SeeeDz ที่ 6
หลังจากที่สอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ผมก็รีบโทรไปบอกน้อยด้วยความดีใจและโล่งใจ แต่ทว่าสิ่งที่ผมได้รับกลับมาคือการขอบอกเลิก น้อยบอกว่าเวลาของเราสองคนดูจะไม่เคยตรงกันเลย ก่อนหน้าที่เราจะตกลงคบกัน เราเคยอยู่ในสถานะของคำว่าเพื่อนมาก่อน และแบบนั้นมันอาจจะลงตัวสำหรับเราที่สุดแล้วก็เป็นได้ ผมรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าลงที่กลางอก ผมไม่รู้ว่าน้อยคิดเรื่องนี้มานานแค่ไหนแล้ว ทุกอย่างมันดูกะทันหันเกินไปจนผมเกือบรับไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาบอกผมก็เป็นความจริงทุกอย่าง ที่ผ่านผมไม่ค่อยมีเวลาให้น้อยเลย ในเดือนหนึ่งเราได้เจอกันอยู่แค่ไม่กี่ครั้ง และถ้าหากผมถามความรู้สึกของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา... ถึงจะเสียใจ แต่ผมก็ยอมรับว่าที่ผ่านมา ผมเองก็ใช่ว่าจะจริงจังกับน้อยเท่าไหร่นัก เราคงป็นแค่คนสองคนที่เคยใช้เวลาอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขดี แต่ในเมื่อตอนนี้เราไม่ค่อยได้เจอกัน ความสุขมันก็ย่อมลดลงไปเป็นธรรมดา เหลือแค่เพียงช่องว่างที่ใหญ่ขึ้นทุกทีๆ ดังนั้นผมจึงจำต้องยอมรับความจริงว่าการตัดสินใจเลิกกันเสียตั้งแต่ตอนนี้ ตอนที่เรายังมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน ยังคงเป็นเพื่อนกันได้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
เอาน่ะ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้บอกเลิกกับผมด้วยเหตุผลว่าเขามีคนใหม่แล้ว หรือผมจับได้ว่าเขากำลังแอบคุยแอบหรือคบกับใครอยู่เหมือนแฟนคนก่อนๆ ที่เคยทำกับผมมาก็พอ และผมเชื่อว่าหลังจากนี้ เราก็จะยังคงสามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้อย่างแน่นอน
ผมเล่าเรื่องนี้ให้นะฟังในระหว่างที่เรากำลังกินข้าวเย็นด้วยกันอยู่ และสิ่งที่เขาถามผมกลับมาเป็นประโยคแรกก็ทำให้ผมรู้สึกประทับใจในความคิดของเขาทันที
“แล้วแบบนี้มันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีวะ”
พอได้ยินคำถามนี้ของเขาเข้าไปแล้ว ผมก็คิดขึ้นได้ว่าปกติ เวลาคนอื่นได้ยินว่าเพื่อนของตัวเองเพิ่งเลิกกับแฟน ก็คงจะทึกทักไปว่าเพื่อนต้องเศร้า ต้องเครียด มันคือเรื่องไม่ดีที่เพื่อนต้องเผชิญ แล้วก็คงจะใช้คำพูดปลอบใจประมาณว่า ‘เอาน่ามึง ใจเย็นๆ ไว้ก่อน มีอะไรค่อยคุยกันดีกว่ามั้ย’ หรือ ‘มึงแน่ใจแล้วเหรอวะ’ หรือไม่ก็ ‘ช่างแม่งเว้ย ผู้หญิงคนเดียว อย่าไปแคร์แม่งมากเลย’ แต่นี่นะกลับคำนึงถึงความรู้สึกจริงๆ ของผมมากกว่าที่จะคิดไปเองว่ามันต้องเป็นเรื่องไม่ดีสำหรับผม ผมต้องรู้สึกแย่ หรืออะไรพวกนั้น
ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กูว่ามันก็คงเป็นเรื่องดีนะ”
“แล้วมึงเสียใจมั้ย”
ผมต้องลองคิดดูอีกครั้ง “...ก็คงมีบ้างว่ะ แต่ก็ไม่มากนะ แค่รู้สึกช็อคๆ อะว่ะ คือกูก็รู้สึกดีกับน้อยจริงๆ เราเองก็คบกันได้ค่อนข้างดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอมาเจอแบบนี้ มันก็เลยอึ้งๆ น่ะ”
“แล้วน้อยล่ะ เสียใจมั้ยวะ ร้องไห้หรืออะไรรึเปล่า”
“ไม่อะ ไม่เลย เราเลิกกันด้วยดีว่ะ นี่แหละมั้งที่ทำให้กูรู้สึกว่ากูไม่เสียใจมาก เพราะเราก็จะยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเหมือนเดิม จะยังคุยกันต่อไป แต่ที่กูรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ คือกูไม่รู้เลยว่าเค้าคิดเรื่องนี้มานานแค่ไหนแล้ว กูรู้สึกผิดที่กูทำให้เค้าต้องเหงา ต้องน้อยใจ ที่กูไม่มีเวลาให้มาตั้งนานอะว่ะ”
เขาพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะยิ้มออกมาน้อยๆ อย่างเข้าใจ แม้แต่ดวงตาของเขาก็ยังดูอ่อนโยนกว่าปกติเลยด้วย
“มึงจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอวะ ไอ้นะ” ผมถาม
“อ้าว กูต้องพูดอะไรด้วยเหรอวะ” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ
“เปล่า ก็ถ้าเป็นคนอื่น ปกติแล้วแม่งก็คงจะถามรายละเอียดนั่นนี่ ต้องปลอบใจ หรือไม่ก็พูดอะไรประมาณว่า ‘ไม่เป็นไรนะมึง สู้ๆ น่า’ หรืออะไรพวกนั้นปะวะ”
“แต่มึงก็สู้ไหวอยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ กูดูเหมือนมึงก็โอเคกับการตัดสินใจครั้งนี้ดีนี่หว่า”
“ก็ใช่...”
“แล้วกูก็คงไม่จำเป็นต้องบอกเนอะ ว่ามึงยังมีกูอยู่ตรงนี้ทั้งคน เพราะถ้ามึงไม่คิดแบบนั้น ไม่รู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว มึงก็คงไม่โทรตามกูออกมากินข้าวด้วยแล้วเล่าเรื่องนี้ให้กูฟัง ใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่...”
“ก็แค่นั้นแหละ” เขายกแขนขึ้นตบบ่าผมเบาๆ “กูเชื่อในตัวมึงเว้ย ถ้ามึงพูดว่าไหว กูก็เชื่อว่ามึงไหว ถ้ามึงพูดว่ามึงเสียใจ กูก็จะเป็นกำลังใจให้จนกว่ามึงจะผ่านมันไปได้ เพราะฉะนั้นหลังจากนี้ไม่ว่าเป็นยังไง หรือเกิดอะไรขึ้น มึงรู้ไว้เลยว่ากำลังใจที่กูมีให้มึงมาตลอดน่ะ มันอยู่ในใจของมึงเองนั่นแหละ”
ผมมองหน้าเขาแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ “ขอบใจว่ะ ไอ้นะ”
“ขอบใจทำไมวะ กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย กูมันไม่ใช่คนที่จะปลอบใจใครพร่ำเพรื่อ หรือให้กำลังใจแบบเข้าข้างเพื่อนจนไม่มองความเป็นจริงซะด้วยสิ และสำหรับเรื่องนี้ กูก็เห็นว่ามึงดูโอเคดีนี่หว่า กูคิดว่ามึงตัดสินใจได้ถูกแล้ว ไม่จำเป็นต้องบิวท์อารมณ์ซึ้ง เศร้า เหงา หรือเสียดายอะไรให้มันมากความ จริงมั้ย”
“เออ ก็จริงของมึง”
“แล้วกูก็คงไม่ต้องถามรายละเอียดอะไรอีกแล้วด้วย เพราะเท่าที่มึงพูดมามันก็พอแล้ว”
“ก็คงงั้นอะว่ะ”
“ที่สำคัญ มึงคงไม่อยากได้ยินกูกล่าวโทษน้อยหรือว่าอะไรน้อยที่เค้าบอกเลิกมึงหรอก ใช่ปะล่ะ กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนแบบนั้น กูเองก็ไม่ใช่คนแบบนั้น และที่สำคัญ เรื่องนี้ก็ไม่มีใครทำอะไรผิดถึงสมควรจะถูกต่อว่านี่หว่า มึงเองก็ไม่ผิดที่ไม่มีเวลา มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ ทุกอย่างมันก็แค่นั้นแหละ”
“ใช่ มึงพูดถูก” ผมพยักหน้า “ขอบใจว่ะ ไอ้นะ ขอบใจจริงๆ”
“พอๆๆ ไม่ต้องมาทำซึ้ง ไอ้ตี๋เล็ก ไอ้เถ้าแก่น้อย ไอ้ซิลิโกะ แดกๆ ข้าวเข้าไป มื้อนี้กูเลี้ยงเอง”
“ค้าบบบ พ่อออ! ไอ้ล่ำ ไอ้ดำ ไอ้กล้ามโต!”
“ฮ่าๆๆ กูดำเหรอวะ”
“ไม่รู้อะ ใครดำกว่ากู กูมีสิทธิ์ด่ามันว่า ‘ไอ้ดำ’ หมด” ผมยกส้อมขึ้นชี้หน้าเขา จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่เบาลงเล็กน้อย “และที่สำคัญ... ครวยมึงก็ดำด้วย”
นะหน้าแดงแป๊ดทันที นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมเห็นเขาเขินขนาดนี้
“ไอ้หน้าหำ!” เขาหยิบส้อมของตัวเองขึ้นปัดส้อมของผมออก “แดกๆ เข้าไปเลย ไอ้สัตว์! และที่สำคัญ มึงนี่ชอบเอาส้อมชี้หน้ากูจังนะ เดี๋ยวเหอะมึงงงง! ระวังเหอะ สักวันกูจะเอาตะเกียบแยงจมูกมึงให้ดู!”
“กลัวตายห่าแหละ!” ผมหัวเราะ
“ตกลงว่าพรุ่งนี้มึงยังจะไปทะเลด้วยกันอยู่มั้ย ไอ้ตี๋”
“ไปดิ แต่กูต้องไปคนเดียวแล้วนะ ไม่มีเมียให้หนีบไปนอนกกแล้ว” ผมเบะปาก
“ฮ่าๆๆ สงสัยมึงคงได้กลับมาใช้บริการแม่นางทั้งห้าไปอีกสักพักแล้วล่ะมั้ง”
“กูเบื่อออออ” ผมส่ายหน้าเบาๆ แล้วจู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องที่เราเพิ่งทำด้วยกันเมื่อวันก่อนขึ้นมา ทำให้ผมรู้สึกเขินขึ้นเล็กน้อย และนะเองก็ดูจะรู้แล้วว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะว่าเขาเองก็มีท่าทีเขินๆ ด้วยเหมือนกัน เราสบตากันครู่สั้นๆ ก่อนจะต่างฝ่ายต่างหลบตาของกันและกัน
“มึง... มึงรู้สึกผิดหรือรู้สึกไม่ดีรึเปล่าวะ ไอ้ซี” เขาถามเสียงอ่อยๆ “กูหมายถึงเรื่องนั้นอะ”
“ไม่เว้ย กูเคยบอกแล้วไงว่ากูไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเลย มึงอย่าคิดมากน่า”
“กูไม่ได้คิดมากหรอก กูแค่... แค่เกรงใจมึง”
“เหอออ เกรงใจอะไรวะ”
“ไม่รู้ว่ะ บอกไม่ถูกเหมือนกัน” เขาหัวเราะแหะๆ “ทีมึงเองยังจู่ๆ หน้าแดงขึ้นได้เลย แล้วทำไมกูจะคิดแบบนั้นไม่ได้วะ”
“ที่กูหน้าแดงมันไม่ใช่เพราะว่ากูเกรงใจเว้ย แต่กู...!” ผมชะงักไป
“มึงทำไม” เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
“กู... กู...” ผมคิดว่าตัวเองคงจะหน้าแดงยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้อีกแน่ๆ “กูแค่เขินๆ มึงเว้ย! พอใจยัง!”
นะหัวเราะชอบใจทันที “ฮ่าๆๆๆ คนอย่างมึงเนี่ยนะรู้จักเขินเป็นกับเค้าด้วย!”
“ถ้ามึงไม่หยุดหัวเราะนะ กูเอาส้อมจิ้มตาแตกแน่!”
หลังจากมื้อเย็น นะก็กลับไปเก็บสัมภาระสำหรับไปเที่ยวทะเลที่หอ แล้วจากนั้นก็ไปนั่งดื่มเบียร์และดูหนังที่ห้องของผมต่อ คืนนั้นเขานอนค้างกับผม แต่เราก็ไม่ได้ทำอะไรกัน หลังจากที่เราปิดไฟเข้านอนแล้ว ผมเกิดคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งนั้นแล้วก็รู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมา แต่โชคดีที่เขาคงไม่ทันสังเกต เพราะว่าเรานอนอยู่ค่อนข้างห่างกันพอสมควร
เช้าวันต่อมา นะปลุกผมขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่หกโมงเพื่อให้ลุกไปอาบน้ำแต่งตัว ส่วนเขาก็ขี่รถกลับไปที่หอเพื่อรอรับกิ๊กที่จะมาถึงในตอนเจ็ดโมงเช้า และพอแปดโมง พวกเราก็ไปรวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยใต้ตึกคณะวิศวะ
เราขับรถไปกันทั้งหมดสองคัน ผม กิ๊ก และนะนั่งไปกับเพื่อนที่ชื่อต้อง ส่วนรถอีกคันมีเพื่อนของนะอีกสามคน ได้แก่ จ๊อบ หนู และเปรียว สรุปทริปนี้เราไปกันทั้งหมดเจ็ดคน เป็นผู้ชายเสียสี่คน และผู้หญิงสามคน ซึ่งผมต่างก็รู้จักพวกมันทุกคนดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะไอ้ต้องกับไอ้จ๊อบที่ผมเคยเจอตั้งแต่ไปกินหมูกะทะด้วยกันครั้งนั้น
ไอ้ต้องเล่าให้ผมฟังในขณะที่เราอยู่ระหว่างเดินทางว่าพ่อของมันเป็นเพื่อนกับเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งที่ชะอำ ทำให้มันสามารถจองห้องพักได้ในราคาถูก ซึ่งมันจองห้องไว้สำหรับพวกเราถึงสี่ห้อง แบ่งเป็นห้องของผู้หญิงสองคน ห้องของมันกับไอ้จ๊อบ ห้องของนะกับกิ๊ก และก็ห้องของผมกับน้อย แต่ในเมื่อน้อยไม่ได้มากับเราด้วย ผมจึงได้สิทธิ์ใช้ห้องนั้นแต่เพียงผู้เดียว
“เผื่อมึงพาสาวไหนมานอนที่ห้องไง ไอ้ซี” ไอ้ต้องหัวเราะ
“แปลว่าคืนนี้มึงจะไปเที่ยวผับกันใช่มั้ยวะ” ผมถาม
“กูอะ อยากไปเว้ย แต่ไอ้จ๊อบกับพวกผู้หญิงแม่งเสือกอยากกินข้าวริมหาด นั่งชิวๆ เล่นกีตาร์ แล้วก็กลับมาเล่นไพ่บนห้องมากกว่าว่ะ แล้วพวกมึงอะว่าไง”
“กูยังไงก็ได้ว่ะ” นะตอบ
“กูก็เหมือนกัน”
“แล้วกิ๊กล่ะ อยากทำไร” ไอ้ต้องหันไปถามกิ๊กที่นั่งอยู่เบาะหน้า
“กิ๊กยังไงก็ได้เหมือนกันอะ”
“งั้นสงสัยจะไม่ได้ไปลุยผับชะอำซะแล้วมั้ง” ไอ้ต้องพูดเซ็งๆ
“มึงจะเหี้ยไรนักหนา ไอ้ต้อง ถ้าจะเที่ยวผับ มึงจะถ่อมาถึงทะเลทำไมวะ ไอ้ห่า มาทะเลก็เที่ยวทะเลสิวะ จริงมะ ไอ้ซี”
“ช่ายยยย” ผมพยักหน้า
“เออๆ ก็จริงของพวกมึง กูแพ้แล้ว กูยอม ไอ้สาดดด”
ผมหันไปหัวเราะกับนะเบาๆ แล้วจากนั้นพวกเราก็เปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอื่นแทน
เมื่อพวกเราไปถึงที่ชะอำก็เป็นเวลากินข้าวเที่ยงพอดี หลังจากที่กินข้าวกันเสร็จ เราก็เอาของไปเก็บที่โรงแรมและต่างคนต่างแยกย้ายไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง
หลังจากที่เข้าไปในห้อง ผมก็โยนกระเป๋าลงบนพื้นแล้วเอนตัวนอนลงบนเตียงทันที ใจของผมมันอดที่จะคิดถึงเรื่องของน้อยไม่ได้ นี่ถ้าหากว่าเขามากับผมด้วย เราจะมีความสุขกันแค่ไหนนะ และที่สำคัญ ป่านนี้เราก็คงได้ทำอะไรกันให้สมใจอยากกันไปแล้ว
ผมอ้าปากหาววอดแล้วก็นึกด่านะอยู่ในใจที่เขาปลุกให้ผมตื่นตั้งแต่เช้า ผมว่าป่านนี้เขาคงต้องกำลังมีความสุขกับกิ๊กอยู่แน่ๆ
พอผมนึกภาพว่าเขากำลังมีอะไรกับแฟนของตัวเองอยู่ ผมก็รู้สึกเกิดอารมณ์ขึ้นอย่างบอกไม่ถูกทันที
ผมใช้มือลูบไอ้น้องชายของตัวเองที่แข็งเป็นลำอยู่ใต้กางเกงขาสั้นอย่างเบามือ เมื่อคืนผมก็เกิดอารมณ์แบบนี้แต่กลับไม่สามารถระบายออกได้มาทีหนึ่งแล้ว ผมชันตัวขึ้นนั่งแล้วถอดเสื้อยืดออก จากนั้นก็เขยิบขึ้นไปนอนหนุนลงบนหมอนดีๆ ผมปลดตะขอกางเกงออก กางเกงในสีขาวของผมถูกดันจนนูนสูงขึ้น ไอ้น้องชายของผมที่แข็งเต็มที่แล้วโผล่พ้นขอบกางเกงในออกมาเล็กน้อย
ผมถอดกางเกงขาสั้นและกางเกงในออกด้วยการดึงพวกมันลงไปกองยู่ที่ตาตุ่มในทีเดียว แล้วเตะมันทั้งคู่หล่นลงไปจากเตียง จากนั้นก็รวบมือขวากำท่อนลำของตัวเองเอาไว้อย่างเบามือ ส่วนมือซ้ายก็ลูบไล้หน้าอกของตัวเองไปด้วย หัวนมของผมไวต่อความรู้สึกมาก ดังนั้นเวลาที่ช่วยตัวเอง ผมจึงมักจะคลึงหัวนมของตัวเองเล่นไปด้วยตลอด
ผมค่อยๆ รูดหนังหุ้มลงอย่างช้าๆ จนสุดโคน แล้วจากนั้นก็รูดมันกลับขึ้นมา ทำให้น้ำใสๆ ไหลออกหนึ่งหยด ผมใช้นิ้วชี้ละเลงน้ำหยดนั้นจนทั่วส่วนหัว ความเสียวที่ผมรู้สึกทำให้ผมต้องซี้ดปากเบาๆ ผมเลื่อนมือซ้ายลงไปคลึงไข่ทั้งสองข้างอย่างแผ่วเบา พร้อมกับเร่งจังหวะมือของตัวเองให้เร็วขึ้นอีกเล็กน้อย พอก้มหน้าไปมองน้องชายของตัวเองก็เห็นว่ามันกำลังแข็งผงาดอย่างเต็มที่ ส่วนหัวก็แดงก่ำราวกับพร้อมจะระเบิดออกได้ตลอดเวลา
ผมลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปในห้องน้ำ ผมส่องกระจกสำรวจร่างกายของตัวเองพร้อมกับลูบไล้ส่วนต่างๆ ของร่างกายไปด้วย ไอ้น้องชายของผมแข็งเป็นลำและเชิดขึ้นเป็นมุมราว 45 องศากับหน้าท้อง ผมใช้มือขวากำส่วนโคนเอาไว้ในมือ ในขณะที่มือซ้ายก็ลูบไล้ขึ้นลงไปตามกล้ามหน้าท้องที่เป็นลอนจางๆ จากนั้นก็เริ่มขยับมือขวาขึ้นลงช้าๆ น้ำหล่อลื่นถูกหลั่งออกมามากมายจนทำให้มือขวาและท่อนลำของผมเปียกชุ่ม ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเสียวบริเวณส่วนหัวของน้องชายมากขึ้นเป็นทวีคูณ
ผมรีบเร่งจังหวะการสาวมือให้เร็วขึ้นไปอีก ส่วนมือซ้ายก็เลื่อนสูงขึ้นมาคลึงหัวนมของตัวเองไปด้วย ผมรู้สึกถึงจุดสุดยอดที่เริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ และในตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น แต่ผมปล่อยให้มันดังต่อไปจนกระทั่งเงียบลงไปเอง จนกระทั่งในที่สุด อีกไม่กี่วินาทีถัดมา ร่างกายของผมก็กระตุกแรงๆ พร้อมกับน้ำรักที่ถูกฉีดออกมาจนพุ่งไปโดนกระจกตรงหน้า ผมยังคงกระตุกเบาๆ อีก 3-4 ครั้งพร้อมๆ กับน้ำรักที่ถูกฉีดออกมาเป็นระลอกๆ
ผมยืนหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งเริ่มกลับมาควบคุมร่างกายของตัวเองได้ จากนั้นก็รูดหนังหุ้มลงและปาดน้ำสีขาวขุ่นหยดสุดท้ายออกจากส่วนหัวของท่อนลำ เมื่อผมทำความสะอาดตัวเอง กระจก และพื้นห้องน้ำจนเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ล้มตัวนอนลงบนเตียง แล้วจากนั้นก็จึงผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
ผมหลับไปนานเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกัน แต่จู่ๆ ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างหมอน และเมื่อตื่นขึ้นมา ผมถึงได้พบว่ามีคนกำลังเคาะประตูอยู่หน้าห้องผมด้วยเช่นเดียวกัน
ผมคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้น รีบสไลด์ปุ่มรับสาย แล้วกระโดดลุกออกจากเตียงทันที
“เออๆ ว่าไง ไอ้นะ”
“ไอ้ซี กูยืนอยู่หน้าห้องมึงเนี่ย มาเปิดประตูให้หน่อยดิ๊ เคาะอยู่สักพักแล้ว มึงไม่ได้ยินเลยรึไง”
“อ้าว คนที่เคาะประตูเมื่อกี้คือมึงเองเหรอวะ เออๆ กูกำลังเดินไปเปิดให้แล้ว แป๊บนึงๆ” ผมวางสาย จากนั้นก็เดินตรงไปยังประตูห้อง แต่แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังแก้ผ้าอยู่ ผมจึงต้องรีบหมุนตัวกลับไปหยิบกางเกงขาสั้นที่กองอยู่บนพื้นห้องขึ้นมาใส่อย่างรวดเร็ว
“ทำอะไรอยู่วะ หลับอยู่เรอะ” เขาถามขึ้นทันทีที่ผมเปิดประตูห้องออก
“เออออ... ก็มึงนั่นแหละ เสือกปลุกกูตั้งแต่เช้ามืดอะ ไอ้ห่า” ผมเกาหัวแกรกๆ
สายตาของเขาเลื่อนมองต่ำลงไปข้างล่าง ผมก้มหน้าลงมองตามสายตาของเขา แล้วก็พบว่าตัวเองยังใส่กางเกงไม่เรียบร้อยดีเลย เพราะเมื่อครู่นี้ผมแค่รูดซิปขึ้นแต่ลืมติดตะขอให้เรียบร้อย ทำให้ซิปมันไหลลงไปเกือบครึ่งทาง เผยให้เห็นกางเกงในและน้องชายของผมที่พาดขึ้นเป็นลำอยู่ด้านใน
ผมรีบรูดซิปขึ้นใหม่และติดตะขอกางเกงทันที
เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “นี่มึงนอนแก้ผ้าเหรอวะ ไอ้ซี”
“เอออออ! เรื่องของกูน่า ตกลงมึงมีอะไร”
“กูขอเข้าไปนั่งห้องมึงหน่อยจะได้มั้ยวะ”
“เออๆ โทษทีๆ เข้ามาๆ” ผมหลีกให้เขาเดินเข้ามาในห้อง แล้วจากนั้นก็ปิดประตูลง “มีไรวะ แล้วกิ๊กไปไหนซะล่ะ”
“อาบน้ำ...” เขาตอบเสียงค่อยๆ
ผมเพิ่งสังเกตว่าสีหน้าของเขาดูไม่สดใสเหมือนเคย นอกจากนั้นแววตาและน้ำเสียงของเขาก็ยังดูเศร้าๆ บอกไม่ถูก นับตั้งแต่รู้จักกับเขามา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาเป็นแบบนี้ เพราะปกตินะจะเป็นคนที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าแทบจะตลอดเวลา ที่ผ่านมาเขาอาจจะเคยเครียดหรือมีปัญหาอะไรบ้าง แต่ว่าก็ไม่มีครั้งไหนที่เหมือนครั้งนี้ ที่จริงผมคิดว่าเขาดูเหมือนคนกำลังช็อคหรือตกใจอะไรบางอย่างอยู่มากกว่าด้วยซ้ำ
“เฮ้ย มึงเป็นไรรึเปล่าวะ ไอ้นะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร กูคงแค่เพลียๆ น่ะ”
“เพลียอะไรวะ... อ้อออ มึงเพิ่งมีอะไรกับกิ๊กมาล่ะสิ ไอ้ตูดดด แหมเว้ยยย”
เขาหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มน้อยๆ “อิจฉารึไง”
“ไม่จำเป็นว่ะ” ผมเดินไปเปิดทีวี แล้วจากนั้นก็เดินมานั่งลงข้างๆ เขาบนเตียง
“กูขอถามอะไรมึงหน่อยดิ ไอ้ซี แต่มันเป็นเรื่องส่วนตัวหน่อยนะเว้ย มึงจะโกรธกูมั้ยวะ”
“ที่ผ่านมากูเคยโกรธอะไรมึงสักครั้งรึยังล่ะ ไอ้กล้ามโต” ผมหันไปมองหน้าเขาแล้วยิ้มมุมปากน้อยๆ “มีอะไรวะ พูดซะทางการเลย จะถามอะไรก็ถามมาเลยเว้ย กูตอบมึงได้หมดแหละน่า”
“คือ... กูก็รู้นะเว้ยว่าก่อนหน้าน้อย มึงก็เคยคบผู้หญิงมาหลายคนอะ แล้วมึงก็เคยบอกกูด้วยว่ามึงโดนผู้หญิงพวกนั้นหักอกหรือไม่ก็นอกใจมึงก่อนหมดเลย แต่มึงไม่เคยบอกกูอะ ว่ามึงรู้สึกยังไงมั่งวะ”
“อ้าว ก็เสียใจน่ะสิวะ ถามได้ แต่ตอนจับได้ก็โกรธนั่นแหละ อารมณ์แรกเลยคือโกรธมากอะ มันช็อคๆ อึ้งๆ ครั้งแรกที่กูจับได้ว่าแฟนกูนอกใจ ไปคุยกับผู้ชายคนอื่น กูเฮิร์ทมากกกก ไอ้เหี้ย นึกแล้วยังขำเลยว่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ “ตอนนั้นกูโกรธมากนะเว้ย แต่แล้วก็เป็นกูเองนั่นแหละที่กลับไปอ้อนวอนแม่ง แทบจะกราบตีนขอให้มันเลิกยุ่งกับผู้ชายคนนั้น แล้วกลับมาหากู แม่งโคตรไร้สาระเลยเนอะ แต่ตอนนั้นกูก็แค่ ม. 3 เองอะ”
“แล้วคนอื่นหลังจากนั้นอะวะ”
“ก็ดีขึ้นว่ะ แต่เดี๋ยวก่อน ไอ้นะ กูไม่ได้เคยมีแฟนมาเยอะแยะหลายคนขนาดนั้นนะเว้ย รวมน้อยด้วยก็ แค่ 4-5 คนเอง”
“ไอ้เหี้ย เยอะแล้วเหอะว่ะ” เขาหัวเราะ
“อ้าวเหรอๆ ฮ่าๆๆ เออๆ นั่นแหละ แต่มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้อยากมีแฟนหลายๆ คนหรอกนะเว้ย กูก็อยากได้ใครแค่คนใดคนหนึ่ง คนเดียวที่กูรักและรักกู แล้วก็คบกันไปนานๆ เหมือนกัน แต่คนอื่นๆ ที่ผ่านมาเข้ามา แม่งก็เหมือนแค่เข้ามาเล่นๆ กับกูอะ เลิกกันไปเพราะแม่งมีคนอื่นบ้าง ห่างกันไปเองบ้าง หรืออย่างกรณีล่าสุดกับน้อยนี่ก็เพราะกูไม่มีเวลาให้เค้าเอง...”
“แล้วมีอีกกี่ครั้งวะ ที่มึงจับได้ว่าแฟนเก่ามึงไปคุยกับคนอื่นอะ”
ผมนึก “อืมมม... ถ้าไม่นับครั้งแรก ก็อีกสองครั้งอะว่ะ แต่ว่ากูเริ่มโตขึ้นมั้ง แล้วก็เริ่มชินชามากขึ้นด้วย กูถือว่าใครแม่งไม่จริงใจกับกู ก็ตัดๆ แม่งออกไปจากชีวิตซะเลยดีกว่า คือก็เสียใจนะเว้ย ช็อค เหมือนเดิมเลย แต่ไม่โกรธ ไม่ฟูมฟายมากเท่าครั้งแรกแล้วอะว่ะ”
เขาพยักหน้าเบาๆ “กูกะแล้วว่ามึงต้องเป็นคนเข้มแข็งแบบนี้แหละ ไอ้ซี”
ผมยักไหล่ “ไม่รู้ดิ คงเป็นเพราะกูรู้ด้วยแหละว่าคนพวกนั้นยังไม่ใช่ตัวจริงของกูอะ แม้แต่กับน้อยที่กูรู้สึกดีด้วยมากๆ กูก็ยังรู้สึกลึกๆ เหมือนกันว่าเค้ายังไม่ใช่อะว่ะ มันยังไม่มีความผูกพัน ไม่มี....” ผมนึกเลือกคำที่จะใช้ “โฮ้ยยย! ไม่รู้ว่ะ กูก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน คือมันเหมือนยังมีบางอย่างที่ขาดๆ หายไปอะ เข้าใจป่าววะ”
“กูเคยบอกมึงรึเปล่าวะว่ากิ๊กเป็นแฟนคนแรกของกูเลยน่ะ”
“เหรอวะ” ผมเลิกคิ้วขึ้น
“ใช่ คือถ้าไม่นับปั๊ปปี้เลิฟตอน ม. ต้น ที่แบบว่าโดนเพื่อนแซวให้คบกันอะไรแบบนั้นก็ไม่มีเลยว่ะ กิ๊กเป็นคนแรกเลย เพราะว่ากูต้องทั้งเรียน ทั้งเล่นกีฬา มันก็ไม่ค่อยมีเวลาจะไปสนใจใครว่ะ อันนี้มึงคงเข้าใจ แล้วอีกอย่างคือกูแม่งขี้อายด้วย ใครเข้ามาจีบกู กูก็หนีหมดทุกคนเลย ซึ่งอันนี้คงเพราะกูหัวโบราณด้วยมั้ง”
“แล้วมึงคบกับกิ๊กยังไงล่ะวะ คนอย่างมึงคงไม่ได้เป็นฝ่ายไปจีบเค้าก่อนอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”
“เออ กูไม่กล้าหรอก เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ ม. 4 น่ะ แล้วก็สนิทกันมาเรื่อยๆ จนเพิ่งมาตกลงคบกันตอน ม. 6 อย่างที่กูเคยบอก...” เขาเว้นช่วง “บางทีเราอาจจะตกลงคบเป็นแฟนกันเพราะกลัวว่าจะไม่มีโอกาสนี้อีกก็ได้ล่ะมั้ง”
ผมนิ่วหน้าด้วยความสงสัย นี่เขาต้องกำลังมีปัญหาอะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ
เขาเหลือบมามองหน้าผมแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ อย่างรู้ทัน “ตอนแรกกูก็ไม่ได้อยากจะโกหกอะไรมึงหรอก กูคงแค่กำลังช็อคๆ อย่างที่มึงบอกน่ะ ไอ้ซี”
“หมายความว่าไงวะ”
“ก็อย่างที่บอกไงว่ากิ๊กเป็นแฟนคนแรกของกู ถึงกูจะเคยเห็น เคยปลอบเพื่อนของกูตอนที่พวกมันเลิกกับแฟนมาบ้าง แต่กูก็ยังไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนั้นกับตัวเองเลยไง”
“แล้วที่จู่ๆ มึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเนี่ย” คิ้วของผมที่เคยขมวดเข้าหากันเริ่มคลายออกพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น “หรือว่า...”
“กูคิดว่า...” เขาชะงักไปก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ดิ ไม่คิดแล้ว... ไอ้ซี กูจับได้ว่ากิ๊กกำลังมีคนอื่นอยู่ว่ะ”