ตอนที่ 4
เวลาคือเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง
รพัฒน์เพิ่งรู้ว่ามันคือสัจธรรมที่จริงยิ่งกว่าจริง
สองอาทิตย์ผ่านพ้นไปดูแสนยาวนานราวกับสองปี การใช้ชีวิตดูไม่เหมือนเก่าทั้งที่กิจวัตรทุกอย่างยังคงเป็นปกติ บางอย่างซึ่งติดอยู่ในความคิดและความรู้สึกกัดกร่อนอารมณ์จนพานให้ลูกน้องหลายคนหวาดผวา
เช่นในยามนี้ที่เรือนร่างสูงใหญ่ในชุดสูทเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าเดินเข้ามาในห้องประชุม บรรยากาศจอแจก่อนหน้าก็พลันเงียบกริบลงราวกับอยู่ในสถานที่งดใช้เสียง
“คุณปรานต์จะมาใช่ไหม”
เสียงทุ้มเรียบนิ่งดังก้องไปทั่วห้องจนทุกคนสะดุ้งแล้วหันมองหน้ากันเลิกลัก
“ชะ ใช่ค่ะคุณรบ ทางนั้นแจ้งว่าวันนี้คุณปรานต์จะเข้ามาคุยงานเองเพราะกลับมาจากต่างประเทศแล้วค่ะ”
“แล้วสารินไปไหน จวนจะได้เวลาแล้วทำไมยังไม่มาสักที”
ประโยคที่เอ่ยถึงอีกคนไม่รู้ว่าด้วยตำแหน่งหรือเพราะความรู้สึกของตัวเอง การประชุมที่รู้ดีว่าจะต้องเจอใครทำให้รพัฒน์ตั้งตารอคอยมาทั้งคืน
อยากเห็นหน้า
“เอ่อ สารินเตรียมตัวพรีเซนต์อยู่ครับ อีกเดี๋ยวคงเข้ามา”
อดิศรณ์เอ่ยตอบขณะคนฟังทำราวกับเป็นเพียงลมผ่านหู ทว่าข้างในช่างต่างกันลิบลับ ท่าทางภายนอกคือผู้บริหารหนุ่มกำลังจดจ่ออยู่กับการอ่านเอกสารประชุมอย่างจริงจัง หากแต่ความจริงแล้วประสาทสัมผัสของท่านประธานกลับจดจ่ออยู่เพียงบานประตู และเมื่อคนที่รอคอยมาถึงอัตราการเต้นของหัวใจก็ผิดจังหวะไป
ถึงกับใจเต้นงั้นเลยงั้นหรือ
“เป็นไงบ้างสอง”
ผู้เป็นรุ่นพี่กระซิบถามยามสารินนั่งลงข้างตัว เพราะสิ่งที่แตกต่างจากการประชุมครั้งก่อนๆคือการมาของใครบางคนซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความโหด...โหดทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว
ปรานต์ นฤนาทบดี “โอเคครับ”
ความเป็นห่วงถูกตอบกลับด้วยคำสั้นๆและรอยยิ้มบางเบา สารินลอบสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกความมั่นใจอีกครั้ง พยายามมีสมาธิกับงานตรงหน้าทั้งที่รู้ดีว่าตอนนี้สมาธิของตัวเองกำลังถูกรบกวนด้วยสิ่งใด
คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ...
การประชุมซึ่งมีใครอีกคนรวมอยู่ด้วยทำให้สารินเกิดความสั่นไหวได้มากกว่าการต้องพรีเซนต์ให้ปรานต์ฟัง แม้จะพยายามกดความสนใจให้จดจ่ออยู่กับงานทว่าสุดท้ายแล้วความรู้สึกข้างในก็เป็นฝ่ายชนะ ดวงตาไม่รักดีหันไปมองรพัฒน์อย่างไม่อาจห้าม และเป็นจังหวะเดียวกับที่คนถูกมองเงยหน้าขึ้นมา...
เสี้ยววินาทีที่สายตาประสานก่อนสารินจะเบือนหลบไปทางอื่น เป็นเสี้ยววินาทีที่ทำให้ใจพังครืนลงมาไม่มีชิ้นดี สติทั้งหมดปลิวหายจนแทบลืมเลือนแม้กระทั่งเรื่องงานในหัว
“หวังว่าคุณจะไม่ทำให้บริษัทผิดหวัง”
เสียงทุ้มราบเรียบจากผู้มีอำนาจสูงสุดเรียกสายตาสารินให้หันกลับไปสบอีกครั้ง ประโยคที่ตั้งใจสื่อถึงเพียงคนเดียวกลับก่อความเสียวสันหลังให้เกิดกับทุกคน ใบหน้าของอีกฝ่ายราบเรียบ ดวงตาที่ทอดมองมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
นั่นสินะ...คงเป็นเขาที่เป็นบ้าอยู่ฝ่ายเดียว
“ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ”
เสียงที่ตอบกลับไปเรียบนิ่งและจริงจังจนแม้แต่สารินยังชื่นชมกับการแสดงของตัวเอง สายตาที่ยังคงประสานกันกำลังก่อความรู้สึกให้หมุนวนสั่นไหว หากไม่มีฝีเท้าหนักแน่นของใครบางคนดังขึ้นขัด บรรยากาศแปลกๆระหว่างผู้บริหารและพนักงานคงทำให้คนในห้องขาดอากาศหายใจด้วยความอึดอัด
เรือนร่างสูงใหญ่พอๆกับรพัฒน์เดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าห้อง เพียงแค่ปรานต์ นฤนาทบดีปรากฏกายบรรยากาศอึมครึมก็แปรเปลี่ยนเป็นมืดมิด ใบหน้านั้นดูดีจนผู้หญิงหลายคนยอมสยบหากแต่ในความดูดีนั้นกลับมีความไม่น่าเข้าหาที่มากกว่า
มันเรียบนิ่งและแผ่ไปด้วยรังสีแห่งความน่ากลัว
“สวัสดีครับคุณปรานต์”
รพัฒน์หยัดกายขึ้นพลางกล่าวคำทักทายอีกฝ่ายอย่างที่ควรทำ ทั้งสองมีความคุ้นเคยกันอยู่พอสมควรการแนะนำชื่อตัวเองจึงเป็นสิ่งไม่จำเป็น
“สวัสดีครับ...หวังว่าทุกคนในที่นี่คงเตรียมตัวพร้อมกันแล้ว”
เสียงทุ้มเย็นเยียบยามเอ่ยเข้าเรื่องอย่างไม่ต้องการเสียเวลาเรียกความสั่นไหวจนหลายคนในห้องลอบกลืนน้ำลายตัวเอง
“ครับ ทางเราเตรียมพร้อมเสมอ”
“ดี ผมหวังว่าความคืบหน้าของโปรเจกต์นี้จะเป็นที่น่าพอใจ...เริ่มประชุมได้”
สิ้นเสียงทรงอำนาจ ปรานต์และพนักงานของ KC Corporation ก็เดินมาทรุดตัวนั่งลงประจำที่ ทุกย่างก้าวของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและน่าเกรงขาม
จากนั้นการประชุมที่แสนหฤโหดก็เริ่มต้นขึ้น และกินเวลาไปตลอดทั้งวัน
--
ตลอดทั้งอาทิตย์เวลาทุกนาทีแทบถูกงานกลืนหาย สมองและร่างกายถูกใช้งานไปกับหน้าที่จนเรื่องของใครบางคนเลือนไปจากความคิดชั่วคราว
เวลานี้พระอาทิตย์ลาลับจนท้องฟ้าสดใสกลายเป็นมืดมิด เหลือเพียงหลอดไฟที่ทำหน้าที่ส่องสว่างแทนแสงจากธรรมชาติ สารินยืนมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนกระจกบานกว้าง บริเวณห้องน้ำของบริษัทเหลือเพียงชายหนุ่มที่อยู่ในนี้
ความเหนื่อยล้ากัดกินจนสองแขนต้องวางค้ำลงกับขอบอ่างล้างมือ ก่อนเสียงถอนหายใจจะดังขึ้นในวินาทีต่อมา
“ดูท่าว่าบริษัทผมจะใช้แรงงานพนักงานหนักมาก”
เสียงทุ้มซึ่งดังขึ้นทำให้คนที่กำลังปล่อยความคิดให้ล่องลอยหันขวับไปมอง แม้ใจจะหล่นวูบจนแทบซวนเซยามเห็นคนที่ยืนอยู่เต็มตา แต่สติก็ยังดึงรั้งตัวเองให้รักษาท่าทีเอาไว้ได้ทัน
“ก็พอสมควรครับ”
สารินตอบตามความจริงพลางหยัดกายยืนตรงแล้วเอื้อมไปหยิบทิชชู่มาเช็ดมือ ภายนอกทุกอย่างอาจดูเป็นปกติทว่าชายหนุ่มรู้ตัวดีว่าทุกการกระทำนี้ถูกทำเพื่อลดความสั่นไหวของตัวเอง โดยมีดวงตาคมจับจ้องการเคลื่อนไหวไม่วางตา เวลาแสนยาวนานในความรู้สึกพลันทำให้รพัฒน์ไม่อาจจะละสายตาไปไหนเลยสักวินาที
หากความรู้สึกที่พาตัวเองก้าวตามอีกฝ่ายมาที่นี่รุนแรงเพียงใด ความรู้สึกในตอนนี้ยามได้เห็นอยู่ตรงหน้ามันทวีความรุนแรงกว่าหลายเท่า
เขาเพิ่งรู้ในวินาทีนี้เองว่าตัวเอง‘คิดถึง’สารินเพียงใด
“ผมจะให้โบนัสให้สมกับความเหนื่อยของคุณ”
แม้ความจริงอยากจะพูดเรื่องอื่นแต่คนไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรก็ยังเอ่ยเรื่องงานต่อเพื่อรั้งให้บทสนทนายืดออกไป
“ขอบคุณครับ”
สารินตอบรับเพียงสั้นๆจากนั้นทิชชู่ในมือก็ถูกทิ้งลงถังขยะ “ถ้าท่านประธานไม่มีอะไรแล้วก็ขอทางด้วยครับ”
ภาษาและท่าทางแสนห่างเหินทำให้รพัฒน์ไม่อาจทานทนจนต้องก้าวท้าวเข้าไปหาอีกคน ขณะที่สารินก็ขยับถอยหลังโดยอัตโนมัติ
ไม่ได้รังเกียจหากแต่กลัวใจตัวเองจะรับไม่ไหว
“สอง...”
“หลีกทางด้วยครับ”
เพียงเสียงทุ้มที่เหมือนจะเว้าวอนเอ่ยเรียกชื่อ คนใจไม่แข็งก็เอ่ยขัดในทันใด
ชื่อตัวเองที่หลุดออกจากปากอีกฝ่ายมันมีอนุภาพร้ายแรงกว่าการได้ยินจากใครที่ไหนหลายเท่า
“ผมไม่หลีก”
“ท่านประธะ...”
“หยุดเรียกผมแบบนั้นสักที”
คราวนี้รพัฒน์ก้าวพรวดมาจนประชิดตัวยามกระชากเสียงพูดห้วนจัด ท่าทางซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจ คำเรียกขานที่ตอกย้ำถึงสถานะอันห่างเหินระคายหูและความรู้สึกจนดวงตาคมวาวโรจน์
เขาอยากจะซื้อคำว่าท่านประธานแล้วโยนทิ้งออกไปนอกโลก!
“ทำไมล่ะครับ ในเมื่อคุณเป็นเจ้าของบริษัทนี้”
สารินถามกลับเสียงเรียบทั้งที่ความใกล้ชิดตรงหน้ากำลังเขย่าความรู้สึกจนสั่นไหวโคลงเคลง
ไม่ รู้สึกมากแค่ไหนก็ห้ามแสดงออกให้อีกฝ่ายหัวเราะเยาะ
“ตอนนี้ วินาทีนี้มีแค่คุณกับผม ไม่ใช่ท่านประธานกับพนักงานในบริษัท”
“หึ คุณกับผมงั้นเหรอ?”
“...”
“มันไม่มีคำนั้นตั้งแต่สามอาทิตย์ก่อนแล้วครับคุณรพัฒน์”
หรืออาจจะไม่เคยมีมาตลอด
สารินสบสายตามองคนตรงหน้า ส่งความรู้สึกเจ็บปวดของตัวเองไปให้อีกฝ่ายอย่างจงใจ
“ผมคิดถึงคุณ”
เสียงทุ้มที่เอ่ยสารภาพความรู้สึกทอดอ่อนลงทันใดเมื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของสาริน
รพัฒน์รู้ว่าตัวเองมันแย่แค่ไหน และถึงแม้ครั้งนี้มันอาจดูเห็นแก่ตัวจนเกินยอมรับกับการจะรั้งคนที่กำลังเดินออกไปให้กลับมา...แต่เขาก็จะทำ
ประโยคซึ่งเป็นเหมือนค้อนทุบลงมากลางหัวให้สมองคนฟังอื้ออึง แววตาลุ่มลึกตรงหน้ามีอะไรบางอย่างจนใจของสารินแอบคาดหวังและยินดี ทว่าความเจ็บปวดและทุกอย่างในอดีตก็ย้ำเตือนว่าอย่าหลงเชื่อภาพลวงนี้
พอแล้ว
“ทำไม คนอื่นมันสนองคุณได้ไม่ถึงใจเหมือนผมงั้นเหรอ” วาจาเผ็ดร้อนแสนรุนแรงมาพร้อมกับรอยยิ้มเยาะ
“สอง!”
“อยากก็บอกว่าอยากครับ อย่ามาทำเป็นพูดว่าคิดถึง”
คำพูดดูถูกความรู้สึกทำให้รพัฒน์ไม่อาจทนฟังได้อีก แรงมหาศาลจู่โจมเข้าหาร่างที่สูงใหญ่น้อยกว่าจนสารินเซไปติดผนัง จากนั้นเรือนกายแกร่งจึงตามเข้ามาแนบชิดอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันจะได้ขัดขืนดิ้นรน เรียวปากได้รูปก็ฉกวูบมาทาบทับ กลืนกินประโยคที่ไม่น่าฟังให้หมดสิ้นด้วยอารมณ์รุนแรง
แม้จะพยายามหลบหลีกลิ้นร้อนที่ไล่กวาดต้อนดูดดึงแต่รพัฒน์ก็คือรพัฒน์ ไม่ว่าจะความรู้สึกหรือสัมผัสก็ไม่อาจหลีกหนีได้พ้น จนท้ายที่สุดแล้วสารินต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้
ยอมแพ้กับการดิ้นรนด้วยรู้ว่ามันสูญแรงเปล่า จากการขัดขืนจึงแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย ปล่อยให้อีกคนทำตามใจจนกว่าจะพอ
เมื่อคนตรงหน้าต่อต้านด้วยการเฉยเมย ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ จึงเป็นรพัฒน์ที่ค่อยๆรู้สึกตัวจนสัมผัสบุ่มบ่ามเอาแต่ใจกลายเป็นทาบทับแน่นิ่ง ทุกอย่างหยุดชะงักจนราวกับเวลาหยุดเดิน นานหลายวินาทีกว่าริมฝีปากร้ายจะผละออกไปเชื่องช้า
“สอง”
“...”
“ผม...”
“คุณมันก็แบบนี้ เอาแต่ใจและเห็นแก่ตัว...ไม่เคยเปลี่ยน”
แววตาผิดหวังระคนเจ็บปวดจากคนที่แนบชิดกันทำให้รพัฒน์สะอึกจนพูดไม่ออก น้ำเสียงในประโยคนี้ไร้ซึ่งความเกรี้ยวกราด ไร้ซึ่งความรุนแรง มันเรียบเรื่อย แผ่วเบา ทว่าส่งผลต่อคนฟังได้ราวกับเป็นพายุ
“ผมขอโทษ”
คำนี้ที่ไม่เคยออกจากปากถูกเอื้อนเอ่ยออกมา รพัฒน์เพิ่งรู้ว่าในวินาทีนี้ว่าตัวเองมันแย่เกินกว่าจะให้อภัย ท่าทางของสารินบ่งบอกให้รับรู้จนรู้สึกละอาย
แต่ยังไงเขาก็ปล่อยสารินไปไม่ได้ ต่อให้จะถูกตราหน้าว่าเลวแค่ไหนก็ตาม
“หึ ผมคงจะรู้สึกดีถ้าได้ยินในวันนั้น แต่วันนี้คำขอโทษนี้มันไม่มีค่าอะไรเลยสักนิด”
“...”
“ไม่มีค่าสำหรับผมเหมือนกับตัวคุณ”
ทุกถ้อยคำนั้นบาดลึกและเสียดใจคนฟังจนร่างกายสูงใหญ่ไร้เรี่ยวแรงขืนเอาไว้ยามถูกอีกคนผลักออก สารินลอบสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อคนเอาแต่ใจยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง ร่างกายสั่นไหวถูกพยายามควบคุมจนมันเริ่มกลับมาเป็นปกติ สองมือที่กำแน่นจนชาคลายออกจากกัน ก่อนขาแกร่งจะก้าวเดินเพื่อออกไปจากตรงนี้
หมับ
“ผมรู้ว่าคนอย่างผมมันแย่เกินกว่าที่คุณจะให้อภัย”
“...”
“แต่ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับโอกาสนั้นอีกครั้ง”
คนที่รั้งแขนเอาไว้เดินอ้อมหยุดอยู่ตรงหน้า ดวงตาคู่นั้นฉายความมาดมั่นจริงจังจนความหวาดหวั่นก่อเกิดขึ้นในใจ ด้วยเพราะรู้ดีว่าหากอีกฝ่ายได้มุ่งมั่น คนอย่างรพัฒน์จะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้สิ่งนั้นมา
มือหนาที่วางจับอยู่บนท่อนแขนเลื่อนลงมากอบกุมมือใหญ่ซึ่งมีขนาดไม่ต่างกัน ความอุ่นร้อนจากปลายนิ้วแผ่ซ่านไปทั่วกระทั่งลามไล้จนถึงใจอันหนาวเหน็บ ก่อนที่อีกคนจะขยับออกและหนีหายรพัฒน์ก็ทาบทับสัมผัสลงไปบนริมฝีปากนั้นอีกครั้ง
แนบชิด ติดตรึง ไร้ซึ่งการรุกราน
นานหลายวินาทีแล้วผละออกอย่างเชื่องช้า จากนั้นจึงไล้สัมผัสเรื่อยมาไปตามสันจมูกโด่ง ขยับขึ้นไปกระทั่งจรดริมฝีปากลงบนหน้าผาก
“ผมจะทำให้คุณกลับมาเป็นของผม...ด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ความต้องการ”
พูดจบความใกล้ชิดก็ขยับถอยห่าง ดวงตาคมกวาดมองคนที่ยืนนิ่งอีกครั้งก่อนร่างสูงจะยอมหมุนตัวเดินออกไป ทิ้งให้สัมผัสเมื่อครู่และประโยคสุดท้ายสลักลึกอยู่ในใจและความคิดของใครอีกคน
[ 55 % ]
“คุณรพัฒน์คะ คือ...คุณรรินมาขอพบค่ะ”
ชื่อคนที่มาขอเข้าพบทำให้มือหนาที่กำลังตวัดเซ็นเอกสารอยู่ชะงัก หากแต่ยังไม่ทันจะเอ่ยตอบรับหรือปฏิเสธประตูบานกว้างก็ถูกเปิดเข้ามาด้วยฝีมือของผู้หญิงคนนั้น
คนซึ่งขึ้นชื่อว่าแม่แต่ไม่เคยทำตัวเป็นแม่
“จะเข้ามาพบลูกชายตัวเองคงไม่ต้องรอคำอนุญาตหรอกใช่ไหม”
รพัฒน์จ้องอีกฝ่ายอย่างเบื่อหน่ายจากนั้นจึงส่งแฟ้มเอกสารให้กับเลขา ก่อนอีกฝ่ายจะรีบรับแล้วเดินออกไปอย่างรู้งาน
“ไม่ต้องรอคำอนุญาต แต่ก็ควรต้องมีมารยาทเคาะประตูก่อนเข้ามา”
“แม่คิดว่ามันไม่ได้จำเป็น”
“อย่าแทนตัวเองด้วยคำที่ไม่เหมาะสมกับคุณขนาดนั้น ผมฟังแล้วจั๊กจี้หู”
ประโยคและสีหน้าของคนเป็นลูกทำลายความนิ่งสงบของท่าทีนั้น จนใบหน้าสวยซึ่งดูอ่อนกว่าอายุจริงทอความวาวโรจน์อย่างไม่อาจปกปิดอาการ
“ฉันเองก็ไม่อยากจะพูดกับแกนักหรอกนะ”
อีกฝ่ายกัดฟันพูดเสียงลอดไรฟัน ธาตุแท้ที่เป็นความจริงถูกเปิดเผยต่างจากตอนเพิ่งเข้ามาราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
นี่แหละความจริงที่ผู้หญิงคนนี้เป็น
“ไม่อยากพูดก็เชิญกลับไป ผมเองก็ไม่อยากฟัง”
“หึ ฉันก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานนักหรอก ที่มาก็แค่จะมาบอกอะไรที่ทำให้แกตาสว่าง...โอ๊ะ อันดับแรกต้องแสดงความยินดีด้วยนะจ๊ะที่เลิกกับความผิดเพศนั้นได้แล้ว ก็อย่างว่านะ มันไม่มีทางคงทนอย่างที่ฉันว่าเอาไว้ เห็นว่าอดีตคู่นอนของแกก็มีผัวใหม่อย่างรวดเร็วเลยนี่ ร่านไม่เบานะ”
พลัก
เพียงไม่กี่วินาทีรพัฒน์ก็ผุดลุกขึ้นแล้วก้าวถึงตัวคนพูด การกระทำทุกอย่างไปก่อนความคิด รวมถึงมือหนาซึ่งวางอยู่บนปลายคางของคนซึ่งมีความคิดแสนน่ารังเกียจ
สิ่งที่น่าเสียใจที่สุดคือความจริงที่ว่าเขาเกิดมาจากผู้หญิงคนนี้
“คุณคงรู้จักคำนี้ดีสินะถึงได้ว่าคนอื่นไปทั่ว”
“นี่ฉันเป็นแม่แกนะ!” แรงบนมือหนาเริ่มลงน้ำหนักมากขึ้นจนใบหน้าเบ้บิดด้วยความเจ็บ
“คนอย่างคุณอย่าว่าแต่เป็นแม่เลย เป็นคนยังไม่สมควร”
“แก! ไอ้ลูกชั่ว”
“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นลูกของคุณ...ก่อนจะว่าคนอื่นน่ารังเกียจดูตัวเองก่อนเถอะ ความคิดและคำพูดของคุณมันน่ารังเกียจกว่าอะไรเป็นไหนๆ”
“หึ มันไม่น่ารังเกียจเท่าการมั่วซั่วของอีตัวนั่นหรอก”
อีกฝ่ายสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมและรพัฒน์ก็ยอมปล่อยโดยง่ายเพราะไม่อยากแตะต้องคนซึ่งมีความคิดสปรกแบบนี้นานนัก
“ฉันมาบอกบุญ ถ้าแกอยากตาสว่างคืนนี้ก็ไปที่นี่”
กระดาษแผ่นเล็กในมือนั้นถูกปาใส่อกแกร่งก่อนมันร่วงหล่นลงบนพื้น
“...”
“แล้วจะได้รู้ว่าพวกแกมันน่ารังเกียจยิ่งกว่าฉัน”
คนซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแม่เอ่ยทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะหมุนตัวกลับไป จากนั้นเสียงปิดประตูดังปังอย่างรุนแรงก็ดังตามมา
กระดาษบางอย่างที่ปลิวตกอยู่บนพื้นกระตุ้นให้รพัฒน์เอื้อมมือไปหยิบมัน ข้อความที่ปรากฏมีเพียงเวลาและสถานที่จนคิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อพลิกอีกด้านแล้วก็ไม่พบอะไรมากกว่านั้น พลางประโยคคำพูดเมื่อครู่ก็ไหลเข้ามาในหัว
‘แล้วจะได้รู้ว่าพวกแกมันน่ารังเกียจยิ่งกว่าฉัน’
บางอย่างข้างในมันบอกกับเขาว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับสาริน
21.00 น. โรงแรม xxx ห้อง 3015ร่างสูงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูซึ่งมีเลขห้องประดับอยู่ชัดเจน ชั่ววินาทีหนึ่งในอกเกิดความวูบโหวงอย่างไม่เข้าใจ จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อลดอาการนั้น ตรงปลายเท้ามีซองบางอย่างวางอยู่ให้เห็นอย่างจงใจ หลายนาทีกว่ารพัฒน์จะก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา
ลูกกุญแจ...
ดวงตาคมจ้องมองลูกกุญแจในมือก่อนจะเหลือบมองลูกบิดตรงหน้า
เปิดเข้าไปแล้วจะเจอกับอะไร...ผู้หญิงคนนั้นวางแผนอะไรอยู่กันแน่
หลากหลายความคิดวิ่งวนเข้ามาในหัวจนชายหนุ่มต้องเรียกสติตัวเอง ยามตัดสินใจได้มือหนาจึงสอดลูกกุญแจเข้าไปในลูกบิด ก่อนวินาทีต่อมาจะเกิดเสียงปลดล็อคดังคลิก จากนั้นบานประตูจึงค่อยๆถูกเปิดเข้าไป
“อะ อึก”
“อืม”
เสียงแผ่วๆนั้นพาให้ท่อนขาแกร่งก้าวตรงไปหาต้นเสียง ขณะเริ่มรู้สึกว่าอากาศในปอดมันลดลงจนแทบหายใจไม่ออก น้ำลายก้อนเหนียวถูกกลืนลงคอเชื่องช้า ในอกเต้นรัวด้วยจังหวะแห่งความหวาดกลัว
วินาทีที่ผู้ชายซึ่งเข้มแข็ง ไม่เคยหวั่นกลัวต่อสิ่งใดมาตลอดชีวิตเกิดกลัวขึ้นมาจับใจ
กลัว...กลัวว่าเสียงที่ได้ยินจะเป็นเสียงของคนที่ตัวเองคิด
“อือ อาร์ต”
เสียงนั้น...ที่เคยแหบพร่ายามเรียกชื่อเขา
กึก
ภาพตรงหน้ายามเดินเข้ามาถึงข้างในราวกับฟ้าผ่าลงมากลางหัว ดั่งขาสองข้างถูกเหล็กหลายสิบกิโลถ่วงเอาไว้ให้ก้าวต่อไม่ออก สองร่างซึ่งแนบชิดนัวเนียขยับไหวกระทั่งคนที่คร่อมอยู่ด้านบนหันมาเห็น กิจกรรมร้อนแรงจึงหยุดชะงัก
“คุณ!” เสียงร้องอย่างตกใจดังขึ้นในวินาทีนั้น
ยิ่งกว่าสองร่างเปลือยเปล่าคือบางอย่างตรงปลายเท้าซึ่งมีสภาพบ่งบอกว่าถูกผ่านการใช้งานแล้วเรียบร้อย
ถุงยางอนามัย
สารินและอาทิตย์รีบตลบผ้าห่มมาคลุมตัวขณะเบิกตามองอีกคนที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงหน้า สองมือหนากำเข้าหากันจนแขนสั่นระริก ปลายเล็บสั้นกุดจิกเข้าหาผิวเนื้อจนบริเวณนั้นเกิดความชา
แม้จะรู้อยู่แล้วว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างไรแต่การได้เห็นมันห้ามความรู้สึกไม่ได้
“คุณเข้ามาได้ยังไง” สารินถามขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน
ประโยคคำถามแทบไม่เข้าหูรพัฒน์เลยแม้แต่น้อย ในหัวมีเพียงภาพเมื่อครู่จนลืมแม้แต่จะหายใจ ยามอกสะท้านเยือกเมื่อพยายามเอาอากาศเข้าปอดจึงได้รู้
ทรมานราวกับกำลังจมน้ำ ราวกับที่ตรงนี้ไม่มีแม้แต่อากาศให้หายใจ
“สอง...” เสียงที่หลุดออกจากปากไปดังแผ่วเหมือนเพ้อละเมอ
ข้างในปวดหนึบจนเหมือนหัวใจถูกกระชากออกไป ทรมานจนรพัฒน์ไม่คาดคิดมาก่อนว่าความรู้สึกแสนรุนแรงนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ทั้งที่เขาก็ทำกับคนอื่น ทว่าเมื่อเห็นภาพนี้เต็มตากลับทำใจไม่ได้
สารินคงรู้สึกเหมือนกันสินะ ถึงจะไม่เคยเห็นชัดๆแต่ก็เกือบจะ...คงไม่ได้ต่างกัน
นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นตั้งใจให้เห็น
“ความรู้สึกของคุณตลอดมา...”
“...”
“ผมเข้าใจแล้ว”
“...”
“ขอโทษ”
ตลอดเวลาที่ต้องอดทน สารินทำได้ยังไงกัน...ตอนนี้เขาเหมือนจะตายแล้ว
ความรู้สึกที่เพิ่งพานพบและเข้าใจวิ่งเข้ามากระแทกจนคนที่ไม่เคยสั่นไหวกับสิ่งใดแทบไม่มีแรงก้าวเดิน ยิ่งกว่าร่างกายคือหัวใจที่อ่อนแรงเหมือนอยากหยุดทำงาน มันหนักอึ้ง ร้าวราน ราวกับไม่มียังจะทรมานน้อยกว่า
เอามีดมากรีดแล้วควักออกไปยังไม่เจ็บเท่านี้
ประโยคนั้นทำให้คนฟังวูบไหวจนต้องเบือนหน้าหนี มือซึ่งจับชายผ้าห่มอยู่กำแน่นไม่แพ้มือของคนตรงหน้า
รพัฒน์ไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่านั้นเมื่อภาพตรงหน้าบ่งบอกทุกอย่างชัดเจน ดวงตาคมกวาดสายตามองคนทั้งคู่บนเตียงอีกครั้งก่อนจะตั้งสติ รวบรวมแรงแล้วหมุนกายกลับอย่างเชื่องช้า แต่ละย่างก้าวหนักอึ้งจนกว่าจะเดินออกจากห้องมาได้เหมือนต้องใช้พลังไปอย่างมหาศาล
ชายหนุ่มแทบไม่รู้ตัวว่าตัวเองกลับมาที่บ้านได้ยังไง ทุกอย่างมันล่องลอย ปวดหนึบ จนชาไปทั้งร่างกาย
ฮวบ
“เจ้านาย!”
เสียงร้องของคนขับรถดังขึ้นด้วยความตกใจเมื่อร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นนายทรุดลงทันทีที่ก้าวลงจากรถ ท่าทางของรพัฒน์ทำให้ไม่มีใครกล้าขยับเข้ามาใกล้ ได้แต่ยืนมองด้วยความตกใจและสงสัย
อะไรที่ทำให้คนอย่างรพัฒน์มีสภาพเป็นอย่างนี้
ขณะที่ความคิดของคนซึ่งไร้เรี่ยวแรงมีเพียงเสียงและภาพก่อนหน้าตราตรึงอยู่ในหัว ก่อนเปลือกตาหนาจะปิดลงอย่างไม่อาจทานทน
ขณะที่เขาก็เป็นของคนอื่น แต่ตอนนี้ทำไมความรู้สึกรับไม่ได้กลับรุนแรงขนาดนี้
รพัฒน์ไม่ได้รับไม่ได้ที่สารินมีอะไรกับคนอื่น หากแต่ความหมายของการรับไม่ได้นี้คือความทรมานนั้นช่างรุนแรงเกินทน
ผู้หญิงคนนั้นชนะที่ทำให้เขาอ่อนแอได้ขนาดนี้ แต่สิ่งที่พูดกลับถูกแค่เพียงเสี้ยวเดียว
คนที่น่ารังเกียจไม่ใช่สารินเลยแม้แต่น้อย...แต่เป็นตัวเขาเองที่น่ารังเกียจตลอดมา
[100%]
คุณรบโดนเอาคืนแล้วววว ฮือ เจ็บแทนง่ะ รุนแรงสุดเท่าที่เคยเขียนมาแล้วค่ะ อย่างที่รู้กันว่าโซแอลไม่ถนัดม่า เพราะงั้นเลยไม่แน่ใจว่าครึ่งหลังนี้เป็นไง คนอ่านอ่านแล้วหน่วงกันบ้างหรือเปล่า ยังไงส่งฟีดแบคกลับมาหน่อยนะคะ
ตอนหน้าจบแล้วเน่อ~
แฟนเพจ :
https://www.facebook.com/writerexsoull/Twitter :
https://twitter.com/exsoull_