LOOK ADDICT 2
“ไอ้เวย์ ไอ้เหี้ย!”
คราวนี้ผมโกรธ ผมจะโกรธมันจริงๆ เพราะมันคนเดียวทำให้ชีวิตผมยับเยิน
“ว่าไงพ่อพระเอกเกาหลี”
ตอนนี้ในสาขาไม่เว้นแต่หมาหน้าภาควิชาไม่มีใครไม่รู้จักผม!!
“เกาหลีบ้านมึงอ่ะ” ผมด่าไอ้อ้นที่เดินเข้ามานั่งแล้วเห่าล้อเลียนทันที ส่วนไอ้เวย์ก็นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ เมื่อกี้มันเพิ่งไปช่วยเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่ปวดท้องโรคกระเพาะไปส่งฝ่ายพยาบาล มึงช่วยคนอื่นในค่ายไปทั่วแต่ทำไมมึงถึงได้ทำอย่างนี้กับเพื่อนสนิทของมึงวะ
มึงเสนอบทบาทอะไรให้กู
คืนอัปยศที่ผมไม่เคยลืม เมื่อคืนนี้บ้านผมจับฉลากได้แสดงเป็นกลุ่มสุดท้าย เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์เลยก็ว่าได้ เมื่อได้คนเขียนบทคนใหม่อย่างปรางค์ ผู้จัดหาพรอพประกอบการแต่งกายอย่างไอ้เวย์ แล้วมาลีร่างทรงมาดามมดอย่างถิงถิงหรือไอ้ทิงกระเทยควายร่างใหญ่ที่ตอบจบสุดท้ายผมต้องไปหลงรักแทนที่จะเป็นแคทสุดสวย
แล้วมันก็พีคตรงตอบจบที่พระนางต้องจูบกัน ซึ่งตอนซ้อมเอียงหน้าใช้มุมกล้อง แต่ตอนขึ้นแสดงมันจูบจริง!!
ถิงถิงมันจูบบดปากลงมา ยกขาเกี่ยวรัดให้คนตัวแคระๆแกนๆอย่างผมเข้าไปฝังในตัวมัน แล้วผละออกจับไหล่ทั้งสองข้างแหงนหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดังๆเหมือนคนโรคจิต ให้พี่ๆเพื่อนๆปรบมือหัวเราะชอบใจกันใหญ่ แน่ล่ะ ตัวนางก็กระเทยควาย ตัวพระก็ดำๆแกนๆ มันก็เลยดูตลกโปกฮา
แต่ผมไม่ขำนะเว้ยยย ผมตกใจ ผมไม่โอเค
ถึงสุดท้ายจะไม่ติดใจอะไรเพราะผมมันพวกโกรธคนไม่ค่อยเป็น แล้วถิงถิงมันก็แค่อยากให้คนดูมีความสุข แต่พอเห็นรูปการแสดงที่ติดอยู่บนบอร์ดในเช้าวันนี้ผมก็อดจะเคืองไอ้เวย์ขึ้นมาไม่ได้ ดูดิ...รอยลิปสติกสีแดงจากปากถิงถิงเปื้อนเลอะปากลามมายันคางกูเลย
“มันยังไม่หายงอนมึงอีกเหรอวะ”
“เออ เมื่อคืนก็นอนคุมโปงไม่พูดไม่จา ฮ่าๆ” ยังมีหน้ามาขำอีก เพราะผมอยู่บ้านเดียวกับมันเลยได้นอนแถวเดียวกันในห้องโถงใหญ่สำหรับผู้ชาย ส่วนผู้หญิงนอนในห้องประชุมซึ่งเป็นห้องแอร์และสะดวกสบายกว่า และถึงแม้ผมจะเคืองไอ้เวย์แต่ก็หอบหมอนไปนอนข้างมัน ก็ผมไม่รู้จักเพื่อนคนอื่นแล้วนี่หว่า ก็ผมสนิทกับคนยากแล้วไม่กล้าเข้าหาด้วย จะนอนกับไอ้อ้นมันก็ถูกจัดนอนแถวหลังสุดนู่น เดี๋ยวพี่วินัยมาเช็คชื่อแล้วไม่อยู่จะโดนดุเอา แต่ก็ยังไม่อยากคุยไม่อยากมองหน้าเลยคุมโปงหนีมันซะเลย
“ก็ถ้ามันไม่เสนอแต่แรก กูก็ไม่ต้องขึ้นไปแสดงบ้าๆบอๆ”
“ไม่ต้องโดนจูบด้วย”
“หุบปากเลยสัดอ้น”
“ฮ่าๆ เอาน่าขำๆ”
“...” ผมเงียบ
“มึงจะไม่พูดกับกูจริงๆเหรอ”
“...”
“โกรธกูจริงอ่ะ ว๊า วันนี้นั่งเรียนก็ไม่มีคนมากวนใจแล้วดิวะ”
“...ก..ละ..ก็ได้...”
“อะไรนะ?”
“กูไม่โกรธแล้วก็ได้!!” นี่ห่วงว่าจะไม่มีคนสอนหรอกนะ
ป๊าบ...ป๊าบ
“โอ๊ย พวกมึงสองตัวจะมาตบหัวทำไมเนี่ย!”
“ท่ามาก” ไอ้อ้น
“ความจริงก็หายโกรธกูตั้งนานแล้ว” ไอ้เวย์
“แต่แค่อยากให้เพื่อนง้อ ไอ้ฟายยยยย” ไอ้อ้น
พวกมึงสองคนไม่ต้องทำมารู้ทันกูเลยเหอะ ชิ
“เอาล่ะน้องๆเดี๋ยวพักเบรกสิบนาที ไปรับน้ำกับขนมที่พี่สวัสดิการนะคะ เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย บ่ายนี้เราจะเข้าฐานกันนะค๊า”
ผมและเพื่อนๆเดินไปเอาขนมปังกับน้ำผลไม้ตามที่พี่บอก นั่งคุยนั่งด่ากับไอ้เวย์ไอ้อ้นพักเดียว(ก็มันแย่งขนมผม) พี่ๆก็เรียกรวมตัวก่อนแบ่งน้องบ้านออกคละกัน นั่นคือในหนึ่งกลุ่มจะมีน้องรวมอยู่หลายบ้าน
ซึ่งผมไม่ได้อยู่กับไอ้เวย์แล้ว
รู้ตัวเลยว่ามองมันด้วยสายตาละห้อยขนาดไหน ผมต้องไปเดินฐานเข้าป่าอย่างเดียวดายโดยที่ไม่มีไอ้เวย์อยู่ด้วยเหรอเนี่ย ไม่นะ...โอย
ฮ่าๆ เอาจริงๆผมก็ไม่ได้กลัวขนาดนั้นมันเป็นมุก ผมก็ผู้ชายอกสามศอกนะเว้ย ถึงจะแอบเสียดายหน่อยๆที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ผมก็ดีกรีเด็กบ้านนอกโตมากับนากับป่านะครับ ขึ้นเขาออกไปหาหน่อไม้หาเห็ดบ่อยๆ แค่เดินเข้าไปในป่าย่อมๆของมหาวิทยาลัยแค่นี้สบายมาก
“เดี๋ยวพี่จะปล่อยน้องๆแต่ละกลุ่มไปเข้าฐานเวียน มีทั้งหมดหกฐาน โดยจะให้น้องๆในกลุ่มเลือกหัวหน้ากลุ่มกัน คราวนี้ไม่มีพี่คุมนะจ๊ะ”
กลุ่มผมเลือกกัปตันขึ้นเป็นหัวหน้า แค่ชื่อก็ผู้นำล้นปรี่
“แล้วแต่ละฐานน้องๆจะได้ตัวอักษรภาษาอังกฤษพร้อมคำใบ้ เก็บไว้ให้ดีนะ”
แล้วพี่ก็ปล่อยพวกเราออกมากันทีละกลุ่ม โดยหัวหน้ากลุ่มจะมีแผนที่การเดินฐาน เออว่ะ เหมือนย้อนไปสมัย ม.ปลายที่เข้าค่ายลูกเสือ มีเข้าฐาน มีเดินป่า นี่ถ้ากางเต้นท์ก่อเตาทำอาหารนี่ใช่เลย
ผมเดินปิดท้ายสุดของแถวแล้วขณะที่เดินสวนกับกลุ่มของไอ้อ้นมันก็ดึงแขนไว้พร้อมกระซิบเบาๆให้ได้ยินกันสองคน
“ระวังตัวด้วยนะมึง อย่าซุ่มซ่าม”
“เออน่า กูไม่ใช่เด็กนะ”
“มึงอ่ะยิ่งกว่าเด็กอีก”
อ้าว ไอ้ฟายนิ
กูไม่พูดกับมึงแล้ว เอานิ้วกลางกูไปแดกก็แล้วกัน
เนื่องจากกลุ่มเราเป็นกลุ่มสุดท้ายดังนั้นเราเลยต้องเข้าฐานสุดท้ายก่อน แล้วค่อยไล่ลงมาเป็นฐานห้า สี่ สาม สอง และหนึ่ง เราทั้งสิบสองคนเลยต้องเดินขึ้นไปบนเนินสูงสุดก่อนแล้วค่อยไล่ระดับลงมา
แล้วฐานแรกก็โดนเลย...ทายคำ 4G
หลังจากน่วมอรทัยจากฐานทายคำ 4G ผมก็ต้องมาเจอกับเพลงโทนเดียว เก้าป้ายปริศนา ซึ่งเพียงแค่สามฐานก็ทำเอาผมเละไปทั้งตัว ฐานแรกกน่ะผมเล่น ส่วนสองสามเนี่ยโดนจับเป็นตัวประกัน พอผู้เล่นทายผิดผมก็โดนน่ะสิ ทั้งเอาลิปสติกเขียนหน้า ทั้งลูกโป่งน้ำอัดใส่จนเปียกปอนไปหมด ฐานหน้านี่ถ้ามีแป้งโรยอีกหน่อยล่ะก็พร้อมลงกระทะทอดเลย
แต่ก็สนุกดีนะ ผมชอบ ยิ่งหันไปมองเพื่อนก็ไม่ได้เละเทะน้อยไปกว่าผมสักเท่าไหร่
แต่ขณะที่ผมกำลังเดินจากฐานสี่ไปฐานสามผมก็เกิดปัญหาใหญ่...ผมปวดฉี่ เมื่อกี้ตอนพักเบรกกินน้ำกินขนมปังเสร็จผมยังไม่ได้เข้าไปปลดทุกข์พี่ๆก็เรียกรวมซะก่อน แล้วไอ้ผมก็คนท่อรั่วเข้าห้องน้ำบ่อย หันซ้ายหันขวาก็เจอแต่ต้นไม้กับตึกไกลๆ ไม่มีห้องน้ำแถวนี้เลย
เอาไงดีวะ ปวดจนท้องแข็งไปหมดแล้วเนี่ย ยิ่งตัวเปียกๆปะทะลมเย็นยิ่งพาอั้นแทบไม่อยู่เข้าไปใหญ่
จะสะกิดบอกเพื่อนก็อาย เอาวะ แวบเข้าไปในพุ่มไม้แถวนี้แปบเดียวไม่เป็นไรมั้ง
ว่าแล้วผมก็เนียนๆ กระดึ๊บๆออกจากแถว
อย่าหันมากันนะ เดินกันต่อไป อย่าได้สงสัยหรือล้อเลียน
ผมไปยืนในตำแหน่งที่พุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่บังสายตาคนภายนอกได้ก็ปลดกางเกงลงแล้วจัดการยิงกระต่ายทิ้งทันที โอยโล่ง...รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่
เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ผมก็รีบแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วเดินกลับไปสมทบกับเพื่อนๆ ป่านนี้เดินไปใกล้ถึงฐานสามแล้วมั้งเนี่ย แล้วผมก็เดินเข้ามาลึกซะด้วย กลัวเพื่อนผู้หญิงผ่านมาเห็นแล้วจะตกใจ เพื่อนผู้ชายจะล้อ
และก่อนจะย่ำเท้ากลับไปทางเดิมผมก็เห็นอีกเส้นทางด้านหลังที่น่าจะช่วยให้ผมกลับไปสมทบกับเพื่อนๆได้เร็วขึ้น ถึงหญ้าจะขึ้นรกร้างไปหน่อยแต่กลับไปเข้ากลุ่มได้เร็วขึ้นก็น่าจะโอเค ลูกชาวนาอย่างผมไม่กลัวหรอกกับหญ้าสูงเท่าเข่า...
“เฮ้ย!!!”
ตุบ
โครม
เสี้ยวนาทีที่ผมตัดสินใจย่ำเท้าลงไปในพงหญ้า แต่กลับรู้สึกวูบโหวงเท้าไม่สัมผัสพื้นดินก่อนร่างกายจะหล่นดิ่งลงไปในหลุมคับแคบที่ผมมองไม่ทันด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร
โป๊ก!!
ความรู้สึกสุดท้ายคือแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงที่ศีรษะเมื่อกระแทกเข้ากับของแข็งบางอย่าง แล้วทุกอย่างก็มืดดับไป...
Aon’s part
แม่งเอ๊ย แสบตาชิบ
กลับมาถึงส่วนกลางหลังจากที่เข้าครบทุกฐานผมก็วิ่งไปที่อ่างล้างหน้า เปิดก๊อกก่อนก้มหน้าลงเอามือรองล้างแป้งฝุ่นออกจากเบ้าตา เล่นบีบลงมาใส่หัวทั้งกระป๋อง ผมทั้งจามทั้งไอ เข้าหูเข้าตาแสบไปหมด มันก็สนุกดีแต่แบบนี้ก็ไม่ไหวนะโว้ยยยย
ล้างพอหายแสบก็เงยหน้าขึ้นมาก่อนผงะกับภาพสะท้อนในกระจกเบื้องหน้า ไม่ใช่ภาพผมหรอก ไอ้คนข้างหลังต่างหากสภาพไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
“ฮ่าๆ หนังหน้ามึงแย่มาก ตกลงมึงชื่อกุ๊ก หรือลูกเจี๊ยบเรืองแสงวะ”
“แหมะ สภาพดีกว่ากูมากนักนี่” ผมเบ้ปากยักไหล่ใส่มันพอดีกับที่มันมายืนข้างๆบีบสบู่เหลวกลิ่นมะกรูดในขวดก่อนเอามาถูหน้าตัวเอง
ฟึ่บๆๆๆ
เหอะ ถ้ามึงจะถูแรงขนาดนี้คงไม่ใช่แค่รอยลิปสติกที่เขียนอยู่บนหน้ามึงหรอก หนังกำพร้ามึงคงหลุดตามมาด้วย
ผมเลิกสนใจมันแล้วเดินออกมาด้านนอก มองสอดส่ายหาไอ้เพื่อนสองตัวที่คาดว่ากลุ่มพวกมันคงกลับมาถึงกันหมดแล้ว หึ ผมล่ะอยากเห็นสภาพไอ้ต่ายมาก หน้ามึนๆเอ๋อๆอย่างมันคงโดนแกล้งไม่ใช่น้อย ขนาดผมยังอยากแกล้งเลย
เอาจริงๆผมเป็นคนขี้แกล้ง แต่ก็จะแกล้งเฉพาะกับคนหน้าตาน่ารักๆกับเพื่อนที่สนิทจริงๆเท่านั้นเพราะภายนอกผมจะดูเป็นคนวางมาดนิ่งนิดๆหน้าหยิ่งหน่อยๆ ไม่ค่อยเผยสันดานกวนตีนให้คนที่เพิ่งรู้จักได้เห็น
แต่กับไอ้ต่ายไม่รู้เป็นไงที่แค่เห็นหน้ามันผมก็คันไม้คันมืออยากจะแกล้งให้มันทำหน้าเอ๋อยิ่งขึ้นไปอีก อาจจะเป็นเพราะผมสนใจท่าทางตื่นๆดูวางตัวไม่ถูกตอนวันสัมภาษณ์ รู้สึกเหมือนหมาวัดที่เดินหลงเข้ามาในเมืองใหญ่ หึ นึกถึงแล้วก็อดยิ้มไม่ได้จริงๆ
แต่ไม่ทันที่ผมจะกวาดสายตาเจอไอ้ต่ายก็เห็นไอ้เวย์เข้าซะก่อน มันสูงเด่นพอๆกับผมไหนจะความขาวออร่าอย่างกับหลอดนีออน
แต่ทำไมท่าทางลุกลี้ลุกลนหน้าตาเป็นกังวลขนาดนั้นวะ
“เฮ้ย ไอ้เวย์ เป็นไรวะ” ผมเดินเข้าไปตบบ่ามันจากด้านหลัง มันหันขวับมาทันที
“ไอ้ต่ายหายไป” น้ำเสียงมันเป็นกังวลมาก
“เฮ้ย มันไปเข้าห้องน้ำเปล่า” ขนาดโดนเบาๆอย่างผมยังต้องไปล้างเนื้อล้างตัวเลย แล้วไอ้คนที่ผมคาดว่าต้องหนักแน่อาจจะแช่ตัวอยู่ในชักโครกก็ได้
“มึงออกมาเห็นมันไหมล่ะ”
“ไม่ อยู่ห้องน้ำชั้นสอง...”
“ไม่มี กูไปดูมาแล้ว”
หน้าผมเคร่งขึ้น ทั้งในใจก็เริ่มร้อนรน ถึงมันจะเป็นผู้ชาย คนนอกอาจจะคิดแบบนั้น แต่สำหรับคนเอ๋อๆอึนๆอย่างมันแล้ว...ผมสบตากับเวย์...แม่งเอ๊ย ขอเหอะ ขอแค่มันเดินหลงทาง แต่ทางในมหาวิทยาลัยแคบๆจะหลงได้ไงวะ
“เจอไหม” เสียงเข้มดุของไอ้เวย์ดังขึ้นให้ผมหันกลับไปสนใจคู่สนทนา เป็นพี่โอ้พี่วินัยที่เมื่อคืนยังว๊ากดุให้ท่องกฎค่าย แต่ตอนนี้มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
“ไม่เจอ หาทั่วค่ายแล้ว ทั้งเส้นทางที่เดินเข้าฐานด้วย ตอนนี้พี่สู้กำลังไปดูหลังตึกอยู่”
“แจ้งกองกิจดีไหมครับ เค้าน่าจะช่วยได้” ผมเสนอ
“ไม่ได้!!” พี่โอ้แทรกขึ้น “ถ้ากองกิจฯรู้พวกกูแย่แน่”
“เฮ้ย! มันใช่เวลามาห่วงตัวเองเหรอวะพี่” ผมตะคอกอย่างหงุดหงิด ใช่ดิ ถ้ากองกิจฯรู้ พวกรุ่นพี่ที่จัดค่ายทั้งหลายก็ต้องโดนสอบสวน แต่แล้วยังไงวะ ความปลอดภัยของน้องต้องมาเป็นที่หนึ่งไม่ใช่เหรอวะ
“ไอ้เวย์ไปกองกิจฯกัน” ถ้าพึ่งรุ่นพี่ห่วยๆพวกนี้ไม่ได้ พวกผมไปกันเอง
“กูว่าให้มันเป็นทางเลือกสุดท้ายดีกว่า พวกพี่เค้าก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ” ไอ้เวย์ว่าเสียงเคร่ง ผมจะค้านแต่มันก็ว่าต่อ “เราย้อนไปดูตรงเส้นทางเข้าฐานอีกทีเถอะว่ะ”
มันว่าจบก็วิ่งออกไปเลย ผมยึกยักก่อนวิ่งตามมันไป เมื่อกี้ผมเห็นสายตาน่ากลัวของไอ้เวย์ที่กวาดมองรุ่นพี่ทุกคน เรียกบรรยากาศกดดันอึดอัดให้เกิดขึ้น
แต่ช่างหัวแม่งมันเหอะ ตอนนี้ผมพาลโกรธทุกคน ทั้งรุ่นพี่ ทั้งไอ้เพื่อนกลุ่มเดียวกับไอ้ต่าย ฉิบหาย มีกลุ่มละสิบคนไม่รู้เลยหรือไงวะว่ามันหายไป
“เดี๋ยวมึงไปด้านล่าง กูจะไปด้านบนเอง” ผมพยักหน้าตามคำของไอ้เวย์ก่อนจะแยกย้ายกันไป ไอ้ต่ายไอ้ทึ่มเอ๊ย! มึงไปอยู่ไหนวะ!
Whey’s part
ถึงผมจะนิ่ง...
สุขุม...
แต่ไม่ใช่ว่าไม่ร้อนรน...
ผมวิ่งสุดฝีเท้าสลับผ่อนแรง สอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณพลางเปล่งเสียงเรียกหา...ไม่มี...ไม่เจอ...คนติ๊งต๊องอย่างมันจะไปอยู่ไหนได้
มันชื่อไอ้ต่าย...แต่ผมชอบเรียกว่าเต่า...เพราะมันทั้งเบลอ ทั้งเอื่อย ไหนจะท่าทางอึนๆมึนๆนั่นอีก ขนาดกระพริบตายังเชื่องช้าเลย ซ้ำยังซุ่มซ่ามเป็นที่หนึ่ง...ถังขยะตั้งอยู่มุมเสามันยังเดินเลี้ยวไปเตะได้
ใช่สิ...ความซุ่มซ่ามของมันอาจจะเป็นเหตุอีกก็ได้
ผมหยุดฝีเท้าลงก่อนเปลี่ยนจากวิ่งบนพื้นคอนกรีตลงไปข้างทางที่เป็นแนวต้นไม้ใหญ่ลึกสลับแนวหญ้าสูง
“ต่าย!!” ผมเอามือป้องปากพลางตะโกนเรียก “ไอ้ต่าย!”
“ไอ้ซื้อบื้อเต่า ได้ยินกูไหม!”
“ก...นะ...นี่...”
กึก
ผมหยุดฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงบางอย่าง ถึงจะแผ่วเบาแต่ผมไม่ได้หูฝาดแน่
“ต่าย! มึงใช่ไหม! มึงอยู่ไหน!”
“ยะอยู่นี่...” เสียงแหบโหยแต่ผมมั่นใจว่าเป็นมัน
ผมหมุนตัวกลับเดินไปทางที่มาของเสียง “ต่าย มึงส่งเสียงไว้นะ”
เสียงมันเงียบไปแล้ว และผมยังไม่เจอมันเลย
“กะกูเจ็บ...”
“ทนหน่อยนะ กูมาช่วยแล้ว แต่มึงแข็งใจพูดกับกูนะ กูกำลังไปหามึง”
“กะกูเจ็บ...ขยับตัวไม่ได้เลย...”
“ดี...ดี ส่งเสียงออกมา มึงเจ็บมากไหม...” ผมชวนมันคุย เท้าย่ำ มือแหวกหญ้า เริ่มได้ยินเสียงมันชัดขึ้น แต่หญ้าสูงแค่ต้นขาไม่ได้สูงมาก ถ้ามันล้มหรือนอนอยู่ทำไมผมไม่เห็นรอยแหว่งของหญ้าเลยวะ
นั่นยิ่งเรียกความเป็นห่วงให้ทวีคูณ ยิ่งเร่งฝีเท้าให้มากขึ้น
“จะเจ็บมาก...ปวดเหมือนกะโหลก...อื้อ...”
“มึงเป็นอะไร”
“กูปวดหัว...”
ฟึ่บ!!
เจอแล้ว! ในที่สุดผมก็เจอ คนตัวดำหุ่นโครงกระดูกนอนตัวหักตัวงออยู่ในท่อระบายน้ำขนาดสี่เหลี่ยมจตุรัสที่เปิดฝาทิ้งร้างไว้ ที่ขมับข้างขวามีเลือดไหลออกมาเรื่อยๆจากรอยแตก ผมรีบยื่นมือลงไปดึงตัวมันขึ้นมาแต่เพียงแค่ออกแรงมันก็ร้องเสียงดังอย่างเจ็บปวด
“โอ๊ย”
“เจ็บเหรอ” ผมเผลอปล่อยข้อมือมันอย่างตกใจ
“มาก” สีหน้ามันบิดเบี้ยว ยกแขนอีกข้างที่มีรอยถลอกเป็นทางยาวมาจับแขนอีกข้างที่ผมดึงเมื่อครู่
และผมก็เพิ่งสังเกตเห็นแขนที่ผิดรูปทรงของมัน
“เต่า มึงแขนหัก”
“ห๊ะ!”
“โอ๊ย”
โป๊ก
ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงขำกับท่าทางเซ่อซ่าของมัน แต่ไม่ใช่ตอนนี้ที่ผมหน้าเคร่งส่งเสียงดุให้มันนอนนิ่งๆ คนบ้าอะไรวะตกใจที่แขนหักแล้วผงกหัวขึ้นมาทำตาโตก่อนจะเจ็บล้มลงไปนอนหงายใหม่แล้วศีรษะก็โขลกเข้ากับผนังปูนหนาด้านหลัง
ไอ้ควาย
“นอนนิ่งๆ เดี๋ยวกูไปตามคนมาช่วย” ผมไม่อยากเคลื่อนย้ายเอง ไม่รู้นอกจากแขนจะมีอะไรหักอีกบ้าง
“มะไม่เอา...มึงอยู่เป็นเพื่อนกูนะ กูกลัว...”
“เดี๋ยวกูมา”
“มะไม่เอา...” ทำไมมันงอแงแบบนี้วะ
ฟุบ
ผมทิ้งตัวนั่งขัดสมาธิ ขยี้หัวอย่างยุ่งยากใจ ก่อนควักโทรศัพท์ออกมาจะโทรหาไอ้อ้นแต่ก็ลืมไปว่าผมไม่มีเบอร์มัน เลยตัดสินใจโทรหาพี่โอ้พี่วินัยที่ผมเพิ่งด่าด้วยสายตาไปเมื่อครู่
“พี่ครับ ผมเจอเพื่อนแล้ว อยู่แถวๆฐานสี่ในดงหญ้าคา แขนหักหัวแตกส่งหน่วยพยาบาลมารับด้วยครับ”
หลังจากวางสายผมก็หันมาหาไอ้เต่าซื่อบื้อที่นอนเจ็บปวดอยู่ในบ่อ ควักผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงเอื้อมลงไปปิดรอยแตกห้ามเลือดที่ไหลออกมาเรื่อยๆ
“มึงตกลงไปได้ไงวะ” จะว่าพลัดตกจากทางเท้าก็ไม่น่าใช่ เพราะอยู่ลึกเข้ามาพอสมควร
“พากูขึ้นไปที กูอึดอัด หายใจไม่ออก” มันไม่ตอบคำแต่งอแงพาเลไปอีกเรื่อง
“เดี๋ยวรอคนมาช่วย”
“กะกูอึดอัด”
“ทนหน่อยดิวะ ไม่รู้อะไรหักบ้าง” ผมดุ มันก็เลยเงียบ แต่ก็ยังทำหน้าเศร้าตาปริบๆสลับเหยเกด้วยความเจ็บ
“กะก็ได้ แต่ถ้ากูตายเป็นผีเฝ้าบ่อ มึงมาเยี่ยมกูบ้างนะ”
“เพ้อเจ้อ อยู่เงียบๆ” ผมเช็ดเลือดที่จะไหลเข้าตาให้ “แล้วตกลงมึงทำอีท่าไหนถึงตกลงมา”
“กูมาเยี่ยว”
“ห๊ะ!” มันพูดเสียงแผ่วเลยได้ยินไม่ชัดคิดว่าฟังเพี้ยน หรือว่า...
“กูเข้ามาเยี่ยว!!”
แม่งเอ๊ย ชัดเต็มสองรูหูเลย บ้านพ่อบ้านแม่มึงเข้ามาเยี่ยวลึกขนาดนี้ ถ้าทนไม่ไหวต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆก็พอบังได้แล้ว บื้อจนเกิดเรื่อง
“แล้วไง ราดเต็มกางเกงไปแล้วไหม”
“กูเยี่ยวแล้วเหอะ...แล้วค่อยตกลงมา...” ไอ้ประโยคแรกก็เถียงคอเป็นเอ็น แต่ประโยคหลังแผ่วเชียว
“ปล่อยให้ห่างสายตาไม่ได้จริงๆ” ผมบ่นอย่างเอือมระอา ตกลงผมได้เพื่อนหรือได้ลูกวะ
“กูขอโทษนะ ที่ทำให้มึงและทุกๆคนลำบาก...”
เฮ้อ คงเพราะอย่างนี้มั้งผมเลยโกรธมันไม่ลง
“เวย์!!”
“ทางนี้!!”
แล้วก่อนที่ผมจะพูดหรือมันจะพ่นความรู้สึกผิดอะไรออกมาอีกเสียงเรียกและความช่วยเหลือก็มาถึง