ตอนที่ 1จำได้ว่าตอนอยู่มอ 1 ไอ้กวิ้นตัวเก้งก้าง มันตัวสูงแต่ผอมแห้งแรงน้อย คงเพราะไม่ชอบออกกำลังกาย วันๆ เอาแต่เล่นเลโก้ ต่อจิ๊กซอว์ หรือหมกตัวอยู่ในห้องนอนท่ามกลางฟิกเกอร์การ์ตูนตัวโปรด แผ่นการ์ตูนลิขสิทธิ์ หนังสือการ์ตูนโคนันที่มันมีเก็บทุกภาค มันไม่มีเพื่อนสนิทเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงพี่แต้วพี่เลี้ยงที่เป็นเพื่อนเล่นมาตั้งแต่ยังเด็ก
ไอ้กวิ้นมักจะสวมเสื้อนักเรียนตัวใหญ่กว่าตัวมันเอง ยัดเสื้อเข้าในกางเกงและกลัดกระดุมทุกเม็ดอย่างเรียบร้อย มันมักจะใส่แว่นตาใหญ่กว่าใบหน้า จนดูเหมือนนกฮูก ทั้งๆ ที่สายตาไม่ได้สั้นไม่ได้เอียง แต่เพราะคอสเพลย์เป็นเอโดงาวะ โคนัน มันจึงยอมโดนล้อว่าเป็นไอ้แว่นหน้าจืด
ไอ้กวิ้นใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว เคยคิดว่าจบชั้นประถมแล้วมาสอบเข้ามอต้นที่โรงเรียนชายล้วนจะมีเพื่อนเหมือนอย่างใครเขาบ้าง แต่ตั้งแต่งานปฐมนิเทศน์มาจนถึงเปิดเรียนได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ไอ้กวิ้นก็ยังไม่มีเพื่อนสนิทเลยสักคน ไม่มีใครชวนเข้ากลุ่ม มีแต่หัวหน้าห้องที่มักจะคุยกันเรื่องเวรทำความสะอาด หรือสมุดการบ้านที่มาทวงให้มันรีบส่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้มันจึงพกข้าวกล่องรูปโคนันไปกินที่โรงเรียนเป็นประจำ เพราะไม่มีเพื่อนนักเรียนคนไหนมาชวนมันไปกินข้าวที่โรงอาหารด้วย แต่มันไม่เดือดเนื้อร้อนใจ มันมักจะพกฟิกเกอร์คุโด้ ชินอิจิมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยเสมอ พักเที่ยงทีไรก็นั่งเปล่าเปลี่ยวอยู่ที่โต๊ะเรียนหลังสุดมุมห้อง โชคดีที่โต๊ะของมันอยู่ริมหน้าต่าง มองเห็นท้องฟ้าสีสวย สายลมที่พัดมายามเปิดหน้าต่างก็เย็นสบาย ทั้งโต๊ะเรียนข้างหน้าโต๊ะมันก็ว่างเปล่า เพราะมีเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หัวมาโรงเรียน ไอ้กวิ้นจึงได้รับความเป็นส่วนตัวสุดๆ
แต่แล้ว...ในเช้าวันจันทร์ ครูนิสาเจ้าระเบียบที่เป็นครูประจำห้อง ม. 1/1 ซึ่งเป็นห้องเด็กกิฟท์ฟิสิกส์ก็พาเด็กผู้ชายหัวเกรียนมาแนะนำตัวกับเพื่อนๆ ในชั่วโมงโฮมรูม
‘เด็ก ๆ คะ เงียบ ๆ ก่อนค่า เอ้า แนะนำตัวเลยลูก’
ไอ้หัวเกรียนยิ้มแฉ่ง กระเป๋าที่มันสะพายก็ใหญ่เกินตัว แถมยังดูหนักราวกับใส่หนังสือเรียนกับสมุดมาทุกเล่ม
‘สวัสดีทุกๆ คน เราชื่อเสมอ ท่านบิดาของเราชื่อสมาน คุณหญิงแม่ของเราชื่อเสมือน เสด็จพี่ของเราชื่อสมัย เราเพิ่งมาเรียนวันนี้เป็นวันแรกเพราะเราทะเลาะกับคุณหญิงแม่เรื่องจะทำนม คุณหญิงแม่เลยขังเราไว้...’
ไอ้หัวเกรียนยังสาธยายไม่ทันจบ ครูนิสาก็ขัดขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนทั้งห้อง
‘เอ่อ เสมอ ครูว่าหนูไปนั่งที่ดีกว่าค่ะลูก ไปค่ะ โต๊ะที่ว่างนั่นแหละ’
‘แต่ผมยังแนะนำตัวไม่จบเลยนะครับครู’ เด็กชายเสมอเถียง มันไม่ยอมไปนั่งที่
‘เฮ้ย ไอ้เหมอ มึงจะทำนมทำไมวะ ฮ่าๆๆๆๆ มึงเป็นตุ๊ดไง!’ ไอ้ช้าง หัวโจกจอมเกเรที่แผลงฤทธิ์ว่ามันคุมห้องม. 1/1 ตั้งแต่เปิดเทอมตั้งคำถาม
‘จะทำก็เรื่องของกู มึงเสือกไร’
‘อ้าว ไอ้นี่! เดี๋ยวเถอะมึง!’
‘เอาล่ะๆ เด็กๆ คะ ไม่ทะเลาะกันค่ะ เสมอ ไปนั่งที่ไป’
‘ไปก็ได้ แต่ถ้าใครอยากฟังเราเล่าต่อ มาหาเราที่โต๊ะนะ’ เด็กชายเสมอยังยืนยันจุดประสงค์ที่จะเล่าเรื่องแนะนำตัวของมัน แล้วก็เดินแบกกระเป๋าเป้หนักๆ ไปที่โต๊ะ มันนั่งลงแล้วซัดกระเป๋าลงพื้นดังตุบจนไอ้กวิ้นที่ลอบมองอยู่สะดุ้งเฮือก
‘มองไรนกฮูก’
ไอ้กวิ้นรีบส่ายหน้า ไอ้หัวเกรียนมันดูท่านักเลงไม่เกรงกลัวใคร ดูอันตรายจนไม่น่าเข้าใกล้ ทั้งไอ้ช้างหัวโจกเด็กเกเรก็หมายหัวมันไว้แล้วด้วย ไม่ยุ่งด้วยเป็นดีที่สุด ไอ้กวิ้นยังอยากใช้ชีวิตสงบ
‘มึงเป็นใบ้เหรอ ถามก็ไม่ตอบ’ แต่ไอ้เกรียนมันไม่หยุด มันนั่งหันหลังพิงหน้าต่าง แล้วหันหน้ามาถามไอ้กวิ้น ไม่สนใจครูนิสาที่กำลังพูดอยู่หน้าห้อง ไอ้กวิ้นได้แต่คิดในใจว่าไอ้หมอนี่มันกวนตีนยิ่งกว่าไอ้ช้างที่ตั้งตัวเป็นหัวหน้านักเลงในห้องเสียอีก
‘เปล่า’ ไอ้กวิ้นตอบเสียงเบาพลางหลบตา ‘กูไม่ได้ชื่อนกฮูก กูชื่อเพนกวิ้น’
คงเป็นครั้งแรกที่ไอ้กวิ้นได้แนะนำชื่อของมันกับเพื่อนในห้อง เพราะที่ผ่านมามีแต่คนเรียกมันว่าไอ้แว่นทั้งนั้น
‘กูชื่อเสมอมาจนถึงเมื่อวานอ่ะ วันนี้เปลี่ยนเป็นชื่อซัมเมอร์ละ เก๋ๆ’
ไอ้กวิ้นได้แต่คิดในใจ เก๋ๆ บ้านมึงสิ
‘หน้ามึงเหมือนนกฮูก ทำไมชื่อเพนกวิ้นล่ะ’
‘ไปถามแม่กูดิ’
‘เอาเบอร์แม่มึงมา’
ไอ้ห่า! กูประชด!
‘ทำหน้าเหมือนจำเบอร์แม่ตัวเองไม่ได้ ช่างเถอะ ไม่ใช่มึงคนเดียวหรอก กูก็จำเบอร์คุณหญิงแม่ไม่ได้ มองไรไอ้ช้าง มึงอยากมีเรื่องเหรอ’
ไอ้กวิ้นได้แต่อ้าปากค้าง มองไอ้หัวเกรียนด้วยความทึ่งจัด มันมาถึงห้องเรียนยังไม่ถึงชั่วโมงดีด้วยซ้ำก็สร้างศัตรูเสียแล้ว
‘มึงรู้ได้ไงว่ากูชื่อช้าง’ ไอ้ช้างมันก็ทึ่งเหมือนกัน แต่เป็นทึ่งในเรื่องอื่น
‘ตัวมึงเล็กเท่ามดไง ตัวใหญ่อย่างกะช้าง’
‘ไอ้เหี้ยนี่ พักเที่ยงเจอกันหลังโรงยิมเลยมึง’
‘ไปเจอทำไมที่นั่นวะ จะชวนกูไปกินข้าวเหรอ กูไม่ไปอ่ะ คุณหญิงแม่ตัดค่าขนมกู กูเลยพกข้าวมากินเอง นี่เสด็จพี่ทำให้ อร่อยเด็ด ไอ้นกขาสั้น กินด้วยกันกับกูป่ะ’
ไอ้กวิ้นแทบลืมหายใจ ไอ้หัวเกรียนมันเป็นคนกวนตีนที่ไม่แคร์อะไรในโลกทั้งสิ้น ลักษณะนิสัยเหมือนเด็กที่โดนสปอยล์อย่างหนัก เอาแต่ใจที่หนึ่งในโลกเลยก็ว่าได้ ทั้งมันยังทำตัวเหมือนเป็นจุดศูนย์กลางในจักรวาล มองไม่เห็นหัวไอ้ช้างที่กำลังเดือดดาลเลยสักนิด
‘นกขาสั้น?’
‘อือ เพนกวิ้นมันขาสั้นอ่ะ เผื่อมึงไม่รู้ เดี๋ยวกูหารูปให้ดู’ ว่าแล้วไอ้เกรียนมันก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดนั่นกดนี่อยู่แค่ไม่กี่นาทีก็ยื่นมาให้ไอ้กวิ้นที่รับมาดูอย่างงงๆ
‘นกเพนกวิ้นขาสั้นใช่ไหมล่ะ’
‘อือ แล้วเกี่ยวไรกับกูอ่ะ’
‘มึงชื่อเพนกวิ้นนี่’
‘-_- อ๋อ เหรอ’
‘ไอ้เหมอ!’ ไอ้ช้างตะเบ็งเสียง เล่นเอาไอ้กวิ้นสะดุ้งโหยง แต่ไอ้เหมอไม่สะทกสะท้าน คงเพราะครูนิสาออกไปจากห้องแล้ว ไอ้ช้างมันก็เลยเริ่มแผลงฤทธิ์ ลิ่วล้อของมันก็ประกบข้างอย่างกับในหนังนักเลงจนไอ้กวิ้นแอบเบะปาก แต่ไอ้ช้างมันดันเห็นเข้าพอดี
‘มึงมีปัญหากับกูรึไงไอ้แว่น ตุ๊ดไม่มีเพื่อนคบอย่างมึงอยากโดนตีนไปด้วยไงวะ’
ไอ้กวิ้นรีบส่ายหน้า ให้เป็นศัตรูกับไอ้ช้าง ไอ้กวิ้นไม่เอาเด็ดขาด โดนช้างเหยียบ นกอย่างมันคงแบนติดพื้นอย่างไม่ต้องสงสัย
‘มึงเป็นลูกครึ่งใช่ปะ’ ไอ้เกรียนมันถามพลางยักคิ้วยียวน ‘ครึ่งช้างครึ่งหมาแน่อ่ะกูว่า ตัวอย่างกะช้าง แต่ปากอย่างกะหมา’
‘ไอ้เหี้ยเหมอ มึงลุกขึ้นมา!’
ไอ้กวิ้นอยากบอกไอ้เกรียนเหลือเกินว่าอย่าไปทะเลาะกับไอ้ช้างเลย ได้ไม่คุ้มเสีย ตัวไอ้เกรียนมันก็เล็กกว่า ถูกรุมก็คงไม่มีใครเข้ามาช่วย เพราะไม่มีใครกล้ามีปัญหากับไอ้ช้างที่นอกจากจะตัวใหญ่แล้ว พ่อมันยังเส้นใหญ่อีกด้วย
‘มึง อย่าไปมีเรื่องกับมันเลย’ ไอ้กวิ้นเตือนเบาๆ แต่ไอ้เกรียนมันฟังเสียที่ไหน มันลุกขึ้นไปประจัญหน้ากับไอ้ช้างทั้งยังกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายอีกด้วย เพื่อนโต๊ะใกล้เคียงรีบลุกหนี แหวกทางให้พวกมันได้มีเรื่องกันทันที คงมีแต่ไอ้กวิ้นที่ไม่อยากให้ไอ้เกรียนที่ถามชื่อมันคนแรกต้องเดี้ยงเข้าโรงพยาบาลไปเสียก่อน
‘ไอ้เหมอ พอเถอะ ช้าง กูขอโทษแทนมันด้วย มันเพิ่งเข้าเรียน ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใคร’ ไอ้กวิ้นรีบเข้าไปดึงแขนไอ้เกรียนไว้ เห็นไอ้ช้างแสยะยิ้ม ท่าทีดูกร่างเต็มที
‘หึ มึงพูดดีนี่หว่าไอ้ตุ๊ด มึง...’
ผลัวะ!
ไอ้ช้างมันยังพูดไม่ทันจบ ไอ้เกรียนมันก็ต่อยเข้าให้ มันตัวเล็กแต่หมัดคงหนักน่าดู เพราะไอ้ช้างถึงกับล้มลงกับพื้น เลือดกลบปาก เพื่อนในห้องต่างก็พากันร้องเฮ้ยกันทุกคน
‘ที่บ้านไม่สอนเหรอว่าห้ามเหยียดเพศ ไอ้เพนกวิ้นมันจะเป็นเพศไหนไปหนักหัวมึงรึไง กูไม่ชอบคนที่ดูถูกคนอื่น พูดให้กูได้ยินอีกมึงฟันร่วงแน่ไอ้ช้าง’
ถ้าคิดว่าไอ้ช้างมันจะจอดแค่หมัดๆ เดียว คงคิดผิด เพราะพอมันลุกขึ้นมาได้ก็เข้ามาตะลุมบอนกับไอ้เกรียนทันที ไอ้กวิ้นก็โดนลูกหลงไปด้วย แต่ไม่ได้โดนจากไอ้ช้าง โดนเพราะไอ้เกรียนมันถีบออกมาจากวงต่างหาก
จำได้ว่าหลังจากนั้น หัวหน้าห้องไปตามครูนิสามา แล้วไอ้เกรียนกับไอ้ช้างก็ถูกพักการเรียน ไอ้เกรียนมันโดนหนักสุดเพราะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน และไอ้ช้างมันก็เจ็บหนัก หัวแตก แขนเดี้ยงเพราะดันโดนทุ่มลงกับพื้นไปสองครั้ง แต่ไอ้เกรียนมันกลับมีแค่รอยช้ำที่มุมปากเล็กน้อยเท่านั้น
อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ไอ้เกรียนมันก็โผล่หน้าที่มีรอยยิ้มแฉ่งตามแบบฉบับของมันมาที่โรงเรียนตามเดิม ทั้งๆ ที่คิดว่าจะไม่ได้เจอหน้ามันอีกเป็นเดือนๆ
‘มองเหมือนกูเป็นของแปลก’
‘ก็ คิดว่ามึงน่าจะโดนพักการเรียนนาน ชกต่อยก็โทษหนัก’
‘อ๋อ ความจริงไม่โดนหรอก ลุงกูเป็น ผอ.’
ไอ้กวิ้นเบะปากด้วยความหมั่นไส้ ‘แล้วมึงหายไปไหนมา’
‘ทะเลาะกับคุณหญิงแม่เรื่องเดิมก็เลยโดนขัง’
ไอ้กวิ้นเลิกสนใจหนังสือการ์ตูนที่กำลังอ่านแล้วเพ่งมองไอ้เกรียน ‘ทำไมมึงอยากทำนมอ่ะ’
‘อยากมีนม ก็เลยอยากทำ’
‘มึงอยากเป็นผู้หญิงเหรอ’
ไอ้เกรียนส่ายหน้า ไอ้กวิ้นก็คิดว่าแมนๆ อย่างไอ้นี่คงไม่มีใจตุ้งติ้งเป็นหญิงแน่แท้
‘คุณหญิงแม่ไม่เคยเข้าใจกูเลย ขนาดพี่ชายกูช่วยพูดก็ยังไม่ยอม’
ไอ้กวิ้นตาเหลือก อยากเห็นหน้าพี่ชายของไอ้เกรียนมันเหลือเกิน ทำไมถึงได้สนับสนุนและส่งเสริมได้
‘แล้วไอ้ช้างมันยังไม่ออกจากโรงบาลอีกเหรอ’
‘อือ เห็นครูนิสาบอกว่าพ่อมันให้นอนดูอาการ’
‘สำออย แขนเดี้ยงไม่ใช่ขาหัก ทำมาเรื่องใหญ่ คิดจะเป็นนักเลงแต่แม่งทำตัวลูกแหง่ กูนี่กลับบ้านไปโดนคุณหญิงแม่เฆี่ยนด้วยหวายอีกสิบที แต่พ่อไอ้ช้างนี่โอ๋ลูกสุด ดีที่เป็นลูกน้องพ่อกู พ่อมันก็เลยยอมความ’
‘พ่อมึงเป็นทหารเหรอ’
‘อือ ได้เป็นนายพลแล้วทำกร่างสุด ตอนเป็นแค่ร้อยตรียังไม่เท่านี้’ ไอ้เกรียนมันนินทาพ่อให้ไอ้กวิ้นฟังเสียอย่างนั้น ‘พี่หมัยก็โดนบังคับไปเป็นนายร้อย ดีหน่อยที่พี่กูไม่ท่ามาก’
‘ดูมึงรักพี่มากเลย’
‘อือ ก็พี่หมัยตามใจกูอ่ะ’
ไอ้กวิ้นพยักหน้า จากนั้นมันก็นั่งฟังไอ้เกรียนเสมอโม้เรื่องพี่ชายไปเพลินๆ ไอ้กวิ้นเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง ก็เลยไม่ค่อยเข้าใจฟิลลิ่งในการมีพี่ชายนัก แต่จากการที่ฟังไอ้เหมอมันเล่า ก็สรุปใจความได้ว่า พี่ชายของมันเป็นคนดีมาก และไอ้เหมอก็เป็นน้องที่ชั่วมากจริงๆ
หลังจากนั้น...ไอ้กวิ้นก็สนิทกับไอ้เหมอไปแบบงงๆ ไอ้เหมอมันมักจะหันหลังพิงหน้าต่างแล้วหันหน้ามาชวนคุยด้วยเสมอ พักเที่ยงก็จะนั่งกินข้าวด้วยกัน มีหลายคนที่มาชวนไอ้เหมอเข้ากลุ่มเพราะความเจ๋งที่ล้มไอ้ช้างได้ และเพราะมันเก่งไปเสียทุกอย่าง ทั้งเรียนทั้งกีฬา กิจกรรมของโรงเรียนมันก็ไม่เคยพลาด ลงแรงช่วยเต็มที่ ทั้งยังลากไอ้กวิ้นไปลำบากด้วย แต่ไอ้เหมอมันก็ไม่สนใจ มันยังคงตัวติดกับไอ้กวิ้น นั่งคุยงุ้งงิ้งกันสองคนจนมีหลายๆ คนเข้าใจผิดว่าพวกมันคบหาดูใจกันอยู่ ซึ่งไอ้เหมอไม่แก้ข่าวเพราะมันไม่สนใจ ไอ้กวิ้นก็ไม่ได้พูดแก้ต่างอะไรเพราะในหัวใจของมันมีแต่เพียงคุโด้ ชินอิจิเท่านั้น ความจริงเป็นอย่างไร มันกับไอ้เหมอรู้ดี
แต่แล้ว...หัวใจของไอ้กวิ้น ที่มีแต่เพียงคุโด้ ชินอิจิ ก็ถูกสั่นคลอน มันสั่นและเต้นแรงเมื่อวันหนึ่ง มันได้เจอกับ...
‘พี่หมัยยยย นี่เพื่อนเหมอเอง ชื่อเพนกวิ้น’
นักเรียนนายร้อยสมัย ตัวสูง ร่างกายกำยำ หัวเกรียน แต่ตัวไม่ดำ ผิวหน้าก็ไม่หยาบกร้านเหมือนที่ไอ้กวิ้นจินตนาการไว้ พี่สมัยของไอ้เหมอมีใบหน้าคมคาย แตกต่างจากน้องชายลิบลับ พี่สมัยคงได้รับความหน้าตาดีมาจากคุณหญิงแม่ของไอ้เหมออย่างที่ไอ้กวิ้นเคยเห็นตอนงานวันแม่ของโรงเรียน ส่วนไอ้เหมอนั้น...คงได้หน้าตามาจากพ่อ ซึ่งมันเคยเถียงคอเป็นเอ็นว่ามันได้หน้าสวยๆ มาจากแม่ของมัน
‘หวัดดีครับ’ พี่สมัยของไอ้เหมอนั้นไม่ได้ดูใจดีอย่างที่ไอ้เหมอบอก เพราะหน้าตาเรียบตึง แผ่นหลังตั้งตรงมีมาด จะบอกว่าท่ามากก็ยังได้
ไอ้กวิ้นยกมือไหว้ พี่ชายของไอ้เหมอก็แค่มองเพียงแว้บแล้วหันกลับไปสนใจน้องชายของตัวเองต่อ จากที่คิดว่าคงตามใจน้องมาก ไอ้กวิ้นก็ต้องเปลี่ยนความคิด... เพราะพี่สมัยที่ไอ้กวิ้นเห็นนั้น...เข้าขั้นโรคจิตติดน้อง ไอ้เหมออยู่มอหนึ่งแล้วก็ยังถูกอุ้มเหมือนเด็กน้อย
‘พี่หมัยๆ พาไอ้กวิ้นไปกินข้าวด้วยนะ พ่อแม่มันไม่อยู่บ้าน มันกินข้าวคนเดียว มันเหงา’
‘โอเคครับ’
ไอ้กวิ้นอ้าปากบอกไม่ทันว่ามันไม่ได้เหงาอะไร มันชินเสียแล้ว เพราะพ่อกับแม่ไปต่างจังหวัดบ่อย พวกท่านมักจะไปกับคณะผ้าป่า หรือทอดกฐิน เดินสายทำบุญ มันตามไปด้วยบ้างบางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็จะอยู่บ้านกับพี่แต้ว
‘เอากระเป๋ามา’ พี่ชายของไอ้เหมออุ้มไอ้เหมอไปที่รถแล้ว ก่อนจะเดินกลับมาหาไอ้กวิ้นที่ยืนเก้ๆ กังๆ ‘หนักไม่ใช่เหรอ’
‘ไม่หนักเลยครับ ไม่เป็นไร ผมถือได้’ ไอ้กวิ้นรีบปฏิเสธ แต่พี่ไอ้เหมอก็เหมือนไอ้เหมอ คือเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ฟังใคร แย่งกระเป๋าไปถือแล้วจับแขนไอ้กวิ้น ลากเดินตาม ไอ้กวิ้นมันก็ได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออก เพราะในชีวิตไม่ค่อยได้เจอคนแบบนี้เท่าไหร่นัก พ่อกับแม่ของมันก็เป็นคนอ่อนหวาน ธรรมะธรรมโม พูดจาเชื่องช้า ไม่เคยตีหรือบังคับ มาเจอสองพี่น้องหมัยเหมอนี่ถึงกับไปไม่เป็น
พอขึ้นนั่งรถคันหรูของพี่ชายไอ้เหมอแล้ว ก็ถึงเวลาเลือกว่าจะกินอะไรกัน ไอ้เหมอที่ไม่ชอบคิดก็ให้ไอ้กวิ้นเป็นคนตัดสินใจ อาหารมื้อแรกกับพี่สมัยและไอ้เหมอจึงเป็นอาหารญี่ปุ่นที่ไอ้กวิ้นชอบ พี่สมัยก็ไม่ขัด พาเด็กทั้งสองคนไปร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังตามคำร้องขอ
ไอ้กวิ้นแอบมองพี่ชายของไอ้เหมอเงียบๆ ไม่ใช่มองเพราะพี่ของไอ้เหมอหน้าตาดี แต่มองเพราะไม่เคยเห็นพี่ชายคนไหนเป็นเหมือนพี่ของไอ้เหมอ พี่สมัยนั้นแทบจะเป็นแขนขาของไอ้เหมอเลยก็ว่าได้ ทั้งป้อนข้าวน้อง เทน้ำให้น้องดื่ม ดูแลน้องจนตัวเองยังไม่ได้กินเลยสักคำ และการดูแลเอาใจใส่เหล่านั้นก็เผื่อแผ่มาให้ไอ้กวิ้นด้วย
‘กินเยอะๆ นะ’ พี่สมัยบอก พลางคีบเนื้อปลาแซลม่อนหวานๆ มาให้ ไอ้กวิ้นพยักหน้าแล้วบอกขอบคุณเบาๆ
‘ขอบคุณครับ’ ไอ้กวิ้นยิ้มแย้ม เริ่มเข้าใจไอ้เหมอขึ้นมาบ้างแล้วว่าทำไมถึงได้รักพี่ชายของมันหนักหนา ‘พี่หมัยไม่กินบ้างเหรอ’
‘พวกเรากินก่อนเลย น้องเหมอเอาอะไรอีกไหม’ ความจริงก็ไม่ได้ดูท่ามากเลย กลับใจดีมากเสียด้วย
‘ไม่อ่ะ อิ่มแล้ว’
‘กวิ้นล่ะ’
‘เหมือนกันครับ’
พี่สมัยพยักหน้า พอไอ้เหมอกินอิ่มแล้ว ก็ลงมือทานบ้าง ระหว่างนั้นไอ้เหมอก็ชวนไอ้กวิ้นคุย เรื่องสัพเพเหระต่างๆ นินทาไอ้ช้างที่เพิ่งกลับมาเข้าเรียนและเป็นโรคกลัวไอ้เหมอขึ้นสมอง ไอ้กวิ้นมันก็หัวเราะไปด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะแอบมองพี่ชายของไอ้เหมอมากกว่า เพราะท่วงท่าของพี่สมัยนั้นน่ามอง บุคลิกก็ดี ตอนกินก็ไม่มูมมาม ด้วยเหตุนั้นพอพี่สมัยเงยหน้าขึ้น จึงมักจะสบตากับไอ้กวิ้นที่เผลอมองอยู่บ่อยครั้ง แต่ละครั้งก็จะยักคิ้วให้ ไอ้กวิ้นมันก็หลบตาบ้าง ยิ้มกลับไปบ้าง โดยที่ไอ้เหมอมันไม่ได้รู้เลย มันเป็นเด็กช่างจ้อที่เอาแต่พูดเรื่องของมัน สนใจเรื่องของตัวมันเองเท่านั้น
‘กวิ้น พี่ขอไลน์หน่อย’
พี่สมัยมาส่งไอ้กวิ้นที่บ้าน พอลงจากรถแล้วพี่ชายไอ้เหมอก็ตามลงมา โดยที่ไอ้เหมอมันนั่งเล่นเกมรอในรถ
‘เอาไปทำไมอ่ะ’ ไอ้กวิ้นถามด้วยความงง แต่ในวันนั้นพี่ชายไอ้เหมอไม่บอกเหตุผล ไอ้กวิ้นมารู้เอาคำตอบก็ตอนที่ข้อความแรกถูกทักมาหลังจากสองวันที่ได้ไอดีไลน์ไป
‘น้องเหมอทำอะไรอยู่ ถ่ายรูปมาให้ดูหน่อย’
ไอ้กวิ้นได้แต่ขำอยู่ในใจ เพราะเหตุผลที่ขอไลน์ก็แค่อยากตามติ่งชีวิตน้องชายของตัวเองเท่านั้น และหลังจากนั้น ไอ้กวิ้นก็กลายเป็นคนส่งข่าวไอ้เหมอให้พี่ชายสมัย ทุกท่วงท่า ทุกอิริยาบถ ทุกการกระทำในชีวิตของไอ้เหมอถูกรายงานละเอียดยิบเพราะพี่สมัยนั้นติดน้องหนักมาก ไลน์มาหาไอ้กวิ้นทุกวัน คุยกันทุกคืนก็มีแต่เรื่องของไอ้เหมอ แต่ไอ้กวิ้นไม่เคยรู้สึกรำคาญ มันกลับแปลกใจที่ตัวมันมักจะรอให้พี่ชายของไอ้เหมอทักไลน์มา
จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ที่ไอ้กวิ้นคุยกับพี่ชายของไอ้เหมอ เริ่มแรกก็รายงานชีวิตประจำวันของไอ้เหมอ แต่ไม่รู้ว่าตอนไหน ที่เปลี่ยนมาคุยกันเรื่องอื่น และรู้ตัวอีกที...ไอ้กวิ้นก็มีทั้งเฟซส่วนตัว มีทั้งเบอร์ส่วนตัว มีทั้งไอจีที่เป็นแอคเค้าท์ของพี่ชายไอ้เหมอ ทั้งยังรู้รหัสผ่านเฟซของกันและกัน
กวิ้นกวิ้น: พี่หมัยยยยยยยย ทานข้าวด้วยน้า
เป็นปกติที่ทักแชทไปตอนเที่ยงแล้วจะไม่ได้รับการตอบกลับ เพราะพี่สมัยคงกำลังเรียนอยู่เป็นแน่ แต่แค่ได้ฝากข้อความไว้ ไอ้กวิ้นก็สุขใจ
กวิ้นกวิ้น: พี่หมัย วันนี้ได้วิ่งด้วย เหนื่อยมากเลย ไอ้เหมออย่างกะนักวิ่งทีมชาติ มันวิ่งได้ที่หนึ่งอีกแล้ว T T
เป็นปกติที่มักจะรายงานชีวิตประจำวันให้พี่สมัยได้รับรู้
กวิ้นกวิ้น: พี่หมัย เย็นนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านอีกแล้ว แต่กวิ้นกินข้าวกับพี่แต้ว พี่หมัยกลับมาพาไปกินอาหารญี่ปุ่นด้วยน้า
เป็นปกติที่มักจะบอกว่าตอนเย็นกินข้าวกับใคร
กวิ้นกวิ้น: พี่หมัย กวิ้นอาบน้ำแล้ว แต่แชทกับไอ้เหมอเมื่อกี้ มันบอกคืนนี้จะไม่อาบน้ำ น้องพี่หมัยโคตรซกมกเลย เดี๋ยวจะต่อเลโก้ก่อนนอน พี่หมัยว่างก็ตอบหน่อยน้า
และเป็นปกติ ที่จะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองจนเกือบจะถึงเวลาเข้านอน
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: นอนยัง?
กวิ้นกวิ้น: ยังงงงงง
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: โทษที เพิ่งคุยกับเพื่อนเสร็จ
กวิ้นกวิ้น: ไม่เป็นไรอ่ะ รอได้
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: แล้วพ่อกับแม่ไปไหน
กวิ้นกวิ้น: ผ้าป่าที่อุดรอ่ะ
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: อยู่กับพี่แต้วสองคน ล็อคบ้านดีรึยัง
กวิ้นกวิ้น: อือ ดีแล้ว พี่หมัยกลับบ้านปะศุกร์นี้
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: กลับดิ
กวิ้นกวิ้น: ดีจัง
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: อยากเจอเหรอ?
กวิ้นกวิ้น: อื้อ
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: แต่กูไม่อยากเจอมึงอ่ะ
กวิ้นกวิ้น: T T ล้องห้ายยย
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: ไปนอนไป
กวิ้นกวิ้น: ทำไมอ่ะ พี่หมัยจะนอนแล้วเหรอ
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: ยัง มึงเป็นเด็กก็รีบนอน
กวิ้นกวิ้น: แต่อยากคุยกับพี่หมัยต่อ นะๆ
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: อ้อนว่ะ
กวิ้นกวิ้น: ตามใจเค้าหน่อย
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: olo เยอะๆ
กวิ้นกวิ้น: ของกวิ้นก็มี ไม่ต้องแจกอ่ะ ถึงจะอยากได้ก็เถอะ ฮิฮิ
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: ไอ้เด็กทะลึ่ง แล้ววันนี้มึงวิ่งแพ้เหรอ
กวิ้นกวิ้น: อือ ที่โหล่เลย ไอ้เหมอเข้าที่หนึ่งตลอด T T
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: ไม่ค่อยออกกำลังกายก็อย่างนี้ ตอนเช้าตื่นไปวิ่งบ้าง ไม่ใช่เอาแต่นอน
กวิ้นกวิ้น: กวิ้นเป็นนก วิ่งไม่เก่ง บินเก่งอย่างเดียว
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: นกเพนกวิ้นบินไม่ได้
กวิ้นกวิ้น: บินได้นะ แค่บินไม่เก่งเอง
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: ห้ามเถียงกู
กวิ้นกวิ้น: แง้วววว ไม่เถียงก็ได้ ยอมพี่หมัย อิอิ
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: ดีมาก วันศุกร์เย็นอยากกินไร
กวิ้นกวิ้น: อาหารญี่ปุ่น
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: ชอบกินปลาดิบมากสินะ -_-
กวิ้นกวิ้น: นกเพนกวิ้นชอบกินปลาล่ะ
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: เออๆ งั้นตอนนี้นกเพนกวิ้นอยากนอนยัง
กวิ้นกวิ้น: พี่หมัยบอกฝันดีก่อน
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: ฝันดี
กวิ้นกวิ้น: อยากได้ยินเสียงพี่หมัยบอกฝันดีอ่ะ
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: มึงนี่ บินไม่ได้แล้วยังเอาแต่ใจอีก
กวิ้นกวิ้น: ก็บอกว่าบินได้ไง พี่หมัยอ้ะ! โทรมาเลย
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: ครับๆ
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ไอ้กวิ้นก็ได้รับสายจากพี่ชายไอ้เหมอและได้ฟังคำว่า ‘ฝันดี’ ด้วยน้ำเสียงแข็งๆ จากนักเรียนนายร้อยสมัยที่ไม่ค่อยพูดจาหวานกับใครนอกจากน้องเหมอของตัวเอง
‘พี่หมัย โทรมาทุกคืนเลยนะ’
‘เปลืองค่าโทร’
‘งั้นกวิ้นโทรหาเองก็ได้’
‘หึหึ ดื้อจริงมึง ไว้กูโทรหา หาเงินเองยังไม่ได้ ไม่ต้องผลาญเงินพ่อแม่’
‘ครับผม พี่หมัยวางแล้วจะนอนเลยป่าว’
‘ยัง จะโทรหาน้องเหมอก่อน’
‘แล้วหลังจากโทรหาไอ้เหมอแล้วอ่ะ’
‘ก็คงนอน’
‘อื้ม งั้นพี่หมัยฝันดีน้า’
‘ครับ’
ไอ้กวิ้นวางสายด้วยความสุขใจ และมันเป็นอย่างนั้นทุกคืนตลอดหลายปี โดยที่ไอ้กวิ้นไม่เคยถามถึงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ว่ามันเป็นในรูปแบบไหน แค่เพื่อนน้องชาย แค่คนที่คุยด้วย หรือเป็นใคร มันไม่เคยถามเลยว่าพี่สมัยวางมันไว้ในฐานะไหน ความสัมพันธ์ที่แค่พูดคุย ไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีความเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรเกินเลย มีแต่ความรู้สึกของไอ้กวิ้น...ที่เกินเลยมากกว่าพี่ชายของเพื่อนอยู่ทุกวัน เพิ่มขึ้นและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแน่ใจแล้วว่า...มันได้ตกหลุมรักพี่ชายของเพื่อนสนิทเข้าให้แล้ว
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: ชื่อเฟซมึงนี่นะ -_-
นกเพนกวิ้นบินไม่ได้: ก็พี่หมัยบอกว่า นกเพนกวิ้นบินไม่ได้
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: อ่านหนังสือสอบยัง
นกเพนกวิ้นบินไม่ได้: อ่านแล้ว แต่ไม่เข้าใจ พี่หมัยโทรมาติวให้หน่อย
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: ให้น้องเหมอติวให้ดิ
นกเพนกวิ้นบินไม่ได้: ติวกับไอ้เหมอ โดนมันตบหัวทุกทีเลย บอกไม่เข้าใจก็โดนตบ ไอ้เหมออธิบายเร็ว พูดเร็ว ฟังไม่รู้เรื่อง
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: มึงมันหัวช้า โดนบ้างก็ดี หึหึ
นกเพนกวิ้นบินไม่ได้: ใจร้ายยยย
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: กูเคยใจดีด้วยเหรอ??
นกเพนกวิ้นบินไม่ได้: ง่ะ แล้วพี่หมัยอยู่ไหนอ้ะ
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: บ้าน
นกเพนกวิ้นบินไม่ได้: กลับบ้านไม่บอกอีกแล้ว
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: ต้องรายงานทุกเรื่องไง?
นกเพนกวิ้นบินไม่ได้: ก็ไม่...แต่คุยกัน พี่หมัยก็น่าจะบอก
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: โกรธ?
นกเพนกวิ้นบินไม่ได้: ไม่อ่ะ น้อยใจเฉยๆ
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: มาหน้าบ้านดิ พาน้องเหมอมาด้วย
นกเพนกวิ้นบินไม่ได้: ห้ะ?? หน้าบ้านกวิ้น
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: อืม เร็วๆ เลย ก่อนน้องเหมอจะเปลี่ยนใจไม่ติวให้
นกเพนกวิ้นบินไม่ได้: โหยยย นี่ตั้งใจมาเซอร์ไพรส์กวิ้นป้ะ
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: คิดว่าไง?
นกเพนกวิ้นบินไม่ได้: ต้องใช่ ต้องใช่แน่ๆ
สมัยพี่ชายน้องเสมอ: แล้วดีใจไหม?
นกเพนกวิ้นบินไม่ได้: มากกกกกกกกกก เดี๋ยวเจอกันน้าพี่หมัย
ไอ้กวิ้นแทบจะบินจากชั้นสองของบ้าน แต่มันก็นึกขึ้นได้ว่ามันบินไม่ได้ ก็เลยต้องรีบวิ่งลงบันไดแล้วสปีดตัวไปที่หน้าบ้าน ทำลายสถิติเวลาที่มันวิ่งในชั่วโมงพลศึกษาเสียอีก นกเพนกวิ้นตัวอื่นอาจจะขาสั้นวิ่งช้า แต่นกตัวนี้ ถ้าจุดหมายปลายทางเป็นพี่สมัยแล้ว มันวิ่งได้เร็วกว่าใครเพื่อนเลย
นกเพนกวิ้นบินไม่ได้ feeling Happy
ได้เจอแล้ว ดีใจจัง
.........................................................TBC...............................................................