(ต่อครับ)
ค่ำนี้ลิเกเรื่องจันทโครพยังเรียกเสียงชื่นชมได้ไม่ขาดเช่นทุกครั้ง เกือบทั้งหมดของเสียงปรบมือนั้นถูกกำนัลแก่ดาวเอกของคณะผู้รับบทเป็นนางโมรา
จันดีมีใบหน้าสวยสะพรั่ง ผมดกดำเป็นพู่ไหมเช่นสาวดรุณี ผิวพรรณขาวกระจ่างเหมือนเนื้อแตงอ่อน ทรวดทรวงอ้อนแอ้น อะไรที่สมควรจะน้อย หล่อนก็มีพอดีตัว เนื้อหนังยังเอิบอิ่ม ไม่ผอมแห้ง ส่วนอะไรที่สมควรจะมี หล่อนก็มีจนล้นเหลือ ซ้ำยังใจกว้างเปิดเผยแบ่งปันให้เป็นอาหารตาชายหนุ่มพอหอมปากหอมคอ ของใดที่ไม่สึกไม่หรอ หล่อนก็ไม่เคยหวง
หากแม้นเปรียบสาวรุ่นทั่วบางกะปิดั่งดอกแก้ว หอมอ่อน เป็นธรรมชาติ ปราศจากการปรุงแต่ง จันดีก็เปรียบดังดอกจำปาแดง กรีดกราย ฉูดฉาด หอมฟุ้งไปทั่ว
หล่อนขึ้นชื่อว่ามีท่วงท่าร่ายรำอันชดช้อย จันดีรู้ว่าต้องทำอย่างไรคนดูจะชอบและตบพวงมาลัยให้อย่างไม่นึกเสียดาย โดยเฉพาะวิธีที่หล่อนชะม้ายมอง เล่นเอาหัวใจใครต่อใครหวามไหวไม่สมประดี
แต่สาวเจ้าไม่ปล่อยตัวไปกับใครง่าย ๆ จันดีเลือกเฉพาะคนที่ตอบแทนได้สมน้ำสมเนื้อ ใช่แค่ทรัพย์สินเงินทอง ค่าใช้จ่ายสำหรับหล่อนหมายถึงความมีหน้ามีตาด้วย เมื่อจ้อยคือคนที่ให้ได้ทั้งสองสิ่ง หล่อนก็ปรีดาจะปรนนิบัติต่อเขาเป็นพิเศษ
"พี่จ้อยของจันดี รอนานไหมคะ ทานอะไรมาหรือยัง ดื่มโอเลี้ยงเย็น ๆ ก่อน"
มือเรียวนวดเฟ้นไปบนเนื้อตัวจ้อยอย่างคล่องแคล่ว คุณสมบัติเหล่านี้นางผุยผู้เป็นแม่สั่งสอนหล่อนมาแต่เล็กแต่น้อย คล่องพอ ๆ กับรำลิเก แม้แต่จ้อยซึ่งวันนี้ดูฉุนเฉียวมึนตึงกว่าทุกครั้งยังอ่อนลงเมื่อต้องสัมผัสพัดวีของหญิงสาว
ชายหนุ่มผ่อนยิ้ม ชอบอกชอบใจ
ทุกวันหลังจากการแสดงเสร็จสิ้น นายศักดิ์ซึ่งเป็นผู้ติดตามของจ้อยจะกันที่ไว้เป็นส่วนเฉพาะอยู่บริเวณด้านหลังของเวทีสำหรับผู้เป็นนาย เมื่อจันดีผลัดผ้าเปลี่ยนชุดแล้ว หล่อนก็จะนวยนาดมาหาชายหนุ่ม ฉอเลาะอ่อนหวานจนกว่าเขาจะกลับ
ซึ่งบางครั้ง จ้อยก็ไม่ได้กลับ
"ค่ำนี้ให้จันดูแลให้ไหมคะ"
ใบหน้างามรัญจวนไปด้วยความหอมหวานเอนแนบกับแผ่นอกของชายหนุ่มอย่างไม่นึกขวยเขิน แต่วันนี้จ้อยกลับไม่ได้ตอบรับความอ่อนหวานแบบทุกครั้ง เขาเหม่อลอย เย็นชาแบบขอไปทีเท่านั้น
"ไม่ต้องหรอก วันนี้เหนื่อย ๆ เดี๋ยวก็จะกลับแล้ว"
"เสียดายที่ีไม่มีโอกาสได้ทานข้าวกับพี่จ้อย" แววตาปลั่งประกายหม่นลงเหมือนใจหาย หล่อนพูดว่า "วันก่อนพ่อค้าที่ตลาดบอกว่าเพิ่งได้กำไลมาจากเมืองจีน เป็นหยกสีขาวหายาก เนื้อก็งาม ของสมเกียรติคู่ควรกับพี่จ้อย จันไม่อยากให้พลาดไปอยู่กับคนอื่นนะคะ"
หญิงสาวเว้นช่วงไปสักพัก แล้วเอ่ยเสียงเศร้า
"ตั้งใจคิดว่าจะพาพี่จ้อยไปดูกัน คงต้องปฏิเสธเขาไป"
ชายหนุ่มส่ายหัวแล้วยกโอเลี้ยงขึ้นจิบ
"เป็นผู้ชาย จะเอาของแบบนั้นไปทำไม ถ้าจันอยากได้ก็ไปซื้อมา บอกให้เขาไปเก็บเงินกับพี่"
จ้อยพูดอย่างไม่คิดมาก เรื่องเงินทองถือเป็นเล็กน้อยสำหรับเขา
"จันกราบขอบพระคุณที่เมตตานะคะ จันเป็นแค่นางลิเกต่ำต้อย ถ้าพี่จ้อย ไม่กรุณา ชาตินี้คงไม่มีวาสนาได้แตะของสวยงามแบบนั้น"
หญิงสาวกราบแนบอกของจ้อย นอบน้อมอ่อนหวาน
"ถึงยังไง จันก็เกรงใจ"
"คิดเสียว่าเป็นของชดเชยที่วันนี้พี่ไปกับจันไม่ได้ก็แล้วกัน"
ถือว่าเอ่ยคำลาชัดแจ้งแล้ว ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน แหวกมือเปิดฉากกั้น ก่อนจะลอดตัวออกไป เขาเดินดุ่ม ๆ ไปยังรถสามล้อถีบที่รออยู่ เมื่อศักดิ์เปิดม่านให้โดยไม่ต้องออกคำสั่ง จ้อยก็ก้าวพรวดขึ้นไปนั่งบนเบาะพร้อมกับอาการครั่นจิตครั่นใจบอกไม่ถูก
ความรู้สึกหวามไหวไปกับคนซึ่งเจอเมื่อตอนบ่ายกรุ่นอยู่ในอกจนไม่มีกระใจทำอย่างอื่น
ไม่เชิงว่าเป็นความเสน่หาอยากลิ้มรสเสียทีเดียว เหล่านี้นับว่าเพี้ยนเสียยิ่งกว่าจับหมูหมามาเทียมเกวียนแทนวัวควาย ครั้นจะปฏิเสธว่าไม่มีอารมณ์รัญจวนแม้แต่น้อยก็ตอบตัวเองได้ไม่เต็มปาก
อดรนทนไม่ได้ จ้อยก็ออกคำสั่งกับคนสนิท
"ศักดิ์ เอ็งไปสืบมาว่าที่ดินเดิมของข้ามีใครมาอยู่บ้าง ชื่ออะไร"
"ได้จ้ะพี่" ศักดิ์รับคำ
"แล้วเอ็งคอยดูให้มั่น อย่าให้พวกมันรู้ตัว วันไหนอ้ายคนที่ชื่ออธิปนั่นไม่อยู่ เอ็งรีบมาบอกข้าทันที"
"จ้ะ" ศักดิ์พูดฉะฉาน สักพักก็ยิ้มกริ่ม "ว่าแต่ตอนนี้ยังไม่ดึก พี่สนใจจะแวะไปบ้านน้ำทิพย์ก่อนหรือเปล่า"
"กลับบ้าน กูไม่มีอารมณ์"
ชายหนุ่มตอบสั้น เต็มเสียงพร้อม ๆ กับดึงม่านปิด
การรอคอยของจ้อยสิ้นสุดลงเมื่อหลายวันถัดมา
อธิปได้รับโทรศัพท์จากวิศาลว่าเกสร ผู้เป็นมารดานั้นป่วยไข้ด้วยโรคประสานธาตุ แม้บัดนี้จะมีอาการไปในทางที่ดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังประมาทไม่ได้ หมอเจ้าของไข้จึงให้พักอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชตรงถนนวังหลัง ชายหนุ่มจึงต้องขับรถเข้าไปในเขตบางกอกน้อยอย่างเร่งด่วน
ใจของอธิปว้าวุ่นด้วยแรงสังหรณ์ประหลาด ความกลัดกลุ้มเรื่องอาการของมารดาก็ส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่นึกพื้นเสีย ประหวั่นอยู่ลึก ๆ กับเรื่องที่ตำหนักจนต้องตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้เรียบร้อย
"อาจจะต้องค้างคืนที่นั่นสักสองสามวัน ผมโทรแจ้งกับผู้ช่วยของคุณเริญแล้ว ขอคนมาช่วยเป็นหูเป็นตาที่นี่ในเวลาที่ผมไม่อยู่ คงจะถึงสักวันพรุ่งนี้"
แม้เสียงจะเคร่งสักเพียงใด สีหน้าที่จริงจังนั้นก็ระคนไปด้วยแววพะวักพะวนกับทางนี้อยู่ไม่น้อย
"เรื่องราวอะไรทางนี้คงไม่มีดอกพ่ออธิป อย่างมากก็เรื่องแขกไม่ได้รับเชิญ ไม่มีใครอยู่ก็คงจะกลับไปเอง อย่าเป็นห่วงทางนี้เลย"
ละเอียดพูดขณะแบ่งข้าวกระยาคูที่ลงมือกวนตั้งแต่เมื่อคืน ทันทีที่ทราบข่าวแม่นมก็กะเกณฑ์บ่าวไพร่มาช่วยกันคนละไม้ละมือ ปรุงรสด้วยน้ำผึ้งและน้ำนมอย่างดี ด้วยเชื่อในสรรพคุณว่าเป็นยาอายุวัฒนะ ให้ผลฉมังสำหรับคนไม่สบายในช่องท้องตามตำรับโบราณ
"ขออย่าเป็นอะไรรุนแรงเลยแม่คุณ บุญรักษา"
หญิงชราโบกมือให้เด็กคนอื่นในบ้านยกปิ่นโตนำไปใส่ไว้ที่รถของอธิป ขณะที่เธอเองค่อย ๆ เดินมาส่งชายหนุ่มที่ชานบ้าน เด็กรับใช้คนอื่น ๆ ในตำหนักน้อยก็ยืนเรียงหน้าเป็นพระอันดับพร้อมเพรียงแล้ว ทุกอย่างเป็นระเบียบจนชายหนุ่มคลายกังวลลงไปมาก กระนั้นความรู้สึกสังหรณ์ใจก็ยังสลัดออกไปไม่สิ้น อธิปตรึกตรองถี่ถ้วน อาจมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าจะทำให้เบาใจได้มากขึ้น แต่สิ่งนั้นคืออะไร เขายังนึกไม่ออก
เห็นชายหนุ่มยื้อเวลาอยู่นาน นมละเอียดก็ท้วงเรียกสติ
"รีบไปรีบมาเถอะ แม่เกสรคงชื่นใจที่ได้เห็นหน้าลูกรัก"
เมื่อโดนตัดบท คนที่ยืนกอดอกจึงได้ยอมขับรถออกไปแต่โดยดี
แสงเงินแสงทองแตะคลื่นเมฆ ส่องสว่างทั่วผืนฟ้า แต่ในตำหนักน้อยกลับมีบรรยากาศขมุกขมัวเหลือเกิน ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดีที่รถของอธิปพ้นอาณาเขตภัทรกุล รถอีกคันก็ผ่านพ้นประตูรั้วเข้ามา
แม้วัยจะล่วงเลยมากว่าค่อนชีวิต แต่หูตาของนมละเอียดยังดีไม่แพ้กับหนุ่มสาว เสียงรถยนต์ที่ไม่คุ้นหูทำให้ผู้เป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าบริวารเดินออกมาดูถึงเฉลียง เมื่อเห็นว่าเป็นใคร หญิงชราถึงกับออกอาการฉุน
"คุณเข้ามาได้ยังไง พ่ออธิปไปข้างนอก ไม่ได้มีใครบอกรึ"
"มี แต่ไม่อยู่ก็ไม่เห็นเป็นไร เจ้าบ้านคนอื่นมี ออกมารับก็ได้"
จ้อยตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน สาวเท้าก้าวเข้ามาในตึกหน้าตาเฉย
"อ้าว! แขกมาเรือน จะใจดำไม่มีใครยกน้ำมาต้อนรับกันเลยหรือไง"
บ่าวไพร่ในบ้านที่ล้วนเป็นหญิงสาวและคนแก่เฒ่าต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก ด้วยตำหนักภัทรกุลเองนั้นยังไม่เคยต้อนรับแขกที่ไร้มรรยาทเช่นนี้มาก่อน นมละเอียดเดินตามเข้ามาถึงกับตื่นตระหนกเมื่อเห็นแขกผู้มาเยือนนั่งลงบนโซฟาลายเถากุหลาบ ยกขาขึ้นมาไขว่ห้างเบิกบานนักหนา
"ธุระอะไรเอาไว้วันหลังเถอะคุณ พ่ออธิปไม่อยู่ เราเองไม่สะดวกต้อนรับคน"
เพราะไม่เคยได้พบเจอครอบครัวของกำนันจงรักทางประตูด้านหน้าที่ติดกับถนนใหญ่มาก่อน นมละเอียดจึงระวังแต่ที่ศาลาริมน้ำด้านหลังตำหนัก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาทางรถจึงไม่ได้ออกไปจัดการ กลายเป็นปัญหาแบบนี้
หญิงชราพอรู้ว่าพื้นเพนิสัยวางก้ามของจ้อยเป็นอย่างไร จึงไม่นึกตำหนิแขกยามหน้าประตูซึ่งเป็นคนในท้องที่บางกะปินัก แม้นว่าแข็งขัน ตอบบ่ายเบี่ยงเท่าไร ถ้าอีกฝ่ายจะรั้นก็คงยากจะฝืนทาน เดือดร้อนไปได้ทั้งครอบครัว
"แล้วคุณเรียมอยู่ไหนเสีย ไปแจ้งสิ ว่าลูกกำนันจงรักมา"
นมละเอียดทำท่าจะเป็นลมเมื่อได้ยิน แข้งขาอ่อนยวบแทบจะล้มตึง
เธอรู้จากปากบ่าวไพร่เกี่ยวกับเรื่องคราวก่อนที่กำนันจงรักมา จ้อยได้พบกับคุณเรียมโดยบังเอิญ แม้นนับจากนั้นผู้เป็นนายจะไม่เคยออกปากพูดถึง แต่คนที่เลี้ยงดูมาแต่เล็กอย่างละเอียดตะหนักดีว่าเรียมลลิตรรู้สึกอย่างไรกับชายหนุ่มที่นั่งกระดิกเท้าสบายอารมณ์คนนี้ คุณเรียมเธอแค่เป็นผู้ดีเกินกว่าจะแสดงมันออกมา ที่อีกฝ่ายเอ่ยปากแบบนี้ คงไม่ใช่ว่าหมายมั่นปั้นมือไว้แต่แรกแล้วหรือไร
"ไม่ต้องรีบก็ได้ ฉันรอได้เรื่อย ๆ มีเวลาทั้งวัน"
กิริยาอาการเหมือนคนไม่ได้รับการอบรมคราวก่อนที่ว่าเลวร้ายแล้วนั้นยังเทียบไม่ได้กับที่แสดงให้ประจักษ์ตรงหน้าในตอนนี้ ละเอียดได้แต่ยืนเม้มปากแน่นด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
"อิฉันเกรงว่าจะไม่สะดวก"
"ไม่สะดวกก็ไปทำงานทำการเสียสิ"
นมละเอียดถึงกับยกมือขึ้นทาบอก เนื้อตัวร้อนวาบขณะเขม้นมองอีกฝ่ายที่กำลังผิวปากด้วยอารมณ์บันเทิงอย่างไม่เชื่อสายตา
เสียงรถยนต์ที่ไม่คุ้นหูทำให้เรียมลลิตรคิดว่าเป็นรถยนต์ที่นำข่าวสารเกี่ยวกับท่านแม่มาจากเริญดนุภพ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นแขกผู้มาเยือนในวันก่อน ร่างประเปรียวก็ยืนอึ้งอยู่สักพักก่อนจะเดินลงมาจากบันไดช้า ๆ ท่วงท่าสำรวม งามสง่านั้นยังคงสลักอยู่ในทุกการเคลื่อนไหว
"คุณหนู" หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแห้งแหบ ใจคอไม่ดี
ผิดกับอีกคนที่ผุดลุกขึ้นทันควัน สีหน้าแช่มชื่น
"คราวก่อนไม่ทันได้คุยกัน ดีจริงที่วันนี้มีโอกาสได้เจออีกครั้ง" จ้อยหัวเราะร่าเริง "บังเอิญเสียจริง ฟ้าคงไม่อยากปล่อยให้แขกต้องรอพบเจ้าบ้านอยู่แบบครั้งที่แล้วเป็นแน่"
นมละเอียดสะกดลมหายใจที่ร้อนผ่าวของตัวเองอย่างยากเย็น ตะลึงกับแต่ละคำพูดของอีกฝ่ายจนขนลุกซู่ ต้องรีบเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน หญิงชรากวักมือเรียกบ่าวไพร่ให้มารวมกัน แม้จะเต็มไปด้วยเด็กสาวที่มักคุ้นกับธรรมเนียมวัง ไม่อาจต่อปากกับคนประเภทนั้นได้ แต่ก็คงดีกว่าจะปล่อยให้ผู้ที่ไม่เต็มใจต้อนรับสนทนากับเรียมลลิตรตามลำพัง
ส่วนตัวเธอเองก็ปลีกตัวออกมา แล้วมุ่งไปอีกด้านของตำหนัก
"แม่แดง ช่วยพยุงฉันออกไปที"
ตาคมกวาดตาดูกลุ่มเด็กสาวที่เดินเข้ามาแล้วนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นตามคำสั่งของหญิงชรา รู้ดีว่านี่เป็นคำสั่งของอีกฝ่ายที่กางกำแพงสูงใส่เมื่อครู่ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะเผลอมองดวงหน้าแฉล้มเหล่านั้นเสียเพลินใจ แต่บัดนี้ มันอีกเรื่อง
"ครั้งก่อนเห็นกันไกล ๆ ก็ว่าหน้าตาหล่อเหลาคมคาย"
จ้อยขยับเท้าเดินเข้ามาใกล้ เอ่ยเสียงเบาพอได้ยินกันสองคน
"แต่พอได้มองใกล้ ๆ กลับยิ่งสวย สวยเสียยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก ยิ่งมองก็ยิ่งสวย"
ลำคอของเรียมลลิตรกดลงเล็กน้อยพร้อมกับอาการร้อนวาบเหมือนฟืนกองใหญ่มาเผาสุม ใบหน้าซ่านจนเป็นสีระเรื่อ พูดอะไรไม่ถูก
จ้อยที่จับจ้องดวงหน้างามอย่างไม่วางตายิ้มถูกอกถูกใจเป็นนักหนา เดินกลับไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา เอ่ยอย่างมีความสุข
"ขออภัยที่เอ่ยกันตามตรง ซึ่งหน้า ที่นี่อยู่กันด้วยความจริงใจ อะไรดีก็เอ่ยชมกันตรง ๆ ไม่พิธีรีตรองเหมือนกับพวกในเมือง"
ตอนที่ขวัญสรวงได้ยินจากปากของเยื้อนว่าแม่นมเก่าแก่ ผู้หลักผู้ใหญ่ของรั้วติดกันนั้นมาขอพบก็รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มละมือจากกิจที่ทำอยู่ เดินออกจากเรือนแฝดมาที่ศาลาริมน้ำ เมื่อมาถึงก็เห็นหญิงชราวัยประมาณห้าสิบผุดลุกผุดนั่ง กระวนกระวายจนอยู่แทบไม่ติด
เมื่อร่างสูงใหญ่ปรากฏตรงหน้า ก็รีบเอ่ยแนะนำตัว
"ขอประทานโทษเจ้าค่ะ อิฉันชื่อละเอียด" หญิงชราลุกขึ้นแนะนำตัวอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ถอยไปทรุดนั่งด้วยอาการกระสับกระส่ายดังเดิม "อิฉันขออภัยที่มารบกวนตอนค่ำ ขณะนี้คุณอธิปเธอไม่อยู่ อิฉันกำลังร้อนใจ มืดไปหมดสามด้านแปดด้าน"
คุณชายขัตติยพงศ์โบกมือให้เยื้อนออกไปก่อน จากนั้นก็ค่อยนั่งลง เอ่ยถามถึงรายละเอียด
คำตอบอันไม่คาดคิดทำเอาชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ กระนั้นขวัญสรวงก็ไม่ตื่นตระหนกไปกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขายังคงนิ่งสงบเช่นเดิม ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับก่อนหลังอย่างตรึกตรอง
กำนันจงรักและคุณนายสะอิ้งเป็นคนอย่างไรนั้นเขารู้จักเป็นอย่างดี ส่วนจ้อยนั้นถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อและแม่อย่างไม่ต้องสงสัย เดิมที ขวัญสรวงไม่ได้อยากจะเอามือไปซุกหีบ เข้าไปข้องเกี่ยวกับกิจธุระของเพื่อนบ้าน เท่าที่ทำลงไปคราวก่อนก็นับว่าผิดวิสัยยามปรกติของตนไปมากแล้ว
แต่ยามนี้ เกิดเรื่องขึ้นกับเรียมผู้นั้น แม้จะมั่นใจว่าในครั้งนี้เรื่องคงไม่ลุกลามใหญ่โตด้วยเหตุการณ์นั้นอยู่ในบ้านเรือนที่เป็นเจ้าของ ทว่าในอนาคตเล่า จะให้เขาปิดหูตาไม่รู้ไม่เห็นเสียเลยก็ยากจะตัดใจ
"บ้านใกล้เรือนเคียง โปรดอย่าได้เกรงใจกัน"
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่มีน้ำหนักมั่นคง
นมละเอียดลุกขึ้น ความว้าวุ่นบนสีหน้าค่อย ๆ คลายออกขณะที่ขอบคุณด้วยความซาบซึ้งในมิตรจิตมิตรใจนั้นก็เอ่ยปาก
"เชิญทางนี้เถิดค่ะ"
ละเอียดเดินเร็วเท่าเร็ว เรียบลำน้ำ ลัดร่มพะยอมผ่านคฤหาสน์ขัตติยพงศ์อย่างคล่องแคล่ว
ไม่นานนักขวัญสรวงก็ก้าวขาเข้าสู่รั้วสีนวลดั่งดอกปีปของตำหนักน้อย
+++++++++++++++++++++++++
สวัสดีครับ ขอโทษจริง ๆ ที่มาช้า ช่วงปลายปีถือเป้นช่วงวิกฤติจริง
มีงานแทรกตลาด แต่ละอันโหด ๆ ทั้งนั้น เลยไม่ค่อยมีเวลาจะแต่งเลย
ตอนนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวของเหล่าตัวประกอบ มีพี่ขวัญกับน้องเรียมนิดเดียว ฮ่าๆ
จะให้คู่นี้จริงกันจริงจังคงต้องอีกนานแสนนานนนน ตามประสานิยายย้อนยุคนั่นเอง
อย่างที่บอกไปแล้วว่าไม่ค่อยถนัดจริง ๆ ยังพิมพ์ ๆ ลบ ๆ เหมือนเดิมเป๊ะ
เรื่องภาษาไม่ใช่ปัญหาอะไรมากครับ ที่เป็นปัญหาในการแต่งจริง ๆ แล้วคือปฏิกิริยาแต่ละอย่างของตัวละคร
คือเรื่องบางเรื่อง คนสมัยนั้นไม่คิดจะทำอะไรประมาณนั้นน่ะครับ ต้องระวังดีๆ
ยังไงก็จะพยายามต่อไปครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกัน
ช่วงนี้อัพช้านิดนึงอย่าเพิ่งแปลกใจนะครับ ปลายปีที่งานทะลักตลอด ฮ่าๆ
ไว้มีโอกาสจะมาชวนคุยเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเนื้อหา เผื่อจะทำให้อ่านสนุกขึ้นครับ
พบกันใหม่ตอนหน้า พี่ขวัญตะลุยบักจ้อยครับ แล้วก็....อะไรดีน้อออ