►สับสนในรัก◄10 UP! | (27/7/17)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►สับสนในรัก◄10 UP! | (27/7/17)  (อ่าน 8552 ครั้ง)

ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
►สับสนในรัก◄10 UP! | (27/7/17)
« เมื่อ13-06-2017 21:35:45 »

อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
 
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม






ผมเชื่อว่า ความรักที่ดีที่สุด คือความรักที่เหมาะสมและตรงเวลาที่สุด

แต่ผมกำลังสับสน ว่าจริงๆแล้วคนที่ผมควรรักคือใครกันแน่...

ระหว่างแฟนเก่าที่เลิกลากันไปแบบไม่มีใครบอกเลิก

หรือว่าที่พี่เขยที่เข้ามาพัวพันกับผมด้วยเหตุผลบางอย่าง

และคนแปลกหน้าที่ผมหนีไปพักกับเขาทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่วันเดียว

ผมคิดว่าผมน่าจะชื่อสับสน มากกว่าชื่อสนเฉยๆนะ...โคตรปวดหัวเลยให้ตาย



นิยายเรื่องอื่นๆของไอแอมเดอะแฟตคนอ้วน  -หมอของประชาชนคือคนของเรา (ฟีลกู้ดตามประสาหนุ่มบ้านดอน)


#คำเตือน
นิยายเรื่องนี้กึ่งรักวัยรุ่น กึ่งอบอุ่น กึ่งดราม่าพอยุบยิบหัวใจ
หน่วงหัวใจนิดๆ ผิดศีลธรรมหน่อยๆ(คิดว่าหน่อย555) แต่อร่อยกรุบกริบ
อยากจะเชิญชวนมาเป็น #ทีมดูต้นทางให้สับสน กันเถอะ






สั บ ส น ใ น รั ก
(Open 13.6.17)

สารบัญ

ตอนที่1
ตอนที่2
ตอนที่3
ตอนที่4
ตอนที่5
ตอนที่6
ตอนที่7
ตอนที่8
ตอนที่9
ตอนที่10

นิยายเรื่องอื่นๆของไอแอมเดอะแฟตคนอ้วน 

หมอของประชาชนคือคนของเรา (ฟีลกู้ดตามประสาหนุ่มบ้านดอน)

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-07-2017 05:46:55 โดย ไอแอมเดอะแฟต »

ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 1 UP | I N T R O (13/6/17)
«ตอบ #1 เมื่อ13-06-2017 21:47:18 »

สับสนในรัก

I N T R O



“หมูปิ้ง4ชุด ข้าวเหนียว2ห่อครับ” เอ่ยสั่งไปด้วยความเคยชินอย่างไม่ใส่ใจนัก มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงแสล็คสีดำมันปลาบ มืออีกข้างที่ถือกระเป๋าเอกสารหลวมๆยกขึ้นมาในระดับเดียวกันกับกระเป๋าเงิน หยิบธนบัตรร้อยบาทหนึ่งใบส่งให้เด็กสาวที่ทำหน้าที่เฝ้ากล่องเก็บเงิน

“วันนี้กินข้าวเหนียวสองห่อเหรอคะพี่ปลา กินหมดเหรอคะ” เด็กสาวกล่าวพลางหยิบถุงหมูปิ้งที่จัดชุดไว้ใส่ถุงหูหิ้ว  หยิบข้าวเหนียวห่อละสิบบาทใส่ตามกันไปอีกสองถุง ไม่ลืมที่จะหยิบหมูปิ้งแถมให้ขาประจำที่สัญจรมาทุกคืนไปอีกสองไม้

ขาประจำรายนี้จะว่ามาซื้อทุกคืนก็คงไม่ถูกนัก แต่ถ้าจะเรียกว่าเกือบทุกคืนแบบถี่ๆก็คงพอพูดได้ เพิ่งมาสมัครเป็นลูกค้าวีไอพีเมื่อสองเดือนก่อน เวลาที่มาก็ไม่แน่นอนนัก บ้างก็สองทุ่ม บ้างก็สามทุ่ม บ้างก็นู่น...ตลาดวายแล้วก็มี

ไม่รู้ว่าทำงานอะไร เห็นแค่ว่าแต่งกายด้วยชุดดูดี เสื้อเชิ้ตขนาดพอดีกับรูปร่างรีดเป็นกลีบสวย ผูกเนคไทสีเข้มโทนเดียวกันทุกครั้ง กางเกงสีดำมันปลาบรัดสัดส่วนเข้ากับรองเท้าหนังที่ไม่ได้เห็นง่ายๆตามท้องตลาด 

และมาพร้อมกับน้ำหอมกลิ่นประจำที่แทบจะกลบกลิ่นเหม็นของหมูปิ้งไปจนหมด

‘ปลา’ เพียงแค่ยิ้มบางๆแล้วรับถุงหิ้วจากมือเด็กสาววัยมัธยมต้น เขาสาวเท้ายาวๆไปตามริมฟุตปาธอย่างไม่เร่งรีบนัก มองดูข้าวเหนียวห่อใหญ่ในถุง นึกถึงคำพูดของน้องส้มลูกสาวแม่ค้าขึ้นมา มุมปากยกขึ้นสูง โคลงหัวเล็กน้อย

เขาไม่ชอบกินหมูปิ้งที่มีมันเยิ้ม ไม่ชอบกินข้าวเหนียวที่ทำให้ท้องอืด

...ที่เขาซื้อทุกวันเขาไม่เคยกินเองเลยสักครั้ง

และผู้ที่รอหมูปิ้งจากเขาก็ไม่ใช่คนเสียด้วย

แม้ว่าการจราจรบนท้องถนนกรุงเทพจะติดขัด แต่ปลาก็เลือกที่จะใช้Toyota Camryสีดำมันปลาบขัดแก้วเป็นพาหนะคู่ใจแทนที่จะใช้บริการรถไฟฟ้าBTS หรือ MRT เพราะระยะเวลาในการทำงานของเขาไม่แน่นอนนัก และหากเรียกใช้วินหรือแท็กซี่ก็คงไม่สะดวก

ปลาหักพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าไปในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ทันทีที่เครื่องยนต์ดับสนิท สุนัขพันธ์ทางตัวอ้วนกลมสีดำด่างเหมือนหมีแพนด้าก็พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ วิ่งมาที่รถซึ่งเคยทำเครื่องหมายด้วยการอ้าขาฉี่ใส่อย่างดีอกดีใจ

นี่คือเจ้าประจำของเขา มันชื่อว่า ‘เจ้าหลง’ เพียงแค่ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามา มันก็จำได้แล้วว่าใคร ฉลาดเสียจนไม่น่าเชื่อว่าจะถูกใครสักคนนำมาปล่อยทิ้งในสวนสาธารณะย่านใจกลางเมืองแต่ไร้การบูรณะแบบนี้

ทั้งต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านเสียจนเกรงว่าจะหักใส่หัวผู้มาใช้บริการเข้าสักวัน ทั้งอุปกรณ์เครื่องเล่นออกกำลังกายที่มีมากกว่าสิบเครื่องก็พังเสียหายไปเกือบครึ่ง   ไม่อยากจะเชื่อว่าที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองจริงๆ แต่ก็ยังดีที่มีผู้มาใช้บริการ เพราะสังคมกรุงเทพมันแออัด ต้องออกมารับลมชมวิวกันเป็นธรรมดา

เมื่อปลาขยับเท้าเดิน เจ้าหมาตัวอ้วนกลมก็ขยับย้ายส่ายพุงเดินตามมาต้อยๆ ยามเมื่อเขาหย่อนสะโพกลงบนม้านั่งที่ทำจากเหล็กเบาย้อมสีมะฮอกกานี มันก็ค่อยๆหย่อนก้นลงนั่งบนพื้นอิฐตัวหนอนบ้าง เงยหน้าขึ้นมองเขา ส่งเสียงแฮ่กๆ น้ำลายเหนียวหนืดไหลย้อยออกมาจากมุมปาก

ดูก็รู้ว่ากำลังรอเวลาที่จะได้ยลโฉมน้องหมูที่ยังดูร้อนกรุ่นในถุงหูหิ้วอยู่

ดวงตาสีดำที่ดูเหมือนแทบจะไร้อารมณ์หลังกรอบแว่นสีเงินนั้นมองดูเศษขยะปลิวว่อนเมื่อลมพัด กลิ่นเหม็นสาบของน้ำขยะที่ไหลออกมาจากจากก้นถังส่งกลิ่นคละคลุ้งทุกครั้งที่มา

เขามองดูเสาไฟสูงที่ขึ้นสนิม หลอดไฟกะพริบเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับอยู่อย่างนั้นเหมือนทุกครั้งที่เขามา แมลงกลางคืนบินวนเวียนรอบๆหลอดไฟ ทำให้แสงสลัวนั้นยิ่งวูบไหวดูน่ากลัว

แม้วันนี้อากาศจะค่อนข้างหนาวกว่าปกติอยู่บ้าง แต่เขาก็พอทนได้ ด้วยที่เคยอยู่ต่างประเทศมาก่อน ยกมือขึ้นมากอดอกหลวมๆก็พอจะบรรเทาความหนาวเหน็บได้บ้าง

แต่นั่นคงไม่ใช่กับคนที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวข้างๆ...

เสียงกึกๆ อันเกิดจากฟันกระทบบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงหนาวไม่น้อย เสียงนั้นดังไม่เป็นจังหวะดีนัก เดี๋ยวดัง เดี๋ยวหยุด อาการเดียวกับคนไข้ที่หนาวสั่นจนช็อก

ปลาเหลือบตามองดูร่างนั้น เห็นเป็นร่างสูงในชุดเสื้อยืดคอกลม สวมกางเกงเนื้อยีนสีซีด...

ร่างนั้นเป็นเด็กผู้ชาย เดาจากรูปร่างผอมบางคงไม่เกินสิบแปดปี ดูจากสายตาแล้วสูงกว่าเขาเกือบฝ่ามือ คงสักประมาณร้อยแปดสิบต้นๆ เส้นผมสีอ่อนปิดใบหน้าครึ่งซีก นั่งชันเข่าบนม้านั่ง ใบหน้านั้นแนบกับต้นแขนที่ดูขาวผ่องในความมืดสลัวซึ่งตวัดโอบล้อมเข่าไว้

ระยะห่างระหว่างทั้งคู่มีไม่ถึงหนึ่งเมตรเท่านั้น...

ปลาเอาหมูปิ้งออกมาจากถุงให้เจ้าหลงขาประจำของเขากิน ดันข้าวเหนียวออกมาจากถุงแล้ววางไว้บนพื้นปูนที่ดูสะอาดหน่อย

เหลือบมองเด็กหนุ่มด้วยหางตา

ร่างผอมบางนั่งจ้องมองพื้นปูนิ่ง ดวงตาคู่นั้นดูว่างเปล่าราวกับว่าอยากจะให้แผ่นดินสูบเขาลงไปจะได้ไม่ต้องคิดอะไรมากยังไงยังงั้น

ปลาคล้ายเห็นหยาดน้ำใสๆปริ่มหน่วยตา แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรนอกเหนือจากนั้น

น้ำตาเด็กหนุ่มร่วงลงพื้นหนึ่งเผาะ และตามมาด้วยสองสามสี่จนนองหน้า...

ปลานั่งเงียบ...

นั่งฟังเสียงน้ำหยดลงพื้นเงียบๆ

มันบาดลึกเข้าไปในใจ...

คล้ายเห็นตัวตนเสี้ยวหนึ่งของเขาซ้อนทับเด็กหนุ่มอยู่

.

ซึ่งเขาไม่ชอบเลย...

หลังจากที่นั่งตากลมร่วมสิบนาที ปลาเหยียดตัวลุกขึ้นยืน ปัดเศษดินออกจากกางเกงเล็กน้อย

เขาเก็บถุงหูหิ้วไปทิ้งถังขยะ เด็กหนุ่มคนนั้นนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิม น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว แต่ยังหลงเหลือเสียงสะอื้นไว้

คงจะเป็นแฟนทิ้ง อาจจะหนีออกจากบ้าน หรือไม่ก็มีปัญหาอะไรบางอย่าง

ปลาคิดอย่างไม่ใส่ใจนัก

เขาขับรถยนต์สีดำมันปลาบกลับคอนโด ตัวยังไม่ทันผลัดผ้า ผิวกายยังไม่ทันสัมผัสน้ำก็ทิ้งตัวลงนอนบนฟูกนุ่มอย่างอ่อนล้า นอนเหยียดตัว พยายามข่มตาหลับ แต่เสียงสะอื้นเบาๆกับหยดน้ำตาที่ร่วงกระทบพื้นของเด็กหนุ่มยังคงไม่จางหายไปจากความคิด

ราวกับมีเมล็ดพันธุ์ฝังลงในสมอง...และมันกำลังลุกลามอย่างไร้วิธีต้านทาน

เขานอนไม่หลับ แม้ร่างกายจะอ่อนล้าจากการทำงานแต่ก็ทำได้เพียงปิดเปลือกตาลงเท่านั้น เขาพลิกตัว  นาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียงบอกเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว มีเพียงเสียงแอร์ที่ทำงานหนักเท่านั้นที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ

ปลาโคลงหัว ภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นยังฝังแน่นในสมอง

เผลอนึกถึงใครสักคนที่เขาไม่อยากจะจำ...เป็นคนใจร้ายคนหนึ่ง

คนที่ทำให้เขามีอาการไม่ต่างจากเด็กหนุ่มคนนั้น จนแทบจะกลายเป็นโรคซึมเศร้า

ปลารู้สึกเบลอเล็กน้อยคล้ายถูกของหนักกระแทกเข้าที่หัวหลายครั้ง เขารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่บนท้องถนนพร้อมรถเก๋งคู่ใจคันสีดำสนิทมันปลาบที่แทบจะหายตัวไปกับความมืดหากไม่มีแสงไฟยามราตรีสาดส่อง ปลายทางที่เขากำลังมุ่งไปสู่คือสวนสาธารณะแห่งนั้น

จำไม่ได้ว่าเขาได้ล็อครถหรือเปล่า...

จำไม่ได้แม้กระทั่งว่ามายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง...เอ่อ เขาเดินมานั่นแหละ แต่ว่าด้วยอาการค่อนข้างมึนงงเหมือนลืมกินยาระงับประสาท เขารู้ตัวอีกทีก็ยืนจ้องมองร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว

เด็กหนุ่มนั่งบนม้านั่งตัวเดิม ไม่ได้ขยับไปไหน เมื่อหลายชั่วโมงก่อนนั่งท่าไหน ตอนนี้เด็กหนุ่มก็อยู่ในท่าเดิม กอดเข่า...แนบหน้าไปกับท่อนแขนเล็กๆ เส้นผมเล็กละเอียดปรกใบหน้าไปครึ่งแถบ

และ...มีเสียงสะอื้นไห้เหมือนเดิม มันดังแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาปิดกั้นไม่รับฟัง

ราวกับเด็กหนุ่มมีสัมผัสพิเศษถึงได้รู้ว่าเขายืนจ้องอยู่ ใบหน้าซีดเซียวเพราะอากาศหนาวค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากท่อนแขนบอบบาง

ใบหน้านั้นไร้เครื่องสำอางปรุงแต่งแต่ก็ยังมีเสน่ห์แห่งช่วงวัยแฝงไว้ ดวงตารียาวที่แดงก่ำมีหยาดน้ำตารื่น ขอบตาของเด็กหนุ่มบวมเป่ง ใบหน้ากลมมนมีคราบน้ำตาไหลเป็นทางยาว

เขาเคยเห็นเด็กหนุ่มคนนี้มาก่อน...

เมื่อหลายวันก่อนใกล้บริษัท

ความทรงจำช่วงนั้นไหลย้อนเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ

เขากำลังยืนคุยกับไอ้เอ็กซ์อยู่ในห้องน้ำ




“ปลา มึงไม่คิดเหรอว่าเดี๋ยวนี้พวกคนหน้าตาดีนี่มีแต่คนแปลกๆ” เอ็กซ์ ชายหนุ่มตัวสูงผิวสีแทนออกคล้ำในชุดพนักงานบริษัทด้านเอกสารเอ่ยขึ้นมาขณะยืนล้างมือในห้องน้ำ ภาพในกระจกสะท้อนให้เห็นว่าปลาเองก็ยืนล้างมืออยู่ใกล้ๆ

“แปลกยังไง” ปลาสะบัดน้ำออกจากปลายนิ้ว ยื่นมือไปหยิบทิชชู่แผ่นหนาออกมาซับน้ำบนใบหน้า

“ก็อย่างน้องผู้ชายชุดนักเรียนคนนั้นไง มาเดทกับผู้ชายแก่ๆอายุรุ่นพ่อ มึงว่ามันไม่แปลกเหรอวะ”

 “อ้อ” เขาส่งเสียงเพื่อแสดงว่าเขาเองก็เห็นแบบที่มันเห็น

คำพูดของเอ็กซ์ ทำให้ปลาหวนความทรงจำไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้

มันเป็นช่วงเวลาพักเที่ยง เขากินอาหารเที่ยงที่โรงอาหารบริษัท จากนั้นก็ขับรถเก๋งสีดำมันปลาบคู่ใจฝ่าแดดออกมาข้างนอกเพื่อหาเครื่องดื่มเย็นๆดื่มและต้องการคุยเรื่องสัพเพเหระที่ร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากบริษัทนัก

เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีชายวัยกลางคนใส่ชุดสูทมานั่งจิบกาแฟหรือคุยธุรกิจกันที่นี่ เนื่องจากความเงียบและการตกแต่งที่คลาสสิกเลียนแบบบรรยากาศในประเทศฝั่งตะวันตก

แต่เป็นเรื่องแปลกที่เด็กหนุ่มใส่ชุดนักเรียนของโรงเรียนชื่อดังในย่านนี้จะมานั่งส่งสายตาหวานๆให้คนมีอายุเยอะกว่า จนไอ้เอ็กซ์สะกิดเขายิกๆให้หันไปมองก่อนที่มันจะเดินลิ่วไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ แต่ไม่ใช่กับปลา เขาอดที่จะชำเลืองตามองเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้แม้ว่าตอนนั้นจะกำลังเดินไปนั่งที่โต๊ะอยู่ก็ตาม

เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ชุดเสื้อนักเรียนแขนแขนสั้นสีขาว มีแถบสีฟ้าโทนทึบๆคล้ายสีครามสามแถบบนคอเสื้อและแขน  ปักตราโรงเรียนไว้กึ่งกลางของอกทางด้านซ้าย  กางเกงสีเทาอมฟ้าความยาวประมาณเข่า

อาจจะด้วยความบังเอิญ หรืออะไรก็ตาม เด็กหนุ่มคนนั้นเงยหน้าขึ้นจากการกินเค้ก

เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เด็กหนุ่มและเขาได้สบตากัน นั่นทำให้ปลาได้รู้สึกว่าเด็กหนุ่มเป็นคนหน้าตาดีอย่างที่เอ็กซ์พูดจริงๆ

ใบหน้าของเด็กคนนั้นขาวใสเป็นธรรมชาติไร้เครื่องสำอางปรุงแต่ง สะอาดสะอ้านโกนหนวดเคราเรียบร้อย ดวงตาเรียวยาวหางตาชี้สีน้ำตาลเทาเหมือนตาตัวการ์ตูนในหนังสือ ริมฝีปากเป็นสีระเรื่อดูธรรมชาติ

ถ้าเข้าม.รัฐแถบนี้คงได้ขึ้นทำเนียบหนุ่มหล่อที่น่าจับตามอง 

“ถึงบอกว่าแปลกไง ปกติอายุเท่านี้ ถ้าหาคู่ควงหาแฟนส่วนมากก็จะมีแฟนรุ่นๆหนุ่มๆเอ๊าะๆใช่มั้ยล่ะ อย่ามองแบบนั้นสิวะ เห็นแบบนี้กูก็รู้นะเว้ย กูเคยติดตามพวกซีรี่ย์นักเรียน ป่ากับวาโยอ่ะมึงเคยดูป่ะ” เอ็กซ์ปรายตามองปลาที่อยู่ในกระจก “กูว่านะ ตาลุงวัยทำงานอย่างพวกเราบางทีอาจจะมีสิทธิ์ลุ้นนะเว้ย ถ้าเด็กสมัยนี้เปลี่ยนรสนิยมไปเป็นแบบเด็กผู้ชายคนนั้น”

ทั้งคู่อายุยี่สิบเจ็ดย่างยี่สิบแปด สถานะโสดสนิทแชทเงียบกริบชนิดป่าช้ายังอาย ในไลน์ก็มีแต่กรุ๊ปบริษัทและกรุ๊ปมหา’ลัยที่ยังคึกครื้นอยู่

อาจจะเป็นเพราะความอิจฉาผู้ชายรุ่นพ่อคนนั้นจึงทำให้มันบ่นอย่างรู้สึกเสียดายไม่ได้

“มึงว่าน้องเขานี่บนล่างวะ กูว่าถ้าบนนะบทพลิก”

“ไอ้ห่านี่” เขาตบหัวมันไปทีหนึ่ง โทษฐานพูดจาละลาบละล้วงคนที่ไม่รู้จักจนเกินไป ต่อให้เด็กมันเป็นหรือไม่เป็นไอ้ลุงวัยลูกสามขวบคนนี้ก็ไม่ควรพูด

มันกลอกตาเดาะลิ้นอย่างนึกเซ็ง “ก็แค่คิดโว้ย ก็แค่คิด !”

“แล้วจะคิดไปทำไม อยากเปลี่ยนแนวลองดูหรือไง” ปลาถอนหายใจ ไอ้เอ็กซ์เบ้ปาก

“ไม่เอาว่ะ กลัวเด็กมันคึก เผลอๆขึ้นกูมาจะว่าไง อยากได้เมียนะโว้ย! เด็กมันหล่อไป เมียกูต้องสวยๆดิ”

“มึงก็ไปหิ้วตามผับเหมือนที่ทำทุกวันสิ” ได้ยินปลาแซว ไอ้เอ็กซ์ก็สบถคำหยาบใส่หลายคำ แล้วเดินออกจากห้องน้ำ

เมื่อเอ็กซ์นั่งลงบนที่นั่งตัวเดิม ปลาก็ยังกลั้นขำไว้ไม่ได้ หน้าตามันดูหวาดๆตอนเดินผ่านเด็กคนนั้น สงสัยกลัวเด็กลูกครึ่งมันขึ้นคร่อม เสียตำนานเสี่ยเอ็กซ์

เขาแอบชำเลืองมองเด็กหนุ่มคนเดิมอย่างแนบเนียน เด็กหนุ่มกำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ และสบตากับเขาอีกรอบ

เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่เด็กหนุ่มคนนั้นจ้องมองมาที่เขา..

แต่ปลาจำได้ไม่เคยลืม...



และตอนนี้เด็กหนุ่มก็ยังจ้องเขาอยู่

แต่เพียงครู่เดียวเด็กหนุ่มก็หลบสายตาเหมือนครั้งก่อน

“ดึกแล้วนะ เราไม่กลับบ้านเหรอ”

“...”

มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา

“มีคนมารับเรารึเปล่า”

“...”

เด็กหนุ่มเม้มปากเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไร

“ให้พี่ไปส่งมั้ย...”

เด็กหนุ่มเงียบ...

เงียบไปหลายนาที

ได้ยินเสียงสะอื้นดังขึ้นมาเบาๆหลังจากนั้น

คนฟังรู้สึกเจ็บแปลบในอก

“ผมไม่อยากไปที่นั่น...” เด็กหนุ่มตอบกลับมาเสียงแผ่ว คล้ายจะไม่มีแรงพูด ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นสั่นระริกคล้ายกั้นน้ำตาที่เอ่อล้นไว้ไม่อยู่

ฟุบหน้าลงไปกับท่อนแขนตามเดิมราวกับต้องการซ่อนน้ำตา กอดตัวเองแน่นป้องกันความหนาวเหน็บ

เด็กหนุ่มเงียบไปนานถึงพูดขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค

“ให้ตายผมก็ไม่กลับ...”

....

“งั้นให้พี่อยู่เป็นเพื่อนเราดีมั้ย...”

ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาพูดไปแบบนั้น

“ไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน หิวหรือเปล่า...”

เขาสรุปว่ามันเป็นเพราะความสงสาร

คงจะคล้ายๆกับการที่เขาต้องแวะซื้อหมูปิ้งมาให้หมาที่ไม่รู้จักชื่อทุกวัน เดาเอาเองว่ามันจรจัดทั้งๆที่ความจริงคงจะมีเจ้าของ

ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มที่ตัวสั่นเป็นลูกนกเพิ่งพ้นอกแม่ ที่เขาสรุปเอาเพื่อความสบายใจว่าเด็กหนุ่มนั้นถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเหมือนเขา...

แต่อะไรก็ตามที่เขาคิดแล้วก็สบายใจ

เขาก็จะปักใจเชื่อแบบนั้น...

เขาทำเพราะสงสาร...




:katai5: :katai5:
#โลกมักจะเหวี่ยงคนเหงามาเจอกัน5555

ปล.ถ้ามีใครเคยอ่านอาจจะคุ้นๆ ตอนแรกแต่งเป็นชช  แต่ไม่กล้าก็เลยแปลงเป็นชายหญิงลงเว็บ
พอเอาเข้าจริงแล้วมันไม่ใช่เลยพี่ชาย คนอ้วนต้องกลับมาตายรังที่เดิม
ฝากน้องสับสนและเหล่าผู้ชายของเขาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจแม่เล้าด้วยนะเคอะ
 :-[



-ไอแอมเดอะแฟต คนที่ดูแฟตๆหน่อย-




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-06-2017 12:55:02 โดย ไอแอมเดอะแฟต »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ►สับสนในรัก◄ 1 UP | I N T R O (13/6/17)
«ตอบ #2 เมื่อ14-06-2017 10:27:34 »

ต้องลุ้นใช่ไหมคะว่าใครพระเอก กลัวปักธงผิดคนแล้วเฟลมากกกก เอาหมดเลยได้ไหมคะ  :hao7:

ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 2 UP | (14/6/17)
«ตอบ #3 เมื่อ14-06-2017 12:54:05 »

2



ผมนั่งนิ่งอยู่ข้างเบาะคนขับ กลิ่นของรถยังใหม่เอี่ยม คงจะเป็นกลิ่นของเบาะหนังที่ผมหย่อนสะโพกนั่งลงอยู่

ฝีมือการขับรถค่อนข้างระมัดระวัง ขับรถแช่เลนซ้ายยกเว้นเวลาแซงเท่านั้น แม้ถนนยามค่ำคืนจะโล่งราวกับผู้คนพร้อมใจกันไปก่อม็อบประท้วงที่ไหนสักแห่งแต่เขาก็ยังคงขับรถอย่างเชื่องช้าอยู่

เขาแนะนำตัวเองสั้นๆว่า ชื่อ ‘ปลา’

สำหรับผม นั่นเป็นชื่อที่ค่อนข้างจะประหลาดสำหรับชายหนุ่มวัยทำงาน

ผมเดาอายุเขาไม่ออก ทุกวันนี้คนแต่งตัวดีๆมีรถขับคงอายุสักยี่สิบปลายๆ แต่ใบหน้านั้นดูเหมือนว่าเขายังอยู่วัยมหาวิทยาลัยเท่านั้น ใบหน้าของเขาไร้ชีวิตชีวา ดูจืดชืด แต่ก็ดูหล่อเหลา

เหมือนแกงจืดที่ซ่อนเห็ดราคาขีดละหมื่นแปดไว้ข้างใน

ที่ต้องชิมก่อนถึงได้รู้ราคาของมัน

“เราอยากกินอะไร ก๋วยเตี๋ยว ? ข้าวต้ม ? หรือกระเพาะปลา"

คุณปลาไม่ถามชื่อผม เขาแทนผมว่า ‘เรา’ ตามที่เขาพอใจจะเรียก

ผมไม่สนใจความจริงข้อนั้น เราไม่ได้มีอะไรผูกพันกันไปนอกเหนือจากคำว่าคนแปลกหน้าที่เจอกันตอนสามทุ่ม และตอนเที่ยงคืน

และเขาก็แค่...

เป็นคนใจดีคนหนึ่งที่สงสารผมเท่านั้น...

อาจจะเป็นเพราะเราเคยเจอกันในร้านกาแฟครั้งนั้นหรือเปล่าเขาถึงได้ยื่นมือมาช่วยโดยไม่รีรอ

ประหลาดคนดีเหมือนกัน

เมื่อเห็นผมไม่ตอบ เขาถึงได้พูดขึ้น “งั้นกินข้าวต้มนะ ดึกๆจะได้สบายท้อง แล้วเราอยากกินอย่างอื่นอีกหรือเปล่าล่ะ”

“...”

“ว่าไง”

ผมเงียบไปพักใหญ่ถึงได้ตอบ “...ขนมปังกับนมก็ได้ครับ” ผมไม่ได้หิวแต่ไม่ต้องการให้คุณปลาถามต่อหรือสนใจผมไปมากกว่านี้
เหลือบมองดูใบหน้าด้านข้างที่เรียบเฉยของเขาที่ดูคล้ายจะสนใจหรือไม่สนใจก็เดาไม่ได้

เขาส่งเสียงอืมในลำคอเบาๆเป็นคำตอบ

ผมคิดว่าคุณปลาคงสนใจ แต่ทว่าคุณปลากลับหมุนพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ จอดหน้าร้านข้าวต้มโต้รุ่งที่ตั้งอยู่ริมฟุตปาธ เขาบอกให้ผมรออยู่ในรถ ส่วนเดินลงไปสั่งของกับพ่อค้า

ผมแค่นหัวเราะกับตัวเองในความคิด

ผู้ใหญ่ก็แบบนี้...


ผมได้ยินเสียงคุณปลาเปิดประตูรถออก มองดูเขาที่กำลังก้มตัวลอดเข้ามานั่งบนเบาะคนขับด้วยปลายสายตา เขาวางถุงเข้าต้มไว้ด้านหลังเบาะ กลิ่นกระเทียมเจียวลอยฟุ้งชวนน้ำลายสอ เขาปรับกลิ่นน้ำหอมแล้วเปิดแอร์ให้แรงขึ้นเพื่อไล่กลิ่น

ขับรถวนอยู่ถนนสายนั้นอยู่สองสามรอบจึงร้องอ๋อ หมุนพวงมาลัยเลี้ยวกลับไปถนนอีกเส้น


เขาจอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ...


“วนหานานเลย” เขาพึมพำปลดสายเบลล์ตัวเองก่อนปลดให้ผมตามลำดับ “แค่ขนมปังกับนมพี่ว่าไม่อยู่ท้องหรอก เอาซาลาเปากับไส้กรอกด้วยดีมั้ย”

ผมรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยที่เขายังสนใจคำพูดของผมอยู่บ้าง ไม่รู้สิ มันรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาเหมือนผมผลักตัวเองใส่ในเตาไมโครเวฟยังไงยังงั้น รู้สึกดีซะจนผมเกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

จึงตอบเขากลับไปด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นเพราะต้องฝืนกลืนความข่มขื่นลงไปในคอ  “ผมกินอะไรก็ได้ครับ...”

“กินอะไรก็ได้นี่แหละตัวดีเลย คิดยากมาก” เขาพึมพำ ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้น “เราลงมาซื้อกับพี่ดีกว่า พี่เลือกไม่ถูกหรอก”

คุณปลาเปิดประตูรถแล้วก้าวขาออกไปข้างนอก

ผมลงจากรถอย่างไม่แน่ใจนัก ความระแวงยังคงมีอยู่ จ้องมองคุณปลาที่ยืนอยู่ใต้แสงไฟที่ติดกับตัวอาหารด้านบน

ผมเห็นหน้าเขาชัดขึ้น ดูดีมากยิ่งกว่าอยู่ในความมืดของตัวรถ

คุณปลาตัวสูง ดูภูมิฐาน ดวงตาคมมันปลาบแต่ดูนิ่งเหมือนท้องสมุทรบดบังด้วยแว่นตาแบบปรับแสงอัตโนมัติ กรอบสีเงินเหมือนคุณชายพุฒิภัทร เขามีคิ้วเข้มที่ได้รูป ริมฝีปากหยักลึกเป็นร่อง ขนตาหนาเป็นแพยาวทำให้เกิดเงาบนแก้มใส ผมไม่สั้นไม่ยาวมากจนเกินไปตัดเป็นทรงเรียบร้อย

แต่ถ้าพูดตามตรงแล้วผู้ชายที่มีลักษณะทางกายภาพคล้ายคุณปลานั้นมีอยู่ดาษดื่น หาเจอได้ง่ายๆที่ไทเป หรือไม่ก็กังนัม แต่ถ้าสะดวกกว่านั้นก็ลองไปชะเง้อคอมองที่ BTS ก็คงเห็นผู้ชายแบบคุณปลาได้ไม่ยาก

เห็นขาวๆ ตี๋ๆ ท่าทางสุภาพใส่ชุดทำงาน มือข้างหนึ่งหิ้วกระเป๋าเอกสาร นั่นแหละคุณปลา

แต่คุณปลาดูดีกว่าคำว่าดาษดื่น...ด้วยการวางตัว ด้วยการกระทำ และด้วยน้ำใจ เขาดูดีกว่าทุกคนที่ผมเห็นด้วยสามประการนี้

“เรากินอะไรร้อนๆมั้ยเดี๋ยวพี่สั่งให้...อืม เอาโกโก้ร้อนก็แล้วกัน ณเดชน์ยิ้มเรียกลูกค้าอยู่ จะไม่สั่งอะไรเลยก็เกรงใจ” คุณปลาไม่รอคำตอบเมื่อเห็นว่าผมยืนครุ่นคิดนานเกินกว่าที่เขาจะรอได้ เขาเดินไปสั่งโกโก้ร้อนกับพนักงาน ส่วนผมถือตะกร้าเดินหยิบนมและขนมปังอย่าละชิ้น

เดินไปหาคุณปลาที่ยืนรอโกโก้ร้อนอยู่ เขาสั่งซาลาเปาหมูแดงและไส้กรอกฟุตลองชีสเพิ่มมาอย่างละชิ้น

“กินแค่นี้อิ่มเหรอเรา” เขาถาม แต่ก็หยิบของในตะกร้าไปวางบนเคาน์เตอร์ วางข้างๆโกโก้ของณเดชนี่ฉีกยิ้มให้ลูกค้าทุกรายที่เดินผ่านเข้าออก

ผมกัดริมฝีปากเบาๆ...

รู้สึกเกรงใจคนแปลกหน้าขึ้นมา

“อิ่มครับ...”

คุณปลาจ่ายเงินและยื่นถุงหิ้วที่แปะโลโก้ร้านสะดวกซื้อให้ผม เขาเดินไปเปิดประตูรถ แล้วกวักมือเรียกผมให้เดินตามไป คุณปลาสตาร์ทรถทิ้งไว้เพื่อไม่ให้ผมขาดอากาศหายใจจนตายไปซะก่อน

ผมจ้องมองนาฬิกาดิจิตอลบนคอนโซลรถ...อีกสี่ชั่วโมงจะเช้าแล้ว

วันนี้ไม่ใช่วันที่ดี แต่ก็ไม่ใช่วันที่แย่

อย่างน้อยผมก็ยังมีโกโก้อุ่นๆให้จิบในวันที่อากาศหนาวจนกระดูกแทบจะป่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อย่างน้อยผมก็ได้เจอคนแปลกหน้าแต่ทว่ากลับดูน่าไว้ใจกว่าคนที่ใกล้ชิดกัน...ดูน่าไว้ใจกว่าคนที่กำลังจะกลายเป็นคนครอบครัวเดียวกันแบบเขาคนนั้น
 
อยู่กับคุณปลาแล้วรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก

“บ้านเราอยู่แถวไหน พี่จะไปส่ง...นี่ก็ดึกแล้วเดี๋ยวพ่อแม่จะเป็นห่วงเอา”

น้ำเสียงนุ่มๆที่ดูเห็นอกเห็นใจนั้นทำให้มือที่กอบกุมแก้วโกโก้สั่นเล็กน้อย น้ำสีเข้มในแก้วสั่นกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นเล็กๆและถี่ เหมือนหัวใจผมที่บีบแน่นจนปวดร้าว เมื่อนึกถึงเรื่องก่อนหน้าก็พาลทำให้น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา...มันน่ากลัว...น่าขยะแขยงสิ้นดี

“ผมไม่อยากกลับ...”

“แต่พี่เป็นธุระให้เราทั้งคืนไม่ได้...”

เขาก็แค่ต้องการบอกว่าต่อให้เขาใจดีแค่ไหน เราก็เป็นคนที่ไม่รู้จักกัน...เป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าที่ยื่นน้ำใจให้กัน  และย้ำบอกผมให้ไม่ควรหวังอะไรจากเขาไปมากกว่านี้

แต่ผมกลับไปตอนนี้ไม่ได้...

“คนใจร้ายอยู่ที่นั่น...”

“ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนใจร้ายกับเราหรอก...ถ้าเราทำอะไรผิดเราก็ไปขอโทษท่านซะ ท่านโกรธเราไม่นานหรอกเดี๋ยวก็หาย”

ไม่ใช่พ่อแม่ที่ใจร้ายกับผม...

และผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิด...

ผมไม่ได้ทำอะไรผิด

“ผ...ผมอยู่ตรงนี้ก็ได้...ผมจะอยู่ตรงนี้...จะไม่รบกวนคุณปลาอีก” น้ำตาอีกหยดของผมหยดลงบนฝ่ามือที่จับแก้วโกโก้อยู่ ความหนาวเหน็บในใจทำให้ผมไม่รู้สึกถึงความอุ่นของมันอีกเลย

คุณปลามองมาที่ผมด้วยสายตานิ่งที่ยากจะอธิบายความรู้สึก “...แล้วจะให้พี่ปล่อยเราไว้ตรงนี้ได้ยังไง”

“ผมไม่เป็นอะไร...”

“แต่พี่เป็นห่วงเรา”

...

ดวงตาหลังกรอบแว่นสีเงินที่มองมาทำให้ผมสั่นสะท้านไปทั้งตัว รวมทั้งหัวใจด้วย

“พี่เป็นห่วงเราจะปล่อยให้เราอยู่ตรงนี้ได้ยังไง”

“คุณปลาไม่ต้องเป็นห่วงผมหรือรู้สึกผิดอะไรหรอกครับ...ยังไงเราก็เป็นแค่คนแปลกหน้ากัน” ผมพูดขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ลำคอฝืดเหนียวไปด้วยน้ำลายข้นๆ

ผมจ้องมองใบหน้าคุณปลา มันแทบไร้อารมณ์ตอนที่ผมพูดออกไปแบบนั้น

เขาเสียใจเหรอหรือว่าอะไร เราเป็นแค่คนแปลกหน้ากันแค่ผมรู้สึกดีกับคุณปลามันก็ผิดมากพอแล้ว

ถ้า...เขาทำไปเพราะหวังผลอย่างอื่นล่ะ...

เขาก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าผม ‘เป็นยังไง’ 

ใช่...มีหลายคนที่รับได้ แต่ก็มีหลายคนที่รับไม่ได้ แม้แต่ผมยังไม่อยากจะยอมรับว่าผมไม่เหมือนคนอื่น...

ผมกลัวความรักแบบชายหญิง...

มันไม่มีอะไรที่ยั่งยืนแน่แท้เสมอไป เหมือนแม่กับพ่อของผม...

มันฝังใจ

และมันทำให้ผมกลายเป็นแบบนี้

กลายเป็นอีกตัวตนที่ใครๆก็ยากจะยอมรับ...

แม้แต่ผมยังไม่อยากจะยอมรับ

อยากจะอยู่คนเดียว แต่มันมักจะมีเรื่องวุ่นวายวิ่งเข้าออกเสมอ ราวกับจะปลุกให้ผมตื่นอยู่ตลอดเวลา...

ตื่นมาเพื่อตบหน้าผมแล้วบอกว่า ผมไม่ใช่ผู้ชายแบบที่เขาเป็นกัน...

และผมไม่ได้มองผู้ชายด้วยสาตาที่ผู้ชายด้วยกันมอง...

พวกเขาสองคนทำให้ผมหวาดกลัว...

กลัวทั้งความรักชายหญิง และกลัวตัวเองไปด้วย

“มันต้องไม่ใช่ตอนนี้...ผมกลับไปที่นั่นไม่ได้...ต้องไม่ใช่ตอนนี้...” เสียงของผมสั่นมากขึ้นเรื่อยๆในทุกประโยคที่พยายามพูดออกมา

คุณปลาจ้องหน้าผมนิ่ง ดวงตาสีดำของเขาตรึงผมไว้คล้ายจะเค้นความจริงออกมาจากปาก “พี่ขอเหตุผลคำเดียว...ถ้ามันมากพอพี่จะช่วยเรา”

“...”

“พี่ขอเหตุผลที่ทำให้เราไม่อยากกลับไป ‘บ้าน’ หน่อยได้มั้ย...เหตุผลอะไรที่ทำให้เราเกลียด ‘บ้าน’ขนาดนั้น”

ผมเม้มริมฝีปากแน่น นึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาแล้วน้ำตาก็เหมือนจะเหือดหายออกไปจากร่าง ความแค้นความเจ็บใจความเสียใจมันสุมจนแผดเผาไปจนหมดทุกสิ่ง ผมไม่เข้าใจว่าคุณปลาต้องการรู้เรื่องราวพวกนั้นไปทำไม เขาจะช่วยอะไรผมได้ เขาจะมาช่วยผมทำไม

แค่ความมีน้ำใจที่เขามอบให้มันก็มากเกินพอแล้ว...

ผมไม่อยากรับอะไรไปมากกว่านี้แล้ว มันยิ่งตอกย้ำว่าคนคนนั้นเลวร้ายมากแค่ไหน...

“ถ้าเราไม่พูดพี่ก็ช่วยอะไรเราไม่ได้นะ”

น้ำตาของผมหยดลงบนฝ่ามือของคุณปลา เขาค่อยๆใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาออกจากแก้มของผมช้าๆ นิ้วมือของคุณปลาเย็นชืดแต่มันอบอุ่นในหัวใจ น้ำตาอีกมากมายไหลท่วมท้นเพราะรู้สึกอัดอั้น

ผมทนเรื่องราวพวกนั้นมาตั้งมากมาย ไม่กล้าบอกใคร ถึงบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ ผมทนมาตั้งนาน อยากจะร้องตะโกนบอกใครสักคน แต่ก็ทำได้เพียงเก็บความทุกข์นั้นไว้เงียบๆคนเดียวมาตลอด

“ไม่เอา ไม่ร้องนะ”

“ฮึก...”

“ไม่ต้องร้อง พี่ไม่ถามอะไรเราแล้ว”

เขาคว้าผมเข้าไปกอดแน่น ดันหัวผมให้ซุกกับบ่าของเขา

ไม่รู้ว่าน้ำตามากมายจากไหนไหลรดบ่าของเขาจนชุ่ม ความอัดอันทั้งหลายเหมือนถูกหลอมละลายด้วยคำพูดคนแปลกหน้า ความเสียใจทั้งหลายเหมือนถูกปลดเปลื้องด้วยการซุกหน้าลงแบบนั้นแล้วร้องไห้ออกมาจนแทบหมดเสียง

“แค่บอกพี่มาคำเดียวว่าใครทำอะไรเรา”

“...”

“พี่จะจัดการให้...ขอแค่เราบอกพี่มา”

...

...

“พี่พุธ...”

แรงโอบกอดของคุณปลาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

“ได้...พี่พุธใช่มั้ย...เดี๋ยวพี่จัดการให้...เดี๋ยวพี่จัดการให้”

ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเขา ดวงตาของเขาเศร้าและแดงก่ำ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามผมก็ขอคิดเข้าข้างตัวเองเพื่อให้ตัวเองสบายใจว่าคุณปลาร้องไห้เพราะผม

แม้เขาจะกอดผมแน่นจนเจ็บแต่มันก็รู้สึกดีที่มีคนมาโอบกอดความเศร้าเสียใจของผมไว้

ผมผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อย

ได้ยินเสียงคุณปลาพูดว่า ‘เดี๋ยวพี่จะจัดการให้’ ลอยก้องหัว...

เมื่อตื่นเช้ามาทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนไป โลกใบใหม่ของผมจะไม่มีพี่พุธอยู่ในนั้น



:hao5: :hao5:
หนูไม่ร้องนะลูก คนอ้วนพามนุษย์ทำงานแมนมากอดหนูแล้ว











ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 3 UP | (14/6/17)
«ตอบ #4 เมื่อ14-06-2017 21:31:36 »

3


ผมมองกระดาษที่ถูกแรงลมของแอร์เป่าพัด มันขยับขึ้นลงช้าๆเหมือนหางปลาที่โบกสะบัดอยู่ในน้ำ มองทีไรรู้สึกว่าใจสงบลงทุกที

เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กของเพื่อนร่วมห้องดังกลบเสียงปากกาอัจฉริยะที่ขูดขีดกระดานไวท์บอร์ดดังกึกๆ ครูชาวต่างชาติวัยกลางคนไม่ได้สนใจมากนัก ยังคงมุ่งมั่นคัดลอกบทกวีลงบนกระดานอยู่

“ยืมปากกาหน่อยสิสน” มีตาเพื่อนสนิทของผมสะกิดเรียกพร้อมกดปากกาดังแกร่กๆ ผมละสายตาจากกระดาษที่ติดกับตัวเครื่องของแอร์แล้วพยักหน้าให้เพื่อนสาวร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มที่ตั้งอกตั้งใจจดเนื้อหาบนกระดาน

หยิบกระเป๋าดินสอลักษณะเรียบๆทำด้วยผ้ายีนขึ้นมาแล้วหยิบปากกาส่งให้มีตาจดบทกวีต่อ เหลือบมองดูตัวหนังสือภาษาอังกฤษยาวเหยียดบนหน้ากระดาษของมีตา...

หน้ากระดาษสมุดจดของผมนั้นว่างเปล่า

มิสเตอร์วิลเลียมหันมาบอกให้นักเรียนคัดลอกบทกวีบทใหม่ลง และให้วิเคราะห์เนื้อหาสำคัญจากบทกวี

ผมไม่ได้สนใจรายละเอียดอื่นๆนัก ฟุบหน้าลงกับโต๊ะนักเรียนสีขาวสะอาด

หากไม่มีเปลือกตาบวมเป่งที่แนบไปกับท่อนแขนผมคงนึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นเพียงเรื่องที่ฝัน...

เรื่องที่ผมเจอคนแปลกหน้าเมื่อคืนคงเป็นเพียงเรื่องที่ฝันไป...

เบอร์โทรของคุณปลาก็ยังอยู่ในกระเป๋ากางเกงนักเรียนของผม มันยังไม่ถูกคลี่ออก...

ผมเองก็ให้คำตอบไม่ได้ รู้แค่ว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะเปิดกระดาษแผ่นนั้นออก

“ไปกินข้าวกันเถอะสน วันนี้โรงไหนดี” มีตาเก็บชีทเป็นตั้งลงในกระเป๋าสะพายข้างลายลูกกวาดสีชมพูอ่อน

ผมบอกมีตาไปว่ากินโรงไหนก็ได้เพราะไม่อยากออกความเห็นมากนัก ผมกับมีตาเป็นเพื่อนสนิทกัน...ฟังดูเป็นไปได้ยาก แต่เราก็คบกันมาหลายปีแล้ว เธอเข้าใจผม เข้าใจสิ่งที่ฝังอยู่ในสมองของผม

และผมกับเธอก็เหมือนกัน กลัวความรักชายหญิงทั้งคู่...

แต่หลายคนมักจะบอกว่ามีตากับผมแอบคบกัน

ผมกับมีตาหัวเราะ...มันเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ผมกับมีตายังเป็นผู้ชายและผู้หญิง

หากว่าเราทั้งคู่จะคบกันไปจนถึงขั้นแต่งงานจริงๆ ก็คงต้องลบเรื่องที่ฝังใจพวกเราออกไปก่อน...ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้

มันไม่ใช่อาการเบี่ยงเบนอย่างกะทันหัน ไม่ใช่ว่าคิดปุบปับว่าฉันไม่ชอบผู้ชายแล้วนะคบผู้หญิงสบายใจกว่า หรือว่าฉันกลัวการรักผู้หญิง รักกับผู้ชายสบายใจกว่า เพียงแต่มันเกิดขึ้นอย่างช้าๆ...ยากที่จะยอมรับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่เหมือนชายหญิงทั่วไป

แต่เรื่องหัวใจมันห้ามกันไม่ได้...

ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยชอบผู้หญิง เคยคบดูแต่ว่ามันก็ไปกันไม่รอด รู้เลยว่าไม่ใช่ แต่ถ้าให้คบก็ไม่ได้หนักใจอะไร

ก็เหมือนคนอื่นๆที่เป็นแบบผม คบกับผู้หญิงมาตลอด สามคนสี่คนก็ว่ากันไป แต่สุดท้ายกลับใช้ชีวิตเรียบง่ายกับผู้ชายด้วยกัน ดูแล้วก็น่ารักดี เหมือนเพื่อนคู่คิดชายหญิงทั่วไป เพียงแต่พวกเขาเกิดมาเป็นเพศเดียวกันเท่านั้น

ดีที่ทุกวันนี้สังคมค่อนข้างเปิด นิยายชายรักชายออกมาเป็นจำนวนมาก ทั้งเว็บบอร์ด ทั้งกระทู้ ทั้งซีรี่ย์ ร่วมไปถึงภาพยนตร์ มีมากมายให้เลือกรับชมตามวิจารณญาน ผู้หญิงก็ไม่ได้มองพวกเราด้วยสายตาประหลาดเหมือนเมื่อก่อน ราวกับว่ามันมีจุดยืนให้ผมจริงๆ

“ที่นั่งเดิม กับข้าวชุดเดิมนะ” มีตาลากผมไปโรงอาหาร3 เลือกที่นั่งด้านหลังสุด

“ไม่เอาสลัด” ผมบอก

“กินผักเข้าไปเถอะน่า” แม่คนที่สองของผมจิ๊ปาก หยิบเอาบัตรนักเรียนของผมซึ่งเป็นบัตรระบบเติมเงินเข้าเพื่อสามารถซื้อของในโรงเรียนไปด้วย และกลับมาพร้อมกับชุดอาหาร set a ง่ายๆ ประกอบด้วยสลัด (ที่ผมโคตรเกลียดเพราะที่นี่ใส่กะหล่ำม่วง) แซนด์วิชทูน่า ไส้กรอกไก่หนักกรอบรูปปลาหมึก และโกโก้ร้อน

มันคล้ายคลึงกับสิ่งที่คุณปลาซื้อให้ผม...

โดยเฉพาะโกโก้ร้อน

ที่พาลทำให้ผมนึกถึงเรื่องเมื่อคืน



OOOOO



ผมตื่นขึ้นมาในสภาพที่ไม่คุ้นเคยนัก นอนขดอยู่บนเบาะหลังโดยมีเพียงแค่เสื้อโค้ตสีดำคลุมตัวไว้

ผมค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเบาะนุ่มที่หุ้มด้วยหนังสัตว์สีครีมอ่อน กลิ่นของมันทำให้รถดูสะอาดและใหม่เอี่ยม

ผมกวาดตามองสำรวจรอบๆ เห็นบึงขนาดใหญ่และพันธุ์ไม้พุ่มที่ปลูกเรียงสวย

สวนสาธารณะงั้นเหรอ...

ระหว่างที่ผมกำลังนั่งขบคิด คุณปลาก็เปิดประตูรถเข้ามาพร้อมกับหนังสือพิมพ์และกาแฟร้อนในถ้วยพลาสติก กลิ่นของมันหอมกรุ่นติดอยู่ปลายจมูก เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วเอี้ยวตัวมาทางเบาะหลัง

ผมสังเกตใบหน้าเขา ขอบตาหลังแว่นคู่นั้นดูคล้ำเล็กน้อย คงไม่ได้นอนทั้งคืน

“เราเป็นไงบ้าง ปวดหัวหรือเปล่า ?”

ผมส่ายหน้า ไม่มีอาการปวดหัวตกค้าง มีแค่อาการรู้สึกกระดากอายและเกรงใจที่ประดังประเดมาเท่านั้น

คนแปลกหน้าให้ความช่วยเหลือผม และนั่นทำให้เขาลำบาก แน่นอนว่าแทนที่จะได้นอนบนเตียงนุ่มๆ เขากลับต้องมานอนหลังขดหลังแข็งบนรถ เพราะไม่อยากให้ผมรู้สึกลำบากใจไปมากกว่านี้

ถ้าหากว่าเขาจะพาผมไปบ้านพัก มันคงจะดูไม่ดีถ้าหากว่าผมออกมาจากห้องพร้อมกับชายวัยทำงานคนหนึ่งในตอนเช้าตรู่...ไม่ว่าใครก็มองไม่ดีทั้งนั้น สายตาที่ทิ่มแทงมานั้นผมย่อมรู้ดี

“มีตลาดเช้าอยู่ใกล้ๆที่นี่ เราอยากได้อะไรมั้ย หมูปิ้ง ? กาแฟ ? นมสด ?”

ผมส่ายหน้าอีกรอบ รู้สึกอายสภาพตัวเองเมื่อคืนขึ้นมา ความอ่อนแอมันจู่โจมสติสัมปชัญญะผมไปจนหมด ผมแทบจำไม่ได้ว่าตอนที่ตอบตกลงเดิมตามคุณปลามาขึ้นรถผมพูดอะไรออกไปบ้าง

คุณปลาเองก็จนใจที่ผมเอาแต่เงียบไม่ยอมตอบ เขาจึงอ่านหนังสือพิมพ์เงียบๆ เสียงกรอบแกรบจากการเปลี่ยนหน้ากระดาษทำให้ใจผมสงบลงบ้าง บางทีก็แอบลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขาตอนที่ยกกาแฟจรดริมฝีปาก น้ำสีเข้มที่เลอะอยู่เหนือมุมปากทำให้ผมเผลอนึกถึงใครบางคน

คนที่ผมอยากจะหนีออกไปให้พ้นๆ...คนที่ทำให้ผมจมลงในความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เกือบสิบนาทีที่ภายในรถตกอยู่ในความเงียบและมีเพียงเสียงเปิดหน้าหนังสือพิมพ์ ในที่สุดคุณปลาพับหนังสือพิมพ์ลงและโยนไว้เบาะข้างคนขับ เขามองนาฬิกาข้อมือเรือนสีเงินเรียบ แล้วมองผมผ่านกระจกมองหลัง

ผมเงยหน้าขึ้นสบดวงตาคู่นั้น หัวใจเต้นตึกตักอย่างไร้เหตุผล...

ใช่ มันไร้เหตุผลสิ้นดี

และผมเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนั้น

“จะหกโมงครึ่งแล้วนะ โรงเรียนเราล่ะ”

ผมก้มหน้างุด หัวใจยังเต้นแรงอยู่ ผมไม่ชอบอาการแบบนี้ มันทำให้ผมดูกลายเป็นคนใจง่ายที่ใครทำดีด้วยก็หวั่นไหวไปอย่างพร่ำเพรื่อ...กลัวว่าถ้าเขารู้ว่าผมเป็นยังไงเขาจะรับไม่ได้

เคยมีหลายครั้งที่คนหวังดีมองผมอย่างหวาดกลัว บอกว่าผมไม่น่าเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นผู้ชายดีๆเหมือนคนอื่นก็คงช่วย ผมพบว่ามันไร้สาระ ที่เอาความชอบส่วนตัวของผมมาตัดสิน

มีตาเรียกคนพวกนั้นว่าพวกยุคหิน ไม่ได้อยู่ในกะลาแต่อยู่ในบังเกอร์สงครามโลก

“จะให้พี่ไปส่งเราที่บ้านก่อนดีมั้ย” ผมบีบมือตัวเองแน่นเพื่อระงับสติ นับหนึ่งถึงสิบในใจช้าๆ

“ผมขอโทษที่รบกวนเมื่อคืน” ผมตัดสินใจเอ่ยบอกเสียงแผ่วหลังจากที่รวบรวมสมาธิได้ รู้สึกผิดที่รบกวนเวลาเตรียมตัวไปทำงานของเขา รู้ดีว่าช่วงนี้การจราจรติดขัดแค่ไหน ที่สำคัญคือผมไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนเขานอนหลับหรือเปล่า

นั่นสิเขาจะข่มตานอนหลับได้ยังไง ก็ในเมื่ออยู่ๆมีเด็กแปลกหน้ามานอนขดอยู่บนรถแบบนี้...

และเรื่องที่น่าแปลกคือ เมื่อคืนผมนอนหลับอย่างสบายใจบนรถของใครสักคนที่ผมรู้จักเพียงแค่ชื่อของเขา...

“ส่งผมลงที่BTSใกล้ๆนี้ก็ได้ครับ บ้านอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ มีรถเมล์วิ่งผ่านตลอด และ...คงต้องกลับบ้านไปเอาชุดนักเรียนแล้วก็กระเป๋า...”

เมื่อคืนผมหนีออกมาแบบฉุกละหุก ไม่ทันได้คิดอะไรสักอย่างเพราะแค่เรื่องนั้นก็ทำให้หัวของผมแทบระเบิด ของที่สำคัญและจำเป็นยังอยู่ที่นั่นทั้งหมด ของที่ติดตัวผมมาจากบ้านมีแค่โทรศัพท์กับรอยสกปรกน่ารังเกียจเหมือนขยะโสโครกเท่านั้น

ต่อให้ไม่อยากกลับมากแค่ไหนก็ตามแต่ก็คงต้องกลับ

ภาวนาว่าจะไม่เจอเขาอยู่ที่นั่น...

“แล้วหลังจากนั้นเราจะเอายังไง...” เขาถามต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฟังแล้วใจสงบ

ผมส่ายหน้าอีกรอบ ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไปดี

“พี่ว่าเรากลับบ้านไปก่อน แล้วค่อยๆคิดว่าจะเอายังไงดีมั้ย ?”

ผมเงียบ คิดว่านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้จึงพยักหน้าเบาๆ “แบบนั้นก็ได้ครับ”

คุณปลาเคาะนิ้วที่คอนโซลรถอย่างใช้ความคิด เขาบอกให้ผมมานั่งเบาะข้างคนขับ โยนหนังสือพิมพ์ไปไว้เบาะหลังแทน ผมทำตามที่เขาบอก นั่งเงียบๆและบอกทางกลับบ้าน

ถนนสายนี้รถไม่ติดเท่าไหร่เพราะไม่ใช่เขตหน่วยงานราชการและถนนสายหลัก คุณปลาจึงไม่ได้เร่งรีบนัก เขาขับรถช้าและระมัดระวัง ผมแอบเหลือบมองตอนคุณปลาขับรถ เขามีใบหน้าขาวสว่าง  ขนตางอนยาวกระพือเล็กน้อยเวลาที่เขากระพริบตา
เขาถกพับแขนเสื้อทั้งสองข้างจนถึงข้อศอก เห็นเส้นเลือดที่วิ่งพล่านรอบท่อนแขน

นิ้วของเขาคงยาวกว่านิ้วผมสักประมาณข้อหนึ่งดูแล้วสวยเหมือนเล็บนางรำในชมรมนาฏศิลป์ เห็นแล้วชวนใจเต้นไม่น้อย

ตอนที่คุณปลาหันหน้ามาเพื่อมองกระจกข้างจากทางฝั่งผม ผมเกือบหลบตาไม่ทัน แอบเป่าลมอกจากจากเบาๆเพื่อระบายความตกใจออกมา

ให้ตายสิ เพราะความเอาใจใส่ของคนแปลกหน้าทำเอาผมเผลอใจเต้นไปตั้งหลายรอบ

ปกติผมไม่ใจง่ายขนาดนี้ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่...

คุณคงคิดไม่ถึงว่าผู้ชายตัวสูง หน้าตาดีแบบลูกครึ่งยุโรป นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทา เส้นผมสีอ่อนเหมือนเข้าร้านย้อมผม คนที่ถูกจีบให้รีวิวครีมเป็นว่าเล่น และในเฟซมีผู้หญิงติดตามมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เรียกร้องว่าเห็นแล้วน้ำเดินอย่างเกรี้ยวกราดจะเป็นแบบนี้ใช่มั้ยล่ะ...

ใช่ นั่นล่ะผมเอง คนที่ดูท่าทางแมนๆ ผอมแห้งแรงน้อยแบบคนไม่ชอบกีฬากลางแจ้งคนนั้นนั่นแหละ

ผมคิดนู่นนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย ใช้เวลาขับราวๆสิบห้านาที รถเก๋งสีดำมันปลาบที่เชื่องช้าเหมือนแมวเซาของคุณปลาก็จอดเทียบที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง

เป็นบ้านสองชั้นธรรมดาในหมู่บ้านของโครงการระดับกลางที่ไม่ได้หรูหรามาก เน้นพื้นที่ใช้สอยเป็นหลัก ราคาไม่ได้หนักหนามากสำหรับลุงนพที่เปิดบริษัทสิ่งพิมพ์ขนาดกลาง และป้าพรที่รับข้าราชการครูตำแหน่งชำนาญการพิเศษที่โรงเรียนรัฐแห่งหนึ่งใกล้ๆนี้

ผมเห็นรถของพี่พุธจอดอยู่ในสวน...

หัวใจผมหล่นวูบลงจากที่สูง เหมือนมีทุ่นหนักมาถ่วงขาผมไว้ไม่ให้ขยับหนี ผมอยากจะฝังตัวอยู่บนรถของคุณปลาไปเรื่อยๆ แต่ผมทำไม่ได้ ผมต้องลงไปและจัดการกับมันด้วยตัวเอง

แต่ถ้าหากผมทำไม่ได้ผมก็ยังมีคุณปลา...

เขาสัญญาว่าจะช่วยผมเท่าที่ทำได้

“เราไหวแน่นะ...” จู่ๆคุณปลาก็พูดขึ้นในขณะที่ผมกำลังเปิดประตูเพื่อที่จะลงจากรถ มือข้างหนึ่งของเขาคว้าข้อมือผมไว้ ผมชะงักกึกไม่กล้าหันหน้ากลับไป อยากจะตอบไปว่าไม่ไหว แต่ร่างกายกลับบังคับให้ผมพยักหน้า และตอบเขาไปว่าไหวและผมไม่เป็นไร

“โทรหาพี่ได้ตลอดนะถ้าเราไม่โอเค...”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก อยากจะบอกเขาไปว่าตอนนี้ผมเองก็ไม่โอเคมากๆแต่รู้สึกเหมือนน้ำเสียงเหือดหายไปชั่วขณะ น้ำใจของคนแปลกหน้าทำให้ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“ถ้าอยากจะหนีออกจากบ้านอีกล่ะก็โทรมาเลย กริ๊งเดียวพี่ก็รับสายเราแล้ว เข้าใจที่พี่พูดใช่มั้ย” สายตาที่คุณปลาใช้มองมาทำให้ก้อนแข็งๆพุ่งขึ้นมาจนจุกที่อก

ผมพยักหน้าและปิดประตูรถเบาๆ เดินมาหยุดอยู่หน้าประตูรั้วสีขาวขนาดสูงท่วมหัว กุญแจถูกล็อคไว้จากทางด้านในแสดงว่ายังไม่มีใครออกไปข้างนอก

ผมเม้มปากแน่น รู้สึกกลัวขึ้นมา แต่ไม่เป็นไร...เมื่อคืนผมโกหกพวกเขาไปแล้วว่าไปนอนค้างบ้านมีตา ให้พี่ชายของมีตาติวภาษาอังกฤษให้ ไม่มีใครรู้ว่าผมตั้งใจจะหนีอกจากบ้าน

ผมกดออดค้างไว้ แล้วยืนรอ เพียงครู่เดียวหญิงสาวร่างบางหน้าตาสะสวยก็เดินนวยนาดมาที่ประตูอย่างเกียจคร้าน เธออยู่ในชุดนักศึกษาและยังไม่แต่งหน้า มีสายสีน้ำเงินคล้องคอมันหนีบซองพลาสติกสีใสสำหรับใส่บัตรพนักงานบริษัทไว้แต่ด้านล่างมีเขียนกำกับว่านักศึกษาฝึกประสบการณ์

เธอชื่อ ใบบัว เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเอง หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือลูกสาวเจ้าของบ้านหลังนี้ซึ่งก็คือป้าพรและลุงนพ ส่วนผมน่ะเหรอ...ก็คงเป็นผู้อยู่อาศัยล่ะมั้ง

“ทำไมเมื่อคืนไม่เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนที่บ้านมีตาด้วยเลยล่ะ” เธอคงหงุดหงิดที่ถูกใครสักคนใช้ให้มาเปิดประตูรั้ว แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้หงุดหงิดเฉพาะตอนนี้หรอก พี่ใบบัวเป็นคนหงุดหงิดง่าย อารมณ์ร้อนและเอาแต่ใจ แต่ว่าอารมณ์เธอค่อนข้างคงที่ขึ้นมานิดหน่อยตั้งที่ที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน

“แล้วนั่นใครมาส่งแกน่ะ”

ผมกำลังจะอ้าปากตอบว่าพี่ชายของมีตาที่เพิ่งกลับจากอเมริกามาส่ง แต่พี่ใบบัวกลับตาไวกว่า ไม่สิ ผมคงต้องบอกว่าผมไม่เห็นว่าคุณปลาลงมาจากรถเองต่างหาก

“เราลืมน่ะ” เขายื่นถุงอาหารจากร้านสะดวกซื้อที่ผมกินไม่หมดเมื่อคืนมาให้

“เอ่อ...คุณคือ...อะ..อ้อ สวัสดีค่ะ” พี่ใบบัวตะกุกตะกักในตอนแรก แต่โค้งหัวให้คุณปลาเล็กน้อยในที่สุด

เขายิ้มตอบกลับอย่างสุภาพและโค้งหัวให้ ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็เดินกลับขึ้นไปบนรถ

ผมไม่เข้าใจ คิดว่ามันอาจจะมีอะไรแอบแฝงไปมากกว่าการเอาถุงอาหารที่เหลือมาคืน...

หรือว่าบางทีผมอาจจะเผลอพูดอะไรออกไปเมื่อคืนนี้...

ไม่หรอก ผมไม่ได้ฟูมฟายจนเป็นบ้าไปขนาดนั้น ผมยังมีสติครบถ้วนดี จำได้ว่าแค่บอกคุณปลาเรื่องที่ผมเกลียดพี่พุธเท่านั้น เขาไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรมากผมจึงไม่จำเป็นต้องตอบคำถามให้ปวดหัว

“สน”

“...”

“นี่สน ! ฉันถามแกว่าแกมากับใครน่ะฮะ”

ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆพี่ใบบัวก็บิดแขนผม เธอไม่พอใจที่ผมเหม่อและไม่ตอบคำถาม ผมลนลานเพราะไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่ เธอจึงถามซ้ำอีกรอบอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยใบหน้ากึ่งรำคาญ “ฉัน-ถาม-ว่า-แก-มา-กับ-ใคร”

“คนรู้จักน่ะ” ผมเลี่ยงที่จะตอบแล้วเดินผ่านญาติผู้พี่เข้าไปในบ้าน แต่พี่ใบบัวกลับคว้าแขนผมไว้ ใบหน้าสวยเฉี่ยวของเธอปรากฏรอยยิ้มเยาะขึ้นมา

“แกเลิกกับไอ้เมฆอะไรนั่นไม่ทันไรก็หาแฟนใหม่ได้แล้วเหรอ ง่ายดีนะ คราวนี้หล่อ ดูดี มีรถขับ ดูมีเงินไม่เหมือนไอ้เด็กกะโปโลนั่น แล้วตกลงเมื่อคืนได้ไปบ้านยัยมีตามาจริงๆหรือเปล่าใครจะไปรู้ คบกับยัยนั่นบังหน้าพวกฉันหรือเปล่า”

มุมปากของเธอยกขึ้นสูง ใบหน้าเจือความดูถูกดูแคลน

“ใครรวยก็ไปหาแบบแม่แกงี้เหรอ ทิ้งให้แกอยู่กับพ่อ ส่วนอามาโนตย์เองก็ไม่มีปัญญาทำอะไรจนต้องเอาแกมาให้พ่อแม่ฉันเลี้ยงดู เลี้ยงไม่ทันใหญ่ก็จะออกจากบ้านซะแล้ว แกยังไม่จบม.6เลยนะ จะไปตามแม่แกแล้วเหรอ”

ผมกำหมัดแน่น ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ ถือซะว่าผมไม่ได้ยินอะไรออกมาจากปากหอยปากปูของญาติผู้พี่คนนี้

ตอบคำถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบหลังจากที่สงบสติอารมณ์ไว้ได้ “แค่คนรู้จัก พี่ไม่จำเป็นต้องรู้จักหรอก”

“ทำไมฉันไม่รู้จัก ? หรือว่าคนแบบคุณเขาจะชอบกินหญ้าอ่อน โธ่ !ไม่อยากจะเชื่อ ! นี่แกไปเจอเขาที่ไหน อะไรยังไง ไปขึ้นรถเขามาแบบนี้แสดงว่าต้องรู้จักกันมานานแล้ว แล้วทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นมาก่อนล่ะ”

ผมถอนหายใจ “ผมต้องบอกให้พี่รู้ทุกเรื่องในชีวิตผมงั้นเหรอวะ...” ผมมองหน้าพี่ใบบัวนิ่งๆ

“เอ๊ะ ! แกนี่ ! ฉันเป็นพี่แกนะฉันก็มีสิทธิ์รู้สิ ฉันก็เป็นห่วงแกนะว่าออกไปไหน อะไรยังไงกับใครน่ะ !”

ผมไม่ตอบพี่บัว ไม่พอใจกับสิ่งที่พี่ใบบัวพูดอยู่หลายส่วน

คำพูดของเธอทำให้คุณปลาดูเสียหาย และเธอไม่มีสิทธิ์ไปวิจารณ์คนที่เพิ่งเห็นหน้าครั้งแรกแบบนั้น ผมเข้าใจว่าพี่ใบบัวไม่ค่อยมีมารยาท แต่ไม่นึกว่ามันจะมากขนาดนี้...ว่าผมได้ ดูถูกผมได้ แต่ต้องไม่ใช่กับคนที่เธอไมรู้จัก และมีบุญคุณกับผม

พี่ใบบัวจิ๊ปากที่เห็นผมไม่ตอบ เดินกระแทกเท้านำเข้าไปในบ้าน ผมจึงเลี่ยงที่จะเดินเข้าประตูหลัง เมื่อหมุนลูกบิดดูจึงรู้ว่าไม่ได้ล็อก ก็เปิดประตูเข้าไป

หนึ่งคือไม่อยากฟังเสี่ยงโวยวายของลูกพี่ลูกน้องจอมเหวี่ยง

และสอง...

“ไม่อยากเจอพี่ขนาดนั้นเลยหรือครับน้องลูกสน”

.

ผมไม่อยากเจอเขา...




  :จุ๊บๆ: :จุ๊บๆ:
ถ้าสนไม่อยากเจอเขา สนมาเจอเราได้นะ(โปรยเบอร์ ไอดีไลน์ และไอจี)
#สับสนในรัก #สนคนเริงเมือง ไม่ใช่ ! 55555



ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 4 UP ! | (25/6/17)
«ตอบ #5 เมื่อ25-06-2017 17:12:47 »

4





“ที่หนีไปเมื่อคืนนี่กลัวพี่เหรอครับ” เจ้าของเสียงทุ้มยียวนนั้นยืนพิงกรอบประตูห้องครัวซึ่งอยู่ข้างบันใดขึ้นชั้นสอง

เขาเป็นชายหนุ่มตัวสูงโปร่ง ผิวไม่จัดในหมวดขาวหรือแทน แต่งกายสุภาพด้วยเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มและกางเกงสแล็คขายาว ที่คอมีเน็คไทผูกอยู่อย่างหลวมๆไม่สู้เรียบร้อยเท่าไหร่ หากมองประกอบกับใบหน้าได้รูป ดวงตาดุเฉี่ยวเหมือนงูคล้ายเป็นประกายเวลาจ้องมองเหยื่อ และริมฝีปากที่เหยียดยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยว เขานับว่าเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์คนหนึ่ง

นั่นล่ะ ‘เขา’ คนที่ผมอยากจะหนี...

“เปล่า” ผมเบือนหน้าหนีสายตาคู่ดุที่มองมาอย่างคุกคามจาบจ้วงคอยตักตวงผลประโยชน์เมื่อผมพลาดท่า ตั้งใจจะเดินผ่านเขาไปเพื่อนขึ้นไปชั้นสอง แต่ท่อนแขนแข็งแรงภายใต้เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มนั้นพุ่งขวางไว้

“ปล่อย !” ผมถลึงตามองอย่างหงุดหงิด

“เรียกพี่พุธเหมือนเดิมสิครับ พี่ไม่ได้ชื่อปล่อยสักหน่อย”

“ตลกเหรอวะ” ผมเริ่มไม่สบอารมณ์ แกล้งทำเป็นงั้น แต่จริงๆแล้วกลัวมากกว่า...คนตรงหน้าผมไร้ศีลธรรม ไร้คุณธรรมมากกว่าที่
ผมคิดไว้เยอะ

“บอกว่าชื่อพุธครับ ไม่ใช่ตลก” เขาจ้องตาผมตอบด้วยความยียวนและแน่นอนไม่ได้แฝงไว้แค่นั้น เขากำลังต้องการปั่นประสาทผมที่ผมหนีออกจากบ้านไปเมื่อคืน

เขารู้ว่าผมหนีเขา

และผมจะไม่บอกเขาอย่างแน่นนอน ว่าผมหนีหน้าเขา อย่างที่เขาคิดจริงๆ

ผมมองพี่พุธอย่างไม่พอใจ “สนจะขึ้นไปเปลี่ยนชุด หลีก” 

แต่เขากลับเลิกคิ้วขึ้นช้าๆเท่านั้น ใบหน้ายิ้มกริ่มกวนโทสะ

“พี่ยังคุยไม่จบเลย น้องลูกสนจะรีบขึ้นไปทำไมครับ”

ลูกสนบ้านเขาสิ ชื่อประสาทแตกนี่ทำให้ผมหงุดหงิดได้ตลอดเวลา ผมชื่อสนนนท์(เอาคำว่าสนกับนนท์มาชนกันเลยครับ ใครๆก็ร้องห้ะเวลาที่ผมบอกชื่อ) ผมไม่มีชื่อเล่น พ่อแม่เรียกสั้นๆแบบขอไปทีว่าสน

ชื่อไม่แปลกหรอก แต่ว่าสั้น ทำให้คนตรงหน้าเปลี่ยนชื่อเล่นผมตามใจชอบ ซึ่งผมไม่ชอบมันแม้แต่น้อย

ผมผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ นับหนึ่งถึงสิบในใจเพื่อให้ใจสงบลง ผมไม่อยากต่อล้อต่อเถียงเขาตอนนี้ ไม่อยากเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำไป เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าผมจะเข้าประตูหลังเขาถึงได้มาดักรอถูก

ผมน่าจะคิดได้ก่อนหน้านี้ให้ตายเถอะ ! โคตรบัดซบ !

เขาเห็นผมทำท่าหงุดหงิดก็หัวเราะหึเบาๆ “ที่รีบแบบนี้ หรือกลัวว่าใครจะจับได้ครับ หืม ?”

ผมกลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วก็เงียบไป

“จะไม่บอกพี่หน่อยเหรอครับว่าตอนเช้าใครมาส่ง พี่เห็นแว้บๆน้า”

ผมเบือนหน้าหนี ไม่อยากตอบคำถามที่แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของเขา

“เมื่อคืนก็อยู่กับพี่ แต่ตอนนี้อยู่กับผู้ชายอื่น โห...ทำแบบนี้นี่พี่เสียใจนะครับน้องลูกสน แต่ไม่เป็นไรครับ ต่อให้น้องจะมั่ว พี่ก็ยังชอบอยู่เหมือนเดิมนะครับ”

ทุเรศเถอะ ! ทำไมเขากล้าพูดประโยคน่าอายแบบนั้นออกมาวะ!

ผมกำหมัดแน่น เลื่อนสายตาลงมองปลายนิ้วของเขาที่ค่อยๆเกลี่ยเส้นผมสีอ่อนของผมเล่น...ลากมาถึงลำคอและไหปลาร้า ลมหายใจของผมสะดุดเหมือนแผ่นซีดีเก่าที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วงเมื่อเขาค่อยๆเปิดคอเสื้อผมออกไปจนถึงตรงไหล่ มันมีรอยแดงน่ากลัวเป็นจ้ำๆหลายจุด

...เขาเป็นคนทำ

มันน่าขยะแขยง...

ผมถูกสาปด้วยดวงตาดุร้ายคู่นั้นของพี่พุธ ผมถึงได้พยายามหนี อยากหนีออกไปไกลๆ

ผมไม่อยากถูกสาปให้จมอยู่กับความรู้สึกผิดและมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต

สารภาพตามตรงเถอะ ไม่ใช่ว่าผมจะไม่อยากปฏิเสธ แต่ผมปฏิเสธไม่ได้ มันเหมือนคำสาปที่สะกดให้ผมหยุดนิ่งไม่สามารถโต้ตอบอะไรเขาได้ ผมทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเมื่ออยู่ในจุดนั้น และตอนนี้ก็เหมือนกัน

ผมพยายามบอกลุงนพ บอกป้าพร บอกพี่ใบบัว แต่ไม่มีใครเชื่อ...พวกเขาบอกว่าพี่พุธดีเกินไปที่จะเป็นแบบนี้ พี่พุธรักพี่ใบบัวถึงขนาดที่จะขอหมั้นขอแต่งงาน ไม่มีทางเบี่ยงเบนมาชอบผู้ชายหน้าตาแมนๆเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงแบบผมแน่ 

ใช่ เขาดีกับทุกคนเสมอ  แต่อาจะยกเว้นผมไว้คนหนึ่งที่ถูกทำร้ายมาโดยตลอด

...เพราะเขารู้ดีว่าไม่มีใครเชื่อผมยังไงล่ะ

“พี่จะบอกอะไรลูกสนอย่างหนึ่ง...” พี่พุธก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างใบหูของผม น้ำเสียงของเขาแตกพร่า ตั้งใจเป่าลมร้อนผ่าวใส่ที่ริมใบหู “ในโลกใบนี้ ลูกสนสามารถหนีอะไรก็ได้ที่ลูกสนกลัวหรือเกลียด...แต่ลูกสนรู้หรือเปล่าว่ามีแค่สองอย่างที่ลูกสนหนีไม่ได้...ไม่ว่าจะยังไงลูกสนก็หนีไม่ได้”

เขาลากริมฝีปากร้อนผ่าวไปตามลำคอของผม นั่นทำให้ผมกัดฟันแน่น กลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ ไม่อยากให้มันไหลเอ่อต่อหน้าเขา...ทั้งรู้สึกกลัว ทั้งรู้สึกขยะแขยง...

ถึงผมจะชอบผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอะไรผมตามใจเขาก็ได้

ผมก็คนๆหนึ่งเหมือนกัน...

ผมเจ็บได้

“อย่างแรกก็คือความจริง...”

ผมโกรธได้

“และอย่างที่สองก็คือ...”

ผมมีสิทธิ์ที่จะรักใครก็ได้

“พี่...”

แต่นั่นจะต้องไม่ใช่เขาคนนี้...

พี่พุธผละหน้าออกจากคอของผมแล้วยิ้มมุมปาก มือข้างหนึ่งของเขากำลังพันเส้นผมผมเล่นด้วยดวงตาเป็นประกายเหมือนสัตว์กินเนื้อกำลังมองเหยื่อ เขากวาดตามองผมที่กำลังใช้ฝ่ามือถูน้ำลายสกปรกออกจากร่างกายด้วยความขยะแขยง

ผมรู้ตัวว่าน้ำตากำลังเอ่อล้นออกมาจึงรีบผลักพี่พุธออกห่าง แล้วรีบวิ่งขึ้นบันใด เสียงหัวใจเต้นดังตึกตักด้วยความหวาดกลัวปนตระหนก

ได้ยินเสียงเดินขึ้นบันไดดังตามขึ้นมาจากข้างหลัง

“พี่พุธ ! เข้าห้องน้ำอยู่หรือเปล่าคะ แม่เรียกกินข้าวแล้วค่ะ” เสียงพี่ใบบัวดังขึ้น

ผมได้ยินเสียงพี่พุธตอบรับว่ากำลังจะไป และเสียงฝีเท้าคู่นั้นก็เงียบหายไป

ผมเปิดประตูห้องนอนออก เสือกร่างเข้าไปด้านในห้อง รีบปิดประตูและลงกลอนกลัวว่าเขาจะตามขึ้นมา ผมทิ้งตัวลงบนเตียงนอนไม่ต่างจากหุ่นยนต์ที่ถ่านหมด ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ

ผมรู้สึกทั้งเกลียดพี่พุธ และเกลียดตัวผมเองที่หนีไปจากเขาไม่ได้สักที

ทั้งๆที่ผมควรจะหนีได้

ทั้งๆที่พี่พุธน่าจะนึกได้ว่าไม่ควรทำแบบนี้

ทั้งๆที่พี่บัวและพี่พุธเป็นแฟนกัน

ทั้งๆที่พวกเขา...กำลังจะแต่งงานกันในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้หลังจากที่พี่บัวเรียนจบ...

ขอแค่พวกเขาเชื่อผมสักนิดว่าพี่พุธไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่พวกเขาคิด พวกเขาควรปล่อยผมไปจากวังวนบ้าๆนี้เสียที

ถ้าหากผมพยายามบอกเขาอีกสักครั้ง แต่เขาไม่ยอมปล่อยผมไป ผมก็คงเป็นฝ่ายที่จะต้องหนีด้วยตัวผมเอง




OOOOO




มีตาเล่าให้ผมฟังตอนเดินไปเข้าห้องน้ำว่าเมื่อเช้าพี่พุธโทรมาหาเธอ

ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง พยายามไม่แสดงสีหน้าตกใจออกไปทั้งๆที่ความจริงแล้วหัวใจของผมเหมือนถูกทุ่มลงไปในเหวลึก
มีตาเล่าต่อว่า พี่พุธถามเธอว่าผมได้ไปนอนบ้านเธอหรือเปล่า มีตาไม่รู้เรื่องอะไรจึงตอบกลับไปว่าผมไม่ได้ไปนอนค้างด้วย

นั่นเป็นคำตอบที่ผมกลัวมากที่สุด

ผมไม่อยากรู้ว่าตอนนี้คนที่ผมอยากจะหนีกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ บางทีเขาอาจจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หรือกำลังคิดหาวิธีจัดการเหยื่อที่ไม่สามารถหนีพ้นจากอุ้งมือของเขาได้อยู่

“แล้วทำไมพี่พุธถึงได้โทรหาฉันล่ะสน ? แกมีปัญหาอะไรกับว่าที่พี่เขยแกหรือเปล่า” มีตาถาม

“เปล่า” ผมส่ายหน้าและเลี่ยงที่จะตอบ

“หรือบางทีว่าที่พี่เขยแกอาจจะห่วงแกแทนพี่บัวไรงี้ เฮ้อ ประเสริฐจริ๊ง ฉันล่ะอยากจะมีพี่เขยหล่อๆดีๆแบบนี้สักคน พี่ชายฉันไม่ได้เรื่องเลย...เอ๊ะ !ว่าแต่เมื่อคืนนี้แกไปนอนไหนมา ? ทำไมว่าที่พี่เขยแกถึงโทรมาถามอะไรแปลกๆกับฉัน ?”

ผมเลี่ยงที่จะตอบมีตาอีกครั้ง บอกเธอว่ามีธุระต้องรีบกลับบ้าน ผมเชื่อว่าถ้าหากผมบอกความจริงไปมีตาคงไม่มีทางเชื่ออยู่ดี ในสายตาของทุกคนพี่พุธเป็นคนดีเอาการเอางาน ใช่...ข้อนั้นผมไม่ปฏิเสธ เขาดีทุกอย่าง ยกเว้นการกระทำที่เขาทำกับผม...

มีตาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตากลมโตกลอกไปมา

“เอาเป็นว่าครั้งหน้าถ้าแกหายตัวไปอีก ฉันจะบอกว่าแกนอนค้างบ้านฉันก็แล้วกัน อย่าไปสร้างปัญหาให้ว่าที่พี่เขยนักเลย สร้างให้ฉันคนเดียวก็พอ ไม่รู้ว่าป่านนี้พวกปากหอยปากปูนินทาว่าฉันท้องกับแกหรือยัง เฮ้อ”

“แล้วไม่ดีเหรอ ฉันหล่อนะ” ผมหัวเราะ

“จ้าพ่อคนหล่อ พ่อทูนหัวของมีตา หล่อจนชะนีต้องร้องไห้” มีตาเบ้ปาก

“เออ มีงานไรก็ทักไลน์มาบอกด้วย กลับก่อนนะเว้ย” ผมยิ้มให้มีตาบางๆแล้วขอตัวกลับบ้าน

“เคๆ กลับบ้านดีๆก็แล้วกัน อย่าไปฉุดไอ้หนุ่มหน้าใสคนไหนเข้าป่านะเว้ย” ประโยคหลังมีตากระซิบให้ได้ยินแค่สองคน ผมแจกมะกอกให้เธอไปสองลูก

โรงเรียนของผมอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่ นั่งรถเมล์ไปก็ถึง หน้าปากทางหมู่บ้านมีรถผ่านตลอดเวลาจึงทำให้เดินทางสะดวก ลุงและป้าไม่มีเวลาว่างไปส่งผมที่โรงเรียนจึงเลือกที่จะให้ผมเรียนโรงเรียนนานาชาติ

และอย่างที่พี่ใบบัวพูดเมื่อตอนเช้า...พ่อและแม่ของผมแยกทางกัน แม่ทิ้งให้ผมอยู่กับพ่อ และพ่อก็ทิ้งให้ผมอยู่เป็นภาระของลุงและป้า แต่ในความจริงแล้วเธอมีสิ่งที่ยังพูดไม่หมดก็คือ...คนที่ส่งเสียผมเรียนโรงเรียนนานาชาติคือแม่ของผมที่ทำงานอยู่อังกฤษถึงแม้ว่าจะไม่ได้เลี้ยงดูผมก็ตาม

ส่วนพ่อนั้น...ถึงแม้จะไม่ค่อยมีความรับผิดชอบสักเท่าไหร่แต่พ่อก็เป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา โทรหาผมทุกครั้งที่มีเวลาว่าง

และผมก็กลายเป็นเด็กบ้านแตกสาแหรกขาดโดยสมบูรณ์ โดยที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อน...

ผมไม่ได้กลับบ้านในทันที ใช้เวลาไปเดินเตร่ที่ศูนย์การค้าแหล่งรวมวัยรุ่น ผมไม่อยากไปหาหมอด้วยอาการภูมิแพ้กำเริบและผื่นขึ้นจนเต็มตัวจึงซื้อผ้าปิดปากสีขาวสกรีนตัวอักษรญี่ปุ่นมาด้วยหนึ่งชิ้นเพราะช่วงนี้ดอกตีนเป็ดเริ่มระบาด 

พอเริ่มเบื่อผมก็ไปนั่งแกว่งเท้าเล่นแถวร้านกาแฟ สั่งโกโก้เย็นมาหนึ่งแก้วแล้วนั่งจมดิ่งอยู่ในห้วงที่แสนสงบ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ผมตั้งใจว่าจะไม่หนีอกจากบ้านตราบใดที่พี่พุธไม่ลุกล้ำความเป็นส่วนตัวมากจนเกินไป

จนกระทั่งตะวันเริ่มคล้อยผมก็ไปรอรถเมล์ที่ป้าย ใช้เวลาเดินทางประมาณ15นาทีก็ถึงบ้าน

ผมค่อยๆเลื่อนประตูรั้วและปิดเบาๆ เดินเข้าบ้านจากทางด้านหน้า เห็นรองเท้าหนังสีดำมันปลาบคู่หนึ่งก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เลื่อนประตูบ้านแบบบานใสให้เปิดออกแล้วเดินเข้าไปในตัวบ้าน

กำลังจะขึ้นไปด้านบนแต่ป้าพรเรียกดักไว้ก่อน

“มากินข้าวเร็วเจ้าสน ! วันนี้ป้าทำแกงเลียงกุ้งสดของโปรดเราด้วยนะ” ป้าพรกวักมือเรียก มือข้างขวาของป้าพรถือโถใส่ข้าวผัดใบใหญ่กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ ผมมองลอดป้าพรเข้าไปมองด้านในห้องครัว ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันหมด

...รวมทั้งว่าที่พี่เขยของผมด้วย

ผมทำสีหน้าปั้นยาก อยากจะปฏิเสธเพราะไม่ค่อยหิว แต่ป้าพรก็ส่งเสียงเร่งอีกครั้งบอกว่ามีธุระสำคัญที่จะคุยด้วย ผมจึงต้องจำยอมดินตามหลังป้าพรเขาไปในห้องกินข้าว

หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้หุ้มเบาะและวางกระเป๋าลงข้างๆเก้าอี้ ลุงนพนั่งหัวโต๊ะ ป้าพรนั่งตรงข้ามผม และพี่ใบบัวนั่งข้างๆป้าพรตรงข้ามกับแฟนของเธอ หรือจะเจาะลึกลงไปอีกก็คือคู่หมั้น และผู้ชายที่ผมอยากจะหนีออกไปให้พ้นๆ

ปกติแล้วถ้าหากพี่พุธมาบ้านผมจะพยายามเลี่ยงไม่ลงมากินข้าว เพราะไม่ว่ายังไงตำแหน่งที่นั่งก็ไม่มีทางเปลี่ยน ผมเคยขอเปลี่ยนที่นั่งกับป้าพรแต่พี่ใบบัวไม่ยอม เธอไม่ค่อยถูกชะตากับผม ผมจึงต้องเลี่ยงมาตลอด และป้าพรก็ไม่คะยั้นคะยอให้ผมลงมากินข้าวสักเท่าไหร่

ยกเว้นวันนี้

คงมีเรื่องที่จะคุยด้วยจริงๆถึงได้เรียกผมเสียงใส

ผมเริ่มกินข้าวเงียบๆ ไม่สนใจปลายเท้าที่สะกิดขาผมยิกๆอยู่ใต้โต๊ะ เขาทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่ก็ยังก่อกวนขาผมไม่เลิก ผมทำได้แค่นั่งกินเงียบๆ ถ้าเป็นไปได้ผมจะโวยวายใส่พี่พุธอีกสักรอบ ซึ่งผมไม่เคยทำมันสำเร็จเลยสักครั้ง

ในที่สุดป้าพรก็เริ่มพูดขึ้น

“จริงๆแล้วตาพุธก็คบกับยัยบัวมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ตอนไหนนะพ่อ ตอนยัยบัวไปฝึกงานตอนปี3 ที่บริษัทตาพุธใช่ไหม บ้านตาพุธก็ไกลจากบ้านเราไปมาหาสู่บ่อยๆก็เปลืองค่าน้ำมันยิ่งเก็บเงินมาสู่ขอยัยบัวช้าเข้าไปใหญ่ แม่คิดว่าตาพุธน่าจะมาอยู่บ้านเราเลยดีกว่า ไหนๆปีหน้ายัยบัวก็จะเรียนจบและได้ฤกษ์แต่งงานกลางเดือนกรกฎาแล้วด้วย”

กึก !

ช้อนส้อมของผมกระแทกเข้ากับขอบจานกระเบื้อง

ป้าพรหันมาสบตาผมครู่หนึ่งแล้วก็พูดต่อ

“แม่ว่าจะให้เราอยู่ห้องเจ้าสนไปก่อนนะจะได้อยู่ใกล้ๆยัยบัว มีอะไรก็จะได้ช่วยเหลือกันง่าย เดี๋ยวแม่จะให้เจ้าสนย้ายลงมาอยู่ห้องเก็บของชั่วราวไปก่อน อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้ามหา’ลัยแล้วคงไม่มีปัญหาอะไร...ขนเสื้อผ้ามาส่วนหนึ่งแล้วใช่ไหมตาพุธ” ป้าพรพยักพเยิดหน้ามาทางผู้ชายตัวสูงที่นั่งข้างๆผม

“ครับแม่” เขาตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและน้ำเสียงสุภาพ

“งั้นก็เก็บของเลยก็แล้วกัน เจ้าสนเองก็ย้ายของลงมาไว้ด้านล่างเลยนะ พรุ่งนี้ค่อยปัดกวาดเช็ดถูกเอา”

ป้าพรยิ้มอารมณ์ดีที่สามารถมัดตัวลูกเขยมีหน้าที่การงานไว้ให้ลูกสาวได้ แต่ถ้าหากป้าพรก้มมองใต้โต๊ะป้าพรคงต้องหน้าถอดสีและกลับคำพูดแทบไม่ทัน

ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในขณะที่พี่พุธตอบป้าพรไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขากำลังพยายามกุมมือของผมที่จับขอบเก้าอี้อยู่ด้านล่าง

ผมเอามือด้านขวาลงข้างล่างโต๊ะเพื่อที่จะแกะมือเขาออก แต่เขากลับกุมมือผมไว้อย่างหนาแน่นและบีบเบาๆตามความพอใจของเขา ขาของเขากำลังเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกับขาของผมเล่น ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว ไม่อยากจะนึกถึงวันที่พี่ใบบัวแต่งพี่พุธเข้าบ้าน...

ชีวิตของผมคงต้องตกนรกทั้งเป็น

หมับ !

มือข้างหนึ่งของเข้าวางที่ต้นขาของผม ทำให้เส้นสติของผมขาดผึงออกจากกันเหมือนโดนคมกรรไกรตวัดผ่าน

“เหี้ย ! มึงเอามือออกจากขากูนะเว้ย !”

ทุกคนบนโต๊ะอาหารเงียบกริบ แล้วหันมามองผมด้วยใบหน้าฉงนเหมือนถูกหมัดที่ลอยมาจากไหนไม่รู้น็อคเข้าให้

“ทะเลาะอะไรกันอีกล่ะสองคนนี้” พี่ใบบัวพูดอย่างขบขัน ใช่...เธอกำลังขำทั้งๆที่แฟนของเธอกำลังจับต้นขาผมอยู่ และผมรู้สึกผิดจนแทบบ้า

 “ก็มันลวนลามสน ! ” ในที่สุดผมก็โพล่งออกไป แต่ทุกคนกลับหัวเราะพรืดอย่างสนุกสนานคล้ายผมปล่อยมุกตลกลงกลางโต๊ะกินข้าว 

แม้แต่ป้าพรเองก็ยังมองผมแบบเหยียดๆคล้ายไม่เชื่อว่าพี่พุธจะกล้าทำอะไรแบบนั้นกับคนอย่างผมได้ ส่วนพี่พุธน่ะเหรอแน่นอนล่ะว่าเขาหัวเราะราวกับว่าเขาเองไม่ได้ทำอะไรผิด ทั้งๆที่ตอนนี้เขากลับกุมมือผมแน่น

ผมแทบอยากจะร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นสายตาของทุกคนที่มองมาที่ผมราวกับเป็นตัวตลก

“ไม่มีอะไรหรอกบัว สงสัยน้องสนคงจะตกใจน่ะ เมื่อกี้พี่เห็นแมงมุมมันเกาะขาน้องก็เลยจะเอาออกให้ สงสัยจะนึกตกใจไปเองว่าพี่จะทำอะไรล่ะมั้ง”

ผมไม่นึกเลยว่าพี่พุธจะเป็นฝ่ายออกตัวก่อน มิหนำซ้ำทุกคนยังพยักหน้าเออออคล้ายจะเชื่อคำโกหกคำโตนั้นด้วย

ผมกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ ทำไมไม่มีใครเชื่อผม และทำไมเขาถึงไม่หยุดรังแกผมสักที !

ผมจ้องหน้าที่พุธอย่างรังเกียจและขยาด แกะมือเขาออกอย่างใจเย็น ใช้ปลายเล็บของมือด้านขวาจิกลึกเข้าไปที่หลังมือของเขาแล้วดีดตัวผึงขึ้นเมื่อเขาปล่อยมือหนาคู่นั้นออก ผมเหยียดยิ้มมุมปาก ก้มลงหยิบกระเป๋าและก้าวฉับๆออกจากห้องกินข้าว

ผมรีบวิ่งขึ้นห้อง หมุนลุกบิดประตูแล้วงับไว้ ก้าวขายาวๆไปที่ตู้เสื้อผ้า รื้อเสื้อผ้าและชุดนักเรียนออกมาจากตู้ กวาดของใช้ที่จำเป็นใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ พับเสื้อผ้าลวกๆใส่กระเป๋า  กวาดตามองไปรอบๆดูว่าได้ลืมอะไรไปอีกหรือเปล่า

แต่ผมมองไม่เห็น

น้ำตากำลังเอ่อล้นออกมา

น้อยใจลุงและป้าที่ไม่เชื่อผมบ้าง น้อยใจที่ป้าพรเห็นพี่พุธดีกว่าผมต้องถึงขั้นให้ผมย้ายห้องออกไปอยู่ห้องเก็บของ ผมไม่ได้พูดออกไป แต่คิดว่าป้าพรควรจะรู้ และที่สำคัญกว่านั้นคือผมกำลังหวาดกลัวว่าพี่พุธไม่หยุดแค่นี้แน่...

เขาไม่หยุดแค่นี้แน่...

ในเมื่อเขาไม่หยุด ผมก็ต้องหนี...

หนีไปจากบาปที่เขาตั้งใจยัดเยียดให้ผม...

เขาก็แค่แกล้ง...เขาก็แค่แกล้งผม

มันเป็นการกลั่นแกล้งที่รุนแรงเกินกว่าผมจะรับได้ เพราะเขารู้ว่าผมชอบผู้ชายก็ก็เลยทำกริยาถ่อยๆกับผม มันทำให้ผมรังเกียจเขาจนแทบจะขย้อนอาหารออกมา...ผมอยากเป็นแบบนี้ที่ไหนกันวะ ไม่ว่าใครก็อยากเป็นเหมือนคนอื่นกันหรือเปล่า

ไม่ว่าใครก็อยากถูกมองด้วยสายตาปกติกันหรือเปล่า

เห็นผมกลัวแล้วมันสนุกมากหรือไง...

เรื่องนั้นผมไม่ได้ทำสักหน่อย...ทำไมเขาต้องทำแบบนี้เพื่อแก้แค้นด้วย

แม่งโคตรแย่ โคตรอยากหายตัวออกไปจากโลก อยากจะซ่อนตัวอยู่หลังดาวหางให้มันรู้แล้วรู้รอด

เมื่อเก็บของต่อไม่ไหวผมก็ทิ้งตัวลงบนเตียง ซุกหน้าลงกับหมอน ร้องระบายความอัดอั้นออกมา คิดว่ามันคงมีเสียงเล็ดลอดออกมาบ้าง แต่ผมไม่สน ผมแหกร้องอย่างบ้าคลั่งและปาหมอนกับตุ๊กตาบนเตียงใส่ผนังห้อง ระหว่างนั้นผมก็ควานหาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋านักเรียน

ล้วงเอากระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมอกมาจากกระเป๋ากางเกง คลี่กระดาษแผ่นนั้นออก

“ถ้าอยากจะหนีออกจากบ้านอีกล่ะก็โทรมาเลย กริ๊งเดียวพี่ก็รับสายเราแล้ว เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหม”

น้ำเสียงทุ้มและดังกังวานของคุณปลาทำให้ผมน้ำตาไหลออกมาอีกรอบ ไม่เข้าใจว่าทำไมคนแปลกหน้าถึงได้ดีกับผมทั้งๆที่คนใกล้ตัวต่างก็ใจร้ายใส่ผมกันทั้งนั้น

ผมพยายามเพ่งตามองตัวเลขบนกระดาษสีครีมที่ฉีกออกมาจากสมุดจดหน้าคอนโซลรถ แต่ผมมองไม่ออก น้ำตาไหลออกมามากเกินไปไม่ว่าผมจะปาดออกไปกี่รอบแล้วก็ตาม

ผมใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาอีกรอบ เพ่งสายตามองอย่างตั้งใจ นิ้วโป้งกำลังกดตัวเลขที่มองเห็น

“ศูนย์...เก้า...แปด..หนึ่ง...ศูนย์...เก้า...” ผมกดตัวเลขลงไปด้วยนิ้วมือที่กำลังสั่นระริก กดอีก4ตัวหลังตามลงไปอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด จากนั้นก็กดโทรออก

....

ตรู๊ดดดด

แกร๊ก !


“กำลังจะเก็บของไปไหนเหรอครับน้องลูกสน...”

ผมหันหลังกลับไปมองต้นเสียง เห็นผู้ชายตัวสูงยืนพิงขอบประตูอยู่ เขากอดอกแล้วมองมาทางผมด้วยใบหน้าทะมึงตึงราวกับว่าจะฉีกร่างผมออกเป็นชิ้นๆด้วยสายตาถ้าหากว่าเขาสามารถทำได้ ไม่มีรอยยิ้มบนใบเหมือนอย่างเคย เขาก้าวอาดๆเข้ามา แล้วดึงตัวผมให้ลงมาจากเตียง

ผมมองพี่พุธอย่างตื่นตระหนก รู้ตัวว่าพลาดแล้วที่ลืมล็อกประตูห้องในวันที่เขามาบ้าน และยิ่งในวันแบบนี้แล้วด้วย

พี่พุธกำข้อมือผมแน่นจนผมรู้สึกปวด ผมพยายามสะบัดมือของเขาออกแต่ก็สู้แรงคนออกกำลังกายเป็นประจำแบบเขาไม่ได้ เขากัดฟันกรอดจ้องผมราวกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อ แค่ก้าวขานิดเดียวเขาก็ขยับไปล็อกประตูห้องและตันทางไว้เมื่อเห็นว่าผมกำลังจะวิ่งออกไป

ดวงตาดุร้ายของเขากวาดมองหน้าผม มือทั้งสองข้างเปลี่ยนมาจับข้อมือของผมไว้แน่นจนผมไม่มีแรงที่จะกำโทรศัพท์มือถือ มันหล่นลงบนพื้นและไถลเข้าไปใต้เตียงเมื่อพี่พุธออกแรงเตะ

“พี่ถามว่าสนจะไปไหน ! ตอบพี่มาสิ !!”

เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เล็ดลอดผ่านไรฟัน เพิ่มแรงที่บีบข้อมือผมเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว มันดูสั่นเทา...ไม่สิร่างทั้งร่างของเขากำลังสั่นเทาต่างหาก

“พี่บอกสนแล้วใช่ไหมว่าสนจะหนีอะไรก็ได้ แต่สนหนีพี่ไปไม่ได้ !! แล้วนี่สนกำลังจะไปไหน สนจะหนีพี่ไปไหนอีก !!”

“กูจะไปไหนก็ได้ ไม่ใช่เรื่องของมึง !!” ผมจ้องมองพี่พุธด้วยดวงตาสั่นระริก โพล่งออกไปเสียงดังอย่างลืมตัว

ปกติผมไม่ใช่คนหยาบคาย...แต่การอยู่กับพี่พุธทำให้ผมกลายเป็นคนแบบนั้น

ผมหยาบคายใส่เขาทุกครั้งที่โกรธ คนที่เติบโตมาพร้อมกับคำสอนของพ่อที่ต้องการให้ลูกชายเป็นคนสุภาพ พูดจาอ่อนน้อมถ่อมตน ถูกทำให้ดับสิ้นกลายเป็นคนถ่อยไปเมื่ออยู่ใกล้ผู้ชายตรงหน้า

“เราจะหนีความจริงไม่ได้นะลูกสน”

“ความจริงอะไรล่ะ ! มึงจะแต่งงานแล้วนะเว้ย มันไม่ใช่เรื่องตลก! เลิกล้อเล่นได้แล้วเว้ย กูจะชอบผู้ชายจะอะไรมันก็เรื่องของกู แต่จะมาทำแบบนี้กับพี่ของกูไม่ได้ ! มันไม่ใช่เรื่องมาเอาชนะเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง!!”

ผมตั้งสติ นึกถึงคำพ่อสอน ขอโทษพ่อในใจ

“อ๋ออออ ต้องการเอาชนะ ! ที่เห็นว่าพี่ทำทั้งหมดนี่คือการเอาชนะเหรอวะ !” พี่พุธหัวเราะหึๆในลำคอ ดวงตาแข็งกร้าวคู่นั้นทำเอาผมสั่นสะท้านไปทั้งตัว “ถ้างั้นสนก็น่าจะรู้ได้แล้วนะว่าพี่รักสน ไม่ใช่รักบัว ! เห็นความรู้สึกพี่เป็นของเล่นหรือไงวะ! ต้องให้บอกตลอดเวลาเลยไหมว่ารักเราน่ะ !”

ผมหัวเสีย รักผมงั้นเหรอ...รักบ้าอะไรของเขาวะ ! ก็แค่อยากเอาชนะผม ก็แค่อยากทำลายผมก็เท่านั้น !

“ถ้าไม่รักแล้วจะแต่งงานกับพี่ใบบัวทำไมวะ”

“เออ งั้นให้ถอนหมั้นตอนนี้เลย เอาไหมล่ะ!”


ตรู๊ดดดด
.
.
.
.
[เอ่อ...สวัสดีครับ ใครครับ ?]




:oni1: :oni1:




มาต่อช้าไปนิดดดด อาทิตย์ก่อนเรายุ่งๆเพราะผลแอดประกาศ และเราก็ดันติดคณะที่อยากได้ทั้งๆที่ลงไว้เล่นๆแบบไม่นึกว่าจะติด

ทางบ้านก็อยากให้เรียนใกล้ๆ ไปเรียนทำไมตั้งไกล เกินอีสานก็ไม่ให้ไปแล้ว แต่เราดันไปแอดคณะที่เลยกรุงเทพไปอีก55555

สรุปต้องให้หลายคนหว่านล้อมกว่าแม่เราจะใจดีให้ไปสัมภาษณ์(เราติดรับตรงมรภ.ใกล้บ้าน สาขาเดียวกันกับที่แอดนั่นแหละ และจ่ายเงินค่าเทอมค่าหอแล้วT_T555) เราก็เครียดๆแหละ ที่หนึ่งก็ใกล้บ้าน ที่หนึ่งใจก็บินไปตั้งแต่ตอนสมัครแอดแล้ว สรุปคือเราลืมลงนิยาย55555


ปล.เจอกันตอนหน้างับ
ปล.2เรื่องนี้เชียร์นอกหน้าไม่ได้ ต้องแอบเชียร์ข้างฝา อย่าลืมสมัครเข้าสมาคม #ทีมดูต้นทาง กันด้วยนะคะ5555
:try2:






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2017 19:31:25 โดย ไอแอมเดอะแฟต »

ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 5 UP! | (26/6/17)
«ตอบ #6 เมื่อ26-06-2017 14:12:57 »

5


ผมเงียบ...

ถอนหมั้นทั้งๆที่มีแพลนว่าจะแต่งงานกลางปีหน้างั้นเหรอ...

มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดเพื่อเถียงให้ชนะผมนะเว้ย !

“พอเถอะ...”  ผมเอ่ยเตือนสติกึ่งขอร้อง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ผมไม่เข้าใจเขาเลยสักนิดว่าเขาต้องการอะไร...และทำไมเขาถึงกล้ามาบอกรักผมทั้งๆที่คู่หมั้นของเขาก็ยังอยู่ด้านล่าง

เขาบอกว่ารักผมทั้งๆที่จะย้ายมาอยู่ที่บ้านและได้ฤกษ์แต่งงานกันแล้วน่ะนะ! คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกรึไงกัน !

เขาพยายามปรับอารมณ์ เขาเองก็ไม่ชอบที่จะคุยแบบใส่อารมณ์กับผมนัก “อย่าหนีสิลูกสน....ยังไงลูกสนก็หนีความจริงไม่ได้หรอก” ดวงตาสีนิลดุร้ายของพี่พุธตรึงร่างผมไว้แน่น แรงบีบรอบข้อมือของผมค่อยๆผ่อนลง เขาดันร่างผมติดกับประตูห้อง ยืนค้ำร่างผมและไม่คิดที่จะปล่อยมือออก ใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจของเขาก้มลงต่ำ

ลมหายใจร้อนๆเป่ารดใบหน้า ได้กลิ่นบุหรี่กลิ่นประจำที่ผมแสนจะรังเกียจ

ผมเบนหน้าหนีและหลบสายตาคู่นั้น...ผมอยากจะร้องออกไปเพื่อระบายความอึดอัดคับข้อง แต่ยังไงล่ะใครจะช่วยผมได้ พี่ใบบัวเหรอ ป้าเหรอ ลุงเหรอ ผมตัวใหญ่กว่าพวกเขาหลายเท่ายังไม่สามารถช่วยอะไรตัวเองได้เลย

อยู่ต่อหน้าคนอย่างพี่พุธผมก็เป็นได้แค่ไอ้ลูกหมากระจอกๆที่ไม่มีปัญญาแม้แต่จะช่วยเหลือตัวเอง

พี่พุธมีร้อยแปดเหตุผลที่จะหว่านล้อมทุกคนให้เชื่อฟัง ส่วนผมก็เป็นฝ่ายผิดเสมอแม้ผมจะไม่ใช่คนเริ่ม...ผมถึงอยากหนีออกไปจากเรื่องบ้าๆนี้ยังไงล่ะ

“หนีแล้วมันช่วยอะไรได้เหรอลูกสน...เวลาเรามีปัญหาอะไรก็เอาแต่หนีตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของไอ้เมฆ หรือแม้แต่เรื่องของเรา”

ผมไม่กล้าหันหน้าไปประจันกับลมหายใจร้อนผ่าวของเขาจึงได้แต่หุบปากเงียบ พี่พุธกัดฟันกรอดอย่างไม่ชอบใจ มือข้างซ้ายจับใบหน้าของผมให้หันมาสบตาเขาโดยตรง

“พี่ถาม ทำไมไม่ตอบ...” น้ำเสียงกร้าวเล็ดลอดออกมาจากไรฟัน ไม่บอกผมก็รู้ได้โดยอัตโนมัติว่าเขากำลังพยายามข่มอารมณ์โกรธนั้นมากขนาดไหน เขาถามซ้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกจนผมสะดุ้ง

ผมกลืนน้ำลายลงคอดังอึกและตอบเขาไปเสียงแผ่ว

“เราพอกันแค่นี้ไม่ได้เหรอวะพี่พุธ...”

“จะหยุดได้ยังไงลูกสน หยุดด้วยการหนีพี่งั้นเหรอ แล้วมันช่วยอะไรล่ะ ? มันไม่เห็นช่วยอะไรเลย” เขาแค่นหัวเราะดังเหอะอย่างไม่สบอารมณ์

ผมไม่กล้าสบตา จึงก้มหน้าลงต่ำ

เขาสบถออกมาสองสามคำอย่างหัวเสีย มือข้างซ้ายออกแรงบีบคางผมเบาๆแล้วดันหน้าผมขึ้นให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน “พี่ไม่ยอมให้ลูกสนหนีพี่ไปแน่ และสาบานว่าพี่จะไม่ยอมหยุดจนกว่าเราจะยอมรับว่าเราเองก็ชอบพี่”

ผมสะบัดมืออกจากการจับกุมของเขา ปัดฝ่ามือที่จับใบหน้าออกด้วยความโมโห สมองของผมถึงกับขาวโพลนไปชั่วขณะที่ได้ยินเขาพูด ผมว่าเขากำลังเสียสติ หรือไม่ก็ต้องป่วยหนักมากแน่ๆที่กล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา

สาบานว่าจะไม่ยอมหยุดน่ะเหรอ ! ทั้งๆที่รู้ว่าเขากำลังทำผิดอยู่น่ะนะ ! ทำไมเขาเป็นผู้ใหญ่ที่เลวร้ายได้ขนาดนี้ !

ที่ผมกับเมฆเลิกกันก็เพราะเขาไม่ใช่รึไง !!

“เลิกบ้าสักทีเถอะ !” ผมจ้องตอบดวงตาคู่ดุไปด้วยความโกรธและฉุนเฉียว ผมมั่นใจว่าหน้าผมกำลังร้อนขึ้นด้วยความโกรธมากกว่าที่จะเป็นเพราะลมหายใจกลิ่นบุหรี่บ้าๆนั่น

พี่พุธแสยะยิ้ม มันไม่ใช่สัญญาณที่ดีสักเท่าไหร่

“แล้วแค่พี่รักเรานี่มันผิดมากเหรอลูกสน!”

“เออ ! โคตรผิด !! มันผิดที่พี่รักสนไม่ได้ไง ! พี่พุธอย่าลืมสิว่าตอนนี้พี่พุธคบกับใคร หมั้นกับใคร และกำลังจะแต่งงานกับใคร เลิกบ้าได้แล้ว !” ผมโพล่งออกไปจนหมด หอบหายใจถี่เพราะทั้งโกรธทั้งเหนื่อย

เขารวบแขนผมที่ตั้งการ์ดขึ้นมาป้องกันไว้ และมืออีกข้างก็จับคางผมไว้บังคับให้ผมหันหน้าไปในทิศทางตามใจชอบของเขา และเหนือสิ่งอื่นใด เขากำลังทำสิ่งอยู่นอกเหนือความคาดหมายด้วยการโน้มหน้าลงมาและบดขยี้ริมฝีปากผมด้วยความต้องการที่จะปราบพยศผม

กลิ่นบุหรี่ที่ผมรังเกียจคละคลุ้งในปาก ผมพยายามขัดขืนแต่พี่พุธกลับดันร่างตัวเองมาแนบชิดเพื่อที่จะพันธนาการผมไว้ สมองของผมขาวโพลนในขณะที่พยายามขัดขืน หากดวงตาของเขาสามารถสาปผมได้ ริมฝีปากของเขาก็ไม่ต่างจากยาชนิดเฉียบพลันที่ทำให้สมองของผมขาวโพลนและไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน

ก๊อกๆๆ

“พี่พุธคะ แค่ให้ตามตามสนทำไมนานจัง ทะเลาะอะไรกันอยู่หรือเปล่า เสียงดังลงไปถึงด้านล่างแน่ะ”

ผมพยายามผลักเขาออก เสียงของพี่ใบบัวอยู่ห่างจากผมเพียงแค่ประตูไม้กั้น แต่พี่พุธกลับดื้อดึงเหมือนวัชพืชที่ดื้อยา ครั้งนี้เขาเป็นหนักมากกว่าครั้งไหนๆ ทั้งๆที่รู้ว่าคู่หมั้นของเขากำลังเคาะประตูแต่เขากลับออกแรงบดขยี้ริมฝีปากผมมากกว่าเดิมจนรู้สึกเจ็บ

“อื้อ...”

“พี่พุธคะ ได้ยินบัวไหมคะ ?”

................

.......................

“ นี่สน ? พี่พุธ ?...ไม่อยู่เหรอ ?”

“...”

“ไปไหนของเค้ากัน...”

ผมจ้องหน้าพี่พุธอย่างโกรธแค้นเมื่อเขาละริมฝีปากออก เขาจ้องมองผมคล้ายมองเหยื่อ ปล่อยให้ผมมีโอกาสกอบโกยออกซิเจนเพียงเสี้ยววินาทีก็จู่โจมต่อ ผมพยายามผลักเขาออกเพื่อที่จะหยุดพักหายใจ แต่เขากลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือจากผม

และเขากำลังทำมากเกินกว่าทุกครั้ง

ฝ่ามือที่จับใบหน้าของผมล้วงเข้าไปทางด้านหน้าของเสื้อ ปลายนิ้วลากไล้ไปตามหน้าท้องของผม และจากนั้นกางเกงผมก็ตกลงไปกองอยู่กับพื้น ผมพยายามจะขัดขืนแต่พี่พุธนั้นตรึงร่างผมไว้แน่น จึงได้แต่ร้องอู้อี้ไม่เป็นภาษาให้เขาหยุดอยู่ในลำคอเพราะเขาปิดปากผมไว้แน่นด้วยริมฝีปากร้อนระอุ

และผมแทบจะร้องไม่เป็นภาษาเมื่อเขาพยายามที่จะปลดกระดุมเสื้อนักเรียนของผมออกทีละเม็ด น้ำตาของผมไหลออกมาด้วยความหวาดกลัวเป็นครั้งแรก มันมากเกินกว่าทุกครั้ง มากเกินกว่าจนเกือบจะเลยเถิดถ้าหากผมตั้งสติไว้ไม่ได้

ผมร้องไห้ออกมาเขาจึงหยุดชะงัก ผมอาศัยจังหวะนี้สะบัดมือออกและยกขาขึ้นถีบตัวพี่พุธให้ออกห่าง ผมมองหน้าพี่พุธทั้งน้ำตา และ “ผั๊วะ !” ชกหน้าเขาไปหนึ่งครั้งจนใบหน้าหันไปด้านซ้าย และใช้หลังมือตบหน้าเขาอีกรอบจนฝ่ามือแดงเทือก

ก้มลงเก็บกางเกงนักเรียนขึ้นมาสวม ติดกระดุมนักเรียนที่เหลือแค่เม็ดสุดท้ายด้านบนเท่านั้นให้เรียบร้อย ทั้งโกรธ ทั้งอายจนทำอะไรไม่ถูก ผมอยากจะสับเขาให้แหลกเป็นชิ้นๆ อยากจะหนีออกไปนอกโลก อยากจะหนีไปที่ไหนก็ได้ขอแค่ให้ไกลจากคนใจร้ายแบบเขา !

มันไม่มีทางออกไหนที่ดีกว่านี้อีกแล้วสำหรับเราทั้งคู่

“พี่ขอโทษ...” ใบหน้านั้นคล้ายกำลังสำนึกกับสิ่งทีเขาได้ทำลงไป แต่ผมไม่เห็นใจกับสิ่งที่เขากำลังตั้งใจจะทำให้เกิด ผมก้มลงควานหาโทรศัพท์ที่กำลังแผดร้องอยู่ใต้เตียงแล้วยัดใส่กระเป๋ากางเกงที่ยับยู่ยี่ เดินไปหยิบกระเป๋าลากที่วางอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าที่ข้างในนั้นว่างเปล่า

ผมเงยหน้ามองใบหน้าที่ดูตกใจกับปฏิกิริยาผมของพี่พุธ ใช้หลังมือถูริมฝีปากต่อหน้าเขาหลายรอบ ภาพของผมในดวงตาของเขานั้นได้สะท้อนให้ผมเห็นว่าผมกำลังโกรธแค้นและหวาดกลัวเขามากแค่ไหน

เขากำลังเอื้อมมือที่จะมาจับแขนผมไว้ไม่ให้ผมถูริมฝีปากมากเกินไปกว่านี้ แต่ผมสะบัดมือเขาออกแล้วตบหน้าเขาไปอีกรอบ

“อย่ามาจับตัวกู ! สิ่งที่มึงทำมันน่ารังเกียจมากแค่ไหนมึงรู้ไว้ด้วย !!”

ผมกัดฟันกรอดแล้วมองหน้าพี่พุธ เช็ดปากเป็นรอบสุดท้าย มองดูแขนเสื้อนักเรียนที่เปื้อนเลือดแล้วแสยะยิ้ม ผมเดินไปเปิดประตู และไม่หันหลังกลับเข้าไปมองในห้อง ผมเดินลงบันใดไม้เสียงดังตึงตัง กลั้นน้ำตาไว้และเดินผ่านลุงกับป้าที่มองมาอย่างสงสัย

“จะไปไหนเหรอสนดึกๆดื่นๆ ไปบ้านมีตาอีกแล้วเหรอ” เสียงของพี่ใบบัวที่ตะโกนถามมาจากในครัวทำให้ผมชะงักกึก ภาพเหตุการณ์ที่พี่ใบบัวเรียกพี่พุธอยู่นอกประตูฉายเข้ามาในหัว

ผมกัดริมฝีปากแน่น กลั้นน้ำตาไว้และผงกหัวอย่างช้าๆเดินไปเปิดประตูบ้าน สวมรองเท้านักเรียน และยกกระเป๋าลากให้พ้นธรณีบ้าน

โทรศัพท์ที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋ากระโปรงกรีดร้องอีกครั้งแต่ผมไม่สนใจ ผมเดินไปที่ประตูบ้านอย่างเชื่องช้า รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงได้ละลายไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองหน้า ผมใช้มือที่ว่างค่อยๆเลื่อนประตูเหล็กสีขาวออก เสียงครึกๆของล้อที่บนพื้นปืนดังขึ้นเมื่อผมออกแรงผลัก

เมื่อปิดประตูเสร็จผมก็ใช้แขนเสื้อนักเรียนที่เปื้อนคราบเลือดเช็ดน้ำตาออกอย่างลวกๆ กวาดตามองไปรอบๆไม่รู้ว่าจะจัดยังไงดีกับชีวิตตอนนี้ เพราะในสมองของผมมีแต่คำว่าหนีเท่านั้น นอกเหนือจากนี้คือไม่มีแผนการอะไรอีก

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาอีกรอบ ผมล้วงมันขึ้นมาและกดรับโดยไม่ได้ดูสายเรียกเข้า เป็นช่วงจังหวะเดียวกันที่ผมเหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งแสนคุ้นตาที่ยืนอยู่ในความมืด มีเพียงแสงสลัวของหลอดไฟดวงเก่าจากเสาไฟที่ส่องลงมายังตัวเขาและรถเก๋งสีดำมันปลาบ

เขาอยู่ตรงนี้...

อยู่ในยามที่ผมต้องการเสมอ...

ผมกดรับสาย และกรอกเสียงที่สั่นเทาลงไป “คุณปลา...ผมไม่อยากอยู่แล้ว...”

ผมสามารถกลั้นน้ำตามาได้ตลอด

แต่มันก็พังทลายลงเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์

คุณปลากดตัดสายและวิ่งมาหาผม ไม่ทันทีเขาจะเอ่ยปากพูดอะไรผมก็ทิ้งกระเป๋าเดินทางและโผกอดคนแปลกหน้าแน่น ซุกตัวเข้ากับแผ่นอกกว้างที่ทำให้รู้สึกถึงความปลอดภัยอยู่เสมอ น้ำตามากมายของผมทำให้เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาเปียกชุ่ม

กลิ่นหอมอ่อนๆของกาแฟทำให้ผมร้องไห้โฮ เพราะเผลอนึกถึงกลิ่นบุหรี่ที่แสนรังเกียจ

“พาผมหนีที คุณปลา...ผมไม่อยากอยู่แล้ว ผมทนไม่ไหวแล้ว” ผมสะอื้นไห้จนตัวโยน กอดที่พึ่งเพียงคนเดียวในตอนนี้แน่นและเอ่ยบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาจนแทบจะขาดหาย

“คุณปลาช่วยผมด้วย...”




OOOOO




ผมกดปิดเครื่องเมื่อพี่พุธพยายามโทรหาผมมากกว่าสิบสาย ถึงแม้ว่าผมจะตั้งระบบปิดเสียงไว้แต่มันก็ยังก่อกวนใจผมไม่เลิก ผมเก็บโทรศัพท์เข้าในกระเป๋ากระกางเกง และนั่งขดตัวอยู่บนเบาะหน้า คุณปลาหรี่แอร์ลงแล้วกดปิดรายการวิทยุ ทำให้ภายในรถตกอยู่ในความเงียบ บางครั้งก็มีเพียงเสียงสะอื้นของผมที่ดังขึ้น ทำให้หนังเรื่องนี้คล้ายกับแผ่นซีดีที่สะดุด

ภายในรถนั้นค่อนข้างมืด แต่เมื่อดวงตาชินไปกับมันผมกลับมองเห็นอะไรหลายๆอย่าง คุณปลาอยู่ในชุดทำงานที่ดูเป็นระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า เนคไทผูกเป็นปมแน่นยังไม่คลายออก เขายังคงขับรถแมวเซาของเขาอย่างช้าๆและเงียบจนน่ากลัว

สิ่งที่ต่างออกไปจากเมื่อวานคือมือข้างซ้ายที่ไม่ได้จับพวงมาลัยของเขากำลังกุมมือผมอยู่และบีบเบาๆคล้ายกำลังเติมพลังงานให้ผม

เขาไม่ถามอะไรผมถึงเหตุการณ์นั้นแม้แต่คำเดียว

“เรากินข้าวมาหรือยัง” นานหลายนาทีนับตั้งแต่ที่ผมหยุดร้องไห้คุณปลาถึงได้ถามขึ้นมา

ผมพยักหน้าตอบเงียบๆ และมองไปรอบๆตัวรถ ร้านแผงลอยตั้งตามฟุตปาธเป็นแนวยาวในทางที่ผมไม่คุ้นเคย กลางคืนที่ผมไม่รู้จักดูมีชีวิตชีวามากกว่าในหมู่บ้านเงียบๆแห่งนั้น

ปกติแล้วป้าพรจะเข้มงวดกับผมมาก ทำให้ผมไม่ได้ออกไปไหนหลังจาก2ทุ่ม และต่อให้ผมไปนอนค้างบ้านมีตา มีตาก็ไม่ค่อยกินอาหารพวกนี้สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เธอจะให้แม่บ้านทำอาหารง่ายๆให้กินมากกว่าเพราะไม่มั่นใจในฝีมือการทำอาหารของผมและตัวเธอเองด้วย

“ผัดไทย ? หอยทอด ? หรือจะเป็นอาหารตามสั่ง ?” คุณปลาถามและเปิดไฟเลี้ยวด้านซ้าย เขาค่อยๆชะลอรถและจอดอยู่หน้า
ร้านขายผัดไทย ผมกวาดตามองไปรอบๆ ข้างๆร้านผัดไทยมีร้านหอยทอด ร้านบะหมี่ ร้านอาหารอีสาน ร้านข้าวต้มกระเพาะปลา มีมากมายหลายอย่างทั้งรู้จักบ้างและไม่รู้จักบ้างจนลายตาไปหมด

ผมส่ายหัวดิก ไม่ใช่ไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี แต่ไม่หิวมากกว่า

“พี่ยังไม่กินอะไรเลย ลงไปกินเป็นเพื่อนพี่หน่อย เราชอบอะไร เลือกร้านสิ” คุณปลาเองก็มองไปรอบๆเหมือนกัน คงกำลังชั่งใจดีว่าจะกินอะไรเป็นมื้อดึกวันนี้ “ตอนนี้คนก็ยังเยอะอยู่เลย หรือพี่จะกินขนมปังกับนมเหมือนเราเมื่อวานดี ? แถวนี้มีร้านสะดวกซื้ออยู่สองสามร้าน”

“แล้วปกติคุณปลากินอะไรล่ะครับ ? ” ผมถามเสียงแผ่ว

“ปกติเหรอ...” คุณปลาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างให้ความคิด “ส่วนมากจะกินอาหารย่อยง่ายๆพวกปลาหรือไม่ก็พวกสลัดผัก ไม่ก็ลงไปกินอาหารด้านล่างคอนโด แถวนั้นจะมีร้านโต้รุ่งอยู่”

คำตอบของเขาไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด ก็เขาเล่นตอบเป็นประเภทมาแบบนี้ผมจะไปตอบได้ยังไงว่าอยากกินอะไรดี โชคดีที่ผมไม่ตอบกลับไปว่าให้เขาแวะร้านต้มเปื่อยที่อยู่หัวมุมถนน เอาจริงๆแล้วถ้าให้ผมตอบตามความอยากซึ่งไม่ใช่ความหิว ผมคนจะเร่งเร้าให้เขาแวะร้านส้มตำไก่ย่างไปแล้วล่ะ

แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ที่จะกินอะไรทั้งสิ้น

“อืม...งั้นก็กินข้าวต้มปลาก็ได้ครับ” มันเป็นคำตอบที่ผมคิดว่าตรงตามความต้องการของคุณปลาที่สุดแล้ว

คุณปลายิ้มน้อยๆที่มุมปาก “พี่ถามว่าเราชอบกินอะไร ไม่ใช่กินตามพี่ชอบ” เขาเห็นผมเงียบไปจึงพูดขึ้นมาว่า “หรือว่าจะแวะซื้อของสดแล้วไปทำอาหารกินดี ? ถ้ากลับไปกินที่ห้องตอนนี้ก็คงมีแต่มาม่า”

มาม่างั้นเหรอ... ? ผมนึกถึงอาหารเพียงอย่างเดียวที่สามารถทำออกมาได้แล้วครัวไม่เละเสียก่อน

ผมนึกไม่ออกว่าอยากกินอะไร จึงตอบคุณปลาออกไปโดยไม่ทันคิด “งั้นก็กินมาม่าก็ได้ครับ”

“หืม จริงเหรอ ? เราทำอร่อยหรือเปล่าล่ะ ? ถ้าเราทำอร่อยพี่จะลองกินฝีมือเราดู ?”

ผมเม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าจะตอบคุณปลาออกไปยังไงดี ผมไม่ค่อยได้ทำอาหารนัก ไม่มีวิชาความรู้ด้านนี้อยู่ในสมองเล็กๆของผม อาหารที่ทำได้ง่ายๆก็มีแค่อาหารสำเร็จรูปอย่าง มาม่า โจ๊ก และบะหมี่

“ไม่รู้สิ” ผมส่ายหน้า “พ่อบอกว่ากับข้าวที่ผมทำพ่อกินได้แค่มาม่าอย่างเดียว...”

คุณปลาเลิกคิ้วขึ้นคล้ายไม่อยากจะเชื่อ ผมจึงย้ำกับเขาไปว่าจริงจริงอยู่หลายรอบเขาถึงคลายคิ้วที่ขมวดแน่นออก

ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มบางๆ ดวงตาคู่คมหลังเลนส์ยิ้มหยีจนเป็นตัวสระอิ ลดอายุลงมาอีกมากโขดูๆแล้วก็คล้ายจะห่างกับผมไม่มาก

“โอเค ! งั้นก็ไปต้มมาม่ากินกันดีกว่าเนอะ เอาเป็นว่าพี่เชื่อพ่อเราก็แล้วกัน” คุณปลาอมยิ้มมุมปาก


ตึกตัก...


กลัวเหลือเกินว่าหัวใจเจ้ากรรมของผม มันจะไม่ชาชินกับความเจ็บปวดสักที
















ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ►สับสนในรัก◄ 5 UP! | (26/6/17)
«ตอบ #7 เมื่อ26-06-2017 21:29:21 »

ผู้ใหญ่บ้านนี้ ช่างซื่อ จนเซ่อ หรือเปล่า

ไม่เคยได้ฟังคำพังเพยสุภาษิตสินะ แบบ
-ไม่มีมูล ฝอย หมาไม่ขี้
-น้ำนิ่ง ไหลลึก
-หน้าเนื้อ ใจเสือ
-ปากหวาน ก้นเปรี้ยว
-หน้าใส ใจมาร

ลูกสาวตัวเองถูกหลอก ยังไม่รู้ตัว
หลายชายจะถูกกินรอมร่อ

ปลา ช่วยสนให้พ้นทุกข์ด้วยนะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Pa'veaw

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 5 UP! | (26/6/17)
«ตอบ #8 เมื่อ26-06-2017 21:54:57 »

อะไรยังไงกันมครจะเป็นพระเอกนะ

สงสารสนยังเลย ทำไมพูดอะไรก็ไม่มีคนเชื่อ

พี่พุธดีขนาดนั้นเลยเหรอหนือเพราะไม่ชอบสนกันแน่ถึงไม่สนใจในสิ่งที่สนบอกเลย

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ►สับสนในรัก◄ 5 UP! | (26/6/17)
«ตอบ #9 เมื่อ26-06-2017 22:45:03 »

ชีวิตน่าสงสาร
ดูท่าพี่ปลาก็เป็นคนมีอดีตนะ (หมายถึงมีเรื่องราวที่จำฝังใจ) ไม่รู้ว่ามันจบไปหรือยัง
รอตอนต่อไปค่ะ (อาจจะไม่ได้มาเม้นท์ตลอดนะ น่าจะมาแนวส่องก่อน ดราม่าน่ะกลัว (นิดหน่อย) แต่ที่กลัวกว่าคืออ่านแล้วค้าง อิอิ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►สับสนในรัก◄ 5 UP! | (26/6/17)
« ตอบ #9 เมื่อ: 26-06-2017 22:45:03 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ijuney

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 5 UP! | (26/6/17)
«ตอบ #10 เมื่อ27-06-2017 10:20:03 »

สนคู่พีปลาได้มะ ดี้ดี รีบมาต่อนะ

ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 6 UP! | (27/6/17)
«ตอบ #11 เมื่อ27-06-2017 14:24:37 »


6





PLA TALK



ร่างสูงในชุดนักเรียนยืนงกๆเงิ่นๆมองผมที่เดินหายเข้าไปในห้อง ผมเรียกให้เด็กหนุ่มตัวสูงเดินตามเข้ามา แต่เขาก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม คงลังเลว่าจะเดินตามผมเข้าไปดีหรือเปล่า ผมย้ำว่าเร็วสิถึงสองรอบเขาถึงเดินตามผมเข้ามาในห้อง

ผมบอกให้ผู้อยู่อาศัยคนใหม่เอากระเป๋าเดินทางไปไว้ในห้องนอนก่อน บอกว่าเตียงนอนนั้นแยกได้เผื่อว่าเด็กจะไม่สบายใจที่ต้องร่วมห้องกับคนแปลกหน้า

เขาหายเข้าไปในห้องนอนครู่ใหญ่ กลับออกมาด้านนอกด้วยชุดลำลองเสื้อแขนสั้นสีฟ้าอ่อนสกรีนลายหมีขั้วโลกตัวอ้วนแก้มตุ่ย และกางเกงวอร์มขายาว ธรรมดา เรียบง่าย แต่ก็ยังดูดี

เหมือนที่ไอ้เอ็กซ์พูดนั่นแหละว่า ‘คนหน้าตาดีทำอะไรก็ดูดี’ ตัดพ้อเหมือนน้อยใจในชีวิต

ผมไม่ได้บอกเด็กว่า หลังจากที่รับสายและรู้ว่าใครเป็นคนโทรมาผมก็รีบบึ่งรถออกมาจากบริษัท ได้ยินเสียงสนทนาชัดบ้างไม่ชัดบ้างแต่เข้าใจว่าคงมีเรื่อง เป็นเสียงของผู้ชายคนหนึ่งและเสียงของเด็กพูดคุยกัน ได้ยินเสียงดังเพี๊ยะ

ผมเผลอกดตัดสายไปเพราะตกใจ จึงพยายามโทรติดต่ออยู่หลายรอบ เมื่อจอดรถอยู่หน้าบ้านก็พยายามโทรหาอีกหลายครั้งแต่ไม่มีใครรับสาย

และเขาก็ปรากฏตัวขึ้น...โผเข้ากอดผมแน่นด้วยส่วนสูงที่มากกว่าและขนาดตัวที่ใหญ่กว่า ใบหน้านองน้ำตาดูน่าสงสารจนใจผมอ่อนยวบไม่ต่างจากบวบโดนต้ม ตั้งใจว่าจะช่วยเหลือเด็กคนนี้ให้ถึงที่สุด อย่างน้อยก็ยังพอเป็นที่พึ่งให้เด็กได้บ้าง

ผมพาเด็กหนีออกจากบ้านไปสำรวจห้องครัว แนะนำว่าส่วนไหนเก็บอะไรไว้บ้าง เด็กหนุ่มลูกครึ่งพยักหน้าหงึกหงักพูดว่าครับและครับอย่างเดียว

ไม่รู้ว่าเข้าใจจริงๆหรือเพียงแค่ตอบไปงั้นๆเพื่อไม่ให้ผมพูดมากก็ไม่รู้

ห้องของผมมีขนาด 80 กว่าตารางเมตร ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไปที่จะอยู่กันสองคน ภายในห้องค่อนข้างเป็นระเบียบ แม้จะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกๆวันพฤหัสแต่ผมก็ชอบที่จะทำความสะอาดเองอยู่ดี

ใครๆก็บอกว่าผมระเบียบจัดจนน่าเบื่อ ซึ่งนั่นก็อาจจะจริง


ไม่งั้นคนคนนั้นก็คงไม่หนีผมไปแบบนี้หรอก...

ผมไล่ความคิดเหงาๆออกจากหัว อธิบายเรื่องกฎกติกาที่มีไม่กี่ข้อให้เด็กหนุ่มลูกครึ่งฟัง ตั้งกฎขึ้นมาใหม่บ้าง เอาตามความสะดวกใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไร ขอแค่เคารพสิทธิส่วนบุคคลกันก็พอ

หลังจากที่อธิบายรอบๆห้องให้เขาฟังจนพอใจแล้ว ผมก็ขอตัวเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้อง ปล่อยให้เด็กมีเวลานั่งพักหายใจทบทวนเรื่องราวต่างๆบ้าง

ผมนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ไม่มั่นใจว่าจะปกป้องเด็กคนนี้ไว้ได้นานแค่ไหน แต่ก็คงสักพักใหญ่ อาจจะสามวัน สี่วัน หรือไม่ก็หนึ่งอาทิตย์มากที่สุด เด็กคนนั้นหนีออกมาจากบ้าน ไม่นานลุงและป้าของเขาก็ต้องสงสัย ต่อให้บอกว่าไปนอนกับเพื่อน แต่เพื่อนก็เป็นผู้หญิง ไม่มีทางไหนเลยที่จะไม่ถูกจับได้ คงต้องคิดหาวิธีทางใหม่หลังจากนั้น

และหากกว่าคนนัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาตั้งใจที่จะหนีออกมาจากที่นั่นจริงๆ ผมเองก็คงต้องหาทางช่วยเหลือไม่ให้เขาลำบากมากเกินไปกว่านี้ แต่ตอนนี้ยังไงผมไม่กล้าปล่อยให้เด็กออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียวแน่ๆ อย่างน้อยผมก็มั่นใจว่าอยู่กับผมปลอดภัยกว่าไปเดินเตร่ข้างนอกหลายส่วน ต่อให้เขาไม่ไว้ใจผมก็ตาม

ผมก็แค่สงสารเด็กคนนั้น...

ไม่อยากให้เขามีชะตากรรมแบบเดียวกันกับผม

มันไม่มีอะไรมากกว่านั้น...ก็แค่คำว่าความสงสารเด็กมันคำเดียว

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง พับเสื้อผ้าที่ถอดออกมาแล้วหย่อนลงตะกร้าหวาย เมื่อเดินออกมาข้างนอกก็เห็นเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีหวานเหมือนหลุดออกมาจากโลกการ์ตูนยืนเงียบๆรออยู่หน้าห้อง

“ทำเสร็จแล้วเหรอ” ผมถามแม้ว่าจะเหลือบมองเห็นชามที่มีจานคว่ำปิดปากไว้วางอยู่บนโต๊ะกินข้าว แต่คงปิดไม่สนิท กลิ่นมาม่าลอยฟุ้ง แค่ดมกลิ่นก็รู้ว่ารสฮอตฮิต...

รสหมูสับ

ปกติแล้วผมไม่ค่อยกินมาม่าหรอก เพราะต้องเติมหมูเติมผักเติมไข่ นู่นนั่นนี่เยอะแยะกว่าจะได้สารหาหารครบห้าหมู่ แต่ก็ต้องมีเผื่อไว้ เผื่อวันไหนไอ้เอ็กซ์มันเมาอย่างหมามาพึ่งใบบุญผม ผมขี้เกียจลงไปซื้อข้าวต้มให้มันกิน ก็กดน้ำร้อนจากกระติกใส่คัพ ปิดฝาไว้รอให้มันอืดแล้วยื่นให้ไอ้เอ็กซ์

มันบ่นว่าอาหารสิ้นคิดชิบหาย

นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะเป็นคิวของผม

“มันอาจะไม่อร่อยสักเท่าไหร่...” คนตัวสูงอย่างหุ่นนายแบบพึมพำเบาๆในคำคอ จากนั้นก็เดินนำผมไปยังโต๊ะกินข้าวขนาดสี่ที่นั่ง 
เขานั่งลงฝั่งตรงข้ามผม ดวงตาสีหวานคู่นั้นมองมาที่ผมอย่างไม่วางตา จับตาดูทุกการกระทำของผม

ผมออกจะอึดอัดบ้าง เป็นความรู้สึกเดียวกันกับวันแรกที่เจอโกในร้านคาเฟ่...สายตาคู่นั้นเหมือนมีฤทธิ์เป็นยาชาอ่อนๆ ทำให้คนมองสมองเบลอไปชั่วขณะ

พอผมมองกลับ เด็กก็หลบตา...

ผมอดชมไม่ได้ว่าคนตรงหน้าผมหน้าตาดีจริงๆ กึ่งๆยุโรป กึ่งๆเอเชีย ดูโตกว่าอายุ

ผมสีอ่อนดูยาวกว่านักเรียนชายโรงเรียนรัฐบาลเล็กน้อยเพราะเป็นนานาชาติ เขาเสยผมด้านหน้าไปข้างหลัง บางเส้นเกเรหลุดลงมาปรกเปลือกตา จมูกเขาโด่ง ปลายจมูกติดสีแดงระเรื่อ ริมฝีปากเขามักมีสีแดงเจือบ่อยๆเพราะชอบกัดเวลาใช้ความคิด โครงหน้าของเขาเด่นชัด เห็นสันกรามนูนขึ้นมาเวลาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ถ้าเขาหนีออกจากบ้านแบบไม่มีเงิน ผมอาจจะลองขอผู้จัดละครสักค่ายช่วยเอาเด็กคนนี้ไปเลี้ยงดูสักสามสี่เดือนหรือไม่ก็ให้ไปเป็นนายแบบเสียให้รู้แล้วรู้รอด มิน่าไอ้เอ็กซ์ถึงอิจฉาคนหน้าตาดี มันบอกว่าทำอะไรก็ดูมีภาษี มีฐานคนช่วย มันคิดมากถึงขั้นบอกว่าถ้ามันไม่ได้เมียสวยมันก็จะไม่เอาลูก สงสารลูกมันที่อาจจะได้เชื้อพ่อเยอะ

ผมหัวเราะเหอะ...เมียของมันในปัจจุบันมีลูกได้ที่ไหน ก็มีน้องชายเหมือนกันซะขนาดนั้น ตั้งแค่คบกับมันมา ผมนับจำนวนเมียมันที่เป็นผู้หญิงจริงๆได้ไม่ถึง 5 คน

“อ เอ่อ...ไม่กินเหรอครับ ? ”

อ้อ...ผมมองเด็กนานเกินไป

แอบโทษดวงตาสวยๆของเขาไว้ก่อน ยากที่จะห้ามตัวเองไว้ไม่ให้หลงใหลไปกับดวงตาคู่นั้น

“กินสิ กินๆ” ผมเปิดจานออกและใช้รองก้นชาม ไอร้อนของอาหารพุ่งปะทะแว่นทำให้เกิดฝ้าและมองไม่เห็น

ผมถอดแว่นออกแล้วเป่าแว่น ปัดๆไอร้อนออกให้พ้นทางเพื่อที่จะได้ดูอาหารเมนูเด็ดของเด็กให้เต็มตา

พอใส่แว่นตาก็เห็นว่าเด็กจ้องหน้าผมอยู่

และผมก็จ้องเขากลับ

ดวงตาสีสวยของเขามีภาพผมสะท้อนอยู่ข้างใน

“คุณปลายังไม่หิวหรือเปล่า ? ”

เอ้อ หิวสิ

ก็เด็กเล่นจ้องผมก่อน ผมก็อดจ้องกลับไม่ได้น่ะสิ

ผมเลิกสนใจเด็ก ความหิวเข้ามาครอบงำเล็กน้อย เห็นเส้นมาม่านอนอืดอยู่ก้นถ้วยและน้ำในระดับปริ่มเส้น ใบผักชียังไม่เด็ด เจ้าตัวเล่นใส่เป็นก้าน เช่นเดียวกันกับใบหอม ยังดีหน่อยที่มะนาวหั่นเป็นแว่นใส่ลงมาไม่ได้หั่นเป็นซีกแช่น้ำร้อนให้ขม
 
ผมใช้ช้อนคนดู ไม่มีวิญญาณหมูหรือผมหมึกที่เขาบอกว่าแช่อยู่ด้านล่างช่องฟรีซ มีแค่ไข่ที่ต้มจนสุกกึ่งจะแข็งไปด้วยซ้ำ...

อา เขาบอกว่าจะทำไข่ยางมะตูมให้ผมใช่ไหมนะถ้าจำไม่ผิด

เด็กหนุ่มมองมาอย่างประหม่าเมื่อผมให้ตะเกียบคีบเส้นขึ้น

“มีอะไรเหรอ ? หรือว่าเราหิว อยากกินด้วยหรือเปล่า” ผมถาม เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

เขาส่ายหน้า “ไม่ได้หิวครับ แต่...ถ้ามันไม่โอเคจริงๆ คุณปลาไม่ต้องกินก็ได้นะครับ มันอืดไปหน่อย แล้วก็ผมหั่นผมหมึกไม่เป็น คือจริงแล้ว...ผมไม่รู้ว่าจะหั่นหัวมันออกยังไง” เด็กหนุ่มพยายามอธิบายที่มาของอาหารเมนูเด็ดของตัวเอง “ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องการทำอาหาร ส่วนใหญ่จะซื้อแกงถุงหรือไม่ก็ร้านตามสั่ง”

ผมมองเด็กหนุ่มและพยายามกลั้นหัวเราะ เข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อของเขาถึงบอกว่าเขาทำต้มมาม่าอร่อยที่สุด เมื่อดูจากฝีมือการใส่ผักชีและใบหอมของคนอายุน้อยกว่าเกือบสิบปีผมก็พอเข้าใจอยู่ลางๆ

อย่างน้อยก็ยังดีที่ผมล้างผักชีก่อนยัดใส่ตู้เย็น

ผมคีบเส้นอืดๆเข้าปากแล้วเคี้ยว รสชาติมันก็เหมือนมาม่าทั่วๆไปไม่มีอะไรวิเศษหรืออร่อยมากเกินไปกว่านั้น แต่เด็กหนุ่มกลับลุ้นจนออกนอกหน้า ผมจึงคีบเส้นขึ้นมาแล้วยื่นไปจ่อตรงปากคนที่นั่งตรงข้าม

“กินสิ จะได้รู้ว่าอร่อยหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มส่ายแล้วบอกว่า “ผมว่าคุณเลิกกินมันเถอะ มันไม่อร่อยหรอก ผมจะลงไปซื้ออาหารตามสั่งด้านล่างให้ดีกว่า...” ใบหน้านั้นคล้ายรู้สึกผิด

เขากำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่ผมบอกให้เขานั่งลง

“มันก็ไม่ได้แย่นะ อร่อยดี” ถึงแม้ว่ามันจะอืดไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็พอยอมรับได้ “เราเลิกทำหน้ารู้สึกผิดได้แล้ว พี่กินได้จริงๆ พี่ไม่ได้เรื่องมากขนาดนั้นสักหน่อย” ผมบอกนั่งกินมาม่าเงียบๆจนหมดชาม

เด็กหนุ่มทำหน้าทึ่งนิดหน่อยตอนที่ผมกินคำสุดท้ายเสร็จ จากนั้นจึงอาสาไปล้างจานแต่ผมปฏิเสธ บอกให้เขาเก็บจานไปวางไว้ในซิ้งค์และมานั่งบนเก้าอี้

เด็กหนุ่มที่เขาไม่รู้จักชื่อก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ก้มหน้ามองมือตัวเองที่กอบกุมกันแน่นอยู่บนหน้าตัก

ในตอนแรกผมเข้าใจว่า ยังไงผมก็ไม่จำเป็นต้องรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้จึงไม่ได้ถามชื่อออกไป

เข้าใจว่าเป็นแค่คนที่ผมต้องช่วยเหลือเบื้องต้นเพียงผิวเผินเท่านั้น

แต่เอาเข้าจริงผมทิ้งเด็กคนนี้ไม่ลง...


อะไรบางอย่างในตัวเขาคล้ายสะท้อนให้ผมเห็นภาพของตัวเองเมื่อก่อน

ผมไม่อยากทิ้งให้เด็กคนนี้อยู่ตามลำพัง...

จะบอกว่าสงสารก็คงไม่ใช่ จะบอกว่าเห็นใจก็คงไม่ถูก...

มันยากที่จะจำกัดความออกมาเป็นคำพูด

“เราเรียนที่นานาชาติร่มพฤษ์ใช่ไหม” ผมถามขณะที่รินน้ำใส่แก้วแล้วผลักไปทางเด็กหนุ่มเบาๆ

“ครับ” เด็กหนุ่มเพียงพยักหน้าน้อยๆเท่านั้น มีสีหน้าคลางแคลงใจเล็กน้อยที่ผมรู้ชื่อโรงเรียน

ผมจึงบอกไปว่าวันนั้นที่ผมเห็นเขาที่คาเฟ่ผมจำเครื่องแบบของเขาได้ มีโรงเรียนไม่กี่แห่งหรอกที่ใช้เครื่องแบบสีสันสดใสเหมือนนำเด็กวัยรุ่นเกาหลีมาเป็นผู้บริหารโรงเรียน แต่ก็โชคดีที่เด็กตรงหน้าผมเข้ากับเครื่องแบบโรงเรียนในระดับดีถึงดีมาก ปล่อยให้ผู้บริหารเจ็บใจเล่นที่สกัดดาวรุ่งไว้ไม่ได้

ผมเลิกคิดเรื่อยเปื่อย และคุยธุระต่อ “เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะไปส่งเราก่อน วันหลังพี่จะดูเส้นทางเดินรถให้”

คอนโดผมอยู่อ่อนนุช โรงเรียนของเขาอยู่ราชวิถี การเดินทางไม่ลำบากเท่าไหร่ แต่ต้องดูสายรถดีๆ

เด็กหนุ่มเม้มปากอย่างใช้ความคิด ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

“แล้วเรื่องที่บ้านว่าจะเอายังไง ? มีใครรู้ไหมว่าเราหนี” ผมถามต่อ

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ที่บ้านเข้าใจว่าผมไปอยู่บ้านมีตา” เขารีบอธิบายต่อเมื่อเห็นผมกำลังจะพูดขึ้นถาม “ผมก็โกหกต่อไปได้สามถึงสี่วัน...ที่บ้านเข้าใจว่าเป็นแฟนกัน เอ่อ อะไรแบบนั้น” เด็กหนุ่มพูดต่อว่า ยังไม่คิดว่าจะเอายังไงต่อจากนี้ไป แต่ก็ไม่อยากรบกวนผมมากไปกว่านี้

ขณะที่พูดใบหน้าคนอายุน้อยกว่าดูเป็นกังวล คงตัดสินใจไม่ขาดจริงๆว่าจะเอายังไงดีกับชีวิต

ผมนั่งคิดอยู่นาน ไม่รู้ว่าจะถามออกไปดีหรือเปล่า แต่ในท้ายที่สุดผมก็เอ่ยปากถาม

“แล้วคนที่ชื่อพุธเป็นใคร...”

ใบหน้านั้นเจื่อนและถอดสี คล้ายไม่อยากได้ยินสิ่งที่ผมกำลังจะถาม แต่ผมจำเป็นต้องถามต่อ เรื่องนี้มันค้างคาในใจของผมมานานหลายชั่วโมงแล้ว

“พี่ชายแท้ๆของเราเหรอ ? หรือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้อง ?”

แต่เด็กหนุ่มเงียบไปพักใหญ่

ผมรู้สึกผิดขึ้นมาที่ถามคำถามนั้นออกไป

ถ้าผมคิดว่าจะอยู่ด้วยกันกับเด็กคนนี้ไปอีกนาน อย่างน้อยก็นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมก็จำเป็นต้องรู้ที่มาที่ไปของเขาไว้ แต่ในเมื่อเขาไม่ยอมพูดอะไรออกมาก่อน ผมจึงจำเป็นที่จะต้องถามคำถาม

ต่อให้เขาไม่อยากตอบ ผมก็ต้องถาม

คนตัวสูงกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ “ไม่ใช่ญาติครับ” เขาส่ายหน้าช้าๆ เงียบไปนานกว่าจะยอมพูดประโยคถัดมา “พี่พุธเป็นคู่หมั้นของพี่ใบบัว...”

“...”

“ผมไม่อยากอยู่ที่นั่น...ผมอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีเขาอยู่” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มสั่นเครือคล้ายคลื่นถูกพายุโหมกระหน่ำ ดวงตาเรียวยาวสร้างกองทัพน้ำตาชุดใหม่ มือข้างซ้ายของเขายกขึ้นมาถูริมฝีปากซ้ำไปซ้ำมาจนเป็นรอยแดงปื้น

น้ำตาหยดใสไหลนองใบหน้า ร่วงลงพื้นหนึ่งหยด...สองหยด...จนนับหยดไม่ได้

มือผมสั่น...สงสารเด็กจับใจ

ตอนนั้น...ผมก็เป็นเหมือนเขา...ต่างกันก็ตรงที่ ผมร้องไห้คนเดียวเงียบๆในห้องนี้ และตรงนี้...

กว่าจะผ่านพ้นมันไปได้ก็แทบเป็นบ้า

“ไม่มีใครเชื่อผม...ไม่มีใครเชื่อผมว่าพี่พุธร้ายกับผมมากแค่ไหน...ลุงกับป้าก็ไม่เชื่อผม...พวกเขาเห็นสิ่งที่พุธทำเป็นเรื่องตลก”

เขาพยายามกลั้นเสียงสะอื้น “แต่มันไม่ตลก...ผมไม่ชอบ”

ผมสงสารทั้งเขา ทั้งตัวเองในอดีต...

จำได้ว่าตอนนั้นแค่ปรารถนาอ้อมกอดอุ่นๆที่แสนอ่อนโยนของใครสักคนมาโอบรัดตัวผมไว้

“...ไม่มีใครเชื่อผมสักคน”

ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ คว้าตัวของคนตัวสูงเข้ามากอด

ผมกอดเขาแน่นและลูบแผ่นหลังเบาๆให้เขาหยุดร้อง เป็นอ้อมกอดที่ผมอยากได้รับมาตลอด และตอนนี้ผมได้ใช้มันส่งต่อให้คนอื่น คิดว่าเขาคงต้องการเหมือนที่ผมต้องการ...


ต่อให้เขาไม่ต้องการ ผมก็จะยัดเยียดให้

อยากจะปกป้อง...

อยากดูแล...

ไม่อยากจะเห็นน้ำตาอีกต่อไป
คนตัวสูงกว่าสะอื้นไห้จนตัวโยน ซุกหน้ากับแผ่นอกของผม

เสื้อของผมเปียกชื้น น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลผ่านเนื้อผ้าเข้ามายังผิวของผมที่อยู่ด้านใน ผมรังเกียจสิ่งเปียกชื้น มันทำให้ไม่
สบายตัว แต่ปลายอมปล่อยให้เขาใช้ผมเป็นผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาได้ ยอมเป็นที่รองรับน้ำตาจำนวนมหาศาลของเขา

ไม่มีวิธีไหนที่ผมจะปลอบใจเด็กหนุ่มได้นอกจากวิธีนี้ ผมทำได้เพียงแค่นี้ เพียงแค่ปลอบเขาเบาๆว่าหยุดร้อง และบอกเด็กว่า ‘พี่จะจัดการให้เอง’ ซ้ำไปซ้ำมา

นานเกือบห้านาทีเสียงสะอื้นจึงหยุดลง

ผมอยากจะถามออกไปว่า การที่เขาถูกบีบข้อมือจนช้ำและริมฝีปากที่แตกจนเลือดซิบ นั้นมาจากผู้ชายที่อยู่ในสายหรือเปล่า...ถ้าหากใช่ ผมมั่นใจว่าผู้ชายในสายนั้นทำให้เด็กหวาดกลัวและหนีออกมาจากบ้าน

ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่ได้ถามออกไป คิดว่าคนที่ร้องไห้จนตัวโยนคงไม่พร้อมที่จะตอบในตอนนี้ แต่ผมก็พอเดาได้อยู่ดี และมั่นใจยิ่งขึ้นว่าผู้ชายในสายนั้นคือ ‘พี่พุธ’ ที่เขาพูดถึงวันนั้น...วันที่เขาพูดชื่อนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่สั่นเครือ

หลังจากที่ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งเงียบๆบนเก้าอี้ และนั่งจ้องเด็กหนุ่มที่ขอบตาแดงบวมเป่งเหมือนถูกแมลงมีพิษต่อย
ผมก็ขอตัวไปอาบน้ำและเปิดรายการโทรทัศน์ที่ฉายสารคดีสัตว์โลกให้เขาดูแก้เบื่อ

หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็หอบหมอนและผ้าห่มไปไว้ในห้องทำงานที่มีโซฟาแบบพับขนาดพอดีตัวพอที่จะสามารถนอนหลับพักผ่อนได้ ยกห้องนอนของผมให้ผู้ร่วมห้องคนใหม่ไป

เด็กหนุ่มมีทีท่าเกรงใจ กำลังจะอ้าปากเอ่ยปฏิเสธแต่ผมก็ห้ามไว้ บอกให้นอนข้างในด้วยท่าทางจริงจัง คนตัวสูงถึงยอมหยุดปฏิเสธ


ในคืนนั้นผมนอนไม่หลับ

ผมนั่งนิ่งๆอยู่บนเก้าอี้ทำงานหุ้มหนังสีดำตัวเขื่อง

นาฬิกาบนผนังส่งเสียงติ๊กๆน่ารำคาญทั้งๆที่ผมเคยคิดว่าเสียงของมันทำให้ใจสงบ ในมือของผมมีโทรศัพท์สีขาวขนาดกะทัดรัดพอดีมือ เด็กหนุ่มชาร์จไว้ข้างนอกและลืมเอาเข้าไปในห้อง

ผมคิดที่จะเอาไปให้คนตัวสูงคืน แต่เปลี่ยนใจ อะไรบางอย่างยังคงค้างคาอยู่ในใจลึกๆ แอบนอกกฎทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนตั้งว่าให้เคารพสิทธิส่วนบุคคล...

โทรศัพท์ของเด็กหนุ่มไม่ได้ตั้งรหัสผ่าน

ผมถือวิสาสะเปิดดูบันทึกการโทรในวันที่เด็กหนุ่มหนีออกมาจากบ้าน มีเบอร์ที่เด็กหนุ่มบันทึกว่า P(A)USE ซึ่งแปลว่าหยุดโทรมาเกือบสิบสาย มีตาสองครั้ง และเบอร์โทรของผมอีกสิบสองครั้ง

ผมรู้สึกสนใจเบอร์โทรที่ตั้งชื่อแปลกๆจึงกดรูปเข้าดู

ภาพที่เด็กหนุ่มตั้งเป็นภาพผู้ชายคนหนึ่ง ดูโดยภาพรวมอายุยังไม่ถึงสามสิบ สวมเครื่องแบบทำงานที่ดูคุ้นตาผมไม่น้อย มือข้างขวาของเขากอดคอเด็กหนุ่มลูกครึ่งที่อ้าปากหัวเราะร่า มืออีกข้างกอดหญิงสาวตัวเล็กในชุดนักศึกษาที่ออกมาเปิดประตูให้ผมวันนั้น

ตอนนี้ผมยังนึกอะไรไม่ออก รู้สึกติดใจชื่อของพุธ...

พุธ...

พอส...

พุธ...

ควรหยุด...

หมายถึงว่าควรหยุดหรือเปล่า

กลัวขนาดนั้น แต่ทำไมรูปภาพที่ตั้งไว้ถึงได้ยิ้มร่าเต็มไปด้วยความสดใสและเสียงหัวเราะ...

หรือว่าแค่ตั้งภาพนี้ไว้เพื่อย้ำเตือนตัวเองอย่างนั้นเหรอ...ถ้าผมเป็นเด็กคนนั้นผมคงลบเบอร์ออก ตั้งดิสสีดำไว้อาลัย ตั้งชื่อหยาบคายๆให้เพื่อเป็นการระบายอารมณ์ไปแล้ว ผมไม่ทำแบบนี้แน่...

ประหลาด


ผมนอนไม่หลับ ได้แต่นั่งเงียบๆอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่มีต้นแคนตัสวางประดับไม่ให้ห้องดูมืดครึ้มมากจนเกินไป จนเกือบจะเที่ยงคืนผมจึงโทรหาไอ้เสี่ยเอ็กซ์

รอสายอยู่นานจนเกือบตัดใจปลายสายถึงได้กดรับ ได้ยินเสียงเพลงและเสียงเจี๊ยวจ๊าวก็พอเดาได้ว่าเพื่อนสนิทคงไปเที่ยวสนุกตอนกลางคืน

“เออๆ มีไรวะ ให้ไว มีธุระ” มันกรอกเสียงถาม บอกว่าผมโทรมากวนตอนมันกำลังเข้าได้เข้าเข็มกับเด็กหนุ่มมหา’ลัยที่เจอกันในผับแบบไม่ต้องเสียเงินหิ้วพอดี

ส้มหล่นใส่ปากมันแบบไม่ต้องออกแรงเด็ด แต่ต้องขอตัวมาเข้าห้องน้ำเพื่อคุยกับผม ไม่แปลกที่น้ำเสียงจะติดหงุดหงิดอยู่บ้าง คงทำกิจธุระสำคัญยังไม่ทันเสร็จ

“มึงพอจะรู้จักคนที่ชื่อพุธไหม ? กูรู้สึกคุ้นๆชื่อนี้เหมือนว่ามึงเคยพูดถึง”

“จะโทรมาถามกูแค่เนี้ย ไอ้สันขวาน!!!” มันแหกปากแข่งกับเสียงดนตรีดังกระหึ่ม

“เออ รู้จักไหม”

“ชื่อไรนะ เพลงแม่งดัง กูได้ยินไม่ชัด”

“พุธ” ผมเอ่ยชื่อนั้นซ้ำอีกรอบ

“พุธ ? พุธไหนวะ ! จะพุทธ จะพุด จะพุจน์ หรือว่าพุฒ ? ดีเจพุฒเหรอวะ !”

“ไม่รู้ แต่พอจะนึกออกไหม” กลอกตาหนึ่งรอบอย่างนึกรำคาญในความกวนประสาทของเพื่อน

ปลายสายพึมพำอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบออกมา “อ้อ !ไอ้พุธน่ะนะ รู้จักสิ !”

“...”

“มึงลืมได้ไงวะ ก็ไอ้คนที่เป็นรุ่นน้องกูไง ที่ตอนนี้มันทำงานอยู่บริษัทเอ็มคอมอ่ะ เป็นวิศวะ กูว่าละแม่งชื่อคุ้นๆ”

“...”

“ว่าแต่ถามทำไมวะ ?”

มุมปากของผมกระตุกหนึ่งครั้ง ผมไม่ตอบเอ็กซ์ กดตัดสายเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท เพื่อนอะไรก็ช่างเถอะรู้แค่ว่ามันเป็นเห็บที่ตามผมไปทุกที่ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่ผมหนีไปอยู่เมืองนอก

ป่านนี้มันคงด่ายันโคตรเหง้าบรรพบุรุษ ไปอยู่ต่างประเทศตั้งหลายปี กลับไทยมาเรียนต่อปริญญาตรีโรคหมาในปากก็ยังรักษาไม่หาย

แต่ผมไม่สนใจ...

สิ่งที่ผมกำลังสนใจคือ ผมจะ ‘จัดการพี่พุธ’ ของเด็กหนุ่มคนนั้นยังไงดี

ตอนนี้ผมชักเริ่มรู้สึกได้แล้วสิว่า ไอ้ที่ผมทำไป มันใช่เพราะความสงสารจริงๆหรือเปล่า...

แต่เอาเถอะ อะไรที่ผมคิดแล้วสบายใจ ผมก็จะคิดแบบนั้น...



:mew4: :mew4:
ขอบคุณทุกกำลังใจ กดบวกเป็ดและเม้นนะคะ มาอยู่ที่บ้านงงๆสับสนๆนี้ด้วยกันนานๆเนอะ5555
ตอนแรกตั้งไว้สัก120หน้าจบ แต่ตอนนี้เพิ่งกลางๆเรื่องก็ปาไป120+แล้ว ฮาาาาาา
มาดูกันว่าเรื่องนี้ใครจะสับสนกว่ากัน

เรื่องหัวใจมันห้ามกันมิได้นะเธอวววว55555



-ไอแอมเดอะแฟตเอง คนที่น้ำหนักขึ้นทั้งๆที่บนว่าแอดติดจะลด-










ออฟไลน์ Pa'veaw

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1305
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 6 UP! | (27/6/17)
«ตอบ #12 เมื่อ27-06-2017 14:38:25 »

สงสัยเหมือนปลาเลยว่าสนรู้สึกยังไงกับๅพุธกันแน่

รออ่านไปเรื่อยๆนะค่ะอยากรู้ๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ►สับสนในรัก◄ 6 UP! | (27/6/17)
«ตอบ #13 เมื่อ27-06-2017 16:49:43 »

พุธ เป็นคนที่เพื่อนปลารู้จักพอดี
แต่จะเป็นคนเดียวกับพุธนี้หรือเปล่า
แต่พุธ ที่พูดถึงน่าจะไม่เบา

อดีตของปลาก็เคยเลวร้ายเหมือนกันสินะ
ขอให้ปลาช่วยให้สนปลอดภัยด้วยเถอะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
Re: ►สับสนในรัก◄ 6 UP! | (27/6/17)
«ตอบ #14 เมื่อ27-06-2017 17:24:17 »

โอยยย มาม่ามากกกกกกอืดเต็มท้องเลย555
สงสารสนจัง ทำไมผู้ใหญ่ที่บ้านไม่มีใครเอะใจเลย แต่ถ้าขนาดจะให้ว่าที่ลูกเขยเข้ามาอาศัยในบ้านก่อนแต่งได้นี่คงไม่มีไรแปลกกว่านี้แล้ว555 อ่านแล้วหน่วงๆแต่ชอบนะ

ออฟไลน์ ijuney

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 6 UP! | (27/6/17)
«ตอบ #15 เมื่อ27-06-2017 22:19:17 »

ทีมพี่ปลาค่ะ สนุกมาก มาต่อทุกวันนะ

ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ ตอบความคิดเห็น1
«ตอบ #16 เมื่อ29-06-2017 20:45:06 »

มุมตอบคำถามประจำสัปดาห์อาอาอาาาาาาา


ต้องลุ้นใช่ไหมคะว่าใครพระเอก กลัวปักธงผิดคนแล้วเฟลมากกกก เอาหมดเลยได้ไหมคะ  :hao7:

เหมาหมดเลยก็ได้ค่า555555555 งานดีถึงพริกถึงขิงทู้กคนนนน

ผู้ใหญ่บ้านนี้ ช่างซื่อ จนเซ่อ หรือเปล่า

ไม่เคยได้ฟังคำพังเพยสุภาษิตสินะ แบบ
-ไม่มีมูล ฝอย หมาไม่ขี้
-น้ำนิ่ง ไหลลึก
-หน้าเนื้อ ใจเสือ
-ปากหวาน ก้นเปรี้ยว
-หน้าใส ใจมาร

ลูกสาวตัวเองถูกหลอก ยังไม่รู้ตัว
หลายชายจะถูกกินรอมร่อ

ปลา ช่วยสนให้พ้นทุกข์ด้วยนะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ผู้ใหญ่บ้านนี้อยากได้ลูกเขยค่ะ ลูกเขยงานดีมีงานมีเงินมีตำแหน่ง แถมยัง(เหมือนจะ) เป็นคนดี5555
คุณปลานี่พ่อพระมาโปรดชัดๆ ขอให้น้องสนพ้นทุกข์พ้นโศกด้วยเถิด อนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ


อะไรยังไงกันมครจะเป็นพระเอกนะ

สงสารสนยังเลย ทำไมพูดอะไรก็ไม่มีคนเชื่อ

พี่พุธดีขนาดนั้นเลยเหรอหนือเพราะไม่ชอบสนกันแน่ถึงไม่สนใจในสิ่งที่สนบอกเลย

น้องสนผู้ไร้สิทธิ์ไร้เสียงค่ะ ขนาดห้องโดนยังโดนแย่ง555
ส่วนพี่พุธนะคะ ดีค่ะ ดีมาก ดีกับทู้กคนนนน


ชีวิตน่าสงสาร ดูท่าพี่ปลาก็เป็นคนมีอดีตนะ (หมายถึงมีเรื่องราวที่จำฝังใจ) ไม่รู้ว่ามันจบไปหรือยัง
รอตอนต่อไปค่ะ (อาจจะไม่ได้มาเม้นท์ตลอดนะ น่าจะมาแนวส่องก่อน ดราม่าน่ะกลัว (นิดหน่อย) แต่ที่กลัวกว่าคืออ่านแล้วค้าง อิอิ)

พี่ปลาเป็นคนมือสองค่ะ เป็นของเก่ามีอดีต  อุ๊ย  ไม่ช่ายยยย55555 ส่วนเรื่องในอดีตจะจบไม่จบปัญหาก็อยู่กับเขาแล้วค่ะว่าอยากจะจบหรือเปล่า ส่วนดราม่าเราว่าเราไม่เน้นนะ ออกมาแนวนี้เฉย5555 ตัวละครเราแค่มีปม ต้องง้างปากถึงจะพูด5555
ความรักต้องค่อยๆคิดเนอะ มาพร้อมกันมันก็จะสับสนหน่อยๆ  ดูชื่อเรื่องค่ะ สับสนในรัก ฮั่นน่อววว โฆษณาไปอี๊กกกก



สนคู่พีปลาได้มะ ดี้ดี รีบมาต่อนะ

ไม่สนใจพี่พุธเหรอคะ รักบาปๆซาบซ่านหัวใจดีนะเธอออออ



สงสัยเหมือนปลาเลยว่าสนรู้สึกยังไงกับพุธกันแน่
รออ่านไปเรื่อยๆนะค่ะอยากรู้ๆ


เราก็สงกะสัยยยย ตอนนั้นรู้สึกยังไงไม่รู้  ตอนนี้น้องแค่อยากจะหนี ทำอะไรไม่ได้นอกจากหนี555



พุธ เป็นคนที่เพื่อนปลารู้จักพอดี
แต่จะเป็นคนเดียวกับพุธนี้หรือเปล่า
แต่พุธ ที่พูดถึงน่าจะไม่เบา

อดีตของปลาก็เคยเลวร้ายเหมือนกันสินะ
ขอให้ปลาช่วยให้สนปลอดภัยด้วยเถอะ
       :L1: :L1: :L1:


เอ็กซ์รู้จักกับพุธค่า ^^ แต่ปลาไม่รู้จักอาจจะแค่คุ้นๆ เอ็กซ์ไปเรียนต่อเมืองนอกกับปลา แต่ว่ากลับมาเรียนต่อป.ตรีที่ไทย


โอยยย มาม่ามากกกกกกอืดเต็มท้องเลย555
สงสารสนจัง ทำไมผู้ใหญ่ที่บ้านไม่มีใครเอะใจเลย แต่ถ้าขนาดจะให้ว่าที่ลูกเขยเข้ามาอาศัยในบ้านก่อนแต่งได้นี่คงไม่มีไรแปลกกว่านี้แล้ว555 อ่านแล้วหน่วงๆแต่ชอบนะ

นี่เส้นราเมนชั้นดีเลยนะ ไม่ใช่มาม่า5555555 บ้านนั้นเขาอยากได้ลูกเขยอยู่แล้วค่ะ กลัวว่าจะหลุดมือใบบัวไป รวบรัดตัดตอนมาก ลูกสาวยังฝึกงานอยู่ก็ให้ว่าที่ลูกเขยมาพักที่บ้านซะแล้ว ถ้าเป็นเราเราก็อยากได้นะ555555555555
ปล. ขอบคุณที่ชอบค่าาา

ทีมพี่ปลาค่ะ สนุกมาก มาต่อทุกวันนะ

จะพยายามงับ  อาจจะอัพต่อเรื่อยๆ เรารีไรท์เรื่อยๆก่อนอัพ555
อาทิตย์หน้าจะเข้าหอแล้ว ไม่แน่ใจว่าที่หอเน็ตจะแรงหรือเปล่าTUT




ปล. น้องเหงา เข้ามาคุยกันได้นะคะ ชอบอ่านคอมเม้น รู้สึกทุกคนมีอารมณ์ร่วม5555
รักใครชอบใครอย่าลืมกดสับตะไคร้ข้างล่าง แฮร่
ถ้าใครเล่นทวิตอยากหวีดอยากด่าใครก็เชิญ #สับสนในรัก ได้นะงับ


ออฟไลน์ ijuney

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 7 UP! | (29/6/17)
«ตอบ #17 เมื่อ03-07-2017 17:46:11 »

อยากอ่านต่อแล้ววววว

ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 7 UP! | (4/7/17)
«ตอบ #18 เมื่อ04-07-2017 10:24:35 »

7





วันนี้ผมตื่นค่อนข้างเช้าเพราะนอนไม่หลับ อาจจะด้วยตื่นที่ หรือเพราะไม่คุ้นกลิ่นก็ไม่รู้ ห้องนอนของคุณปลามีกลิ่นของเขาเต็มไปหมดทุกพื้นที่ กว่าผมจะข่มตานอนหลับได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

พอผมตื่นเช้ามาคุณปลาก็นั่งอ่านหนังสือพิมพ์และจิบกาแฟอยู่บนโต๊ะอาหารอยู่ก่อนหน้าแล้ว กลิ่นกาแฟลอยฟุ้งหอมกรุ่นคงมาจากเครื่องชงกาแฟอย่างดีที่ติดตั้งอยู่ในครัว เขาวางแก้วกาแฟลงและเรียกให้ผมเดินไปนั่งบนเก้าอี้ ผมทำตามอย่างว่าง่าย

“ลงไปหาอะไรกินกัน แถวนี้มีตลาดเช้าอยู่ใกล้ๆ” คุณปลาพับหนังสือพิมพ์ลง บอกให้ผมเดินตามเขาไป เขาเดินไปหยิบเสื้อโค้ตตัวหลวมโพรกมาให้ผมสวมกันอากาศหนาว “กรมอุตุบอกว่าอุณหภูมิลดลง” เขาเอ่ยบอกแล้วหยิบรองเท้าบนชั้นวางออกมาสองคู่ ของผมและของเขาอย่างละหนึ่ง

เมื่อออกมาจากห้องผมถึงได้สังเกตดูชัดๆว่าคอนโดของเขาค่อนข้างเป็นส่วนตัว ชั้นนี้ดูแล้วมีไม่ถึง20 ยูนิตทั้งๆที่เป็นคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง สร้างสไตล์กึ่งโมเดิร์นกึ่งอนุรักษ์นิยม ใช้สีเอิร์ธโทนตกแต่งเป็นหลัก ดูแล้วสบายตา

คุณปลาเดินนำผมเข้ามาในลิฟต์ มันปรากฏเลข 10 บนหน้าจอมอนิเตอร์แสดงชั้นที่เขาอยู่จากทั้งหมด 15 ชั้น จากนั้นเขาก็กดปุ่มลงไปชั้นล่างสุด

อย่างที่คุณปลาบอก วันนี้อากาศค่อนข้างเย็นสมกับฤดูหนาวในเดือนธันวาคมสักที คุณปลาที่อยู่ในชุดเต็มยศ เขาสวมกางเกงห้าส่วนตัวยาวและเสื้อโปโลสีดำพอดีตัวอวดผิวขาว สวมทับด้วยเสื้อโค้ต พันคอด้วยไหมพรมถักสีครีมสะอาดตา มิหนำซ้ำยังใส่หมวกไหมพรมถักอีกด้วย

คล้ายแต่งมาเพื่อเย้ยอากาศว่ามันทำอะไรเขาไม่ได้หรอก หรือไม่ก็กำลังแก้แค้นที่กรมอุตุออกมาแจ้งเมื่อเดือนก่อนว่าประเทศไทยเข้าสู่หน้าหนาวเร็วกว่าปกติทั้งๆที่ความจริงแล้ว หน้าหนาวเพิ่งมาถึงเมื่อสัปดาห์ก่อน

 “เราอยากกินอะไร ?” เขาหันมาถามขณะที่สอดส่องสายตาไปทั่วบริเวณ มองดูร้านรวงต่างๆที่เปิดตั้งร้านสู้กับลมหนาวแรกของเดือน

ผมนึกฉงนใจเล็กน้อย ทำไมคุณปลาชอบถามคำถามนี้กับผมจังเลยนะ...

แต่ก็ส่ายหน้าไปมาเป็นคำตอบเพราะไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี

“ตอนนี้เช้าเกินไปแถมยังหนาวด้วย ผมยังไม่หิวเลยไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี” มองดูรอบๆแล้วก็มีหลายอย่างที่น่ากินแต่ไม่อยากจับเข้าใส่กระเพาะ จากนั้นก็ก้มหน้ามองคุณปลาที่ดูเวลาจากหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเรือนหรูสีเงินอยู่ ได้ยินเขาพึมพำว่าก็ไม่ได้เช้าขนาดนั้นซะหน่อยเบาๆด้วย

ผมก็เลยพูดเพื่ออธิบายเพิ่มไปว่า “ส่วนใหญ่ผมฝากท้องที่มินิมาร์ทในโรงเรียน ไม่ค่อยได้กินข้าวตอนเช้าหรอกครับ ป้าไม่ชอบทำกับข้าวเพราะทางไปโรงเรียนของป้ารถติด ต้องออกไปทำงานตั้งแต่หกโมงกว่าๆ”

คุณปลามองผมอย่างสำรวจตั้งแต่ปลายเส้นผมยันปลายนิ้วเท้า สายตาเขาราวกับนักประเมินราคาทองในห้าง “มิน่าล่ะเราถึงตัวสูงแต่ว่าผอมไปหน่อย ลมพัดมาทีนึงเราก็แทบจะลอยขึ้นฟ้าแล้ว”

“ผมไม่ได้ตัวผอมขนาดนั้นสักหน่อย” ผมคงลอยได้อยู่หรอกสูงตั้งร้อยแปดสิบกว่าๆ ถึงจะดูแขนขายาวเก้งก้างไปหน่อยแต่หุ่นผมระดับนายแบบนะครับ ถ้าพูดตามตรงแล้วกล้ามเนื้อผมก็พอมีอยู่แต่ก็ไม่ได้ดูเด่นเป็นมัดๆอะไรขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะผมไม่ค่อยกินข้าวผมก็เลยดูตัวผอมกว่าคนตัวสูงทั่วๆไป

คุณปลามองผมอย่างประเมินอีกรอบ คราวนี้เล่นจ้องทุกอณูรูขุมขนทำเอาผมรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย “ผอมสิ” เขาบอก ปลายนิ้วลูบคางอย่างใช้ความคิด “เดาว่าคงหนักสักหกสิบ” พูดพลางดึงกิ่งไม้ที่โผล่ออกมาจากไหนไม่รู้ให้พ้นทาง

“เจ็ดสิบสองต่างหาก” ผมสวนทันควัน ช่วยเขาดึงกิ่งไม้นั้นออกจากพุ่ม เดินดุ่มๆเอาไปทิ้งใส่ถังขยะแล้วก็พูดต่อว่า “เห็นแบบนี้แต่ผมก็เล่นกีฬานะครับ เมื่อก่อนผมลงแข่งฟุตบอลบอลรุ่นเยาว์ด้วย แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นกีฬาในร่มหมดแล้ว ผิวผมสู้แดดไม่ไหว ได้ยีนแม่ที่เป็นลูกครึ่งมามากเกินไปหน่อย โดนแดดนิดเดียวผิวก็ไหม้แล้วครับ ก็เลยเลิกเล่นบอลไปตั้งแต่ม.1”

“เตะบอล... ? เราน่ะเหรอ ?” เขาถามกึ่งสนใจ

ผมพยักหน้าตอบ “ตอนป.3 ได้ลงแข่งลีกฤดูหนาวรุ่นทีมผสมด้วยนะครับ”

คุณปลาทำหน้าคล้ายไม่อยากจะเชื่อ “ตอนนั้นเราแข่งได้ที่เท่าไหร่ล่ะ”

“ที่สามครับ...แต่วันนั้นผมเป็นหวัดไม่ได้ลงแข่ง”

“อ้อ...” เขาพยักหน้าหงึกหงัก มุมปากยิ้มๆคล้ายพยายามจะกลั้นหัวเราะอยู่ ผมแอบเคืองเล็กน้อย แต่ติดที่เขาใจดีมากๆ ประกอบกับเขายิ้มน่ารักมากๆผมเลยให้อภัยได้อย่างง่ายดายไม่ต่างจากคนใจง่ายคนหนึ่ง ถือว่ายกข้อดีให้จำเลยไปแม้ว่าเขาจะไม่รู้ตัวก็ตาม 

เมื่อนึกย้อนหลังถึงวันที่ไม่ได้ลงแข่งแล้วก็อดเสียดายขึ้นมาไม่ได้ คืนก่อนแข่งผมลืมปิดหน้าต่าง เปิดพัดลมเบอร์สาม  โดนลมฤดูหนาวทำร้ายเต็มๆ ตื่นขึ้นมาไข้ขึ้นเกือบสี่สิบองศา ไม่มีแรงแม้แต่จะยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง นอนปวกเปียกเหมือนคนไร้กระดูกเกือบครึ่งวัน กว่าจะลุกได้เขาก็แข่งบอลจบแล้ว

แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะอวดคนที่เดินข้างๆด้วยความภูมิใจว่า “แต่ถ้าผมลงแข่ง บางทีอาจจะได้แชมป์ฤดูกาลนั้นก็ได้นะครับ ผมยิงแม่น เป็นดาวซัลโวของโรงเรียนด้วย”

“หืม...แม่นจริงหรือเปล่า”

ผมได้ยินดังนั้นก็ยืดอก ถ้าเอาไม้บรรทัดมาวัดก็น่าจะเพิ่มจากเดิมหลายเซนติเมตรอยู่ เรื่องฝีมือการเตะบอลผมค่อนข้างมั่นใจพอตัว “ก็พอเตะอัดหน้าไอ้คนที่ผมหมั่นไส้ได้หลายครั้งอยู่นะครับ”

“โหดซะด้วย คงไม่คิดจะเตะคอพี่หักนะครับ ฮ่าๆ”

“มันเกี่ยวกับเตะบอลแม่นซะที่ไหนเล่าคุณ” ผมแอบกลอกตาอย่างเซ็งๆ

ใครๆก็ชอบพากันคิดว่ารูปร่างหน้าตาแบบผมแตะนิดแตะหน่อยก็คงหัก เพราะผมได้ยีนมาจากฝั่งตา ตาของผมเป็นชาวอังกฤษส่วนยายเป็นคนไทย แม่ของผมเกิดมาก็เลยเป็นลูกครึ่ง พอผมเกิดมาก็กลายเป็นลูกเสี้ยว ได้โครงหน้า สีตา สีผม ความสูงและสีผิวมาจากทางฝั่งนั้นเต็มๆ

แต่ผมอยากจะแก้ความเข้าใจผิดนิดหน่อย จริงๆแล้วผมเป็นคนแข็งแรงมาก ทำงานแบกหามนู่นนั่นนี่ได้สบายบรื๋อ แบกถุงปูนก็เคยแบกมาแล้วเรื่องอื่นๆนี่กลายเป็นเรื่องจิ๊บๆไปเลย แต่ติดที่ว่าผมเป็นภูมิแพ้ก็เท่านั้นเองก็เลยดูเจ็บป่วยออดๆแอดๆ มิหนำซ้ำผมยังตัวสูงกว่าคนรุ่นเดียวกันแต่ดูผอมแห้งเพราะไม่ชอบกินข้าวผมก็เลยดูเหมือนเด็กเก้งก้างไปหน่อย

แต่ก็นะ ผมรู้ดีว่าส่วนใหญ่คนเขาก็ตัดสินผมจากรูปร่างหน้าตาไว้ก่อน ประเภทที่บอกว่าหน้าตาดีแบบนี้คงทำอะไรไม่เป็น ตัวผอมแบบนี้ก็คงไม่สู้

เฮ้อ...มันก็เป็นปัญหาในการใช้ชีวิตนิดหน่อยนะครับ แต่รวมๆแล้วก็มีความสุขดี

หลังจากที่เดินตามฟุตปาธอยู่นาน ในที่สุดคุณปลาก็ตัดสินใจเลือกได้สักทีว่าจะกินอะไร เขาเดินนำเข้าไปในร้านข้าวต้มทรงเครื่อง เขาทักทายพ่อครัวเชื้อสายจีนร่างท้วมที่ดูแล้วน่าจะเป็นเจ้าของร้านสองสามประโยค และสั่งข้าวต้มสองชามตบท้าย

คุณปลาเดินนำเข้าไปข้างสุดของในร้าน เลือกที่นั่งติดผนังเพื่อหลบอากาศหนาว ขยับเก้าอี้ให้ผมนั่งก่อนเป็นอันดับแรก แล้วเขาก็ค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งตรงข้ามกับผม หยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนแผงใกล้ๆขึ้นมาอ่าน

ผมแอบมองคุณปลาตอนอ่านหนังสือพิมพ์ รู้สึกว่าน่ามองกว่าตอนไหนๆ

ผมชอบกิริยาตอนที่คุณปลาค่อยๆใช้ปลายนิ้วเรียวยาวกรีดเปลี่ยนหน้าหนังสือพิมพ์ ขณะเดียวกันนั้นดวงตามันปลาบที่มีขนตาเรียงเป็นแพหนาหลังกรอบแว่นยังคงจดจ้องตัวหนังสืออยู่

แม้ผมจะเคยบอกว่าเขาเป็นแกงจืดรสชาติธรรมดาที่หาได้ทั่วไปตามท้องตลาด แต่เขาก็คงเป็นแกงจืดที่คนทั่วไปเลือกเพราะกินแล้วอุ่นและสบายท้อง มองแล้วไม่รู้จักเบื่อ...

จนกระทั่งพนักงานสาววัยแรกรุ่นกุลีกุจอมาเสิร์ฟน้ำใบเตยให้ถึงที่ ผมจึงจำเป็นต้องละสายตาออกจากการแอบมองคนตรงหน้าแล้วสั่งพนักงานว่าขอน้ำแข็งสองก้อน

คุณปลาลดหนังสือพิมพ์ลงแล้วมองพนักงานลอดผ่านเลนส์แว่น เขาบอกว่าไม่เอาน้ำแข็ง แต่ผมแย้งขึ้นมา อยากกินน้ำเย็นมากกว่า เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับ กึ่งหลับกึ่งตื่นตลอดคืน ตอนนี้ก็เลยมีอาการเบลอๆนอนไม่เต็มอิ่มตกค้างอยู่ ถ้าได้กินน้ำเย็นๆตาผมคงสว่างสมองผมคงส่องแสงได้

“ก้อนเดียวได้ไหมครับ” ผมบอก

“กินน้ำเย็นๆเดี๋ยวเราก็เป็นหวัดหรอก” เขาให้เหตุผล แต่พอเห็นหน้างอง้ำของผม เขาก็ชูนิ้วชี้ขึ้นมาด้วยใบหน้าจริงจัง “พี่ให้ก้อนเดียวพอนะ” จากนั้นก็บอกให้พนักงานเสิร์ฟเติมน้ำแข็งให้ผม ก้อนหนึ่งเป๊ะๆไม่ขาดไม่เกิน แม้แต่เศษน้ำแข็งชิ้นเล็กๆก็ไม่มีเกินลงมาในแก้วของผม

จริงๆแล้วน้ำใบเตยมันก็เย็นอยู่แล้วนะ อากาศวันนี้ก็ค่อนข้างหนาวด้วย แต่ผมนอนไม่พอก็เลยต้องพึ่งน้ำแข็งเพื่อเรียกสติสักหน่อย กินไปอึกแรกก็รู้เรื่องเรียบร้อย สมองผมไม่ต่างจากถูกกระแสไฟฟ้าอ่อนๆจี้

คุณปลามองผมแล้วก็ส่ายหน้า เขานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ต่อแต่ว่ามุมปากกลับยกขึ้นยิ้ม คงขำท่าทางที่ผมส่งเสียง ‘บรื๋อ’ เมื่อครู่อยู่ล่ะมั้ง

รอไม่นานพนักงานสาวเพียงคนเดียวของร้านก็ยกข้าวต้มทรงเครื่องกลิ่นหอมมาเสิร์ฟ ของผมเป็นทรงเครื่องปลาตำลึง ส่วนของคุณปลาเป็นทรงเครื่องรวมจริงๆ มีปลา กุ้ง หมูบะช่อ แล้วก็เลือดหมู ดูรวมๆแล้วเช้านี้ท้องผมคงหนักอึ้ง ขนาดของชามนั้นใหญ่มากจริงๆ ไม่รู้ว่าจะกินหมดหรือเปล่า ผมไม่ค่อยชอบกินข้าวเช้าเสียด้วย

“สั่งแบบพิเศษเหรอครับ”

เขาพยักหน้า เด็ดใบผักชีในจานเครื่องเคียงโรยใส่ชามของผม “เจ้านี้ทำข้าวต้มปลาอร่อย ชิมดูสิ แล้วจะติดใจ”

จากนั้นเขาก็เหยาะพริกไทยนิดหน่อย จากนั้นก็หยิบช้อนสั้นวางใส่ชามให้ปลายช้อนเอียงชิดขอบ “เป็นเด็กวัยรุ่นก็ต้องกินข้าวตอนเช้า จะได้มีแรงเรียนแรงเล่นกีฬา”

“ผมชอบกินแซนด์วิชกับไส้กรอกที่สหกรณ์มากกว่าสะดวกดี” ผมพูดกับคุณปลาไปพลาง ใช้ช้อนคนพริกไทยให้เข้าเครื่องไปพลาง ลืมสั่งว่าไม่เอากระเทียมเจียวเพราะไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นรังเกียจ ถือว่าพอกินได้มากกว่า

คุณปลาย่นคิ้วเล็กน้อย เขาวางขวดพริกไทยที่กำลังเหยาะใส่ชามของเขาลงบนโต๊ะ “สะดวกแต่ไม่ดีต่อร่างกายนะ มีแต่แป้ง โปรตีนนิดเดียว เราน่ะยังเด็ก ตอนเช้าๆต้องกินอาหารเยอะๆให้ครบห้าหมู่ เดี๋ยวไปท้องร้องในห้องเพื่อนจะตลกเอา ดีไม่ดีเป็นลมเป็นแล้งไปอีก”

เขาบ่นอย่างกับพ่อของผมเมื่อก่อนไม่มีผิด

ดูเหมือนคุณปลาจะรู้ว่าผมแอบนินทาเขาในใจ เขาขมวดคิ้วมองผมครู่หนึ่ง “แน่ะ ว่าพี่เป็นคนแก่ล่ะสิมองแบบนั้น”

“ผมเปล่าสักหน่อย” ผมเสมองทางอื่นเป็นการกลบเกลื่อน

“จมูกยาวแข่งกับพิน็อคคิโอแล้วเราน่ะ”

“จะโกหกให้จมูกยาวจนแทงคุณปลาไส้ไหลเลยครับ” ผมตอบเสียงเรียบใช้หลอดคนน้ำแข็งเล่น

“โหดเหมือนกันนะเนี่ย” หัวเราะเสียงขึ้นจมูก

“เรื่องปกติของดาวยิงครับ”

“ดาวยิงโหดแบบนี้้ พี่จะจับส่งตำรวจซะตอนนี้เลยดีไหม กลัวไส้ไหลตายก่อนมีลูก”

 “ไม่ดีครับ ไม่ดี” ผมส่ายหน้าเร็วเหมือนพัดลมมอเตอร์กระตุก

“อ้าว ก็เราโหดอะ พี่กลัว”

“ โธ่ ผมล้อเล่นหรอก จะกล้าทำร้ายคุณปลาได้ยังไง ทำไม่ลง” ผมรีบบอก แค่มาอาศัยอยู่กับคุณปลาผมก็รู้สึกผิดจะแย่อยู่แล้วที่ทำให้เขาลำบาก ทั้งอาหารการกินก็เป็นเขาที่ออกให้ผมหมด ไม่มีโอกาสให้ผมได้ใช้เงินในประเป๋าตัวเองแม้แต่เสี้ยววินาที 

คุณปลาหัวเราะเบาๆ มุมปากที่หยักลึกของเขายกขึ้นเล็กน้อยขณะที่ขยับปากพูด “ เราน่ะวัยกำลังโต อายุสิบเจ็ดสิบแปดยังโตได้อีกเยอะ กินอาหารดีๆครบห้าหมู่จะได้แข็งแรง”

“พ่อผมบอกว่ากินแค่หญ้าผมก็แข็งแรงแล้วครับ” ผมพูดไปด้วยพยักหน้าไปด้วย รู้สึกว่าคุณปลาเป็นกันเองมากกว่าที่คิดไว้ ก็เลยไม่ติดขัดในการสนทนาหยอกล้อกับเขา รู้สึกเหมือนเราทั้งคู่รู้จักกันมานานแสนนาน ทั้งๆที่จริงแล้วเราเป็นแค่คนแปลกหน้าที่เพิ่งจะมาทำความรู้จักกันเท่านั้น

“กินหญ้าได้นี่เราเป็นควายเหรอเนี่ยพี่เพิ่งรู้ ฮ่ะๆ”

ผมแสร้งทำเป็นหน้าหงิก “ตรงไปครับคุณ ให้ผมเป็นกระต่ายก็พอ”

“กระต่ายเถื่อนน่ะสิ” เขาหัวเราะ “กินหญ้าน่ะกินได้แต่ต้องเป็นหญ้าที่ปลูกจากดินภูเขาไฟรดด้วยน้ำแร่นะครับ เราจะได้เป็นกระต่ายที่แข็งแรง” เขายังเล่นไม่เลิกกับมุกกินหญ้ากากๆของผม

“ดูพี่เป็นตัวอย่างก็ได้ แต่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะ ฮ่ะๆ ตอนเด็กๆพี่ไม่ชอบกินผัก ข้าวก็ไม่ชอบกิน  ตอนนั้นแม่พี่บ่นทุกวันว่าโตมาจะเป็นหมูป่วยไม่มีกระดูกโดนพยาธิแย่งสารอาหาร”

“แล้วแม่คุณปลาดุไหมครับ” ผมถามอย่างสนใจ ไม่นึกว่าจู่ๆเขาจะเล่าเรื่องตอนเด็กๆให้ผมฟัง แอบดีใจอยู่ลึกๆที่ได้รู้เรื่องราวของเขาเพิ่ม

“ไม่ดุเลยครับ” เขาส่ายหน้า ยิ้มจางๆ “ก็เพราะไม่ดุนี่แหละพี่ถึงดื้อ พี่เกเรนะ แม่บ้านจับข้าวใส่ปากพี่คำ พี่ก็วิ่งไปพ่นทิ้งใส่บ่อปลาคาร์ฟคำ” คนใส่แว่นหัวเราะขบขัน “พวกแฮมพวกออมเลทพี่เคี้ยวๆแล้วคายออกมาปั้นเป็นก้อนกลมๆโยนใส่หัวหมาก็มี”

ผมแอบทึ่งเล็กน้อย ก็ดูจากลักษณะจืดๆเย็นๆของเขาแล้วไม่น่าจะมีแววเกเรมาตั้งแต่เด็ก แถมยังเกเรมากด้วย ผมยังเคยนึกด้วยซ้ำว่าตอนที่คุณปลาเด็กคงเป็นประเภทใครจับอะไรใส่มือก็ยัดเข้าปากหมด ไม่เถียง ไม่ดื้อ ไม่หือ ไม่อือ ไม่ออ   นึกไม่ถึงว่าจะดื้อถึงขั้นวิ่งไปพ่นข้าวทิ้ง

ถ้าเป็นแม่ผมนะ ใช้ฝ่ามือขาวๆนั่นแหละฟาดก้นสักเพี๊ยะสองเพี๊ยะเป็นการปราม แต่ถ้าดื้อขั้นแอดวานซ์ระดับคุณปลาแม่ผมคงต้องอัญเชิญฝ่ามือพระยูไลมาช่วยตบสั่งสอน

“แล้วแม่คุณปลาจัดการคุณปลายังไงครับ”

เขาส่ายหน้ายิ้มๆ “ก็ไม่จัดการอะไรเลยครับ เพราะพ่อพี่ตามใจ พอแม่ก็ดุ พ่อก็โอ๋ อยากกินอะไรหาให้หมด ขนม คุกกี้ ซีเรียล อันไหนได้ของแถมพี่ยิ่งชอบ ไปห้างทีพี่ขนแต่พวกมีของแถมกลับบ้าน พวกนมพี่ก็กินแต่นมหวานๆน้ำตาลเยอะๆ” 

“มิน่าล่ะคุณปลาถึงสูงแค่นี้” ผมแกล้งแหย่ขำๆ

“พี่ไม่ได้เตี้ยนะ เราสูงเกินมาตรฐานชายไทยต่างหาก” เขาดันแว่นขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ผมหลุดขำก๊ากจนต้องรีบยกมือขึ้นมาอุดปาก

“แล้วกินแบบนั้นถึงอายุกี่ขวบครับ” ผมถามไปหัวเราะคึกๆไป เสียมารยาทไปหน่อยแต่มันทนไม่ไหวจริงๆ ตอนเขาเด็กๆทำภาพพจน์นิ่งๆตอนนี้เสียหายหมดเลยนะ ฮ่ะๆ

คุณปลากระแอมไอเล็กน้อย ยกนิ้วมือขึ้นมานับ

 “อืม ตอนพี่ไปเรียนต่อที่อเมริกาคนเดียว จำได้ว่าก็กินแต่แบบนั้นอยู่หลายปีนะ พิซซ่า กราโนลา ขนมปัง ซุป เนยถั่ว น้ำผลไม้กระป๋องคือจบ เพิ่งมาคิดได้ตอนอายุสิบหกก็ตอนที่เพื่อนมันสูงแซงพี่ไปจะเป็นคืบแล้ว พี่หันมากินนมวัววันละลิตร เล่นบาสเล่นบอลก็ว่าไป แต่สุดท้ายพี่ก็สูงแค่ร้อยเจ็ดสิบเจ็ด”

จากนั้นเขาก็ถอนหายใจยาวเหยียดด้วยสีหน้ากึ่งๆเสียดาย “พี่น่าจะเชื่อแม่ยอมกินนมทุกวัน”

“แม่คุณปลาไมโทรไปดุบ้างเหรอครับ ยิ่งไปคนเดียวแม่คุณปลาน่าจะเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิมนะครับ”

คุณปลาส่ายหน้า “แม่พี่ไม่โทรมาดุเลยสักครั้ง ตอนแรกพี่ก็ว่าสบายหูดี แต่จริงๆแล้ว พอไม่มีคนมาบ่นให้ฟังก็เหงาเหมือนกันนะ อยู่คนเดียวก็ต้องดูแลตัวเอง ต้องรับผิดชอบอะไรหลายๆอย่าง…ช่วงเทศกาลพี่ก็ไม่ได้ไปฉลองที่ไหน นอนกินน้ำโค้กกับไก่ทอดอยู่หอกับเพื่อนมันสองคน พอย้อนกลับมาคิดตอนนี้ พี่น่าเรียนอยู่ไทยมากกว่า อย่างน้อยก็รู้สึกอยู่ใกล้กัน”

“...”

เขาจ้องมองไอน้ำที่เกาะรอบแก้วน้ำ ใช้ปลายนิ้วชี้ลูบเบาๆราวกับกำลังหวนนึกถึงเรื่องเก่าๆ “อเมริกากับไทยระยะห่างไม่รู้ตั้้งกี่พันไมล์ พอไกลกันมันทั้งรู้สึกว่าเราห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ”

คำพูดของคุณปลาทำให้ผมรู้สึกเหงาขึ้นมาเล็กน้อย นึกถึงตัวผมเองที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่เหมือนครอบครัวอื่น ต่อให้อยู่กับลุงและป้าต่อให้ดูแลผมดีแค่ไหน ยังไงก็ไม่เหมือนความรักของพ่อและแม่ ต่อให้พวกเขาดูแลผมดีแค่ไหนแต่ยังไงพี่ใบบัวก็ต้องมาก่อนเสมอ

“ถ้าเราฟังแล้วซึ้งก็กินข้าวต้มให้หมดก็แล้วกัน” เขาสรุปไว้สั้นๆแบบนั้น

“กินข้าวต้มมันเกี่ยวกับซึ้งตรงไหนครับ เมื่อกี้ผมนึกว่าศาลาคนเศร้าซะอีกหาความซึ้งไม่เจอเลย” ผมแกล้งแซว อยากให้คุณปลาเลิกเศร้า  ถึงผมจะดูคนไม่ค่อยออกเท่าไหร่แต่ผมสัมผัสได้ว่าคลื่นที่เขาปล่อยออกมาจากตัวมันคล้ายจะเป็นกระแสแห่งความโหยหาและความเศร้า

มนุษย์เงินเดือนคล้ายจะอายนิดเล็กน้อยที่ถูกผมแซว เขารีบหัวเราะกลบเกลื่อนเสียงแห้ง

“ไม่ซึ้งก็ไม่ซึ้ง กินนี่ดีกว่า พี่ยกให้” คุณปลาตัดบทดื้อๆแล้วตักเลือดที่หั่นเป็นก้อนเล็กๆให้ผม “กินเยอะๆจะได้มีเนื้อมีหนัง ไม่ตัวเล็กแบบนี้พี่จะได้ไม่เป็นห่วงว่าเราจะไปเป็นลมที่ไหนอีก” เขาตักกระดูกหมูอ่อนติดเนื้อมาให้ผมอีกสองชิ้น และตามด้วยผักตำลึง เหยาะพริกไทยให้ผมด้วยสองเหยาะ

“ให้ผมอีกชิ้้นก็จนเกินครึ่งชามแล้วนะครับ”

“กินไปๆ พี่น่ะหมดโตแล้ว” เขาโบกมือปัดๆ

“หมดโตแล้ว แถมกำลังจะหมดแรงเพราะยกข้าวเช้าให้ผมน่ะสิไม่ว่า”

“อือ กินไปเถอะครับ กระเพาะพี่เล็ก”

“เล็กเพราะแบ่งย่อยสามครั้้งหรือเปล่าครับ” ผมหัวเราะ

“โห นี่แอบว่าพี่เหรอ” เขาทำตาโต แล้วก็หลุดหัวเราะ

“ไม่ได้แอบครับ ว่าตรงๆเลย” ผมยักคิ้วหนึ่งข้าง

“พอเลย พี่เลิกคุยกับเราแล้ว” เขาทำหน้าบูด แล้วก็ร้องอ้าวออกมาเบาๆ ตักเลือดให้ผมอีกชิ้นจนชามของเขาแทบจะไม่มีเลือดเหลืออยู่ “ชิ้นนี้้โดนข้าวกลบหมด” เขาพึมพำแล้วก้มหน้าพุ้ยข้าวต้มเข้าปาก

ผมมองคุณปลาอยย่างเงียบเชียบ เขากำลังจัดการตักหอมเจียวใส่จานตัวเองนั่งคนๆอยู่แบบนั้น ไม่ปรุงอะไรมาก น้ำปลาก็ไม่ใส่เพิ่ม ทั้้งที่จืดอย่างกับซดน้ำเปล่า ในชามของเขามีหมู กับเลือดอยู่ไม่กี่ชิ้น เหมือนข้าวต้มราคาสิบบาทมากกว่าราคาห้าสิบห้า
เครื่องเคียงที่เหลือล้วนอยู่ในชามข้าวต้มของผม…

ความรู้สึกมากมายกำลังเอ่อล้นอย่างห้ามไม่อยู่ทั้งๆที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้นกับคนแปลกหน้า...

คุณปลาหยุดกิน เงยหน้าขึ้นมองผมเงียบๆ “รีบกินสิเดี๋ยวมันจะเย็นซะก่อน หรือว่าเราอยากได้อะไรเพิ่ม” เขากำลังจะหยิบใบรายการอาหารที่เสียบไว้ในกล่องออกมา แต่ผมห้ามไว้ รีบส่ายหน้ารัวปฏิเสธ

เขาหยุดคิดไปครู่ใหญ่ ใช้ช้อนตักกุ้งในชามขึ้นมาอีกตัว แล้ววางใส่ชามของผมโดยไม่สนว่าผมจะปฏิเสธเขาหรือเปล่า

 “คุณปลาไม่ชอบกุ้งเหรอครับ ?”

“อื้ม ไม่ชอบ” คุณปลายิ้ม และตักกุ้งตัวสุดท้ายให้ผม “กินแล้วความดันพุ่งปรี๊ด พี่จะสามสิบแล้ว กินเยอะไม่ดี”

ผมมองกุ้งในชามอย่างลำบากใจ นับๆดูแล้วมีอยู่ห้าตัว เครื่องแน่นแบบนี้ ตีราคาแล้วก็ตกชามละ80-100 เชียวล่ะ ส่วนชามคุณปลาผมให้ราคาเท่าข้าวต้มโรงอาหารชามละ5บาท ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลยนอกจากใบตำลึงกับเศษหมูเศษเลือดเท่าไข่มดแดง
ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อมองคนใจบุญที่แล่เนื้อให้ทานจนหมดตัว

 “ไม่ได้แกล้งโกหกนะครับ”

คุณปลาได้ยินผมพูดก็ยิ้มๆ “อืม... เราอยากได้ยินคำตอบไหนล่ะ...ระหว่างคำตอบที่พี่แกล้งไม่ชอบกุ้ง”

“...”

“กับคำตอบที่ว่าคำตอบที่ว่าพี่ชอบกุ้งมากๆ...แต่พี่อยากยกให้เรา”

ตึกตัก

ผมไม่ได้ตอบอะไรคุณปลา ก้มหน้างุดเร่งพุ้ยข้าวต้มใส่ปากเพื่อซ่อนเร้นใบหน้าที่กำลังร้อนผ่าวเหมือนเอาแผ่นเหล็กที่ตีจนร้อนมาทาบหน้า หัวใจเจ้ากรรมก็ยังเต้นแรงไม่หยุด เต้นแรงมากเสียจนมือที่กำลังจับช้อนสั่นไม่หยุดนิ่งและผมต้องวางช้อนเพราะกลัวข้ามต้มกระฉอก

ขณะที่ผมค่อยๆแอบช้อนตามองคุณปลาอย่างเงียบงัน ผมก็พบว่าคุณปลาจ้องผมอยู่ก่อนหน้าแล้ว เขากำลังนั่งเท้าคางมองผมโดยไม่สนใจชามข้าวต้มตรงหน้า

คุณปลาระบายยิ้มบางๆบนใบหน้าที่มีรอยกระจางๆประปราย

“ถ้าเราไม่อิ่มก็สั่งเพิ่มได้นะ”

“ครับ”

“กินเสร็จแล้วเราไปซื้อน้ำเต้าหู้กัน เจ้าที่ตั้งหน้าธนาคารทำอร่อย ปาท่องโก๋ก็ใส่ธัญพืชด้วย เราชอบกินหรือเปล่า”

ผมพยักหน้า บอกเขาไปว่า “ชอบครับ…” จากนั้นก็จ้องเขาตอบ

กลายเป็นว่าคนใส่แว่นเป็นฝ่ายที่หลบตาผมซะงั้น...ส่วนหัวใจผมก็เต้นเสียงดังตึกตักอย่างน่ารำคาญตามเดิม

หลังจากที่กินข้าวเสร็จ คุณปลาก็ลากผมไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ ได้แบบชาร์โคล ใบเตย งาดำ กล้วยหอม ข้าวโอ๊ตมาแบบคละกัน เขาชมว่าเจ้านี้อร่อยเหาะ แต่ผมกินแล้วรู้สึกเฉยๆเพราะค่อนข้างอมน้ำมัน กินแล้วต้องรีบกินน้ำเต้าหู้ตามลงไป

ผมไม่เหมือนคุณปลาหรอกนะที่จะดูแฮปปี้กับการกินพวกขนมนมเนยอะไรแบบนั้น เขากัดไปคำนึงยิ้มเหมือนฟินไปสามโลก ถ้าตัวลอยได้คงลอยทะลุชั้นโอโซนไปนอกโลกแล้ว

จากนั้นเขาก็ลากผมไปซื้อกล้วยปิ้งต่อ ชมเปาะว่าน้ำจิ้มเจ้านี้อร่อยมาก หอมใบเตยเน้นๆ ออแกนิกสุดๆ แต่จำนวนคนที่ต่อคิวก็สุดๆเหมือนกัน นับคร่าวๆดูแล้วประมาณห้าหกคนได้ ยืนล้อมแผงลอยเล็กๆไว้เหมือนตำรวจบุกจำกุมผู้ค้ายารายใหญ่

ระหว่างที่ผมยืนรอคุณปลาสั่งกล้วยน้ำหว้าปิ้ง โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของผมก็สั่นครืด ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์ที่โทรเข้า

หน้าของผมชาวาบ มือของผมสั่นระริก หัวใจของผมเต้นเร็ว แรง และบีบอัดจนแน่นอก คล้ายถูกปลายรองเท้าที่เต็มไปด้วยหนามบดขยี้บนแผ่นเหล็กร้อนๆ

ที่หน้าจอโชว์ชื่อสายเรียกเข้าว่า P(A)USE ภาพพื้นหลังนั้นเขาโอบคอผม ใบหน้าทุกคนยิ้มแย้ม ภาพนั้นเมฆเป็นคนถ่ายให้...

ผมคิดถูกแล้วที่ตั้งภาพนี้...ทุกครั้งที่เห็นมันจะคอยย้ำเตือนความผิดบาปของผมและเขาสองคน ราวกับมีดที่เฉือนร่าง ปล่อยให้เลือดของพวกเราไหลอย่างช้าๆละเลงอยู่บนพื้น

ผมคิดถูกแล้วที่หนีออกมาจากบาปที่ไม่ได้ตั้งใจก่อขึ้น...

และผมเลือกที่จะกดตัดสาย



:katai5: :katai5:
กระดึ๊บๆเอามาส่ง
ไม่อยากกินข้าวต้มปลาอ่ะ เลาหยักกินคุณปลา -///-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-07-2017 10:29:07 โดย ไอแอมเดอะแฟต »

ออฟไลน์ ijuney

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 7 UP! | (4/7/17)
«ตอบ #19 เมื่อ05-07-2017 23:37:16 »

เริ่มคิดถึงพี่พุธละ ขอพี่พุธออกโรงโหน่ยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►สับสนในรัก◄ 7 UP! | (4/7/17)
« ตอบ #19 เมื่อ: 05-07-2017 23:37:16 »





ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ►สับสนในรัก◄ 8 UP! | (6/7/17)
«ตอบ #20 เมื่อ06-07-2017 11:29:56 »

8




ผมมองเบอร์ที่โทรเข้าสลับกับคุณปลาที่กำลังเดินมาหาผม ในมือของเขาถือถุงกล้วยปิ้งที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ผมไม่กดตัดสายแต่จงใจไม่รับ ไปที่การตั้งค่าและเลือกฟังก์ชั่นปิดเสียง

เมื่อคืนเขาก็กระหน่ำโทรมาแต่ผมชาร์จแบตโทรศัพท์ไว้ด้านนอก ไม่แน่ใจว่าปิดเสียงไว้หรือเปล่าเพราะคุณปลาไม่ได้เอาโทรศัพท์เข้ามาให้ผมในห้อง

ผมคิดที่จะบล็อกเบอร์พี่พุธอยู่หลายครั้ง แต่ว่า พี่พุธกับพี่ใบบัวใช้โทรศัพท์ร่วมกัน บางทีพี่ใบบัวก็ใช้โทรศัพท์พี่พุธโทรหาผม ถ้าหากว่าผมบล็อกเบอร์เขาไป พี่ใบบัวก็คงใช้เบอร์ตัวเองโทรมาด่าผม เธอไม่ถามเหตุผลผมหรอกว่าทำไมถึงบล็อก พี่พุธมีร้อยแปดวิธีที่จะหว่านล้อมให้คนรอบข้างคล้อยตามไม่ต่างจากกินสิริกาลิ้นทองเข้าไป

“ไม่รับโทรศัพท์เหรอ” คุณปลาถาม

ผมไม่นึกว่าเขาจะได้ยินเสียงคนโทรเข้า ไม่นึกด้วยซ้ำว่าเขาจะมองผมอยู่ การที่เขาถามขณะที่กำลังจิ้มกล้วยปิ้งเข้าปากทำให้ผมแปลกใจ แต่ก็ตอบเขาไปตามตรง

“ไม่ครับ”

คุณปลาไม่ได้ถามต่อว่าใครเป็นคนโทรมา พวกเราคุยกันเรื่อยเปื่อยเดินขึ้นคอนโด

ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่เกินห้านาทีก็ออกมานั่งรอคุณปลาที่ห้องนั่งเล่น เปิดดูรายการข่าวฆ่าเวลารอคุณปลาอาบน้ำ เขาใช้เวลาในห้องน้ำทำธุระไม่นาน น่าจะสักเจ็ดถึงสิบนาที แต่ว่าใช้เวลาในการแต่งตัวนานมาก

เขาหายตัวเข้าไปในห้องนอนราว ๆ สิบห้านาทีได้ และออกมาพร้อมกับกลิ่นตัวหอมฟุ้ง เสื้อเชิ้ตเรียบกริบ กางเกงสีดำเรียบและมันปลาบ เซ็ทผมด้านหน้าไปด้านหลังชนิดที่ช่างทำผมมืออาชีพมาเอง ผมอดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความตะลึงไม่ได้ คุณปลาเป็นคนที่แต่งตัวด้วยชุดทำงานแล้วดูดีสุด ๆ

“พี่ไม่ใช่อาหารนะครับ” เขาหัวเราะเมื่อเห็นว่าผมทำจมูกฟุดฟิด กำลังดมดูว่ากลิ่นหอมเย็น ๆนั้นออกมาจากส่วนไหนของร่างกายเขา กลิ่นคล้าย ๆกลิ่นแป้งเด็ก ผสมกลิ่นชาขาว ผสมกลิ่นอะไรสักอย่างที่ดมแล้วเย็นจมูก

“กลิ่นอะไรเหรอครับ” ผมถาม “ผมชอบ กลิ่นหอมดี”

คุณปลาไม่ตอบ แต่เดินหายเข้าไปในห้องทำงาน และกลับมาพร้อมขวดน้ำหอมแพคเกจเรียบหรูที่อยู่ในถุง

“พี่ทำงานออกแบบแพคเกจจิ้งน่ะ เขาเอามาให้พี่ทดลองใช้ฟรี เอาไปสิ เขาให้มาตั้งหลายกล่อง พี่แจกคนใช้ไม่หมดสักที” เขาพูดยิ้ม ๆ

ผมรับถุงนั้นมาถือไว้ หยิบกล่องเล็ก ๆ สีดำออกมาพลิกดู แม้แต่ผมยังคิดว่ากล่องนี้ออกแบบมาได้เหมาะกับกลิ่นมาก ตัวฟ้อนต์ก็เหมาะ มีลวดลายเล็ก ๆ ดูไม่รกตา ส่วนยี่ห้อ...อืม ผมไม่รู้จัก ไม่ใช่ยี่ห้อตีตลาดแต่ดูจากราคาข้างกล่องแล้วก็ทำให้ผมช็อคได้เหมือนกัน

ไม่ใช่ยี่ห้อตลาดแต่ราคาขวดละสี่พันกว่า...

เขาทำงานให้กับบริษัทไหนกันแน่นะถึงได้น้ำหอมเกรดดีมาใช้ฟรี ๆแบบนี้ ผมเก็บงำความสงสัยไว้ บอกขอบคุณคุณปลาแล้วเอาน้ำหอมไปเก็บไว้ในกระเป๋าลาก

พอเดินออกมาคุณปลาก็กระดกแก้วกาแฟดื่มเป็นอึกสุดท้าย เขามองนาฬิกาข้อมือเรือนเงิน บอกว่าถ้าช้ากว่านี้อาจจะไม่ทันไปเข้าแถว

ด้วยฝีมือการขับรถของคุณปลาผมคิดว่าวันนี้อาจจะไปโรงเรียนสาย แต่เขาก็สร้างความประหลาดใจให้ผมได้อีกรอบ ฝีมือการขับรถของเขานี่ชั้นเซียนชัด ๆ มุดเข้าซอยนั้นออกซอยนี้อย่างชำนิชำนาญ รถติดไม่ได้แอ้มเขาหรอก เลี้ยวนั่นเลี้ยวนี่ฉวัดเฉวียนไปมา แต่ว่าระมัดระวังและขับได้นุ่มมากชนิดที่ว่าถ้าผมวางแก้วกาแฟไว้หน้าคอนโซลรถ ผมมั่นใจว่าน้ำในแก้วกาแฟนั้นจะไม่กระฉอกออกมา

ใช้เวลาไม่นานรถแมวเซาสีดำก็จอดหน้าโรงเรียนในเวลาเจ็ดโมงสี่สิบกว่า ๆ ผมคำนวณดูว่ามีเวลาอีกเยอะแค่ไหนในการทำกิจกรรมอื่น ๆก่อนเข้าชั้นเรียนอย่างเช่นเคลียร์การบ้านที่ค้าง ที่นี่ไม่มีการเคารพธงชาติ กว่าครูจะเข้าสอนก็ปาไปแปดโมงครึ่ง ผมคิดว่าการบ้านวิชาอังกฤษน่าจะเสร็จทันส่ง

ขณะที่ผมกำลังปลดเข็มขัดนิรภัยออก คุณปลาก็ยื่นบัตรแข็ง ๆมาให้ผม มองมันเพียงแวบเดียวผมก็รู้ว่าบัตรนั่นคืออะไร เขาบอกให้ผมถือคีย์การ์ดไว้ วันนี้เขาจะมารับผมหลังเลิกเรียนแต่ว่ามีงานประชุมห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม เขาไม่มีเวลาไปส่งผมถึงห้องจึงให้คีย์การ์ดสำรองไว้กับผม

“คุณปลาให้คีย์การ์ดผมถือไว้แบบนี้ ไม่กลัวว่าผมจะขโมยของไปขายเหรอครับ” ผมมองคีย์การ์ดสำรองในมือที่คุณปลาคุณปลายื่นให้เมื่อครู่ มันเป็นการ์ดแข็งใส่ซองอย่างดีดูเรียบง่ายตามสไตล์ของเขา

คุณปลาเอี้ยวตัวไปหลังเบาะ หยิบเอาหน้ากากอนามัยที่อยู่ในซองพลาสติกใสออกมาจากซอกใต้เบาะรถ

“แล้วเราอยากขโมยอะไรในห้องพี่ล่ะ” เขายื่นหน้ากากอนามัยให้ผม ดึงกระจกสำหรับติดบังแดดลงมาเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของเน็คไทอีกรอบ ผมอยากจะบอกเขาว่ามันดูเรียบร้อยและดูดีสุด ๆแล้วแต่ก็ไม่อยากขัดคนวัยทำงาน

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากขโมยอะไร” ผมแกล้งทำเป็นคิด “บางทีอาจจะมีสักอย่างสองอย่าง ค่อย ๆขโมยไม่ให้คุณปลารู้”

“ถ้าเราอยากจะขโมยอะไรก็บอกพี่ด้วยก็แล้วกันจะได้ไปซื้อมาแทนอันเดิม” เขาเอ่ยขึ้นคล้ายไม่ใส่ใจนักกับการที่ผมบอกเขาว่าจะขโมยของ

“บางทีผมอาจจะขโมยรองเท้าคุณปลาไปขายก็ได้นะ น่าจะได้เกือบแสน” รองเท้าคุณปลาในชั้นวางมีเป็นสิบ แม้ผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องราคาเท่าไหร่แต่ก็พอดูออกว่าเป็นของแบรนด์นอก

“กล่องรองเท้าอยู่ในห้องเก็บของนะเผื่อเราหากล่องใส่ไม่เจอ” เขาพูดทีเล่นทีจริง แล้วพูดสำทับขึ้นมาอีกรอบว่า “ยังไงก็ตาม ถ้าไม่สบายก็ขอครูไปนอนห้องพยาบาลนะ หรือไม่ก็โทรหาพี่...”

“แค่กริ๊งเดียวพี่ก็จะมารับใช่ไหมครับ” ผมเอ่ยต่อกับประโยคที่เขาพูดมาแล้วเป็นรอบที่สาม อยากจะถามคุณปลาเหมือนกันว่าเขาทำงานอะไรทำไมถึงได้ดูมีเวลาว่างมาส่งผมไปโรงเรียนตอนเจ็ดโมงครึ่ง

ชีวิตการทำงานของเขา บริษัท หรือเรื่องส่วนตัวอื่น ๆคุณปลาไม่ได้พูดให้ผมฟังมากมายนัก และผมก็ไม่ได้คิดจะเซ้าซี้ถาม เพราะว่าผมไม่จำเป็นต้องรู้ และเขาก็ไม่จำเป็นต้องบอก แม้แต่ชื่อของผมคุณปลายังไม่ได้เอ่ยปากถามออกมา

ฟังแล้วมันก็ดูเศร้า แต่เราก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่หยิบยื่นไมตรีให้กันเท่านั้น

คงเป็นผมฝ่ายเดียวมากกว่าที่แอบใจเต้นไปกับความใจดีของเขา...

“ถ้ามีอะไรต้องโทรหาพี่นะเข้าใจใช่ไหม” คุณปลาเอี้ยวตัวไปด้านหลังเบาะอีกรอบ หยิบกระเป๋าสะพายขนาดกลางของผมที่ค่อนข้างฮิตในหมู่วัยรุ่นมาให้

“เข้าใจหรือเปล่า  หืม ?” ผู้ปกครองขี้เป็นห่วงถามย้ำอีกรอบเมื่อผมไม่ยอมตอบ

“เข้าใจครับ”

คุณปลาบอกให้ผมโทรหาเขาทันทีรู้สึกที่ไม่สบาย ต่อให้ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ไอ หวัด ก็ต้องโทรหา ถ้ามีอันตรายต้องแจ้งครูไว้ก่อน ถ้ามีเหตุร้ายต้องโทรเรียกตำรวจหรือไม่ก็รถฉุกเฉิน และหากเลิกเรียนก็ต้องรีบโทรหาเขาและมารอที่ลานจอดรถให้ตรงเวลา

จริง ๆแล้วอยากจะตอบกลับไปว่าผมอายุสิบแปดปีแล้วเรื่องแค่นี้ไม่ต้องโทรหาคุณปลาให้เสียเวลาเพราะห้องพยาบาลก็มี แต่ก็กลัวคนวัยทำงานจะขี้น้อยใจก็เลยทำได้แค่พยักหน้าและตอบตกลงไปแบบนั้น

“ทำให้ได้ล่ะ” มีถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกแน่ะคนคนนี้

“ครับผม” ผมตอบใบหน้าจริงจังเพื่อย้ำให้คุณปลาเลิกเป็นห่วงมือ แล้วเปิดประตูรถออก ค้อมหัวลงเพื่อลอดออกจากตัวรถ

“อ้อเดี๋ยวสิ” คุณปลาโน้มตัวมาดึงมือผมไว้ “วันนี้อากาศหนาวพี่ว่าเราใส่เสื้อกันหนาวไปด้วยดีกว่า” คุณปลาไม่ให้โอกาสปฏิเสธ เขาหยิบเสื้อกันหนาวที่แขวนอยู่ข้างกระจกมาให้ผมถือไว้

ผมก้มมองเสื้อกันหนาวสีเทาอมฟ้า ไม่มีลวดลายอะไร เป็นเพียงสีฟ้าเรียบ ๆ แต่พิเศษที่กลิ่น...

...มันมีกลิ่นของเขาติดอยู่...

อุณหภูมิบนใบหน้าของผมกำลังพุ่งขึ้นเรื่อย ๆอย่างห้ามไม่ได้

“จริงสิ สหกรณ์ในโรงเรียนมีสเตปซิลขายหรือเปล่า” เหมือนคุณปลาจะเพิ่งนึกออก “ยังไงเราก็ลองไปหาดูนะ พกเผื่อไว้ เวลาไอเวลาเจ็บคอจะได้อมแก้”

“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่ถ้าไม่มีขาย คาบว่างผมจะแวะไปเอาที่ห้องพยาบาล” 

ขณะที่ผมก้าวออกจากตัวรถ โทรศัพท์ในกระเป๋าของผมสั่นครืด ผมคิดว่ามีตาเป็นคนโทรมาจึงล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า แต่ทว่าสายเรียกเข้ากลับเป็นพี่ใบบัว ผมขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็กดรับสายไป

“ครับพี่” ผมกรอกเสียงใส่ปลายสาย แต่ทว่าอีกฝั่งกลับไร้การโต้ตอบ

ได้ยินเพียงเสียงหายใจเบา ๆที่ดังออกมาเป็นจังหวะ

[สวัสดีครับน้องลูกสน]


โทรศัพท์ในมือของผมกลายเป็นก้อนหินหนักอึ้งในชั่วพริบตา...

ผมถือโทรศัพท์ค้างไว้ เป็นพี่พุธที่ใช้เบอร์พี่ใบบัวโทรหาผมจริง ๆด้วย ไม่รู้ว่าความกระอักกระอ่วนแสดงออกมาชัดมากเกินไปหรือเปล่าคุณปลาจึงโบกมือบ๊ายบายให้ผม พูดแบบไม่มีเสียงว่าง ‘หลังเลิกเรียนเดี๋ยวพี่โทรหา’

จากนั้นก็ค่อย ๆเคลื่อนตัวรถออกไปอย่างเชื่องช้าเหมือนครั้งแรกที่เจอกันไม่มีผิด

ส่วนผมก็ยืนตัวแข็งอยู่ที่เดิม คิดไม่ออกว่าควรจะทำอะไรดี เมื่อครู่ผมตกใจมาก สติแทบหลุดออกมา ยิ่งพี่พุธโทรมาตอนที่ผมอยู่กับคุณปลาสติของผมก็แทบกระเจิงออกเหมือนไก่โดนหมาวิ่งไล่กวด

ผมกดตัดสายไป แต่คนโทรเข้ากลับไม่ยอมแพ้เขากระหน่ำโทรมาจนผมทนไม่ไหว อยากจะบล็อกเบอร์ลูกพี่ลูกน้องให้รู้แล้วรู้รอด แต่ผมก็กลัวว่าถ้ามีเหตุจำเป็นจะติดต่อกันไม่ได้ 

อีกอย่าง...ก็แค่รับสาย จะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะ ผมหนีออกมาแล้ว ผมจะไม่มีวันกลับไปให้เขาใช้ผมเป็นเครื่องมือแก้แค้นเพื่อความสะใจของเขาอย่างแน่นอน

ผมเม้มปากแน่นอย่างใช้ความคิด เดินเลี่ยงหาที่ปลอดคนคนแทนที่แวะสหกรณ์ตามแผนเดิม เป็นห้องชมรมศิลปะที่ไม่มีคนใช้นอกจากสมาชิกชมรมไม่กี่คนซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในสมาชิกนั้นด้วย  ผมห้ามใจตัวเองให้สงบลง กดรับสายด้วยนิ้วมือที่กำลังสั่นระริก

[สวัสดีครับน้องลูกสน กะใจให้พี่โทรหาให้ครบสามสิบสายก่อนใช่ไหมครับน้องลูกสนถึงจะรับ] น้ำเสียงกึ่งประชดประชันดังขึ้นทันทีที่ผมกดรับสาย เสียงของเขาทำให้ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ จู่ ๆก็รู้สึกเหมือนอากาศถูกช่วงชิงไปดื้อ ๆ

ถ้าหากจะให้เปรียบ เสียงของเขาก็เหมือนเครื่องดูดอากาศขนาดใหญ่ ที่จ้องจะกอบโกยเอาอากาศที่ใช้ต่อลมหายใจของผมไปอย่างน่ารังเกียจ

[ช่วงนี้ใจร้ายกับพี่จังเลยนะครับ โทรหาก็ไม่รับสาย] คล้ายจะตัดพ้อแต่ว่าดูเสแสร้งมากกว่าหลายส่วน [ไม่ใช่ว่าเล่นชู้ตอนที่พี่ไม่รู้ตัวนะครับ]

ผมค่อย ๆเค้นเสียงออกมาจากลำคอด้วยความยากเย็น “มีอะไร”

[ต้องลงท้ายด้วยครับด้วยสิ ตั้งแต่มีชู้นี่น้องลูกสนของพี่พูดห้วนขึ้นนะครับ รู้ตัวหรือเปล่า]

ผมกัดริมฝีปากอย่างลืมตัว ระหว่างความกลัวและความโกรธมันก้ำกึ่งกันเหมือนไปมาเหมือนลูกเหล็กที่กลิ้งอยู่บนไม้กระดก

“กูจำเป็นต้องพูดดี ๆกับมึงด้วยเหรอวะ อีกอย่างกูไม่ได้เป็นอะไรกับมึง...แล้วกูจะไป เล่น ชู้ ได้ยังไง”

น้ำเสียงของผมฟังดูเย็นชาและแข็งกระด้าง ทั้งโมโหทั้งหงุดหงิดทั้งกลัวคนปลายสาย มันผสมกันไปหมดจนผมแยกไม่ออก

[โอเค ๆ เอาเป็นว่าพี่เป็นฝ่ายยอมเล่นชู้แทนก็ได้ครับ] ปลายสายหัวเราะเสียงเย็นเยียบในลำคอ จนผมเดาไม่ออกว่าตอนนี้ใบหน้าของเขากำลังยิ้มหรือว่าโกรธขึ้งผมอยู่ เสียงหัวเราะของเขาค่อย ๆเบาลงกลายเป็นเสียงหัวเราะต่ำ ๆ 

[ว่าแต่ว่า...เมื่อคืนนี้ ชู้คนดีของพี่หนีไปนอนบ้านใครเหรอครับ พอจะบอกพี่ได้หรือเปล่า]

น้ำเสียงโทนต่ำและเย็นเยียบทำให้ผมกลืนน้ำลายอึกเล็กลงคออย่างยากลำบาก กลัวว่าปลายสายจะได้ยิน

พูดตอบปลายสายไปด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างว่า  “ก็ถามแฟนมึงเอาสิ มึงเอาโทรศัพท์เขาโทรมาหากูนี่”

[พี่รู้ว่าลูกสนไม่ได้ไปนอนบ้านมีตา...] เขากดเสียงลงต่ำ

ตัวผมชาวาบ “งั้นเหรอ ?”

[พี่ถามดี ๆนะครับน้องลูกสน...เมื่อคืนเราไปนอนค้างบ้านใครมา พี่รอที่หน้าบ้านมีตาตั้งแต่เช้า พี่ไม่ยักเห็นเราขึ้นรถไปโรงเรียนกับเพื่อนนะ... แล้วเราก็อย่าโกหกพี่ว่าเราไปค้างบ้านไอ้เมฆล่ะ...พี่โทรถามลุงปิติดูแล้วว่าเราไม่ได้ไป]

ผมได้ยินเสียงกัดฟันกรอดเล็ดลอดออกมาจากปลายสาย

ผมเม้มริมฝีปากแน่นไม่ตอบอะไรออกไป ผมเชื่อว่าเขาทำแบบนั้นจริง ๆไม่ใช่แค่พูดขู่เล่น ๆให้ผมตระหนกเล่น ๆ แม้แต่บ้านเมฆเขายังกล้าโทรไปเช็ก...เขาไม่กลัวบาปที่เขาก่อไว้บ้างหรือไงกันวะ

และที่สำคัญเขามักจะเรียกผมว่าน้องลูกสนเวลาที่เขาโกรธจัดเท่านั้นเขาจะเรียกชื่อนี้ต่อหน้าผมเพียงคนเดียวเท่านั้น มันน่ารังเกียจแค่ไหนมีเพียงผมเท่านั้นที่รู้...ทั้ง ๆที่เมื่อก่อนผมเคยชอบมากแท้ ๆ แต่ตอนนี้มันทำให้ผมสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก

[ตกลงว่าเมื่อคืนเราไปอยู่ไหนลูกสน...] จู่ ๆน้ำเสียงของเขาก็อ่อนลง อ่อนลงมากจนทำให้ผมคลายนิ้วที่จิกฝ่ามือออกอย่างช้า ๆ [ทำไมเราต้องหนีพี่ไปด้วย...]

ทำไมผมต้องหนีน่ะเหรอ...

“เพราะพี่ไม่ยอมหยุดไง...สนถึงต้องหนี”

เขาก็แค่คนหลงผิด...เขาก็แค่แค้นเคืองผมจนทำร้ายผมแบบนี้

เขาก็แค่สนุกตอนที่เห็นผมร้องไห้

แล้วจะมาเรียกร้องอะไรล่ะ...จะมาอ้อนวอนอะไรล่ะ ก็รู้ตัวดีไม่ใช่เหรอว่าการที่เขาชอบผมมันก็แค่ การเหลวไหลและหลงผิดไปชั่วครู่ ตอนนี้เขาก็แค่กำลังเหลวไหล เขาก็แค่กำลังสนุกที่ได้ไล่ต้อนให้ผมจนมุมจนต้องหนีออกจากวิมานนรกของเขา
แล้วเขาจะมาทำเป็นว่ารักผมทำไมกัน...

เขาก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ และไม่มีวัน...

“สนไม่อยากสร้างบาปให้ใครต่อ...พี่พุธอย่าลากสนลงนรกไปกับพี่เลย” ผมอ้อนวอน...สรรพนามที่ใช้คุยกลายไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน

เมื่อก่อนตอนที่เขายังไม่เลวร้ายแบบนี้ ตอนที่เขายังหัวเราะให้ผม เล่นสนุกกับผมเหมือนน้องชายคนหนึ่งของเขา...

ถ้าเขากลับมาเป็นแบบเดิมไม่ได้ ก็ขอให้ปล่อยผมไปเถอะ...

ปลายสายแค่นหัวเราะ

[เรื่องของคนที่ผ่านมาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราวะสน...สร้างบาปอะไรวะ ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าที่ผ่านมาพี่ไม่ได้ชอบบัว แล้วมันจะตกนรกได้ไงวะ...ตอนนั้นพี่ก็แค่คิดผิด แค่อยากหาทางเข้าใกล้เราพี่ก็เลยคิดผิด มันย้อนกลับคืนไม่ได้แล้วไง...จะมาทิ้งขว้างใจพี่แบบนี้ไม่ได้นะสน]

“แล้วใจสนล่ะวะ...”

[แล้วใจพี่ล่ะสน...ทำอะไรลงไปก็หัดรับผิดชอบมันบ้างสิสน] เสียงเขาสั่นพร่า

[แล้วก็...เรื่องวันนั้น...พี่ขอโทษ]

ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เรื่องวันนั้นทำให้ขนอ่อนที่ลำคอผมลุกชัน ชาวาบตั้งแต่ปลายนิ้วมือลงไปถึงฝ่าเท้า

“พอเถอะ...ช่างมันเถอะ” ผมกลั้นใจบอก “ให้มันผ่านไปแบบนั้น แค่พี่ปล่อยสนไป...ถือซะว่าที่ผ่านมาเราก็แค่หลงผิด”

ได้ยินเสียงแค่นหัวเราะดังตามมาหลังจากที่ผมพูดจบ

[หลงผิด ? พี่โคตรเกลียดไอ้ประโยคนี้เลยรู้ไหม ได้...ถ้าเรากลัวบาปเราก็หนีต่อไป]

“...”

[เพราะว่าพี่ไม่กลัว...]

คำพูดของพี่พุธผมให้ผมพูดอะไรไม่ออก...

[แต่ต่อให้เราหนีพี่ไปไกลแค่ไหนพี่ก็จะตามหาอยู่ดี...ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนพี่ก็จะเจอเราอยู่ดี]

ผมห้ามเขาไม่ได้ ผมขอร้องเขาไม่ได้ ผมอ้อนวอนเขาไม่ได้ โลกทั้งใบมีเขาเป็นศูนย์กลาง

[ได้ยินใช่ไหมครับน้องลูกสน ว่าเราจะหนีความจริงและพี่ไม่ได้ และไม่มีวัน]

“ต่อให้สนหนีความจริงไม่ได้...” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง “พี่พุธก็ปล่อยให้สนหนีได้ไม่ใช่เหรอวะ...”

พี่พุธหัวเราะเสียงเย็น [สนก็รู้...ว่าไม่มีวัน...]

ผมกดตัดสาย มองดูฝ่ามือที่ชุ่มเหงื่อ ยกขึ้นมาลูบหน้าเบา ๆ...

ผมเหนื่อย...ผมทนไม่ไหวกับเรื่องราวอีรุงตุงนังแบบนี้ มันหนักเกินไปสำหรับผม

ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะทำยังไงดี ผมควรจะหนีไปเรื่อย ๆแบบพ่อ...หรือว่าทิ้งทุกอย่าง ตัดปัญหาทุกอย่างแล้วลอยลำไปแบบแม่ดี...แต่มันไม่มีทางไหนดีเลยนอกเสียจากว่าผมกับเขาจะหันหน้าเข้าหากัน เผชิญกับความจริงที่กำลังดำเนินอยู่

ผมรู้...แต่มันทำไม่ได้

พี่พุธไม่ปล่อยผมไปง่าย ๆแน่...

...ไม่มีวัน

เขาอยู่ใจกลางของความสับสนวุ่นวายทั้งหมด ไม่ว่าโลกจะเหวี่ยงไปทางใด จะถูกพายุลูกไหนถล่ม ตัวเขาก็จะตั้งมั่นอยู่ที่เดิม และฉุดลากให้ผมจมลงไปพร้อมกับเขาเพื่อหนีความวุ่นวายเหล่านั้น...

เป็นผมเองที่อยากยืนท้าพายุพวกนั้น ไม่ยอมจมลงหายไปโลกของเขา...

ผมเดินขึ้นห้องด้วยสมองที่ว่างเปล่า...ไม่รู้ตัวเลยว่าทุกคำพูดที่ผมได้คุยกับพี่พุธมีใครบางคนได้แอบฟังอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้ตัวเลยว่าดวงตาคู่นั้นที่มองตามแผ่นหลังผมแฝงไปด้วยความเจ็บปวดมากมายแค่ไหน

ใช่ ผมไม่รู้อะไรเลย...


OOOOOOOOOOOOO


 “ฉันถามจริง ๆนะสน ตกลงแกมีปัญหาอะไรกับที่บ้านหรือเปล่า เมื่อคืนพี่ใบบัวของแกก็โทรมาถามฉันว่าแกอยู่บ้านกับฉันไหม พอฉันบอกไปว่าอยู่ พี่แกก็บอกว่างั้นดูแลน้องชายให้ด้วย บอกว่าแกท่าทางแปลก ๆแล้วออกจากบ้าน”

ผมแกะซองพลาสติกใส แล้วหยิบเอาหน้ากากอนามัยมีขาวออกมา ค่อย ๆใช้ยางยืดสีขาวสวมเข้าที่ใบหูที่ด้านซ้ายและด้านขวาตามลำดับ ปัดไรผมที่โดนยางหนีบออกเบา ๆ แล้วซุกหน้าลงกับแขนตัวเอง ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆของแชมพูของคุณปลาที่ผมใช้อาบน้ำเมื่อตอนเช้า

เป็นกลิ่นเดียวกันกับที่คุณปลาใช้...

“แกได้ยินไหมเนี่ยสน  ! ทำไมชอบทำให้ฉันกลายเป็นอีบ้าคุยคนเดียวอยู่เรื่อยอะ !”

“ได้ยิน” ผมตอบมีตาเสียงเบา

“งั้นก็ตอบมาสิว่าตกลงแกเป็นอะไรน่ะฮะ” มีตาถลึงตาใส่

“เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไร เป็นคนหล่อเหมือนเดิม”

“จะไม่เป็นอะไรได้ยังไงไอ้บ้านี่  ! ฉันเป็นเพื่อนแกมานานฉันดูแกออกนะเว้ยว่าแกไม่สบายใจน่ะ !” ยัยคนตัวเล็กแต่ดื้อเหมือนหมาปอม ๆแยกเขี้ยวใส่ผม

“ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ” ผมยิ้มจาง ๆ

...ไม่เป็นไรมีตา ไม่มีอะไรหรอก...

มีตาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แล้วแกกะจะให้ฉันโกหกไปเรื่อย ๆแบบใช่ไหม ?”

“อือ ช่วยฉันโกหกไปเรื่อย ๆก็พอ” ผมบอกเธอไปแบบนั้น

“หรือว่าแกไปนอนค้างบ้านเมฆมาเลยจะให้ผมช่วยโกหก ? นี่รีเทิร์นกันแล้วเหรอ โว้ว  ! ยินดีต้อนรับ จะฉลองวันต้อนรับเมียน้องสนกลับบ้านวันไหนเอ่ย---”

ผมดีดตัวขึ้นมา รีบเอามืออุดปากเล็ก ๆของยัยตัวแสบก่อนที่จะพูดไร้สาระไปมากกว่านี้

“จะบ้ารึไง”  ผมดุเธอเสียงเขียว “หน้าฉันเมฆยังไม่อยากจะมองเลย”

ผมมองดูแผ่นหลังของร่างสูงที่อยู่ด้านหน้าสุดของชั้นเรียน เขาตัดผมรองทรงต่ำปัดข้าง ย้อมสีผมคล้ายสีอัลมอนด์ ผิวของเขาขาวและริมฝีปากหยักลึกสีแดงสด เขาเรียนอยู่คนละห้อง แต่ว่าลงเรียนคลาสศิลปะเหมือนกัน

“ใครจะไปรู้เล่า ก็แกคบกันมาตั้งสองปี อาจจะรีเทิร์นกลับไปหาเมฆก็ได้นี่นา โสด ๆแบบนี้ก็ต้องเหงาเป็นธรรมด๊าาา เคยมีแฟนให้อ้อน พอไม่มีมันก็เรียกร้องให้อยากมีอะดี๊ เมฆออกจะแซ่บถึงใจ ใคร ๆก็อยากดั้ยยย” มีตาลอยหน้าลอยตาพูดเสียงใส

ผมแอบกลอกตาเล็กน้อย ยกสมุดปกอ่อนฟาดหัวยัยมีตาไปทีหนึ่ง ถ้าพูดมากกว่านี้จากมีตาจะกลายเป็นมีตายจริง ๆด้วย

“นี่พูดเอาตลกรึไง แกก็รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น”

มีตาทำเสียงเฮอะเบา ๆ

“ไม่ใช่แบบนั้นอะไรไอ้คนไม่กินผัก แบบนี้สินะแกถึงไม่ฉลาดทันคนเค้าสักที”

เหน็บแนมผมจนพอใจแล้วก็ถอนหายใจยาวเหยียด

“จากที่ฉันมอง ๆดูเมฆนะ ดูเหมือนเมฆจะยังชอบแกอยู่ไม่ใช่เหรอ แกก็น่าจะรู้ เลิกทำเป็นหน่อมแน้มเหมือนไม่เคยมีเมียสักทีเถอะ สงสารผู้หญิงคนก่อน ๆของแกด้วย มีเมียเป็นผู้หญิงไม่ได้ช่วยให้แกฉลาดขึ้นเลย”

แล้วทำไมต้องหยิบยกเรื่องผู้หญิงที่ผมเคยคบก่อนหน้าขึ้นมาพูดด้วยล่ะวะ ก็พวกเธอมาบอกชอบผม ขอคบกับผม ผมก็เกรงใจสิ ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ก็เผลอคิด ๆไปว่าถ้าผมแอบชอบใครสักคนแล้วเขาตกลงเป็นแฟนด้วย ถ้าได้คบกันก็คงจะดี

แต่พอเอาเข้าจริงมันไม่ใช่เลย...

เรื่องความเห็นใจเอามาเป็นข้ออ้างในการคบกันมันไม่ได้เรื่องเลยสักนิด

จนแล้วจนรอดผมก็ได้ข้อสรุปว่าผู้หญิงที่ผมเคยคบมาก่อนนั้นเทียบไม่ได้กับเมฆเลยสักคน

แต่ถึงอย่างนั้นผมกับเมฆก็ไปกันไม่รอดอยู่ดี

“อ้าว เงียบเลยอะ ดีใจอ่อที่เมฆยังชอบอยู่”

“ดีใจบ้านแกสิ ชอบบ้าอะไร แกไม่เห็นเหรอว่าเมฆย้ายจากตรงนี้ไปนั่งตรงนู้น” ผมบุ้ยปากไปยังที่ว่างข้าง ๆมีแล้วแล้วก็พยักพเยิดหน้าไปข้างหน้าห้อง

เมื่อก่อนเขาข้าง ๆผมซึ่งเป็นแถวหลังสุดของห้อง แต่หลังจากที่เลิกกันเมื่อสามเดือนก่อนเขาก็ย้ายไปนั่งข้างหน้าสุด

ใครไม่รู้ก็คงตาบอดในเมื่อเมฆแสดงออกอย่างชัดเจนขนาดนั้นว่าตัดความสัมพันธ์กับผมแล้ว

“เขาเรียกระยะทำใจไงแก...อืม...ก็แค่...” เธอหรี่ตามอง “…อาจจะไกลไปหน่อย”

“มันไม่มีอะไรหรอกน่า” ผมบอก “เลิกคิดมากแทนฉันเถอะว่ะ”

“จะไม่ให้ฉันคิดมากได้ไงอะ จู่ ๆก็ไม่มองหน้ากัน จู่ ๆก็ย้ายที่นั่ง จู่ ๆจากสิงสู่กันก็ห่างกันเหมือนเดินเข้าใกล้แล้วไฟจะช็อตแบบนั้นอะ พอถามก็ไม่มีใครพูด โว้ย ! ไม่สงสัย ไม่หนักใจ ไม่คิดแทนก็ประหลาดเกินคนแล้ว” เธอเริ่มโวยวายแต่ว่าเสียงไม่ดัง ดีที่ยังพอเกรงใจคนรอบข้างอยู่บ้าง

ผมหลุบตาต่ำมองคนที่เริ่มจะเป็นประสาท

“เแกเอาเวลาไปตั้งใจเรียน ไปตั้งใจเข้าคอร์สทำหน้าสวย ๆเถอะจะได้มีแฟนแล้วเลิกมาวอแวเรื่องฉันสักที”

มีตายกนิ้วกลางให้ผมทันที ภาพลักษณ์สวย ๆอ่อนหวานที่ดูจากภายนอกปลิวหายไปในพริบตา 

“แกก็เลิกแขวะฉันเรื่องซื้อคอร์สแล้วขี้เกียจไปทำหน้าสักทีจะได้ไหมเนี่ย !”

“ไม่ได้” ผมสวนกลับอย่างรวดเร็ว “ถ้าอยากมีเมียก็ต้องสวยกว่าเมียสิ”

“ไม่เอาเมียโว้ย!” มีตาฟาดฝ่ามือลงกลางหลังผม ลงแรงหนักเอาการจนผมต้องซู้ดปากเบา ๆ

มีตาหัวเราะหึหึอย่างพอใจ  จากนั้นก็เปลี่ยนมามองผมตาค้อน

“ฉันก็แค่ไม่อยากจะเชื่อว่าจู่ ๆพวกแกก็เลิกกัน เลิกกันยังไงไม่เห็นบอกกันบ้าง ใครบอกเลิก ใครหักอก โอ๊ย ! ฉันตามเผือกจนเครียดไปหมดละ ต้นเหตุอยู่ใกล้ตัวแท้ ๆไม่มีอะไรมาอัพเดตข่าวเลย เงียบเหมือนส้วมเต็มรอการระบาย”

“สาบานว่านั่นปากหรือกระโถน”

“ไอ้สน!!!!” เธอฟาดหลังผมเต็มเหนี่ยว “ก็เพื่อนเป็นห่วงอะ ทำไมต้องว่าเพื่อนวะ คิดแทนแกจนสมองจะระเบิดแล้วนะเว้ย”

“เออ แล้วแกจะเอาเรื่องของฉันไปคิดให้ปวดหัวทำไมวะ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก” ผมถอนหายใจ

“ก็มันน่าสงสัยนี่ ! โคตรมีความลับกับเพื่อน !”

ผมโบกมือปัด ๆให้มีตาเลิกสนใจประเด็นนี้ เรื่องของผมกับเมฆมันไม่ได้สำคัญที่ว่าใครเป็นคนบอกเลิกใคร เรายังไม่ได้พูดบอกเลิกกันด้วยซ้ำ แต่ตามพฤตินัยล่ะก็ใคร ๆก็บอกว่าเลิกรวมทั้งผมและเมฆด้วย แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาว่า ‘เลิกกันเถอะ’

และผมต่างหากที่เป็นฝ่ายทำร้ายเมฆ เขาจะหลบหน้าผมก็ไม่แปลก

โอกาสกลับไปคบกันใหม่แทบเป็นศูนย์ มีตาก็น่าจะพอเดาได้จากการที่เมฆและผมไม่คุยกันเลยหลังจากเลิกกัน..

ไม่ใช่ว่าผมไม่รักเมฆแล้วนะ

แต่ ‘เราไปกันไม่ได้’ อย่างที่มีคนเคยพูดไว้

ประโยคฟังดูคลาสสิค แต่ว่าใช้ได้จริง ผมเคยคิดว่ามันเป็นประโยคทุเรศ ๆที่เอาไว้บอกเลิกกันเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าผมกับเมฆเราเริ่ม ‘ไปกันไม่ได้’ ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้...

ตอนนั้นทุกอย่างมันยุ่งเหยิง มันสบสน มันโลเล มันเหงา มันไม่ไว้ใจ...

มันถูกปั่นผสมรวมกันออกมาแล้วเทใส่แก้วให้ผมกับเมฆกลั้นใจดื่มลงไป




**ต่อด้านล่าง**

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-07-2017 11:40:18 โดย ไอแอมเดอะแฟต »

ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ►สับสนในรัก◄8 UP! | (6/7/17)
«ตอบ #21 เมื่อ06-07-2017 11:37:45 »

ต่อ



หลังจากที่เงียบไปได้ครู่หนึ่ง จู่ ๆมีตาก็ตีแขนผมเบา ๆ เพื่อให้ผมหันไปสนใจเธอ จากนั้นก็อ้าปากพูดขึ้นเปิดประเด็นเพื่อดีเบตต่อ “เออ...แล้วก็มีเรื่องหนึ่งอยากจะถาม”

“ว่า ?”

“เมื่อเช้าใครมาส่งแกที่หน้าโรงเรียน...?”

เท้าผมเย็นวาบ...อาการเดียวกันกับตอนที่เมฆจับได้ว่าผมทำอะไรลับหลังเขา

มีตาพูดต่อไปว่า “เมฆมาถามฉันว่าเมื่อเช้าใครมาส่งแกที่หน้าโรงเรียนไง...ฉันก็เลยคิดว่าเมฆกับแกจะกลับมาคบกันอีกรอบ ไม่งั้นฉันเซ้าซี้ถามแกเหมือนอีบ้าทำไมล่ะ”

เมฆน่ะเหรอเป็นฝ่ายมาถามมีตา...

ผมนึกถึงคนเหนือผิวใสที่เล่นกีตาร์อย่างหนักหน่วง ตัวของเขาอาบไปด้วยเหงื่อแม้จะอยู่ในห้องซ้อมที่ติดแอร์จนเย็นเฉียบ

ใบหน้าเขาแดงระเรื่อทุกครั้งเมื่อมองมายังผมที่นั่งรอเขาซ้อมอยู่บนเก้าอี้

เขายิ้มอาย ๆ ทุกครั้งที่ผมยีผมเขาเล่นด้วยความมันเขี้ยว

และผมก็เผลอนึกถึงใบหน้าซีดเซียวของเมฆที่อยู่หลังประตู...

เผลอนึกถึงตอนที่ผมลงมือทำร้ายเขา...อย่างไม่น่าให้อภัย

“สรุปว่าจะบอกไม่บอก ?”

“...”

“โอ๊ย !ไอ้สนบ้า !”

ผมสะดุ้งเล็กน้อย “อ้อ คนรู้จักน่ะ”

“รู้จัก ? รู้จักนี่ประมาณไหน ? ตอนที่แกกับเมฆคบกัน ฉันจำได้นะว่าตอนฉันถามแกก็บอกฉันมาว่าแค่รู้จักกันเฉย ๆอะ แกจำได้หรือเปล่าล่ะ” มีตาขุดเรื่องเก่าขึ้นมาจี้ผมตรงจุด

ผมเผลอกัดริมฝีปากเบา ๆเมื่อมีเรื่องยุ่งยากใจเกิดขึ้น เป็นอาการที่ผมแก้ไม่หายสักที 

“ก็คนรู้จัก...แค่รู้จัก ไม่ได้มีอะไร”

มีตาถอนหายใจดัง ‘เฮ้ออออ’ ยาว ๆให้กับคำตอบ “ก็คนรู้จัก...แค่รู้จัก ไม่ได้มีอะไร” ของผม

“เอาล่ะ ๆ ช่างเหอะ ฉันไม่เซ้าซี้ถามเพื่อนร้ากกกแบบแกละ สะดวกใจก็ค่อยบอกละกัน ฉันพร้อมรับฟังแกเสมอนะเว้ย”

เธอตบบ่าผมเบา ๆ แววตาที่เห็นอกเห็นใจเมื่อครู่เริ่มเปลี่ยนเป็นความแค้นเคือง

“แต่ว่าก่อนอื่นนะ...มาให้ฉันทำโทษซะดี ๆ ! โทษฐานที่มีเรื่องปกปิดเพื่อน นี่แน่ะ ๆ ”

ยัยตัวกะเปี๊ยกสวมวิญญาณนักดีดลูกแก้วมือโปร คลุกวงในดีดผมตามจุดต่าง ๆ คว้าตัวผมเข้าไปกอดฟัดอย่างสนุกสนานเหมือนหมาฟัดไก่

มีตาก็เป็นแบบนี้เสนอ ถ้าผมไม่พร้อมที่จะเล่าเธอก็จะพยายามเลี่ยง เลี่ยงจนกว่าผมจะเปิดปากพูด นั่นเป็นข้อดีของมีตาที่ทำให้ผมคบกับเธอมาได้หลายปี สมมุติถ้าผมกับเธอจนตรอก แบบอายุสามสิบห้าปีแล้วยังไม่มีแฟนจริง ๆ จัง ๆ ผมอาจจะสะกิดเธอให้มาแต่งงานกับผมก็ได้

แต่แล้วเธอก็หยุดแกล้งผม เธอผละตัวออก ใบหน้าสวยขมวดคิ้วมุ่น

“เออสน ว่าแต่วันนี้แกใช้น้ำหอมกลิ่นอะไรอะ ไม่เห็นเหมือนที่ใช้ทุกวัน” เธอทำเสียงฟุดฟิด ดมผมตรงนู้นที ตรงนี้ที สวมวิญญาณหมาตำรวจแทนนักดีดลูกแก้วมือโปร

คำพูดของเธอทำให้ปลายเท้าผมชาวาบอีกครั้ง “อะ...อะไร”

“ฉันถามว่าแกใช้น้ำหอมกลิ่นอะไร ซื้อมาจากไหนอะ ไม่เคยเห็นใช้” มีตาก้มหน้ามาดมตัวผมฟุดฟิด เธอดมเสื้อกันหนาวคุณปลาซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนกำลังวิเคราะห์วัตถุต้องสงสัย “เหมือนกลิ่นน้ำตาปรับผ้านุ่มนะ แต่ไม่ใช่ หอม ๆเย็น ๆหวาน ๆ กลิ่นดูแพงอะ พูดแบบไม่อ้อมค้อมคือฉันอยากได้ ของยี่ห้ออะไร ช็อปไหน”

กลายเป็นผมที่ตะกุกตะกัก ไม่รู้จะตอบมีตาไปว่าอะไรดี

“เอ่อ กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มล่ะมั้ง พี่ใบบัวซื้อมา” ผมแอบอ้างบุคคลที่สามไป

“อ้อ” มีตาคล้ายจะไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ถามเซ้าซี้ต่อ เธอนั่งเงียบไปพักใหญ่ ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก เธอสะกิดแขนผมเบา ๆ “เออ ใช่ ฉันลืมลืมถามไปซะสนิทเลย...ไอ้เสื้อกันหนาวที่แกใส่ยี่ห้อนี้แกได้จากไหนมาอะ มันเป็นยี่ห้อท้องถิ่นเมกาไม่ใช่เหรอ เห็นว่าเลิกผลิตไปตั้งแต่ปี2012วันโลกแตกอะ หรือว่าแม่แกส่งมา แต่แม่แกอยู่อังกฤษนะ...หรือว่าไม่ใช่ของแก ?”

แวบหนึ่ง ผมเห็นว่าเมฆได้หันมามอง...

ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรมีตาก็ยิงคำถามต่อ “หรือว่าจะเป็นของคนที่มาส่งแกวันนี้ ?”

ผมเงียบ เผลอกัดริมฝีปากอย่างลืมตัว

มีตาถอนหายใจเมื่อผมไม่ตอบคำถาม “ฉันจะนั่งเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ให้วันที่แกง้างปากพูดมาถึงเร็ว ๆละกัน”

ไม่ใช่ผมไม่อยากเล่า...

มันเป็นความเห็นแก่ตัวของผมยังอยากที่จะรั้งมีตาไว้ใกล้ ๆ ตัว ถึงแม้ว่าบางทีเธอจะดูน่ารำคาญสำหรับผมก็เถอะ ผมคงเห็นแก่ตัวกับเพื่อนสนิทคนนี้มากจนเกินไป จนบางครั้งอาจจะละเลยความรู้สึกของเธอไปบ้าง...

แต่ผมกลัวว่า ถ้าหากผมตัดสินใจเล่าความลับนั้นให้เธอฟัง...

เพื่อนที่ดีที่สุดของผมจะทิ้งผมไป...


OOOOOOO



ชายหนุ่มตัวสูงนัยน์ตาดุมองโทรศัพท์ที่วางอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ปลายนิ้วยังคงกรอกข้อมูลในระบบ

บริษัทของเขาเป็นบริษัทไอทีขนาดปานกลางที่ผลิตซอฟต์แวร์และจัดออกจำหน่ายนามของบริษัทโดยไม่ได้ผ่านห้างร้าน แต่เน้นที่คุณภาพและผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มเท่านั้นเพราะมีราคาค่อนข้างสูงกว่าซอฟต์แวร์ทั่วไปในตลาด และในตอนนี้ได้ขยายสาขาทั่วเขตปริมณฑล

เขาจบมาจากคณะวิศวกรรมซอฟต์แวร์หลักสูตรนานาชาติที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และเข้าทำงานในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์เมื่อสี่ปีก่อน

บริษัทรับเข้าทำงานทันทีหลังจากที่เขาฝึกงาน หลังจากนั้นสองปีก็ได้ย้ายตำแหน่งไปเป็นผู้ดูแลโปรเจ็กต์ในการผลิต

พุธกระแทกนิ้วลงบนแป้นพิมพ์อย่างหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย เขาเปิดแกลลอรี่ดูที่อัลบั้มลับที่ใส่รหัสไว้เพื่อดูตารางเรียนของ สนนนท์ หรือ สน 

มันเป็นคาบเสรี เขารู้ว่าเด็กหนุ่มเรียนศิลปะและค่อนข้างที่จะว่างเสียด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่ครูชาวต่างชาติของสนจะเข้ามาสอนเทคนิค ปล่อยให้นักเรียนใช้เวลาสองชั่วโมงไปกับการนั่งวาดรูปเพลิน ๆได้ทั่วโรงเรียน

เขาโทรหาอีกหลายสายแต่เด็กหนุ่มไม่ยอมกดรับจึงลุกขึ้นยืนเพื่อยืดเส้นยืดสาย ช่างมันเถอะ อย่างน้อยเมื่อเช้าเขาก็ได้ก่อกวนให้อีกฝ่ายหงุดหงิดใจเล่นไปแล้วหลายประโยค ถ้าสนไม่รับสายเขา เขาก็จะใช้เบอร์ใบบัวนั่นแหละโทรหา ต่อให้อยากปฏิเสธแค่ไหนก็ต้องจำใจกดรับสายอยู่ดี

“พักเบรคหรือคะพุธ” เพื่อนร่วมงานวัยใกล้เคียงซึ่งเป็นสาวสวยส่งยิ้มน้อย ๆ ให้เขา

“ครับ” พุธส่งยิ้มตอบกลับตามมารยาทแล้วเดินออกจากห้องทำงานรวม ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงเล่นหูเล่นตาใส่ด้วยตามประสาคนโสด แต่ตอนนี้เขามี ‘แฟน’ แล้ว หากเขาไปหยอกเอินอีกฝ่ายเกินงามก็คงโดนโมโหใส่ แม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยแสดงอาการก็เถอะ

เขาเดินตรงดิ่งไปที่ห้องพักเบรคที่จัดไว้ด้านในสุดของชั้นตรงข้ามกับลิฟต์ ก้มหยิบแก้วที่วางซ้อนกันอยู่ในตะกร้าขึ้นมา ฉีกปากซองโกโก้แบบขมแล้วเคาะใส่ปากแก้ว เขากดน้ำร้อนและน้ำเย็นใส่ผสมกันแล้วใช้ช้อนคน เขาใส่น้ำตาลและนมผงเล็กน้อยเพื่อกลบกลิ่นโกโก้

พุธไม่ได้ชอบกิน แต่เขาเห็นสนกินบ่อย ซื้อมาทีเป็นกล่องใหญ่ราวกับว่าจะตุนไว้กินตลอดปี

พุธชอบกินกาแฟมากกว่า แต่สนไม่ชอบ สนบอกว่ามันขมตอนที่เขาจูบ และนั่นทำให้เขาเลิกกินกาแฟนับตั้งแต่วันนั้น

“พี่พุธกินโกโก้ด้วยเหรอคะ” เสียงหวานใสเอ่ยถาม เจ้าหล่อนเดินมาตอนไหนเขาไม่ทันได้สังเกต ไม่ได้สนใจมากนัก เธออยู่ในชุดนักศึกษา ห้อยบัตรพยักงานบริษัทเคลือบแข็งที่อยู่ในซองพลาสติกใส ดวงหน้าของเธอดูสะอาด แต่งหน้าบางแต่ดูดี ริมฝีปากรูปหัวใจแต่งแต้มลิปสติกสีอ่อน เส้นผมเป็นลอนมัดรวบไว้ด้านหลัง

เขายิ้ม “พี่ก็กินตามปกตินั่นแหละครับ” โกหกออกไป มองดูร่างบางที่ออกจะตัวเล็กกว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังกดเครื่องชงกาแฟ

น้ำสีเข้มไหลจ๊อกลงใส่แก้ว เธอหยิบน้ำตาลก้อนจากกระปุกใสใส่แก้วสองก้อนและครีมเทียมอีกสาม

“บัวไม่เคยเห็นพี่พุธกินโกโก้มาก่อนเลย ชอบเหรอคะ ไม่เห็นบอกกันมั่งเลย บัวจะไปไปขโมยของสนมาให้กิน” เธอยิ้ม

เขาไม่ได้บอกใบบัวไปว่าปกติแล้วเขาขโมยกินออกบ่อย

ชอบนักตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มหงุดหงิดบ่นเมื่อจับได้ว่าเขาขโมยกิน ใบหน้าที่มองมาอย่างโกรธเคืองเขายิ่งชอบมองไปใหญ่
เขาชอบจ้องดวงตาสีหวานของสนที่มองมา บ้างมองค้อน บ้างก็หงุดหงิด ขนตาเป็นแพหนาขับให้ตาคมขำระยิบระยับ ดูเป็นธรรมชาติน่าทะนุถนอมเก็บไว้ใกล้ ๆตัวไม่อยากให้ใครมาเห็น

สนไม่ได้น่ารัก ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าน่ารักเลยแม้แต่น้อย...

...แต่เขาก็เผลอรักไปจนได้

“อ้อ โกโก้น่ะเหรอ พี่ ‘กินบ่อย’ แต่บัวไม่เคยเห็น” เขาคลี่ยิ้ม จิบโกโก้อุ่นให้แก้วไปอึกหนึ่งแล้ววางลงในตะกร้าสำหรับล้าง โทรศัพท์ในมือองเขากำลังสั่นครืดจนอดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้

สนหนีเขาไปไหนไม่ได้นานหรอก...

“พี่ขอตัวก่อนนะ ไว้เจอกันที่บ้านครับ” เขาหมุนตัวกลับไปที่ประตูบานใส ผลักออกเบา ๆแล้วก้าวฉับ ๆไปยังลิฟต์ เขากดไปที่ชั้นดาดฟ้า และกดรับสายที่เขาเมมเบอร์ว่า SONNON ไม่ใช่ซันที่แปลว่าลูกชาย แต่ว่าเป็นชื่อจริงของสน

จริง ๆ แล้วเขาอยากจะเมมเบอร์เด็กหนุ่มว่า LOOKSON’ PUSE มากกว่า

แต่ก่อนหน้าที่เจ้าของชื่อจะด่า ก็คงถูกสาวสวยที่ขึ้นชื่อว่าแฟนเขาเมื่อครู่ตบหน้าจนหันสักร้อยหน

“คิดถึงพี่จนทนไม่ไหวเหรอครับน้องลูกสน ?” เขาระบายยิ้มกว้างหน้ากระจก มุมปากยกขึ้นสูงจนแทบจะเรียกว่ายิ้มจนปากฉีกได้เลยด้วยซ้ำ

แต่ดูเหมือนว่าปลายสายจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา

[วันนี้ผมเลิกเรียน...]

ผม... ?

พุธเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย สนแทนตัวเองว่าผมอย่างงั้นเหรอ ? แปลก...ปกติสนจะแทนตัวเองด้วยชื่อ แต่ถ้าตอนโมโหก็จะหยาบแบบไม่ไว้หน้าไปเลย...

แปลก...

หรือว่าบางทีสนอาจจะโทรผิด แต่ถ้าสนโทรผิดแล้วสนจะโทรหาใครล่ะถ้าไม่ได้ตั้งจะโทรหาเขา... ?

คำถามที่ผุดขึ้นมากวนใจเขาจนแทบคลั่ง แต่ก็ทำได้แค่เพียงสงบสติอารมณ์ให้เย็นลง เหยียบความขุ่นข้องให้จมดินจนมิด เอ่ยถามเด็กหนุ่มเสียงเย็นเยียบ

“ครับ น้องลูกสนจะให้พี่ไปรับเหรอครับ...วันนี้วันศุกร์พี่เลิกงานดึกนะครับ”

[...]

ปลายสายเงียบไม่โต้ตอบ พุธจึงพูดขึ้นอีกรอบ “แต่ถ้าจะให้พี่ไปรับพี่ก็ไปรับได้--”

[โทรผิด แค่นี้นะ] เด็กหนุ่มพูดขึ้นขัดไม่รอให้เขาพูดจบประโยค และกดตัดสายพอดีกับลิฟต์ที่ขึ้นไปยังชั้นบนสุด

ติ๊ง !

ประตูลิฟต์ค่อย ๆแยกออกจากกัน แต่เขาไม่ก้าวเท้าออกไปเพราะไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องออกไปคุยกับเด็กหนุ่มแล้ว

พุธเอนแผ่นหลังพิงกับผนังลิฟต์ ไอเย็นยะเยือกของมันแผ่เข้าเต็มแผ่นหลังทะลุผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว เขากำลังคิดใคร่ควรเรื่องเมื่อครู่นี้ ความสงสัยโจมตีไม่หยุดหย่อน กลัวว่าคนที่สนโทรหาจะเป็นเจ้าของบ้านที่สนไปค้างอยู่...

และไม่ใช่บ้านมีตาอย่างที่สนโกหก และทุกคนในบ้านเข้าใจ

ลิฟต์หยุดที่ชั้น10 ผู้จัดการฝ่ายวัยสี่สิบปลายที่กำลังคุยโทรศัพท์ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเดินเข้ามาในลิฟต์ พุธไล่ความคิดสับสนออกจากหัว โค้งตัวให้คุณอเนก แต่อีกฝ่ายมีท่าทางผงะตกใจที่เห็นเขา

คุณอเนกเป็นคนเดียวกับคนที่เสนอให้พุธเข้าทำงานหลังจากฝึกงานจบ พุธจึงเคารพเขาเป็นพิเศษ

“ครับคุณวิศรุฒม์ ครับ...ผมทราบครับ...สักครู่ผมจะโทรกลับไปเมื่อให้คำตอบได้นะครับ” คุณอเนกกวางสายแล้วเอื้อมมือกดปุ่มลงไปยังชั้นล่างสุด ใบหน้านั้นยังไม่คลายความเคร่งเครียดลง หัวคิ้วขมวดมุ่น ใบหน้าแฝงไปด้วยความรู้สึกคล้ายตัดสินใจไม่ลง

“ฝ่ายศิลป์เบี้ยวงานเหรอครับ ?” พุธถามออกไป ไม่อยากให้บรรยากาศตึงเครียดมากจนเกินไป

“เปล่า ๆไม่ใช่เรื่องนั้น” คุณอเนกโบกมือไปมาในอากาศ แต่คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันไม่คลายออกเสียที เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาหาพุธด้วยใบหน้าคลางแคลงใจ

“นี่พุทธศิลป์ เธอไปมีเรื่องบาดหมางกับใครเข้าหรือเปล่า” คุณอเนกคลายปมเนคไทออกเล็กน้อยหลังจากที่ถาม

พุธแปลกใจในคำถาม แต่ก็ตอบไปตามตรง “กับพี่ ๆทีมงานก็ปกติดีนะครับ”

“เธอแน่ใจนะ” อีกฝ่ายถามย้ำคล้ายต้องการคำยืนยันให้แน่ใจ

พุธพยักหน้าเล็กน้อยอย่างสุภาพ ตอบกลับไปว่า

“ ผมไม่ค่อยได้พูดคุยกับใครสักเท่าไหร่นอกแผนก เท่าที่ดูทุกคนก็ปกติกับผมดีนะครับ ยกเว้นพี่รักษ์ที่ผมสั่งแก้งานใหม่ ดูโมโหผมนิดหน่อย”

“ผมหมายถึงพวกผู้บริหาร...เอ้อ...ช่างเถอะ” เขาโบกมือไล่ปัด ๆ “ตั้งใจทำงานต่อนะ ไว้ว่าง ๆเดี๋ยวผมจะเลี้ยงเบียร์ตอบแทนเมื่อครั้งก่อน” หมายถึงงานเลี้ยงบริษัทเมื่อกลางเดือนก่อน

พุธโค้งตัวให้ และขอตัวไปทำงานเมื่อลิฟต์หยุดที่ชั้น5

เขาเดินงง ๆ เข้าไปที่ห้องทำงาน

งงทั้งลูกสน

งงทั้งคุณอเนก...

เขาคิดว่าเรื่องที่เขากำลังสงสัยทั้งสองเรื่อง ไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่...





 :katai2-1: :katai2-1:
ปรบมือค่ะ เปิดตัวเมฆแล้วววววว ครบองค์ประชุมสักที5555555
ส่วนใครจะมองว่าน้องเป็นนายเอกเราไม่ปฏิเสธค่ะเมื่อน้องอยู่กับพี่พุธสุดเกรี้ยวกราด
แต่เมื่ออยู่กับเมฆน้องเป็นพระเอกนะคะ เป็นพระเอก!555555 
ส่วนคุณปลายกให้เป็นผู้ที่ละมุนละไมมาก อยากได้555555
และสุดท้ายฝากถึงพี่พุธคนชั่วไอ้การลักกินแอบกินมันบาปรู้มั้ย ! น้องต้องเป็นทีมดูต้นทางให้ตลอดเลย โธ่ !!!
:hao7: :hao7:


ปล.โปรดอย่าลืม

ถึงสนจะเป็นคนชอบกัดปาก เป็นคนดูกลัวๆ เป็นคนมึน ๆ อึน ๆ บ้าง แต่ให้คิดสภาพตามนะคะ น้องเป็นลูกครึ่ง สูงปรี๊ดดดด หุ่นบางๆ ผิวขาวๆ ผมสีอ่อนๆ แซ่บมากค่ะ ไม่เหมาะที่เป็นเป็นหลัวของใคร เหมาะที่จะเป็นหลัวของเรามาก เหมาะที่จะเอาไปเลี้ยงดูปูเสื่อ 5555

ปล.สุดท้ายแบบท้ายสุด เรื่องนี้ถึงน้องสนจะดูเป็นคนใสๆ แต่ข้างในน้องผ่านมาหลายเหมียแล้วนะคะ ประวัติโชกโชน 555555555

สุดท้ายแล้วน้องสนจะเลือกใครก็แล้วแต่ใจบางๆของน้องนะ แต่ตอนนี้เชิญสับสนไปก่อน555555555555

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2017 13:41:56 โดย ไอแอมเดอะแฟต »

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ►สับสนในรัก◄8 UP! | (6/7/17)
«ตอบ #22 เมื่อ06-07-2017 13:27:33 »

อ้าวผู้มีอำนาจนิหว่าเจ้าของรถแมวเซา

ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ►สับสนในรัก◄9 UP! | (7/7/17)
«ตอบ #23 เมื่อ07-07-2017 12:36:40 »

9



รถแมวเซาสีดำมันปลาบเหมือนสีนัยน์ตาของเจ้าของมันจอดอยู่ที่ลานจอดรถจุดเดียวกันกับที่เจ้าของมันส่งให้ผมลงเมื่อเช้านี้ กระจกของรถคันนั้นค่อย ๆ ลดลงต่ำจนเห็นคนสวมแว่นแบบปรับแสงอัตโนมัติที่นั่งอยู่ด้านใน เขาถอดเสื้อสูทตัวที่สวมเมื่อเช้าออก เห็นเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวที่ถูกพับขึ้นจนถึงครึ่งแขน

ผมเดินไปยังจุดจอดรถ ก้มมองเขาผ่านกระจกที่ติดฟิล์มมืด คุณปลากดปลดล็อคประตู ผมจึงเปิดประตูออก ค้อมตัวลงและดันร่างตัวเองเข้าไปในรถ ค่อย ๆ นั่งลงบนเบาะหนังกลิ่นใหม่เอี่ยม วางกระเป๋าไว้บนตักแล้วปิดประตูรถเบา ๆ

คุณปลาหันมามองผมครู่หนึ่งแล้วหันไปสนใจถนนต่อ เขาดึงเบรกมือลงและค่อย ๆ เหยียบคันเร่ง

“คนที่มองตามหลังนี่ใครเหรอ”

“ครับ ?” ผมถามขึ้นอย่างแปลกใจที่จู่ ๆ คุณปลาก็ถามคำถามแปลก ๆ ขึ้นมา เมื่อครู่เผลอนึกถึงเรื่องตอนบ่ายที่ผมจะโทรนัดเวลาคุณปลา แต่ดันกดโทรออกเบอร์ของพี่พุธ

คุณปลายักไหล่

“เด็กคนนั้นตามออกมาตั้งแต่หน้าโรงเรียนแล้วไม่ใช่เหรอ...มองกระจกข้างสิ ตอนนี้ก็ยังยืนมองอยู่เลย เราลืมของไว้กับเพื่อนหรือเปล่า  ?”

คุณปลาถามต่อคล้ายจะให้ความสนใจกับคนที่อยู่ข้างหลังรถ

เพื่อนเหรอ...? ผมคิดอย่างแปลกใจ

ผมจะมีเพื่อนคนไหนนอกจากมีตาที่สนิทกันมาตั้งแต่สมัยประถม และมีตาไม่มีทางมายืนส่งผมที่หน้าโรงเรียนแน่ เพราะเราเพิ่งโบกมือลากันหลังจากที่เลิกคาบวิทยาศาสตร์ทั่วไป

ผมมองผ่านกระจกส่องข้างอย่างไม่แน่ใจนัก เห็นร่างสูงที่อยู่ในชุดเครื่องแบบนักเรียน เส้นผมสีอัลมอนด์และสะพายกระเป๋าสีน้ำตาลอ่อนที่ภายในบรรจุกีตาร์ ดูสะดุดตาและคุ้นเคย

เมฆ...?

เมฆอย่างงั้นเหรอ...?

ทำไมเมฆถึงได้เดินตามผมออกมา...?

คำถามมากมายผุดขึ้นมาจนอัดแน่นพื้นที่ภายในหัว ผมมองที่กระจกส่องข้างอีกรอบก็มั่นใจว่าเขาอยู่ที่เดิม จนกระทั่งรถเลี้ยวพ้นมุมถนน เมฆจึงหายไปจากมุมสายตาของผม คุณปลาบอกว่าเห็นเมฆเดินตามผมออกมาตั้งแต่ในโรงเรียนแล้ว

ทำไมผมไม่รู้ตัวเลยล่ะว่าเมฆเดินตาม...

เมฆจะเดินตามผมไปเพื่อจุดหมายอะไร

หรือว่าเขาสงสัยที่พี่พุธโทรไปหาลุงปิติพ่อของเขา

“คนรู้จักเหรอ ?” คุณปลาคงเห็นว่าผมนั่งนิ่งจนเกินไปจึงถามออกมา

“ครับ...? อ้อครับ อยู่ชั้นเดียวกันแต่คนละห้อง บางวิชาเคยเรียนคลาสรวมด้วยกันครับ” ผมบอกเขาไปตามตรง เพียงแค่พูดความจริงออกไปไม่หมด

“หรือว่าเราลืมของไว้จริง ๆ ให้พี่ย้อนกลับไปไหม ?”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ” ผมส่ายหน้า

“หรือว่าตามจีบเรา...? ให้พี่ลงไปต่อยไหม จะได้ไม่กล้าตามมาอีก ?” คิ้วคุณปลามุ่นเข้าหากันอย่างที่ชอบทำเวลามีคำถามหรือไม่พอใจ เขาส่องกระจกหลังไปพลางสลับกับมองหน้าผมไปพลาง “อาจจะเป็นโรคจิตแอบตามเรามาก็ได้ ไม่ให้พี่ลงไปต่อยแน่นะ”

ผมรีบส่ายหน้า กลัวว่าคุณปลาจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ

“ไม่ได้ตามจีบหรอกครับคุณปลา” สารภาพตามตรงว่าถ้าหากต่อยกันจริง ๆ แล้วคุณปลาจะเป็นฝ่ายม่อยกระรอกเสียมากกว่า ดูท่าทางเหมือนคนไม่ค่อยออกกำลังหรือใช้แรงกายมากนัก

คุณปลาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ “ไม่มีอะไรจริง ๆ นะ”

ผมโคลงหัวอย่างจนใจ “ไม่มีอะไรจริง ๆ ครับ”

“แน่นะ” เขาขมวดคิ้วถามเสียงเย็น

ผมพยักหน้าหงึกหงัก “แน่ครับ”

คุณปลาพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ คิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่ตลอดเวลาค่อย ๆ คลายออก

“ค่อยยังชั่ว” มุมปากของคุณปลายกขึ้นเล็กน้อย  ใบหน้าดูโล่งอกปนผ่อนคลายนั้นระบายยิ้มบาง ๆ ออกมา เขาใช้ฝ่ามือหนัก ๆ วางแปะบนหัวผมแล้วโยกเบา ๆ “ค่อยยังชั่วหน่อย”

เขาค่อยยังชั่ว แต่ผมนี่ท่าจะแย่ หัวใจเต้นรัวไม่หยุดเลย...

เขาทำให้ผมคิด แต่ผมไม่อยากจะคิด เพราะมันช่วงเวลาที่รู้จักกันสั้นมันมากเกินไปที่จะรู้สึกแบบนั้น

และผมไม่อยากตีความหมายของคำว่าสงสารของเขาให้กลายเป็นอย่างอื่น เพราะสุดท้ายคนที่จะเจ็บก็คือผม ไม่ใช่เขา...

ไอ้ความรู้สึกแบบนี้ ผมไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นมาเลย

ไม่ว่าจะเกิดขึ้นมากี่ครั้ง ก็ยังรู้สึกทรมานอยู่ดี...


OOOOOO


ชายหนุ่มผิวขาวค่อย ๆ แนบแผ่นหลังกับผนังห้องสตูเก็บเสียง แผ่นหลังของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เสื้อกล้ามสีดำที่สวมอยู่โชว์รูปร่างกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อซึ่งต่างจากปกติที่ถูกปกปิดไว้ใต้ชุดนักเรียนสีขาว เสียงรองเท้าที่เดินย่ำเข้ามาของเด็กสาวคนหนึ่ง ทำให้ดวงตาสีอ่อนเหลือบขึ้นมอง

‘ต้นเหตุ’

สนเคยพูดออกมาแบบนั้นก่อนที่พวกเขาจะไปสู่เหตุการณ์ที่มองหน้ากันแทบไม่ติด

‘เพลงไทย’ เป็นเด็กสาวร่างเล็กตัดผมซอยสั้นท่าทางทะมัดทะแมง คิ้วเฉียง ดวงตาเป็นประกายสดใสและจมูกเชิดรั้นขึ้นอย่างเอาแต่ใจ เธอเป็นนักร้องนำของวงดนตรีที่พวกเขาร่วมกันจัดตั้งขึ้นภายใต้ชื่อวง ‘เรดแรนกัม’

แรกเริ่มเมฆแค่มาดูไอ้ฟ้าเล่นเบส แต่เพราะมันชักชวนจึงเข้าวงมาเล่นกีตาร์ด้วย หลังจากนั้นก็โคฟเวอร์เพลงไทยและสากลแบบเรียบเรียงคำร้องและทำนองใหม่อัพโหลดลงยูทูป

ยอดวิวค่อยๆกระเตื้องจากหลักพันเข้าสู่หลักหมื่นและเข้าสู่หลักแสนต้นๆในคลิปหลัง ๆ ถึงแม้ยอดวิวจะไม่ปังทะลุเหมือนคลิปรีวิวสินค้าจากเกาหลี หรือคลิปชิงรางวัลแจกทองอะไรเทือกนี้ แต่พวกเมฆก็ภูมิใจในยอดวิวของที่กระเตื้องขึ้นไม่มีหยุด

แต่หลาย ๆ คนก็พูดขึ้นมาว่ายอดวิวเป็นเพราะหน้าตาของเมฆด้วยส่วนหนึ่ง เขารู้ตัวว่าค่อนข้างดังในสังคมโซเชียลเพราะมักจะมีคนเอารูปเขาไปปล่อยตามเพจและไอจีต่างๆ ทั้งรูปเดี่ยวเขา และรูปที่ถ่ายคู่กับสน จะเรียกว่าแฟนคลับก็ค่อนข้างอายปาก เรียกว่าคนติดตามน่าจะถูกมากกว่า 

นั่นไม่ได้ทำให้เขาสบายใจเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ายอดวิวที่ได้มาเป็นเพราะคนแห่ดูหน้าตาเขาซึ่งมักได้รับบทพระเอกเอ็มวีมากกว่าที่จะชื่นชมเสียงร้องหรือเสียงดนตรี  เมฆจึงมักจะนัดกลุ่มรวมตัวกันซ้อมดนตรีอยู่บ่อย ๆ เพื่อให้เรื่องฝีมือโดดเด่นกว่าเรื่องรูปลักษณ์

แม้เมฆและเพื่อนร่วมวงมาจากคนละโรงเรียนกัน แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาในการนัดซ้อม เขากับไอ้ฟ้าซึ่งเป็นมือกีตาร์และมือเบสเรียนนานาชาติ เพลงไทยนักร้องนำเรียนย่านประสานมิตร ไอ้บอสมือกลองเรียนแถวสยาม พี่แต้มขึ้นปีสองคณะวิทยามหาลัยแถวสามย่าน พวกเขาเจอกันที่สถาบันติวแห่งหนึ่ง

“แป๊บซี่กับโค้กพี่จะเอาไร” คนตัวเล็กถามเสียงห้วน

“ขอยาคลายเครียดสักสองเม็ดก็พอ” เมฆใช้ผ้าขนหนูเล็ก ๆ ที่พาดบ่าซับเหงื่อออกจากไรผม นึกถึงตอนที่ใครอีกคนค่อย ๆ ใช้ยางรัฐบาลมัดผมให้เขาเพราะกลัวว่ายางจะกินผม

แต่เพลงไทยกลับหัวเราะขึ้นจมูก เธอโยนน้ำอัดลมกระป๋องสีน้ำเงินมาให้เขาที่รับแทบจะไม่ทัน “พี่รีบกินเถอะจะได้รีบกลับมาซ้อมต่อ พี่แต้มกับพี่ฟ้าออกไปซื้อสุกี้แห้งเดี๋ยวก็กลับมา”

“ไม่เป็นไร นี่จะเริ่มซ้อมต่อละ”

“พี่นั่งพักเหอะ แล้วก็เลิกหงอยได้แล้ว ฝีมือมันจะห่วยลงทุกวันก็เพราะมัวแต่เหม่อนี่แหละ งี้แผนเรียกยอดวิวก็ไม่มีประโยชน์ดิ”
เมฆหัวเราะในลำคอเงียบๆ “ไม่เห็นเกี่ยวกัน”

“ใคร ๆ ก็รู้ว่าเกี่ยวเถอะพี่ !” ไอ้บอสที่นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์พูดแทรกขึ้นมา

เมฆหลุบตาต่ำมองพื้น เปิดกระป๋องกินน้ำแป๊บซี่ เขาไม่ชอบเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ มีคนเคยห้ามเขาบ่อย ๆ หมอนั่นชอบบอกให้เขาเปลี่ยนไปกินนม หรือไม่ก็น้ำเปล่าแทนทุกที บอกว่ากินน้ำอัดลมเดี๋ยวลงพุงบ้าง เดี๋ยวกัดกระเพาะบ้างเพราะเขาชอบกินตอนท้องว่าง

...แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว...

เขาแอบผิดสัญญาบ้างจะเป็นอะไรไป กินๆให้มันกัดกะเพราะทะลุตายๆไปเถอะ

 “อย่างที่ไอ้บอสมันว่าอะพี่ พี่เพลา ๆ เรื่องซ้อมลงบ้างเหอะ ตั้งแต่เลิกกับพี่สนไป พี่ก็ซ้อมหนักเหมือนจะตายให้ได้ทุกวัน ไม่ใช่ว่าเพลงอยากอู้นะ เพลงมาซ้อมทุกวันได้ แต่เพลงเป็นห่วง”

“ตายที่ไหนวะเพลง นี่พี่แข็งแรงดีหรอก มีกิ๊กทีเดียวพร้อมกันสี่คนยังได้ ให้มากสุดห้าคนต่อยก คืนนึงกี่ครั้งก็ว่าไป” เมฆสวนกลับไปโดยไม่มองหน้า

คนผมสั้นแหวลั่นด้วยใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ “ก็ไม่ได้บอกว่าตายโว้ยไอ้พี่ ! ห้ายกต่อคืนอะไรกัน ว้อทททท เพลงแค่บอกว่าเหมือนจะตาย ! แค่เหมือนจะตาย ไม่เกี่ยวกับห้ายกเลยพี่ไอ้กวนประสาทนี่ !”

เมฆหัวเราะในลำคอตอบกลับ ทำเอาผู้หญิงคนเดียวของวงแทบหัวหมุน ทั้งสงสารที่พี่มันหงอย ทั้งหงุดหงิดในความกวนเส้น สุดท้ายเพลงไทยก็อดไม่ได้ โพล่งออกไปด้วยความโมโหที่มือเบสหน้าหล่อไม่จัดการอะไรกับตัวเองเลยนอกจากเล่นดนตรีระบายอารมณ์

“เพลงจะบอกอะไรให้นะพี่เมฆ ถ้าพี่ยังชอบพี่อยู่พี่ก็ทักไปดิ พี่ก็เข้าไปคุยด้วยดิ พี่มานั่งอมทุกข์ที่นี่แล้วมันจะได้แฟนกลับคืนมาไหมอะ พี่สนยิ่งหล่อๆอยู่ด้วยพี่ระวังไว้เหอะ หล่อยาวขาวดีงานเจียขนาดนั้นคนเขาต่อคิวรอเสียบเพียบ ! ถ้าพี่เลิกหลบหน้าป่านนี้ก็กลับมาคืนดีกันนานแล้วเชื่อเถอะ”

เมฆได้ยินคำชมสนจากปากเพลงไทยถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่น ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าสนดูดีแค่ไหน ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่ามีใครหลายคนดีใจแค่ไหนที่เขาหลบหน้าสน

สนเป็นคนดูดีมาก แม้ร่างกายจะไม่ได้เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแต่ก็ตัวสูง ไม่ได้ชอบเล่นกีฬาแต่ว่าทุกกิจกรรมที่โรงเรียนจัดวิชาเลือกไว้ให้ก็ทำได้อย่างดี ทั้งบาส ทั้งว่ายน้ำ ขอให้เป็นกีฬาในร่มสนถนัดหมด และมีอีกอย่างที่คนอื่นไม่ค่อยรู้กันนั่นก็คือสนชอบวาดรูป ชอบงานศิลปะแต่ฝีมือห่วยมาก คอยให้เขาช่วยแก้งานให้ตลอด

เขานึกถึงตอนที่สนมาขอร้องให้เขาไปเป็นแบบงานเขียนภาพสีน้ำมันให้ได้...

สนสวมผ้ากันเปื้อนสีดำเหมือนพนักงานร้านคอฟฟี่ช็อป ทุกครั้งที่ตวัดฝีแปรงลงบนเฟรมก็จะขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากแน่น ผมปรกดวงตาสีน้ำตาลอมเทาเล็กน้อยจนเขาอดใจไม่ได้ต้อมเอื้อมมือไปรวบผมให้ จากนั้นก็โดนไอ้คนตัวสูงดุที่นายแบบไม่อยู่นิ่ง

เขาจำได้ว่าไอ้การที่เขาแอบมองใบหน้าที่โดนแดดห้าโมงเย็นส่องหน้านั้นเขามีความสุขมากแค่ไหน แม้แต่ตอนนี้ก็ยังนึกแปลกใจว่าอะไรทำให้ผู้ชายที่ดูดีทุกอย่างแบบสนคบเขาเป็น ‘แฟนที่เป็นผู้ชาย’ คนแรกหลังจากที่ก่อนหน้าก็เอาแต่คบผู้หญิงมาตลอดได้

จำได้ว่าตอนนั้นเขามีความสุขมากแค่ไหน...

มากจนลืมที่จะให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย

“ก็ยังไม่ได้เลิก...”

ไม่มีใครบอกเลิก...แต่คล้ายจะรู้ว่าอะไร ๆ มันก็ไม่เหมือนแต่ก่อน เขากับสนเริ่มห่างกันตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ มันอาจจะถึงจุดอิ่มตัว...หรืออาจจะเกิดจากความไม่เข้าใจกัน

เพลงไทยได้ยินเขาตอบออกไปแบบนั้นก็ทำเสียงขึ้นจมูก เธอเท้าเอวของเขาด้วยใบหน้าหงุดหงิด

“ไม่ได้เลิกบ้านพี่สิ ! ถ้ายังคบกันอยู่พี่จะมีสภาพแบบนี้หรือเปล่าล่ะ”

“สภาพแบบไหนล่ะ ?” เมฆย้อนถาม สบตากับเพลงไทยนิ่ง ๆ

“ก็ไอ้สภาพที่ซ้อมเบสจนจะเป็นจะตายนี่ไง วัน ๆ นึงถ้าพี่ไม่ซ้อมจนดึก พี่ก็ออกไปเล่นกีฬา ใจลอย เหม่อ แล้วก็อะไรอีกนะ ใช่ ! พี่ไม่ร่าเริง พี่ดูเครียด แล้วก็ทำท่าเหมือนอยากจะหายไปจากโลกนี้ด้วย จะให้ไม่เหมือนคนตายยังไงล่ะ !”

ก็ไม่นึกด้วยว่า...เพลงไทยจะสนใจว่าวันนึง ๆ เขาจะทำอะไรบ้างมากมายขนาดนี้

“พี่จะเป็นยังไงก็ช่างพี่เหอะ เพลงไม่ต้องใส่ใจอะไรมากหรอก”

เมฆดันตัวลุกขึ้นยืน เขาเดินเอากระป๋องน้ำอัดลมที่ยังเหลือน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งไปทิ้งลงถังขยะข้างนอกห้องซ้อม แต่เพลงไทยวิ่งตามออกมา เธอดึงแขนเขาไว้ ใบหน้าแก่นเซี้ยวดูบูดบึ้งกว่าทุกที

“จะช่างได้ยังไงอะไอ้พี่บ้านี่ ! คนเป็นห่วงแล้วยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก เป็นบ้าอะไรอะ เมนส์ไม่มาเหรอ แล้วทำไมต้องทำหน้าไม่พอใจใส่เพลงด้วย นี่น้องนุ่งเป็นห่วงนะพี่ ทำไมชอบหนีเวลาพูดอยู่เรื่อยเลย !" 

“แล้วเพลงจะมาวุ่นวายกับพี่ทำไมล่ะ...” เมฆไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเผลอทำหน้าแบบนั้นใส่เพลงไทยไปตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่เพิ่งฉุกคิดได้ว่า สนเคยพูดไว้ว่า ‘ถ้าเราเลิกกันก็เพราะว่าเพลงกับเมฆนั่นแหละ’ ล่ะมั้ง...

“ก็พี่สนบอกว่าเพลงเป็นต้นเหตุไม่ใช่รึไง ถ้าเพลงทำให้พวกพี่เลิกกัน เพลงไม่ห่วงน่ะสิแปลก”

เมฆหัวเราะ ย้อนกลับเพลงไทยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“แล้วเพลงคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้นหรือเปล่าล่ะ”

“...”

“....”

“...”

งั้นก็ใช่จริง ๆ ด้วยสินะ

เมฆหัวเราะออกมาเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดีเมื่อคนเพลงไทยสะอึกและเงียบไป เพียงเท่านั้นเขาก็รู้แล้ว

เขาน่าจะรู้มาโดยตลอดแต่ก็มองข้ามไป คิดว่ามันไม่สำคัญ คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ 

คนที่น่าหงุดหงิดที่สุดก็คงไม่พ้นตัวเขาเองที่มันไม่รู้อะไรบ้างเลย

เมฆโยนกระป๋องน้ำอัดลมลงถังขยะ ปากกระป๋องกระแทกขอบทำให้หล่นลงพื้นและกลิ้งไปตามพื้นปูนขัดมันเหมือนลูกกลิ้ง กลิ้งไปกระทบผนังและหยุดกึก น้ำสีเข้มไหลออกจากปากกระป๋อง

เมฆมองตามแต่ไม่ใส่ใจ เขาเดินไปหยิบกระเป๋ากีตาร์สีน้ำตาลขึ้นมาสะพายบ่า ไอ้บอสร้องทักว่าว่าจะรีบไปไหนแต่เมฆไม่ตอบ เพลงไทยรีบวิ่งมาหาเขา เธอยื้อแขนเขาไว้ราวกับต้องการรั้งให้อยู่ที่นี่ต่อ

“พี่กำลังเข้าใจเพลงผิดนะ พี่จะไปไหน เพลงไม่ให้พี่ไปนะ !” เมฆสะบัดมือเพลงไทยออก เขามองเธอด้วยสายตาเย็นชา มันว่างเปล่าจนเขาแทบจะมองไม่เห็นเพลงไทยอยู่ในสายตาอีกต่อไป อยากจะลบทุกอย่างให้ออกไปจนเกลี้ยง “เดี๋ยวสิพี่เมฆ !”

เมฆไม่สนใจเสียงร้องชวนหนวกหูของเพลงไทย เขาผลักประตูห้องซ้อมออกแล้วสาวเท้าเดินออกไป

เพลงไทยวิ่งตามหลังมาแต่เขาไม่สนใจ เธอวิ่งมากอดรั้งเขาไว้แล้วซุกหน้าลงกับแผ่นหลัง

เสียงของเด็กสาวสั่นเครือและเริ่มสะอื้นไห้

“ขอโทษ เพลงไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้...เพลงขอโทษ”

“ปล่อย...”

“พี่...เพลงขอโทษ เพลงขอโทษ เพลงก็แค่ชอบพี่ ขอแค่ชอบ...ไม่ได้อยากให้พวกพี่เลิกกันเลยนะ ฮือ เพลงขอแค่ชอบ ไม่ได้ต้องการอะไรเลย”

ดวงตาสีอ่อนเงยหน้าขึ้นมองเพดานทางเดินที่ทอดตัวยาวไปข้างหน้า หลอดไฟส่องแสงจนตาพร่ามัว

“...พี่รู้”

เพราะทุกอย่างมันอีรุงตุงนัง ใจเขาเลยว้าวุ่นไม่สงบ ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวบ้า ๆ มันเริ่มขึ้นตอนไหน

อาจจะเริ่มตั้งแต่ท่าทางของเขาที่ใจดีกับเพื่อนร่วมวงมากจนเกินไปจึงทำให้ใครบางคนคิดเลยเถิด

หรือบางทีอาจจะตั้งแต่ตอนที่เขาให้ความสนใจวงมากกว่าสนใจคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ได้...

เขาถึงได้เสียสนไป และไม่มีทางได้หมอนั่นกลับมาคืน...

แล้วเขาควรทำยังไงดี...ในเมื่อตอนนี้เขาไม่สามารถตัดใจจากสนได้เลย

เมฆรอจนกระทั่งพี่แต้มกับไอ้ฟ้าโผล่หัวเข้ามา เขาบอกให้ไอ้ฟ้าไปส่งที่บ้าน ไม่รอมันตอบอะไรเมฆก็ล้วงกุญแจรถจากกระเป๋ากางเกงมันแล้วเดินออกจากห้องซ้อม เดินนำลิ่วไปไม่รออะไร จนกระทั่งเดินออกมาข้างนอก ถึงได้เห็นไอ้ฟ้าวิ่งกระหืดกระหอบตามมา

“มึงจะรีบไปไหน ข้าวก็เพิ่งซื้อมา” มันว่า หน้าตาคล้ายกับเมฆหลาย ต่างก็แค่มันมีดวงตาตี่ๆที่ชี้ขึ้นสูง มันผมสีดำเพราะไม่ได้ย้อม ตัวมันสูงกว่า แล้วก็มีขี้แมลงวันขึ้นกลางหน้าผากแต่ว่าเป็นจุดเล็ก ๆ

มันไม่ใช่ฝาแฝดแต่ว่าเป็นพี่แท้ ๆ อายุมากกว่าเมฆสองปี แต่มันเกเรก็เลยได้เรียนพร้อมกัน

“กูจะกลับบ้าน” เมฆตอบ ไม่มองหน้าพี่

“แต่เพื่อนเขาซ้อมกันอยู่นะเว้ย มึงจะหนีกลับทำไม”

เมฆมองคนตัวสูงที่ใบหน้าคล้ายคลึงกับเขา “ไปส่งกูหน่อย”

“แต่ยังซ้อมไม่เสร็จ” อีกฝ่ายแย้ง

“ไปส่งกูหน่อย” เขาทวนประโยคเดิมซ้ำอีกรอบ ไม่อยากอยู่ต่อ กลัวว่าถ้าเขาอยู่ที่นี่นานกว่านี้อาจเป็นเขาเองที่คลั่งอาละวาด

“เออ เดี๋ยวกูไปส่ง มึงเข้าไปกินข้าวก่อน กูซื้อกะเพราหมูกรอบของโปรดมึงมาด้วย”

มันพยายามหลอกล่อให้เมฆกลับเข้าไปคืน

“กูสั่งพิเศษให้มึงด้วยนะ ไม่ใส่ถั่วด้วย ป้าแม่งเผลอใส่แต่กูบอกให้เอาออกให้ละ เมนูเรื่องมากของมึงอะ”

แต่เมฆก็ยังคงยืนยันคำตอบเดิม

“มึงไปส่งกูหน่อย”

มันยกนิ้วกลางใส่เมฆทั้งสองข้าง ยกต่อกันเรียงเป็นกำแพงเมืองจีน “ไอ้น้องเวรนี่ ! ”

“มึงจะไม่ไปส่งใช่ไหม งั้นกูเรียกแท็กซี่กลับ”

ไอ้ฟ้าถอนหายใจ มันไม่ชอบให้เมฆนั่งรถแท็กซี่กลับคนเดียวตอนกลางคืน มันยกมือขึ้นยอมแพ้ บอกว่าเดี๋ยวกูกลับมา ไปเอาของก่อน แล้วมันก็เปิดประตูรถ ยัดเมฆเข้าไปนั่งเบาะข้างคนขับ แล้วก็วิ่งกลับเข้าไปในตึกพาณิชย์

รอไม่ถึงสามนาที มันก็วิ่งกลับมา เข้าประจำที่คนขับเพราะว่ามันทำใบขับขี่แล้ว ส่วนเมฆยังอายุไม่ถึงสิบแปด

“เพลงร้องไห้” มันพูดขึ้นมาหลังจากที่ออกรถแล้ว

“กูรู้”

เมฆเสมองออกนอกกระจกรถ มองการจราจรที่เริ่มติดขัด เสียงบีบแตร เสียงเพลงจากวิทยุ เสียงแอร์ มันถูกดูดหายเข้าไปในหลุมดำของความรู้สึก มันว่างเปล่าเหมือนยืนอยู่ปากถ้ำหลุมดำขนาดมหึมา

“เพลงชอบกู…” เขาพูดขึ้นแบบไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดลงท้าย

ฟ้าลดเสียงเพลงจากคลื่นวิทยุฮอตฮิตลง

“ใคร ๆ ก็รู้”

“อ้อ มีแค่กูที่ไม่รู้” เมฆหัวเราะในลำคอ

“แล้วมึงจะเอาไง”

“แล้วกูต้องเอาไง…ต่อให้กูรู้มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร” มันแค่ทำให้เขารู้ ว่าที่ผ่านมาสนคิดถูกมาตลอด มีแค่เขาที่เป็นไอ้หน้าโง่ไม่หัดสังเกตุความรู้สึกคนรอบข้าง เขาความรู้สึกช้า ถ้าไม่บอกว่าชอบตรง ๆ ก็คงไม่รู้

แต่สนพิเศษกว่านั้น สนไม่ได้บอกให้เขารู้ว่าสนชอบเขา แต่เขาเป็นฝ่ายที่ชอบสนก่อน

ใครชอบกว่าคนนั้นแพ้ เคยได้ยินกันบ่อย ๆ ใช่ไหมล่ะ...

ถ้าชีวิตจริงคือเกม เขาแพ้หมดรูปในเกมนี้

“ในเมื่อมึงเองก็รู้ แล้วมึงจะเอาไง ปล่อยไว้เงียบ ๆ แบบนี้ หรือว่าจะจัดการให้มันจบ ๆ …”

“จัดการให้จบ ๆ คืออะไร…ให้กูออกจากวงเพราะทนไม่ได้ที่เห็นเพลง ? หรือให้กูออกจากวงเพราะเห็นเพลงแล้วกูจะนึกเห็นภาพเหี้ย ๆ ของกูที่ทำกับเขาตอนนั้น ?”

ฟ้าส่ายหน้าช้าๆอย่างจนใจ

“กูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”

“แล้วมึงคิดว่ากูควรทำไง…” เขาถาม มองใบหน้าด้านข้างของฟ้าเงียบ ๆ 

มันนิ่ง ไม่ปริปากพูดอะไรอยู่นาน เพลงจากรายการวิทยุจบไปแล้วสองเพลง กำลังจะขึ้นเพลงที่สามมันถึงอ้าปากพูด

“มึงอยู่วงต่อ…ถ้ามึงออก กูก็ออก..แต่กูไม่อยากออก…เชี่ย ๆ ๆ  ๆ ไอ้เวรตะไล! อาม่ามึงซื้อใบขับขี่ให้มึงเหรอวะ เดี๋ยวให้พ่อกูแจกใบดำให้!!”

มันบีบแตรดังปี๊นยาว ๆ ใส่รถยนต์ที่จู่ ๆ ก็ขับปาดตัดหน้า ยกคำสบถด่าพ่อล่อแม่ขึ้นมาด่าอีกหลายคำ ไม่รู้ว่าคิดจะด่าให้เทวดาบนสวรรค์ชั้นฟ้าได้ยินหรือยังไงเพราะแหกปากไม่ยอมหยุด ไอ้รถคนที่ปาดก็เลี้ยวหายไปในดงจราจรแล้ว

“เมื่อกี้กูพูดถึงตรงไหนนะ มึงได้ฟังที่กูพูดหรือเปล่า”

มันหันมาหาเมฆแวบหนึ่งแล้วตั้งใจขับรถต่อ

“กูไม่งี่เง่าขนาดนั้น” เมฆหัวเราะในลำคอ เป็นเเสียงหัวเราะที่ไร้อารมณ์ “กูกับมึงทำวงมาด้วยกันตั้งนาน กูไม่เอาเรื่องนั้นมาเป็นปัญหาหรอก”

“แต่มึงกับเพลงก็ต้องอยู่กันอีกนาน กูกลัวพวกมึงมองหน้ากันไม่ติด มึงจะเอาไง จบ ๆ ไปเลย หรือว่าปล่อย”

 “กูก็ไม่รู้…ตอนนี้กูคิดอะไรไม่ออก…”เมฆมองตึกมองอาคารไปเรื่อย “ทุกครั้้งที่กูยังไปซ้อมได้ก็เพราะว่ากูเคยมีช่วงเวลาดี ๆ กับสนที่นั่น…”

“...”

“กูยังจำได้ว่าสนชอบนั่งเก้าอี้ตัวไหน…กูจำได้ว่าสนจะนั่งมองกูท่าไหน…กูจำได้ว่าเวลาสนมาสนจะซื้ออะไรมาฝากบ้าง ทุกครั้งต้องมีน้ำเต้าหู้กับเบนโตะซึ่งกูไม่รู้ว่าทำไม”

เมฆหัวเราะเสียงแหบพร่า ที่หัวใจรู้สึกเจ็บจนอยากจะร้องไห้

“จำได้ว่ากูจะยิ้มกว้างขนาดไหนเวลาที่เขาลูบหัวกูแล้วบอกว่ากูเก่งมาก กูจำได้ว่ากูดีใจแค่ไหนที่สนบอกว่าเขาภูมิใจในตัวกู กูจำได้หมด...”

“...”

“ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขากูจำได้หมด”

“…”

“มึง…กูไม่อยากให้มันจบ”

น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ

“กูยังรักสนอยู่...กูไม่อยากเสียเขาไป”

ไม่มีเสียงใด ๆ หลุดออกมาจากปากไอ้ฟ้า ทั้งรถเงียบ…

นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เมฆพูดก่อนที่น้ำตาจะไหลนองหน้า ล้นฝ่ามือที่เขายกขึ้นมาปิด…





 o8 o8

อาทิตย์หน้าเราเข้าหอนะคะ ที่มอน่าจะมีกิจกรรมเยอะ เยอะยาวๆไปเลยล่ะ55555
อาทิตย์นี้ก็เลยลงให้สองตอนนะคะ -.,- (จริงๆแล้วกลัวไม่ได้เปิดตัวเมฆ5555)
แล้วก็กราบขอบพระคุณทุกคนที่ยังอ่านมาถึงตรงนี้ได้5555 นึกว่าจะไม่มีคนอ่านซะอีก
ไว้เจอกันเมื่อที่หอมีเน็ตให้ใช้ค่ะ
 :sad4: :sad4:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2017 06:04:08 โดย ไอแอมเดอะแฟต »

ออฟไลน์ ijuney

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: ►สับสนในรัก◄9 UP! | (7/7/17)
«ตอบ #24 เมื่อ07-07-2017 22:22:58 »

ตอนนี้เชียร์ไม่ถูกละ แต่ปักหลักพี่ปลาเหมือนเดิม อยากเห็นเค้าสวีทกานนน

ออฟไลน์ farhhhh

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ►สับสนในรัก◄9 UP! | (7/7/17)
«ตอบ #25 เมื่อ09-07-2017 18:04:46 »

ไม่รู้จะเชียร์ใครดีระหว่าง พี่ปลา กับเมฆ
ไม่เชียร์พุธแน่ๆ ไม่ชอบคนสไตล์บ้าบอ ดูควบคุมตัวเองไม่ได้ น่ากลัวนะคนแบบนี้

ออฟไลน์ ijuney

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: ►สับสนในรัก◄9 UP! | (7/7/17)
«ตอบ #26 เมื่อ22-07-2017 15:10:30 »

หายไปไหนแล้ว อยากอ่านต่ออออ

ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ►สับสนในรัก◄10 UP! | (27/7/17)
«ตอบ #27 เมื่อ27-07-2017 05:43:58 »

10


ข้อควรรู้อย่าหนึ่งเกี่ยวกับคุณปลาข้อแรกคือ นอกจากเวลาทำงานแล้วคุณปลาเป็นคนแต่งตัวง่าย ๆ ...

เขาสวมเสื้อสีกรมท่าคอกลมธรรมดา สวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อหนาแบบแบะอกติดกระดุม กางเกงยีนสีเข้ม และถุงเท้าธรรมดาเรียบ ๆ ไม่เหลือมาดพนักงานบริษัทสุดเท่เหมือนที่เคยเห็น เขาค่อนข้างเป็นคนตามเทรนด์ แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของคำว่าสุภาพและดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ได้วัยรุ่นจ๋าใส่เสื้อลายหมูดูดกัญสนกับกางเกงยีนขาด ๆ เซอร์ ๆ

วันนี้วันอาทิตย์ คุณปลาชวนผมออกมาเที่ยวที่ศูนย์การค้าแถว BTS แห่งหนึ่ง หลังจากที่เมื่อวานอากาศหนาวทั้งวันผมกับคุณปลาก็เลยนั่งคุดคู้เปิดPrission Break ดูแก้เบื่อกันไป ไม่อยากจะขยับออกไปไหน แม้แต่อาหารก็ยังสั่งเดลิเวอร์รี่จากร้านใกล้คอนโดขึ้นมากิน

ผมอาศัยอยู่ที่คอนโดของเขาได้สี่วันแล้วถ้านับวันพฤหัสบดีเป็นวันแรก มันค่อนข้างนานสำหรับคนแปลกหน้า แต่คุณปลาบอกว่าไม่ต้องคิดมาก เขาจะช่วยผมให้ถึงที่สุดจริง ๆ และบอกต่อว่าให้ผมอยู่ต่อไปนานเท่าที่ผมอยากอยู่ เพราะเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการช่วยเหลือผม

“ห้องตั้งออกจะกว้าง มีที่ว่างเหลือเฟือให้เรา”
 
“...”

“เราอยู่น่ะดีแล้ว”

“...”

“ห้องจะได้ไม่เงียบจนเกินไป...พี่ไม่ชอบ”

จากที่ผมสังเกตมาตลอดหลายวันนี้คุณปลาดูเป็นคนขี้เหงา ก่อนหน้านั้นเขามักจะแวะไปซื้อหมูปิ้งให้หมาจรจัดในสวนสาธารณะ แต่พอผมมาเขาก็ไม่ได้ออกไปไหนคล้ายกับลืมมันไปหรือไม่ก็ได้ที่พึ่งใหม่ของเขาแล้ว อย่างหลังผมแค่คิดตลกเข้าข้างตัวเองเล่น ๆ

เขาอาจจะแค่คิดว่ากำลังรับเลี้ยงแมวตัวเล็ก ๆ ที่กำลังหลงทางอยู่ และเขาต้องดูแลให้ดีที่สุด ไม่งั้นมันอาจจะตายได้หากไม่มีใครพามันกลับบ้าน หนีออกจากสวนสาธารณะที่หนาวยะเยือก

“สามสิบหกบาทครับ”

“อ๊ะ ! ครับ ๆ ” ผมคล้ายถูกถีบให้ตกน้ำจนหลุดออกจากห้วงภวังค์ รับไอศกรีมชาเขียวสองกรวยมาจากพนักงานขาย คุณปลาจ่ายเงินและรอรับเงินทอนอยู่หน้าเคาน์เตอร์

ผมรบเร้าเขาอยู่นานกว่าจะได้กินเพราะเขากลัวว่าผมจะเป็นหวัด แต่วันนี้อากาศค่อนข้างร้อนกว่าเมื่อวานจนแทบจะเรียกได้ว่าอากาศปกติของประเทศไทย คุณปลาจึงยอม ๆ ให้ผมกิน และสั่งให้ตัวเองอีกอันหนึ่งแต่เป็นรสออริจินอลธรรมดา

“ทำไมวัยรุ่นชอบกินอะไรเย็น ๆ ทั้ง ๆ ที่อากาศหนาว” เห็นเขาพูดอกมาแบบนั้นแต่ฟันคู่หน้ากำลังกัดด้านบนยอดไอศกรีมเข้าปาก

“ถ้าหนาวก็ต้องใช้หนาวข่มครับ” ผมตอบ เดินมองดูรองเท้ากีฬาที่จัดวางบนชั้น

“พี่ไม่ยักเคยได้ยิน” คุณปลากวาดตามองครู่หนึ่งแล้วก็ลากผมออกมา บอกว่าจะพาเดินไปดูหนังสือทำอาหารที่ชั้นสาม
ผมก้าวขายาว ๆ เพื่อให้เดินให้ทันคุณปลาที่ตอนนี้ยืนอยู่บนบันใดเลื่อนแล้ว ผมก้าวเท้าเพื่อขยับไปขั้นบันใดเดียวกันกับคุณปลา

“แต่ถ้ากินไอศกรีมแล้วคุณปลายังหนาวอยู่ คุณปลาต้องแวะร้านบิงซูแก้หนาวด่วน ๆ เลยครับ ร้านนั้นเปิดใหม่ แฟรนไชส์จากเกาหลี”

ผมชี้ลงไปที่ร้านบิงซูเกาหลีที่อยู่ชั้นล่าง วัยรุ่นเดินเข้าออกยั้วเยี้ย ราคาเข้าขั้นแพงแต่ก็พอรับได้ เหมาะสำหรับเดินเข้าไปเป็นแก๊ง สั่งมาหนึ่งถ้วยใหญ่ ถ่ายรูปชิค ๆ เช็คอินจบ

“ไม่ใช่ว่าเราอยากกินมากกว่าเหรอ” คุณปลาหยอก

“จะว่าใช่ก็ใช่ครับ” ผมหัวเราะ “ไว้วันหลังผมจะเลี้ยงจุดสามจุด”

“พี่แก่แล้วครับ ไม่สู้ แต่ถ้าให้ดูเรากินน่ะได้”

“ยี่สิบปลาย ๆ ไม่นับว่าแก่นะครับ กำลังพอดี” ผมยิ้ม “ไว้ผมทำใบขับขี่ก่อน จะพาคุณปลาไปเลี้ยง”

“กินเยอะ ๆ ระวังจะเอาหวัดมาติดพี่ล่ะ” เขาชี้มาที่ผ้าปิดปากของผม “ตัวแพร่เชื้อโรคชั้นดีเลยเราเนี่ย”

“จริง ๆ แล้วที่ผมใส่ผ้าปิดปากเพราะว่าผมแพ้กลิ่นต้นตีนเป็ดครับ ไม่ได้เป็นหวัด” ผมยักไหล่ “ถ้าได้กลิ่นนี่ผื่นก็จะขึ้นตามตัวยุบยับเหมือนนางอุทัยเทวี ปีก่อนผมแพ้หนักจนต้องลาหยุดเป็นอาทิตย์”

คุณปลาก้มหน้ามองผมด้วยใบหน้าขบขัน ดวงตาสีดำหลังกรอบแว่นคู่นั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดู “แต่ก็ดีนะ นางอุทัยเทวีลอกคราบมาแล้วก็สวย เราต้องเป็นนายอุทัยเทวาหรือเปล่า จะได้ลอกคราบออกมาหล่อ ๆ ”

ผมหัวเราะขึ้นจมูก “ขนาดไม่ลอกคราบสาว ๆ ก็หลงผมกันทั้งบางแล้วครับคุณ”

“บางไหนครับ บางคนน่ะเหรอ” เขาเลิกคิ้วขึ้นสูง ยกมือขึ้นปิดปาก มีเสียงหัวเราะเบา ๆ หลุดออกมา

แต่ผมไม่สนใจคำแซวของเขา ผมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

“บางเขนก็เคยมีครับ บางรัก บางซื่อ บางพลี บางโพ ก็ลอง ๆ มาหลายคนแล้ว เหลือแค่บางคนครับ ยังไม่เคย”

แอบมองคุณปลาที่หัวเราะเบา ๆ เขาแกล้งทำเป็นมองไปเรื่อย  จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง ‘บางคน’ เป็นเรื่องอื่น

“จะเอาให้ครบทุกเขตเลยเหรอเราน่ะ”

“ครับ เหลือแค่อ่อนนุชยังไม่ลอง” ผมแกล้งแหย่ต่อ อยากดูปฏิกิริยาว่าคนข้าง ๆ จะรู้สึกยังไงกับคำตอบ

ผมคิดว่าเขาจะยกมือขึ้นมาฟาดผมแบบที่มีตาชอบทำ แต่ผิดคาด เขายกมือขึ้นมาปิดปากที่สั่นระริกคล้ายกลั้นยิ้มไว้ 

“โม้หรือเปล่า หล่อสาธาณณะแบบนี้ ไม่เห็นมีคนโทรตามมาจิกเลยเนอะ”

ประโยคที่เขาพูดออกมา คล้ายจะเป็นคำถามลองเชิงอยู่บ้างไม่น้อย

ไม่เห็นมีคนโทรตามมาจิกเลยเนอะ ก็ไม่ต่างจากคำถาม มีแฟนแล้วหรือยัง หรอก

คำถามหนึ่งแบบอ้อมโลก คำถามหนึ่งแบบยิงเข้าประตูตรง ๆ

ผมจึงลองเชิงเขากลับ

 “ฮอตจนร้อนเลยล่ะครับ แต่ก็กลัวจะเสียโฉมเพราะโดนสาว ๆ ของคุณปลารุมทึ้งนี่แหละ สาว ๆ วัยทำงานเขาว่าเหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ เดิน ๆ อยู่โดนสาดน้ำกรดงี้ ผมก็กลัวนะครับ ” ผมแกล้งพูดติดตลก แต่ดวงตาไม่ได้ตลกตามไปด้วย ทุกถ้อยคำแฝงไปด้วยคำถามที่อยากรู้มาตลอด...เผื่อว่าเขาจะรู้ถึงความหมายแฝง

เผื่อเขาจะรู้ว่า ผมกลัวว่าตัวเองจะเข้าไปเป็นมือที่สาม...

คราวนี้คุณปลาเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง เขาค่อย ๆ หมุนโคนไอศกรีมแล้วละเลียดเนื้อสีขาวของมันช้า ๆ

“กลัวทำไม...พี่ไม่มีหรอก” เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานอย่างเชื่องช้า ใบหน้าไร้อารมณ์ราวกับว่าเขาไม่อยากนึกถึงช่วงเวลานั้น แต่ก็จำเป็นต้องคิด “อืม...ไม่สิ เคยมี แต่แยกกันอยู่แล้ว”

ถึงจะรู้คำตอบล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหน่วงขึ้นมาในอก

ถึงจะรู้อยู่แล้วว่า ด้วยวัยของคุณปลา ก็ต้องผ่านการมีแฟนมาบ้างไม่มากก็น้อย และผมเองก็ไม่ใช่ว่าประวัติจะขาวสะอาด
ก่อนที่ผมจะคบกับเมฆก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยคบกับใคร ผมควรเข้าใจว่าคุณปลาเองก็ต้องมีมาก่อน แต่...มันก็ชวนให้ยิ้มไม่ออกอยู่ดี ไม่น่าถามอะไรแบบนั้นออกไป

“เราไม่ต้องห่วงหรอก” คุณปลาเอ่ยเสียงแผ่ว คงเห็นว่าผมเงียบไปนาน

“...”

“ห้องของพี่ พี่ก็ยกให้เราอยู่...”

“...”

“ตอนนี้ห้องพี่เป็นของเรา...เป็นที่ของเรา ใครจะมาทำอะไรเราได้ฮึ” เขากัดไอศกรีมอีกคำเล็ก ๆ  “ของแบบนี้ยิ่งกินก็ยิ่ง
หนาวนะ เรารู้หรือเปล่า...”

ดวงตาของผมแทบจะหม่นแสงลง ไม่ใช่ไม่รู้ว่า ‘ยิ่งกินยิ่งหนาว’ หมายถึงอะไร...แต่ขอแกล้งทำเป็นไม่รู้ไปสักพัก ผมไม่อยากไปสะกิดอะไรให้อีกฝ่ายเจ็บแผลเล่น ก็คงเลิกรากันไม่ดีคุณปลาถึงได้ดูเย็นชาขนาดนั้น ราวกับว่าดวงตาของเขาแทบจะปล่อยลำแสงน้ำแข็งออกมาได้

แต่แล้วฝ่ามืออุ่นของเขาวางลงที่หัวของผมแล้วโยกเบา ๆ เขาระบายยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า

“เราเดินดูของรอพี่ไปก่อนนะ อยากได้อะไรก็เลือกไว้เดี๋ยวพี่มาจ่ายให้ ไม่ต้องเกรงใจ อากาศเริ่มจะหนาวแล้วซื้อพวกเสื้อแขนยาวกับเสื้อผ้าอุ่น ๆ ไว้เยอะ ๆ ”

“...”

เขาบอกให้ผมซื้อไว้ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าผมจะอยู่กับเขาถึงวันไหน...

“พี่ไม่ได้ไปไหนไกลหรอก จะแวะไปคุยธุระแป๊บนึงเดี๋ยวจะรีบกลับมาหา”

คุณปลาจะรู้หรือเปล่านะว่า...บางทีแค่คำพูดของเขาก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นโดยไม่ต้องสวมเสื้อตัวหนา

เขาทำให้ผมกล้าที่จะตกหลุมรักเขามากขึ้นเรื่อยๆ

 “...”

“อย่าเดินหนีพี่ไปไหนนะ”

ผมชอบมองแววตาลึกซึ้งของเขา ชอบฟังน้ำเสียงทุ้มและนุ่ม ชอบมองกริยาท่าทาง ทุกอย่างในตัวคุณปลาดูมีเสน่ห์แบบที่เขาไม่ต้องพยามเค้นมันออกมาเลยแม้แต่น้อย เป็นแกงจืดที่ใส่แค่หัวไชเท้ากับกระดูกหมูเปล่า ๆ ก็อร่อยเหาะ

“เราต้องรอพี่อยู่ตรงนี้นะ...พี่จะรีบกลับมา”

คุณปลายิ้มให้ผมจาง ๆ แล้วขอตัวไปคุยธุระ ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อย ๆ ไกลสายตาออกไป มั่นใจความคิดที่ว่า เพราะคุณปลาเป็นคนน่าสงสาร เขาถึงพลอยขี้สงสารคนแบบผมไปด้วย...

ไม่จำเป็นต้องมาเห็นใจกันขนาดนี้เลยก็ได้...

เราทั้งคู่ต่างก็เป็นแค่คนแปลกหน้ากันเท่านั้นเอง



OOOOO



ปลายืนพิงผนังที่บุด้วยกระเบื้องโมเสคแก้วสีสันสดใสในห้องน้ำ เขามองเห็นร่างตัวเองสะท้อนอยู่ในกระจก ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม มีเพียงสีหน้าราบเรียบฉาบทับไว้เท่านั้น

โทรศัพท์ที่นาบกับใบหูนั้นร้อนระอุไม่ต่างจากอารมณ์ภายในร่างกาย ที่เขาพยายามใช้ความเย็นของน้ำจากก๊อกที่อ่างล้างหน้าทำให้มันเย็นลงเมื่อครู่ จนใบหน้ามีหยดน้ำเกาะพราว คอเสื้อเปียกชื้นเป็นวงกว้าง

“สวัสดีครับพ่อ”

“ฉันพูดกับคุณดำรงตามที่แกขอมาแล้ว”

ผู้ที่เอ่ยคือบิดาบังเกิดเกล้าวัย 69 ปีของเขา หากเอ่ยถึงนามสกุลแล้ว นามสกุลของคนพ่อถือว่าดังพ่อตัวในวงการนักธุรกิจ เมื่อดูความหมายแล้วก็เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีและเงินตรา แต่ปลาไม่ได้ใช้นามสกุลที่ของพ่อ เขาเลือกใช้นามสกุลเดิมของแม่ ก่อนที่แม่จะแต่งงานกับพ่อในวัยสิบหกปี และจากเขาไปในวัยยี่สิบแปด

แม่บอกปลาว่าแม่ไม่ได้รักพ่อ แม่รักคนอื่น แต่ว่าพ่อมีเงิน พ่อสามารถทำให้แม่ที่เป็นเพียงสาวบาร์หาเช้ากินค่ำไม่อดตาย ทำให้มีเงินใช้ได้ไปตลอดชาติ

แต่ว่า...แค่มีเงินมันไม่ได้ทำให้แม่มีความสุข แม่ต้องการความรักที่พ่อเติมเต็มให้เท่าไหร่แม่ก็ไม่เคยพอใจ

แม่หนีไปกับผู้ชายคนหนึ่งคืนหนึ่งกลางฤดูร้อน แม่ไม่ได้หอบทรัพย์สมบัติติดตัวไปด้วยแม้แต่สลึงเดียว ข้าวของทุกอย่าง
แม่ทิ้งไว้ในบ้านหลังใหญ่ที่ไม่ต่างจากปราสาทในความฝันของเจ้าหญิง

แม่บอกว่าแม่ทนอยู่ต่อไปไม่ได้ แม่ไม่กล้าที่จะอยู่ที่นี่และหลอกใช้พ่อต่อ

คนรักของแม่คือชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกัน แม่บอกว่าแม่รักเขามาตั้งแต่เด็ก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรักผู้ชายคนนั้นอยู่...รักเขามาตลอด ไม่เคยมีวินาทีไหนที่ไม่รักเขา ความรู้สึกที่มีต่อพ่อไม่ใช่ความรัก แม่พยายามใช้เวลาหลายสิบปีเพื่อรักพ่อ...แต่สุดท้ายแม่ก็ยอมแพ้

แม่รู้ตัวดีว่าแม่ทำผิดต่อพ่อ และไม่อยากผิดไปมากกว่านี้...ปลาไม่เข้าใจแม่ ถ้าแม่รู้ตัวว่าผิดทำไมไม่หยุด ทำไมแม่ไม่อยู่กับเขา ไม่รักพ่อก็ขอให้อยู่เพื่อเขา...ทำไมแม่เลือกที่จะชดใช้ความผิดด้วยการหนีจาก ปลาไม่เข้าใจ นั่นไม่เท่ากับว่าแม่เลือกที่จะตัดปัญหาด้วยการหนีความผิดหรอกเหรอ...

ปลาร้องไห้จะตามแม่กลับต่างจังหวัด แต่แม่บอกให้เขาอยู่กับพ่อ เพื่อที่เขาจะได้มีอนาคตที่รุ่งโรจน์ มีเงินมีทองใช้ มีบ้านหลังใหญ่มีรถขับ อยู่สุขสบายไปทั้งชาติ...สิ่งที่แม่ทำให้ปลาได้มีเพียงเท่านี้

แม่ได้วางอนาคตอันสวยหรูนี้ไว้ให้ปลา...

แต่ตอนนั้นปลายังเด็กเกินไปที่จะตามแม่ออกไป เขาตะโกนบอกแม่ว่าเขาไม่ต้องการสุขสบายแต่ขอให้แม่อยู่ด้วย ต่อให้แม่ไม่รักพ่อแต่ก็ขอให้แม่พาเขาไปด้วย แต่แม่ไม่โต้ตอบกลับ แม่หายเข้าไปในรถกระบะคันเก่าบุโรแทบเห็นสังกะสี ในรถคันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่เบาะคนขับ...เขาคนที่แม่รักมาก มากจนถึงขั้นอยู่กับพ่อเพื่อปลาไม่ได้

เมื่อรถคันนั้นทะยานออกไป หัวใจปลาราวกับจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยง

เขาไม่เข้าใจว่าการที่แม่อยู่กับพ่อไม่มีความสุขมากขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่าแม่ไม่ชอบที่พ่อแก่ ไม่ชอบที่พ่อมักจะทำหน้าดุตลอดเวลา

เขาไม่เข้าใจเหตุผลที่ทำให้แม่หนีพ่อไปและทิ้งเขาไว้ท่ามกลางลมมรสุม...ไม่ว่ายังไงปลาก็ไม่มีทางเข้าใจแม่

แม่จากไปโดยไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย เปลี่ยนชื่อและนามสกุลทำให้ติดต่อไม่ได้ จากนั้นปลาจึงตัดสินใจขอพ่อไปเรียนต่างประเทศ เขาไม่อยากอยู่ประเทศไทยที่ไม่มีแม่ เขาเหงา ถ้าอยู่ไทยต่อไปเขาอาจจะเหงามากกว่าเดิมและฟุ้งซ่าน
เขาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวที่อเมริกาเงียบ ๆ เพื่อนั่งฟังเสียงตัวเองจากข้างใน

เขาพบว่าตัวเองเป็นคนขี้เหงา รู้ดีว่ามันเกิดจากการที่แม่เขาหนีออกจากบ้าน เรื่องนั้นมันฝังใจและยากจะลืม

แต่ปลาโชคดี...แม้ว่าแม่จะทิ้งพ่อไป แต่พ่อก็รักเขามาก

พ่อแวะมาเยี่ยมทุก ๆ สองเดือนพร้อมหอบหิ้วพี่สาวต่างแม่มาด้วย ทุกครั้งที่มาจะมีอาหารไทยและผลไม้ไทยตามฤดูกาลมาฝาก เขาอยากได้อะไรก็ซื้อให้ แม้บางอย่างไม่เคยเอ่ยปากขอพ่อก็จะหามาให้ทุกอย่าง...แต่กลายเป็นปลาที่รู้สึกผิด
พ่อเลี้ยงเขาด้วยเงิน...มอบความสุขให้เขาด้วยเงินเพื่อทดแทนเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เขาไม่ต้องขวนขวายแต่กลับได้ทุกอย่างมาครอบครอง...

เพราะมันง่ายเกินไปหรือเปล่านะ แม่ถึงได้ทิ้งชีวิตแบบนี้ไป

เพราะรู้สึกผิดหรือเปล่านะ ที่พ่อซื้อของทุกอย่างที่อยากได้มาให้ทั้ง ๆ ที่แม่ไม่ได้รักพ่อเลยแม้แต่น้อย...

มันง่ายเกินไป...จึงทำใจยากเมื่อเราไม่สามารถตอบแทนอีกฝ่ายได้ แม้แต่ความรักก็ไม่สามารถมอบให้ได้

ปลาเรียนอยู่ที่อเมริกาจนจบปริญญาตรีด้านนิเทศศาสตร์ เมื่อกลับมาไทยเขาไร้หลักแหล่งไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี พ่อเขาซึ่งเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ในบริษัทเวชสำอางชื่อดังที่ตีตลาดในหมู่คนวัยทำงานจึงใช้เส้นสายให้เขาเข้าทำงานตำแหน่ง
พนักงานออกแบบบรรจุภัณฑ์ไปจนกว่าเขาจะคิดออกว่ าจริง ๆ แล้วอยากจะทำอะไรกันแน่กับชีวิต

“ฉันไม่มั่นใจว่าจะทำตามที่แกขอได้หรือเปล่า” น้ำเสียงทุ้มลึกของปลายสายดังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เห็นปลาเงียบไปนาน

“ครับ...เรื่องจะเร็วที่สุดภายในกี่วัน” ปลาเห็นตัวเองในกระจกมีสีหน้ากังวลและวิตก เขายกมือข้างซ้ายที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมานวดระหว่างคิ้ว

“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่คงไม่เกินเดือนหรอก”

“ผมต้องการภายในอาทิตย์นี้...”

ปลาต้องการจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด...อย่างน้อยสนก็สามารถกลับบ้านได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องหวาดระแวงอีกต่อไป

ปลารู้ว่าสนไม่สามารถอยู่กับเขาต่อไปได้เรื่อย ๆ จึงอยากจัดการ ‘พี่พุธ’ ให้เร็วที่สุด...อย่างน้อยก็ถือว่าแทนคำขอบคุณที่ทำให้ชีวิตเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้างหลังจากเรื่องราวแย่ ๆ ที่ได้เกิดขึ้นเมื่อต้นปีก่อน

ใช้เวลาหลายวันกว่าเด็กคนนั้นจะเปิดใจ... พูดออกมาเงียบ ๆ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า ‘ผมชื่อสนนนท์...คุณปลาเรียกผมว่าสนก็ได้’

ปลาแค่อยากลองดูว่า ถ้าหากเขาไม่เป็นฝ่ายถามชื่อ อีกฝ่ายจะยอมบอกหรือเปล่า สนก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน กว่าจะยอมพูดออกมาก็แทบต้องง้างปาก

ปลารู้ดีว่าเขาเป็นคนจืดชืดและเย็นชา...เขาไม่เคยสนใจอะไร ไม่ว่าจะพ่อ ไม่ว่าจะพี่สาว ไม่ว่าจะเธอคนนั้น แต่เด็กหนุ่มลูกครึ่งทำให้เขารู้สึกอยากจะปกป้อง เขาจำเป็นต้องปกป้องเด็กหนุ่ม

ปลากลัวว่าหากเขาสัมผัสสนแรงเกินไปสนอาจจะบอบช้ำมากกว่าเดิม เขาจึงต้องดูแลสนอย่างใกล้ชิด เฝ้าทะนุถนอมถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ต้องการ...

ในตอนนี้สนนั้นจำเป็นต้องมีเขา...และเขาจำก็เป็นต้องมีสน...

เขาไม่อยากกลายเป็นคนไร้จิตใจเหมือนเมื่อก่อน...

และไม่อยากให้สนกลายเป็นเหมือนเขาในอดีตด้วยเช่นกัน

“นี่ปลา...ฉันเข้าใจว่าแกไม่เคยขออะไรฉันมาก หลังที่แกขอไปเรียนต่อนอก” ปลายสายเงียบไปคล้ายกำลังชั่งใจว่าจะพูดออกมาดีหรือเปล่า “...พอแกเรียนจบฉันก็ให้แกเข้าทำงานจนกว่าแกจะเจอทางของตัวเองแกก็ไม่เคยอิดออด ฉันสามารถให้แกได้ทุกอย่างเท่าที่แกอยากจะได้ในฐานะพ่อคนเดียวที่เลี้ยงแกมา แม้แต่ยัยกุ๊กไก่ฉันยังไม่โอ๋เท่าแกมาก่อน เพราะแกไม่เคยขออะไรจากฉัน...”

“...”

“แต่ครั้งนี้ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ”

“...”

“แกไปมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมา”

เขาไม่ได้มีเรื่องบาดหมาง...

เขาแค่ต้องการจะปกป้องเด็กหนุ่มที่เหมือนสุนัขหลงทางหากลับบ้านไม่ถูกก็เท่านั้น...

“ผมถือว่าผมขอพ่อ...”

เขาแค่จะกำจัดหมากที่ขัดขวางทางกลับบ้านของสนก็เท่านั้น เพราะเขาได้ให้สัญญากับสนไว้แล้ว...

สัญญาคือสัญญา ไม่มีการกลับคำพูด...

“แต่ว่าไอ้การที่จะไปทำเขามันก็...” ปลายสายนั้นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องที่จะขอด้วยความเอาแต่ใจโดยไม่บอกเหตุผล และไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้กันได้ง่าย ๆ ในเวลาสั้น ๆ

“ผมถึงต้องมาขอพ่อให้พ่อช่วย เพราะผมทำเองไม่ได้...”

แต่พ่อช่วยเขาได้...

“นี่เจ้าปลา...”

“พ่อก็รู้ว่าผมดื้อ ถ้าให้ผมต้องโกหกพ่อ ผมก็จะไม่พูด”

ได้ยินปลายสายถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่ยกโทรศัพท์ขึ้นรับสาย

“แกนี่มันดื้อเหมือนใครนะ...ได้...เดี๋ยวฉันจะดูเรื่องนี้ให้อีกที”

พ่อรู้ดีว่าถ้าอะไรก็ตามที่เขาตั้งใจจะทำแล้วเขาก็ไม่มีทางตัดใจลงง่าย ๆ ถึงได้ยอมที่จะคุยกับบริษัทเอ็มคอม ที่ตนเป็นผู้ถือครองหุ้นรายใหญ่อีกรอบ นั่นก็เป็นสิ่งที่ปลาคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน

มุมปากของปลากระตุกยิ้มพึงพอใจ “ขอบคุณครับ”

เขารู้ว่าพ่อต้องยอมทำตาม เพราะพ่อกลัวว่าเขากลายเป็นเด็กขาดความอบอุ่นจึงประเคนทุกอย่างที่เขาต้องการและไม่ต้องการมาให้ และพ่อไม่เคยขัดใจเขาเลยสักครั้ง...มันทำให้ปลานิสัยเสีย

เขาชอบที่อะไร ๆ มันจะตรงตามแผนการที่เขาคิดไว้เสมอ...

...รวมทั้งเรื่องนี้ด้วย



ออฟไลน์ ไอแอมเดอะแฟต

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
Re: ►สับสนในรัก◄10 UP! | (27/7/17)
«ตอบ #28 เมื่อ27-07-2017 05:44:52 »


ต่อ




“งั้นแกหาเวลาว่างโทรไปหายัยกุ๊กไก่ด้วยก็แล้วกัน ฉันรู้ว่าแกไม่คุยกับมันเพราะเรื่องมุกดา แต่ก็โทรไปหาพี่สาวแกบ้าง ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่ฉันจะทำตามคำขอร้องของแกให้ก็แล้วกันนะปลา...”

“...”

พ่อพูดถึงชื่อที่ปลาไม่อยากได้ยินที่สุดขึ้นมา...

ชื่อที่ทำให้ปลานึกถึงแม่ของเขา....

“เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อย ๆ ไป แกก็เริ่มต้นใหม่ จะสามสิบแล้วมีใครก็ให้เป็นตัวเป็นตน คบใครถ้ามั่นใจก็เอามาให้ฉันช่วยดูอย่าได้เหมือนครั้งก่อนที่ให้แต่ยัยกุ๊กไก่ดูจนทำแกเสียศูนย์ แล้วก็พลอยทะเลาะกับพี่สาวตัวเองด้วย”

“ครับพ่อ” ปลาตอบปลายสายเสียงเบา “ผมเองก็มีธุระจะคุยกับพี่กุ๊กไก่เร็ว ๆ นี้แหละครับ...”

ธุระที่เขายังสะสางไม่จบแม้จะผ่านไปนานแล้วก็ตาม...

ปลาเดินไปล้างมือหลังจากที่คุยธุระเสร็จ เขามองเห็นเด็กหนุ่มผิวขาวผมสีอัลมอนด์ที่กำลังจ้องเขาผ่านกระจกเช่นเดียวกัน

เด็กหนุ่มคนนั้นสะพายกระเป๋าเครื่องดนตรีที่คาดว่าจะเป็นกีตาร์ไว้ข้างหลัง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าตามแบบวัยรุ่นทั่วไป

ปลารู้สึกคุ้นหน้า จำได้ว่าเป็นเพื่อนของสนจึงยิ้มให้ “เราเป็นเพื่อนของสนใช่ไหม นัดกันไว้หรือเปล่า”

“เปล่าครับ ไม่ได้นัด และ...” เด็กหนุ่มในกระจกยิ้มอย่างมีเลศนัยน์ “...ผมไม่ใช่เพื่อนของสน”
 
เขายิ้มตอบ แต่ตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย มันเป็นยิ้มที่ไร้ชีวิตชีวา “อ้อ” เขารู้สึกเหมือนมีใครสักคนมาฉุดขาลงไปในทะเล จมน้ำและเริ่มหายใจไม่ออก เขาเข้าใจดีว่าประโยคที่บอกว่า ‘ไม่ใช่เพื่อน’ หมายถึงอะไร

สนไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเขา สนบอกเขาว่าเป็นแค่เพื่อน...ก็นั่นน่ะสิ มันไม่ใช่เรื่องที่สนจะต้องบอกกับเขาด้วยซ้ำ ไม่มีความจำเป็นเลยที่สนจะพูดเรื่องส่วนตัวให้เขาฟัง

มันก็แค่...รู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“แล้วคุณ...?” เมฆถามต่อ

“คนรู้จักน่ะ”

หึ ‘คนรู้จัก’ แม้แต่คำตอบ ยังเป็นคำตอบเดียวกันกับสน

วันนี้เมฆออกมาซื้อสายกีตาร์ที่เขาดีดจนขาด เขาพบสนโดยบังเอิญขณะที่สนกำลังยืนซื้อไอศกรีมอยู่ แต่สนไม่เห็นเขา เขาแอบมองอยู่เงียบ ๆ เดินตามเหมือนพวกโรคจิตถ้ำมอง อยากจะเข้าไปทัก แต่ว่า...สนกำลังยืนอยู่กับคนอื่น ดูมีความสุข มีเสียงหัวเราะ

เหมือนเขาเห็นภาพซ้อนของตัวเองยืนอยู่ตรงนั้น ก็แค่ลบหน้าผู้ชายคนนั้นออก ใส่หน้าเขาเข้าไปแทน ทุกอย่างก็เหมือนอดีตไม่มีผิดเพี้ยนเขารู้ว่าไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง...แต่มันห้ามไม่ได้ มันห้ามไม่ได้จริง ๆ

แค่คิดว่าที่ตรงนั้นเคยเป็นของเขามาก่อน เขาก็ห้ามใจไม่ได้ มือไม้มันเย็นเยียบ กว่าจะเค้นเสียงอกมาได้แต่ละคำก็ยากกว่าปกติหลายเท่า มันคือความกลัว...กลัวเหมือนตอนนั้นไม่มีผิด ตอนที่เขาหนีออกมาอย่างคนขี้ขลาด

“งั้นพี่ไปก่อนนะ สนรอแล้ว”

และตอนนี้เขาก็ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นเดินออกไปโดยที่ไม่ได้ถามอะไรออกไปทั้ง ๆ ที่มีคำถามมากมายที่อยากจะเค้นเอาคำตอบ

ผู้ชายคนนี้เป็นใคร...

ผู้ชายคนนี้เป็นอะไรกับสน...

แต่แค่สนมีความสุขเขาก็พอใจแล้วไม่ใช่เหรอ...เขายังต้องการอะไรอีก เพราะที่ผ่านมาเขาก็แค่ต้องการให้สนมีความสุข

ไม่...เขาไม่พอใจ...

เขาจะพอใจได้ยังไงวะ…

เขาไม่ได้อยากจะเลิกกับสน…ครั้งนั้น มันก็แค่พลั้งปากออกไป

เป็นเขาที่ส่งตัวเองเข้าสู่ลานประหารในเกมความรัก และรอให้มีดจากเพชรฆาติฟาดลงมาบันคออย่างไร้หนทางช่วยเหลือ...เป็นเขาเองที่พ่ายแพ้ให้กับเกมนี้อย่างยับเยิน

ไม่มีรางวัลใดๆให้สำหรับผู้แพ้อย่างเขา



 OOOOO



คล้ายกับว่า คุณปลาดูไม่สนุกกับการเลือกซื้อของอีกต่อไป เขาปล่อยให้ผมเดินชมของเงียบ ๆ แต่มันเป็นความเงียบที่ผิดปกติ ผมตั้งใจว่าจะไม่ถามจนกระทั่งซื้อของเสร็จหมดเรียบร้อย แต่ผมอดไม่ได้ ผมถามคุณปลาที่กำลังเดินไปชงกาแฟในครัว ผมจับแขนคุณปลาไว้

เขามองผมนิ่ง ๆ ...นิ่งกว่าปกติ

“ว่าไง” เขาถาม ยิ้มไม่เต็มหน้าจนผมรู้สึกอึดอัด กลัวว่าจะทำอะไรไม่ถูกใจคุณปลาเข้า

“คุณปลาโอเคหรือเปล่า...ผมไม่ได้ทำอะไรผิดไปใช่ไหม ?”

คุณปลาเลิกคิ้วขึ้น “เปล่า” เขาตอบเสียงเรียบ “พี่โอเคดี”

แต่สีหน้าคุณปลากลับบอกว่าไม่...

“แต่ว่า...”

“ไม่มีอะไรจริง ๆ ”

ผมบีบแขนคุณปลาเบา ๆ มองเขาด้วยใบหน้าเป็นกังวล  “ก็คุณปลาทำหน้าเหมือนโกรธผม...” เขาเป็นประเภทโกรธเงียบเสียด้วย ผมไม่รู้ว่าใครทำให้เขาโกรธ ไม่รู้ว่าใครทำให้เขากังวล ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น รู้แค่ว่าผมไม่อยากให้เขาเป็นแบบนี้
เขาฉีกยิ้มบาง ๆ ใช้มืออีกข้างโยกหัวผมเบา ๆ

“ไม่ได้โกรธอะไรเราหรอก พี่แค่คิดนู่นนั่นนี่เรื่อยเปื่อย...พอไม่ได้ดั่งใจ มันก็งี่เง่าไปเอง ขอโทษนะที่ทำให้เราคิดมาก “ 

“แต่ว่า...ผมไม่สบายใจ”

ผมคิดว่าผมอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่หลายส่วน แต่คุณปลาไม่พูด เขาสยบทุกอย่างด้วยรอยยิ้ม แต่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นมันไม่อบอุ่นเหมือนอย่างเคย เหมือนเป็นรอยยิ้มที่ประดิฐษ์ขึ้นมาเพื่อให้ผมคลายกังวลมากกว่า

“ถ้าผมทำอะไรให้คุณปลาไม่สบายใจ ก็บอกผมได้นะครับ...ผมจะได้ไม่ทำอีก...”

คุณปลาเงียบไป คล้ายจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ไม่พูด เขากลืนมันลงคอไป และปกปิดมันด้วยรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย

“ไม่มีอะไรหรอกครับ...พี่เครียดเรื่องงานนิดหน่อย”

“ไม่ใช่ผมที่ทำให้คุณปลาไม่สบายใจนะครับ...” ผมเม้มริมฝีปากเบา ๆ มองคุณปลาอย่างรู้สึกผิด แม้จะไม่รู้ว่าไปทำเรื่องอะไรเข้า แต่ดูจากสีหน้าคุณปลาแล้ว ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย และไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้สถานการณ์น่าอึดอัดนี้หายไป

“อื้ม...ไม่ใช่เราหรอก มา เลิกทำหน้าเครียดได้แล้วครับ เดี๋ยวพี่ชงช็อกโกแลตร้อนอร่อย ๆ ให้เรากินเนอะ” 

“...”

“พี่ไม่ได้โกรธอะไรเราจริง ๆ แล้วเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย” คุณปลาใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างคลึงหัวคิ้วให้ผม “เลิกเครียดนะครับ พี่ขอโทษ”

“ขอโทษผมทำไมล่ะครับ” ผมที่ทำหน้าตึงคิ้วขมวดอยู่หลุดหัวเราะออกมา

“ก็นั่นน่ะสิ” เขาทำหน้าแปลกใจ หัวเราะผสมโรงไปด้วย

จากนั้นก็ลากแขนผมเข้าไปในครัว บอกว่าจะสอนทำช็อกโกแลตร้อน แต่ปรากฏว่าเขาไม่ได้ซื้อช็อกโกแลตติดตู้เย็นไว้ เลยได้สอนให้ผมชงโกโก้สูตรเฉพาะของเขาให้กิน

โกโก้2ช้อนโต๊ะ  น้ำผึ้งนิดหน่อย เวย์โปรตีน  นมสด และใส่พวกธัญพืชลงไปด้วย ผมใส่ทั้งอัลมอนด์สไลด์แผ่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดเจียที่ผมแยกไม่ออกกับเมล็ดแมงลัก ลูกเกด แล้วก็แปะก๊วย พอชงรวมกันแล้วอร่อยเหาะ คุณประโยชน์คับแก้ว

“อร่อยใช่ไหม ยิ้มอารมณ์ดีเชียว” คุณปลาถามยิ้ม ๆ พลางจิบแบล็คคอฟฟี่น้ำผึ้งไปด้วย ผมแอบชิมตอบเขาทำนิดหน่อย รสชาติอร่อยเหาะกว่าอเมซอนซะอีก ไม่เสียเปล่าที่ซื้อเครื่องชงกาแฟท่าทางราคาแพงติดคอนโดไว้ แล้วก็...เมล็ดกาแฟน่ะ ท่าทางจะแพงกว่าค่าเช่าห้องพักบางเดือนของนักศึกษาซะอีก

“อร่อยครับ” ผมพยักหน้า

“พรุ่งนี้กินอะไรดี ถ้าติดใจโก้โก้ทรงเครื่องพี่จะทำให้กินอีกนะ”

“กับแซนด์วิชด์ทูน่าสเปรดก็น่าจะเข้ากันนะครับ ผมชอบ”

คุณปลาพยักหน้ายิ้ม ๆ “เอาไข่เบเนดิกต์ด้วยหรือเปล่า พี่ทำอร่อยนะ เคยลงคลาสคหกรรมตอนอยู่เมกา กว่าจะทำออกมาสวยก็หลายคาบเลยล่ะ ฮ่ะ ๆ”

“ผมชอบไข่ดาวน้ำมากกว่า แต่ว่า...ลองกินฝีมือคุณปลาก็ดีเหมือนกันครับ”

คุณปลาทำอะไรก็อร่อยไปหมด ทำอาหารได้ทั้ง อาหารไทย อาหารพื้นบ้าน อาหารฝรั่ง และอาหารโซนเอเชียอีกหลาย ๆ เมนู มิหนำซ้ำคุณปลายังเป็นคนเจ้าระเบียบและรักสะอาด ผมพนันเลยว่าถ้าคุณปลาไม่มีงานทำ เขาไปสมัครงานเป็นหัวหน้าพ่อบ้านในคฤหาสน์คุณหญิงคุณชายได้เลย

“โอเค งั้นพี่แถมไส้กรอกเวียนนาให้ด้วย เพิ่งซื้อมาใหม่ ยี่ห้อนี้แพงกว่าแบบเดิมไม่เท่าไหร่ แต่อร่อยใช้ได้”

ผมยิ้มจนแก้มแทบแตก เล็งไส้กรอกยี่ห้อนั้นไว้ตั้งแต่คุณปลายังไม่พูด “คุณปลาใจดีที่สุดเลยครับ”

“แล้วเราชอบหรือเปล่าล่ะ”

ผมพยักหน้ารัวแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด “ชอบครับ”

“อื้ม...ขอบคุณนะ” คุณปลายิ้มจนตาปิด “...พี่ก็ชอบ”

เสียงของเขาทุ้มและนุ่มละมุน ฟังแล้วเคลิ้มไปชั่วขณะ

ตึกตัก

หัวใจผมเต้นผิดจังหวะไปแล้วเรียบร้อย แพ้ทางเขาจนได้

“พี่หมายถึง...พี่ชอบทำอาหารตอนเช้า ๆ น่ะ “

ผมรู้ว่าเขาไม่ได้หมายถึงแบบนั้น...

ไม่งั้นหน้าผมคงไม่ร้อนผ่าวเหมือนเอาถ่านมาทาบหน้าแบบนี้หรอก และดูเหมือนเขาจะชอบใจกับปฏิกิริยาของผมเสียด้วยสิ...

อา...พักนี้อยู่ใกล้คุณปลาทีไร ลำบากหัวใจผมทุกทีเลย





  :katai5: :katai5:
ชีวิตเฟรชชี่นี่กิจกรรมเยอะมากกกกกกก น้ำตาน้องจะไหลไม่มีเวลาเลยจ้าพี่จ๋าT_T
ตอนนี้อะไร ๆ ยังไม่ลงตัวเนอะก็เลยอัพนานๆครั้ง ฮือๆ
เจอกันครั้งหน้านะคะ


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: ►สับสนในรัก◄10 UP! | (27/7/17)
«ตอบ #29 เมื่อ27-07-2017 09:59:58 »

 :L2: :pig4: :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด