอยู่ข้างใน พอคิดตามเหตุผลที่ตัวเองเข้าใจก็โกรธตัวเองที่งี่เง่า ย้อนแย้งไปมา
เจิ้นก็ต้องอดทนนะคำ ปั้นมาแบบนี้เอง 5555+ ส่วนคุณพ่อตองก็คูลๆเหมือนเดิม
มูนนี่สู้ๆนะลูกกกกก ฮือออออออออ
ปล. ขอบคุณทุกคอมเม้น ทุกรีวิวในเพจ ในกรุ้ป ในทวิตด้วยนะคะ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ดีใจมากกกกกกกก