[1]
ทั้งที่เกลียดนักกับเรื่องยุ่งยาก แต่ก็ยังเจอเรื่องยุ่งยากอีกจนได้..
“นะ ไอ้ปู่ มึงช่วยกูหน่อยไม่ได้เหรอวะ? ก็แค่ชวนมันออกมากินข้าวเอง” ปลายสายขอร้องด้วยน้ำเสียงเว้าวอน(ส้นตีน)ทำให้ผมต้องถอนหายใจหนักๆ อัดบุหรี่เข้าไปเต็มปอด ก่อนปล่อยควันสีขุ่นออกมาลอยอ้อยอิ่ง
“กูรับปากมันไว้แล้วว่าถ้าไม่เกินความสามารถก็จะหามาให้ กูไม่อยากผิดสัญญา แล้วก็ไม่เคยทำมาก่อนด้วย มึงก็ช่วยกูหน่อยเหอะน่า หลานกูก็เหมือนหลานมึงนั่นแหล่ะ แค่ของขวัญวันเกิดเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้มึงจะให้หลานไม่ได้เชียวเหรอวะ?”
“หลานสาวมึงอายุเท่าไหร่?” ผมถามกลับไป
“สิบหก”
“ไอ้เก้าอายุสิบเจ็ด.. มึงไม่รีบจับคู่ให้มันสมสู่กันเร็วไปหน่อยเหรอวะ?”
“ไอ้เหี้ย! กูไม่ได้จะให้มันสมสู่กัน มันก็แค่อยากจะกินข้าวกับไอ้เก้าที่มันแอบปลื้มมานานสักครั้ง ก่อนที่มันจะต้องย้ายตามพ่อแม่มันไปอยู่แคนาดา กูเห็นว่าไม่ได้เสียหายอะไร ก็เลยมาขอร้องมึงอยู่นี่ไง”
“แล้วหลานมึงรู้ได้ไงว่าไอ้เก้าเป็นหลานกู?”
“มันเคยเห็นมึงไปงานประชุมผู้ปกครอง แล้วก็เคยเห็นมึงมากินเหล้าบ้านกู ก็เลยรู้ว่ามึงเป็นเพื่อนกู เป็นปู่ไอ้เก้า”
“..........” ผมอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้ง..
ถึงจะเรียกว่า ‘ปู่’ ก็เหอะ แต่ปีนี้ผมเพิ่งจะสามสิบเองนะ ว่ากันตามจริง ด้วยวัยขนาดนี้ไม่น่าจะเป็นปู่ใครได้หรอก แต่ความจริงยิ่งกว่านั้นก็คือผมยังโสด ยังไม่มีเมีย ลูกยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ผมก็มีหลานปู่ตั้งแต่ตอนอยู่ ม.1 แล้วล่ะ ถ้าจะให้ลำดับญาติก็...วุ่นวายว่ะ เอาเป็นว่าพ่อผมกับทวดไอ้เก้าเป็นพี่น้องกัน ส่วนผมเป็นลูกคนสุดท้องจากเมียคนสุดท้ายของพ่อที่อายุห่างกันมากโข ผมก็เลยมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับปู่ของไอ้เก้า แล้วก็เลยมีศักดิ์เป็นปู่ของมันไปด้วย พอพวกเพื่อนสนิทรู้ว่าผมมีหลานปู่มันก็ล้อกันใหญ่ ไปๆ มาๆ มันก็พากันเรียกผมว่า ‘ไอ้ปู่’ ตั้งแต่ตอนนั้น
ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่หลานปู่ หลานตาผมก็มีแล้วเหอะ คาดว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าผมคงจะได้เป็น ‘ไอ้ทวด’ ของเพื่อนๆ อย่างไม่ต้องสงสัย จะขยันแพร่พันธุ์กันไปไหนวะ..
“นะปู่ ตกลงช่วยกูนะ?”
“เออๆ เดี๋ยวกูจะบอกมันให้ แต่มันจะไปไม่ไปกูไม่รู้นะ” ผมตอบอย่างตัดรำคาญพลางขยี้บุรี่ดับกับราวระเบียง
“เฮ้ย! มึงก็บอกให้มันไปให้ได้สิวะ?” เสียงตะโกนกลับมาทำให้ผมต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู
“จะตะโกนหาพ่อง.. เออๆๆ แล้วเมื่อไหร่ที่ไหนว่ามา?” ผมล้วงซองบุหรี่ออกจากกระเป๋าเสื้อ คาบเอาไว้มวนนึง หย่อนซองกลับที่เดิม แล้วล้วงเอาไฟแช็กจากกระเป๋ากางเกง
“เสาร์นี้ ที่ร้าน.... มึงก็มาด้วยนะ”
“จะให้ไปทำเหี้ยไรวะ?” ผมถามทั้งที่คาบบุหรี่ไว้ในปาก
“ก็วันนั้นกูไม่ว่าง ติดประชุมหุ้นส่วน แล้วกูก็ไม่อยากปล่อยให้มันไปกันแค่สองคน ยังไงหลานกูก็เป็นเด็กผู้หญิง”
“ยุ่งยากนักก็ไม่ต้องไป สิ้นเรื่อง”
“จริงๆ กูก็ไม่ได้อยากสนับสนุนมันเรื่องนี้หรอกนะ แต่เพราะสัญญาเอาไว้แล้วไง นะปู่นะ ช่วยกูหน่อย”
“..........” ผมพ่นควันอย่างรำคาญใจ ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กในห้อง หันไปมองก็เห็นไอ้เก้ามันกลับมาจากโรงเรียนแล้ว มันยิ้มให้และยกมือไหว้ผมตามปกติ ผมก็พยักหน้ารับส่งๆ ไปตามปกติเหมือนกัน
ไอ้นี่มันมาอยู่กับผมได้เกือบสี่ปีแล้ว พ่อมันย้ายไปทำงานที่ออสเตรเลีย แม่กับน้องสาวมันก็ย้ายตามไปอยู่ด้วย มีแต่มันนี่แหล่ะที่หน้ามึนดึงดันจะอยู่ต่อที่นี่ อ้างเหตุผลร้อยแปดจนพ่อแม่มันยอมใจอ่อน สุดท้ายภาระก็เลยมาตกอยู่ที่ผมซึ่งเสือกมาซื้อคอนโดอยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียนนานาชาติที่มันเรียนอยู่พอดี
จะว่าไปก่อนหน้านี้ครอบครัวเราก็ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมายหรอก ถึงจะใช้นามสกุลเดียวกันก็เหอะ แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็เพราะตอนที่ผมเข้าเรียนมหาลัยปีหนึ่ง แม่ผมก็เคยฝากให้ผมไปอาศัยบ้านมันอยู่ เพราะใกล้มหาลัยไปมาสะดวก ตอนนั้นไอ้เก้าเพิ่งจะห้าหกขวบเองมั้ง พอขึ้นปีสองผมถึงได้ย้ายออกมาอยู่หอคนเดียวตามประสาคนหนุ่ม เรียนจบแม่ก็ซื้อคอนโดนี้ให้เป็นของขวัญ
“ดินคร้าบ ดิ๊นนนนน” เสียงข้างๆ หูดึงความสนใจของผมออกจากหลานชายที่ตอนนี้กำลังเก็บกวาดบ้านด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
อันที่จริงการมีไอ้เก้ามาอยู่ด้วยก็ไม่ได้เป็นภาระนักหรอก ออกจะมีประโยชน์ด้วยซ้ำ ตั้งแต่มันมาอยู่ด้วยห้องผมก็สะอาดเอี่ยมอ่องทุกวัน กับข้าวก็ได้สารอาหารครบครันแถมรสชาติดีเยี่ยม ก่อนหน้านั้นน่ะเหรอ? นอกจากห้องจะรกประหนึ่งรังหนูยักษ์แล้ว อาหารก็มีแต่อาหารสำเร็จรูปที่กินง่ายๆ กันตายเท่านั้นแหล่ะ มันใส่ใจผมเสียยิ่งกว่าผมใส่ใจตัวเองซะอีก แต่ก็แค่นั้น ถ้าเลือกได้ยังไงคนขี้รำคาญอย่างผมก็ชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า ถึงมันจะผ่านมาเกือบสี่ปีแล้วก็เหอะ
“เออๆ แม่ง วุ่นวายกับกูจริง งั้นแค่นี้นะ ได้ไม่ได้ยังไงเดี๋ยวโทรไปบอกอีกที”
“เฮ้ย! ต้องได้ยังไงก็ต้อ..” ผมกดตัดสายก่อนที่ไอ้บ้านั่นมันจะได้โวยวายไปมากกว่านี้ ยืนสูบบุหรี่ต่อจนหมดมวน ถึงได้เปิดประตูระเบียงกลับเข้าไปในห้อง
“ไงมึง” ผมเอ่ยทักหลานชายที่ยืนยิ้มแป้นแล้นอยู่ เป็นภาพที่ชินตา ไม่รู้ชีวิตมีความสุขอะไรนักหนาวัยรุ่น
“วันนี้ปู่ดินอยากกินอะไร ผมกำลังจะลงไปซื้อของสดที่ซุปเปอร์พอดี”
“อาหารคนกูกินได้ทั้งนั้นแหล่ะ” ผมเดินไปทิ้งตัวบนโซฟา หยิบรีโมทกดเปิดโทรทัศน์
“กินสุกี้กันไหม?” มันยังเสนออย่างกระตือรือร้น
“อะไรก็เอาเหอะ.. เออ เสาร์นี้มึงว่างไหม?” ผมหันไปมองหลานชายอย่างพินิจพิเคราะห์เมื่อนึกถึงภารกิจน่ารำคาญที่รับปากเพื่อนอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
“ก็ไม่มีโปรแกรมอะไรพิเศษ ทำไมเหรอ?”
“..........” เด็กผู้หญิงคนนั้นปลื้มมันตรงไหน.. อืม จะว่าไปมันก็เป็นเด็กที่หน้าตาใช้ได้เหมือนกันนะ ..ไม่สิ มันหล่อเหลือกินเหลือใช้เลยล่ะ หน้าตาคมคายแบบลูกผสมเพราะแม่มันเป็นฝรั่งตาน้ำเขียวที่พูดไทยได้สำเนียงปวดตับมาก ตาสีน้ำตาลเข้ม ผมสีน้ำตาลอ่อนตามธรรมชาติ รูปร่างมันก็สูงใหญ่สมส่วนสมเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ แต่ปีนี้มันต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย เลยต้องงดบทบาทนักกีฬาไปก่อน ถึงแบบนั้นก็ยังหมั่นลงไปว่ายในสระของคอนโดเป็นประจำถ้ามีเวลา
“ปู่ดินมีอะไรหรือเปล่า?” คงเห็นผมเอาแต่มองโดยไม่พูด มันเลยกระพริบตาปริบๆ
“ปีนี้มึงสูงเท่าไหร่แล้ว?” ติดใจกับส่วนสูงมันนิดหน่อย ไม่ได้สังเกตมานาน มันสูงขึ้นอีกแล้วหรือเปล่าวะ?
“ร้อยแปดสิบสี่”
“เท่ากูแล้วดิ” ผมเลิกคิ้ว แปลกใจไม่น้อย คะเนจากสายตาก็ว่ามันสูงพอตัวอ่ะนะ แต่ไม่คิดว่าจะสูงเท่าผมแล้ว
“ผมยังสูงได้อีกนะ” มันยิ้มแฉ่ง ผมได้แต่จิ๊ปากเซ็งๆ ส่วนสูงที่ผมภูมิใจใกล้จะถูกไอ้หลานปู่ทำลายสถิติเอาแล้วสิ
“มึงมีแฟนยัง?” จากข้อสงสัยหนึ่งจึงนำไปสู่อีกข้อสงสัยหนึ่ง
“ยะ.ยัง..” มันตอบเบาๆ ก้มหน้ามองพื้น หูขึ้นสีแดง ..ถามแค่นี้ก็เขินเหรอวะวัยรุ่น?
“แต่ผมมีคนที่ชอบแล้วนะ” จู่ๆ มันก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องผมตาเป๋ง ทั้งแก้มทั้งหูแดงก่ำ มือก็กำชายเสื้อตัวเองไว้แน่น ทำผมอดแปลกใจไม่ได้ ตกลงกูมีหลานชายหรือหลานสาวแน่วะ? ขี้อายไปไหน?
“ชอบมานานแล้วด้วย..” มันบ่นงุบงิบ กลับไปจ้องหัวแม่โป้งตีนตัวเองเหมือนเดิม
“..........” ผมล่ะไม่เข้าใจพฤติกรรมวัยรุ่น ปล่อยผ่านไปก่อนแล้วกัน มันคงไม่ไปสร้างปัญหาให้ใครหรอกมั้ง
“แล้วเสาร์นี้...” พอมันเกริ่นขึ้นมา ผมก็เพิ่งนึกได้
“เออ เดี๋ยวเสาร์นี้ออกไปกินข้าวข้างนอกกัน”
“ปู่ดินจะออกไปกับผมเหรอ?” มันเงยหน้าขึ้นมองผม ทำตาโตเป็นประกายวิบๆ วับๆ
“เออ” อะไรมันจะดีใจขนาดนั้นวะ ก็แค่ออกไปกินข้าวข้างนอก ทำอย่างกับไม่เคย... เออ จะว่าไปก็แทบไม่เคยออกไปข้างนอกด้วยกันเลยนี่หว่า ปกติผมก็มักจะหมกตัวทำงานอยู่ที่ห้อง ไม่ก็ออกไปเดินเล่นคนเดียว ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ จะมีออกไปกับมันบ้างก็เฉพาะเวลาที่มีธุระ อย่างงานประชุมผู้ปกครองเป็นต้น
คิดๆ ดูแล้วผมก็เลี้ยงมันแบบทิ้งๆ ขว้างๆ เหมือนกันนะเนี่ย นี่ถ้าเกิดมันไม่ใช่เด็กดีแต่กำเนิด ป่านนี้ไม่เละเทะไปแล้วเหรอวะ? แต่จะมาโทษผมคนเดียวก็ไม่ถูก ก็คนมันไม่เคยต้องดูแลใครนี่หว่า แม้แต่ตัวเองก็เหอะ ไปๆ มาๆ ทุกวันนี้เลยกลายเป็นว่าหลานมาคอยดูแลผมแทนซะงั้น
“ไปกินข้าวอย่างเดียวเหรอ?” มันเดินมาเกาะโซฟา ถามแบบกระตือรือร้นสุดๆ
“เออ”
“ดูหนังด้วยได้เปล่า?” แน่ะ ไอ้นี่มีต่อรอง
“กูไม่ว่าง แต่กินข้าวเสร็จแล้วมึงอยากจะไปดูหนังต่อก็เรื่องของมึง”
“ปู่ดินไม่ไปกับผมเหรอ?”
“กูบอกว่าไม่ว่างไง”
“เดินเที่ยวล่ะ?”
“เอ๊ะ ไอ้นี่” ชักจะรำคาญ เซ้าซี้อะไรของมัน
“งั้นไม่เป็นไร ได้แค่กินข้าวก็ยังดี” มันพึมพำพลางยิ้มไม่หุบ
“อะไรของมึง?” ผมไม่เข้าใจมันเลยสักนิด
“เดี๋ยวผมลงไปซุปเปอร์ก่อนนะ” แล้วมันก็เขย่งก้าวกระโดดออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี..
“เป็นอะไรของมึง?” ผมหันไปถามไอ้เก้าที่นั่งหน้าบูดเป็นตูดห่าน หลังจากหลานสาวเพื่อนและเพื่อนของเธออีกคนพากันขอตัวไปห้องน้ำเมื่อครู่
“ปู่ดินหลอกผม” ตอบแล้วหน้ามันก็หักง้ำงอกว่าเดิมอีก ดูไม่ได้เอาซะเลย
“หลอกเหี้ยอะไร?”
“ปู่ดินบอกผมว่าจะพามากินข้าว”
“แล้วนี่กูพามึงมาแดกหญ้าหรือไง?” ผมกวาดตามองบรรดาอาหารเกาหลีที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะตามรีเควสของหลานสาวเพื่อน พูดก็พูดเถอะ แม่งอร่อยตรงไหนวะ? สงสัยขากลับต้องแวะร้านหมี่เกี๊ยวหน้าคอนโดซะแล้ว
“ปู่ดินไม่ได้บอกว่าจะมีคนอื่นมาด้วย” มีตวัดสายตาขุ่นๆ มองผมอีกแน่ะ
“เออ กูไม่ได้บอก แต่ก็ไม่ได้หลอกมึงนี่” ผมแถเอาแบบหน้ามึนๆ “ไม่ดีหรือไง เด็กสองคนนั้นก็น่ารักจะตาย เพลินหูเพลินตาดีออก”
“ปู่ดินชอบแบบนั้นเหรอ?”
“ของสวยๆ งามๆ ใครจะไม่ชอบ?”
“แต่นั่นเพิ่งสิบหกเองนะ”
“ก็ดีสิ ตอนกูสี่สิบ เขาก็ยี่สิบหก พอกูห้าสิบ เขาก็สามสิบหก ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว” ผมตอบมันไปเรื่อยเปื่อย สายตาก็มองผ่านกระจกร้านมองผู้คนขวักไขว่ด้านนอก
“พรากผู้เยาว์เลยนะ”
“งั้นกูรออีกปีก็ได้ สิบเจ็ดแต่งงานได้ถ้าผู้ปกครองยินยอม”
“นั่นหลานเพื่อนปู่ดินนะ”
“ยิ่งตกลงกันง่ายใหญ่”
ปัง! เสียงกระแทกแก้วกับตกทำให้ผมต้องดึงสายตากลับมามองคนข้างตัว ไอ้เก้ามันลุกขึ้นยืน หน้าตาถมึงทึง สองหมัดกำแน่น
“จะไปไหน?” ผมถามตอนที่มันก้าวขาออกจากโต๊ะ
“ขี้!” มันตอบแล้วผลุนผลันออกไปแบบไม่เหลียวหลัง สงสัยจะปวดจัด ทิ้งให้ผมหัวเราะน้ำตาเล็ดอยู่ที่โต๊ะคนเดียว
“อาดินขำอะไรเหรอคะ?” เสียงใสๆ ที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องปรับเข้าสู่โหมดปกติ
“อื้ม นิดหน่อยน่ะ” ผมยิ้มให้สองสาวที่พากันกลับมานั่งประจำที่
“แล้วพี่เก้าไปไหนเหรอคะ?”
“ไปห้องน้ำน่ะ” ผมเกือบจะหลุดขำอีกรอบแล้วเชียว
“อาดินคะ”
“ครับ?”
“หนูขอบคุณมากนะคะที่อุตส่าห์พาพี่เก้ามาวันนี้ ทั้งที่อายศบอกหนูแล้วว่าอาดินไม่ค่อยว่าง แต่หนูก็ยังดึงดันจะรบกวน เพราะหนูไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ ถ้าเป็นไปได้หนูก็อยากจะมีโอกาสได้คุยทำความรู้จักกับพี่เก้าสักครั้ง หนู..”
“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อย” ผมยิ้มปลอบเด็กสาวที่นั่งทำหน้าสำนึกผิด
“ขอบคุณนะคะอาดิน” พอหนูน้อยโล่งอก โลกก็ดูเหมือนจะสดใสขึ้นมาทันตา ที่หยอกไอ้เก้าไปเมื่อกี๊นี่ไม่ได้มีอยู่ในเศษเสี้ยวสมองแม้แต่น้อยนิด สเปคผมต้องเป็นหญิงสาวมากกว่าจะเป็นเด็กสาวแบบนี้ อย่างที่บอกว่าผมไม่ถนัดดูแลใคร คนที่จะคบผมได้อย่างน้อยต้องดูแลตัวเองได้ แต่ถ้าดูแลผมได้ด้วยก็จะยิ่งประเสริฐเลย
“เอ่อ.. ช่วยเซ็นให้หนูหน่อยได้ไหมคะ?” เพื่อนของหลานสาวเพื่อนยื่นหนังสือหน้าปกคุ้นๆ พร้อมปากกาสีชมพูข้ามโต๊ะมาให้ผมด้วยท่าทางเขินๆ
“แพรเขาเป็นแฟนพันธุ์แท้ซีรี่ย์ ‘Mercy Killing’ ของอาดินน่ะค่ะ”
“อ้อ ขอบคุณครับ” ผมรับหนังสือมาเปิดหน้าแรก มันเป็นเล่มห้าหรือเล่มล่าสุดในชุด ‘Mercy Killing’ หนึ่งในนิยายแนวฆาตกรรมสืบสวนสอบสวนที่ผมเป็นคนเขียน
“หนูเคยเห็นคุณอาในงานหนังสือคราวก่อน..” เพื่อนของหลานสาวเพื่อนพูดขณะที่ผมกำลังลงมือเซ็นหนังสือให้ “ตอนนั้นคุณอาดู..เอ่อ..”
“หล่อกว่านี้ใช่ไหม?” ผมพูดอย่างไม่คิดมาก จำได้ว่าวันนั้นตัดผมโกนหนวดไปเรียบร้อยเพราะทางสำนักพิมพ์เขาขอมา ผิดกับวันนี้ แค่อาบน้ำออกมาจากบ้านได้ก็มหัศจรรย์แล้วเหอะ
“วันนี้ก็หล่อนะคะ” เด็กสาวแก้ตัวร้อนลน “เพียงแต่ว่าวันนั้นคุณอาดูหล่อแบบ..เอ่อ..แบบดาราน่ะค่ะ แต่วันนี้คุณอาดูหล่อแบบศิลปิน”
“เข้าใจพูด” ผมหัวเราะชอบใจกับไหวพริบของเด็กสาวตรงหน้า
“ตอนที่หญิงบอกว่าคุณอาเป็นปู่ของพี่เก้านี่หนูยังไม่เชื่อเลย ปู่อะไรหนุ่มขนาดนี้ แต่พอมาเห็นพี่เก้าเรียก ปู่ดินๆ หนูถึงเริ่มเชื่อ” ก็ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่เวลาที่ไอ้เก้ามันเรียกผมว่า ‘ปู่’ ต่อหน้าคนอื่น คิดซะว่าเป็นชื่อเล่นแล้วกัน
“ก็ฉันบอกแกแล้วไง”
“มันค่อนข้างซับซ้อนอ่ะนะ” ผมคืนหนังสือให้เจ้าของ เรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่เด็กสองคนจะเป็นฝ่ายคุยมากกว่า ผมก็นั่งฟังไป เข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้างตามเรื่องตามราว
“พี่เก้าหายไปนานจังเลยนะคะ” หลานสาวเพื่อนทัก ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่ามันหายไปนานแล้วจริงๆ
“เดี๋ยวก็มา..” หรือว่ามันจะท้องเสียวะ?
“พี่เก้าเขาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? ดูไม่ค่อยพูดเลย พี่เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่หรือเปล่าคะ?”
“มันเขินล่ะมั้ง ได้มานั่งกินข้าวกับสาวน่ารักตั้งสองคนนี่นา” ผมก็มั่วไปเรื่อย แต่เด็กสองคนนั้นดันเขินม้วนต้วน
“ไม่หรอกมั้งคะ หนูเห็นที่โรงเรียนพี่เขาป๊อบจะตาย มีสาวสวยล้อมหน้าล้อมหลังตลอด”
“งั้นเชียว?”
“น้อยไปสิคะ พี่เขามีกลุ่มแฟนคลับเป็นของตัวเองด้วยนะ”
“เราสองคนก็เป็นหนึ่งในนั้นงั้นสิ” ผมถามอย่างรู้ทัน สองคนนั้นเลยได้ม้วนกันอีกรอบ
“ปลื้มมันตรงไหนเหรอ?” ผมล่ะสงสัยจริงๆ แค่หน้าตาดีก็มีแฟนคลับแล้วเหรอ? สมัยผมมีแบบนั้นบ้างหรือเปล่าวะ? ..ไม่รู้สิ ไม่เคยนึกสนใจมาก่อนซะด้วย
“ก็พี่เขาทั้งหล่อทั้งเท่ห์ เรียนดี กีฬาเด่น ยิ้มเก่ง แถมนิสัยก็น่ารักด้วย..อ๊ะ พี่เก้า..” เด็กสาวยังบรรยายสรรพคุณมันไม่หมด เจ้าของชื่อก็พาหน้ามึนๆ ของมันกลับมาพอดี ทำเอาคนพูดชมเมื่อครู่เขินจนแทบจะมุดโต๊ะกันเลยทีเดียว
“ไง โล่งไหม?” ผมถามมันยิ้มๆ แต่มันดันทำเมินผมอย่างกับแม่สาวขี้งอนซะงั้น เนี่ยนะที่เหล่าสาวน้อยนักฝันมองว่ามันเท่ห์? ..เออ เท่ห์เหี้ยๆ อ่ะ หัวเราะน้ำตาเล็ดอีกรอบจะเสียมาด ‘คุณอา’ ไหมเนี่ยกู ฮ่าๆๆ
“ปู่ดินๆ แวะร้านนี้แป๊บ” ได้ยินแบบนี้มาครั้งที่สี่ ห้า หรือหก..? ไม่แน่ใจแล้วว่ะ ตั้งแต่ที่แยกกับสองสาวน้อยที่ร้านอาหารเกาหลี ไอ้เก้ามันก็ลากผมเข้าร้านนู้นแป๊บร้านนี้แป๊บ จนไม่รู้ว่าผ่านไปกี่แป๊บแน่แล้ว แต่เห็นท่าทางมันดูอารมณ์ดีผิดหูผิดตาต่างจากตอนกินข้าวลิบลับเลยไม่อยากจะขัด
เอาจริงๆ คือผมที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะออกมาแค่กินข้าวแล้วก็กลับไปทำงานนั้นดันเกิดขี้เกียจขึ้นมาพอดีด้วย เลยคิดว่าเดินเล่นอีกสักหน่อยค่อยกลับแล้วกัน
“ปู่ดินว่าใบไหนสวยกว่ากัน?” มันชูหมวกแก็ปยี่ห้อนิวอีร่าสองใบที่คนละลายและคนละรุ่นให้ผมดู ผมมองแว้บเดียวก็หมดความสนใจ ยังไมมันก็แค่หมวกล่ะวะ เลือกมากไปทำไม
“มึงว่าอันไหนสวยก็อันนั้นแหล่ะ” ผมตอบส่งเดช พลางนึกสมเพชตัวเองในใจขณะมองตามคู่รักที่เดินกอดกันกระหนุงกระหนิงผ่านหน้าร้านไปสามคู่ติด ก็แล้วทำไมผู้ชายอายุสามสิบยังแจ๋วอย่างกูต้องมาเดินห้างกับหลานชายไซส์ควายเท่ากันด้วยวะ?
“..........” ว่าไปแล้วผมก็ร้างลาจากการมีคู่ควงมาพักใหญ่ๆ เหมือนกันแล้วนะเนี่ย เหมือนจะมัวหมกมุ่นกับงานของตัวเองจนเกือบลืมไปเลยแฮะ
“ผมว่าสีของใบนี้มันโดนดี แต่ลายของใบนี้มันก็ได้ใจ ผมเลือกไม่ถูก ปู่ดินช่วยผมตัดสินใจหน่อยดิ”
“งั้นก็ซื้อแม่งทั้งคู่” ผมชักรำคาญ
“แต่ผมมีหัวเดียว” ไอ้เก้าเริ่มทำหน้าหักอีกแล้ว
“มึงก็ใส่ซ้อนกันดิไอ้เซ่อ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ เหลือบเห็นพนักงานสาวส่งยิ้มหวานมาให้ ก็เลยยิ้มตอบ แต่ไม่สเป็คว่ะ ผมว่าสาวชุดดำที่กำลังเลือกร้องเท้าอยู่ร้านตรงข้ามน่าสนใจว่าจมเลย ว่าแล้วก็ลองเดินไปเลียบๆ เคียงๆ มองสักหน่อย
“จะไปไหนอ่ะ?” เสียงไอ้เก้าดังตามหลังมา
“หาที่สูบบุหรี่” ผมไม่ได้โกหกมันหรอก แต่ไม่ได้บอกว่าจะแวะระหว่างทางเท่านั้นเอง
“ดิน! นั่นดินใช่ไหม?” ดูเหมือนปฏิบัติการเลียบๆ เคียงๆ จะได้ผลเกินคาด เพราะสาวสวยชุดดำในร้านรองเท้าเธอปรี่เข้ามาทักผมก่อนที่ผมจะทันเดินไปถึงหน้าร้านที่เธออยู่เสียอีก
“ครับ แล้ว..” ผมกระพริบตาปริบๆ สองสามที พยายามคุ้ยดึงความทรงจำในซอกหลืบสมองเพื่อมองหาว่าสาวสวยคนนี้เป็นใครกัน
“ปิ่นไง จำปิ่นไม่ได้เหรอ? ดินใจร้ายอ่ะ” เธอทำแง่งอน แต่นั่นก็ทำให้ผมจำได้ทันทีว่าสาวสวยคนนี้คืออดีตหวานใจวัยมัธยมของผมเอง
“โห.. ปิ่นจริงดิ เล่นสวยขึ้นซะขนาดนี้ใครจะไปจำได้” ผมตอบโต้ไปตามสมควร ไอ้พวกเรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่นี่ผมไม่ค่อยสนใจซะด้วยสิ ว่าไปแล้วผมนี่ก็เป็นผู้ชายที่เยอะเหมือนกันเนาะ คงเพราะแบบนี้มั้ง ถึงหาเมียกับเขาไม่ได้สักที
“แหม พูดแบบนี้มันก็น่าดีใจอยู่หรอก แต่ขนาดดินเปลี่ยนจากหนุ่มหล่อสุดเนี้ยบ เป็นหนุ่มเซอร์สุดเท่ห์ขนาดนี้ปิ่นยังจำดินได้เลย ที่ใครเขาว่าผู้ชายลืมง่ายคงเรื่องจริง”
“งั้นที่เขาว่าผู้หญิงลืมยากก็คงเรื่องจริงเหมือนกัน” ผมแหย่กลับ “แล้วนี่สบายดีไหม? ไม่ได้ยินข่าวคราวตั้งนาน”
“นี่ก็อีกเรื่อง ปิ่นได้ยินข่าวดินตลอด แต่ดินไม่เคยได้ยินข่าวปิ่นเลยสินะ เวลาเพื่อนเก่านัดสังสรรค์ทีไร ไม่เคยเห็นหน้าดินสักที.. แต่ปิ่นสบายดีจ้ะ”
“ดินไม่ค่อยว่างน่ะ” ก็ไหลไปเรื่อย ความจริงเพื่อนๆ สมัยมัธยมนี่ผมก็ลืมๆ เลือนๆ ไปเยอะ ที่ยังเจอกันทุกวันนี้มีแค่พวกที่สนิทจริงๆ กับพวกที่เรียนมหาลัยด้วยกันไม่กี่คนหรอก
“จ้ะ พ่อนักเขียนใหญ่” ปิ่นสะบัดค้อนวงใหญ่ใส่ผมแบบไม่จริงจังนัก
“ปู่ดิน” ไม่ทันได้คุยกันมากกว่านั้นไอ้เก้าก็มากระตุกชายเสื้อผมยิกๆ
“ใครเหรอดิน?” ปิ่นเป็นคนทักขึ้นก่อน มองไอ้เก้าด้วยท่าทางสนใจ
“หลานดินเอง ชื่อเก้า เออเก้า นี่พี่ปิ่น เพื่อนเก่ากูเอง” พอผมแนะนำ ไอ้เก้าก็ยกมือไหว้ปิ่นอย่างรู้มารยาท
“อย่าบอกนะว่าหลานปู่คนนั้น ตัวโตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย?”
“อืม ไอ้นี่แหล่ะ” ไอ้เก้ามันเป็นหลานปู่คนแรกของผม และเป็นคนที่ทำให้เพื่อนๆ พากันเรียกผมว่า ‘ไอ้ปู่’ นั่นล่ะ
“หล่อไม่ทิ้งเชื้อปู่เลยนะเนี่ย” ปิ่นยิ้มจนตาหยี น่ารักซะไม่มี หรือผมจะลองพิจารณาเรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ดีวะ? ว่าแต่เขามีลูกมีผัวไปหรือยังล่ะเนี่ย? ยังไม่ได้ถามเลย
“ของมันแน่อยู่แล้ว”
“แหมดิน จะไม่ถล่มตัวสักหน่อยเหรอ?” ปิ่นหัวเราะ
“ก็มันเรื่องจริง” ผมพลอยหัวเราะตามไปด้วย
“ปู่ดิน” แล้วไอ้หลานปู่ตัวควายมันก็กระตุกชายเสื้อผมยิกๆ อีก
“อะไรของมึง?” ผมหันไปถาม พยายามจะไม่แสดงอาการรำคาญออกมาต่อหน้าสาว
“ผมหิว”
“หิวเหี้ย? เพิ่งออกจากร้านข้าวไม่ถึงชั่วโมง” ผมลดเสียงให้เบาลง
“ก็ผมหิวอ่ะ” มันยังดึงดัน
“เด็กกำลังโตน่ะดิน พาหลานไปหาอะไรกินก่อนเถอะ ปิ่นก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน นี่นามบัตรปิ่นจะ เผื่อนึกอยากติดต่อกัน” ปิ่นยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ มาให้ แต่ผมยังไม่ทันรับเจ้าตัวก็ชักกลับไป ก่อนควานหาปากกาในกระเป๋าถือ “คืนพรุ่งนี้มีปาร์ตี้สละโสดของแก้ว มีเพื่อนเก่าๆ ไปเยอะเหมือนกัน ดินจำแก้วได้ไหม? เพื่อนสนิทปิ่นน่ะ”
“ที่ตัวเล็กๆ ผมหยักๆ หน่อยใช่ไหม? เห็นเคยเดินกับปิ่นบ่อยๆ”
“ใช่ๆ คนนั้นแหล่ะ จะแต่งงานแล้ว นี่เป็นชื่อร้านที่เรานัดกันคืนนี้จ้ะ ถ้าไม่ติดอะไรก็มาให้ได้นะ” ปิ่นจดยุกยิกลงบนด้านหลังนามบัตร แล้วยื่นมาให้
“อืม แล้วปิ่นล่ะ เมื่อไหร่จะมีข่าวดีแบบแก้วบ้าง?” ผมถือโอกาสถามแบบเนียนๆ
“คงอีกนาน ตอนนี้ยังไม่เห็นเงาหัวเจ้าบ่าวผู้โชคร้ายคนนั้นเลย” ปิ่นตอบติดตลก
“แปลว่าโสด..”
“สนิท” ปิ่นช่วยต่อให้
“งี้ดินก็มีหวังน่ะสิ” ผมส่งสายตาเจ้าชู้ไปให้ ปิ่นหัวเราะ แต่แก้มแอบแดงเหมือนกัน เธอไม่ได้ตอบอะไรออกมาชัดเจน เราล่ำลากันอีกสองสามคำก่อนแยกย้าย
“อ้าว แล้วมึงจะยืนเป็นหุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซอีกนานไหม? ไหนบอกหิว?” ผมหันกลับไปถามไอ้เก้าที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ยอมเดินตามมา
“ไม่หิวแล้ว”
“ห๊ะ?”
“กลับบ้านเหอะ” มันเมาฉุดแขนผมแล้วเริ่มลาก “กลับบ้านกัน”
“อะไรของมึงเนี่ย?” ผมได้แต่มึนงงกับอารมณ์วัยรุ่น ตามมันไม่ทันจริงๆ
(ต่อ)