ตอนที่ 1
ถ่ายทำมิวสิกวีดีโอ
ไม่คิดเลยว่าต้องเข้ามาเหยียบบริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์อีกครั้ง
ผมทั้งขยาดและแขยง ขยาด...กลัวจะเจอกับรักเก่า กับคนรู้จักจิตรินตอนเขาอยู่ในร่างของผม ส่วนแขยง...
“สวัสดีครับคุณจิระ”
ผมแขยงคมสันโคตรๆ!
“อ่านรายละเอียดงานแล้วใช่มั้ยครับ”
“เออ!” ผมกระแทกเสียงอย่างไม่พอใจ แม้คมสันอายุมากกว่าก็ไม่ยกมือไหว้ ทำตัวไม่น่าเคารพเองจะมารยาทดีทำไม ผมไม่มีวันยอมลงให้คนคนนี้หรอก!
แต่สายตาของคนในบริษัทกลับมองผมเหมือนเห็นผี แปลได้สองความหมายคือ อย่างแรก ไม่มีใครกล้าก้าวร้าวใส่คมสัน อย่างที่สอง จิระไม่ควรทำแบบนี้กับคมสัน เพราะตอนสลับร่างกัน จิตรินเอาร่างผมมาทำอาชีพดารา ต้องเดินเข้าเดินออกบริษัทแห่งนี้ประหนึ่งบ้านหลังที่สอง
“เชิญทางนี้ครับ” คมสันคลี่ยิ้มนุ่มนวล แต่ดันกรอบแว่นขึ้นจนเห็นดวงตาประกายวับวาวน่าสยอง ผมขนแขนลุกชัน ตัดสินใจไม่พูดไม่จา เดินตามหลังคมสันต้อยๆ อย่างว่าง่าย “ลูกค้าระบุชื่อคุณโดยเฉพาะ หวังว่าจะทำตัวดี ให้เกียรติลูกค้าด้วยนะครับ”
“ฉันรู้น่าว่าควรทำอะไร ไม่ต้องให้คนมาสอน”
“...ก็นึกว่าไม่มีคนสั่งสอน”
ผมหันขวับ ส่วนคมสันคลี่ยิ้มเย็น...เย็นจนผมก้มหน้าต่ำ กำมือแน่นอย่างระงับอารมณ์พลุ่งพล่าน
ท่องไว้จิระ จบงานนี้ ได้สิทธิ์ทุกอย่างคืนมาเมื่อไหร่ ผมจะสะบัดก้นหนีแล้วสมัครเข้าบริษัทคู่แข่งให้คมสันอกแตกตายไปเลย! อะไรนะ ทำไมผมถึงไม่หันหลังใส่วงการบันเทิงน่ะเหรอ เฮอะ เรื่องมันน่าเศร้าตรงที่แม้ผมไม่อยากเป็นดารา แต่ด้วยรูปร่างหน้าตา ช่างอำนวยไปสายงานทางนี้เหลือเกิน ที่สำคัญ...ผมดันเรียนไม่จบเพราะติดยาจนเสียคน นึกแล้วก็รันทดตัวเอง ทำไมตอนนั้นถึงสิ้นคิด เลือกทางเดินผิดได้วะ โง่ฉิบหายเลยจิระ
รายละเอียดงานครั้งนี้คือการถ่ายทำมิวสิกวีดีโอของนักร้องวัยรุ่นที่เพิ่งโด่งดัง แต่โทษที ผมไม่ชอบฟังเพลง ไม่ชอบดูหนัง แต่ชอบอ่านหนังสือเงียบๆ คนเดียว โลกส่วนตัวสูงก็อย่างนี้ เลยไม่รู้จัก ‘เตโช’ สักนิด และไม่อยากจะรู้จักด้วย ถ้าไม่ติดว่าคมสันเตรียมพร้อมอย่างดี ส่งรายละเอียดงานมาไม่พอ ยังส่งประวัติคร่าวๆ พร้อมคลิปของไอ้หนุ่มนี่ด้วย
ขนาดมองผ่านๆ ยังคล้ายจะเห็นออร่า ‘เท่โคตร’ ส่งผ่านภาพนิ่ง ยิ่งดูคลิปการเคลื่อนไหวก็อดชื่นชมไม่ได้ เตโชมีเสน่ห์ดึงดูดตอนเล่นกีตาร์และร้องเพลงเป็นพิเศษ สีหน้าแววตาเผยถึงความสุขและภาคภูมิใจอย่างเต็มเปี่ยม เรียกว่าเป็นคนที่น่าจับตามองที่สุดในตอนนี้ เขาตัดผมสั้นเกรียน ดวงตาตี่เล็ก แต่สูงโปร่งชะลูดถึง 190 ซม. อายุแค่ยี่สิบแต่ทำไมสูงขนาดนี้นะ เป็นเสาไฟฟ้ารึไง เฮอะ
ผมก้าวฉับๆ ตามหลังคมสันด้วยในใจที่สบถด่าไม่หยุด ก่อนจะกัดริมฝีปากล่างเมื่อมาถึงสตูดิโอชั้นหก ความจริงแล้วบริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์ไม่ยุ่งเรื่องนักร้อง แต่เมื่อค่ายเพลงต้องการดาราในสังกัด อีกทั้งยังขอเช่าพื้นที่ในการถ่ายทำ คมสันจึงมาจัดการด้วยตัวเอง หรือไม่...ก็ต้องการคุมความประพฤติผมไม่ให้แอบหนีหายไปซะก่อน
ชิ ผมรับปากแล้วก็ไม่พลิกลิ้นหรอกน่า ผมไม่ใช่จอมเจ้าเล่ห์อย่างเขานะ!
“เป็นอะไรครับคุณจิระ กลัวเหรอ”
“กลัวบ้าอะไร ทำไมฉันต้องกลัว” ผมถลึงตาใส่คุณเลขา คมสันดันแว่นอีกครั้ง พลางคลี่ยิ้มเหยียด
“ในนั้นมีทีมงานที่เคยร่วมงานกับคุณจิมาก่อน ผมหมายถึง...คุณจิตรินในร่างของคุณน่ะครับ”
“ไม่ต้องมาขู่กันหรอกน่า!” ผมเดินแทรกคมสันไปเปิดประตูเมื่ออีกฝ่ายดูจะสนุกสนานกับการกลั่นแกล้งรังแกจิตใจอันบอบบางของผมซะเหลือเกิน แต่พอพรวดพราดเข้าไปทีมงานซึ่งกำลังเตรียมฉากก็พากันชะงัก มองมาที่ผมเป็นตาเดียว
ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
“ตายแล้วจิระ ออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไหร่ หายดีแล้วเหรอจ๊ะ”
“ฉันยังไม่ตาย” อยากจะตบความปากไวของตัวเองเหลือเกิน ทำไมถึงแก้อาการประหม่าด้วยการสวนกลับแบบ ไม่ไว้หน้าทีมงานด้วยนะ ผมลอบด่าตัวเองในใจ ก่อนจะค่อยๆ เดินถอยหลัง หลบไปยืนเยื้องอยู่ข้างๆ คมสันเพื่อหาที่กำบัง
“คุณจิระออกจากโรงพยาบาลมาเกือบเดือนแล้วล่ะครับ แต่ทางเราปิดข่าวไว้เพราะตรงกับช่วงที่ซีรีส์ ‘เช็กเมท’ ฉายตอนจบพอดี”
“แบบนี้นี่เอง...” หลายคนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ข่าวฉาวของจิระเรื่องติดยาเสพติดถูกปล่อยมาในช่วงท้ายของซีรีส์เช็กเมทจนกระแสตกไปช่วงหนึ่ง ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย เพราะหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ถูกรถชนจนเข้าโรงพยาบาลไม่ได้สติ ทำให้เรื่องคาวๆ เริ่มซาลงบ้างและแทนที่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ
แต่เห็นใจก็ส่วนเห็นใจ เพราะความจริงเรื่องที่จิระถูกถอดจากซีรีส์ในซีซันสองไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ผมสะบัดหน้าหนีเมื่อหลายคนมองมาด้วยสายตาหลากหลาย ไม่รู้ว่าในนั้นมีกี่คนที่รู้จักตัวผมในช่วงสลับร่างกับจิตริน มันทำให้ผมทำตัวไม่ถูก แต่ก็ไม่คิดจะยิ้มเสแสร้งประจบประแจงเอาใจหรอกนะ
“ไปเตรียมตัวก่อนเถอะครับคุณจิระ จำบทได้แล้วใช่มั้ย”
“อ่านรอบเดียวก็จำได้แล้ว”
“ครับๆ งั้นเข้าไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยล่ะ ผมจะรอเตรียมงานตรงนี้”
อ้าว...ทิ้งกันอย่างนี้เลยเหรอ!ผมมองคมสันแบบโกรธๆ เมื่อเขาไม่ยอมเข้าไปในห้องแต่งตัวด้วยกัน จะตามคุมก็ตามให้ถึงที่สุดสิ ปล่อยผมไว้คนเดียวมันใจไม่ดีนะเฮ้ย!
แต่ขืนพูดแบบนั้นออกไปได้เสียหน้ากันพอดี ผมรีบเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวอย่างมั่นใจ ก่อนจะกำลังใจหดหายเมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องเลย แล้วจะให้ผมทำยังไงต่อล่ะ เอ...มีชุดวางตรงนั้น ดูจากขนาดแล้วน่าจะพอดีตัวผม งั้นแสดงว่าให้เปลี่ยนเป็นชุดนี้สินะ ผมแอบกังวล มองซ้ายมองขวาจนมั่นใจว่าคงหยิบไม่ผิดจึงเดินเข้าไปในม่านด้านหลัง ก่อนจะแอบสะดุ้งเมื่อมีคนเดินเข้าในห้อง
“เปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้วมานั่งตรงนี้เลยจ้าจิ”
ที่แท้คนที่ทักผมตอนแรกก็เป็นช่างแต่งหน้าประจำสตูดิโอนี่เอง เขามาพร้อมกล่องอุปกรณ์ซึ่งมีลักษณะเหมือนหีบเหล็ก นั่นเครื่องสำอางหรืออุปกรณ์ทรมานกันแน่ ผมแอบจับหัวใจ รู้สึกหวาดๆ ไม่กล้าพาตัวเองไปนั่งตรงหน้าผู้ชายที่แต่งตัวฉูดฉาด มีจริตจะก้านเกินหญิง แถมยังคล้ายจะรู้จักจิระสมัยที่ผมสลับร่างกับจิตรินเป็นอย่างดี
เอ่อ...เงียบไว้ดีกว่าผมทำใจดีสู้เสือ เดินไปนั่งตรงหน้าช่างแต่งหน้าอย่างระวังปากตัวเองเต็มที่
“หน้าซีดเชียว...คงต้องเติมแป้งสักหน่อยแล้วล่ะ แต่จิเนี่ยผิวดีเหมือนเดิมเลยนะ ไม่สิ เหมือนจะนุ่มกว่าเดิมซะอีก หัดทาโลชั่นบ้างแล้วเหรอ ก่อนหน้านี้แนะนำอะไรก็ไม่ยอมทา เสียดายผิวสวยๆ จริงๆ” ช่างแต่งหน้าจับคางผมให้เงยขึ้นแถมยังเอียงไปเอียงมาเหมือนพิจารณาสภาพผิวหน้า ผมถึงกับตัวแข็งทื่อ ตาเบิกโพลง พยายามท่องว่าเพื่องาน เพราะถ้าไม่ใช่เพื่องาน ผมคงลุกพรวดพราดวิ่งไปหลบอยู่หลังประตูแล้ว
มันช่วยไม่ได้จริงๆ...ไอ้เราก็เก็บตัวมานาน เพราะสมัยเด็กหน้าเหมือนแม่ ทำให้ไม่กล้าไปไหนด้วยกลัวความแตกว่าเป็นลูกลับๆ ของดาราสาวชื่อดัง จนกลายเป็นไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร หากไม่นับช่วงเสพยากับกลุ่มเพื่อนจนสติหลุด ผมจะไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ในระยะประชิดเด็ดขาด เอ่อ...ยกเว้นเสี่ยไว้คน แล้วก็จิตรินไว้อีกคนแล้วกัน
ผมหลับตาปี๋เมื่อถูกจับแต่งหน้า ไม่ชินเลยสักนิด เหมือนเอาปูนมาฉาบอีกชั้นอย่างนั้นล่ะ สรุปแล้วของในหีบเหล็กเป็นอุปกรณ์ทรมานจริงๆ ใช่มั้ย จิระอยากตาย
“เสร็จแล้วจ้ะจิ ลืมตาได้แล้ว ฮิฮิ”
มาฮงมาฮิอะไร! ผมลืมตาอย่างหงุดหงิดเมื่อถูกหัวเราะเยาะ เกือบจะปากไวแล้วเชียวถ้าไม่ติดว่าข้างๆ ช่างแต่งหน้ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งหน้ามึน แถมยังยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปผมด้วย
“ห้ามถ่ายนะ!”
“ว้า เสียดายจัง”
น้ำเสียงที่สุดแสนจะเรียบเฉย กับสีหน้าที่คล้ายไม่มีอารมณ์ร่วมเลยสักนิด ทำเอาเส้นเลือดขมับปูดโปนขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว
“ลบเดี๋ยวนี้เลย”
“ทำไมต้องลบด้วยล่ะ” เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบถามอย่างใสซื่อ เดี๋ยวนะ ไอ้หมอนี่มัน...
“นายคือ...เตโช?”
เตโชพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะตั้งกล้องโทรศัพท์ถ่ายรูปผมอีกครั้ง
“เฮ้ย! บอกว่าอย่าถ่ายไง!” ผมหมายจะคว้าโทรศัพท์ของเขา แต่เตโชเบี่ยงมือหลบอย่างไม่ยากเย็น แถมยังมองรูปบนจออย่างพออกพอใจด้วยการพยักหน้าหนึ่งทีแล้วรีบเก็บใส่กระเป๋ากางเกงเหมือนกลัวโดนผมแย่ง
เห็นพี่ช่างแต่งหน้ายืนมองสลับระหว่างผมกับเตโชอย่างไม่รู้จะทำยังไงดีผมเลยได้แต่กัดปากอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ ยอมกลับมานั่งที่เหมือนเดิมอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แอบส่งสายตาคาดโทษให้ไอ้บ้านี่ด้วย เจอหน้ากันครั้งแรกก็ถ่ายรูปเอาถ่ายรูปเอา คิดจะแบล็กเมล์ผมรึไง!
“แหม เตโชล่ะก็ ขี้อายเหมือนเดิมเลยนะ พูดกับจิระดีๆ สิจ๊ะเดี๋ยวเขาก็เข้าใจเราผิดหรอก”
ผมแทบจะคอหักเมื่อหันขวับไปหาพี่ช่างแต่งหน้ารวดเร็วจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น บอกทีว่านี่คือท่าทางของคนขี้อาย!?
“ครับ” เตโชตอบรับเสียงเรียบไร้อารมณ์ อ้าปากคล้ายจะเอ่ยอะไรออกมา เล่นเอาซะผมลุ้นจนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นการพะงาบๆ มีแต่ลมไม่มีเสียง เฮ้ย! จะพูดก็พูดสิ!
“ทำไมนายถึงเลือกฉัน” ช่างหัวเขาแล้ว! ผมเลิกรอ หันมากอดอกถามอย่างสงสัยเป็นล้นพ้นว่านักร้องหน้าใหม่อย่างเขาคิดพิเรนทร์อะไรถึงเลือกดาราตกอับอย่างผมมาเป็นพระเอกมิวสิกวีดีโอ
พลันเตโชจ้องตาผมไม่กะพริบ จริงจังซะจนผมเกือบลืมหายใจ
“เพราะฉันชอบนาย...”
ใจเผลอเต้นตึกตักไปวูบหนึ่ง
“ว้ายตายแล้ว” ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อช่างแต่งหน้าอุทานพร้อมกุมแก้มอย่างเขินอาย ผมรีบสะบัดศีรษะเพื่อเรียกสมาธิ สติ และปัญญากลับมาอีกครั้ง จู่ๆ ก็โดนสารภาพรักซึ่งหน้า ต่อให้เป็นผมมันก็ต้องเผลอหวั่นไหวบ้างล่ะน่า!! อย่ามาจับผิดกันเชียวนะ!
“แล้วนาย...”
นายชอบฉันตอนไหนผมตั้งใจจะถามแบบนั้น แต่ก็ต้องเก็บคำพูดแทบไม่ทันเมื่อเตโชหยิบสมุดจดเล่มเล็กออกมาพร้อมปากกาหนึ่งแท่ง เขาลังเลเล็กน้อย อ้าปากพะงาบอีกสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยออกมาเต็มปากเต็มคำ
“ฉันชอบนายตอนแสดงเป็นมิสเตอร์เอสมากเลย ขอลายเซ็นหน่อยนะ”
“ว้ายตายแล้ว...” ช่างแต่งหน้ายกมือทาบอก น้ำเสียงอุทานแตกต่างกับเมื่อครู่ลิบลับ เช่นเดียวกับอารมณ์ของผมที่ถูกกระชากตกเหวกะทันหัน ไอ้บ้าเตโชนี่...หัดพูดให้มันเต็มประโยคจะตายรึไง อย่าทำคนอื่นเข้าใจผิดสิวะ!
“ที่มานั่งรอฉันแต่งหน้าก็เพราะจะขอลายเซ็นเหรอ” ผมมองมือที่ยื่นสมุดและปากกาด้วยสายตาว่างเปล่า
“ใช่แล้ว” เตโชพยักหน้ารับ ความประหม่าหายไป ตอบรับคำได้อย่างหนักแน่น แถมมุมปากยังยกยิ้มเล็กน้อย ท่าทางราวกับเจอดาราในดวงใจยังไงยังงั้น
คิ้วผมนี่กระตุกยิกๆ
“แล้วที่เลือกฉันมาเป็นพระเอกเอ็มวีก็เพื่อจะขอลายเซ็น?”
“ใช่...” เตโชพยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงทื่อมะลื่อ “หลังจบซีรีส์ก็ตามข่าวไม่ได้เลย อยากเจอมาก ไม่รู้จะทำยังไง...”
ไม่รู้จะทำยังไง เลยเลือกผมมาเป็นพระเอกเพื่อขอลายเซ็นง่ายๆ? เออ...เจริญดี!
“จิเป็นอะไรไปจ๊ะ”
“ผมอยากเป็นลม”
“ว้ายตายแล้ว รอก่อนนะ พี่จะไปเอายาดมให้” พี่ช่างแต่งหน้าร้องอย่างตกใจก่อนจะรีบออกจากห้องแต่งตัวเพื่อไปขอยาดมให้ผมที่คลับคล้ายจะหน้ามืด ทำไมชีวิตจิระถึงได้บัดซบขนาดนี้ ทำร้ายตัวเองไม่พอ โดนหลอกใช้ไม่พอ ยังถูกคนหน้ามึนระบุตัวด้วยเหตุผลบ้าๆ อีก ถ้าเตโชไม่สร้างโอกาส คมสันก็บีบเค้นผมขนาดนี้ไม่ได้หรอก!
หมดสิ้นเรี่ยวแรงที่ทุ่มฝึกซ้อมมาเมื่อคืน...
อยากจะเป็นลมหนีความจริงไปเลย
“จิระ” น้ำเสียงไร้โทนสูงต่ำเอ่ยพร้อมนิ้วที่สะกิดแขนผมยิกๆ เขาคงจะเป็นห่วงเป็นใยผมมาก... “ลายเซ็นล่ะ”
เป็นห่วงเป็นใยตัวเองว่าจะไม่ได้ลายเซ็น! ปัดโธ่เว้ย!!! ใครก็ได้หยิบเตโชไปวางให้ห่างจากผมที!!!
------------
หลังพี่ช่างแต่งหน้าช่วยพาตัวเตโชไปแหมะไกลๆ สมใจ ผมก็เริ่มเรียกคืนสติตัวเองให้จดจ่อกับงานพร้อมดมยาดมไปด้วย โอ๊ย...ทำไมต้องมาเป็นพระเอกมิวสิกวีดีโอให้นักร้องที่บ้าๆ บวมๆ ด้วยวะเนี่ย ขอถอนตัวทันมั้ย แต่พอมองคมสันที่ยืนขยับแว่นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ผมก็กลืนประโยคนั้นลงคอแล้วเสียบหูฟังพร้อมหลับตาฟังเพลงในโทรศัพท์
เวลาไม่เคยหยุด แต่วันนั้นเหมือนโลกทั้งใบได้หยุดลง
เวลาไม่อาจย้อนคืน แต่ทำไมจนวันนี้ยังวนเวียนไม่จางหาย
นับตั้งแต่เสียเธอไป ตัวฉันก็เหมือนนาฬิกาตาย
เวลาของฉันไม่มีความหมาย
เมื่อไม่มีเธอ ชื่อเพลงนี้คือ ‘เวลา’ ขับร้องโดยนายเตโชที่มีภาพลักษณ์สุดแสนจะหลอกลวงประชาชน คนหน้ามึนพูดเสียงโทนเดียวอย่างเขามีเสียงร้องร้าวลึกก้องกังวานจับหัวใจได้โคตรน่าเหลือเชื่อ ตอนฟังเพลงนี้ครั้งแรก ผมถึงขนาดน้ำตาซึมกับอารมณ์ที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเจ็บปวด ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ...
อย่าได้ฝัน
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเตโชเป็นแต่งเนื้อร้องและทำนองเองทั้งหมด ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถถีบตัวเองมาแข่งขันในวงการแสนโหดร้ายนี้ได้ ที่น่าสงสัย คือทำไมคนอย่างนั้นถึงได้มีแต่เพลงเศร้า อกหัก รักคุด หรือว่าเจ้าตัวจะโดนสาวทิ้งบ่อยเลยเอามาแต่งเป็นเพลงกันนะ
พอนึกถึงหน้ามึนๆ อึนๆ แล้วก็แอบนินทาในใจว่าสมควร
“พร้อมมั้ยจิระ”
“พร้อมครับ”
ถึงในใจจะคัดค้านอย่างไร แต่เมื่อหนีไม่ได้ก็มีแต่ต้องลุยให้ถึงที่สุดเท่านั้น! ผมเดินเข้าฉากเมื่อถูกผู้กำกับเรียก ก่อนจะนั่งแปะอยู่กลางพื้นขาว มิวสิกวีดีโอนี้มีงบน้อย เพราะเตโชเป็นนักร้องหน้าใหม่ และเพิ่งโด่งดังในเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น ถ้าให้พูดตรงๆ คือหน้าตาของเขายังถูกพูดถึงกว่าตัวเพลงซะอีก เอาเถอะ เพราะในเอ็มวีครั้งนี้หน้าตาของผมก็คงถูกพูดถึงเหมือนกัน
เป็นได้ทั้งในแง่ร้าย...ที่ให้โอกาสดาราตกกระป๋องซึ่งถูกเขี่ยทิ้งจากซีรีส์ชื่อดัง
และเป็นได้ทั้งในแง่ดี...หากผมถ่ายทอดในสิ่งที่เขาต้องการออกมา
“เราจะเริ่มถ่ายที่ฉากสุดท้ายก่อนนะ ต้องทวนสคริปท์มั้ยจิ”
“ไม่ต้องครับ” ผมยกมือเป็นสัญญาณช่างกล้องให้เริ่มการถ่ายทำได้เลย แม้สคริปท์จะไม่ลงรายละเอียดมาก เพราะเนื้อหาของมิวสิกวีดีโอนี้เน้นที่การแสดงอารมณ์มากกว่าคำพูด แต่ท่าทางมาดมั่นเกินเหตุนั้นทำให้ใครหลายคนอดจะขมวดคิ้วไม่ได้ เพราะผมเดินเข้ามาตัวเปล่า ไม่ยักจะทบทวนบทบาทการแสดงแม้แต่น้อย ขนาดเตโชที่ยืนหาวอยู่หลังจอมอนิเตอร์ยังเลิกคิ้วอย่างนึกประหลาดใจ
ผมลอบยิ้มเหยียดให้เขาหนึ่งครั้ง ก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อยเมื่อทุกคนพร้อมใจกันเงียบกริบ
“ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง แอคชั่น!”
เนื้อหาของเพลง คือชายที่สูญเสียคนที่รักอย่างกะทันหัน รวดเร็วเกินทำใจ จนจิตใจแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี
ผมนึกภาพของเตโช...ไม่ นึกหน้าเขามีแต่จะไม่สบอารมณ์เปล่าๆ
ผมนึกภาพของตัวเอง
เสียงสูดหายใจเข้าลึกดังแผ่วเบาจากรอบด้านเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาพร้อมแววตาเหม่อลอยว่างเปล่าไร้จุดหมาย
คล้ายกำลังมองหาใครคนหนึ่ง ทั้งที่รู้แก่ใจว่าคนคนนั้นไม่อยู่อีกแล้ว
เวลาไม่เคยหยุด แต่วันนั้นเหมือนโลกทั้งใบได้หยุดลงผมหลับตาลงช้าๆ สร้างภาพว่าข้างกายมีคนที่เคยรักที่สุด...
เสี่ย
ช่วงเวลาที่เคยใช้กับเสี่ย มีแต่ความสุขเมื่อถูกตามอกตามใจ เพียงนึก ผมก็เผลอหลุดยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มอย่างบริสุทธิ์ใจโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ผมรักเสี่ย ถึงขนาดยอมเป็นเด็กเลี้ยงเหลือแต่ตัว ทั้งที่มีมรดกมากมายมหาศาล ผมรักเสี่ย รักมาก...
แต่เราไม่มีวันกลับเป็นเหมือนเดิม
วินาทีนั้น รอยยิ้มที่แย้มออกมาเพียงครู่กลับกลายเป็นความขมขื่น ผมตัวสั่น ก้มหน้าลงเล็กน้อย
เวลาไม่อาจย้อนคืน แต่ทำไมจนวันนี้ถึงยังวนเวียนไม่จางหายคลับคล้ายจะจับอารมณ์ได้ แต่ยังไม่ตรงตามต้องการ เพราะเนื้อหาในมิวสิกวีดีโอนี้คือความรักที่ถูกพรากจากด้วยความตาย
พลันภาพตอนผมขับรถชนจิตรินปรากฏวาบ
วินาทีนั้น ผมคิดว่าผมกำลังจะตายจริงๆ
หากผมตายไป เสี่ยคงไม่รู้สึก แต่ตัวผมนั้นหวาดกลัวเหลือเกิน กลัวที่จะต้องแยกจากเขา กลัวที่จะไม่ได้รับความรัก แม้ในวินาทีสุดท้ายก่อนจะสิ้นสติ ก็คิดเพียงว่าเขาจะเป็นห่วงผมบ้างมั้ย
ผมค่อยๆ ทรุดตัวนอนตะแคง ราวไร้เรี่ยวแรงเมื่อนึกถึงความบางอย่างที่แสนเจ็บปวดใจเหลือเกิน ดวงตาคลอหยาดน้ำใส ทว่าไม่มีน้ำตาหลั่งริน ในลำคอคล้ายมีก้อนสะอื้นจุดตื้อขึ้นมาอย่างทรมาน แต่ก็ฝืนกล้ำกลืนเก็บกั้น
นับตั้งแต่เสียเธอไป ตัวฉันก็เหมือนนาฬิกาตายก่อนจะเปลี่ยนเป็นพลิกตัวนอนหงาย ผมลืมตาช้าๆ แม้ห้องจะเป็นสีขาว แต่แววตากลับเหม่อมองไร้ประกายราวจมดิ่งในห้วงอารมณ์ที่มืดมิดกว่านั้น
เวลาของฉันไม่มีความหมาย
มือขวาค่อยๆ เอื้อมคว้าบางอย่าง ราวรอคอยให้มีใครสักคนจับมือข้างนี้อีกครั้ง
เมื่อไม่มีเธอผมชักมือกลับ กำแน่น และสั่นสะท้านน้อยๆ ขณะใช้หลังมือทาบทับปิดดวงตา นึกภาพของคนที่รักสุดหัวใจแต่ไม่อาจครอบครอง
“ผม...”
ริมฝีปากเอ่ยคำหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว เสียงนั้นช่างแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ราวกับคำกระซิบกับตัวเอง หรือไม่...
“รัก...”
หน้าอกสะท้อนอย่างเจ็บปวด จนไม่สามารถพูดติดกันได้ โดยเฉพาะในคำสุดท้าย
“...คุณ”
“คัต!!!”
วินาทีนั้นผมสะดุ้งเฮือก ตัวกระตุกลุกจากพื้นแล้วเบิกตาโพลงมองรอบด้านพร้อมตัวหอบโยนและน้ำตาที่ร่วงเผาะลงมา ผมรีบใช้แขนเสื้อปาดทิ้ง กลัวจะมีใครเห็นเข้า
“เป็นยังไงครับ” ผมหันไปถามคมสันกึ่งตื่นตูม เกรงว่าสิ่งที่ทุ่มเทไปจะทำให้หลายคนผิดหวัง แม้ผมจะฝึกซ้อมมาหลายต่อหลายครั้งก่อนเข้าบริษัทเพื่อไม่ให้ใครกล้าครหาก็ตาม รับปากทั้งที จะให้โดนด่าได้ยังไง มีแต่ต้องชื่นชม มองผมด้วยความอึ้งให้มากๆ สิ!
“สะ...”
“สะ?”
“สุดยอด!!!” ผู้กำกับตะโกนลั่น รีบปราดเข้ามากอดผมยกใหญ่ “หายไปหนึ่งเดือน ทำไมแสดงได้ก้าวกระโดดแบบนี้ล่ะจิ สุดยอดไปเลย ฮึก เหมือนเห็นลูกชายเติบใหญ่...โบยบินกลายเป็นหงส์”
อะไรนะ ผู้กำกับคนนี้ก็เคยทำงานกับจิตรินในร่างผมงั้นเหรอผมตัวแข็ง เกลียดการถูกแตะเนื้อต้องตัวกะทันหันมากที่สุด แต่จะผลักออกก็ไม่ได้ เลยหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือกับคมสันที่เดินเข้ามาร่วมวงด้วยสีหน้าพออกพอใจ
“ผมรู้อยู่แล้วว่าถ้าคุณคิดจะทำก็ทำได้”
“ทำมาเป็นพูดดี” ผมพึมพำขณะมองค้อนคมสัน โชคดีที่การมาของเขาทำให้ผู้กำกับยอมปล่อยผมสักที
“ไม่ต้องห่วงนะจิ ที่นี่ไม่มีใครใส่ใจเรื่องข่าวฉาวหรอก อดีตที่ผ่านมาแล้วก็ให้ผ่านไป อายุยังน้อยก็มีโอกาสแก้ตัวอีกเยอะ แถมฝีมือแบบนี้...จุ๊ๆ อย่างที่คุณสันบอกจริงๆ พออกหักจากเสี่ย จิระคนดีก็แข็งกร้าวขึ้น ฝึกฝนฝีมือเตรียมกลับเข้าวงการอย่างขะมักเขม้น ดีแล้วจิ อย่าใจอ่อนกับใครง่ายๆ เลย หน้าตาอย่างเรา ต้องเลือกให้เยอะๆ เพราะคนสมัยนี้น่ะดูหน้าไม่รู้ใจ หัดคิดในแง่ร้ายบ้าง จะได้ตามทันใครต่อใครเขา”
...พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
อกหักจากเสี่ยน่ะเรื่องจริง แต่จิระคนดีที่แข็งกร้าวขึ้น แถมยังฝึกฝนฝีมือเตรียมกลับเข้าวงการคืออะไร!
พอหันไปทวงถามกับคมสัน ตำแหน่งที่ควรจะมีเขายืนอยู่ก็เหลือเพียงความว่างเปล่า
“คมสันล่ะ” ผมถามเตโชที่เดินเอื่อยๆ เข้าฉากเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าควรเข้ามาชมเชย พอยืนใกล้กันแบบนี้ก็ยิ่งเปรียบเทียบว่าเขาสูงกว่าผมมาก
“ไปแล้ว”
“ไปไหน”
“นู้น” เตโชชี้ไปที่ประตูทางออก เฮ้ย! ไม่แน่จริงนี่หว่า มาหย่อนระเบิดแล้วชิ่งหนีซะเฉยๆ อย่างนี้ได้ยังไง เลขาใจยักษ์ใจมาร ใครอยากเป็นดาราในสังกัดเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์วะ โมเมที่สุด!
“คุณสันคงมีงานด่วนน่ะ ไปเติมหน้าใหม่เถอะจิ ผ่านช่วงที่ยากที่สุดของเอ็มวีมาแล้ว ที่เหลือก็เป็นของง่ายแล้วล่ะไอ้หนู!” ผู้กำกับตบบ่าผมอย่างเชื่อมั่น เล่นเอาตัวเซแท่ดๆ เกือบจะล้มก้นจ้ำเบ้าแล้วเชียว ไอ้คนที่ยืนข้างๆ ก็ไม่ช่วยประคองกันเลย เอาแต่ยืนหน้ามึนอยู่นั่นแหละ จะพูดก็ไม่พูด สรุปแล้วเดินเข้าฉากมาหาผมเพื่ออะไรกันแน่เนี่ย!
“ลายเซ็...”
“หุบปากไปเลย!” ผมขึ้นเสียงหงุดหงิด พอเห็นเตโชยอมเงียบตามก็นึกพิลึก ลองถามความเห็นด้วยอารมณ์กึ่งอวด “ฉันแสดงได้ดีใช่มั้ยล่ะ ความรู้สึกของคนที่สูญเสียคนรักจนเหมือนเวลาหยุดลงตามเนื้อเพลงของนายน่ะ”
เตโชมองผมอย่างลังเลว่าควรจะเปิดปากดีรึเปล่า
“ถ้าตอบแล้วฉันจะให้ลายเซ็น”
“จริงเหรอ” เตโชมองผมอย่างไม่มั่นใจ หรี่ตาจนแทบจะไม่เห็นลูกตาดำอยู่แล้ว
“เดี๋ยวเซ็นให้ครึ่งหนึ่งก่อนเป็นการมัดจำเลยเอ้า” ไม่ว่าเปล่า ผมที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้วก็คว้ากระดาษในมือเตโชมาเขียนชื่อตัวเองแค่คำว่า ‘จิ’ จบงานไปจะได้ไม่มีอะไรค้างคา ลาจากเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์กับเตโชไปสักที
“นายแสดงดีมาก”
ผมยืดอก รู้สึกภาคภูมิใจกับความทุ่มเทซ้อมของตัวเอง
“แสดงเหมือนเสียจิ้งจกไปจริงๆ เลย”
มือที่กำลังจรดคำว่า ‘ระ’ ชะงักกึก
“อะไรนะ”
“ผมแต่งเพลงนี้ตอนจิ้งจกที่เลี้ยงไว้ตาย ชื่อแชมปิญอง”
“...”
“นายแสดงเก่งมาก!”
เตโชช่างพยายามนัก อุตส่าห์เค้นพลังงานอันน้อยนิดในการเพิ่มน้ำหนักของน้ำเสียงช่วงท้ายประโยคเพื่อให้ผมมีอารมณ์ร่วมกับคำเยินยอสรรเสริญหวังลายเซ็น แต่โทษทีเถอะ ตั้งแต่ได้ยินคำว่าแชมปิญองผมก็เริ่มขยำกระดาษแล้ว พอเขาย้ำคำหนักแน่นก็เขวี้ยงก้อนขยะลงพื้นทันที เป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติของร่างกายที่ทำไปแล้วถึงเพิ่งตั้งสติได้
“ลายเซ็...”
“ไปขอกับจิ้งจกเลยไป๊!” ผมหัวเสียและเกรี้ยวกราด เดินหนีโดยไม่สนใจเตโชที่ยืนหน้ามึนอย่างทำอะไรไม่ถูก คล้ายจะได้ยินเสียงซุบซิบนินทาถึงการกระทำของผม แต่ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่านั้น...นั่นคือ...ผมจะแยกภาพของเสี่ยกับจิ้งจกออกจากกันได้ยังไงตอนถ่ายทำส่วนที่เหลือ
อุตส่าห์ทุ่มซ้อมมาตั้งนานจะทำพังเพราะแชมปิญองได้ยังไง ยาดม...ขอยาดมให้ผมที!!
-------
สวัสดีค่ะ กลับมาอัพต่อกันแล้วกับเรื่องราวของจิระ และเปิดตัวพระเอกของเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ ขอเสียงปรบมือให้กับเตโชคนมึน และจิระผู้เกรี้ยวกราดกันด้วยนะคะ (แปะๆๆ) เริ่มต้นเส้นทางสายบันเทิงของหนูจิกันแบบพอหอมปากหอมคอ เราตั้งใจให้พระเอกในซีรีส์ชุดนี้ ( รวมเรื่อง I’M NOT HIM ด้วย ) ออกแนวเพ้อๆ มึนๆ อึนๆ ไม่ค่อยจะมีสติ ฉะนั้นอย่าได้คาดหวังเตโชมาก อย่างที่เคยเกิดกับเสี่ยมาแล้ว แต่ขอเอาชื่อเสียงเป็นประกัน! ว่าเตโชจะมีบทเยอะกว่าเสี่ย และน่ารักน่าเอ็นดูกว่าเสี่ยค่ะ! 555
สำหรับแทกเรื่องนี้เรานึกอะไรไม่ออกเลยนอกจาก #จิระผู้เกรี้ยวกราด
ขอฝากลูกชายที่ออกจะซึนๆ คนนี้ด้วยนะคะ
เพจนักเขียนที่ส่งของขวัญเปิดเรื่องให้จิระเป็นยาดมหนึ่งกระเช้าปล.ขอย้ำว่าคมสันมีคู่แล้ว อย่าโดนเคมีคู่นี้หลอกนะคะ อารมณ์ตอนแต่งคือแม่เลี้ยงใจร้ายกับจิเดอเรลล่าค่ะ